หัวกลิ้ง


          เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากคุณพ่อของคุณเก่งย้อนไปช่วงปี 1965 สมัยที่พ่อยังหนุ่มๆอยู่ในตอนนั้น คุณพ่อเพิ่งจะรู้จักกับแม่ ตอนนั้นคุณพ่อกับคุณแม่อาศัยอยู่คนละหมู่บ้านแต่ไม่ไกลกันมากนัก 5-6 กม. บ้านคุณพ่ออยู่ชานเมืองย้อนไปเมื่อ50ปีก่อนค่อนข้างยังไม่เจริญมากนัก ไฟฟ้าไม่มี และถนนหนทางก็ยังเป็นดินแดงอยู่ พ่อจะไปเยี่ยมทักทายหาคุณแม่ที่อยู่ต่างหมู่บ้านเกือบทุกวัน แม่นั้นตอนสาวๆมีอาชีพสานบุ้งกี๋ พวกงานสานไม้ไผ่ คุณพ่อก็จะไปช่วยงานคุณแม่บ้าง นั่งคุยบ้าง งานของแม่เป็นงานเหมาเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ พอคุณพ่อนั่งคุยกับคุณแม่เสร็จก็จะขับรถกลับดึกๆ ประมาณ ตี 2-3 เกือบจะทุกวัน ยานพาหนะที่คุณพ่อใช้ก็คือรถมอเตอร์ไซค์

         พ่อขี่รถกลับบ้านเรื่อยๆ เนื่องจากทางนั้นเป็นดินแดง เป็นหลุม เป็นบ่อ ถนนเส้นหลักก็ยังไม่ดีในช่วงเวลานั้น เรียกว่าใช้ความเร็วรถได้นิดเดียวเท่านั้น พอไปถึงจุดหนึ่ง ระหว่างที่พ่อกำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์อยู่นั้นก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนกับมีอะไรสักอย่างซึ่งมีน้ำหนักหล่นลงกับพื้นพอพ่อหันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไร เนื่องจากมันมืดมาก ไม่มีไฟไม่ว่าจะเป็นไฟข้างทางหรือบ้านคน พ่อก็เล่าให้ฟังต่อว่าได้ยินเสียงหล่นลงพื้นดังตุ๊บ แต่ก็ยังคงขี่รถไปเรื่อยๆ เนื่องจากความมืดรอบด้านทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเสียงอะไรหล่น แต่ว่าในขณะที่พ่อกำลังขี่รถมุ่งหน้ากลับบ้านนั้นประสาทสัมผัสจองหูก็เริ่มจับอะไรได้บางอย่าง นั่นก็คือ มีเสียงเหมือนกับวัตถุบางชนิดกำลังกลิ้งตามหลังรถคุณพ่อมา ในระหว่างนั้นขี่รถไปก็
พยายามตั้งใจฟังเสียงนั้นไปด้วย ก็ใช่จริงๆ มีบางอย่างกำลังกลิ้งตามรถของพ่อมา แต่เนื่องจากว่าบรรยากาศรอบด้านนั้นมืดเกิดไป ถึงแม้จะหันกลับไปมองก็คงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ พ่อก็เลยตัดสินใจกลับรถเพื่อจะเอาไฟหน้ารถนั้นส่องกลับไปดูด้านหลัง

              แล้วภาพที่อยู่เบื้องหน้าของพ่อตอนนี้ก็คือ หัว ศรีษะของมนุษย์คนหนึ่งกำลังกลิ้งอยู่บนถนนมุ่งหน้ามาหารถของพ่อ เนื่องจากตอนนี้พ่อได้กลับรถมอเตอร์ไซค์เพื่อเอาไฟหน้ารถนั้นส่องไปด้านหลังก็ทำให้สามารถมองเห็นทางได้บ้าง นอกจากศรีษะของคนที่อยู่บนถนนนั้น ด้านข้างที่เป็นไหล่ทางพ่อก็ยังมองเห็นร่างสีดำๆยืนอยู่ในความมืด ไม่มีหัว ยืนนิ่งสงบอยู่กับที่ พ่อตั้งสติได้ก็รีบหันหัวรถกลับ ค่อยๆขับต่อไป พ่อนั้นไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่ว่ายังคงได้ยินเสียงกลิ้งตามอยู่ด้านหลัง สาเหตุที่พ่อนั้นตั้งสติได้เร็วก็คือโดยปกติแล้วพ่อเป็นคนไม่กลัวผีแต่ว่าเชื่อเรื่องเหล่านี้และพ่อก็ยังเคยบวชเรียนอยู่หลายพรรษา ตอนช่วงบวชนั้นคุณพ่อก็ได้ออกปักกลดในป่าช้ากับหลวงพ่อมาแล้ว คุณพ่อก็เลยไม่ค่อยกลัวซักเท่าไหร่ พ่อขี่รถมอเตอร์ไซค์ใกล้จะถึงบ้าน เสียงกลิ้งที่ตามอยู่นั้นค่อยๆเงียบหายไป พอเข้าบ้านได้ก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

             ตกเย็นของอีกวันหนึ่งพ่อก็ยังขี่รถมุ่งหน้าไปหาแม่โดยใช้เส้นทางเดิม เนื่องจากว่าถ้าเปลี่ยนไปใช้อีกเส้นทางนึงจะไกลเกิน 10 กม. ขึ้นไป เส้นทางนั้นมันจะอ้อมเกินไป หลังจากที่พ่อได่นั่งคุยกับแม่และก็ช่วยงานแม่จนเสร็จ พอแม่เลิกงานพ่อก็เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านโดยที่ใช้เส้นทางเดิม พอไปถึงจุดเดิม บริเวณเดิม เวลาเดิม คราวนี้ไม่มีเสียงอะไรหล่นสู่พื้น ไม่มีเสียงวัตถุใดๆกลิ้งตาม แต่กลับเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ พอพ่อได้ยินเสียงหัวเราะก็เลยตัดสินใจจอดรถอยู่กับที่ มองผ่านความมืดเข้าไป เห็นเงาดำๆยืนอยู่ริมถนน พ่อนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า "ทางใครก็ทางมัน อย่ามาหลอกกันเลย เดี๋ยวจะทำบุญไปให้" พอพูดจบก็ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขี่กลับบ้าน ผ่านเงาดำร่างนั้นไป พอถึงบ้านก็เข้านอน

             เช้าวันต่อมาพ่อก็ได้กลับไปถามกับคนแถวนั้นว่าบริเวณแถวนั้นเคยเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ อย่างไร ชาวบ้านบริเวณที่จุดเกิดเหตุก็พูดขึ้นมาว่า "เจอดีเข้าแล้วละสิ เมื่อหลายเดือนก่อนเคยมีคนเก็บเห็ดขายจะมารอรถมารับช่วงประมาณตี 4-5 แต่ว่าวันที่เกิดเหตุนั้นชายคนดังกล่าวกลับเผลอหลับไป แล้วก็ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเอาหัวพาดมาทางถนน ในตอนนั้นไฟถนนก็ยังไม่มี บวกกับไฟรถก็ไม่ค่อยสว่างนัก ทำให้คนขับมองไม่เห็น เลยขับรถทับจนคอขาด" พอคุณพ่อของเก่งรับรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้วก็เลยไปทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณเคราะห์ร้ายดวงนั้น

ไม่มีความคิดเห็น