ลุงทองพรานป่า


      ประสบการณ์หสยองของคุณแมน สุพล ดวงพุทธา ที่เขาเล่าถึงเรื่องของพรานป่ามือแม่นอย่างลุงทองจักร กับประสบการ์พรานป่าที่เขาเล่าให้ฟังเมื่อยี่สิบปีก่อน

    เมื่อลองย้อนเวลากลับไปเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้น ผมเองยังไม่ได้เกิด สมัยนั้นตามธรรมดา หมู่บ้านของผมยังมีบ้านเรือนประชาชนไม่เยอะเท่าใดนัก นับได้ไม่ถึงสี่สิบหลังคาเรือน ไฟฟ้ายังไม่มีให้ใช้

    ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะประกอบอาชีพทำนา ตามประสาบ้านๆ ส่วนถ้าบางเรือนไม่มีที่นา ก็จะหันไปทำไร่ข้าวไร่สาลี ลุงทองนั้น แกเป็นคนไม่มีที่นา ตัวแกเองจึงต้องทำไร่ข้าวไร่สาลี

    ถ้าพูดเช่นนี้ หลายคนคงจะไม่เข้าใจว่าไร่นาไร่ข้าวคืออะไร ทางบ้านผมความหมายจะต่างกัน ไร่ข้าวคือการใช้เมล็ดข้าวปักลงดิน โดยไม่ต้องมีน้ำ ข้าวก็จะไม่ตาย ส่วนคำว่าไร่นา ทางบ้านผมจะเรียกว่านา คือพื้นที่ที่ต้องมีน้ำ และต้องใช้คนดำเอา นั่นก็คือการดำข้าว

    ชาวบ้านที่จะทำไร่ข้าวนั้นมักจะออกไปทำในพื้นที่ที่ห่างไกล ทำในลักษณะที่ว่าไม่ต้องมีการล้อมรั้วให้ยาก หาพื้นที่ไกลๆ ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงมารบกวน สัตว์เลี้ยงที่ว่านี้ก็คือวัวกับควาย เมื่ออยู่ไกลออกไป จนไม่มีวัวกับควายมารบกวนพืชผลแล้ว

    จะมีอีกอย่างหนึ่งที่จะคอยมารบกวน นั่นก็คือสัตว์ป่า และสัตว์ป่าที่นับว่ามีเยอะแถวบ้านผมก็คือหมูป่า ไอ้เจ้าหมูป่านี่แหละ ลุงแกว่ามันคือตัวปัญหาเลย มันมักจะเข้ามากัดกินแล้วทำลายพืชผลของชาวบ้าน รวมทั้งของลุงทองด้วย

    ตัวของลุงทองแกก็เป็นพรานอยู่แล้ว ฉะนั้น แกจึงชอบเข้าป่าเป็นกิจวัตรประจํา ลุงทองแกเล่าว่า ในช่วงที่ใกล้จะถึงฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลนั้น มีวันหนึ่ง เจ้าหมูป่ามันพากันเข้ามาทำลายไร่ของแก

    ทำให้ลุงทองต้องออกไปนอนเฝ้าไร่คนเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่ลุงทองเท่านั้นที่เดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ ชาวบ้านอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ต่างคนก็ต่างไปนอนเฝ้าไร่ของตนเอง เพื่อป้องกันมิให้เจ้าพวกหมูป่าเข้ามาทำลายอีก

    ส่วนทางที่จะไปไร่นั้น ต้องเดินทางด้วยเท้า ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร จากนั้นก็มาลงที่น้ำโขง ลุงบอกว่า หนทางที่จะไปได้นั้น มีอยู่สองทาง แบบทางน้ำก็คือนั่งเรือไป ปล่อยให้กระแสน้ำพัดไหลโค้งไปโค้งมาตามธรรมชาติของมัน ไม่นานก็ถึงจุดหมาย เพียงแต่จะมีพื้นที่ของผาด้างกันเอาไว้

    ส่วนทางบกจะต้องเดินทางลัดป่าที่เดินผ่านผาด้าง แล้วก็ลัดภูไป แต่ชาวบ้านในสมัยนั้น มักนิยมเดินทางด้วยการพายเรือ ลุงแกบอกว่า ไปทางเรือจะสบายกว่ามาก เพราะถ้าหากเดิน ก็ต้องได้เดินขึ้นภูขึ้นผาอีก แล้วอีกอย่าง ป่านั้นก็น่ากลัว

