คนทำของ


     นับว่าเป็นเรื่องที่มีความหลอนและเรื่องที่ดีมากสำหรับเรื่อง "คนทำของ" จากกระทู้พันทิป ประสบการณ์ 'คนทำของ' ที่คุณ LoyChinE สมาชิกพันทิปที่ได้เขียนเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของ คนทำของ ที่น่าสนใจมากครับ ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น

     สวัสดีครับ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ยังคงเป็นเรื่องราวของความเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่อาจเอามาพิสูจน์หรือมาตีแผ่ให้ได้เห็นกันได้อย่างชัดเจนสำหรับผู้อ่านทุกท่าน เพราะคงจะมีเพียง ผม กับ เจ้าของเรื่อง ที่รับรู้และฝังมันลงไว้ในส่วนของความทรงจำอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเนื่องจากเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล อย่างไรก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
           เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปรับรู้และร่วมอยู่ในเหตุการณ์บางส่วนในช่วงที่เกินจะแก้ไขไปแล้วส่วนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ผมจะเล่าให้ฟังด้วยคำพูดของผมซึ่งได้ฟังมาจากเจ้าตัวเขาอีกทีหนึ่ง โดยการพูดคุยครั้งนี้ก็กินเวลาไปสองสามเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวของ พี่ปลา มันเยอะเหลือเกิน
          ย้อนกลับไปช่วงกลางๆของชีวิตในมหาวิทยาลัยช่วงที่เรื่องการเรียนยังไม่เข้มข้นเท่ากิจกรรมที่ยังไม่หมดไป ผมได้ยินเรื่องราวเรื่องหนึ่งผ่านหูเข้ามาจากคนรอบข้างโดยไม่มีรายละเอียด เรียกได้ว่าคงจะเป็น เรื่องเมาท์ มากกว่าเรื่องจริง
          ในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายก็แค่ฟังๆไปเหมือนกับเรื่องอื่นๆทั่วๆไปจนวันหนึ่งได้รู้ว่าเรื่องที่ว่านั้นมันเป็น เรื่องจริง แล้วมันก็มาถึงตัวผมในที่สุด
          ปากต่อปากทำให้ พี่ปลา ได้ยินเรื่องของผมมาบ้างเหมือนกับที่ผมได้ยินเรื่องของเธอ เพื่อนที่ไม่ได้สนิทกันมากนักแต่ก็รู้จักกันมาถามผมอีกทีแต่ก็เหมือนแค่บอกไม่ได้มีรายละเอียดอะไร แต่ไม่รู้ไปมาอย่างไรสุดท้ายคนที่เข้ามาคุยกับผมเป็น พี่ที่รู้จักกันคนหนึ่ง พี่ทีไม่ได้ติดต่อกันมานานพอสมควรแต่ความสนิทสนมมันไม่เคยจางไป
          ผมรับปากพี่เขาไว้ว่าจะลองคุยดูแต่ก็ไม่รับรองว่าจะได้ความอะไรมากมายเพราะส่วนมากแล้วเรื่องที่เข้ามาหาผมมักจะเป็นเรื่องราวของ ผู้เสียหาย หรือผู้ถูกกระทำ แต่จากข่าวเมาท์ที่ได้ยินได้ฟังมารายนี้เป็น ผู้กระทำ
          เหมือนอย่างเคยในทุกๆครั้งผมนั่งรอ พี่ปลา อยู่ที่ตึกหนึ่งในมหาวิทยาลัย ไม่นานนักเธอก็เดินมาพร้อมกับเพื่อนอีกคน
           เราแนะนำตัวกันไม่มากนักแล้วก็เข้าเรื่องต่อเลยเพราะผมก็มีธุระต่อเช่นกัน เธอเหมือนไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าอย่างไรดี ผมคิดว่าคงเพราะ อาย น่าจะเป็นอย่างนั้น
          สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นส่วนที่ผมได้ฟังมา แต่ก็จะขอเล่าในแบบของตัวเองแล้วกันนะครับ
          เธอออกตัวกับผมก่อนว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ ไม่อบอุ่น เหมือนอยากจะให้เราทำความเข้าใจเผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น เธอโตมาเรียกได้ว่าแทบจะตัวคนเดียว มีญาติดูแลอยู่ด้วยก็จริงแต่พ่อแม่นั้นไม่ได้อยู่ด้วย
          ทั้งสองคนไม่ได้แยกทางและไม่ได้ทิ้งเธอไปไหนเพียงแต่ว่ามีงานการที่ดีอยู่เมืองนอกก็เลยไม่ได้เลี้ยงลูกเอง ตรงนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เอาไปอยู่ด้วยกันและเหมือนเธอก็ไม่อยากจะบอก
          เธอไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินทองเพราะพ่อแม่ส่งมาให้มากกว่าที่จะต้องใช้เสียด้วยซ้ำ พอพูดอย่างนี้ก็เลยเผลอมองไปที่การแต่งตัวกับข้าวของเครื่องใช้ก็คงจริงอย่างที่ว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นของมีราคา
          เธอเป็นคนสวยในระดับหนึ่งเลยอาจจะไม่โดดเด่นมากนักแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นคน หน้าตาดี แต่ทำไมเรื่องที่ได้ยินมามันดูไม่เข้ากันเสียเลย
          เธอวนเข้าเรื่องด้วยคำถามที่เอาผมตอบไม่ถูกเช่นกัน ‘คงเคยได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ’ ผมก็ได้แต่พยักหน้าเบาๆไม่กล้าทวนถามคำถามนั้น
          พี่ปลายอมรับกับผมว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นเป็น เรื่องจริง เธอทำอย่างนั้นจริงๆ เธอบอกกับผมว่าเธอขาดความอบอุ่นและโหยหาความรักอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงเริ่มโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น มันมากขึ้นช่วงที่เรียน ม.ปลาย
          เธอไม่ได้แค่อยากมีแฟนมีความรักเหมือนคนทั่วๆไป แต่เธออยากครอบครองและถูกครอบครองจากคนข้างๆ เธอข้ามเส้นของความสัมพันธ์ไปไกลตั้งแต่ยังอยู่ ม.ปลาย มันเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา และทุกครั้งมันก็จบลงที่ เธอถูกทิ้งอยู่เป็นประจำ
