บ้านตีเหล็ก ภาค 1
เรื่องราวสุดหลอนของคุณแป้ง ที่เพื่อนของเธอ เมื่อปี 2529 ในสมัยที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี 3 ศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยภาษาท้องถิ่น เธอได้ไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสระแก้ว เธอเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวสุดหลอน มีทั้งหมด สองตอนเราไปติดตามกันเลยครับ
และมีวิชาหนึ่ง ที่ต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล จึงตัดสินใจกันว่าจะไปที่จังหวัดสระแก้ว สมาชิกในกลุ่มมีทั้งหมดสี่คน คุณจิรา คุณกิ๊บ คุณนุช และคุณวิรุณ โดยพ่อของคุณนุชอาสาจะไปส่งทั้งสี่คนเอง
ทุกคนออกเดินทางในเวลาตีห้า ถึงที่หมายในเวลาสายๆ ช่วงนั้นตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี ก็เข้าไปเช็คอินโรงแรม และพักผ่อนกันอยู่ที่นี่หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็ได้ว่าจ้างรถกระบะของโรงแรมหนึ่งคัน
และมีการวางแผนกันว่า จะไปเก็บข้อมูลพื้นที่กันในสองเขตใหญ่ๆ นั่นก็คืออำเภอที่ติดกับชายแดน ที่มีตลาดที่ทุกคนรู้จักกันดี อีกที่คืออำเภอใกล้ๆกัน โดยตกลงกันว่าจะเข้าไปในอำเภอที่อยู่ใกล้ๆก่อน เมื่อเสร็จแล้วค่อยไปอำเภอที่อยู่ติดกับชายแดน จะได้แวะเที่ยวซื้อของแล้วกลับ
จุดแรกที่ลงสำรวจคือวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ในอำเภอ ช่วงนั้นมีงานบุญพอดี ทุกคนจึงได้เข้าไปไหว้พระและเก็บข้อมูลกันอยู่ประมาณสองชั่วโมง จากนั้นก็จะย้ายไปเก็บข้อมูลกับชาวบ้านในระแวกนั้นต่อ
คนในกลุ่มจึงบอกกับคนขับรถว่า "ลุง เดี๋ยวพวกเราจะไปเก็บข้อมูลตรงหมู่บ้านข้างหน้าเนี่ยสักสองสาวชั่วโมง ลุงกลับไปก่อนก็ได้ แล้วบ่ายสี่โมงค่อยมารับพวกเราในหมู่บ้านนี้นะ" แล้วก็ชี้มือไปยังจุดนัดพบ
ในสมัยนั้น มือถือพกพาเครื่องละเป็นแสน การสื่นสารทางไกลยังไม่สดวกสบายเท่าทุกวันนี้ จึงต้องนัดแนะกันให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เมื่อนัดกับเรียบร้อยแล้วก็ได้แยกย้ายกันไปทำงานต่อ
กลุ่มคุณจิราเดินข้ามถนนจากฝั่งวัดเข้าไปในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าเป็นชุมชนในพื้นที่ขนาดใหญ่ เดินตรงเข้าไปตามถนนจะเจอบ้านของผู้ใหญ่บ้าน และเป็นที่ทำการของหมู่บ้านไปในตัว ซึ่งหลังใหญ่พอสมควร
ถัดเข้าไปอีกสามถึงสี่หลังจะเป็นบ้านที่ผลิตพวกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับงานหัตถกรรมทั้งหมด หลังถัดไปจะเป็นบ้านตีเหล็ก ทำเกี่ยวกับพวกเครื่องมือเหล็ก ถัดเข้าไปอีกจะเป็นบ้านช่างไม้
เมื่อคุณจิราเห็นก็ลูบปากหวานหมู คิดในใจว่าได้แหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ไม่ต้องไปที่ไหนไกล และที่สำคัญคนในหมู่บ้านค่อนข้างอัธยาศัยดี เพียงแค่เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็พากันออกมาต้อนรับ โดยมีผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาทักทายด้วย
