'เธอ' ในน้ำ


     เรื่อง 'เธอ' ในน้ำ  เรื่องสยองลี้ลับจากกระทู้พันทิป โดยนักเล่าผู้ที่เล่าได้อย่างสยองมากคือคุณ ลอยชาย หรือ LoyChinE ตามชื่อเรื่องดังกล่าวครับ เล่าถึงความสยองขวัญเกี่ยวกับน้ำลองไปติดตามกันเลยครับ

     เรื่องราวของผีสางหรือสิ่งลี้ลับนั้นมักไม่เข้าใครออกใคร และมันก็ไม่เลือกด้วยว่าจะไปเกิดขึ้นกับใคร หลายครั้งเป็นเรื่องที่คิดไปเอง หรือเรื่องโกหก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกันที่มันเกิดขึ้นจริง

          เรื่องราวของผีสางนั้นอาจพูดได้ว่าไม่สามารถจะหยิบยกเอามาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากผู้ที่ประสบด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าจะเคยเจอหรือไม่เคยก็แล้วแต่ คนเราก็มักจะกลัวไว้ก่อนเสมอ
          เรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องราวของ ความกลัว ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมจะขอเรียกเธอว่า ‘พี่ปลา’ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุบังเอิญหรือความจงใจของใครบางคนเราได้มารู้จักกันในช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมทั้งเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แต่ทิ้งไว้เพียงแผลใจและความกลัวให้เธอเท่านั้น
           ทุกคนต่างมีสิ่งที่ไม่ชอบและไม่อยากเข้าใกล้ บางอย่างที่เรากลัว ความกลัวเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาจเป็นความหลัง ประสบการณ์ คำบอกเล่าหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มีความกลัวอย่างหนึ่งที่เราไม่รู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร เรารู้แค่ว่า เรากลัว แม้ว่าเราจะไม่รู้ที่มาและสาเหตุ แต่เชื่อเถอะว่าเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อหนีจากมัน
          เรื่องราวความกลัวของ พี่ปลา ที่จะเล่าให้ฟังนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆคนอาจจะเป็นกันแต่สำหรับเธอคนนี้มันมากไปกว่านั้น เธอเป็นคน ‘กลัวน้ำ’ การกลัวน้ำลึกๆหรือน้ำเชี่ยวนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พี่ปลาเป็นมากกว่านั้น เธอกลัวที่จะต้องสัมผัสกับน้ำ แม้กระทั่งการอาบน้ำก็สร้างความรู้สึกด้านลบให้เธอในบางที
          ตั้งแต่จำความได้เธอไม่ค่อยถูกโรคกับน้ำสักเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ต้องเรียนว่ายน้ำเพราะที่บ้านไม่อยากให้เธอจมน้ำเมื่อเกิดอุบัติเหตุมักเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเสียเหลือเกิน เธอพยายามกลั้นใจทำตามความหวังดีนั้น แต่มันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ เธอทำได้เพียงลอยตัวในน้ำไม่ให้จม แค่นั้น
          หลายครั้งที่เธอต้องไปเที่ยวกับเพื่อนๆและที่หมายก็มักจะเป็นทะเลเพราะใกล้กับที่อยู่อาศัยและสถานศึกษาในช่วงชีวิตนั้นของเธอ เธอรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่จะต้องลงไปในน้ำ แม้จะเพียงข้อเท้าเธอก็รู้สึกได้ว่า มันมีอะไรอยู่ในนั้น
           หลายๆคนอาจบอกว่าเรื่องแค่นี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเธอได้เลย รวมถึงผมด้วยเช่นกันผมไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะมากมายอะไรจนเธอต้องการความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางออกทางวิทยาศาสตร์แบบนี้
          เธอค่อยเล่าไปเรื่อยๆถึงความกลัวที่มีแม้ว่าเนื้อหามันจะวนไปวนมาเหมือนเธอไม่สามารถจะอธิบายสิ่งที่เธอรู้สึกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอเล่าได้อย่างชัดเจนถึงความกลัวของเธอคือ เธอรู้สึกว่ามีใคร หรืออะไรบางอย่างที่อยู่ในน้ำ
          ไม่ใช่น้ำลึกของทะเลหรืออะไรแม้แต่สระว่ายน้ำสวยๆในโรงแรมมันก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ทุกครั้งที่เธอต้องลงไปในน้ำเธอจะรู้สึกถึงเสียงของใครบางคนที่สะท้อนก้องอยู่ในน้ำ ฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่ได้ยินชัดเจนแต่รู้ว่ามี เสียงนั้นเหมือนเรียก เรียกเธออยู่ตลอด
          ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้นที่เธอได้พบเจอ ครั้งหนึ่งเธอเคยพยายามจะรักษาความกลัวของเธอเพื่อชีวิตที่ปกติสุข เธอลองเดินลงไปในทะเลตื้นๆที่มีเพื่อนๆของเธออยู่ใกล้ๆคอยดูอยู่ไม่ห่าง เธอค่อยก้าวลงไปทีละนิดพร้อมต่อสู้กับความกลัวในใจ
          ครึ่งตัว เธอบอกกับผมอย่างนั้น เมื่อลงไปได้ครึ่งตัวเธอรู้สึกเหมือนมีมือของใครบางคนจับอยู่ตรงข้อเท้าแล้วออกแรงดึงจนเธอล้มลงแล้วจมลงไปในน้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงดึงนั้นหรือคลื่นที่ซัดขึ้นลงตรงชายฝั่งทำให้เธอลอยไกลออกไปห่างจากที่ที่เพื่อนๆของเธอยืนอยู่
          พี่ปลาจำความรู้สึกนั้นได้ดี สัมผัสของมือที่ดึงเธอลงไปใต้น้ำ มันชัดเจน มากกว่าคำว่า คิดไปเอง จากเรื่องนั้นความกลัวที่มีค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิด จนในที่สุดก็เกิดเรื่องที่ทำให้เธอ กลัว จนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
          หลังจากวันเกิดของเธอในช่วงครบรอบ 27 ปีเต็ม ปีนั้นพี่ปลาบอกว่าชีวิตของเธอค่อยๆแย่ลง พูดได้เลยว่าดวงตกแน่ๆ เธอคอยไปตรวจดวงชะตากับหมอดูตามที่ต่างๆด้วยนิสัยของผู้หญิง และเกือบจะทุกที่ก็พูดเหมือนกันหมดว่า เธอกำลังดวงตกอย่างหนัก
          หลักจากถูกทำนายทายทักเหมือนๆกันจากหลายๆที่ เธอก็เริ่มเป็นกังวลและหาทางออกเพื่อความสบายใจของตนเอง ซึ่งในแต่ละที่นั้นก็มีพิธีกรรมแตกต่างกันไป เธอเลือกที่จะทำทุกอย่างที่เธอทำได้ ด้วยความที่เธอไม่มีปัญหาด้านการเงิน การสิ้นเปลืองกับเรื่องเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
