บ้านตีเหล็ก ภาค 2
ต่อกันเลยครับเรื่องราวกำลังเข้มข้น
ตอนนั้นทุกคนต่างจิตใจไม่สงบกัน ความสนุกที่มีมาทั้งวันลดหายไปหมด คิดแค่ว่าอยากกลับบ้านกันอย่างเดียว ทุกคนจึงจำเป็นต้องข่มตานอน วันรุ่งขึ้นรถก็มารับกลับโรงแรม เมื่อมาถึงโรงแรม คุณนุชนอนจับไข้ทันที
คุณจิราจึงให้คุณกิ๊บอยู่เป็นเพื่อน แล้วเดี๋ยวตนเองกับคุณวิรุณจะออกไปเก็บข้อมูลในส่วนที่เหลือเอง เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น กะไว้ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่หมู่บ้านอื่นๆต่อ แต่มันเหมือนอะไรต่างๆก็ไม่เป็นใจไปเสียหมด ลงท้ายเลยต้องกลับมาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านอีกเช่นเคย
แต่กลับมาคราวนี้คุณจิรารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างมืดมน ห้องสนิมเขลอะห้องนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งน่ากลัว มีความรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรที่มันไม่ดีกำลังจะหลุดออกมา
ในตอนนั้น คุณจิราพยายามมองหาไอ้มนคนบ้าแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน จึงฝืนทำงานไปด้วยใจคอที่มันหดหู่ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกันงานเท่าใดนัก คิดแค่ว่าทำให้มันเสร็จๆแล้วจะได้กลับเสียที
แต่นับว่ายังดีที่มีคุณวิรุณมาเป็นเพื่อน เพราะคุณวิรุณเป็นคนที่ใจคอเข้มแข็ง และชอบให้กำลังใจเพื่อน จนเวลาเข้าช่วงเย็น คุณจิราคิดว่าข้อมูลที่ได้มามันก็มากพอควรแล้ว จึงมานั่งรอรถที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
แต่เหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง เมื่อโทรไปที่โรงแรม ปรากฏว่ารถเกิดเสียจนไม่สามารถเข้ามารับได้ คราวนี้คุณจิราเกิดมีน้ำโห บอกกับทางโรงแรมว่าจะไม่รอตอนเช้าอีกแล้ว เสร็จเมื่อไหร่ก็ให้รีบมารับทันที จะเป็นรถอะไรก็ช่าง
เมื่อวางสาย คุณจิรากับคุณวิรุณก็มานั่งดูข้อมูลไปพลางๆในขณะที่รอรถ ซึ่งนั่งกันอยู่หน้าชานระเบียงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่ในขณะที่กำลังนั่งดูข้อมูลกันอยู่ หูก็แว่วได้ยินเสียงที่คุ้นเคยลอยมาตามลม "ตุ๊บ..ตุ๊บ"
แต่คราวนี้มันเป็นเสียงทุบที่หนักแน่นและแรงกว่าที่เคยได้ยิน แถมมีเสียงเหมือนทุบเหล็กจนมันดังสนั่น คุณจิระกับคุณวิรุณตกใจรีบหันไปดู ปรากฏว่าเห็นไอ้มนเอาขวานสับไม้อันใหญ่ ทุบผนังห้องสนิมจนมันเหวอะเปิดออกเป็นรูกว้าง
แล้วกระหน่ำฟันแท่นปูนที่อยู่กลางห้องสนิมอย่างคนบ้าคลั่ง พวกชาวบ้านต่างก็กรูกันเข้ามาอีกครั้ง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ จนแท่นปูนมันแตกเป็นเสี่ยงๆ