    โดยปกติแล้ว ลุงทองจะไปนอนเฝ้าไร่ประมาณสี่ห้าวันก็จะกลับ มาพักที่บ้านสองสามวันแล้วก็ไปใหม่ วันนี้ก็อย่างเคยเป็นกิจวัตร แกลุกแต่เช้าเก็บขาวเก็บของที่จำเป็น พร้อมกับปืนแก๊ปคู่ใจของแก

    ลุงทองออกเดินเท้ามาจนถึงท่าน้ำ แล้วพายเรือไปตามสายแม่น้ำโขงจนไปถึงที่พัก จากนั้นเพื่อที่จะไปให้ถึงไร่ จำเป็นที่จะต้องเดินขึ้นภู ต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันหนาแน่นทั้งสองฟากทาง

    ไม้ยิ้มลำใหญ่มาก พ้นดงป่าไม้ยิ้มก็จะเป็นบ้านลุงเหลือ ต่อไปก็เป็นไร่ของแก กว่าจะถึงกระต๊อบเล็กๆได้ เล่นกินเวลาไปสะครึ่งวัน หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จ แกก็ออกเดินตรวจตามไร่ของแก

    ที่ไร่ข้าวนั้นก็จะมีรอยนกรอยหนูกิน แต่ก็ไม่เสียหายอะไรมาก พอเดินไปถึงไร่สาลี แกก็ต้องตกใจมาก ที่เห็นผลปรากฏว่า พืชผลที่แกได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจนั้น บัดนี้ ถูกเจ้าหมูป่ามันเข้ามากัดกิน

    แกโมโหจนสบถออกมาว่า เดี๋ยวได้เห็นดีกัน จากนั้นแกก็ทำแร้วดักหมูป่าไว้สามหลัง พอรุ่งเช้าก็ไปตรวจดู พบว่ามีหมูติดอยู่หนึ่งตัว แต่ตัวไม่ใหญ่มาก แกก็ทำการชำแหละ เอาเนื้อมาย่างไฟที่กระต๊อบของแก

    ลุงแกบอกว่า ใช้วิธีนี้ดักอยู่เหมือนเดิม มันก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เหมือนว่าหมูป่ามันจะรู้ตามสัญชาตญาณของสัตว์ ระยะเวลาช่วงนั้น เมื่อลองไปตรวจดู ก็ไม่มีหมูมาติดสองวันแล้ว แต่สาลีก็มีร่องรอยถูกหมูกินอย่างเคย

    ลุงแกว่าได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้ก่อนละกัน และก็เดินทางกลับมาบ้านพร้อมกับเนื้อหมูป่าย่าง เมื่อพักได้สักสองสามวัน แกก็ทำอย่างเคย ออกไปเฝ้าดักหมูที่ไร่ต่อ แต่เมื่อแกเดินทางไปถึงไร่ แกก็ต้องตกใจอีกครั้ง

    เพราะเจ้าพวกหมูป่า มันมาทำลายไร่สาลีของแกไปถึงครึ่งไร่ แกโมโหมาก เดินออกตรวจในไร่ตามเคย เมื่อแกเดินไปถึงท้ายไร่ หูก็ได้ยินเสียงหมูร้อง แกก็ค่อยๆย่องตามเสียงหมูป่าไป

    สักพักก็เห็นพวกมันลงเล่นน้ำอยู่ในปลักตม ซึ่งก็คือหนองน้ำเล็กๆ มันเล่นน้ำกันอยู่ประมาณสิบตัว ลุงแกรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมกลางป่าอย่างนี้ มันถึงได้มีหนองน้ำเล็กๆแบบนี้ได้ แต่แกก็ไม่ได้สนใจอะไร

    เมื่ออยู่ไร่ได้ประมาณสี่ถึงห้าวัน แกก็เดินกลับบ้านอย่างเคย พักได้สองสามวัน แกก็จะกลับมาที่ไร่อีก คราวนี้แกตั้งใจจะเข้าไปนั่งห้าง ลุงแกบอกว่าการนั่งห้างของแกนั้น จะใช้เปลผูกกับต้นไม้ สบายกว่าการต้องขัดห้างใหม่

