บิดหมดปอก


     เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของคุณไตรรัตน์ เป็นเรื่องราวสมัยที่เธอเรียนอยู่มหาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง เรื่องเราวของเธอเกิดขึ้นเมื่อมีกิจกรรมแบบเร่งด่วนเธอต้องจัดซุ้ม ซึ่งมีคนที่รู้เรื่องนั้นน้อยมาก ทั้งสาขามีคนมาช่วยกันทำเพียงแค่ 5-6 คนเท่านั้น แต่ยังมีคนที่คอยออกแบบอยู่จำนวนหนึ่งที่อยู่ที่บ้านจะคอยช่วยตอนเช้า ซึ่งในวันนั้นผมและเพื่อนๆก็จัดซุ้มกันเท่าที่จะทำกันได้ เนื่องจากว่ามันเร่งด่วนมากๆ ทุกคนก็ต่างเร่งมือกันเต็มที่ เวลาผ่านไปจนกระทั่งได้เวลากลับบ้านประมาณสักตี 2 บ้านพักที่ผมอาศัยอยู่
นั้นตั้งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยประมาณ 8 กม. แล้วก็ต้องมุ่งหน้าไปทางอำเภออำเภอหนึ่ง พอขับรถไปถึงสามแยกก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งตะโกนขึ้นมาทักว่า "เฮ้ย! ทำไมยังไม่กลับบ้านกันอีก ออกมาทำอะไร รีบๆกลับบ้านกันได้แล้ว" ในตอนนั้นพวกผมก็ไม่ได้คิดสงสัยแปลกใจอะไร แล้วก็ไม่ค่อยได้สนใจว่าวันนี้มันคือวันอะไร

                ผมกับเพื่อนก็ยังคงขับรถมุ่งหน้ากันต่อไป พอขับไปได้ระยะประมาณสักครึ่งทางผมก็ต้องตกใจจนสะดุ้ง เมื่อพบเจอกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ลักษณะทางที่ผมกำลังขับรถผ่านอยู่นั้น รอบข้างทั้งสองข้างทางเป็นต้นไม้ทรงสูง ประกอบกับถนนนั้นก็เป็นทางตรงยาว มีโค้งบ้างนิดหน่อย ผมเห็นแสงสีเขียว ซึ่งมันเห็นได้ชัดมากในเวลานั้นเนื่องจากรอบข้างนั้นมืดแล้ว แสงสีเขียวที่ผมมองเห็นนั้นมันสว่างออกมาจากในป่าในความคิดแวบแรกก็นึกว่าเป็นประภาคารที่เป็นเสาเหล็กฉายส่งสสัญญาณให้เครื่องบิน แต่ว่าไฟนั้นมันก็ควรจะเป็นสีแดง ไม่น่าใช่สีเขียวแล้วพอขับรถไปจ้องมองไปทุกอย่างก็กระจ่างชัดมากขึ้น เจ้าของแสงไฟสีเขียวนั้นมีลักษณะสูงยาว มีปากที่เล็กแต่ว่าไม่ถึงกับรูเข็ม ตอนนั้นผมฃเห็นมีสองตน นั่นคือเปรตงั้นหรือ   ความคิดถามขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ ลำตัวของทั้งคู่นั้นสูงมากๆ สูงประมาณต้นยางหรือไม่ก็ประมาณต้นตาล ซึ่งทั้งสองต้นที่ว่ามาก็จะเป็นต้นไม้ที่สูงเลยต้นไม้ข้างทางเหล่านั้นไป

                ในวินาทีนั้นผมเห็นเปรตทั้งสองตนเดินจ้ำเอาๆ พร้อมๆกับมีเสียงนิดหน่อย เปรตทั้งสองตนกำลังเดินมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันซึ่งผมรู้ว่าทิศทางที่ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าไปนั้นมันเป็นเส้นทางที่สามารถไปถึงวัดแห่งหนึ่งได้ ในตอนนั้นผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้อย่าง แล้วหันไปบอกกับเพื่อนว่า "เรารู้แล้วว่าทำไมตรงสามแยกมีชาวบ้านตะโกนบอกว่าออกมาทำไมกันให้กลับบ้านกันไปได้แล้ว ร้อยวันพันปีไม่ว่าจะกลับทางนั้นในเวลาใดก็ไม่เคยมีใครมาตะโกนทักแบบนี้" แล้วเพื่อนของผมก็ถามกลับมาว่า "ทำไม วันนี้มันมีอะไร" แต่ว่าผมก็บอกไปว่า "เดี๋ยวค่อยบอก"จากนั้นผมและเพื่อนก็ขับรถกันไปอีกสักระยะ ก็ยังคงมองเห็น 2 ตนนั้นอยู่ เนื่องจากที่บอกไปว่าถนนนั้นเป็นทางยาว ก็ยังสามารถมองเห็นดวงตาที่เป็นสีเขียว พร้อมกับยังคงเห็นเปรตนั้นเดินจ้ำขายาวๆ ในใจก็คิดว่า มามืดๆก็ได้ จะได้คิดว่าตาฝาด   แต่ว่าภาพที่เห็นนั้นยังคงชัดเจน พร้อมกับเปรตทั้งคู่ก็ยังไม่ได้หายไปไหน

               จนกระทั่งผมสังเกตได้ว่า มีอยู่ตนหนึ่งหันมามองที่พวกผม นั่นก็ยิ่งทำให้ผมสะดุ้งมากขึ้น พร้อมกับบอกเพื่อนว่า "เร่งความเร็วรถกันหน่อยเหอะ" ซึ่งโดยปกติแล้วเพื่อนของผมนั้นมักจะขับกันไปเรื่อยๆ เพราะว่ามากันหลายคัน แต่ว่าคืนนี้หลังจากที่ผมพูดจบ เพื่อนๆก็บิดให้ตามคำขอ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก เจ้าของร่างที่สูงใหญ่ทั้งสองตนนั้นก็หันทิศทางมายังผมและเพื่อน เดินก้าวขายาวๆเข้ามาทางเราผมก็ได้แต่ตะโกนบอกเพื่อนว่า "บิดไป! บิดเร็วอีก!" เพื่อนก็ถามว่า "มีอะไรหรือเปล่า" เพราะว่าเพื่อนไม่ได้เห็นอะไรเลย พอขับเร็วขึ้นจนพ้นมาผมและเพื่อนก็มาถึงที่บ้านได้แบบปลอดภัย เพื่อนก็ถามว่า "เป็นอะไร เห็นอะไร" ผมจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง พร้อมทั้งนึกได้ว่าวันนี้ก็คือวันชิงเปรต นั่นเอง ซึ่งนั่นก็เป็นพิธีกรรมที่มีกันมายาวนาน มิน่า ชาวบ้านถึงได้ตะโกนทัก เร่งให้กลับบ้านโดยไว เป็นพิธีทางความเชื่อ แต่ก็สอนให้คนละจากความชั่ว ทำความดี ถ้าเสียชีวิตไปจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นเปรตในภพหน้า

ไม่มีความคิดเห็น