มองผ่านช่อง


          เรื่องราวของคุณปอนที่เขาไม่ได้เจอมากับตัวเอง แต่เป็นเรื่องราวของน้าสาวที่ประสบเองและยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องจริง น้าสาวของปอนอาศัยอยู่คนละบ้านกับปอนเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อปี 2005 บ้านของน้าสาวอยู่กรุงเทพแต่ตอนนั้นน้าสาวไปอาศัยอยู่จังหวัดอยุธยาเป็นบ้านของญาติ เป็นจังหวะที่ลุงของน้าเสียชีวิตจึงมีการจัดงานศพ น้าจึงต้องเดินทางเข้าไปช่วยงานและนอนค้างที่นั่นเลย บ้านนั้นเป็นบ้านไม้ ชั้นยกใต้ถุนสูง ก็เหมือนกับบ้านต่างจังหวัดทั่วๆไป งานศพของลุงมีการสวดพระอภิธรรมศพเพียงแค่ 3 วันเนื่องจากไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์มาก ลุงของน้านั้นชื่อว่าลุงพจน์ ลุงพจน์เสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็คือว่าคุณลุงกำลังขับรถกลับบ้านแล้วเกิดหลับใน จนรถนั้นเสียหลักชนกับเสาไฟฟ้าจนร่างของลุงกระเด็นออกมาจากรถเสียชีวิตคาที่ น้าของปอนจึงได้เดินทางมาร่วมงาน แล้วก็อยู่ช่วยจนจบงาน

          ในส่วนของการช่วยงานนั้นวันแรกและวันที่ 2 ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี มีญาติพี่น้องมาร่วมในงานสวดพระอภิธรรมศพพอสมควร ทุกๆคนนั้นต่างก็แสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลุงพจน์ เพราะว่าลุงพจน์นั้นจะเป็นคนที่มีนิสัยตลกขบขันเป็นกันเอง และที่สำคัญก็คือลุงพจน์ขยันทำมาหากินมาก จนบางทีอาจทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่หรือว่าทรุดโทรมมากไป จนทำให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้ จนกระทั่งเข้าสู่คืนวันที่ 3 ก่อนเผาศพเหตุการณ์ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินไปตามปกติเช่นเดิม จนถึงเวลากลางคืนหลังจากงานศพเสร็จสิ้นแล้วก็กลับไปนอนที่บ้านงานก็คือบ้านของลุงพจน์นั่นเอง บ้านหลังนั้นนอนกันทั้งหมด 5 คน ก็คือเมียของลุงพจน์ น้า ลูกของลุงพจน์ และญาติผู้ชายอีก 2 คน ส่วนญาติที่เหลือนั้นก็นอนกันอยู่ที่บ้านใกล้ๆเพราะว่ามีบ้านที่ปลูกอยู่บริเวณนั้นเยอะพอสมควร

                  เวลาล่วงเลยเข้าสู่ตีสองกว่า น้าของปอนกำลังนอนอยู่ในมุ้ง ในมุ้งนั้นก็มีเมียของลุงแล้วก็ลูกของลุงนอนอยู่ด้วย ส่วนอีกมุ้งหนึ่งซึ่งอยู่ข้างกันก็เป็นญาติอีก 2 คนกำลังนอนอยู่ น้าของปอนลุกออกจากมุ้งเนื่องจากเกิดอาการปวดท้องเบาเป็นอย่างมาก แต่บ้านที่น้าอยู่นั้นห้องน้ำมีอยู่เฉพาะชั้นล่าง น้าเป็นคนที่กลัวผีมากก็ไม่ค่อยจะกล้าจะลงไป ในใจนั้นก็อยากจะปลุกใครไปเป็นเพื่อนด้วยแต่ก็เกรงใจ จึงตัดสินใจที่จะเดินออกมาห่างจากมุ้งซักประมาณหนึ่ง แล้วก็คิดว่าจะนั่งฉี่ผ่านร่องพื้นที่ปูด้วยไม้ ซึ่งพื้นนั้นมันจะมีระยะห่างของแผ่นไม้อยู่พอสมควรแล้วก็สามารถมองลอดไปเห็นไต้ถุนบ้านได้ พอน้าคิดแบบนั้นจึงนั่งลงเตรียมตัวที่จะฉี่ แต่ว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

                  น้าได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากทางหน้าบ้าน ลักษณะเสียงฝีเท้าที่ได้ยินนั้นเหมือนกับว่าคนที่เดินมากำลังเตะนั่นเตะนี่ หรือว่าสะดุดเศษขยะหรือไม่ก็กิ่งไม้ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คุณน้าตอนนั้นก็ไม่ได้ก้มไปมองเพราะคิดว่าจะแค่นั่งเฉยๆฉี่เสร็จก็จะไปเข้ามุ้งนอนต่อ แต่ว่าเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นนั้นก็ทำให้น้าต้องตัดสินใจมองลอดช่องลงไป สิ่งที่น้าเห็นก็คือรูปร่างของผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใต้ถุนบ้าน มือไม้นั้นเหมือนกำลังพยายามจะหยิบจับสิ่งของต่างๆ ชายคนนั้นเหมือนกับว่ากำลังจะหยิบฝาชี้ขึ้นเพื่อเปิดดูอาหาร เปิดดูตู้กับข้าว แล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว สิ่งที่น้าเห็นนั้นชัดเจนเพราะว่าได้เปิดไฟชั้นล่างทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน แล้วก็เพราะแสงไฟที่ทำให้น้านั้นเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนคือที่มาของความน่ากลัวจนน้านั้นขนลุกไปทั้งตัวตัว ในทุกๆอิริยาบทของชายคนนั้นตั้งแต่เดินเข้ามา หยิบจับนู่นนี่ ทุกอย่างที่น้าเห็น ชายคนนั้นไม่มีศีรษะ เป็นเหมือนกับคนที่หัวขาด ความรู้สึกของน้าตอนนั้นก็คือเหมือนกับคนกำลังจะเป็นลมสิ้นสติ แต่ว่าน้าก็ค่อยๆรวบรวมสติทั้งหมดแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งกลับเข้าไปอยู่ในมุ้ง โดยที่มีอาการสั่นไปทั้งตัวพร้อมกับความกลัวสุดขีด อีกอย่างก็คือน้านั้นไม่ทันได้ฉี่ก็เจอแบบนี้ซะแล้ว

                  พอเช้าวันต่อมาน้าก็ได้บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้กับญาติๆละเมียของลุงพจน์ได้ฟังว่าสิ่งที่เจอคือใคร น้าก็จำได้ถึงการแต่งตัวของชายหัวขาดคนนั้นว่าใส่กางเกงขายาว ใส่เสื้อลาย รองเท้าแตะ ก็เล่าไปทุกอย่างที่เห็น ทุกคนที่ได้ฟังก็เงียบและบางคนก็เริ่มจะร้องไห้ออกมา โดยเฉพาะเมียและลูกของลุงเพราะพวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าชายคนที่กลับบ้านมาเมื่อคืนนี้ ที่น้าของปอนได้เห็นผ่านช่องไม้กระดานก็คือลุงพจน์นั่นเองส่วนเรื่องที่ไม่เห็นหัว อันนี้ต้องบอกก่อนว่าสภาพศพของลุงคนนั้นช่วงคอของศพไม่ได้ขาดแต่ว่าเกือบๆจะขาด เป็นในเชิงเละมากกว่า เพราะว่าศพนั้นถูไปกับพื้นถนน

ไม่มีความคิดเห็น