          แต่แล้วเรื่องราวรอบๆตัวเธอก็ไม่ดีขึ้นอย่างที่หวัง มันแย่ลง และเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทำให้เกิดความยากลำบากทั้งในการทำงานและการดำเนินชีวิตนั้นจะมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของสาวแกร่งอย่างเธอ แต่สิ่งที่เธอไม่สามารถจัดการกับมันได้กลับทำให้เธอแทบจะเสียสติ
           หลายต่อหลายคืนที่เธอมักฝันแปลกๆ ในฝันนั้นเธอมักจะเดินอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำซึ่งเธอไม่สามารถบอกได้ว่าน้ำนั้นเป็น สระ หรือว่าทะเล เพียงแต่รู้ว่ามีน้ำอยู่ใกล้ๆ บางคืนตัวเธอในความฝันจะเดินเข้าใกล้น้ำนั้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็เดินลงไปในนั้น
          เธอฝันอย่างนั้นอยู่ร่วมเดือนจนเธอเริ่มกลัวและสงสัยในตัวเอง แต่พี่ปลาก็ยังบอกกับตัวเองว่ามันคงเป็นความเครียดสะสมผสมกับความกลัวส่วนตัวเท่านั้น
          เวลาผ่านไปความฝันของเธอก็เริ่มจะเปลี่ยนไปด้วยเช่น เธอเริ่มฝันว่าเธอเหมือนลอยอยู่ในน้ำ เธอจมอยู่ใต้น้ำ แต่ไม่อึดอัด ความรู้สึกนั้นเธออธิบายไม่ถูกแม้แต่ในตอนที่เล่าให้ผมฟังเธอก็ขมวดคิ้วพูดวนไปวนมาไม่ได้ความ
          ความฝันที่มากขึ้นเรื่อยๆเริ่มมีผลกับชีวิตประจำวันของเธอ เธอเริ่มได้ยินเสียงแว่วในหู เสียงนั้นฟังไม่ได้ยิน เหมือนกับมันไม่ได้มาจากที่ไหน เหมือนกับดังอยู่ในหัว เธอฟังไม่รู้เรื่องในตอนแรกว่าเสียงนั้นพูดอะไร แต่เสียงนั้นมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเริ่มเข้าใจในความหมายนั้น มันเป็นชื่อของใครบางคน เธอมั่นใจอย่างนั้น
          ‘บุษบา’ ชื่อที่เธอได้ยินก้องอยู่ในหัวแต่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเข้าใจความหมายของชื่อที่ได้ยินเลยสักครั้ง
          เธอเริ่มกลัวในสิ่งที่ตัวเองเป็น เรื่องผีอาจเป็นส่วนหนึ่งที่เธอคิดแต่มากไปกว่านั้นเธอกลัวว่าเธอจะเสียสติ หรือว่าเป็นบ้าไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจไปพบจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา
          การรักษานั้นไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและผลสรุปของเธอก็ไม่ต่างไปจากที่คาดเท่าไหร่นัก ทุกอย่างเกิดมาจากความเครียด เธอจึงได้รับยามากิน และการดูแลตัวเองเบื้องต้น
          แน่นอนว่าอาการเหล่านั้นมันไม่ได้หายไป และแล้วมันก็เกิดเรื่องที่ตอกย้ำความคิดของเธอให้ชัดเจนขึ้น
          คืนหนึ่งที่เธอไปออกงานต่างจังหวัดเธอได้พักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้กับแม่น้ำใหญ่ ที่พักนั้นสวยมากจนเธอคิดว่าคงเป็นโอกาสดีให้เธอได้ผ่อนคลายตัวเองจากเรื่องราวที่มีบ้าง
          คืนแรก เธอหลับไปตั้งแต่หัววันเพราะงานที่หนักหน่วงและการเดินทางข้ามจังหวัดในวันเดียวกัน คืนนั้นเธอไม่ฝันอะไรเลยหลับได้อย่างเป็นสุขที่สุดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แต่ในตอนเช้าที่เธอตื่นขึ้นมานั้น เธอก้าวขาลงจากเตียงแล้วก็ลื่นเสียงหลักลงไปนั่งบนเตียงครั้งหนึ่ง เพราะน้ำที่นองอยู่บนพื้น
          พี่ปลามองน้ำที่นองอยู่บนพื้นอย่างตกใจ เธอพยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะนอน เธอบอกผมว่าเธอแค่อาบน้ำแล้วมานั่งเป่าผมอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งมันอยู่อีกฝั่งกับที่เธอเจอน้ำบนพื้น
           เธอเล่าให้ผมฟังว่าห้องพักในวันนั้นเป็นห้องขนาดกลาง เป็นเตียงคู่ เข้าห้องมาจะเป็นทางเดินเล็กๆมีห้องน้ำอยู่ขวามือเหมือนกับโรงแรมทั่วๆไป แต่โต๊ะเครื่องแป้งจะอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกำแพงห้องน้ำกับเตียงนอนที่หันข้างให้ไม่ได้อยู่ตรงปลายเท้าของเตียงเพราะตรงนั้นจะเป็นหน้าต่างไว้ให้ชมวิว
          นั่นหมายถึงหยดน้ำควรจะอยู่อยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งที่เธอเป่าผมเท่านั้นไม่น่าจะเลยมาจนถึงเตียงหลังที่สองที่เธอนอนได้ เธอเลือกนอนเตียงด้านในที่ไม่ใช่ตัวติดโต๊ะเครื่องแป้งเพราะมันติดกับประตูระเบียงที่เป็นกระจกยาวทำให้มองเห็นวิวด้านนอกได้
          น้ำที่นองอยู่บนพื้นนั้นมากพอสมควร แต่มันไม่ได้นองไปทั่วห้อง มันเลอะอยู่ตรงข้างเตียงระหว่างช่องว่างของทางเดินกับประตูระเบียงห้อง แล้วก็เลยไปจนเกือบถึงปลายเตียงนิดหน่อย พอพ้นเตียงมาตรงกลางห้องก็ไม่มีแล้ว ยิ่งหน้าห้องน้ำยิ่งแห้งมาก
          แต่เธอบอกว่า อาจจะเป็นฝนสาดเข้ามาก็ได้เพราะเมื่อคืนมีฝนตกพรำๆ ระเบียงด้านนอกก็ยังมีละอองน้ำเปียกตามพื้นให้เห็นบ้าง เธอออกไปเรียกแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก็โดนบ่นนิดหน่อย แม่บ้านคิดว่าเธอทำน้ำหก ประตูกระจกมันดีพอที่จะไม่รั่วให้ฝนสาดเข้ามา แม่บ้านยืนกราน
          เรื่องแปลกในคืนนั้นยังติดอยู่ในสมองของเธอไปทั้งวันแม้ว่าเธอต้องทำงานไปด้วย และที่สำคัญเธอยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายคืน
           ในช่วงเย็นก่อนจะกลับเข้าที่พักเธอแวะที่ตลาดเพื่อหาซื้อพวงมาลัยสวยๆมาหนึ่งพวงด้วยความคิดที่ว่าอาจจะเป็นเพราะไม่ได้ไปสักการะบอกกล่าวก่อนเข้าพัก เลยเป็นเหตุให้โดนรบกวน

พี่ปลารีบกลับมาถึงโรงแรมในเวลาไม่เย็นนัก อาจเพราะไม่ใช่ตัวเมืองใหญ่ก็เลยทำให้รถไม่ติด เธอเดินตรงไปถามที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่าที่นี่มีศาลหรืออะไรไหม ทางพนักงานก็นำทางไปจนถึงที่ ที่นั่นมีศาลตายายอยู่ศาลหนึ่งส่วนอีกศาลเป็นศาลพระพรหมแทน ไม่มีศาลพระภูมิ
          ด้วยพวงมาลัยที่เตรียมมาแค่พวงเดียวเธอจึงเลือกว่าไว้ที่ศาลพระพรหมแล้วไหว้ตายายด้วยมือเปล่า
          เธอสบายใจขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังไม่หายจากความวิตก เธอเลือกไปนั่งที่ริมน้ำเพราะตรงนั้นมีสวนธรรมชาติสวยงาม ถ้าเป็นผมก็คงจะเลือกเดินไปนั่งใกล้แม่น้ำที่สุด แต่พี่ปลาเลือกจะมานั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินถัดออกมาหน่อยใต้ร่มไม้ ได้เห็นแม่น้ำแค่ไกลๆ