    เพราะไม่ต้องตัดต้นไม้ให้เสียเวลา อีกอย่างถ้าขัดห้าง หมูป่ามันจะเห็นพิรุธได้ ผมสงสัยเลยถามออกไปว่า แล้วลุงใช้อะไรส่องสัตว์ล่ะ แกบอกว่า ใช้แสงเดือนนี่แหละ แค่นี้ก็มองเห็นแล้ว

    ใกล้สิบห้าค่ำ เดือนจะแจ้งเต็มดวงดี นั่นก็คือเดือนวันเพ็ญ เลื่อนไปสิบสอง สิบสาม สิบสี่ ไปช่วงวันไหนก็ได้ ผมก็เลยถามแกต่อไปอีกว่า แล้วผลมันเป็นยังไงบ้างลุง

    ลุงแกบอกว่า คืนแรก เดินเข้าป่าไปตั้งแต่ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า พอไปถึงที่เลือกที่ผูกเปล ต้องเลือกที่ทางให้มันพอเหมาะเจาะ จากนั้นก็ลงมือผูก ข้อสำคัญ ถ้าอยู่ข้างบนแล้ว ห้ามลงมาเป็นเด็ดขาด

    ผมสงสัยอีก ก็เลยถามแกไปว่าทำไม แกก็ตอบว่า คนโบราณพูดไว้อย่างนั้น ผมเลยถามแกว่า ถ้าปวดเบาขึ้นมาจะทำยังไง ลุงแกก็บอกว่า ก่อนขึ้นก็ไปหากระบอกไม้ไผ่มาแล้วเอาขึ้นไปด้วย

    ทีนี่ผมก็เข้าใจแล้ว แต่ก็ถามแกต่อไปว่า แล้วได้มั้ยล่ะ หมูป่าน่ะ แกบอกว่า คืนนั้นได้มาตัวนึง และเช้าวันต่อมา แกมีความรู้สึกว่าอยากจะยิงสัตว์เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็อย่างว่าล่ะครับ เป็นพราน ถ้าไม่ให้ล่าสัตว์ แล้วจะให้ทำอะไร

    ลุงแกคิดในใจว่าจะไปนั่งแบบเล่นๆดู เพราะแกรักการเข้าป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมก็ถามแกอีกว่า ลุงจะไปนั่งที่ไหน ลุงแกก็บอกว่า ที่เดิมนั่นแหละ ผมเลยถามแกไปว่า อ้าว แล้วสัตว์มันจะมาอีกเหรอ เสียงปืนดังคับป่าแบบนั้น

    ลุงแกบอกว่า เออน่า ใจมันอยากไป แค่อยากไปนั่งเล่นๆ แล้วแกก็ทำทุกอย่างเหมือนอย่างเคย แต่คืนนี้แปลก แปลกเพราะมันเงียบมาก ไม่มีเสียงสัตว์อะไรเลยสักนิดเดียว ไม่มีให้ได้ยินแม้แต่เสียงร้องของแมลงกลางคืนสักตัว

    ใจแกคิดว่า เมื่อคืนคงจะยิงปืนเสียงดัง สัตว์ที่ได้ยินมันคงจะกลัว คิดอยู่คนเดียวในบรรยากาศที่เงียบเชียบ สักพักแกก็เผลอหลับไป มาสะดุ้งตัวตื่นอีกทีก็เมื่อแกได้ยินเสียงๆหนึ่ง มันเป็นเสียงของฝีเท้าสัตว์ที่กระทบกับพื้น

    รู้สึกได้ว่ามันมีอยู่หลายตัว คิดได้อย่างนั้น ลุงแกก็จับปืนแป๊บคู่ใจ ตั้งท่าจัดทางเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกยิง สอดส่ายสายตาออกไปมองเสียงนั้น คืนนี้เป็นคืนที่เดือนสว่าง ทำให้สายตาพอมองเห็นด้านล่างได้ไม่ยาก

    และเมื่อเพ่งมองลงไปยังจุดที่เสียงนั้นดัง ภาพที่ปรากฏต่อสายตาก็คือ พรานสี่ห้าคนอยู่ข้างล่าง รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ลุงก็เลยจะยิงปืนขึ้นสักนัดนึง "แชะ!!" ไม่มีเสียงระเบิดของดินปืน

