บ้านหลังนี้ชาวบ้านรู้กันดี


           เรื่องเล่าของคุณหนิงที่คุณแม่เล่าให้เธอฟังเมื่อปี 2508 เมื่อสมัยสาวๆเธอเข้ามาอยู่กรุงเทพ และเธอได้เช่าบ้านนครึ่งไม้ครึ่งปูน 2 ชั้นหลังหนึ่งย่านธนบุรีชาวบ้านละแวกบ้าน มักถามว่า "เป็นไง บ้านอยู่สบายมั้ย นอนหลับดีรึเปล่า" ??? นั้นคือที่มาของเรื่องราวสุดหลอนนี้ว่าเธอจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรที่บ้านหลังนั้น

          เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ของคุณหนิง เหตุการณ์นั้นต้องย้อนกลับไปหลายปีตั้งแต่สมัยที่คุณแม่ยังสาวทำงานอยู่ในออฟฟิศแห่งหนึ่ง คุณแม่ของหนิงนั้นได้ไปทำงานที่กรุงเทพตั้งแต่สมัยปลายปี พ.ศ. 2508 โดยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการที่ออฟฟิศแห่งหนึ่ง ก่อนเข้าทำงานแม่ก็ต้องหาที่พักในกรุงเทพให้ได้ โดยญาติของแม่ได้พาไปหาบ้านเช่าแถวฝั่งธนบุรี จนกระทั่งไปเจอบ้านหลังหนึ่ง ตัวบ้านนั้นเป็นครึ่งไม้ครึ่งปูน 2 ชั้น ตั้งอยู่เกือยท้ายซอย มีรั้วรอบขอบชิด แถมยังมีพื้นที่รอบบ้านค่อนข้างจะกว้าง แต่ค่าเช่านั้นถือว่าถูกมากๆในสมัยนั้น

              ลักษณะบ้านเป็นทรงโบราณเหมือนกับว่าสร้างมานานแล้วแต่ว่าสภาพยังดีอยู่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดประมาณ 70 ตรว. ห้องน้ำมีอยู่เพียงห้องเดียว ตั้งอยู่นอกตัวบ้านไม่ได้ไกลจากตัวบ้านนัก แต่ที่แปลกก็คือพระภูมิเจ้าที่ถูกตั้งไว้ใกล้ประตูทางเข้าตัวบ้านแทนที่จะตั้งไว้ใกล้กับแนวรั้วเหมือนทั่วๆไป จากประตูหน้าบ้านนั้นเรียกได้ว่าเปิดประตูออกไป เดินเพียงแค่ 5-6 ก้าวก็ถึงตัวศาลแล้ว ลักษณะของศาลนั้นเป็นศาลไม้ไม่สูงมากนัก บริเวณโดยรอบๆบ้านมีต้นไม้ใหญ่อย่างขนุน มะม่วง ปลูกอยู่รอบบ้าน คุณแม่เดินดูรอบบ้านแล้ว และก็เห็นว่าถูกเลยตกลงเช่าโดยที่ไม่ได้คิดอะไร

              ช่วงที่ไปอยู่ใหม่ๆนั้นงานที่ บริษัทของแม่ค่อนข้างจะเยอะมาก พอกลับถึงบ้านก็เข้านอนทันที ไม่ได้สนใจอะไร จนเวลาล่วงเลยผ่านไปอาศัยอยู่ไประยะหนึ่ง คุณแม่เริ่มรู้สึกแปลกๆที่คนละแวกบ้านแถวนั้นมักจะชอบมาคุยกับแม่และถามถึงบ้านที่แม่อยู่เป็นประจำ ทำนองว่า "เป็นไง บ้านอยู่สบายมั้ย นอนหลับดีรึเปล่า" แล้วก็พูดเชิงเชิญชวนให้แม่เล่าเรื่องในบ้านให้ฟัง ในช่วงแรกที่เป็นแบบนั้น แม่ก็คิดว่าผู้ใหญ่แถวบ้านคงเอ็นดูเห็นว่ามาอยู่ใหม่ก็เลยเอ็นดู หรืออาจจะเป็นการชวนคุยตามมารยาท แต่ยิ่งนานไปแม่ก็เจอชาวบ้านแถวนั้นถามคล้ายๆกันลักษณะนี้แทบจะทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน แม่ก็เลยเริ่มจะรู้สึกแปลกๆ

             จนกระทั่งวันหนึ่งคุณแม่นั้นต้องเลิกงานดึก ก่อนเดินเข้าซอยแม่ก็แวะซื้อผัดซีอิ๊วก่อนแล้วก็เดินกลับเข้ามาในซอยบ้าน เวลาในตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มได้ พอถึงบ้านแม่ก็รีบแกะผัดซีอิ๊วเพราะไม่ได้ทานข้าวมาตั้งแต่ตอนเที่ยง แต่พอถึงตอนที่แม่กำลังจะเอาช้อนตักเข้าปากอยู่นั้น อยู่ดีๆก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว รู้สึกได้ว่าเหมือนกับมีไอเย็นอยู่รอบตัวทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นฤดูร้อน แม่กินไปได้สักพักก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเหมือนมีสายตาจ้องมองอยู่รอบตัวมากมาย บรรยากาศรอบบริเวณนั้นอึดอัดขึ้นมาทันที แม่รู้สึกไม่ค่อยดีจึงพูดขึ้นมาลอยๆว่า "อ่ะ กินเลย ถ้าเกิดอยากกินก็กินซะ ฉันยกให้"แล้วแม่ก็ขึ้นไปนอนทันทีโดยไม่อาบน้ำหรือทำอะไรต่อทั้งสิ้น แม่นั้นเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยมาก จนต้องตัดสินใจซื้อข้าว 2 ห่อ โดยห่อนึงนั้นสำหรับตัวเอง อีกห่อตั้งวางไว้ แต่ว่าแม่ก็ยังไม่ย้ายออกเพราะว่าค่าเช่านั้นถูก แถมสิ่งที่อยู่รอบตัวที่แม่สัมผัสได้บ่อยๆนั้นก็ยังไม่ได้มาให้เห็นเป็นตัวเป็นตน

