เจอดีหลอนที่สน.


  เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา พี่เขยของคุณวาฬรับราชการตำรวจ ต้องไปเข้าเวรในช่วงเย็นของทุกๆวัน  เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นใน สน.แห่งหนึ่งทางภาพเหนือ

    แต่วันนั้นพี่เขยเกิดมีธุระด่วน จึงได้โทรหาพี่สาวให้ช่วยไปรับที่สน. แต่พี่สาวเองช่วงนั้นกำลังเลี้ยงลูกฝาแฝดอยู่ การที่จะหอบลูกแฝดไปด้วยขับรถไปด้วยก็ดูจะเป็นเรื่องที่ลำบาก จึงได้ขอให้คุณวาฬมาช่วยขับรถให้

    คุณวาฬและพี่สาวพร้อมลูกแฝดเข้ามาถึงสน.ในเวลาประมาณหกโมงเย็น แต่ลานจอดรถหน้าโรงพักเต็มหมดทุกช่อง อาจเป็นเพราะช่วงเย็น ตำรวจที่ออกไปทำหน้าที่ต่างๆกลับเข้ามาในสน.กันหมดแล้ว

    คุณวาฬจึงขับรถวนไปดูที่หลังสน. ซึ่งจะเป็นลานจอดรถสำหรับรถที่ประสบอุบัติเหตุ ลานกว้างขวางมากจนสามารถบรรจุรถยนร์ได้เกือบห้าสิบคัน แต่เมื่อลองวนหาดูก็พบว่ามันเต็มหมดทุกช่องเช่นกัน

    คุณวาฬจึงไปจอดซ้อนคันที่ท้ายรถคันหนึ่ง เมื่อดับเครื่องยนต์แล้ว คุณวาฬเหลือบตามองดูรถที่ตัวเองจอดซ้อนคันอยู่ ก็คิดขึ้นในใจว่า โอ้โห่ สภาพอย่างงี้คนขับคงไม่รอด เพราะห้องเครื่องมันยุบเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันกับที่นั่งคนขับ

    ส่วนคันอื่นๆก็เช่นกัน ล้วนแล้วแต่ไม่สมประกอบทั้งสิ้น บางคันฝั่งที่นั่งข้างคนขับหายไปทั้งซีก ยังนึกเสียวขึ้นในใจไม่อยากจะคิดเลยว่า วันที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับรถคันนี้ ใครกันที่เป็นผู้โชคร้ายนั่งข้างคนขับ แต่ถ้าไม่มีคนนั่งก็คงจะดี

    รถบางคันบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัว คล้ายถูกชนเข้ากลางลำอย่างรุนแรงจนมันผิดรูปผิดร่างไปจากเดิม อุบัติเหตุและเหตุการณ์สลดเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผู้ขับขี่ทุกคนมีสติและช่วยรักษากฏจราจรกันสักนิด

    พี่สาวได้กดมือถือหาพี่เขยว่าได้มาถึงที่สน.กันแล้ว และได้บอกไปว่าให้มันเจอกัน ณ ที่ตรงนี้ สักพักต่อมา พี่เขยก็เดินเข้ามาหา แต่เมื่อมาถึงที่รถ พี่เขยนึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารไว้บนห้อง จึงขอขึ้นไปเอาลงมาก่อน

    แต่ลูกชายฝาแฝดคนน้องเป็นคนที่ติดพ่อมาก เอาแต่ร้องไห้จะตามพี่เขยไปด้วย ก็เลยต้องอุ้มขึ้นไปด้วย แต่พี่สาวกลัวว่าลูกจะไปงอแงบนตึก จึงได้เดินตามขึ้นไปอีกคน ทิ้งลูกสาวฝาแฝดคนพี่ให้อยู่ในรถกับคุณวาฬสองคน

    สักพักแฝดคนพี่เห็นน้องชายและพ่อแม่ขึ้นไปนานก็ร้องไห้ตามไปอีกคน คุณวาฬจึงต้องอุ้มมานั่งบนตัก แล้วคอยหลอกล่อชี้ให้ดูนั่นดูนี่เพื่อให้เด็กเงียบ แต่เมื่อคุณวาฬชี้ไปที่รถกระบะคันหนึ่งที่จอดอยู่เยื้องๆกัน