          พี่ปลาหลับไปวูบหนึ่งคงเป็นเพราะความเพลียจากงาน เธอรู้สึกตัวตื่นมาในช่วงโพล้เพล้พอดี เธอเดินกลับเข้ามาในตัวโรงแรมเพื่อหาอะไรกิน ตอนที่แวะถามพนักงานถึงเรื่องมือเย็นเธอก็สะดุดใจกับท่าทีของพนักงาน
‘ไม่ทราบว่าอีกท่านจะทานด้วยไหมคะ เห็นคุณผู้หญิงมาเข้าพักคนเดียวอาจจะต้องแจ้งทางพนักงานเพิ่ม’
          พนักงานคนเดิมกับที่พาเธอเดินไปไหว้ศาลนั้นถามด้วยท่าทางที่ไม่น่าจะเป็นการแกล้งเพราะตัวพนักงานเองพยายามชะเง้อมองออกไปยังตรงที่พี่ปลาเพิ่งลุกเดินออกมา
‘ก็มาคนเดียวนี่คะ ไม่ได้มากับใคร’ พี่ปลาบอกว่าตอนนั้นใจไม่ดีเลยมันกังวลอย่างไรไม่รู้
‘เอ.. เมื่อสักครู่เห็นคุณผู้หญิงฟุบหลับไปมีคุณผู้หญิงอีกท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้มาด้วยกันหรอคะ’
          คำถามของพนักงานเริ่มมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ทางพี่ปลาเองก็ยังยืนยันว่ามาเองคนเดียว พนักงานเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงไม่ซักไซ้ต่อ แต่เลือกเดินไปที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์แล้วบอกให้ลองตรวจสอบดูหน่อยว่ามีแขกที่จะมาทานอาหารกี่ท่าน
          ท่าทางของพนักงานแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้โกหก พี่ปลาเริ่มกังวลกับเรื่องราวแปลกๆที่มันเกิดขึ้นรอบๆตัวในขณะนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
          คืนนั้นก่อนนอนเธอกราบพระลงบนหมอนเปิดโทรศัพท์สวดมนต์ตามในอินเตอร์เน็ตเนื่องจากห่างหายกับการสวดมนต์มานานทำให้เธอจำบทสวดอะไรไม่ได้เลย
          กว่าจะหลับลงได้เวลาก็ล่วงลวงไปกว่าเที่ยงคืนซึ่งนั่นถือว่าดกมากสำหรับตัวเธอเองที่เข้าสู่วัยทำงานมาได้พักหนึ่งแล้ว
          ในคืนนั้นเองเธอก็ฝันอีก ในความฝันนั้นเธอกำลังเดินอยู่ในสวนของโรงแรม เธอเดินตรงเข้าไปหาแม่น้ำตรงหน้า ที่เดียวกับที่เธอเลี่ยงจะไม่เข้าไปใกล้เมื่อเย็น
          ในฝันเธอเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆพร้อมกับเสียงที่ดังก้องลอยอยู่ในอากาศหรือในหัวเธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ ‘บุษบา’ เสียงนั้นชัดเจนกว่าที่เคย เสียงนั้นกังวานหวานใส แต่กลับให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเอาเสียเลย
          ใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น ตรงท่าน้ำที่ยื่นออกไปจากส่วนของโรงแรม หญิงสาวคนนั้นยืนหันหลังให้เธอ เธอค่อยๆเดินเข้าไป แม้ว่าใจจะไม่อยากเข้าไปใกล้ จนในที่สุดเธอก็เดินมาจนเกือบประชิดตัวของผู้หญิงคนนั้น ในฝันเธอเอื้มมือออกไปแตะที่ไหล่เหมือนจะเรียก
‘อย่า’
          เสียงอีกเสียงหนึ่งดังซ้อนขึ้นมาในความคิดพร้อมๆกับแรงกระชากไหล่ให้หันไปข้างหลัง เมื่อเธอหันมาเธอกลับสะดุ้งตื่นทันที พี่ปลาหอบหายใจอยู่บนเตียงนอนที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มมีแสงสีส้มทอเต็มท้องฟ้า เธอหันไปมองนาฬิกาตรงหัวนอนเป็นเวลาใกล้ 6 โมงเช้า
          พี่ปลาค่อยๆรวบรวมสติและความคิดไล่เรียงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เธอบอกกับผมว่าเธอตื่นในทันทีที่เธอหันหลังกลับ ในความฝัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอยืนยันกับผมว่า เธอเห็นอะไรบางอย่าง เธอเห็นแน่ๆ แต่เธอจำไม่ได้ มันเหมือนภาพตัดไป
          หลังจากคืนนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเรื่องราวประหลาดอีก จนถึงวันที่เธอกลับ พี่ปลาบอกกับผมว่าในตอนนั้นคิดเอาเองว่า คงจะเป็นที่โรงแรม ที่นั่นอาจมีเรื่องเล่า หรือว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ คนจิตอ่อนอย่างเธอจึงรู้สึกได้
          หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยังคงต้องพบเจอกับเรื่องแปลกๆอีกหลายครั้ง น้ำที่นองอยู่ตามพื้นในเวลาที่เธอตื่น แม้แต่ในบางคืนที่เธอไม่ได้อาบน้ำก่อนนอน ก็ยังคงมีรอยน้ำนั้นอยู่ตามห้องพักของเธออยู่ดี
          เธอเริ่มคิดแล้วว่า เธอเองรึเปล่าที่กำลังเจอกับสิ่งที่มองไม่เห็น พี่ปลาอาศัยวันหยุดที่มีอยู่น้อยนิดขับรถไปจังหวัดใกล้ๆกับกรุงเทพตามคำแนะนำของคนรู้จัก
          วัดนี้คนหลายๆคนชอบมาสะเดาะเคราะห์กัน นั่นคือคำแนะนำของรุ่นพี่ที่ทำงานท่านหนึ่งโดยในวันนั้น พี่ดา ก็มาเป็นเพื่อนด้วยเช่นกัน
          พี่ดาเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน นิสัยใจคอเป็นคนคุยง่ายจึงสนิทกับพี่ปลามากกว่าคนอื่นๆที่สำคัญคือ พี่ดาคนนี้เป็นพวกบ้าดูดวงอย่างมากเรียกว่าที่ไหนดีพี่แกไม่เคยพลาด การได้กูรูมาเป็นเพื่อนแบบนี้ก็ทำให้พี่ปลาอุ่นใจไม่น้อย
          ผู้หญิงรุ่นพี่เดินนำทางไปอย่างชำนาญเหมือนกับมาบ่อย เธอเดินตรงไปที่ซุ้มเล็กๆใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแทนที่จะเดินไปยังวิหารพระประธาน
           ที่ตรงนั้นเป็นซุ้มผ้าเล็กๆที่มีโครงไม้เก่าๆ ในนั้นมีหมอดูสูงอายุอยู่คนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น พี่ดากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง คุณยายที่นั่งอยู่ในนั้นกล่าวตอบรอบแต่สายตานั้นไม่ได้มองไปทางผู้เป็นรุ่นพี่เลย แต่กลับจ้องมายังอีกคนหนึ่งแทน
          หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว พี่ปลาก็ถูกจับให้มานั่งตรวจดูดวงชะจาเป็นรายแรก จากคำบอกเล่าของพี่ปลาซึ่งไม่เข้าใจศาสตร์พวกนี้เท่าไหร่จึงบอกผมได้แค่เพียงว่าเขาใช้วันเดือนปีเกิดแล้วมีแผนผังเป็นรูปช้าง
          หลังจากการคำนวณของหมอดูสักพักหนึ่ง ทุกอย่างก็ยังเงียบอยู่ ลูกค้าทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็พอจะคาดเดาได้จากใบหน้าที่ตอนนี้คิ้วขมวดอย่างาหนักใจ
