พระธุดงค์


    เรื่องราวประสบการณ์เดินธุดงค์ของคุณคิง กับเรื่องวิญญาณหลอนๆที่มักจะเกิดขึ้นระหว่าธุดงค์เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนที่คุณคิงเดินธุดงค์ไปตามป่าในจังหวัดต่างๆ คุณคิงจะเดินธุดงค์ไปกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านชื่อว่าอาจารย์สมจิตร ปกติแล้วผู้ที่บวชเป็นพระ มักจะมีความเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

    นั่นคือครูบาอาจารย์ท่านจะเห็นอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้มอง ในบางครั้งที่พระใหม่หละหลวมในการฝึกสมาธิ ท่านก็จะรับรู้ได้ในทันที โดยที่ท่านไม่ต้องมองด้วยตาเนื้อ

    มีจังหวะหนึ่ง คุณคิงคิดว่าตนเองนั้น นั่งสมาธิจนจิตใจสงบแล้ว ก็เริ่มเลินเล่อ คิดว่านั่งสมาธิแบบไม่ต้องอาราธนากรรมฐานก็ได้ ถึงแม้ว่าอาจารย์ท่านจะเคยพูดเอาไว้ว่า "อยู่ในป่าในเขา อย่าทำอะไรเลินเล่อ เค้ารอดูอยู่ทุกฝีก้าว ถ้าเราพลาด เราเสร็จ"

    ความเชื่อที่ว่า ผีจะไม่ทำร้ายพระนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นความจริง แต่ผีจะเกรงต่อศีลของพระ ถ้าศีลพระไม่ดี ผีก็จะไม่เกรง เป็นแค่คนธรรมดาที่ห่มผ้าเหลือง

    วันนั้น คุณคิงนั่งสมาธิอยู่ในเต้นท์ โดยที่ไม่ได้อาราธนาใดๆทั้งสิ้น ในใจคิดว่าจะสงบได้ ไม่ต้องอาศัยการอาราธนา อยู่ๆก็รู้สึกว่ามีคนๆนึง เอามือโอบมาจากด้านหลัง แล้วประสานมือเข้ามากันที่หน้าตักของคุณคิง เหมือนล็อคไว้ไม่ให้หลุด

    เป็นความรู้สึกเย็นยะเยือก เหมือนแขนทั้งคู่นี้ พึ่งออกมาจากตู้แช่หมาดๆ คุณคิงใจหายวูบ จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว พยายามจะยกมือขึ้นปัด แต่ปรากฏว่ามีอีกมือหนึ่ง เอื้อมมากดมือของคุณคิงเอาไว้

    คุณคิงทนไม่ไหว จนต้องลืมตาขึ้นมาดู แต่เหมือนมีคนเอานิ้วสองนิ้ว มาจิ้มที่เปลือกตาทั้งสองข้าง จนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาดูได้ สัมผัสได้ถึงความเย็นของนิ้วมือ จนมันแผ่ไปทั่วทั้งร่างกาย

    คุณคิงไม่สามารถขยับตัวได้เลย เพราะทุกส่วนของร่างกายถูกกดทับเอาไว้หมด ด้วยอะไรบางอย่าง จนต้องนั่งอยู่แบบนี้เกือบชั่วโมง มีลมหายใจเย็นๆของอะไรบางอย่าง เป่าเข้ามาที่กกหู สลับซ้ายขวาเป็นจังหวะๆ จนทำให้สติแทบจะหลุดเข้าไปทุกที เป็นความทรมานจนเกือบจะเกินรับไหว

    สักพักคุณคิงได้ยินเสียงอาจารย์พูดขึ้นว่า "พอแล้ว" สิ้นเสียงของอาจารย์ คุณคิงรู้สึกโล่ใจอย่างบอกไม่ถูก สามารถขยับเขยื้อนร่างกายไปเหมือนปกติ คุณคิงรีบพุ่งออกจากเต้นท์ทันที เนื้อตัวเย็นเฉียบ หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ เห็นอาจารย์กำลังเดินจงกรมอยู่หน้าเต้นท์

    ท่านพูดย้ำอีกสองครั้ง "พอแล้ว..พอแล้ว" คุณคิงนั่งหอบอยู่หน้าเต้นท์ หัวใจเต้นท์รัวเหมือนกลอง หูได้ยินเสียงใบไม้บนพื้น แหวกไปเป็นทาง จนไปถึงตรงที่อาจารย์เดินจงกรมอยู่

    คุณคิงถามอาจารย์ทันทีว่า "อาจารย์ครับ ผมเจออะไรเนี่ย" ท่านตอบเสียงนิ่งๆว่า "บอกแล้วใช่มั้ย ว่าการทำอะไร อย่าประมาท พระดีๆเก่งๆ ถ้าเลินเล่อ เสียชีวิตมาเยอะแล้วนะ การอาราธนา คือสิ่งที่เราอาราธนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาคุ้มครองตัวเรา มีคนที่จ้องจะลองของ ซึ่งเค้าดูเราอยู่นานแล้ว ถ้าเราประมาท เราก็เสร็จเค้า"

