เรื่องหลอนนั่งห้าง ภาค3
ภาคจบของเรื่องไตรภาค เรื่องหลอนนั่งห้าง มาถึงตอนจบแล้วไปติดตามกันเลย
จนสองทุ่มเข้าไปแล้ว ป่ายังคงมีเสียงสรรพสัตว์เป็นปกติ นอกจากจิ้งหรีดและกบเขียดที่ระงมไม่ขาดแล้ว นกเค้าก็ร้องกู้หุหุอยู่หลายตัว ป่ายังไม่สงัดผิดปกติ แสดงว่าเสือร้ายยังไม่เข้ามาใกล้ครูแดงล้วงขนมเปี๊ยะในย่ามออกมา ส่งให้ลุงนาคกินคนละครึ่ง นั่งเคี้ยวเงียบๆ หมดแล้วก็ตามด้วยน้ำคนละอึก ตลอดเวลา กลิ่นคาวเลือดของศพยังโชยมาเป็นระยะๆ และยิ่งเวลาเนิ่นนานออกไป ดูเหมือนกลิ่นจะแรงขึ้นเรื่อยๆ
ครูแดงนึกในด้านดีว่ายิ่งกลิ่นศพแรงเท่าไหร่ มันจะเป็นตัวเร่งให้เสือเข้ามากินเร็วเท่านั้น เกือบสามทุ่ม ป่ายังเต็มไปด้วยเสียงแมลงและนกกลางคืน ทั้งนกตบยุงและนกระวังไพร ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงนกระวังไพรร้อง ลุงนาคกระซิบเบาๆว่า "สงสัยเสือกำลังจะเข้า แต่มันยังร้องอยู่อีกนาน เลยไม่มีวี่แววของเสือจะเข้าจริง"
ดินฟ้าทางตะวันออก เริ่มสว่างเรืองขึ้นมานิดหน่อย คืนนี้เป็นคืนเดือนแรมหกค่ำ กว่าพระจันทร์จะขึ้นคงจะถึงเที่ยงคืน ครูแดงนั่งเพ่งสายตาฝ่าความมืดเข้าไปที่ศพ ทุกครั้งที่มีเสียงกรอบแกรบของสัตว์เลื้อยคลาน แต่ยังไม่มีวี่แววของสัตว์ที่ใหญ่กว่านั้น
นั่งจ้องนานไป บางครั้งสายตาก็หลอกตัวเอง เพราะมันดูเหมือนศพที่นอนตะคุ่มอยู่ในความมืดนั้น ขยับเขยื้อนได้ บางครั้งไม่แน่ใจจนต้องขยี้ตา แต่ดูไปดูมามันก็ยังตะคุ่มอยู่ที่เดิม นึกอิจฉาลุงนาคที่นั่งหันหลังให้ศพ ไม่ต้องมานั่งเพ่งจนประสาทหลอนอย่างตัวเอง
กลิ่นดอกไม้ป่าชนิดนึงหอมเอียนๆ โชยมาผสมกลิ่นคาวฉุนเฉียวของศพ ทำให้บรรยากาศรอบตัววังเวงยิ่งขึ้น ใกล้สี่ทุ่ม หมาในสองสามตัวหอนแว่วมาจากทางด้านเชิงเขา ครูแดงนึกภาวนา อย่าให้มันเข้ามายุ่งแถวนี้เลย เพราะถ้าเจอหมาหิวเข้า ศพแค่นี้ก็คงไม่พอมันทึ้ง ถ้ามันเข้ามาจริงคงต้องยิงไล่ นั่นเท่ากับเป็นการไล่เสือไปให้พ้น โอกาสที่หวังไว้ก็ต้องหมดสิ้นไปอย่างช่วยไม่ได้
ใกล้ห้าทุ่ม ยังไม่มีวี่แววของเสือตัวนั้นจะเข้ามากินเหยื่อ ท้องฟ้าตะวันออก ที่เริ่มจะสว่างเรืองก่อนหน้านี้ แทนที่จะสว่างมากขึ้น เพราะใกล้เวลาที่พระจัทร์แรมจะขึ้นแล้ว แต่ขณะนี้กลับมืดสนิท แถมมีแสงฟ้าแลบแปล๊บปราบเป็นทางยาวขึ้นมาที่ขอบฟ้า อากาศที่เริ่มจะเยือกเย็นลง อันเป็นปกติธรรมดาของพื้นที่ป่าเช่นนี้ บัดนี้ กลับเริ่มจะอบอ้าวขึ้น ลมที่เย็นพัดโชยเป็นระยะหยุดนิ่ง จนเหงื่อเริ่มซึมแผ่นหลัง