          หลังจากพยายามถามถึงสภาพดวงชะตาของพี่ปลาจากหมอดู แต่คำตอบที่ได้กลับน่าตกใจจนคาดไม่ถึง
‘หนูบอกวันเดือนปียายถูกใช่ไหมลูก’
‘ทำไมคะ มีอะไรหรือเปล่า ไม่ดีหรือคะ’
‘ตามวันเดือนปีเกิดนี้มัน... บอกว่าหนูชะตาขาดไปนานแล้ว’
          คำตอบนั้นของหมอดูทำเอาคนทั้งสองถึงกับทำตัวไม่ถูก คุณยายพยายามคำนวณดูอีกหลายครั้งก็ยังได้คำตอบแบบเดิม คือ ชะตะขาด นั่นหมายถึงไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม้แต่นิดเดียว
          คุณยายเลือกที่จะคืนเงินให้พี่ปลาทั้งหมดพร้อมกับขอโทษที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ อาจเป็นที่คุณยายเองสุขภาพไม่พร้อมหรืออาจจะมีความผิดพลาดในจุดอื่นๆ แต่มาทั้งทีก็คงจะไม่ให้เสียเที่ยว คุณยายให้ถามและปรึกษาสิ่งที่คาอยู่ในใจแทนการทำนายดวงชะตา
          พี่ปลาเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาให้คุณยายฟังอย่างรวดเร็วด้วยความร้อนใจ คุณยายรับฟังพลางเปิดตำราเล่มเก่าที่วางอยู่ใกล้ๆไปด้วย
‘หนูกำลังจะมีเคราะห์จากน้ำ’
          คำว่าน้ำทำให้ใจพี่ปลาหล่นวูบ แต่สิ่งที่ต้องตั้งใจฟังก็คงจะเป็นวิธีสะเดาะเคราะห์ของคุณยายมากกว่า โดยนันนั้นสิ่งที่พี่ปลาถูกบอกให้ทำคือ
- ปล่อยปลา
- ขอขมาพระแม่คงคา
- ทำกระทงเล็กๆแล้วตัดเล็บตัดผมกับชายเสื้อใส่กระทงแล้วลอยน้ำไป
          แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ให้ทำนั้นทำไปเพื่ออะไรแต่พี่ปลาก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว โดยที่กระทงนั้นคุณยายรับปากจะทำให้เพราะอาชีพหลักของคุณยายคือการทำบายศรีอยู่แล้ว
           การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่างๆนั้นอาจดูไม่น่าไว้วางใจสำหรับตัวเธอเพราะอาจเหมือนการหลอกให้จ่ายเงินเพิ่มเติมเหมือนอย่างหมอดูทั่วๆไป เว้นเสียแต่คราวนี้คุณยายไม่แม้แต่จะรับเงินสักบาทจากเธอ กระทงนั้นก็ทำให้ด้วยความสงสารและเห็นใจคนอายุคราวหลานอย่างเธอเช่นกัน

ไม่มีอะไรผิดปกติในตอนที่ปล่อยปลากับขอขมาพระแม่คงคา การขอขมานั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่ไปกราบพระประธานในวิหารแสดงความตั้งใจของตัวเองแล้วลาดอกไม้ที่ไหว้พระนั้นไปลอยน้ำ ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นความเชื่อหนึ่ง ผมก็เคยได้ยินมาในหลายๆวิธี
          แต่มันมีปันหาตรงส่วนสุดท้าย กระทงพร้อมใช้ในเวลาไม่นาน กระทงนั้นทำจากใบตองเป็นอันเล็กๆขนาดแค่พอใส่ซาลาเปาได้ลูกหนึ่งเท่านั้น เล็บกับเส้นผมของพี่ปลาถูกบรรจุอยู่ในกระทงอย่างประณีตด้วยมือของคุณยาย
          ส่วนเสื้อนั้นในตอนแรกพี่ปลาบอกว่าขอออกไปซื้อเสื้อมาได้ไหมไม่อยากตัดตัวที่ใส่อยู่เพราะชอบมาก คุณยายยิ้มแล้วตอบกลับ ‘อย่างนั้นยิ่งดีเลยลูก ยิ่งรักมาก ยิ่งชอบมาก ยิ่งแทนตัวเราได้อย่างดี’
          พี่ปลาตัดใจใช้กรรไกรตัดชายเสื้อใส่ลงในกระทง พร้อมกับที่คุณยายบอกว่าออกจากวัดแล้วให้รีบตรงไปหาซื้อเสื้อใหม่ใส่ทันที ตัวนี้ก็ทิ้งไปอย่าเอามาใส่อีก แม้ว่าใจจะเสียดายแต่ก็คงไม่มีทางเลือกในตอนนี้
          กระทงของเธอค่อยๆลอยออกจากฝั่งตามแรงวักน้ำไล่เบาๆ ตรงนั้นเป็นแม่น้ำที่ไหลอยู่ตลอดน้ำทำให้กระทงลอยไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เธอยังจำได้จนวันนี้ กระทงไม่ได้ลอยไปตามแรงน้ำ มันหยุดอยู่กลางแม่น้ำ นิ่งๆ
          สายตาทั้งสามคู่มองอย่างสงสัย กระทงใบเล็กๆค่อยๆลอยวนเป็นวงกลมอยู่ตรงนั้นคล้ายกับถูก น้ำวน หรืออะไรสักอย่าง แล้วเพียงไม่ถึงอึดใจกระทงก็จมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ราวกับมีคนดึงมันลงไป มากกว่าการที่มีน้ำล้นเข้าจนจมลง
‘คงเป็นวังปลา ไม่ก็น้ำวนแหละมั้ง’
          พี่ดาปลอบใจเพราะดูแล้วพี่ปลาจะกลัวเอามากๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลมอาจเพราะความกลัวที่เริ่มมากขึ้น คุณยายเรียกให้ไปนั่งพักใต้ร่มไม้ที่เดิม
          คุณยายพยายามปลอบแต่ก็ไม่เคยพูดย้ำว่ามันเป็นเพียง เหตุบังเอิญ คุณยายผูกข้อมือให้เป็นกำลังใจในวันนั้นและไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีกเพียงแค่แนะนำว่า
‘ถ้ามีเวลาก็ลองไปบวชดูนะลูก ให้พระท่านช่วย’
           เรื่องในวันนั้นทำให้ความกลัวในจิตใจเธอเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอยอมรับว่าบางครั้งถึงกับมานั่งร้องไห้คนเดียว เพราะหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่ได้ดีขึ้น บางครั้งมีน้ำนองอยู่ที่พื้นห้องนอนเธอบ่อยครั้ง บางครั้งเธอตื่นมาพร้อมรอยแดงบนใบ้หน้าของเธออย่างไม่รู้สาเหตุ
          รอยแดงที่พูดถึงนั้นเป็นรอยปื้นแดงๆอยู่บริเวณแก้มของเธอ เธอไม่ได้แพ้เครื่องสำอาง และไม่เคยลืมที่จะล้างหน้าก่อนนอนตามประสาของผู้หญิง แต่รอยแดงนั้นมันก็ปรากฏอยู่เรื่อยๆ จนเธอเริ่มผวาว่าในตอนเช้า จะได้พบกับมันหรือไม่
          วันหนึ่งเธอเริ่มไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเริ่มโทรมจนคนรอบข้างทัก ทำให้ก่อนนอนในคืนหนึ่งเธอนั่งร้องไห้มองน้ำที่นองอยู่บนพื้นอย่างหวาดกลัวและอึดอัด
‘มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ จะเอาอะไรก็มาบอก อย่ามาทำอย่างนี้’
          สิ้นเสียงตวาดในคืนนั้นเธอก็ได้แต่ร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆจนเพลียและหลับไปในที่สุด เหมือนใครบางคนจะได้ยินความต้องการของพี่ปลา เพราะคืนนั้นเธอฝันอีกครั้ง
          ในความฝันนั้นเธอนอนอยู่บนเตียง เตียงมืดๆในห้องนอนเดิมของเธอ ที่ตรงนั้นมีแสงไฟสาดเข้ามาจากทางถนน ตรงข้างเตียงใกล้ชิดกับตัวเธอมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ เธอตัวแข็งไม่รู้สึกตัว เธอบอกว่านั้นน่าจะเป็นความฝันมากกว่าการสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น