คุณจิราและคุณวิรุณซึ่งไม่รู้ว่าจับพัดจับพูท่าไหน ได้มายืนอยู่วงในใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด เห็นของบางอย่างมันกระเทาะออกจากแท่นปูน มันดูเหมือนกระดาษเก่าๆ ปลิวมาอยู่แถวๆเท้าของคุณจิรา และมีขมวดเส้นผมกลุ่มใหญ่ที่เป็นสีแดง
ในวินาทีนั้น ไอ้มนเอามือโกยเส้นผมเหล่านั้นแล้วกอดมันไว้แนบอก พร้อมๆกับร้องไห้เหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตาย คุณจิราจึงหยิบกระดาษเก่าๆแผ่นนั้นขึ้นมาคลี้ดู มันเล็กพอๆกับกระดาษโพสอิท ในนั้นมีกลอนเล็กๆเขียนไว้ ซึ่งคุณจิราจำได้ขึ้นใจว่า
โนรีน้อย ลอยลม ชมแมกไม้ อิงเสียงคล้าย กังวาล ขับขานใส
เพลงมนต์พี่ ดั่งสรรัก ปักฤทัย ขอฝากฝัง กายใจ ให้เมืองมน
ในตอนนั้น คุณจิรารู้สึกเหมือนใจหล่บวูบลงจากที่สูง หนักหน่วงในใจจนอยากร้องไห้ และไม่รู้ว่าอะไรดลใจ คุณจิราค่อยๆย่อตัวลงข้างๆไอ้มน แล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆนี้ให้
สายตาของไอ้มนที่มองมาหาคุณจิรา มันเป็นสายตาของคนที่เศร้าศร้อยอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง แทบหาความเป็นคนไม่ได้เลยในแววตาที่มืดสนิทนั้น ไอ้มนค่อยๆยื่นมือมารับกระดาษที่คุณจิราให้ด้วยอาการที่สงบ แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็วิ่งหนีไปทางถนนใหญ่ หายเข้าไปในป่าข้างทาง
ท่ามกลางสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน ที่กำลังมองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก แล้วจับจ้องไปทางคนทำเสื่อที่เป็นแม่ของนางโนรี คุณจิราสังเกตได้ว่า ยายคนนั้นทำตาเหลือกโพลงจนดูน่ากลัว
เมื่อสถานการณ์สงบ ทุกคนจึงได้แยกย้าย คุณจิราและคุณวิรุณก็กลับมานั่งรอที่ห้อง แต่ในคืนนั้นไม่ได้มีการจัดงานกินเลี้ยง เวลาแค่เพียงทุ่มกว่าๆ ทุกคนต่างรีบปิดบ้านเงียบกันทุกหลัง
ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยสักคำ ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ มันสมควรจะต้องมีการพูดคุยโต้เถียงกันมากกว่าแยกย้ายกันปิดบ้านเงียบเช่นนี้ คิดได้เพียงแค่ว่า ทุกคนรู้เรื่องราวทั้งหมดดีอยู่แล้ว
คุณจิรารีบเก็บสัมภาระทุกอย่างมากองรวมๆกันไว้ กะว่าเมื่อรถมาถึงแล้วก็จะโยนขึ้นรถ แล้วรีบเปิดแนบออกจากที่นี่เลย ความกลัวความหวาดระแวงต่างๆวิ่งเข้าเล่นงานคุณจิราอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เพราะกลัวผีที่เจอมาเมื่อวาน
และด้วยความเพลียและความล้า ทั้งสองจึงเผลอหลับไป มารู้สึกตัวก็เวลาประมาณตีหนึ่ง เหมือนมีมือนุ่มๆเย็นๆมาจับเข้าทีปลายเท้าของคุณจิรา จากแสงจันทร์เดือนหงายที่มันแทรกความมืดลงมาผ่านหน้าต่าง
คุณจิราเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งคุเข่าอยู่ตรงหน้า มีผ้าคลุมศีรษะ ใบหน้าเห็นไม่ชัด เธอพูดกับคุณจิราเบาๆว่า "รถมาแล้วจ๊ะ รีบไปเถอะ" ในวินาทีนั้น คุณจิราไม่มีความคิดใดอื่นเลย นอกจากว่าจะต้องทำตามที่ผู้หญิงคนนี้พูด