ลุงนาคกระซิบเบาๆว่า "ฝนทำท่าจะตกเสียแล้วครู" ครูแดงกระซิบตอบเหมือนปลงตกว่า "ตกก็ตกไป เราไปไหนไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องนั่งจนสว่าง" ใครก็ตามที่ออกไปนั่งห้างกลางป่าแล้ว ต่อให้มีเรื่องราวแปลกพิศดารอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องทนนั่งจนสว่างเท่านั้น
มีเหมือนกัน ที่บางคนเกิดลงจากห้างกลางดึก และก็ต้องพบกับเหตุไม่คาดคิด จนถึงแก่ชีวิตไปก็ไม่น้อย สิ่งที่วิตกกันอยู่ ทำถ้าจะใกล้เป็นจริงขึ้นทุกที อากาศอบอ้าวจนร้อน ท้องฟ้าดำมืดแลบถี่ขึ้น ยิ่งลมไม่พัด ครูแดงยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นศพรุนแรงขึ้นกว่าเก่า
นี่ขนาดตายได้วันเดียว กลิ่นยังแรงขนาดนี้ อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าการนั่งคืนนี้ล้มเหลว คืนพรุ่งนี้ต้องนั่งต่อ ท่ามกลางกลิ่นฉุนเฉียวน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ จะทรมานแค่ไหน ลำพังแค่ได้นั่งอยู่ใกล้ๆศพ ที่ขึ้นชื่อว่าผีตายโหง ตายด้วยความเจ็บปวด พร้อมด้วยบาดแผลอันยับเยิน นึกถึงใบหน้าศพที่เห็นเมื่อก่อนค่ำ ทั้งบูดเบี้ยวเหยเก ปากที่เปรอะเปื้อนดินอ้าค้าง ตาถลนด้วยความตกใจและเจ็บปวดก่อนวิญญาณจะออกจากร่าง ล้วนเป็นภาพที่ดูแล้วติดตา ไม่ยอมลบหายไปง่ายๆ
ยิ่งต้องมานั่งหลบอยู่ในความมืดเพียงสองคนเช่นนี้ รอบตัวคือป่าเปลี่ยวเงียบสงัด ซ้ำยังมีเสียงหมาในหอนแว่วมาไกลๆ ไหนจะระแวงว่าเสือร้ายจะเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ยังจะต้องมาระวังว่ามันอาจไม่ต้องการกินซากเหยื่อนั่น แต่ต้องการจะกินเหยื่อสดขึ้นมา จะทำอย่างไร
มืดมิดอย่างนี้ กว่าจะรู้เมื่อมันฮั่วเข้ามา ก็คงจะถึงตัวแล้ว ครูแดงนึกแล้วอดดีใจไม่ได้ ที่ลุงนาคตกลงมานั่งเป็นเพื่อน ถ้านั่งอยู่คนเดียวในความมืดและบรรยากาศน่าวังเวง ความรู้สึกคงจะแย่ไปกว่านี้ไม่น้อย สองคนอย่างไรก็ยังอุ่นใจ
แม้ปกติจะไม่ใช่คนที่กลัวผี แต่ความมืดกับความเงียบและบรรยากาศอย่างนี้ บางทีประสาทก็หลอกตัวเองได้ง่ายๆ แล้วสิ่งที่กังวลก็เป็นความจริง เมื่อลมที่นิ่งเงียบไปนานเริ่มพัดกระโชกมาและรุนแรงขึ้น จนกิ่งไม้ที่นำมาสระไว้ปลิวหลุดหายไปหลายชิ้น
ฟ้าแลบแปล๊บปราบอยู่ตรงหัว ครูแดงภาวนาว่าลมแรงอย่างนี้ ฝนน่าจะไม่ตก แต่เหมือนฟ้าดินจะแกล้ง เพราะไม่ถึงเที่ยงคืน ฝนหลงฤดูก็เทกระหน่ำลงมาราวฟ้ารั่ว สองคนทำอะไรไม่ได้ ต้องนั่งจับเข่าฟันกระทบกันด้วยความหนาวอยู่อย่างนั้น
ฝนหยุดเอาเมื่อฟ้าใกล้สาง และเมื่อทั้งสองคนโดดลงจากก้อนหินที่นั่งเมื่อยขบมาทั้งคืน ครูนาคก็ส่งเสียงลั่นขึ้นด้วยความตกใจ "ครูมาดูนี่เร็ว ไอ้ลายมันเข้ามากินศพซะเละเลย" อากาศเย็นชื้นสลัวไปด้วยหมอกฝน ท้องฟ้าเริ่มเปล่งแสงเรื่อมาทีละน้อย พื้นหญ้าที่ปกคลุมดินลูกรังปนหินเปียกชุ่ม เสียงนกกาเหว่าร้องก้องหุบเขา ติดตามมาด้วยกระปูดและโพระดกเป็นฝูง