          หลายครั้งที่ทุ่มเทลงไปทั้งเงินทั้งร่างกาย แต่มันก็ซ้ำรอยทุกทีเธอว่าอย่างนั้น และเธอก็บอกต่ออีกว่าเธออยู่คนเดียวไม่ได้ พอคนนี้จากไปก็ต้องรีบหาคนใหม่เข้ามา
           ฟังมาตั้งนานก็ยังคงไม่เข้าเรื่องเสียทีจนผมต้องเสียมารยาทขอให้เธอวนเข้าประเด็นโดยเร็วเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลา เธออึกอักเล็กน้อยสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมฉายแววความกลัวให้เห็น
          เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นจริงๆตอนที่เธอเรียนอยู่ปีหนึ่งปลายๆตอนนั้นเธอก็เหมือนกับทุกๆครั้ง เธอพยายามมองหาใครสักคนเข้ามาในชีวิต แล้วในที่สุดเธอก็ไปถูกใจ ผู้ชายคนหนึ่ง
          เธอใช้เวลาอยู่ไม่นานนักก็ได้ใกล้ชิดและคบกันเป็นแฟนกับคนที่เธอชอบ แต่คนนั้นก็หน้าตาดีพอสมควรไม่แปลกนักที่จะมีคนวนเข้ามาแวะเวียนหว่านเสน่ห์ใส่แล้วคนของเธอก็มีความเจ้าชู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
          หลายครั้งที่เธอจับได้ถึงการนอกใจน้อยบ้างมากบ้างแต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอจะยอม เลิก ได้แต่ทะเลาะกันไปเป็นครั้งๆ
          และเหมือนผู้ชายจะเริ่ม เบื่อ จนมีอาการออกห่างให้รู้สึกได้เธอที่ไวต่อเรื่องพวกนี้ก็เริ่มเอะใจแล้วก็เริ่มกังวล
          จากกังวลมันก็กลายเป็นระแวงเธอทำหลายๆอย่างเพื่อให้เขาไม่จากไป แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรขึ้นมา จนสุดท้ายเธอก็หันไปพึ่ง ไสยศาสตร์
          พี่ปลาหันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนมีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง เธอบอกว่าเพื่อนมาแนะนำเพราะได้ยินมาว่ามีคนเขารับทำเสน่ห์อยู่ไม่ไกลนักแถมยังดูจะขลังอีกด้วย
          ใจหนึ่งกลัวแต่ก็ไม่เท่าความกลัวว่าจะโดนทิ้งสุดท้ายเธอก็ไปตามคำแนะนำของเพื่อนสาว
          ที่บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเก่าๆอยู่ไปทางนอกเมืองแต่สำหรับคนมีรถยนต์มันก็ไม่ได้ไกลมากนัก ในครั้งแรกที่เธอไป หมอคนนั้นทายทักเธอถูกไปเสียทุกเรื่องจนเริ่มเกิดความศรัทธาในคนแปลกหน้าคนนี้ แล้วเธอก็เสียเงินบูชา น้ำมันพราย กลับมาหนึ่งขวด
          บางคนคงคิดว่าน้ำมันพรายมีไว้ให้สำหรับผู้ชายใช้ แต่เปล่าเลย ผู้หญิงก็สามารถใช้ได้เช่นกันแต่บางครั้งก็ไม่เข้มขลังเท่าชายเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นมันจึงมีวิธีการที่เพิ่มเข้ามาเพื่อเสริมความขลัง
          เธอบอกว่าน้ำมันพรายนั้นขวดไม่ใหญ่มากและก็ใช้ได้นานเพราะใช้ครั้งละน้อยๆ เธอพยายามเก็บมันไว้ให้ดีที่สุดเพราะกลิ่นของมันมักจะเล็ดลอดออกมาอยู่บ่อยๆ
          เธอแอบผสมน้ำมันพรายลงในอาหารทุกครั้งที่เธอมีโอกาส และมันก็ได้ผลอย่างที่คิดจริงๆ แฟนของเธอกลับมาดีด้วยเอาใจใส่เหมือนอย่างเคย และที่แน่ๆคือ เขาไม่ไปยุ่งกับคนอื่นๆอีกแล้ว
          เรื่องราวเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีจนวันหนึ่งที่เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าน้ำมันพรายที่บูชามามันกำลังจะหมด ด้วยความร้อนใจเธอโทรหาหมอคนเดิมเพื่อจะไปบูชามาอีกครั้ง
           ครั้งนี้ก็คงเหมือนครั้งที่แล้วเธอคิดแบบนั้น แค่ซื้อ แล้วก็ กลับ เพราะเธอจดจำวิธีใช้ได้อย่างขึ้นใจ ในตอนที่นั่งรอรับของนั้นหมอก็ถามถึงผลลัพธ์ของสินค้าที่ตัวเองทำขึ้น เธอตอบแบบขอไปทีเพราะไม่อยากคุยอะไรมากนักจนสะดุดในประโยคของเจ้าของวิชา
‘หมอมีอีกวิชาหนึ่งที่ได้ผลมากกว่าสนใจไหม’
          บอกตามตรงว่าคำเชิญชวนนั้นน่าสนใจอย่างมากสำหรับเธอ แต่เธอยังคงกลัวในเรื่องของสิ่งที่ตัวเอง ยังไม่รู้จักดีนัก จึงปฏิเสธไป ด้วยเห็นว่าวิธีเดิมมันก็ได้ผลดีอยู่แล้ว อีกอย่างอยู่กันมานานความสัมพันธ์ที่มีคงจะช่วยสร้างความผูกพันทางจิตใจไว้บ้างแล้ว
          และแน่นอนว่าเหมือนกับเรื่องตลกแกล้งกัน น้ำมันพรายที่เธอบูชามาใหม่ในคราวนี้กลับไม่ได้ผล ชายหนุ่มเริ่มไม่สนใจและออกห่างเธอ บ่อยครั้งที่มีปากเสียงกันจากเรื่องไม่เป็นเรื่องและฝ่ายชายก็เริ่มที่จะไม่เป็นตัวของตัวเอง จากคนอารมณ์ดีกลับอารมณ์ร้อนไร้เหตุผล ในที่สุดทั้งสองคนก็แยกทางกัน
          เธอพยายามง้ออยู่นานก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแต่มันยังพอทนเพราะฝ่ายชายไม่ได้ถึงขั้นตัดขาดความสัมพันธ์ยังคงมีการพูดคุยกันอยู่บ้าง แต่แล้วความอดทนก็หมดไปเมื่อพี่ปลาได้ข่าวว่าชายหนุ่มของเธอกำลัง มีคนใหม่
          จริงเท็จแค่ไหนเธอไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยหลับหูหลับตาเชื่อ และโกรธ ทางออกของเธอคือ กลับไปหาหมอคนนั้นอีกครั้งโดยที่โทรนัดไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว และในวันที่จะไปพบนั้นให้นำข้าวของของฝ่ายชายติดตัวมาด้วย