          หญิงสาวร่างบางในชุดที่เธอบอกว่าจะเรียกว่าเสื้อผ้าได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ มันบางมันเปียกจนแนบเนื้อ บางกว่าเสื้อผ้าที่เธอเคยเห็นมา ร่างนั้นชัดเจนในความมืดผิดจากวัตถุอื่นๆรอบห้อง แสงนวลตาบอกไม่ถูกว่าสีอะไรแต่เธอคลับคล้ายคลับคาว่าออกเขียว แต่จางมากเหลือเกิน
          ร่างเปียกแฉะนั้นมีน้ำหยดลงมาตามผมที่มีสีแกมเขียวแต่ดูสกปรกคล้ายตะไคร่น้ำ ร่างนั้นหันมาหาเธอเหมือนจงใจ ผมเผ้ารุงรังที่ปิดหน้าตาทำให้เห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก แต่ในตอนที่ยังไม่ทันจะตั้งตัวร่างนั้นก็หายวับไปเหมือนกับไม่เคยมีอยู่
          ร่างนั้นมาปรากฏอยู่บนตัวเธอแทนในท่าคร่อม เธอตกใจจนแทบลืมหายใจแต่กลับไม่มีเสียงมากพอที่จะกรีดร้องออกมา ในสายตาตอนนั้นเธอเห็นหน้าตาได้อย่างชัดเจน ผมที่ย้อมลงมาแปะบนหน้าเธอเปียก และเย็นเฉียบ ใบหน้าของหญิงสาวอายุน่าจะไม่เกิน40 เพราะยังมีความสาว แต่ส่วนประกอบบนหน้านั้นไม่ปกติ
          ผิวหน้าที่ซีดเผือดผิดปกติเหมือนเวลาอยู่ในน้ำนานๆ ดวงตาที่กลมโตมากกว่าปกติเหมือนจะถลนออกมาเล็กน้อย ดวงตาขาวขุ่นเหลืองจนน่าเกลียด รอยยิ้มที่มองไม่เห็นฟัน ร่างนั้นมองเธออย่างพอใจด้วยรอยยิ้มบนหน้า
          ร่างนั้นค่อยก้มลงมาหาเธอช้าๆ มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามแก้มของเธอสัมผัสนั้นน่าสะอิดสะเอียน พี่ปลาบอกกับผมว่ามันเย็น มันลื่นเหมือนเวลาเราเจอกับตะไคร่น้ำตามทางเดิน กลิ่นคาวของน้ำเสียที่คุ้นเคยดีตามแหล่งน้ำในตัวเมืองทำให้เธอแทบอาเจียนออกมา
          เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากสภาพนั้น แต่เหมือนจะไร้ประโยชน์ เธอหลับตาไม่อยากมองภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า เธอสวดมนต์เท่าที่จะจำได้แม้ว่าจะน้อยนิด ก่อนที่เธอจะหลุดจากสภาพนั้น ร่างตรงหน้าเธอขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงความเปียกแฉะของผิวหนัง
‘บุษบา’
          เสียงแหบแห้งในลำคอเรียกชื่อใครบางคนตรงใกล้ๆกับหูของเธอ มันยิ่งเพิ่มความกลัวให้กับเธอ จนในที่สุดเธอก็สะบัดมันหลุด แล้วก็ตื่นขึ้นมาแทบจะในทันที
          เธอหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงภาวนาให้มันเป็นเวลาเช้า แต่เปล่าเลยมันเพิ่งจะประมาณตี 4 เท่านั้น เธอรีบลุกจากเตียงไม่อยากอยู่ในห้องต่อไปแม้จะอีกนาทีหนึ่ง
          ตอนที่เธอคว้าเอาเสื้อคลุมมาใส่นั้นเธอต้องขนลุกไปทั่วทั้งตัวกับสัมผัสอันเปียกลื่นตรงแขนของเธอ มันไม่ใช่ความฝัน เธอเริ่มแน่ใจ และก่อนที่จะออกจากห้องไปเธอมองในกระจกเห็นหน้าตัวเองที่ตอนนี้มีรอยแดงอยู่ตรงแก้ม ข้างเดียวกับที่ร่างนั้นลูบไล้เธอ
          แม้ว่าจะเป็นเวลาก่อนฟ้าสางในตัวเมืองหลวงอย่างนี้ก็เริ่มจะพลุกพล่านด้วยคนสัญจรและคนทำความสะอาดตามที่ต่างๆ เธอเดินไปตามทางที่คุ้นเคยเพียงเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว แค่ได้เห็นคนกวาดถนนก็อุ่นใจแล้ว
          เธอนั่งอยู่ตรงสวนใกล้ๆที่พักนานจนพระเริ่มบิณฑบาต เธอรีบเดินไปจับจ่ายหาข้าวของมาใส่บาตรเพื่อความสบายใจ
          เธอเดินกลับห้องในตอนฟ้าสาง เธอไม่รีบร้อนมากนักเพราะไม่อยากจะกลับไปเจออะไรที่น่ากลัว และอีกเหตุผลคือวันนี้เป็นวันหยุด เธอไม่มีธุระต้องไปไหน แต่ตอนนี้เธอเริ่มคิดแล้วว่าการออกไปเดินห้างอาจเป็นเรื่องที่ดี
          เมื่อกลับเข้ามาถึงที่พักก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปเธอต้องร่วมรวมความกล้าอยู่นานถึงขนาดต้องเปิดโทรศัพท์วีดีโอคอลหาเพื่อนสนิทให้อยู่เป็นเพื่อน
          เมื่อเปิดประตูห้องได้ก็รีบกดสวิทซ์ไฟเพิ่มความสว่าง ดี ตอนนี้ไม่มีอะไรห้องว่างเปล่า เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
          พี่ปลาหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมาดื่มดับกระหาย แต่เธอพ่นออกมาในทันทีเพราะน้ำในขวดน้ำเหม็นคาวมาก มันคาวมากจนเกินจะกินได้ เหมือนกับเอาน้ำที่มีปลาว่ายมาใส่ขวดไว้
          เธอวิ่งไปอาเจียนด้วยความคลื่นไส้ แล้วก็รีบเปิดน้ำไล่ของเสียแต่น้ำที่เปิดออกมาก็เหมือนคาวไม่ต่างกัน เธอเริ่มกลัว แต่ยังคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นความสกปรกของระบบน้ำก็ได้
          เธอเปิดน้ำขวดใหม่ที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกออก แต่พอดื่มเข้าไปก็เจอกับสภาวะเดิม มันคาวจนเธอกินไม่ลงเธอกลัวจนรีบโทรหาพี่ดาที่อยู่ใกล้ให้รีบมาหา
          พี่ดามารับเธอถึงในห้องแล้วรีบพากันออกไปจากที่พักในวันนั้น ทั้งสองคนวนรถเข้ามาที่คอนโดของพี่ดา เพื่อมาอยู่ชั่วคราวก่อน
          คอนโดนั้นมีศาลใหญ่โตและถูกสร้างอย่างดี เห็นว่ามีหมอดูชื่อดังมาตั้งให้ทีเดียว คงไม่แปลกสำหรบคนสายไสยศาสตร์อย่างพี่ดา ถ้าจะเลือกที่พกทั้งทีก็คงต้องเลือกที่ดีทุกด้าน
          แปลก  ที่นี่พี่ปลาดื่มน้ำได้ และอาบน้ำได้ตามปกติ พี่ดาบอกว่าอย่างนี้มันหนักมากแล้ว คงต้องไปอยู่วัดแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นให้พักก่อน หายเหนื่อยแล้ววันนี้พี่จะพาไปหาพระเอง
          พี่ดาโทรยกเลิกนัดทานข้าวกับแฟนเพื่อนรุ่นน้องที่รักเหมือนน้องแท้ๆ เธอไหว้ขอบคุณรุ่นพี่คนนี้อย่างสุดหัวใจ

บ่ายวันนั้นทั้งสองคนรีบไปที่วัดทันที จริงๆแล้วอยากจะอยู่ที่วัดสักคืนสองคืนแต่ภาระงานของพี่ดาก็มากจนไม่สามารถทำได้ครั้นจะให้ทิ้งพี่ปลาไว้คนเดียวก็เป็นกังวล
          ผ่านไปประมาณสองสามวัดกว่าจะเจอคนที่พอจะบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลวงพ่อท่านหนึ่งนั่งอยู่ในโบสถ์กับฆารวาสอีกคนหนึ่งเหมือนกำลังสนทนาธรรมหรือพูดคุยกันอย่างสนิทสนม แต่ไม่รู้ว่าด้วยสีหน้าที่อมทุกข์ หรือว่าจิตที่หยั่งถึงของหลวงพ่อ จึงเอ่ยทัก
‘หนีอะไรมาเล่าโยม’