ทางกลุ่มสำรวจจึงขออนุญาตเก็บข้อมูลกันแบบจัดเต็ม จนเวลาล่วงเข้าถึงช่วงเที่ยงวัน ผู้ใหญ่บ้านจึงเรียกกลุ่มของคุณจิราเข้าไปทานข้าว โดยได้ต้มพะโล้หมูเป็นหม้อใหญ่ๆไว้ให้ จึงได้ตั้งวงกันตรงชานบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านก็ได้เรียกชาวบ้านที่อยู่ในระแวกนั้นมาตักไปแบ่งกันทาน คุณจิราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่ดูน่ารักกันดี และในขณะที่กำลังนั่งทานกันอยู่เพลินๆ มีผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะตัวสูง ผมกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คาดการอายุไม่ได้ เดินดุ่มๆเข้ามาในหมู่บ้าน
แล้วมานั่งลงตรงบันไดบ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆกับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน คุณจิราสังเกตเห็นว่า ในมือของผู้ชายคนนั้นถือซากกบที่โดนรถทับตายเอาไว้อยู่ ผู้ใหญ่บ้านเหมือนจะจับอาการของกลุ่มคุณจิราได้ว่ากำลังสนใจผู้ชายคนนั้นอยู่
แกจึงพูดปนขำๆว่า "อ๋ออ ไอ้นี่มันชื่อไอ้เมืองมน ไอ้เมืองมนคนผีบ้า มันเคยเป็นลูกชายของหมอขวัญแถววัดใกล้ๆเนี่ย แต่ก่อนเนี๊ยะนะมันก็ดีๆอยู่นั่นแหละ หน้าตาหล่อเหลา มันเป็นนักเลงกลอน
มันเคยชอบพออยู่กับอีนางโนรี นางโนรีมันเป็นลูกสาวของป้าคล้าย คนทำเสื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะแหละ มันเป็นวัยรุ่นอะเนอะ ก็เลยมาติดตาต้องใจกับอีนางโนรี สุดท้ายก็อกหักรักคุด
เพราะมีนายหน้าค้าที่ดิน ชื่อเสี่ยสิบ เค้ามาทำธุระซื้อขายอยู่แถวๆเนี่ย บังเอิญมาติดตาต้องใจอีนางโนรี สุดท้ายก็ลงเอยด้วยกัน พาอีนางโนรีหอบข้าวหอบของไปอยู่ด้วยกัน มันคงกลายเป็นคุณนายสบายไปและ ไอ้เมืองมนมันคงเฮิด เสียอกเสียใจหนัก เลยเพี้ยนเป็นบ้าเป็นบอไป"
คุณจิราที่ช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องรักๆใคร่ๆของชาวบ้านเค้า ก็เลยเอามาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก คุณนุชพูดขึ้นว่า "แหมม ถึงขั้นทำผู้ชายอกหักจนเสียผู้เสียคนอย่างเงี๊ย สงสัยจะสวยน่าดูนะแม่โนรีคนเนี๊ยะ"
เมียของผู้ใหญ่บ้านแกก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "โอ๊ย มันน่ะหน้าตาพิลึก แปลกกว่าชาวบ้าน" ด้วยความสงสัย คุณนุชจึงถามว่า "อ่าวแปลกยังไงอ่ะคะ" เมียผู้ใหญ่พูดต่อว่า "ตัวมันสูง แขนขายาว ผมมันแดงเลยนะ ตาเหลืองๆ ผิวซีดๆ มีกระลายๆออกเต็มหน้า"
คุณจิราได้ฟังก็พูดขึ้นว่า "เฮ้ย นี่มันหน้าตาของพวกฝรั่งนะ เค้าเป็นลูกฝรั่งของคะ" เมียผู้ใหญ่ก็ตอบว่า "ยายคล้ายแม่มันอ่ะ ย้ายมาจากสัตหีบนานแล้ว ตอนมาที่นี่ก็อุ้มท้องยายโนรีอยู่ ตอนแรกบ้านยายคล้ายมีตาพุ่มอยู่ด้วย จนนางโนรีมันเกิดได้ปีนึง ตาพุ่มก็ตาย ย้ายคล้ายเลยอยู่เลี้ยงลูกกันสองคน หาของป่าขายตามสภาพ จนนางโนรีมันได้ผัวเป็นเสี่ยน่ะแหละ เลยมีเงินปลูกบ้านใหม่"
เมื่อฟังๆกันอยู่ คุณจิราก็เห็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่บ้านตีเหล็ก ตักเอาต้มขาหมูใส่ถ้วย แล้วเดินเอาไปให้ผู้ชายที่เสียสติ เมื่อไอ้มนคนผีบ้าเห็นชามขาหมู อยู่ดีๆก็ร้องเหมือนคนบ้าคลั่ง ปัดจานหกเลอะเทอะ ร้องห่มร้องไห้ แล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในห้องๆหนึ่ง
ซึ่งดูแล้วคล้ายกับว่าเป็นห้องที่เอาไว้เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ พวกผู้ชายต่างก็วิ่งจะไปจับ เพราะกลัวว่าจะคลั่งจนทำร้ายคนเอา คุณวิรุณ เป็นหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเลยออกจะห้าวๆหน่อย วิ่งจะไปช่วยเค้าจับด้วยอีกคน