          เธอหยิบเอาเสื้อยืดตัวหนึ่งที่เหลืออยู่ในห้องของเธอไปพบหมอตามคำสั่ง เมื่อไปถึงหมอก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอร้อนใจจนไม่รู้จะกล่าวทักทายอะไร หมอจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
‘เอาแน่นะ คราวนี้ของแรงนะ’
          เธอไม่สนใจอะไรแล้วจึงตอบตกลงอย่างรีบร้อน ในที่สุดเสื้อผ้าของฝ่ายชายก็ถูกตัดออกมาเป็นชิ้นเล็กชื้นหนึ่งวางแยกไว้จากนั้นนำเสื้อที่เหลือทั้งตัวไปเผาในอ่างดินจนไหม้หมดไม่เหลือ มีเพียงเศษขี้เถ้าดำๆภายในอ่าง
          เศษซากพวกนั้นถูกนำมาปั้นรวมกับวัตถุดิบอื่นที่เตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียง ไม่นานก็ได้หุ่นดินปั้นตัวหนึ่ง เธอบอกกับผมว่าเธอคิดว่าคงจะเหมือนที่เคยได้ยินคือปั้นหุ่นผู้หญิงอีกตัวแล้วมัดไว้คู่กันด้วยสายสิญจน์
          แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ หมอหยิบเอาขวดน้ำมันพรายเล็กๆที่เหมือนอันที่เธอมีหยดลงไปบนตัวหุ่นพร้อมกำกับด้วยวิชาที่เธอฟังไม่เข้าใจ หมอขอให้เธอเขียนชื่อกับวันเดือนปีเกิดของทั้งสองคนใส่กระดาษใบเล็กๆที่ยื่นให้
          หลังจากเขียนเสร็จเข้าก็ยัดมันลงไปกลางตัวหุ่นดินปั้นจบพิธีด้วยการนำเส้นผมยาวๆที่เกาะกันเป็นก้อนออกมาจากบาตรพระเก่าๆใต้โต๊ะหมู่บูชาแล้วมัดปมไว้รอบคอของหุ่นดินปั้น
‘ยังไม่เสร็จ หลังจากแฟนกลับมาอยู่ด้วยแล้วต้องมาหาอีกครั้ง’
          หมอสั่งเสียด้วยคำนี้ทำให้เธอไม่สบายใจนักแต่ก็คงต้องทำตามเพราะไม่สามารถหันหลังกลับได้แล้ว และในที่สุดเธอก็ได้แฟนคืนมาในเวลาเพียงสองสามวัน เธอมัวแต่มีความสุขจนลืมไปแล้วว่า เธอต้องกลับไปอีกครั้ง
          ในคืนก่อนที่เธอจะกลับไปนั้นเธอฝันเห็นใครบางคนที่มานั่งอยู่ใกล้ๆเธอตอนที่เธอหลับ เธอแน่ใจว่ามันคือฝันแต่มันก็เหมือนจริงเสียเหลือเกิน
          กลิ่นคาวๆที่เธอได้กลิ่นเป็นประจำทุกเดือนวันนี้มันรุนแรงผิดปกติและตัวเองก็รู้ตัวว่าคืนนั้นประจำเดือนยังไม่มา กลิ่นนั้นแรงจนคนนอนหลับต้องลืมตามาดูรอบๆตัว ภาพฝันนั้นเหมือนจริงราวกับตื่นอยู่
          ในความฝันนั้นตรงข้างๆคนของเธอที่ตอนนี้หลับสนิทอยู่มีเงาร่างของใครบางคนนั่งจ้องอย่างไม่วางตา ร่างนั้นมองอยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าจะขยับมีแต่เธอที่กลัวจนตัวแข็งไปหมด เงานั้นรู้ว่ามีคนมองอยู่จึงเงยหน้ามามองและยิ้มให้ด้วยความน่าขนลุก
          เธอตื่นมาในตอนสายของวันหยุดที่แฟนเธอนั่งเล่นเกมอยู่ไม่ไกลจากเตียงเท่าใดนัก แฟนหนุ่มเดินเข้ามาหยอกล้อเหมือนทุกๆทีพร้อมหยิบเอาเส้นผมที่ร่วงอยู่บนเตียงมาแกล้งเธอ
‘อีกหน่อยหัวล้านซะมั้งเธอเนี่ย’
          คนพูดหยอกล้อยิ้มอย่างมีความสุขแต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเพราะคนตรงหน้าไม่เล่นด้วย ชายหนุ่มนึกว่าแฟนสาวงอนเขาเสียแล้วเขาได้แต่กอดง้อด้วยความน่ารัก แต่จริงๆแล้วที่ปลานิ่งไปไม่ได้เป็นเพราะงอน แต่มันเป็นเพราะเส้นผมนั้นไม่ใช่ของเธอ
          พี่ปลาบอกกับผมอย่างมั่นใจว่ามันไม่ใช่เส้นผมของเธอ ผู้หญิงมักจะแยกออกว่าผมตัวเองเป็นอย่างไร สองสามวันต่อมาเธอนอนไม่ค่อยหลับแต่ก็ไม่เคยฝันถึงเรื่องนั้นอีก
          จนเธอมีเวลาว่างมากพอเธอรีบกลับมาหาหมอคนเดิมแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง หมอหัวเราะ

‘ก็บอกแล้วให้รีบมา’
          ขั้นตอนสุดท้ายของพิธีที่เธอหมดเงินไปหลักหมื่นคือการสักน้ำมัน ตอนแรกเธอก็กลัวเจ็บแต่มันคงไม่ทันเสียแล้ว เธอยิมให้หมอสักอะไรก็ตามที่เธอเชื่อวันมันจะรักษาความรักของเธอไว้ตรงกลางหลังต่ำลงมาเกือบถึงบั้นเอว
          ด้วยความอยากรู้ผมจึงถามว่าเขาใช้อะไรสักให้เธอ เพราะสักน้ำมันมันก็มีหลายแบบ น้ำมันว่าน น้ำมันนั่นนี่หลายอย่าง เธอก็ส่ายหัวบอกว่าไม่รู้
          เรื่องราวความรักของเธอเริ่มมีความแปลกประหลาดเกิดขึ้น เธอเริ่มรู้สึกถึงใครบางคนที่ไม่รู้จักและไม่ปกติที่ดูจะใกล้ตัวเข้ามาทุกเมื่อ
          เหมือนกับหนังที่เคยดู เธอไปกินข้าวที่ร้านอาหารก็กลับมีแก้วน้ำมาเสิร์ฟเกินจำนวน บางครั้งคนก็เห็นว่าในรถยนต์ของเธอมีใครนั่งอยู่ แต่มันก็ยังไม่มากเท่ากับเรื่องที่เกิดขึ้นกับแฟนหนุ่มของเธอ
          แฟนหนุ่มของเธอดูอิดโรยและไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน เขาเริ่มเหนื่อยง่าย เริ่มไม่มีสมาธิในการเรียน และบางครั้งก็ฝันแปลกๆ
          เขาเคยเล่าให้เธอฟังว่า เขาฝันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาเขา มาอยู่ในห้องนอนของเขาและเธอ เขาได้แต่นอนนิ่งปล่อยให้เธอเสพสุขกับร่างกายของเขา เขาไม่อยากขัดขืน เขามีความสุข และมันก็เหมือนจริงมาก เขาว่าอย่างนั้น
          เธอเริ่มกลัวในเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจนในคืนหนึ่งเรื่องร้ายนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง เธอสะลึมสะลือตื่นมาในกลางดึกคืนหนึ่ง เหมือนถูกปลุก
