หนีด้วยความเร็วสูง
เรื่องราวสุดระทึกของคุณยุ่นที่ทำให้เขาขนหัวลุกแล้วนำเรื่องนี้มาเล่าให้เราฟัง กับประสบการณ์เจอผีเมื่อไปเที่ยวและพักบังกะโลแห่งหนึ่ง กับสิ่งที่เขาได้พบและวันนั้นก็ทำให้เขารู้ว่า เขาสามารถวิ่งได้เร็วมากแค่ไหน ลองไปฟังประสบการณ์จริงนี้กันเลยครับว่าเขาวิ่งหนีอะไรมา
ผมเริ่มเรื่องเลยแล้วกันนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของมหาลัย ตอนนั้นพวกเพื่อนเก่าผมสมัยมัธยมก็ชวนกันไปเที่ยวทะเลกัน ซึ่งผมก็ตกลงไปด้วย ที่พักที่ไปนี้เป็นบังกะโลของทางราชการครับ คือบังกะโลนี้จะเปิดให้บริการคนทั่วไปเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แล้วก็วันหยุดพิเศษครับ ผมขอไม่บอกจังหวัดแล้วกันนะครับเพราะเกรงใจทางด้านญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนที่เป็นคนติดต่อที่พักนี้ให้ แล้วก็ที่บังกะโลราชการนี้ก็มีที่เดียวของจังหวัดนี้ด้วยครับ ผมเลยไม่อยากบอกข้อมูลอะไรมาก เล่าต่อเลยละกันนะครับ ญาติผู้ใหญ่เพื่อนที่ติดต่อบังกะโลนี้ให้เขารู้จักกับคนที่ดูแลบังกะโลนี้ครับ พวกเราเลยโชคดีได้ไปเที่ยวกันในวันพุธซึ่งเป็นวันธรรมดา
เราวางแผนไปค้างคืนแค่คืนเดียวก็จะกลับบ้าน จำนวนคนที่ไปรวมผมด้วยก็มี 10 คนพอดีครับ พอพวกเราเดินทางมาถึงที่พักก็ดีใจมากๆเพราะว่ามีแต่พวกเราที่มาพักกัน ไม่มีคนที่บังกะโลหลังอื่นๆเลย พวกเราเล่นสนุกเฮฮาเสียงดังกันเต็มที่ บังกะโลที่เราพักนี้ไม่ห่างจากชายหาดมากในช่วงเช้าถึงเย็นก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จนมาถึงช่วงกลางคืน ผมกับเพื่อนๆออกมานั่งสังสรรค์ที่ริมหาดกัน เพื่อนๆทุกคนก็กินกัน ตะโกนส่งเสียงดังกันแบบเต็มที่ครับ จนประมาณ 4-5 ทุ่มได้ เพื่อนๆผมก็เริ่มเมากันแต่ผมยังไม่เมานะครับเพราะผมเป็นคนไม่ค่อยชอบกินเหล้า กินไปก็ไม่มากเท่าไหร่ จะเหลือเพื่อนผมอีกคนนึงชื่อหมีครับ มันเองก็ยังไม่เมาเหมือนกัน ผมกับหมีก็คุยกันว่าจะเอาพวกเพื่อนที่เมาเนี่ยไปเข้าบ้านยังไงดีเพราะ
พวกนี้เมาแล้วพูดคุยอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง ไอ้หมีได้บอกว่าไปเดินเล่นกันก่อนดีกว่ากลับมาก็คงสร่างเมากันเอง ผมก็เลยไปเดินเล่นกับมัน 2 คน
พวกเราเดินเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ผมก็เดินไปคุยไปด้วยกับเพื่อนผม ตอนนั้นยังพอมีแสงไฟที่ส่องมาจากเสาไฟจากบังกะโลอยู่ พวกเราเดินห่างจากกลุ่มเพื่อนมาเรื่อยๆครับ จนห่างออกไปมาก พวกเราเดินจนเริ่มไม่มีแสงไฟจากข้างทาง แต่พวกเราก็ยังเดินต่อ จริงๆแล้วผมก็เป็นคนกลัวผีนะครับ แต่ว่าบรรยากาศในตอนนั้นมันดีมากและมีเพื่อนคุยด้วยผมเลยไม่มีอารมณ์กลัวสักเท่าไหร่ ผมเดินไปเรื่อยๆ สักพักหนึ่งสายตาผมเนี่ยมองไปข้างหน้าเห็นอะไรบางอย่างอยู่ข้างหน้าผม