จึงได้เห็นว่าไอ้มนไปนั่งขดตัวร้องไห้อยู่ในห้องๆนั้น ลักษณะห้องคล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สนิมจับเขลอะเป็นตะปุ่มตะป่ํา สีแดงเข้มออกน้ำตาลแลดูคล้ายกับว่ามันฉาบไปด้วยเลือด มองจากด้านนอกคล้ายกับเอาแผ่นเหล็กขนาดใหญ่มาก่อครอบพื้นดินทำเป็นห้อง โดยที่ไม่ได้ปูพื้น
ด้านในมีแต่พวกเครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างที่ทำขึ้นจากเหล็กกองสุมๆกันไว้ ตรงกลางห้องมีการก่อปูนขึ้นมาเล็กๆ ขนาดประมาณหนึ่งคูณหนึ่งเมตร สูงระดับตาตุ่ม มีอาวุธจำพวกมีด กริด ดาบ วางไขว้ทับอยู่บนแผ่นปูนเป็นตัวกากบาท
ด้วยความที่คุณวิรุณเป็นหนุ่มยุคใหม่ สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องแปลก แกก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด คิดแค่ว่าเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ธรรมดา เมื่อเหตุการณ์สงบลงจึงได้เดินออกมา ปล่อยให้ไอ้มนนั่งร้องไห้อยู่ภายในห้องนั้นคนเดียว
เมื่อเก็บข้อมูลเสร็จแล้วเวลาก็จวนเจียนจะสี่โมง ทุกคนจึงได้มานั่งรอรถที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่เมื่อนั่งรอจนเวลาย่างเข้าหกโมงเย็นก็ยังไม่มีใครมารับ ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ยืมใช้โทรศัพท์
คุณวิรุนจึงขึ้นบ้านไปหมุนเบอร์โทรศัพท์ไปหาทางโรงแรม ปรากฏว่ารถที่จะมารับเกิดเสีย ต้องใช้เวลาซ่อมนานพอสมควร เดี๋ยวจะให้รถอีกคันออกไปรับก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะตกลงกับทางปลายสาย ผู้ใหญ่บ้านจึงชวนให้ค้างที่นี่กันสักคืนก่อน
เพราะที่นี่อยู่ห่างจากโรงแรมที่พักประมาณสามสิบกิโลเมตร และคืนนี้ที่หมู่บ้านมีงานกินเลี้ยงกันด้วย เมื่อทุกคนได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้นอยากรู้อยากลองชิมบรรยากาศที่นี่ดู จึงบอกกับทางโรงแรมว่าให้มารับพรุ่งนี้เช้าแทน
เมื่อเข้าช่วงกลางคืน ก็มีชาวบ้านหลายคนเดินมาปิ้งย่างกันที่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นงานกินเลี้ยงขนาดย่อมๆ จนเวลาล่วงเข้าสามทุ่มจึงได้แยกย้ายกันเข้าบ้าน โดยเมียของผู้ใหญ่บ้านได้จัดห้องให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆกับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน
จนถึงช่วงดึก หมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบสงบจนน่าขนลุก แต่ในความเงียบนั้น หูของคุณจิราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง "ตุ๊บ..ตุ๊บ" คล้ายคนเอาค้อนทุบกับปูนจากที่ไกลๆ เสียงที่ว่านี้ดังอยู่นานมาก จนคุณจิราผลอยหลับไป
มาตื่นปวดเบาเอาตอนกลางดึก คุณจิรารู้สึกลำบากใจมาก เพราะห้องน้ำมันตั้งอยู่นอกตัวบ้าน และด้านนอกมันทั้งมืดและก็เย็นมาก จึงสะกิดคุณนุชที่นอนอยู่ข้างๆกันให้ไปเป็นเพื่อน เมื่อทั้งสองเดินออกมานอกบ้าน เสียงทุบอะไรสักอย่างมันยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง "ตุ๊บ..ตุ๊บ"
คุณจิรากับคุณนุชเดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปยังห้องน้ำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตรได้ ลมเย็นโชยมาปะทะร่างกายจนหนาวสั่น ไม่เพียงแค่นั้น ลมมันยังหอบเอาเสียงปริศนาลอยตามมาด้วย "ตุ๊บ..ตุ๊บ"