          ทั้งสองคนรีบคลานเข้าไปกราบแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง หลวงพ่อฟังอย่างนิ่งเฉยเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไร แต่ทางอีกคนนั้นเริ่มคิดตามและหนักใจ
          ผู้ชายคนที่อยู่ตรงนั้นอายุราวๆ50เห็นจะได้แต่ปฏิบัติธรรมมานาน จนได้ฌานในระดับหนึ่งทำให้พอจะล่วงรู้อะไรได้มากกว่าคนทั่วไป จากคำบอกเล่าของคนคนนั้นคือ หนูมีกรรมกับน้ำ เป็นกรรมที่หนูสร้าง มีคนรัก มีคนเกลียด ตอนนี้กรรมกำลังทำงาน เขาตามมา
          คุณลุงเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนไม่แน่ใจในคำพูดของตัวเอง ‘ไม่สิ พวกเขา’
          ประโยคนั้นทำเอาคนทั้งสองขนลุกไปทั่วทั้งตัว ทำไมถึงใช้คำว่า พวกเขา ทั้งๆที่พี่ปลาก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นแค่ครั้งเดียวและ คนเดียว อย่างแน่นอน
          หลวงพ่อให้เธอร่วมทำวัตรในเย็นวันนั้น โดยหลวงพ่อเป็นคนกรวดน้ำและอุทิศบุญให้ ใครก็ตามที่พยายามจะทำร้ายเธอ ด้วยกรรมเก่าที่มีมาเลยทำให้ไม่สามารถจะเข้าไปยุ่งได้ทั้งหมด แต่กรรมใหม่ที่เขากำลังจะสร้าง มันยังหยุดได้
          หลวงพ่อส่ายหัว ‘เขาไม่ยอม’ ต้องยอมรับว่าบางครั้งคนบางคนก็ยอมจะสร้างกรรมใหม่เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง และแน่นอนว่ามันไม่ใช่กิจของสงฆ์ หลวงพ่อได้แต่แนะนำให้ดูแลตัวเอง และประพฤติตนในธรรม เพื่อคุ้มกายจากภัยทั้งปวง
          คืนนั้นพี่ปลานอนที่คอนโดของพี่ดา เพราะไม่กล้าจะกลับไปที่พักตัวเองแล้ว กว่าจะหลับตาลลงได้ก็กว่าครึ่งคืน แม้ว่าจะเหนื่อยเพลียแค่ไหน แต่ความกลัวมันยังไม่หายไป พี่ดาเอาพุทธรูปมาวางไว้บนหัวนอนของพี่ปลา เพื่อความอุ่นใจ
          คืนนั้นพี่ปลาหลับลงได้ในที่สุด แต่แล้วไม่รู้ว่ากี่โมง เธอเริ่มหูแว่วด้วยชื่อเดิมๆ ชื่อที่เธอไม่รู้จัก ‘บุษบา’ เสียงนั้นก้องกังวานเหมือนสะท้อนอยู่ในที่ปิด เธอไม่สามารถบังคับตัวเองได้อีกต่อไป เธอเริ่มเดินไปตามเสียงเรียกชื่อนั้น
          เธอรู้สึกตัวเหมือนคนเมา มึนๆ ภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน เธอเดินไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีเธอก็มาหยุดอยู่ที่สระว่ายน้ำของคอนโด เธอเดินเข้าไปใกล้ แม้ในใจพยายามจะฝืนก็ไม่เป็นผล
          สองเท้าเดินมาถึงขอบสระแล้วก็มีมือหนึ่งฉุดเธอลงไปในสระ พี่ปลาเล่าให้ผมฟังอย่างนั้น ในความรู้สึกนั้นเธอตื่นตัวเต็มที่เมื่อสัมผัสกับน้ำ ตรงหน้าเธอมีร่างของผู้หญิงคนเดิมลอยอยู่ในน้ำ ร่างนั้นลอยนิ่งไม่พยายามจะว่ายหรือทรงตัวใดๆ
          ร่างนั้นลอยเข้ามาใกล้จนดวงตากลมโตนั้นชิดใบหน้าเธอ มือลื่นๆสัมผัสที่แก้มของเธอแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ พี่ปลาพยายามดิ้น แต่ไม่หลุด เธอพยายามตะโกนอยู่ในความคิด
‘แกเป็นใคร จะเอาอะไร’
‘ลืมเราแล้วเหรอ’ เสียงแหบแห้งนั้นกังวานอยู่ในน้ำ
‘แกเป็นใคร’ พี่ปลายังเสียงแข็งถาม
‘บุษบา’
          สิ้นเสียงแหบนั้น ร่างซีดเผือดที่มีเมือกลื่นๆก็เข้ามากอดจนแนบชิดตัวเธอ ใบหน้าซีดๆ เหี่ยวๆ ยิ้มกว้างไม่เห็นฟัน ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองอย่างพอใจ ผมเผ้าที่คล้ายตะไคร่น้ำเหนอะหนะตัวพี่ปลาไปหมด
          ในตอนที่เธอกำลังจะหมดสติไป เธอรู้สึกถึงมืออีกคู่หนึ่งที่มาร่วมจับร่างของเธอไว้แต่เป็นฝั่งตรงข้ามกับร่างนั้น ตัวของเธอถูกแรงดึงกระชากออกห่างจากร่างน่าเกลียดนั้น
          ร่างของผีสางตนนั้นดูไม่พอใจแล้วกรีดร้องอย่างสุดเสียง พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ดังมาจากไหนก็ไม่มีใครรู้
          พี่ปลารู้สึกตัวขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่ดา เมื่อมองดูรอบๆก็เห็นว่ามีคนมายืนมองเธออยู่เยอะพอสมควร ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาสัก 6 โมงเช้า รปภ.เข้ามาตรวจความเรียบร้อยตามหน้าที่บอกว่าเห็นเธอนิ่งอยู่ในน้ำ จึงรีบพาขึ้นมา
          ดีที่ประชาสัมพันธ์สนิทกับพี่ดาจึงจำได้ว่าเป็นเพื่อนกัน รีบไปตามพี่แกมาในทันที เธอกอดพี่ดาร้องไห้สุดเสียงด้วยความกลัว
‘กลับไปพักที่บ้านสักหน่อยไหม’
          พี่ดาถามในตอนที่กำลังนั่งมองพี่ปลาเช็ดตัว คำแนะนำนั้นเป็นทางเลือกที่ดีเผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง พี่ปลาตอบรับคำแนะนำนั้นและตัดสินใจจะกลับบ้านในทันที
          พี่ดาขับรถมาส่งถึงที่บ้านต่างจังหวัดด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับแฟนหนุ่ม โดยบอกไว้ว่ายังไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้ จะจัดการเรื่องงานให้ แต่ก็คงต้องเป็นไปตามกำหนดของบริษัท
          หลังจากแยกกันเธอกลับเข้าไปในบ้านแต่ตัดสินใจว่ายังไม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ที่บ้านฟัง ขอพักสักคืนหนึ่งก่อน บ้านที่เธอโตมาตั้งแต่เด็กๆคงไม่น่ากลัวเหมือนที่อื่นๆ แต่สิ่งที่น่าหวั่นใจคือ บ้านเธออยู่ติดแม่น้ำ
          บ้านของพี่ปลาเป็นบ้านสวนจึงมีเงินและสร้างบ้านไว้อย่างสวยงาม มีสวน มีแม่น้ำ มีท่าน้ำ ตรงท่าน้ำยังมีเรือผูกไว้เหมือนสมัยก่อน (พี่ปลาส่งรูปมาให้ดู)
          คืนนั้นที่บ้านดีใจมากที่ลูกสาวคนเดียวกลับมาเยี่ยม เธอมักจะชอบเถียงแม่อยู่เสมอๆว่าอย่าเรียกเธอว่าลูกสาวคนเดียว เพราะที่บ้านนี้ยังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้จะไม่อยู่แล้วก็ตาม
          คืนนั้นเธอรู้สึกคลายใจได้อย่างมาก ความเพลียจากเรื่องราวและการเดินทางทำให้เธอขอเข้านอนแต่หัววัน เป็นวันแรกที่เธอรู้สึกง่วง และอยากนอน
          เธอหลับไปตั้งแต่ละครยังไม่ทันจบปล่อยให้โทรทัศน์เป็นคนดูเธอแทนในยามดึก เธอหลับไปจนไม่รู้ตัวว่ากี่โมง แต่เธอกลับถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่ชื่อเรียก หรืออะไรมันเป็นเสียงที่ลอยมาตามลม เสียงหวานๆโหยหวน