จึงหันไปสะกิดคุณวิรุณให้ตื่น แล้วช่วยกับหยิบของขึ้นสะพายหลัง เดินตามผู้หญิงคนนั้นออกจากห้องด้วยฝีเท้าที่เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ไม่รู้เพราะอะไร แต่สัญชาตญาณมันร้องเตือนให้ทำแบบนี้
จนเดินมาถึงถนนใหญ่ แล้วข้ามฝั่งเข้าไปในวัด ผู้หญิงคนนั้นเธอตัวค่อนข้างสูง ใส่เสื่อผ้าสีหม่นๆ เดินนำหน้าโดยที่ไม่หันกลับมามอง เมื่อเดินลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงหลังวัด คุณจิราเห็นรถกระบะจอดแอบอยู่ในความมืด ใต้ต้นมะขามใหญ่ โดยลุงคนขับรถยืนชะเง้อมองมาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเป็นลุงคนเดียวกันกับที่มาส่ง
หญิงสาวที่เดินนำหน้าอยู่เธอหันกลับมาหาแล้วพูดว่า "ขึ้นรถไปได้แล้วจ๊ะ รีบไปเลยนะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว" คุณวิรุณกับคุณจิราจึงรีบกระโดดขึ้นรถทันที แล้วลุงก็รีบสตาร์ทรถแล้วขับออกมา
จังหวะที่รถเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม คุณจิราหันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เลือดในกายของคุณจิราเย็นเฉียบ เมื่อผู้หญิงคนนั้นค่อยๆดึงผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยคม แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ภายใต้เส้นผมยาวหยักศกสีแดง
ในขณะที่กำลังขับรถออกจากวัด ลุงคนขับถามคำถามแรกกับพวกคุณจิราว่า "แท่นปูนน่ะ แตกแล้วเหรอ" คุณจิราได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอึ้ง ถามกลับว่า "ลุงรู้ได้ไง" ลุงแกพูดขึ้นว่า "ลุงน่ะรู้มากกว่าที่พวกคุณรู้อีกเยอะ
คุณรู้มั้ย ที่ไอ้ข่าวคราวที่คนพวกนั้นมันบอกว่าแม่โนรีไปอยู่กับเสี่ย นั่นมันโกหกทั้งเพ แม่โนรีไม่ได้ไปไหน แม่โนรีอยู่ในกำแพงเหล็กนั่นแหละ" คุณจิรารู้สึกสะท้านขึ้นในอก ใจหายวูบวาบอยู่ตลอดเวลา ถามเสียงสั่นๆว่า "ทำไมเหรอลุง"
ลุงแกเริ่มเล่าว่า "ตอนนั้นลุงยังหนุ่มๆ อยู่ที่บ้านตีเหล็กเป็นลูกมือเค้า แม่โนรีน่ะ เค้ารักกับเมืองมน ลูกหมอขวัญ เค้ารักกันมาก ไอ้เมืองมนมันก็เทียวไล้เทียวขื่อมาหา มาสอนแต่งกลอน จีบกันไปจีบกันมา
รักกันมากขนาดที่แม่โนรีไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ไอ้เมืองมนมาสอนจนแม่โนรีแต่งกลอนได้เก่งมาก รักกันตั้งแต่เด็ก จนมาเกิดเรื่องเพราะไอ้เสี่ยสิบนั่นแหละ มันมาซื้อขายที่ดินกับผู้ใหญ่ แล้วมันเกิดติดใจในหน้าสวยๆของแม่โนรี
ก็เลยอยากได้เอาไปเป็นเมีย แต่แม่โนรีมันก็ไม่ยอม ก็มันมีรักของมันอยู่แล้วนิ ก็เลยยื้อยุดฉุดกระชากกันเป็นการใหญ่ ด่าทอกันเสียงดัง ไอ้เสี่ยมันก็เลยควักปืนยิงเปรี้ยงเข้าที่ท้องของแม่โนรีตายคาที่