          เธอหันไปมองแฟนหนุ่มอย่างเคยชินแล้วก็ต้องตาโพลงเบิกค้างเพราะมีเงาร่างหนึ่งที่รู้ว่าเป็นผู้หญฺงเพราะผมที่ยาวเกือบจะถึงไหล่ ผมนั้นไม่ยาวมาก แต่ยุ่งเหยิงน่าเกลียด ใบหน้ามีความสุขที่ไม่น่าดูเพราะดวงหน้าที่ซีดเผือดไร้รอยฝาดของเลือด ปากที่แดงเหมือนอมเลือดสดๆเอาไว้ทำให้คนเห็นแทบสิ้นสติ
          เงาร่างนั้นนั่งอยู่บนตัวของแฟนหนุ่มในตำแหน่งเดียวกับที่แฟนเขาเล่า ท่าทางเหมือนคนกำลังมีความสุขร่วมกัน มีเสียงของฝ่ายชายให้ได้ยินบ้างแต่ไม่มีการขยับร่างกายตื่นขึ้นมา
          เธอกลัว กลัวจนเป็นลมหรือไม่ก็หลับลงไปอีกครั้ง
          ในตอนเช้าเธอตื่นขึ้นมาเห็นแฟนกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆก็รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจเพราะระลึกได้ถึงความฝันเมื่อคืน
          แฟนหนุ่มมองเธออย่างไม่เข้าใจได้แต่ถาม เธอไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เธอนิ่งเงียบ แฟนหนุ่มเริ่มมือซนเอื้อมมือลูบคลำไปตามเนื้อตัวเป็นเชิงขออนุญาต
          เธอไม่ได้ห้ามแต่ถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ‘เมื่อคืนฝันแบบนั้นอีกใช่ไหม’
‘ใช่เลย รู้ได้ไง อารมณ์ค้างอยู่เลย’
          เธอใจหายวูบแต่ยังไม่มีคำตอบอะไรให้กับแฟนหนุ่มของเธอ
          เธอฝันเห็นอะไรแบบนั้นอีกหลายครั้ง และแต่ละครั้งเธอก็รู้สึกว่าเหมือนจงใจถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเห็น ทุกครั้งที่เห็นโครงหน้านั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
          แฟนหนุ่มของเธอเริ่มมีอาการแย่ลง เขาดูเหมือนคนไม่มีแรงอยู่ตลอดเวลา ผิวซีดจนน่ากังวล เขาเริ่มอารมณ์ร้ายมากขึ้นทุกวันแต่แปลก เขาไม่เป็นกับเธอ แต่เป็นกับเพื่อนคนอื่นทุกๆคนจนเริ่มมีบางคนที่ติดต่อมาทางเธอให้ช่วยพูดให้บ้าง
          และอีกอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจคือแฟนเธอจะกระสับกระส่ายบ้างก็กลับมาป่วยทุกครั้งที่ได้ไปวัด เรื่องราวกินเวลาเป็นเดือนโดยที่เธอก็พยายามติดต่อหมอคนที่ทำให้เธอ เขาบอกว่าเดี๋ยวก็ดีเอง เป็นแค่ผลข้างเคียงของวิชา
          เรื่องมันเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆจนวันหนึ่งเรื่องมันก็รุนแรงขึ้น วันหนึ่งที่ทั้งสองคนไปเรียนตามปกติ แต่มันเป็นวิชาเรียนรวมกับคณะอื่นๆ ใครบางคนที่พวกเขาไม่รู้จักเลย เดินเข้ามาแล้วพูดลอยๆ ก่อนเดินจากไปเหมือนไม่ต้องการสนทนาต่อไปอีก
‘ว่างๆก็ไปอาบน้ำมนต์นะ โดนของ’
          ทุกคนนิ่งอึ้ง งง ว่าคนที่มาพูดนั้นเป็นใคร ชุดนิสิตปกติก็บอกคณะไม่ได้เสียด้วย เห็นแต่หลังไวๆเดินออกจากห้องเรียนใหญ่ไปแล้ว
          ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาบอกคนในกลุ่มก็คิดไว้อยู่แล้วว่า มันน่าจะมีความผิดปกติในเรื่องพวกนี้บ้าง เพาะเพื่อนเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้ แล้วในที่สุดเพื่อนๆก็ตัดสินใจพาแฟนของพี่ปลาไปทำบุญใหญ่และอาบน้ำมนต์
          ก่อนที่จะได้ไปกันนั้นเพื่อนๆทุกคนต้องทะเลาะต่อตีกับแฟนของเธอเสียก่อน อย่างไรก็ไม่อยากจะไป รวมถึงเธอที่เริ่มมีอาการร้อนใจ ไม่อยากไปด้วยเช่นกัน
          จนในที่สุดก็ลากไปจนได้ และหลังกลับมาเขาก็ป่วยไข้ขึ้นอย่างน่าตกใจ ตัวร้อนจนต้องไปโรงพยาบาลในตอนค่ำๆ แต่ก็ได้มาแค่ยาลดไข้ที่ดูจะไม่มีประโยชน์อะไร
          เล่ามาถึงตรงนี้เธอเริ่มเงียบเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อเพราะน้ำตาเริ่มนองหน้า ผมก็ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่บอกไปว่า ‘อะไรไม่อยากเล่าก็ข้ามไปก็ได้ครับ’
           เธอใช้เวลาครู่หนึ่งจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง แล้วเธอก็เริ่มเล่าต่อจากที่ค้างไว้
          หลังจากการอาบน้ำมนต์ในคืนนั้นเธอบอกว่าเพียงเช้าวันต่อมาแฟนหนุ่มของเธอก็กลับมาเป็นปกติ หายไข้ทันที แต่เริ่มมีอาการห่างเหินไปอีกแต่ก็ไม่ได้มีใครใหม่ เธอทนอยู่อย่างนั้นไม่กล้ากลับไปทำของอะไรเพิ่มอีกด้วยความกลัว
          เธอได้แต่คิดในใจว่า ของมันคงเสื่อมไปแล้ว อะไรจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นไปแล้วกัน
          จริงอย่างที่เธอว่าความสัมพันธ์มันเริ่มจืดจางละ แต่ที่ไม่จางลงไปคือเรื่องราวน่ากลัวที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน
          เธอเฝ้าสังเกตว่าแทบทุกคืนแฟนจะบอกว่าฝันถึงผู้หญิงคนเดิมๆ คนที่มามีสัมพันธ์ด้วยใบหน้าสวยและน่าหลงใหล เขาเริ่มพูดถึงนางในฝันนั่นบ่อยขึ้น จนคนฟังเริ่มรู้สึกได้ว่า เขาหลงใหลในตัวเธอคนนั้น
          แต่จะมีเพียงคืนวันโกนเท่านั้นที่พี่ปลาจะได้ยิน หรือเห็นเธอคนที่ว่าบ้างในความฝัน และมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆต่างกันตรงที่เธอไม่ได้สวยอย่างที่แฟนว่า หน้าตานั้นน่าเกลียดน่ากลัว และสายตานั้นมองมาที่เธออย่างพอใจ
‘แล้วทำไมไม่ไปแก้ให้มันจบๆล่ะครับ’ ผมที่ทนฟังมานานก็เริ่มเป็นฝ่ายพูดบ้าง