    อาจารย์ท่านมาบอกที่หลังว่า ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร แต่ถูกหุ้มไว้ด้วยหนังคนที่ขาดวิ่น ซึ่งคุณคิงคิดว่าเป็นโชคที่ดี ที่ไม่เห็นกับตา ถ้าเห็นคงต้องมีช็อคคาเต้นท์แน่

    และในคืนนั้น คุณคิงไปนั่งพิงตอไม้ตอนึงที่ยาวมาก คิดในใจว่าอยากจะสึก เพราะนี่ก็พรรษาที่สามแล้ว คิดไปถึงเรื่องต่างๆนาๆ เรื่องที่เคยดื่มเหล้า ร้องเพลง จนเริ่มฟุ้งซ่าน

    ตกดึก คุณคิงก็กลับเข้ามานอนในเต้นท์ ปรากฏว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง "ครืดดด..ครืดดด" ลักษณะเหมือนมีคนลากอะไรที่มันหนักๆไปกับพื้นดิน แต่คุณคิงไม่อยากจะสนใจ จึงพยายามข่มตาให้หลับ

    พอรุ่งเช้า คุณคิงจะกลับไปนั่งที่เดิม ปรากฏว่าตอไม้ใหญ่ๆที่นั่งพิงอยู่เมื่อวาน ตอนนี้มันกลับหายไป คุณคิงไม่เชื่อว่าอาจารย์จะสามารถลากมันด้วยตัวคนเดียวได้ จึงได้เดินไปถามอาจารย์ว่า "อาจารย์ครับ ตอไม้ตรงนี้หายไปไหน"

    อาจารย์ท่านมองหน้า ยิ้มที่มุมปากนิดๆ แล้วท่านก็บอกว่า "ไม่รู้จริงๆเหรอว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง" แต่เรื่องนี้ท่านไม่ยอมบอก ไม่รูว่าเพราะอะไร หรืออาจจะเพราะว่ากลัวคุณคิงจะจิตตก

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่คุณคิงกับอาจารย์กำลังจะเดินเข้าไปในป่าช้า คุณคิงเห็นอาจารย์ปักธูปลงพื้นหนึ่งดอกที่นึง แล้วก็ปักธูปสิบหกดอกลงอีกที่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า "รออีกครึ่งชั่วโมง ดูว่าเค้าจะอนุญาตหรือเปล่า" คุณคิงถามท่านว่า "เราจะรู้ได้ไงว่าเค้าอนุญาตหรือไม่อนุญาตครับ"

    ท่านบอกว่า "ถ้าเค้าอนุญาต ธูปจะไหม้หมดดอก แต่ถ้าเค้าไม่อนุญาต ก่อนที่ธูปจะหมดดอก จะต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง" มีบางครั้ง คุณคิงเห็นธูปทั้งสิบหกดอก โดนเตะจนกระจาย ทั้งๆที่ในบริเวณนั้น ไม่มีใครอยู่เลย

    และถ้าเข้าไปได้แล้ว จะต้องใช้เหรียญบาทประมาณหนึ่งกำมือ โปรยออกไปข้างหน้า จากนั้นก็ตามไปดูว่าเหรียญกลิ้งไปรวมกันอยู่เป็นกลุ่มตรงจุดไหน ให้เอาเสื่อไปปูตรงจุดนั้น เพราะเค้าอนุญาตแค่ตรงนั้น สามารถเอาเสื่อไปปูนั่งได้ และไม่ควรจะไปนั่งหรือไปนอนตรงอื่น ถ้าไม่ใช่การบิณฑบาต หรือนั่งฉันข้าว การจะปฏิบัติหรือนั่งทำอะไร ควรจะอยู่แต่ในกลดหรือในเต้นท์ของตนเองเท่านั้น

    อาจารย์ท่านเคยบอกเอาไว้ว่า ในป่าช้า ก็จะมีนายป่าช้า ถ้าเป็นวัดร้าง ก็จะมีทรงวัด ทางภาคอีสานจะเรียกว่า ตากะลี ยายกะลา พวกนี้จะเป็นใหญ่ในที่ตรงนั้น ก่อนที่เราจะเข้า ถ้าบอกกล่าวกับพวกนี้แล้ว จะไม่มีวิญญาณตนไหนมารบกวนเรา แต่เค้าจะส่งให้มาลองเรา

    ถ้าเราปฏิบัติดี ก็อยู่ได้ ถ้าปฏิบัติไม่ดี เช้าอีกวันต้องรีบออกไปจากที่นี่ เพราะเค้ารู้ว่าจิตเรายังไม่ถึง ไม่ควรที่จะมาอยู่ตรงนี้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ไม่มีความคิดเห็น