สองสาวได้ยินอย่างถนัดชัดเจน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากถามอะไรกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง กลัวว่าความอยากรู้อยากเห็นจนเกินพอดีจะนำความหายนะมาสู่ตน ทางไปห้องน้ำจะต้องผ่านห้องสนิมเขลอะห้องนั้นด้วย
มันดูน่ากลัวกว่าตอนกลางวันมาก ตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่มีแต่สนิมสีเลือดจับเขลอะ คุณจิราได้แต่คิดในใจว่าทำไมไม่หาอะไรมาคลุมเอาไว้ หรือรื้อๆมันทิ้งแล้วทำใหม่ให้มันดีกว่านี้หน่อย
เมื่อไปถึงห้องน้ำและเสร็จธุระ ทั้งสองก็เดินกลับมาทางเดิม แต่เมื่อเดินมาถึงห้องสนิม คุณจิระกับคุณนุชสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแถวๆผนังห้อง เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ปรากฏว่าเห็นเป็นใบหน้าคนขนาดใหญ่กว่าปกติสองถึงสามเท่า เบียดผนังห้องสนิมจนผนังมันยื่นออกมาเป็นรูปหน้าคน
ซึ่งใบหน้ามันเป็นเนื้อเดียวกับแผ่นสนิมสีเลือดที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ อ้าปากกว้างและส่ายหน้าไปมาเหมือนกำลังทรมาน จังหวะนั้นคุณจิรากับคุณนุชช็อคจนตัวแข็งยืนขาตายสนิท แต่ก็ต้องตกใจจนผวา
เพราะไอ้มนคนบ้ามันวิ่งพรวดออกมาจากห้องสนิม พร้อมๆกับหัวเราะร่าไปด้วยแล้วหายไปในความมืดบนถนน คุณจิราพยายามกรีดเสียงร้องออกมา แต่เสียงมันกลับอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น ส่วนคุณนุชตอนนี้เป็นลมล้มกองอยู่กับพื้น
จนคุณจิรารวบรวมแรงเฮียกสุดท้าย กรีดเสียงร้องออกมาดังลั่น จนชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านวิ่งเข้ามาดูกันพัลวัน แล้วรีบอุ้มคุณนุชขึ้นบ้านเพื่อไปปฐมพยาบาล ตอนนั้นคุณจิรายังคงควบคุมตัวเองไม่ได้ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด เพื่อนๆจึงเข้ามาช่วยกันปลอบ
เวลาผ่านไปสักพัก คุณนุชก็ฟื้นขึ้นมา แต่ทุกคนก็คะยั้นคะยอให้คุณนุชหลับต่อ เพราะห่วงเรื่องสุขภาพอยากให้พักผ่อนเสียมากกว่า คุณจิราจึงเล่าในสิ่งที่เห็นให้ทุกคนฟัง
และทันทีที่เล่าจบ ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านที่ล้อมวงกันอยู่ต่างหน้าถอดสีไปตามๆกัน เอาแต่มองหน้ากันเลิกลั่ก สักพักหนึ่ง ลุงที่อยู่บ้านตีเหล็กก็พูดขึ้นว่า "โอ้ย ก็ไอ้เมืองมนมันเลี้ยงผี มันอกหักจากอีโนรีไง เลยไปฝักไฝ่ในวิชาเดรัจฉาน มันคงหวังลมๆแล้งๆละมั้ง ว่าอีโนรีจะกลับมาหามันน่ะ ของก็เลยเข้าตัวมัน มันก็เลยเป็นบ้า!!"
คุณจิราฟังจากน้ำเสียงของช่างตีเหล็กที่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ เพราะตนที่พบเจอเรื่องนี้มากับตัว รู้ซึ้งว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
ลุงช่างตีเหล็กก็พูดต่อไปอีกว่า "ทุกวันนี้นะ มันชอบเอาซากกบซากหนูตายเข้าไปกินในห้องสนิมนั่นน่ะ ของดีๆของอร่อยๆให้ไปเท่าไหร่ก็ไม่กิน" สักพักผู้ใหญ่บ้านเห็นว่าลุงชักจะพูดอะไรมากเกินไป กลัวว่าจะสนุกปากจนหลุดอะไรไม่สมควรออกมา จึงได้เหลือบตาไปมองเป็นเชิงว่าให้เงียบสักที
แล้วแกก็พูดเสียงขรึมๆว่า "จะห้ามมันก็ไม่ได้อ่ะหนู มันไปๆมาๆ หนีไวเหมือนลิงเหมือนค่าง แล้วมันก็ชอบมาทำพิธีอะไรของมันทุกคืน ปกติคนที่นี่ไม่เคยเจออะไรเลยนะ แต่พวกหนูคงจิตอ่อนและเป็นคนแปลกที่ก็เลยเจอ งั้นพักเถอะ คืนนี้จุดไฟนอนกันหมดนี่แหละ พรุ่งนี้จะว่าไงค่อยว่ากัน"
Post a Comment