    ปรากฏว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่งตัวเหมือนช่าง ใส่เสื้อสีกรม ตัวผอมๆหน้าแหลมๆ ผิวออกสีคล้ำ ก้มๆเงยๆเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ในรถ คุณวาฬเห็นก็รู้สึกแปลกใจ ว่าเค้าไปนั่งอยู่ในนั้นทำไม กำลังหาอะไรอยู่ แล้วมาตอนไหน เพราะคุณวาฬแน่ใจว่าทีแรกไม่ได้เจอใครเลยในบริเวณนี้

    ผู้ชายคนนั้นเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหาของ ก้มลื้อของตรงนั้นทีตรงนี้ที คุณวาฬจ้องมองดูด้วยความสงสัย อึดใจต่อมา ผู้ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมาทางคุณวาฬ ทำลูกกะตาโตเหมือนคนที่กำลังเพ่งมองอะไรสักอย่าง

    คุณวาฬรู้สึกตกใจ กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทที่ไปมองเค้าแบบนั้น แต่ผู้ชายคนนั้นค่อยๆยื้นหน้าขึ้นมา แล้วเอาใบหน้าแนบกับกระจกหน้ารถ คล้ายว่าจะพยายามมุดผ่านกระจกออกมาหา เมื่อคุณวาฬเห็นแบบนั้นก็เริ่มใจคอไม่ดี รู้สึกตกใจกลัวเอามากๆ คิดในใจว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงต้องทำอะไรแปลกๆแบบนั้นด้วย

    จนคุณวาฬเริ่มสังเกตเห็นว่า ดวงตาที่ใหญ่โตของผู้ชายคนนั้นมันมีสีออกเหลืองๆขุ่นๆ เหมือนคนที่เป็นโรคอะไรสักอย่าง ใบหน้าแห้งตอบ แก้มโหลลึก มองดูดีๆมันเหมือนศพที่ถูกแดดเผาจนแห้งมากกว่าจะเป็นคนปกติ

    ความกลัวความสับสนงุงงงต่างๆเริ่มพรั่งพรูเข้ามา คิดอยู่ตลอดว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงมีลักษณะที่ผิดปกติแบบนั้น เพราะดูยังไงมันก็เหมือนศพมากกว่าจะเป็นคน แล้วไหนจะอากัปกิริยาที่แปลกๆนั่นอีก คุณวาฬนั่งตัวสั่นกอดแฝดหญิงไว้แน่น แล้วก้มมองลงต่ำ

    เพราะสายตาที่เค้าจ้องมองมามันทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ถ้าไม่ติดว่าอุ้มเจ้าตัวเล็กอยู่ด้วย คงจะวิ่งหนีขึ้นสน.ไปแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ สักพักพี่สาวและพี่เขยก็กลับมา ทำให้คุณวาฬหายใจได้ทั่วท้อง และรีบชี้ไปที่รถกระบะคันนั้นแล้วพูดปากสั่นๆว่า "เห็นมั้ยๆๆๆ นั่นน่ะ"

    พี่สาวหันไปมองตามที่คุณวาฬชี้ แล้วพูดหน้างงๆว่า "เห็นอะไร?" คุณวาฬรีบพูดขึ้นว่า "คนอ่ะ คนที่นั่งอยู่ในรถนั่นอ่ะ" พี่เขยก็พูดขึ้นว่า "ใครมันจะไปนั่งอยู่ในซากรถแบบนั้น"

    แต่คุณวาฬยังไม่วางใจ จึงเร่งให้ทุกคนขึ้นรถแล้วรีบเหยียบออกจากที่ตรงนั้นทันที ในระหว่างที่กำลังขับรถอยู่ คุณวาฬยังไม่คลายจากอาการหวาดกลัว จึงถามพี่เขยว่า

คุณวาฬ : พี่ เป็นไปได้มั้ยที่จะมีคนไปนั่งอยู่ในรถ
พี่เขย : รถคันไหน?
คุณวาฬ : รถกระบะสีขาวที่จอดเลยไปหน่อยอ่ะ
พี่เขย : มันจะมีได้ยังไง ใครเค้าจะไปกล้านั่ง รถที่จอดกันอยู่เนี่ย มีคนตายในรถทั้งนั้น แล้วกุญแจรถทุกคันจะอยู่ที่สน.