‘กลัว กลัวค่ะ กลัวว่าจะต้องเลิกกัน’ เธอตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ แล้วก็ร้องไห้อีก
          ถ้าพี่ที่รู้จักกันไม่ขอไว้ก่อนผมก็คงจะขอตัดบทแล้วเหมือนกัน เพราะดูแล้วคงไม่พ้นมาขอให้ไปช่วยแก้ให้
          เธอเล่าต่อไปอีกว่า เขาเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ใช่ในแง่ของความเหินห่างแต่เป็นอุปนิสัยของเขา เขาเริ่มไม่ชอบเข้าสังคม และกลับมาอยู่ที่ห้องเงียบๆ บางครั้งกลับมาก็ปิดไฟปิดม่านมืดๆแล้วนอนหลับอยู่บนเตียง ถ้าเปิดไฟก็จะเริ่มบ่นและหงุดหงิด
          เขาเริ่มที่จะไม่มีอะไรกับเธอเองด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีอารมณ์ ไม่อยาก ซึ่งปกติเขาเป็นคนที่มีความต้องการค่อนข้างมาก และเขาจะรีบหลับในทุกๆวันเหมือนรอให้ความฝันนั้นมาถึง
          ทุกครั้งที่เขามีอาการเหมือนกำลังฝัน เขาดูมีความสุข แต่ร่างกายเขามันก็โทรมลงไปไม่ต่างกัน ทุกอย่างมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ เรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมากคือ เขาผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ก็กินเหมือนปกติบางครั้งมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ
          เวลาเขาเข้าห้องน้ำแล้วเธอไปเข้าต่อเธอบอกว่ากลิ่นมันรุนแรงจนเธอเองยังทนแทบไม่ไหว ต้องเอาสเปรย์ดับกลิ่นมาฉีด กลิ่นมันไม่ใช่กลิ่นเหมือนปกติ แต่มันเหม็นคาวๆเน่าๆ
          สภาพเขาคงผิดปกติจนคนอื่นสังเกตได้ จนเพื่อนสนิทคนหนึ่งตัดสินใจมาคุยกับเธอ ว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างโดยที่เพื่อนคนนั้นถอดสร้อยคอตัวเองมาให้ บอกว่าพระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ลองแอบเอาใส่คอดู
          ตอนนั้นเธอมัวแต่ห่วงคนตรงหน้าลืมไปแล้วว่า ตัวเองทำอะไรมา ในตอนที่แฟนของเธอหลับไปเธอจึงค่อยๆเอาสร้อยสวมให้แฟนเธอดูอย่างที่เพื่อนบอก
          คืนนั้นเธอหลับๆตื่นๆทั้งคืนแต่สุดท้ายก็หลับไปในที่สุด แล้วเธอก็ตื่นมากลางดึกเหมือนถูกปลุก เมื่อเธอได้สติจึงรีบหันไปมองแฟนที่หลับอยู่คราวนี้เธอยิ้มได้ เพราะไม่มีภาพน่ากลัวเหมือนทุกที
          แต่เธอก็ต้องตกใจอีกเพราะเงาร่างนั้นไม่ได้หายไป แต่เหมือนเพียงแค่เข้าใกล้ชายหนุ่มไม่ได้เท่านั้นเอง หญิงสาวผมเผ้ารุงรังไม่สั้นและไม่ยาวมากนั้นยืนมองเธอมาจากข้างเตียงอีกฝั่งที่แฟนหนุ่มนอนอยู่ สายตานั้นดูเคียดแค้น และไม่เป็นมิตรใบหน้าที่เคยซีดเผือดยามนี้ปนสีเขียวอมม่วง

เธอก้มลงเอาหน้าซุกหมอนด้วยความกลัว แล้วกรีดร้องพร้อมตีไปที่แขนของคนข้างๆ แต่เขาก็ไม่ตื่นขึ้นมา
          เธอหวังว่าเธอจะตื่นขึ้นจากฝันอันน่ากลัวนี้ แต่เธอก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเพราะรู้สึกได้ถึงสัมผัสมือเย็นๆที่ข้อเท้า เธอไม่กล้าลืมตาไปมองเพราะมันไม่ใช่สัมผัสของมือแฟน เธอต้องจำมันได้ถ้าใช่มือของเขาคนนี้
          น้ำหนักของมือมันหนักขึ้นเรื่อยๆจนเธอรู้สึกเจ็บ นอกจากแรงบีบยังมีแรงจิกของเล็บยาวๆที่ทำให้เธอร้องไห้ออกมา เวลาผ่านไปเนิ่นนาน นานเท่าไหร่ไม่รู้ เพราะเธอได้แต่เอาหน้าซุกหมอนแบบนั้น จนสัมผัสนั้นหายไป เธอก็ยังไม่กล้าลืมตา
          เธอรอให้ตัวเองตื่น แต่เปล่าเลย เธอตื่นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เธออยู่อย่างนั้นจนรวบรวมความกล้าขยับขาแล้วค่อยๆเงยหน้าจากหมอน ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มสลัวแล้ว แสดงว่าใกล้เช้า เธอรีบก้มดูที่เท้าของตัวเอง แล้วมันก็จริงดังคาด เราช้ำจนเขียว รอยเล็บจิกแดงๆนั้นมีอยู่จริง
          เธอรอให้ฟ้าสว่าง รอให้คนข้างๆตื่นขึ้นมา เธอไม่กล้าหลับลงอีกแล้วในคืนนั้น
          เขาตื่นมาพร้อมกับงงๆว่าทำไมมีสร้อยมาใส่อยู่ เขาพยายามจะถอดออกแต่ก็ถูกห้ามไว้ ไม่ให้ถอดจากตัวเธอเอง เขาทำทีเหมือนไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ขัดใจเพราะเธอรู้ดีว่าเวลาจะทำให้คนคนนี้ว่าง่าย เธอต้องทำอย่างไร
          ตอนอาบน้ำเธอแสบแผลที่ขาจนเผลอแสดงอาการ แฟนหนุ่มเห็นจึงถามด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ได้แต่ตอบไปเก้อๆว่า เกาแรงไปหน่อยโดยตัวอะไรกัดไม่รู้
          เขายอมใส่สร้อยพระไว้อย่างนั้นจนวันโกนวนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง เธอบอกว่าเธอไม่ได้รู้ก่อนเลยว่าเป็นวันโกนแต่หลังจากเกิดเรื่องมาย้อนดูจึงรู้ว่าคืนนั้น เป็นคืนที่เธอคนระวังไว้ให้มากที่สุด
          เธอหลับไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ เธอหลับสนิทจนไม่รู้ว่าฝันอะไร จนเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
          เธอคว้าผ้าห่มมาห่มเพราะความเย็นจากแอร์แล้วจึงรู้ตัวว่า ตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เธอจำไม่ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือแฟนของเธอจะทำอะไรตอนเธอหลับ เธอมองหาแฟนที่ตอนนี้นั่งเล่นเกมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้ว