          เธอเผลอเดินมาตามเสียงร้องเรียกนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่คำศัพท์หรือประโยคใดๆ เธอกลับรู้และเข้าใจได้ว่า เสียงนั้นกำลังเรียกเธออยู่
          เธอเดินออกมาจากบ้านที่ทุกคนหลับหมดแล้ว เสียงหวานกังวานใสสลับกันระหว่างโทนสูงต่ำที่ไพเราะอย่างประหลาด แต่ไม่มีใจความ
‘เพลงพราย’
          ผมตอบสวนพี่ปลาไปในทันทีเพราะแน่ใจแล้วว่ามันคืออะไร ผมไม่ได้ยินมานานมากแล้วเรื่องของเพลงพราย เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ยินเลยจากปากคนสมัยใหม่ แม้แต่ในคนรุ่นเก่าๆบางคนเท่านั้นที่จะรู้ เพลงพรายมีมานานตั้งแต่โบราณเป็นเรื่องเล่าขาน ว่าเสียงนั้นไพเราะจับใจแต่อย่าได้หลงตามไป จะเจอสิ่งน่ากลัว
          ถ้าพูดกันจริงๆแล้วเรื่องของนางพราย กับเพลงพรายแล้ว จะว่าคล้ายกันก็ใช่ จะว่าเหมือนกันก็อาจจะได้กับตำนานเกี่ยวกับ นางเงือก ที่ว่ากันว่าเป็นคนอยู่ในน้ำและมีเสียงที่ไพเราะ แต่นางเงือกมักจะสวย ในเรื่องเล่า ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่ต่างกัน
          พี่ปลาทำหน้าตกใจกับคำตอบของผม จริงๆแล้วการเจอผีในลักษณะนี้ใครก็คงจะคิดถึงผีพรายไว้ก่อน แต่มันก็ไม่ง่ายนักที่จะพบเจอ คราวนี้เธอเริ่มเล่าต่อในส่วนสุดท้ายของเรื่องราว
          เธอเดินตามเสียงเพลงนั้นไปจนถึงท่าน้ำของบ้าน ที่มีเรือผูกไว้ เธอเดินใกล้เข้าไปในน้ำ แต่กลับถูกมือหนึ่งจับไว้จากข้างหลังไม่ให้เดินต่อ เธอเดินไปต่อไม่ได้ และก็หันหลังกลับไปมองไม่ได้เช่นกัน
          ตรงหน้านั้นมีเสียงเพลงที่เธอได้ยินดังอยู่มันก้องขึ้นเรื่อยๆ เหมือนใกล้กับต้นตอของเสียง ลึกลงไปที่ท่าน้ำนั้น เธอเห็นร่างเดิมของหญิงสาวน่ากลัวคนนั้น เธอค่อยลอยขึ้นมาจากส่วนลึกของน้ำ จนโผล่พ้นมาแค่ช่วงบนของส่วนหัวถึงขอบจมูกเท่านั้น
          สายตาแข็งกร้าวจ้องมาอย่างกินเลือดกินเนื้อ ดวงตาที่กลมโตนั้นทำให้มันดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ผมยาวที่สะยายอยู่บนผิวน้ำเหมือนสาหร่ายเน่าๆ ขนลุกน่าขยะแขยง
          ดวงตานั้นจ้องเธอไม่วางตา เธอตัวแข็งด้วยความกลัวแล้วศีรษะที่ลอยอยู่เหนือน้ำนั้นก็ลอยใกล้เข้ามาที่ตีนบันไดของท่าน้ำ

มือเหี่ยวๆลื่นๆนั้นค่อยแตะบันไดขึ้นมาทีละขั้น คืบคลานมาใกล้ตัวเธอ เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากมืออีกข้างที่รั้งเธอไว้ไม่ให้ไปไหน เธอพยายามอย่างสุดแรงจนเหมือนเรี่ยวแรงหายไปหมด เธอล้มลงบนพื้นไม้กระดานของท่าน้ำ
           ร่างตรงหน้ายิ้มอย่างพอใจด้วยปากที่ไม่มีฟันมีแต่เศษอะไรไม่รู้อยู่ในนั้น มันค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ จนในที่สุดมันก็ขึ่นมาคร่อมตัวเธอไว้ทั้งตัว
          ‘มันกอดพี่’ พี่ปลาใช้คำนี้กับผม อ้อมกอดนั้นยิ่งแน่นขึ้นก็ยิ่งน่าขนลุก สัมผัสลื่นๆตามเนื้อตัวกลิ่นคาวที่คลุ้งจนเธอต้องอาเจียนออกมา เธอสำลักกลิ่นนั้นสลับกับเศษอาหารของตัวเองจนรู้สึกทรมาน
          เธอพยายามดิ้นให้หลุด แต่ก็ไม่หลุด และทั้งๆที่เธอกำลังดิ้นอยู่นั้นเธอก็ได้ยินเสียงแม่ เธอได้สติทันทีรีบลืมตามามอง ก็เห็นแม่นั่งเขย่าตัวอยู่ข้างๆ เธอรีบเข้าไปกอดแม่ทั้งๆที่ตัวเองเปื้อนเศษอาหารอยู่ เธอบอกว่าแม่มองไปที่ท่าน้ำก็ยังเห็นเป็นคลื่นน้ำไหวอยู่ตรงที่เธอเห็น
          กว่าเธอจะได้สติพอที่จะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้แม่ฟังก็ช่วงสายไปแล้ว แต่ยังไม่ทันได้เล่าย้อนไปตอนอยู่กรุงเทพ เธอก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเพื่อน แล้วมันก็พาให้ได้มาคุยกับผมในวันนั้น
          ผมฟังเรื่องราวมาจนครบแล้วก็ได้แต่คิดว่า ต้นเหตุมันเกิดมาจากอะไร เพราะตัวเธอเองก็ไม่เคยไปทำอะไรไว้ ไหนจะเรื่องดูดวง เรื่องพรายอีก แต่ข้อจำกัดในวันที่ฟังเรื่องเล่าช่วงสุดท้ายนั้นคือ เธอต้องกลับบ้านแล้ว อยากให้ทุกอย่างมันจบทั้งหมดเสียที
          ผมพาเธอไปไหว้พระที่วัด เพราะตอนนั้นก็ตันเหมือนกัน แล้วผมก็ขอตัวเดินแยกออกมาอีกวัดหนึ่งใกล้ๆกันนั้นที่ในวัดนั้นมีรูปปั้นของมหาเทพอยู่ ผมจุดธูปด้วยความเคยชินหวังว่า ท่าน จะช่วยบอกอะไรผมได้บ้าง เพราะมันเกินปัญญาของคนอย่างผมจริงๆ
          ผมเดินกลับมาหาพี่เขาแล้วไปนั่งคุยกันที่ริมน้ำหน้าวัด ผมสังเกตได้ว่าพี่ปลามีอาการกลัวมากจริงๆ เมื่อเห็นแม่น้ำ แต่ผมก็คงต้องขอใช้มันเป็นสื่อสำหรับเรื่องราวในครั้งนี้เช่นกัน
          หลังจากมานั่งพักจนหายเหนื่อยผมเริ่มได้ยินกระแสเสียงที่เหมือนดังแว่วอยู่ในหัวเป็นคำสั้นๆไม่กี่คำ
‘พี่สาว พรายน้ำ แม่’
          สามคำที่ผมจำได้อย่างชัดเจน ผมถามกลับไปว่าพี่ปลาเองเห็นบอกว่ามีพี่น้อง นั่นหมายความว่าอย่างไร เธอบอกว่าเธอมี แฝด แต่ว่าตายไปตั้งแต่เด็กๆตอนเธอจำความไม่ได้ สาเหตุเหมือนจะเป็นโรคระบาดอะไรสักอย่างหนึ่งในสมัยนั้น
          ผมได้คำตอบหนึ่งแล้วว่าการที่หมอดูบอกว่าเธอชะตาขาดไปแล้วอาจหมายถึง แฝด ของเธอ เพราะแฝดนั้นเกิดวันเดียวกันคลาดด้วยเวลา แต่สายสัมพันธ์ของแฝดนั้นมีมากกว่าที่หลายๆคนคิด มันเหมือนจิตหนึ่งที่ถูกแบ่งเป็นสอง
          พรายน้ำ ก็คงจะตรงตัว แต่แม่ ผมยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรแต่อย่างหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ เธอต้องรีบกลับบ้าน ทุกอย่างอยู่ที่บ้าน
          ผมตัดสินใจติดต่อกับเธอผ่านโทรศัพท์เพราะไม่สะดวกจะเดินทางตามไปด้วย
          เมื่อกลับไปถึงด้วยเที่ยวบินรอบเช้าของอีกวันเธอโทรหาผมแล้วเปิดลำโพงคุยกันกับแม่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ผมถามถึงเรื่องผีสาวฝาแฝดของเธอที่ตายไป คำบอกเล่านั้นเหมือนกับที่พี่ปลาบอก ‘ตายด้วยโรคระบาด’
‘ไม่ใช่’
          เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังเบาๆแว่วอยู่ข้างหู ผมเริ่มถามย้ำแต่คำตอบยังคงเดิม ‘เราจมน้ำ’ เสียงนั้นย้ำในคำตอบจนผมตัดสินใจถามกลับอย่างไม่ทันได้คิดทบทวน
‘เขาจมน้ำใช่ไหมครับ’
ฮึก..