ครูแดงวิ่งตามลุงนาคที่ยืนนิ่งอยู่ เบื้องหน้า สิ่งซึ่งเมื่อวานนี้ ยังมีสภาพเป็นศพที่เกือบจะสมบูรณ์ ทว่าบัดนี้ มันคือกองเนื้อเน่ากระจัดกระจาย กลิ่นซึ่งเมื่อวานยังเป็นกลิ่นคาวเลือด ขณะนี้มันกลายเป็นกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง
บนพื้นดินลูกรังที่หญ้าปกคลุมไม่มิด มีรอยเท้าเสือขนาดใหญ่ย่ำไว้ให้เห็นชัดเจน รอยเท้ามันนอนหมอบแทะซากศพกินอย่างใจเย็น เหมือนไม่สนใจมนุษย์ถึงสองคนที่นั่งซุ่มอยู่ไม่ห่าง
ครูแดงเงยหน้าจากศพ หันไปมองดูจุดที่นั่งกันอยู่บนก้อนหิน ระยะห่างขนาดนี้ ถ้าฝนไม่ตกหนักก็ต้องได้ยินเสียงแน่นอน เสือตัวนี้แปลกที่สุดเท่าที่เคยเที่ยวป่ามาด้วยตัวเอง และฟังคำบอกเล่าของพรานเก่าๆมานับไม่ถ้วน
ไม่เคยได้ยินว่า มีเสือตัวไหนนอนกินเหยื่อท่ามกลางสายฝน แม้มันจะเป็นสัตว์ชอบน้ำก็ตาม ที่น่าแปลกขึ้นไปอีกก็คือ ศพหญิงสาวโดนแทะกินจนจำสภาพไม่ได้ แต่ส่วนหัวยังคงปกติ เพียงแต่หงายขึ้นมา ผิดกับเมื่อวานที่ตะแคงอยู่ ใบหน้าที่น่ากลัวอยู่แล้ว บัดนี้เขียวช้ำ ตาที่เหลือกโพรงปูดถลนออกมานอกเบ้า แขนทั้งสองข้างยังอยู่ครบ ไอ้ลายมันกัดกินตั้งแต่อกลงไป ตลอดจนส่วนท้องที่ยังมีเศษลำไส้เลี่ยลาด นอกจากสะโพกตรงก้นที่โดนกัดแหว่งตั้งแต่เมื่อวาน ท่อนขายังอยู่เกือบครบ ลุงนาคถ่มน้ำลายแล้วปรารภเบาๆว่า
ลุงนาค : สงสัยจะไม่ใช่เสือธรรมดาเสียแล้วครู
ครูแดง : ทำไมรึลุง มันก็เสือกินคนที่ฉลาดตัวนึงเท่านั้น
ลุงนาค : ครูไม่เห็นรึ เรานั่งกันตั้งเกือบครึ่งคืนมันไม่เข้า พอฝนตกหนักเท่านั้น มันนอนกินสบายใจเฉิบ แบบนี้มันต้องเสือสมิงแน่
ครูแดง : ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า แล้วลุงจะว่าไงต่อไปล่ะนี่
ลุงนาค : ฉลาดแบบนี้ กินศพอีแมวหมด มันก็คงเล่นงานคนอื่นต่อ บ้านซับขนุนเห็นจะร้างเสียครานี้ระมัง
ครูแดง : จะปล่อยให้มันทำอยู่ข้างเดียวทำไมล่ะลุง คืนนี้ลุงจะมากับผมอีกมั้ยล่ะ
ลุงนาคทำท่าลังเล ก็น่าเห็นใจ เพราะทนนั่งตากฝนทั้งเมื่อยทั้งหนาวแทบตายมาคืนนึงแล้ว ไหนยังต้องมาทนกับกลิ่นและบรรยากาศไม่พึงปรารถนาอีก ชายชรามองหน้าครูแดงสลับกับซากศพเหยื่อเสือ และก็พูดออกมา เหมือนตัดสินใจได้ "เอาก็เอา ขนาดครูไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย ยังยอมมานั่งทรมานให้ และผมจะไม่เอาด้วยได้ยังไง คืนนี้ฝนคงไม่ตกอีกแล้ว จะได้รู้เรื่องกันไปเลย"