          เธอเดินไปกอดเขาตามปกติแล้วก็รู้สึกว่า สร้อยหายไป เธอตกใจมากจึงรีบถามด้วยความร้อนใจ แต่คำตอบทีได้กลับมามันน่ากลัวกว่าที่เธอคิดไว้มาก
‘ก็เธอขอให้ถอดเมื่อคืนไง บอกมันเกะกะ จำไม่ได้หรอ’
          แฟนหนุ่มทบทวนความทรงจำในกิจกรรมเมื่อคืนแต่เธอจำอะไรไม่ได้เลย เธอพยายามความหาสร้อยพระไปทั่ว แต่ก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เรียกให้แฟนมาช่วยกันหา ก็หาไม่เจอ
          แฟนที่ค่อยดีขึ้นกลับมามีน้ำมีนวลตอนนี้เริ่มฉายแววอิดโรย เธอเริ่มลนลานอีกครั้งไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คืนนั้นเธอหลับไปด้วยความกังวล
          คืนนั้นเธอตื่นขึ้นมาอีก แต่คราวนี้ความรู้สึกมันต่างออกไป เธอรู้สกมึนๆ ตัวเบาๆเหมือนตอนที่เพิ่งสร่างจากอาการแฮ้งค์ เธอมองไปรอบๆห้องก็ดูปกติดียกเว้นแต่คนข้างๆที่ตอนนี้ตื่นอยู่เช่นกัน
          เธอเห็นแฟนเธอกำลังโดนผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นคร่อมเสพสุขร่วมกัน เธอตกใจมากคิดว่าฝันร้ายนั้นกลับมาหลอกหลอนเธออีกแล้ว แต่เมื่อมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นเธอก็พบว่า มันเป็นหน้าของเธอเอง
          เธอไม่ตื่น เธอยังมองคนตรงหน้าราวกับฝันอยู่ ร่างนั้นที่เคยเห็นเป็นตัวเองก็กลายเป็นหญิงสาวคนเดิม คนที่เธอหวาดกลัว รอยยิ้มนั้นยังหน้าขนลุกอยู่ ภายในปากมีน้ำสีแดงสด ฟันที่เหลืองจนน่าเกลียดทำให้เธออยากอาเจียน แล้วเธอก็ตื่นจากฝัน
          เธอตื่นมาพร้อมเหงื่อเต็มตัวจากฝันร้าย เช้านี้เธอก็ไม่มีเสื้อผ้าเหลืออีกเช่นเคย เธอถามแฟนหนุ่ม คำตอบนั้นเหมือนเดิม เมื่อคืนมีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้น แต่ทำไมเธอไม่รู้ตัว มีแค่ฝันบ้าๆนั้นเท่านั้นเอง
          อีกหลายคืนที่เป็นอย่างนั้น แฟนหนุ่มของเธอก็เริ่มดูอิดโรยอีกครั้ง เธอตัดสินใจไปวัดเพื่อบูชาพุทธรูปองค์หนึ่งมาไว้ในห้องนอน ทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกไม่สบายตัวยามถือพุทธรูไว้ในมือ
          คืนนั้นเธอฝันอีกครั้ง คราวนี้เป็นเธอที่ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงมองไปยังคนข้างๆเพราะได้ยินเสียงเรียก ‘ตื่น ตื่น’
          เสียงแหบๆพูดช้าๆเรียกให้คนหันไปมอง เธอเห็นเงาร่างของหญิงสาวคนเดิมนอนอยู่อีกข้างหนึ่งตรงข้ามกับเธอโดยมีฝ่ายชายกัน นิ้วผอมๆแห้งๆลูบไล้ไปทั่วผิวหน้าของฝ่ายชาย ดวงตากลวงๆนั้นเหมือนจดจ้องมาที่เธอ รอยยิ้มน่าขนลุกยังแจ่มชัดราวกับไม่ได้ฝัน
          เธอทำอะไรไม่ถูก แต่พยายามรวบรวมสติหันไปจะหยิบพุทธรูปที่เพิ่งบูชามาแต่ก็ต้องตัวแข็งขยับไม่ได้ ร่างของหญฺงสาวตรงหน้าพูดอะไรฟังไม่ชัด แต่เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆด้วยประโยคเดิมๆจนท้ายที่สุด ก็กลายเป็นเสียงตะคอก
‘ของกลุ!!!’
          เรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆอย่างซ้ำซากจนวันหนึ่งก็ถุงจุดแตกหักของเรื่องราวในครั้งนี้ เมื่อปิดเทอมมาถึงพอดีกับที่ทางบ้านของฝ่ายชายได้วางแผนจัดงานบวชให้กับลูกชายแม้จะเลยอายุตามธรรมเนียมมาแล้วเกือบสองปี
           เธอตื่นเต้นและดีใจมากว่าจะได้ไปงานบวชของคนอันเป็นที่รักแต่แล้วเมื่อใกล้วันงาน เธอกลับติดธุระที่เลี่ยงไม่ได้ทำให้ไม่สามารถไปร่วมงานนั้นได้ ด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ ฝ่ายชายบวชนานร่วมเดือนด้วยคำพูดที่ว่า ‘อยากอยู่ต่อ’
          ตลอดเวลาที่ฝ่ายชายบวชอยู่นั้นเธอไม่ได้ไปเยี่ยมหรือทำบุญเลยเนื่องจากอยู่กันคนละจังกวัดและค่อนข้างไกล โทรไปก็ไม่ได้เพราะพระอยู่วัดป่าถือเคร่งพอสมควร
          ตลอดเวลาที่เธอรอนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอเริ่มมีอาการแปลกๆ เธอเริ่มไม่ชอบการออกไปพบผู้คน วัดวาที่ไม่ค่อยเข้าก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่เฉียดไปอีก กินเท่าไหร่ก็ดูไม่เคยอิ่มเสียที และความต้องการของเธอมันก็ดูจะมากกว่าที่เคยเป็น เธออดกลั้น รอ วันที่จะได้เจอแฟนของเธอ
          แต่เธอก็ทนไม่ไหวพลาดไปมีสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าอย่างที่คนสมัยนี้เรียกว่า one night stand เธอรู้สึกผิด แต่ลึกๆกลับรู้สกพอใจอย่างประหลาด อาการแปลกๆของเธอมาๆหายๆ บางครั้งก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่รู้ที่มา แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกว่ากลิ่นนั้นมัน มาจากตัวเธอเอง
          จนวันที่ฝ่ายชายสึกออกมาแล้วนั้น เขาก็ยังไม่ยอมมาพบเธอในทันที ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างที่ฟังขึ้น ความสัมพันธ์ของเธอแย่ลงอีกครั้ง อีกครั้งที่เขาเริ่มเหินห่างเธอไป อีกครั้งที่รู้สึกว่าเธอจะถูกทิ้งไว้คนเดียวอีก