ห่างไปพอสมควรครับ ผมก็เพ่งมองดูว่ามันคืออะไร มันเหมือนอะไรขาวๆตั้งอยู่บนชายหาด ผมก็เลยคิดไปว่าคงเป็นก้อนหินบนชายหาดละมั้ง ผมก็ไม่พูดอะไร ยังเดินต่อไป ยิ่งเดินเข้าไปผมก็เห็นสิ่งนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มเห็นแล้วครับว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ก้อนหิน เป็นคนสองคนนั่งกอดเข่าตัวชิดกันอยู่บนชายหาด ผมก็เดินเข้าไปใกล้พวกเขาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นพวกเขาชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นว่าสองคนนี้เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ผู้หญิงเนี่ยผมยาว รูปร่างเล็ก ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ ส่วนผู้ชายตัวหนากว่า ผมสั้น ใส่เสื้อยืดสีเข้มๆ กางเกงยีนส์ ทั้งคู่นั่งกอดเข่าหน้ามองตรงไปที่ทะเลทั้งคู่
แล้วผมก็สังเกตเห็นอีกว่าตัวทั้งคู่เนี่ยเปียกน้ำ ตอนนั้นผมก็เริ่มเอะใจและเพราะตรงนั้นเนี่ยมันไม่มีแสงไฟ แต่ทำไมมานั่งกันทั้งๆที่ตัวเปียกน้ำอีก แล้วอีกอย่างนะครับธรรมชาติคนเราเนี่ยเวลานั่งกันอยู่เงียบๆสองคน ถ้ามีเสียงอะไรดังเข้ามาใกล้ก็จะต้องหันไปมองใช่ไหมครับ แต่คู่นี้เนี่ยไม่สนใจอะไรเลย ยังคงมองแต่ทะเล สองคนนี้เขานิ่งมาก ดูเขาไม่กระดุกกระดิกเลย ผมก็เอะใจแต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก ก็ไม่ได้ถามเพื่อนเกี่ยวกับสองคนตรงหน้าว่าทำไมท่าทางเขาแปลกๆ เพื่อนผมเองเขาก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับสองคนนี้นะครับ แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นครับ จังหวะที่ผมกับเพื่อนจะเดินผ่านหน้า 2 คนนี้ไป จู่ๆผมกับเพื่อนเนี่ยก็หยุดชะงักตรงหน้าเขาเลยครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงหยุดเดินกะทันหัน แล้วเพื่อนผมก็หยุดพร้อมผมด้วย ระยะห่างจากผมแล้วก็สองคนนี้แค่ช่วงแขนเองครับ พูดง่ายๆว่าผมเอื้อมมือไปแตะตัวเขาได้เลยครับ
จังหวะที่ผมและเพื่อนหยุดอยู่นี้นะครับ จู่ๆมันก็มีความรู้สึกให้หันมามองหน้าเขาสองคนนี้ ผมและเพื่อนก็หันไปมองหน้าคนสองคนนี้ครับผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าใบหน้าของสองคนนี้จะเละแล้วมีเลือดอาบอะไรอย่างนี้ ผมขอบอกว่าไม่ใช่เลยครับ เพราะใบหน้าทั้งสองคนนั้นขาวโพลน
ตา จมูก คิ้ว ปาก สิ่งเหล่านี้ไม่มีบนใบหน้าของทั้งคู่เลยครับ มีแต่ใบหน้าขาวโพลนที่เหมือนเอากระดาษขาวๆเนี่ยมาโปะหน้าไว้เลยครับ ผมเข้าใจคำว่าตกใจไปอยู่ที่ตาตุ่มก็วันนั้นเลยครับ ผมรู้สึกขนหัวลุกทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น สายตาผมก็ยังมองหน้าพวกเขาอยู่ ผมกับเพื่อนนิ่งไปอยู่ประมาณ 3-4 วินาทีได้ พอผมตั้งสติได้ผมหันหน้ามามองเพื่อนของผมซึ่งเขาก็หันมาทางผมพอดี ผมบอกกับเพื่อนว่า "เรากลับกันดีกว่า" แต่เพื่อนผมกลับตอบมาอีกอย่างทำเอาผมเครียดเลยครับ มันบอกว่า "กลับทำไม เดินต่ออีกหน่อยก็ได้" ผมพูดอะไรไม่ออกเลยครับ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจทำไมมันถึงพูดอย่างนั้น หรือเพราะมันไม่เห็นเหมือนผมก็ไม่รู้