ลุงนาคชวนครูแดงเดินกลับหมู่บ้าน เพื่อหาข้าวกินและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้น อากาศเย็นอย่างนี้อดสะท้านไม่ได้ แต่เมื่อออกเดินได้สักครู่ พอเหงื่อออกจึงค่อยยังชั่ว กลับมาถึงหมู่บ้านเมื่อตกสาย ทุกคนดูเหมือนจะฝากความหวังไว้กับทั้งสองคน จึงพากันมาลุมล้อม
ทิดนองพ่อคนตายดูจะมีความหวังมากกว่าเพื่อน จึงรีบมาเกาะแขนลุงนาคด้วยความร้อนรน หน้าตายังมีแววอิดโรยเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืน "เสร็จมั้ยลุงนาค ครูแกจัดการมันได้แล้วใช่มั้ย"
ลุงนาคกลืนน้ำลาย มองหน้าครูแดงแล้วบอกว่า "ก็เกือบเสร็จอยู่แล้ว ฝนมันดันตกลงมาซะก่อน คืนนี้ข้ากับครูจะนั่งกันอีกคืน" ทิดนองได้ยินเช่นนั้น ก็พูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "อะไรกัน ศพลูกสาวชั้นก็เน่าพอดี ไม่เอาล่ะ ตอนมันตายก็ทรมานพอแล้ว ยังจะเอาศพมันมาเป็นเหยื่อล่อเสืออีก คืนเดียวไม่ว่า แต่นี่จะเล่นกันอีกกี่คืนล่ะ วันนี้ชั้นจะเอามันไปฝังแล้ว"
ครูแดงหันไปสบตาลุงนาค ชาวบ้านทั้งหลายต่างหันไปซุบซิบกัน มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับความคิดของทิดนอง "ศพมันเป็นลูกสาวของเอ็ง ถ้าเอ็งไม่ยอม ใครจะไปบังคับได้ แต่อย่าลืมว่า เสือถ้ามันลองได้กินคนเข้าไปแล้ว ศพที่สองที่สามก็คงจะตามมาอีกไม่ช้า"
สิ้นคำพูดของลุงนาค สีหน้าของชาวบ้านยิ่งซีดหนักกว่าเดิม หลายคนหันไปคะยั้นคะยอทิดนอง ให้ยอมให้นั่งซากล่าเสืออีกคืน ลุงนาคเห็นได้ทีจึงกำชับต่ออีกว่า "เอ็งคิดดูสิ ครูแกไม่ได้ดีอะไรด้วยสักหน่อย ยังยอมไปนั่งตากยุงตากฝนเพื่อพวกเรา ถ้าเอ็งไม่ยอมก็เตรียมย้ายบ้านหนีเถอะ ไม่ใครก็ใคร ก็ต้องเป็นศพอีก"
เจอไม้นี้เข้า ทิดนองก็ต้องยอม แข็งใจพูดขึ้นว่า "เอาเถอะ เพื่อส่วนรวม ชั้นจะยอมให้ลุงกับครูนั่งซากอีกคืน คราวนี้ต้องสำเร็จนะ โถถังอีแมวเอ้ย เมื่อไหร่เอ็งจะได้ไปผุดไปเกิดวะ" เมื่อหมดปัญหา ลุงนาคกับครูแดงจึงรีบขึ้นบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าตาก หาข้าวกินแล้วก็หลับผล็อยไปทันที
ครูแดงตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อบ่ายมากแล้ว มองหาลุงนาคไม่เห็น จึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่จะต้องไปผจญความทรมาน เล่นเอาเถิดกับเสือเจ้าเล่ห์ตัวนั้นอีกแล้ว และไม่ต้องสงสัยนาน ครู่เดียว ลุงนาคก็เดินหิ้วไก่มาตัวนึง แถมมือซ้ายยังหิ้วเหล้าป่ามาอีกสองขวด
"ทิดมีมันให้ไก่มาเป็นกำลังใจครู ไอ้ดิ่งให้เหล้ามาอีกสองขวด ของครูหมดหรือยัง ลองกินเหล้าป่านี่ดีกว่า" ลุงนาคพูดแล้วก็เข้าครัว จัดการเชือดไก่มาต้มข่า พอหม้อข้าวเดือด ไก่ก็ชำแหละเรียบร้อย ชั่วไม่นาน กลิ่นต้มข่าไก่ก็หอมหวนชวนน้ำลายไหล