               จนมีอยู่วันหนึ่งญาติของแม่กำลังจะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพเหมือนกัน ก็เลยมาขอพักอาศัยอยู่กับแม่ระหว่างที่หางาน พอวันที่ญาติของแม่เดินทางมาถึงแม่ก็จัดให้ญาตินอนที่ชั้นล่าง แล้วก็ให้ญาติไปอาบน้ำที่ห้องน้ำนอกตัวบ้าน ระหว่างนั้นแม่ก็ทำกับข้าวรอ ผ่านไปได้ครู่ใหญ่ๆระหว่างที่แม่ทำกับข้าวอยู่นั้น จู่ๆญาติของแม่ก็ร้องตะโกนโวยวายเสียงดังลั่นมาจากทางหลังบ้าน แม่ตกใจมากนึกว่าเจองูหรือว่าอะไรก็เลยรีบวิ่งไปดู พอไปถึงก็พบว่าญาตินั้นนอนสลบอยู่หน้าห้องน้ำ แม่รีบพาร่างของญาตินั้นมาปฐมพยาบาลในตัวบ้านจนฟื้น พอญาติฟื้นขึ้นมาก็ร้องโวยวายลั่นบ้านว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แม่ก็พยายามปลอบและถามว่า "ทำไม เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น" ญาติก็ไม่ยอมเล่าได้แต่นั่ง
ตัวสั่นจนเช้า

               แสงแดดส่องเข้ามาในบ้านแล้วญาติค่อยๆตั้งสติได้แล้วก็เล่าให้คุณแม่ฟังว่าตอนที่เข้าไปอาบน้ำนั้นเจออะไรในห้องน้ำ ลักษณะของห้องน้ำจะก่อปูนเป็นกำแพงด้านหนึ่งเพื่อให้เป็นที่ใส่น้ำสำหรับเอาไว้ตักอาบ ระหว่างที่ญาติกำลังตักน้ำอาบอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่าขันไปโดนกับ อะไรสักอย่างที่อยู่ในอ่างนั้น ในตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นก้อนสบู่หรือาจจะเป็นของอะไรสักอย่างที่ตกลงไปในอ่างน้ำ ญาติของแม่ก็เลยเอาขันนั้นควานหาวัตถุดังกล่าว ลากเข้ามาใกล้กับขอบอ่างเพื่อจะตักเอาวัตถุดังกล่าวออกมา พอญาติเอามือล้วงลงไปในอ่างนั้นเพื่อจะหยิบวัตถุดังกล่าวขึ้นมา แล้วก็ต้องพบว่าวัตถุสิ่งนั้นก็คือ ศรีษะมนุษย์ ซึ่งอยู่ในสภาพหนังหัวแห้งติดกะโหลก ญาตินั้นตกใจมากและก็กำลังจะวิ่งออกจากห้องน้ำ พอหันไปที่ประตูก็เห็นเป็นเงาขนาดใหญ่พาดอยู่ที่ประตูหน้าห้องน้ำ ลักษณะนั้นเป็นผู้ชายไม่มีหัว หลังจากนั้นญาติก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

              วันต่อมาแม่ก็เลยตัดสินใจไปถามเจ้าของบ้านเช่าว่าบ้านหลังนี้เคยมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร เจ้าของก็ไม่บอกอะไรทั้งนั้น แม่เลยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับญาติให้ฟัง แกก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่มีอะไร แม่ก็เลยแอบไปถามคนเก่าแก่ละแวกบ้าน คนแถวนั้นเล่าเพียงแค่ว่า "บ้านเช่าหลังนี้ไม่มีใครมาอยู่อาศัยนานมาก เจ้าของบ้านนั้นเคยย้ายเข้าไปอยู่ก็เห็นอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องย้ายออกมาอยู่ห้องแถวเหมือนเดิม เคยมีคนมาขอดูบ้านหลายรายก็ไม่มีใครตกลงเช่าสักราย ก็เห็นมีแต่แม่นี่แหละที่มาเช่า" แม่ได้ฟังแบบนั้นก็ตกใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกเนื่องจากรายได้นั้นยังน้อย ค่าเช่าก็ถูก แม่จึงต้องจำทนอยู่บ้านนี้ 2 ปีถึงย้ายออก

              แต่ว่าตัวของแม่ไม่เคยเจออะไรแบบเป็นตัวเป็นตน จะเจอก็แบบบรรยากาศมากกว่า แต่ว่า
เพื่อนของแม่หรือคนอื่นๆที่มาที่บ้านหลังนี้มักจะเจอเรื่องประหลาดหลอนๆ เช่น เห็นเงาคนเดินไปมารอบบ้านทั้งที่ทุกคนในบ้านก็นั่งรวมกันอยู่กลางบ้าน หรือไม่ก็จะเป็นจานของกินตกลงพื้นโดยไม่มีสาเหตุต่อหน้าต่อตา หรือบางครั้งก็มีอะไรสักอย่างตกใส่หลังคาห้องน้ำตอนอาบน้ำแต่พอออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรโดยรอบ

ไม่มีความคิดเห็น