    พยายามลองอีกครั้งนึง แต่ก็ไม่เป็นผล สายตาของแกยังคงจับจ้องอยู่ที่กลุ่มพรานข้างล่างนั่น แล้วสิ่งที่ทำให้แกต้องตกใจก็เกิดขึ้น เพราะพรานที่แกเห็นนั้น อยู่ๆก็กลับกลายเป็นลิงค่าง

    บรรยากาศรอบตัวดูอึดอัดไปหมด ทั้งหนาวเย็นตามไขสันหลังกับเหงื่อที่ออกตามมือ แกต้องเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ เพราะดูไปดูมา ไอ้ที่ว่าเป็นลิง มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ ลักษณะเหมือนมีขนยาวๆทั้งตัว และเมื่อแสงจันทร์ไปกระทบที่ดวงตา มันมีประกายวาวสีแดง

    ตอนนี้ลุงได้ยินแม้กระทั้งลมหายใจของตนเอง และเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ สมองสับสน คิดอยู่อย่างเดียวว่าอะไรอยู่ข้างล่าง และระหว่างที่กำลังสับสนอยู่นั้น เจ้าตัวที่คล้ายลิงที่สูงที่สุดตัวนึง อยู่ๆมันก็หันหน้าขึ้นมามอง

    ประกายตาสีแดงของมันน่ากลัว เหมือนจะสะกดให้หยุดหายใจ แต่ยังไงก็ต้องตั้งสติให้มั่น เมื่อตั้งสติได้ก็คิดได้ว่า นั่นไม่ใช่ลิงธรรมดาแน่ ก็อย่างว่า เมื่อเป็นพราน จะยิงปืนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ มันจะต้องมีของดีที่ติดตัวมากันบ้าง

    แกกล่าวพระคาถาตามที่ปู่เคยสอนมา เมื่อท่องจบแกเหนี่ยวไกปืนทันที "ปั้ง!!" คราวนี้เสียงปืนดังสนั่น เมื่อสื้นเสียงปืนนัดนั้น ก็เห็นเจ้าตัวนึงล้มลงกับพื้น ที่เหลือก็วิ่งหายไป ลุงรู้สึกใจโล่งขึ้น

    แต่เพียงแค่พักเดียวเท่านั้น ลุงก็ได้ยินเสียงอีกเสียงนึงเกิดขึ้น มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลุงจึงใช้สายตาเพ่งไปตามเสียง สิ่งที่ปรากฏก็คือ หญิงสาวหน้าตาดีมากๆแม้ในแสงสลัว กำลังเดินเข้ามา

    เมื่อหล่อนเดินมาถึงข้างล่าง หล่อนก็กวักมือเรียกลุงให้ลงไป ลุงรู้ทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดว่าอะไรเป็นอะไร แกรีบวาดปลายกระบอกปืนเข้าหา แล้วเหนี่ยวไกทันที "ปั้ง!!" สิ้นเสียงปืนก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดตามมา แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปในบัดดล

    ตอนนี้แกไม่มีความรู้สึกว่าอยากนอนเลย สายตาหันมองไปรอบกายด้วยความระแวดระวังภัย มันอะไรกัน นี่เรากำลังเจอเข้ากับอะไร รอบๆกายก็มีแต่ป่า ซึ่งมันเงียบและวังเวงมาก

    ยังไม่ทันที่ใจจะสงบลงได้ดี หูก็ได้ยินเสียงคนเดิน กำลังเดินเข้ามาเรื่อยๆ เอาวะ มันจะเป็นอะไรอีกคราวนี้ คิดได้อย่างนั้น แกก็เพ่งสายตาดูตามเสียงที่กำลังเดินเข้ามา แล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏขึ้น

    นั่นก็คือเหลือ หรือลุงเหลือนั่นเอง เจ้าของไร่ที่ติดกับไร่ของแก เมื่อเดินเข้ามาถึงก็เงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า ทอง ทอง แกยิงอะไรวะตั้งสองที ลุงทองก็ชี้มือให้ลุงเหลือดูข้างล่าง ซึ่งตอนนี้มันไม่มีอะไรอยู่เลย