ครูหนุ่มกับชายชรานั่งจิบเหล้าป่าหน้าชานบ้าน มีเพื่อนบ้านหลายคนแวะเวียนมาถามข่าวคราว บ้างก็เอาของกินติดไม้ติดมือมาฝาก ทั้งเนื้อเก้งย่าง หมูป่าเค็ม วงเหล้าชักขยายใหญ่ขึ้น จนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ครูแดงจึงชวนลุงนาคออกเดินทาง ขืนชักช้าจะเมาจนเดินไม่ไหว
เตรียมปืนกันพร้อมแล้ว จึงออกเดินจากหมู่บ้าน ลุงนาคติดเหล้าป่ามาอีกขวด กะไว้ว่ากันหนาวเกิดฝนตกลงมาอีก กว่าจะเดินมาถึงที่หมายก็ทำเอาเกือบหายเมา ได้เวลาโพล้เพล้พอดี ยังไม่ทันไร กลิ่นศพก็โชยฉุยมาอย่างแรง
ลุงนาคเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ "ศพอีแมวหายไปไหนแล้วครู" ครูแดงรีบวิ่งเข้าไปดู พื้นดินที่เมื่อเช้ายังมีศพนอนอยู่ มีรอยกดทับ เศษเลือดเนื้อเน่ายังกระจัดกระจาย แต่ไม่มีศพ ทั้งสองเดินวนไปมาตามพื้นหญ้ารก กลิ่นเหม็นเน่ายังรุนแรงออกอย่างนี้ แสดงว่าต้องอยู่ไม่ไกล
ไม่ทันไร ครูแดงก็เห็นตรงโคนกอไผ่ ซากศพเหยื่อเสือถูกลากมาพิงไว้กับกอไผ่ มันถูกวางพิงไว้ยังกับตั้งใจ ศพขึ้นอืดปราศจากส่วนท้อง นั่งคอพับบวมอืด ใบหน้าและแขนขาเริ่มมีน้ำเหลืองซึมออกมา สภาพที่นั่ง ไม่น่าเชื่อว่าเสือจะทำได้ขนาดนี้
ลุงนาคมองหน้าครูแดงด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ครูแดงรีบตัดบท เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าใกล้จะมืดเต็มทีแล้ว "เป็นไงเป็นกัน ไปขึ้นนั่งกันเถอะ" คืนนี้ท้องฟ้าโปร่งจนแลเห็นดาวเต็มฟ้า ทั้งสองนั่งกันเงียบๆในความมืด ในใจต่างคิดเรื่องเดียวกัน ว่าศพไปนั่งอยู่ที่โคนกอไผ่ได้อย่างไร เสืออะไรจะทำได้ถึงขนาดนั้น
ครูแดงพยายามไม่คิดถึงเรื่องผี ขนาดไม่ใช่คนเชื่อเรื่องนี้ แต่ภาพและเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ มัน อดทำให้ใจเขวไม่ได้ ยิ่งมืดสนิท มองไปที่กอไผ่ที่ศพนั่งพิงอยู่ เห็นแต่เงาดำตะคุ่ม เพ่งมองนานไปยิ่งตกใจหนัก เมื่อเห็นเหมือนกับศพลุกขึ้นยืน ครูแดงขยี้ตาแล้วมองใหม่ แต่นั่นมันอะไรกัน เหมือนศพที่เห็นลางๆในความมืดลุกขึ้นจริงๆ ลุกขึ้นแล้วก้มลงเหยียดยาวอีกครั้ง
ลุงนาคคงไม่เห็นภาพชวนสยองขวัญนี้ เพราะแกนั่งหันหลังให้ ครูแดงทนเฉยไม่ไหว เล็งปืนด้วยมืออันสั่นระริก จะเป็นอะไรก็ช่างเถิด ขอยิงก่อนแล้วกัน "ปั้ง!!" ลุงนาคสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืนก้องป่า รีบหันกลับมาถามทันที "เสือเข้าหรือครู" แล้วฉายไฟไปที่ศพทันที
Post a Comment