          เธอโทรไปยังเบอร์ที่ไม่ได้โทรมานานแต่ปลายสายกลับไม่สามารถติดต่อได้ ไม่ว่าจะโทรอีกกี่ครั้ง เธอชวนเพื่อนที่มีเพียงคนเดียวของเธอ คนเดียวกับที่แนะนำเธอเรื่องหมอคนนี้ให้ไปด้วยกัน
          และเมื่อไปถึงที่ก็ต้องผิดหวังอย่างหนักเพราะบ้านหลังนั้น ไม่อยู่แล้ว บ้านนั้นเกิดไฟไหม้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอไม่เคยรู้ เธอไปถามเอาจากร้านขายของใกล้ๆ
‘บ้านเขาไฟไหม้ ย้ายไปต่างจังหวัดหมดแล้ว’
          ความหวังของเธอพังลงอย่างไม่ใยดี เธอกำลังลนลานแต่เพื่อนของเธอก็ช่วยเตือนสติเธอไว้
‘พอแค่นี้ดีกว่าไหม’
          แล้วมันก็จริงที่เมื่อเธอ หยุดทุกอย่างลงแล้ว เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย อาจเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันคือ มนต์คาถา ไม่ใช่ความรู้สึก หรือในนั้นไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย
          หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตัดขาดกับชายคนนั้น และได้ข่าวว่าเขาก็มีชีวิตที่ดีจนย้ายไปเรียนที่อื่นแล้ว จนทุกวันนี้เธอก็ไม่เคยได้คุยกับเขาอีกเลย
‘อ้าว’ ผมหลุดปากด้วยความไม่เข้าใจ
‘แล้วที่มาหาผมนี่คืออะไร’
          ผมคิดอยู่ตลอดว่าคงได้เข้าไปแก้เรื่องนี้ แต่เปล่าเลยมันจบไปแล้ว เธออธิบายให้ผมฟังต่อถึงเรื่องราวหลังจากนั้น สิ่งที่เธอสร้างมันย้อนกลับมาทำร้ายเธอ ในที่สุด

เธอบอกว่าเหตุผลจริงๆทีจะมาคุยมีอยู่สองเรื่องก็คือ อย่างแรกผู้ชายคนนั้นหลุดพ้นจากเรื่องราวเหล่านี้หรือยัง ส่วนอีกเรื่องคือความผิดปกติที่ติดอยู่กับตัวเธอจนมาถึงทุกวันนี้
          เธอเริ่มมีอาการคล้ายคนผีเข้าในบางครั้ง มีหลายคนที่พบเห็นอาการนี้แน่นอนว่าต้องมีเพื่อนข้างๆเธอด้วยแน่นอน เวลาเธอเกิดอาการคุ้มคลั่ง เธอจะไม่ยอมคุยกับใครได้แต่อาละวาดทำร้ายตัวเองด้วยการตีการจิกเล็บลงไปบนผิวจนเป็นแผล
          เธอเริ่มอยากกินของแปลกๆที่ปกติเธอไม่เคยกินเลย เธออยากกินของสด ไม่ใช่ลาบหลู้ก้อยอะไรทำนองนั้นแต่เป็นของสดจริงๆ มีครั้งหนึ่งเธอเคยรู้สึกตัวพร้อมความคาวของเนื้อหมูบดที่อยู่ในปากพร้อมกับถาดโฟมและตู้เย็นที่เปิดทิ้งไว้ หลายครั้งที่มันเป็นแบบนี้
          หนักสุดที่เธอกลัวก็คือเธอเคยรู้สึกอยากกินเลือด เลือดสัตว์ จนเพื่อนต้องไปหาซื้อจากตลาดมาให้ และเธอก็ดื่มมันลงไปจริงๆ ทำเอาคนเห็นเหตุการณ์อาเจียนไปตามๆกัน
          เธอไปพบแพทย์และจิตแพทย์หลายครั้งเพราะกลัวว่ามันจะเป็นอาการทางจิตที่เกิดจากเรื่องเลวร้ายในชีวิต เธอเล่าทุกอย่างให้แพทย์ฟังแต่ผลการตรวจก็ยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะมีความบกพร่องทางจิต
          เธอเคยอาศัยศาสนาเข้าช่วยแต่นั่นกลับทำให้เธอแย่ยิ่งกว่าเก่า เพราะทุกครั้งที่เริ่มสวดมนต์ หรือแม้แต่จะตั้งใจสวดมนต์ยังไม่ได้สวดจริงๆ เธอก็จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนคนไม่สบายจนไม่สามารถทำอะไรได้
          เธอทรมานกับสิ่งที่เป็นไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร จนในที่สุดวันหนึ่งเธอก็ตัดสินใจไปหาหมอดูที่คนเขาไปดูกัน ด้วยความแม่นที่มากเกินกว่าเจ้าอื่นๆ
          เขาไม่รับเงินจากเธอ แต่บอกเธอเพียงประโยคเดียวสั้นๆ ‘มีผีตายโหงอยู่กับคุณ’
          ผมที่นั่งฟังก็รู้สึกสงสารแต่ก็พอจะเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร และทางออกมันควรจะเป็นอย่างไร
          ทุกคืนเธอแทบจะนอนไม่ได้เพราะต้องเห็นเงาร่างของหญิงสาวคนนั้นนอนอยู่ข้างๆ บ้างก็นั่งมองเธอไม่ไปไหน จะมีบางวันที่เธอไม่รู้สึกจึงพอนอนได้บ้าง วันไหนที่เป็นวันพระก็จะเบาบางกว่าทุกวัน เธอพยายามฝืนสวดมนต์ มันดีขึ้น แต่ก็ไม่มาก
          พอดีกับที่ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่รออยู่ ผมจึงต้องขอตัว
          เรานัดเจอกันในวันถัดมาเพื่อฟังเรื่องราวต่อไปให้จบ เธอบอกว่าเธอยังคงฝัน และมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ประโยคเดิมๆที่ได้ยินในความฝันมันติดหู ภาพเหล่านั้นมันติดตาไม่เคยหาย
          ภาพของหญิงสาวสภาพน่าเกลียดผิวซีดเผือดจนออกเขียว นัยย์ตากลวงๆไม่มีแววของความมีชีวิต ปากที่ยิ้มอย่างชอบใจอยู่เสมอปล่อยให้เลือดในปากเยิ้มน่าขนลุก ฟันสีเหลืองไร้ระเบียบนั้นยังส่งกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ มือลูบไล้ไปตามหน้าของเธอปากก็พร่ำแต่ประโยคเดิมซ้ำไปมาไม่มีจบ
‘อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน’
          เธอเล่าทั้งน้ำตาที่ไหลอยู่ตลอดเพื่อนที่อยู่ข้างๆกันไม่ไปไหนเหมือนรู้สึกว่าต้องร่วมกันรับผิดชอบในสิ่งที่ตนทำลงไป แม้จะไม่ได้กระทำแต่ก็เป็นคนแนะนำไป ไม่ต่างกัน
          เราเปลี่ยนสถานที่คุยเป็นห้องของพี่ปลาเพราะกลัวว่าจะมีอาการอะไรแสดงออกมาอีก เมื่อเข้าไปในห้องกลิ่นเหม็นก็อวนตลบตีเข้าที่หน้าผมอย่างจัง ผมถอยหลังออกจากห้องไปของพักหายใจสักครู่หนึ่ง