ตอนนั้นเดินต่อไปไม่ไหวแล้วครับ ผมเลยหันหลังแล้วบอกเพื่อนว่า "งั้นเรากลับกันดีกว่า" ผมเดินกลับทันทีหลังจากพูดจบเลยครับ สักพักเพื่อนก็รีบก้าวเดินตามมา แล้วมันก็กระซิบบอกผมว่า "อย่าวิ่งนะ" เท่านั้นแหละเหมือนความกลัวผมโดนกระตุ้น ผมวิ่งสุดชีวิตเลยครับ เพื่อนผมมันก็วิ่งกวดตามผมมาเหมือนกัน พอพวกผมกลับมาถึงที่พักไอ้พวกเพื่อนผมเนี่ยมันก็ยังเมากันอยู่ครับ ผมกับหมีก็รีบไล่พวกนั้นเข้าบ้านด่วนเลย ก็ไล่อยู่นานเหมือนกันกว่าจะเอาเข้าบ้านได้ทุกคน เพื่อนๆมันก็ถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกับหมีก็เลยขอไปคุยกันก่อนเดี๋ยวออกมาเล่า ผมก็ปล่อยพวกเพื่อนให้รอที่ห้องรับแขก ส่วนผมกับหมีเนี่ยแยกไปในห้องคุยกันก่อนว่าเห็นตรงกันหรือเปล่า ซึ่งปรากฏว่าหมีเห็นเหมือนผมทุกอย่าง แต่หมีมันเล่าเพิ่มอีกว่า ตอนที่วิ่งเนี่ยมันหันหลังกลับไปมอง มันบอกว่าหันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว ผมช็อคมากครับ แล้วระหว่างที่อยู่ในห้องเนี่ยผมก็ไม่รู้ว่าลมพัดตามธรรมชาติหรืออะไร มีเสียงลมพัดจากนอกบังกะโลตลอดเลย แล้วก็มีเสียงใบไม้แห้งปลิวครับ ผมก็บอกหมีไปว่า "เรื่องที่ผู้ชายหายไปไม่
ต้องเล่าหรอก เดี๋ยวเพื่อนมันจะกลัวกัน" พอผมออกมาเล่าให้เพื่อนๆฟังเนี่ยทุกคนก็เชื่อครับแล้วก็กลัวกันมากถึงขั้นช่วยกันล็อคประตูบ้าน ล็อคหน้าต่างทุกบาน ปิดผ้าม่านหมดเลยครับ ลมก็ยังพัดอยู่เรื่อยๆ ยิ่งทำให้พวกผมน่ะกลัวเข้าไปอีกก็เลยนั่งโต้รุ่งกันจนถึงเช้าเลยครับ
8 โมงเช้าแล้ว เพื่อนผมมันขอให้ผมพาไปดูที่ที่เจอกันหน่อย ผมก็เลยพาไปดู รอยเท้าที่ผมวิ่งกันมาเนี่ยยังประทับอยู่บนชายหาดอยู่เลยครับ ผมก็เดินตามรอยเท้าไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ที่เจอกันครับ เชื่อไหมครับตรงนั้นถ้าเดินไปอีกก็เป็นป่าดงต้นมะพร้าวแล้ว แล้วข้างๆก็เป็นบังกะโลร้าง มีโซ่มัดตรวนหน้าประตู สภาพบังกะโลโทรมมากๆเหมือนปล่อยทิ้งไว้ไม่มีใครดูแลมานาน ผมไม่กล้าเดินเข้าไปดูบังกะโลนั้นใกล้ๆ ก็เลยชวนเพื่อนๆกลับ แล้วพวกเราก็เดินทางกลับกรุงเทพกันโดยที่ไม่ได้ถามประวัติตรงนั้นกันเลยครับ เพราะว่าผมรู้สึกว่าไม่กล้ายุ่งกับคนคู่นั้นอีกแล้ว
พี่พี่คงจะสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมไอ้หมีถึงเห็นผู้หญิงนั่งอยู่คนเดียว เพราะว่าพี่ผู้ชายคนนั้นเขาวิ่งตามพวกเรามาครับ
Post a Comment