พวกชาวบ้านมันก็กลัวไอ้เสี่ย ประกอบกับที่มันยัดเงินปิดปาก ทุกคนเลยช่วยกันทำลายศพ จับแม่โนรีถอดเสื้อผ้าชำแหละเนื้อหนัง แล้วเอาไปหลอมเข้ากับเหล็ก จนได้เหล็กแผ่นใหญ่มาหนึ่งแผ่น
แล้วเอาเสื้อผ้ากับกระดูกเผาไฟ จากนั้นก็เอาเส้นผมโบกปูนไว้ แล้วเอาแผ่นเหล็กที่หลอมได้มาทำเป็นผนังครอบแท่นปูน พร้อมกับขนอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะไปสุมไว้ในห้องนั้น แล้วเอาอาวุธปลุกเสกต่างๆวางไขว้เป็นตัวกากบาทบนแท่นปูน เพื่อปิดกั้นวิญญาณ"
แผ่นกระดาษที่คุณจิราเห็น คงจะเป็นกลอนที่ไอ้เมืองมนแต่งให้กับนางโนรี นางโนรีจึงม้วนไว้กับเส้นผมของตัวเอง เพราะคนสมัยก่อนมักจะชอบเก็บของสำคัญไว้ในใต้เส้นผม คุณจิราเข้าใจในทันทีว่าทำไมเมื่อไอ้มนเห็นต้มพะโล้แล้วต้องปัดทิ้งทันที คงเพราะไอ้มนเห็นขั้นตอนการทำลายศพทุกอย่าง
คุณวิรุณร้องถามเสียงแหลมว่า "เฮ้ย แล้วแม่เค้าไม่ทำอะไรเลยเหรอ แม่เค้าก็ยังอยู่นี่" ลุงแกพูดกระแทกเสียงว่า "แม่มันนั่นแหละ เป็นคนสับแขนสับขา เลาะหนังหัวมันด้วยมือตัวเอง มันไม่ได้รักลูกของมันเลย
ตอนอยู่ก็เอาแต่ด่า รังเกียจ หาว่าเป็นเสนียดติดท้องมัน มันเลยชำแหละลูกมันเอง แล้วได้เงินก้อนใหญ่จากเสี่ยมาปลูกบ้านใหม่ ตัวลุงเองก็อยู่ที่นั่นไม่ได้ ลุงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก ก็เลยหนีเตลิดออกมา ยอมเป็นเด็กอู่ในเมืองจนกลายมาเป็นคนขับรถทุกวันนี้"
เมื่อขับมาจนถึงทางยูเทิร์นเพื่อจะกลับเข้าเมือง พ้นยูเทิร์นแล้วจะต้องผ่านหน้าหมู่บ้านแห่งนั้น ในตอนนั้นคุณจิรารู้สึกใจหล่นวูบลงตาตุ่ม เพราะคุณจิราเห็นแสงคบใต้จากในหมู่บ้านหลายสิบดวง เหมือนคนในหมู่บ้านกำลังหาอะไรสักอย่างจนขวักไขว่ ณ ตอนนั้น คุณจิรามีความรู้สึกกลัวคนในหมู่บ้านมากกว่ากลัวผีเสียด้วยซ้ำ
จนกระทั่งกลับมาถึงโรงแรมในตัวเมือง ก็เจอคุณพ่อของคุณนุชนั่งรออยู่ในห้อง คุณพ่อของคุณนุชเล่าว่า รีบบึ่งมาจากกรุงเทพเลยเพราะฝันว่า เจอผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง มาบอกให้รีบกลับมารับลูก กำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี
รุ่นขึ้นมาทุกคนรีบกลับกรุงเทพทันที ซึ่งต้องล้มเลิกแผนข้างต้นที่ว่าจะต้องไปสำรวจอีกหมู่บ้านหนึ่งแถวชายแดนทันที เหตุกาณร์ที่คุณจิราได้ประสพพบเจอมา มันทำให้ได้แง่คิดที่ว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีก็คือ การได้เห็นคนด้วยกันเอง ฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายทารุน โดยที่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ถูกบิดเบือนความจริง ไม่มีสิทธิ์ทวงความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง กฏหมายทำอะไรไม่ได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
Post a Comment