    คุณวาฬได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกจุดที่อก รู้สึกได้เลยว่าขนมันเริ่มชี้ตั้งขึ้นอีกครั้ง ภาพของผู้ชายคนนั้นมันยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัว พี่เขยก็ขำแล้วพูดขึ้นว่า

พี่เขย : เออ มันไม่แปลกหรอกที่จะเจออ่ะ สำหรับที่นี่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เจอกันแทบทุกวัน จนไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ที่นั่นหรอก ก็ยังคิดอยู่ว่าเข้าไปจอดทำไมในนั้น
คุณวาฬ : เจอกันยังไงอ่ะพี่

    พี่เขยเล่าว่า พี่ที่รู้จักคนนึง เวลาที่เข้าเวรตอนช่วงดึก จะได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องทำงานตลอด "ก๊อกๆๆๆๆ" แล้วหมุนลูกบิดดัง "แกร็กๆๆ" แต่ทั้งๆที่ประตูมันก็ไม่ได้ล็อก จึงตะโกนออกไปว่า "เดี๋ยวถ้าเป็นคนไหนมาแกล้งนะ โดนแน่"

    แกจึงไปยืนรออยู่ที่ประตู เมื่อเสียงเคาะดังขึ้น แกก็กระชากประตูทันที แค่ที่หน้าห้องก็ไม่ปรากฏใครยืนอยู่เลยสักคน แกยืนมองซ้ายมองขวาอยู่นานจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนเองเข้าเวรอยู่คนเดียว เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นแทบทุกวัน และจะหนักหน่อยถ้าเป็นวันโกน

    บางคืนตำรวจที่เดินเอาขยะไปทิ้งแถวหลังสน. เล่าว่าเห็นเหมือนคนแขนขาดตัวไหม้เกรียมนั่งอยู่บนหลังคาซากรถ ลูกกะตาสีขาวจ้องมองมาด้วยหน้านิ่งๆ ถ้าใครจิตแข็งหน่อยก็จะทำเป็นไม่สนใจ แต่ถ้าใครขวัญอ่อนเจอแบบนั้นก็วิ่งกระเจิงเหมือนกัน

    มีเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่ประจำอยู่ในตึกเก่า ซึ่งตึกเก่าแห่งนี้จะมีห้องขังอยู่ด้วย แต่ในส่วนของห้องขังได้ถูกปิดใช้งานไปนานพอสมควรแล้ว บางคืนที่เข้าเวรมักจะได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากในโซนของห้องขัง แต่เมื่อเดินไปไล่ดูแต่ละห้องก็ไม่พบใคร

    เมื่อก่อนโซนห้องขังนี้มักจะมีนักโทษผูกคอตายอยู่หลายคน จนถูกปิดใช้งานในเวลาต่อมา แม้แต่แม่บ้านก็ยังไม่กล้าเข้าไปทำความสะอาด เพราะเคยมีแม่บ้านพบเจอศพผูกคอตายอยู่กับลูกกรงห้องขัง จนกรี้ดสลบไปหลายคน แต่เมื่อทุกคนวิ่งเข้ามาดู ก็พบแต่แม่บ้านนอนสลบอยู่กับพื้น ไม่พบศพตามที่แม่บ้านเห็น

    ที่โซนนี้จึงถูกปล่อยทิ้งร้างไม่มีใครกล้าเข้ามา จนถูกฝุ่นจับหน้ามีหยากไย่เกาะระโยงระยาง ข้างฝามีคราบราดำๆขึ้นจนดูน่ากลัวน่าขนลุก และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น