          ผมได้ยินเสียงเหมือนคนสูดลมหายใจเข้าอย่างตกใจแล้วร้องไห้ ผมได้ยินแต่พี่ปลาเรียกแม่ๆ แล้วสายก็ตัดไป ผมรออยู่เกือบชั่วโมงจนเธอโทรกลับมา
‘แม่พี่ทำใจได้แล้ว’
          นั่นคือคำบอกเล่าของเธอ แม่ไม่เคยบอกพี่ปลาเลยว่าแท้จริงแล้วพี่สาวของเธอ ตายเพราะจมน้ำ ที่ไม่ยอมบอกเพราะไม่อยากพูดถึง ใจลึกลงไปมันยังรับไม่ได้ว่า แม่เป็นต้นเหตุ ในขณะที่เล่าเสียงของพ่อก็ดังสอดเข้ามาว่า ‘มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่แม่หรอก’
          พี่ปลาพยายามข่มเสียงเพื่อคุยต่อ แวบหนึ่งผมคิดว่า พี่สาวตายกลายเป็นพรายหรือ แต่ก็คงไม่ใช่ คราวนี้เป็นฝ่ายพี่ปลาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟังบ้าง ตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมายงไม่ได้มีเวลาจะคุยกันละเอียด
‘บุษบา’ พี่ปลาเล่าถึงเสียงเรียกนั้น
‘หนูได้ยินชื่อนี้จริงๆหรือ’
          คำถามของคนเป็นแม่ดูตื่นตระหนก พี่ปลายืนยันในชื่อนั้น แม่ถอนหายใจเข้าออกเหมือนพยายามรวบรวมสติไม่ให้เป็นลมลงไป
‘ปลา หนูเคยชื่อบุษบาลูก’
          ประโยคนั้นทำเอาคนฟังตัวแข็ง มันคือชื่อของเธอ แล้วเมื่อไหร่กัน เธอไม่เคยมีประวัติเปลี่ยนชื่อ
          แม่เล่าให้ฟังว่าในตอนที่คลอดใหม่ๆ แม่ยังไม่ได้ไปแจ้งที่อำเภอว่าชื่ออะไร เพราะอยากให้ตัวเองฟื้นก่อนแล้วจะไปแจ้งชื่อด้วยตัวเอง ตอนนั้นนั่งเรือเล่นกลับมาที่บ้าน แล้วเรือมันเสียหลักคว่ำลงไปในน้ำ ทั้งสองคนลงไปในน้ำเลยลูก
          แต่ไม่มีใครเป็นอะไร ทั้งหมดรอดเพราะแม่คว้าไว้ทัน แต่มันก็รู้สึกไม่ดี จนมีคนมาทักว่าให้เปลี่ยนชื่อลูกทั้งสองคน ‘บุษบา’ กับ ‘ชบาบาน’
          ตอนที่ผมได้ยินผมยังรู้สึกเลยว่าเป็นชื่อที่เพราะมาก ไม่เคยเจอคนชื่อนี้เลย แม่หันไปบอกกับพี่ปลาว่า มันเลยเป็นเหตุผลให้ที่บ้านเราปลูกต้นชบาไว้เยอะ พี่เขาจากเราไปตอนหนูได้ 2 ขวบ
          เด็กๆเริ่มวิ่งเล่น ล้มๆลุกๆน่ารัก แล้วพี่เขาก็พลัดตกไปที่ท่าน้ำ ลงไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยลูก ถ้าวันนั้นแม่ดูเขาดีๆ ดีกว่านี้ คงไม่เป็นแบบนี้
          พี่ปลาฟังเงียบๆเหมือนทวนความจำ เธอคงเด็กมากจนจำอะไรไม่ได้ แต่แม่เล่าต่อไปว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ปลาก็ตกน้ำบ่อยๆ ตกจนกลัว ให้อาบน้ำก็ยังร้อง
          มาถึงตรงนี้ทุกคนคงได้คำตอบแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหลือก็แต่ พราย นั้นที่ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องการอะไร
‘มันได้พี่ไปแล้ว มันจะเอาน้องด้วย’
          คำพูดของผมคงรุนแรงไปหน่อยจนปลายสายเงียบสนิท ครั้งหนึ่งที่เคยตกลงไปในน้ำมันคงถูกใจและหมายตาไว้ แต่ลึกลงไปทั้งสามคนคงมีกรรมสัมพันธ์กันมา เลยต้องมาเจอเรื่องนี้
          ผมบอกให้ทั้งบ้านแก้เรื่องนี้โดยด่วนเพราะคราวนี้ไม่ใช่วิญญาณผู้น่าสงสารแต่มันต้องการจะสร้างกรรมใหม่ ผมบอกว่าพี่สาวยังคงอยู่ในน้ำ อยู่กับนางพรายตนนั้น มันยังไม่ปล่อยเธอไปไหน เก็บไว้เป็นบริวาร
          7 คืน คือจำนวนที่ผมบอกให้ที่บ้านนิมนต์พระมาสวดอภิธรรมทุกคืน บทสวดและพิธีทั้งหมดคือการสวดศพ เพื่อส่งวิญญาณของพี่สาว  และการสวดถอนเพื่อให้กำลังพรายอ่อนลง
          พี่ปลาบอกว่าในทุกๆคืนของการสวดนั้นเธอจะเห็นใบหน้าของพรายตนนั้นลอยชัดอยู่ในน้ำด้วยสายตาอาฆาตแค้น เธอได้แต่หลับตาทำใจให้สงบเพื่อไม่ให้แพ้ต่อสิ่งไม่ดีอีก
          คืนสุดท้ายของการสวด ผมบอกว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นให้ทุบท่าน้ำทิ้ง แล้วคงต้องตั้งรูปปั้นของท้าวเวสสุวรรณไว้ตรงนั้นแทนเพราะตอนนี้ยังถอนไล่เขาไม่ได้ เขายังไม่ถึงเวลา แต่คงได้แค่ห้ามไม่ให้เขาเข้าบ้าน
          ในตอนเช้าที่คนงานกำลังเริ่มรื้อถอน พร้อมกับขนย้ายรูปปั้นมาวางไว้ แม่กำลังกรวดน้ำลงในแม่น้ำให้ลูกสาวที่จากไปหลังตักบาตร พี่ปลากับพ่อกอดแม่ด้วยความเป็นห่วง และคิดถึงคนที่จากไป
‘ชบาลูก ไปหรือยัง หนูหลุดพ้นหรือยัง’
          แม่ถามด้วยน้ำตาที่ยังหยดไหลอยู่ แต่เหมือนกับใครบางคนอยากจะบอกอะไร ดอกชบาสีสวยสดลอยผุดขึ้นมาจากน้ำ ลอยใกล้เข้ามาที่มือของแม่ พี่ปลาเน้นย้ำว่า มันผุดขึ้นมาจากน้ำจริงๆ ไม่ได้ตกลงมา
          แม่ช้อนดอกชบานั้นไว้ในมืออย่างอ่อนโยน ประคองไว้ด้วยน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล แม่เก็บดอกชบานั้นไว้ในสมุดวาดรูปเล่มเก่าของทั้งสองคน แล้ววางไว้หน้ารูปเคารพของ ชบา พร้อมกับประโยคบอกลาครั้งสุดท้าย
‘กลับบ้านเรานะลูก’
..............................................................................................................................................................
          หลังจากรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณถูกตั้งเอาไว้แทนที่ท่าน้ำ พี่ปลาบอกว่าบางคืนจะได้ยินเสียงโหยหวนของนางพรายแต่เสียงนั้นเหมือนไม่ได้ทรมานหรือเจ็บปวด แต่มันเหมือนกับความโกรธแค้นมากกว่า แล้วตั้งแต่นั้นมาท่าน้ำเก่าตรงนั้นก็เป็นที่หวงห้ามของคนในบ้านไปโดยปริยาย