ป่าช้าของหมู่บ้าน
วัยเด็กมักเป็นวัยที่พบเจอผีมากเช่นกัน เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นกับความพิศวง เรื่องของผีวิญญาณที่พวกเขาพบเจอ เมื่อพวกเขาชอบไปเที่ยวเล่นกันในป่าช้าของหมู่บ้าน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามรับชมรับฟังกันได้เลย
บิวนั้นเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ เกิดและโตอยู่ที่เชียงใหม่ ปัจจุบันนี้อายุ 21 ปีแล้ว ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดแต่ว่าขอย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นบิวเพิ่งจะอายุได้ 15 ปี บ้านที่บิวอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองออกไปพอสมควรในละแวกบ้านของบิวจะมีบ้านของเพื่อนบ้านปลุกตั้งอยู่ติดๆกัน ไม่มีรั้วกั้น ซอยทางเข้าบ้านของบิวก็จะอยู่ถัดจากซอยทางเข้าป่าช้าของหมู่บ้านถ้าเกิดว่าเกิดขึ้นไปยืนบนชั้นดาดฟ้าของบ้าน แล้วมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเห็นต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ในป่าช้า ซึ่งต้นไม้ต้นนี้มันมีมาก่อนที่บิวจะเกิดด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในชนบท ซึ่งข้างๆของป่าช้านั้นจะมีสนามฟุตบอลเล็กๆแล้วก็สนามตะกร้อให้พวกวัยรุ่นในหมู่บ้านได้มาออกกำลังกายเล่นกีฬากันในตอนช่วงเย็นๆ ดังนั้นใกล้ๆกับป่าช้าก็จะมีห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในงานฌาปนกิจศพ ในบริเวณห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาและโดยรอบป่าช้านั้นจะมีรั้วกั้น เพื่อป้องกันคนเข้ามาขโมยของในห้องเก็บอุปกรณ์
ตอนนั้น ในป่าช้ายังคงมีทั้งเมรุเผาศพแล้วก็เชิงตะกอน ซึ่งย่าของบิวก็เคยเล่าให้ฟังว่าการที่มีทั้งเมรุเผาศพและก็เชิงตะกอนแบบนี้นั้นไม่ดีเลย เพราะว่าเวลามีคนตายในหมู่บ้าน ก็มักจะมีคนตายพร้อมกันทีละ 2 คน เหมือนกับว่าต้องใช้ทั้งเมรุแล้วเชิงตะกอนไปพร้อมกันจริงๆแล้วก่อนหน้านี้ครึ่งปี ทางหมู่บ้านได้มีการสร้างเชิงตะกอนขึ้นมาใช้แทนเมรุ เนื่องจากว่าเมรุนั้นมีอายุการใช้งานมานานมากแล้ว
และอีกอย่างหนึ่งก็คือบริเวณด้านหลังของเมรุนั้นมีรอยร้าว ซึ่งบิวเคยได้ยินมาว่าเมรุที่ร้าวหรือว่าแตกนั้นมักจะเฮี ้ยนมาก ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน บิวจะไปออกกำลังกายที่สนามฟุตบอลข้างป่าช้าอยู่บ่อยๆ หรือไม่ก็ไปปั่นจักรยานกับเพื่อนๆ ก็เคยมีคนมาถามว่า "เล่นกีฬาแถวนั้นไม่กลัวผีกันบ้างหรอ" เนื่องจากมีเพื่อนๆไปเล่นกันเยอะ ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
และแล้วก็มีวันหนึ่ง เย็นวันนั้นหลังจากที่บิวและเพื่อนเล่นฟุตบอลกันไม่ได้สักพักก็รู้สึกเหนื่อย ก็เลยชวนกันออกไปปั่นจักรยานรับลงรอบๆป่าช้า เวลาขณะนั้นประมาณซัก 6 โมง พระอาทิตย์นั้นก็เริ่มจะตกดิน แต่ว่ายังคงมีแสงสว่างอยู่บ้าง และด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายวัยกำลังซน บิวและเพื่อนก็ปั่นจักรยานไปบริเวณด้านหลังของเมรุเผาศพ บิวก็ได้สังเกตเห็นด้านหลังของเมรุนั้นมีห้องน้ำเก่าๆตั้งอยู่
ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่ได้ใช้งานแล้วเพราะเห็นว่าทางหมู่บ้านได้มีการสร้างห้องน้ำใหม่พร้อมกับการสร้างเชิงตะกอนขึ้นมา แต่ว่าบิวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ปั่นจักรยานต่อไป แต่ว่าสิ่งที่ทำให้บิวสะดุดตาก็คือ ในระหว่างที่กำลังปั่นจักรยานออกมาจากหลังเมรุเพื่อที่จะไปให้ทันกับเป็นเพื่อนๆบิวเหลือบไปเห็นผู้ชายอ้วน หัวล้าน ใส่เสื้อกล้ามสีขาวหมองๆ แต่มองไม่ออกว่าใส่กางเกงสีอะไร เนื่องจากบิวเห็นเขานั่งอยู่ในห้องน้ำเก่า