    แล้วลุงเหลือก็พูดขึ้นว่า เฮ้ยลงมาเถอะ ไม่รู้ว่าใครไปค้นข้าวของในกระต๊อบของ ลุงทองจึงตอบไปว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าแกรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะเวลาที่ลุงเหลือพูด จะไม่สบตากับแกเลย ลักษณะไม่เหมือนไอ้เหลือที่แกรู้จัก

    อีกอย่างด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ ไอ้เหลือน่ะหรือ จะอุส่าฝ่าดงป่าเข้ามาบอก แล้วยังอุส่าชวนไปนอนที่กระต๊อบของมันอีก มีหน้ามาบอกว่ากลัว ไม่อยากนอนคนเดียว แต่แกไม่หลงกลง่ายๆหรอก แกจึงบอกว่า

    ลุงทอง : ไม่ไป กูไม่ลงหรอก พรุ่งนี้กูถึงจะลง แล้วกูก็จะไปดูเอง
    ลุงเหลือ : งั้นกูจะขึ้นไปเอง
    ลุงทอง : อย่าขึ้นมา!
    ลุงเหลือ : ก็กูกลัว
    ลุงทอง : ตั้งนานไม่กลัว ทำไมวันนี้เพิ่งมากลัววะ แล้วทำไมไม่ไปชวนไอ้คนที่อยู่ไร่ข้างๆมานอน ทำไมเข้าป่ามาหากู

    คราวนี้ตาลุงที่ชื่อเหลือเงียบ แต่ระหว่างนั้น ลุงทองก็ขี้สงสารขึ้นมาว่า แล้วถ้าเป็นไอ้เหลือจริงๆ ก็กลัวว่าจะมีสัตว์ที่หน้าตาเหมือนลิงเมื่อครู่มาทำร้าย ถ้าหากว่ายังคงอยู่ข้างล่าง ก็เลยตะโกนบอกไปว่า เฮ้ย รีบกลับไปเถอะ เมื่อตะกี้ กูยิงสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร

    คนที่ชื่อเหลือก็พูดขึ้นว่า กูไม่เห็นมีสัตว์อะไรเลย ไหนวะ มันอยู่ตรงไหน ลุงทองรู้สึกอึดอัดมากกับการสนทนากันไปมาอย่างนี้ แกก็เลยบอกว่า ถ้าอยากอยู่ ก็อยู่ข้างล่างนั่นแหละ

    สักพักหนึ่ง ลุงเหลือก็เดินกลับไปทางเดิม ลุงทองเห็นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที แล้วอีกสักพักหนึ่ง หูก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง คราวนี้เป็นเสียงของเมียแกเอง กำลังเดินเข้ามาหา โดยมีลุงเหลือเดินตามมาข้างหลัง

    ลงมาเถอะพี่ ไม่รู้ว่าใครมาทำลายกระต๊อบของเราพังหมดแล้วเนี่ย เสียงเมียแกตะโกนขึ้นมา แกเห็นอย่างนั้นก็รู้เลยว่าไม่ใช่เมียแกแน่ เพราะอยู่กันมาจนมีลูกถึงสามคน ยังไงซะ เมียแกก็ไม่กล้าเดินมาตามในป่าหรอก อย่าให้ถึงป่าเลย แค่พายเรือมาก็ไม่กล้าแล้ว

    ลุงแกเลยตะโกนกลับไปว่า ยังไงกูก็ไม่ลง ถ้าพวกยังไม่ไปกัน กูจะยิงนะ! คราวนี้ร่างทั้งสองที่อยู่ข้างล่างสะดุ้ง และเมื่อลุงเหลือเหลือบมาสบตากับลุงทอง ลุงทองจึงมั่นใจและลั่นไกปืนขึ้นทันที "ปั้ง!!"

    คราวนี้ลุงเหลือนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ส่วนเมียของลุงทองนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นลิงแก่ ขนยาวทั้งตัว ตาแดงก่ำ เส้นขนออกสีแดงเวลามีแสงเดือนเข้ามากระทบ ด้วยความเคยชิน แกรีบอัดกระสุนปืนเข้าไปใหม่อย่างรวดเร็ว

ไม่มีความคิดเห็น