ตอนนั้นก็ตกใจมาก บิวรีบปั่นจักรยานออกจากตรงนั้นอย่างเร็ว ใจนั้นเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เพื่อนของบิวเห็นบิวสีหน้าไม่ค่อยดีเลยถามว่า "เป็นอะไร สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย" บิวเลยบอกว่า "เห็นใครก็ไม่รู้ เดินอยู่ในห้องน้ำเก่าหลังเมรุ" เพื่อนๆหลายคนต่างก็หาว่าบิวอำบิวก็ยืนยันพร้อมกับบอกเพื่อนทุกคนว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เนื่องจากจำหน้าและลักษณะของผู้ชายคนนั้นได้ ในเวลาขณะนั้นยังไม่ถึงกับมืดสนิทเพื่อนๆรวมทั้งบิวทั้งหมด 6 คน ก็เลยตัดสินใจพากันเดินไปข้างหลังเมรุตรงจุดที่มีห้องน้ำเก่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งดูแล้วเขาไม่กลัวอะไรเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ ชะโงกหน้าเข้าไปดู แล้วก็ตะโกนออกมาว่า "ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่มีใครสักคนเดียว" และเพื่อนที่ยืนรออยู่ข้างๆบิวก็เลยรีบวิ่งเข้าไปดูบ้าง แล้วนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้บิวดูแล้วตกใจมาก คือว่าพื้นของห้องน้ำห้องนั้นมันเป็นหลุมลงไป มันไม่มีตรงไหนที่จะให้คนขึ้นไปยืนได้เลย แล้วคนที่บิวเห็นเป็นใคร
ตอนนั้นบิวเริ่มใจคอไม่ดี จึงขอตัวกลับบ้านก่อน คืนนั้นบิวไม่ได้เล่าให้ใครฟังเนื่องจากกลัว แล้วก็เครียดในสิ่งที่ตัวเองได้พบเห็นมานอนยังขวัญผวาทั้งคืน วันต่อมาเพื่อนของบิวก็ชวนกันไปเล่นฟุตบอลหลังป่าช้าอีก แต่ว่าวันนั้นบิวได้ชวนคุณปู่ไปด้วย ปู่ของบิวนั้นอยู่ชมรมปั่นจักรยานของผู้สูงอายุในหมู่บ้าน เลยชวนปู่ไปปั่นจักรยานกันดีกว่า เนื่องจากวันนั้นไม่มีอารมณ์จะเตะบอล ท้ายที่สุดบิวก็ได้เล่าเรื่อง
ที่พบเจอมาให้คุณปู่ฟังทั้งหมด ปู่จึงพูดกับบิวว่า "ตาไม่ได้ฝาดหรอก คนอื่นเค้าเคยเจอมาเยอะแล้ว สาเหตุที่ต้องสร้างห้องน้ำใหม่เนื่องจากว่าเคยมีคนแขวนคอตายที่ห้องน้ำเก่า ลักษณะก็คือเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างอ้วน หัวล้านๆ อย่างที่บิวเห็นเลย" แค่นั้นเองบิก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ แล้วหลังจากนั้นมาบิวก็แทบจะไม่กล้าเป็นเล่นที่ป่าช้าอีกเลย
วันเวลาล่วงผ่านไป จนกระทั่งวันหนึ่งเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เป็นช่วงหน้าหนาว ฟ้านั้นจะมืดเร็วกว่าปกติ ระหว่างที่ออกมาเล่นกับเพื่อนๆนั้น บิวก็ชวนเพื่อนกลับบ้านเพราะเห็นว่าฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ระหว่างที่ปั่นจักรยานออกมานั้น ติวสังเกตได้จากหางตาว่ามีคนคนกำลังวิ่ง ไม่ก็ออกกำลังกาย อยู่ด้านหลังของบิว แล้วก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "ปั่นไวไวหน่อยนะ วิ่งจะแซงแล้วนะ" ตอนนั้นบิวคิดว่า
น่าจะเป็นคนที่มาออกกำลังกายตามปกติ จึงได้หันกลับไปมอง ลักษณะของคนคนนั้นคือใส่หมวกสีฟ้าปิดหน้า ใส่เสื้อคล้ายกับเสื้อกันฝนแต่ว่ามองไม่เห็นปากของเขา บิวตกใจไปครู่หนึ่ง ได้สติก็เลยปั่นจักรยานเร็วขึ้น พอออกไปถึงปากซอยของป่าช้า บิวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับเพื่อนๆฟัง เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "ถ้าเป็นคนจริงๆ เดี๋ยวก็วิ่งออกมาเอง เพราะทางเข้าออกมันมีแค่ทางเดียว" ทุกคนก็เลยนั่งรอ
อยู่ที่ปากซอยซักพักนึง แต่ก็ไม่มีใครวิ่งออกมาเลย
บิวกับเพื่อนๆเลยตัดสินใจปั่นจักรยานกลับเข้าไปในป่าช้าอีกรอบ เพื่อมองหาคนคนนั้น แต่กลับไม่พบใครเลย ไม่มีคนใส่หมวกสีฟ้าปิดหน้า หรือว่าใส่ชุดเหมือนชุดกันฝน มีแค่ชายวัยรุ่นเตะบอลกันอยู่ 7-8 คนแค่นั้น บิวคิดขึ้นมาในใจว่า โดนอีกแล้วแน่ๆ ก็เลยรีบกลับบ้านไปเล่าไห้กับแม่ฟัง วันต่อมาแม่ก็เลยจัดของไปขอขมา เพราะคิดว่าบิวไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือว่าลบหลู่ด้วยความที่ไม่รู้ หลังจากนั้นมาบิวก็ไม่ได้ย่างก้าวเข้าไปที่ป่าช้าของหมู่บ้านอีกเลย เนื่องจากว่ายังกลัว เพราะเสียงที่บิวได้ยินในวันนั้นมันยังติดหูมาจนถึงทุกวันนี้
Post a Comment