          ยาดมที่พกมาสูดเข้าไปหลายทีก็ยังไม่หายเหม็น สองคนในห้องมองผมอย่างสงสัยเพราะทั้งสองไม่ได้กลิ่นอะไร เจ้าของห้องพยายามเปิดแอร์แรงๆแล้วฉีดสเปรย์ปรับอากาศอีกครั้ง
          แต่รอบหลังตอนที่ผมหันกลับมาที่ห้องพักห้องนั้นผมก็เห็นเด็กตัวเล็กๆมายืนขวางทางไม่ให้เข้าไป เด็กน้อยอายุน่าจะแค่สามสี่ขวบ เสื้อผ้าการแต่งตัวบอกชัดเจนว่าไม่ใช่ เด็กทั่วไป
          เด็กน้อยมองหน้าเหมือนจะพูดอะไร เธอเดินหันข้างให้ผมไม่ได้สนใจ ตั้งใจจะเดินเข้าห้องนั้นไปแต่เด็กน้อยคนนั้นกลับหันมามองค้อนขวับอย่างไม่พอใจ ‘เธอคงอยากให้ตามไป’
          ด้วยความคิดอย่างนั้นผมเลยบอกคนในห้องว่าให้ออกมาก่อน ผมเดินตามเด็กน้อยไปเรื่อยๆ จากชั้นบนลงมายังถนนด้านล่างเดินอ้อมหอพักไปข้างหลังมีต้นไม้เก่าๆที่ตอนนี้เหลือแต่ตอ พร้อมกับจอมปลวกที่มีศาลพังๆวางอยู่
          ในนั้นมีรูปปั้นคุณตาแก่ๆที่เห็นได้ทั่วไป กับตุ๊กตาเด็กสองสามคนที่ไม่สมประกอบ ผมมองเข้าไปในนั้นก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างสะท้อนแสงจึงเอื้อมมือเข้าไปข้างใน
          ผมหยิบเอาอะไรบางอย่างในนั้นที่เจอออกมาดู ในมือผมเป็นพระองค์เล็กๆมีกรอบอยู่ในสภาพดีผมหันหลังมามองพี่ปลาพลางแบมือให้เธอดู เธอขาอ่อนทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น
‘สร้อยของเพื่อนที่หายไป’
          เธอว่าอย่างนั้นพร้อมกับร้องไห้ด้วยความรู้สึกอย่างไร ผมไม่รู้ ผมหันกลับไปมองคนที่รับฝากเอาไว้ ตอนนี้เขายืนให้เห็น ชายแก่ร่างท้วมจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้ เด็กน้อยยังมีท่าทีงอนๆให้ผมเห็นแต่คุณตายิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะจากไปคุณตาฝากบอกเธอคนนั้นอย่างอบอุ่น
‘เราเคยเป็นเจ้าที่ตรงนี้ วันนี้หมดวาระ จึงต้องเปลี่ยนภพหมดบ่วงต่อภพนี้ เราอยากช่วย’
          ผมได้แค่บอกต่อเท่านั้น เธอที่เหมือนได้แสงสว่างอันน้อยนิดมาไว้ในมือของเธอก้มกราบลงบนพื้นดินอย่างไม่อายใคร
          คงเพราะเฝ้าดูอยู่ตลอดจึงเกิดความสงสาร เธอรับปากผมว่าหลังจากนี้จะไปทำบุญให้คุณตาและเด็กน้อยคนนี้อย่างแน่นอน
          เรากลับขึ้นมาบนห้องโดยที่ผมยังไม่ยอมให้เธอคล้องพระ เพราะผมอยากคุยกับใครบางคนก่อน และแน่ใจว่าเขาคงไม่มาง่ายๆ
          ผงกำยานที่ผมหยิบเอามาจากหิ้งพระที่ใช้สักการะเป็นประจำ(เถ้าธูปเถ้ากำยานที่จุดถวายพระที่มีการสวดมนต์บูชาเป็นประจำๆใช้ไล่ของไม่ดีได้นะครับ) โปรยไปทั่วๆห้องเว้นตรงที่พี่ปลานั่งไว้เท่านั้น
          ธูปดอกหนึ่งผมให้พี่ปลาจุดเรียก เธอคนนั้น มาพูดคุยกับพวกเรา เพื่อหาทางออก พี่ปลากลัวมากจนไม่กล้าทำ ผมถามย้ำอีกครั้งว่า จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อมาแล้วก็ไม่กล้าทำอะไร
          สุดท้ายเธอก็ยอม แต่ไม่มีใครปรากฏตัว ผมจึงเป็นคนออกปากเรียกเองเพื่อให้มันจบโดยเร็วที่สุด ไม่นานพี่ปลาก็เริ่มมีอาการไม่เป็นตัวเอง
          กริยาท่าทางนั้นไม่เหมือนคนปกติ เธอลุกพรวดขึ้นมานั่งในท่านั่งยองๆบนปลายเท้ากอดเข่าไว้แน่น สองตามองไปรอบๆตัวเหมือนกลัว เหมือนอึดอัด
‘เป็นใคร’ คำถามเรียบๆที่ใช้จนเบื่อ
‘อย่ามาเสีอก’ คำตอบหวานหู
‘คุยกันหน่อย จะได้ช่วย’
          นานสองนานไม่มีทีท่าว่าจะ อยากได้รับความช่วยเหลือ จนสุดท้ายต้องต่อรองกันพอสมควรจึงได้ความ
          หญิงสาวคนนี้ ตายด้วยมือตัวเอง ด้วยความผิดหวังในความรัก ความรู้สึกนั้นชัดเจนและมั่นคงจนกลายเป็นจิตอาฆาตที่รุนแรง หมอผี คนนั้นมีวิชามากพอจะจับเธอมาเป็นบริวาร และใช้วิชากำกับ
          อวิชชาเป็นศาสตร์ฝืนธรรมชาติที่ต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง วิญญาณดวงนี้จึงถูกพันธนาการไว้ที่ภพนี้ แต่มันจะเป็นอะไรไปเสีย ถ้ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ
          เธอถูกเลี้ยงด้วยอาคม เสริมฤทธิ์ เสริมความอาฆาตที่มี การบัดพลีสัมภเวสีมีหลายทางให้เลือกใช้ แต่หมอคนนี้เลือกของสดและเลือดสด เพราะจะส่งเสริมกับอวิชชาได้ดี
          จนเธอกลายเป็นผีเลี้ยงที่มีฤทธิ์เหลือเกิน น้ำมันพรายที่ได้จากเธอก็เข้มขลัง แล้วตัวเธอจะรุนแรงเท่าไหร่เล่า
          เรื่องราวของเธอแล่นเข้ามาในหัวอย่างกะทันหันราวกับเป็น คำขู่ ว่าเธอไม่กลัวเราหรอก เธอยังพยายามจะแสดงฤทธิ์เดชด้วยการกรีดร้องและพยายามจะขยับเข้ามาใกล้
          แต่เธอก็รู้ และหยุด เธอนั่งมองนิ่งๆรอดูว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป ผมรู้ดีว่าคราวนี้ผม ยุ่งไม่ได้ กรรมใดใครก่อย่อมต้องชดใช้ พี่ปลาสร้างกรรมทั้งกับมนุษย์และวิญญาณ แม้เป็นเพียงผู้ใช้ แต่ก็ผิดไม่แพ้กัน
          สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ขอให้เธอผ่อนผันลงเสียหน่อย แลกกับการที่พี่ปลาต้องหมั่นทำบุญให้เธอ (ไม่มีใครรู้ว่ากี่ครั้ง อาจจะตลอดชีวิต)

     และอีกสิ่งที่ขอไว้คือ กรรมส่วนกรรม แต่อย่าเข้ามาใช้ร่างบ่อยได้ไหม มันจะแย่เอา เธอบอกกับผมว่าเธอทำไม่ได้ เพราะหมอคนนั้น ฝังเธอไว้ในตัวพี่ปลา ด้วยวิชา เธอไม่ได้เข้ามาด้วยความตั้งใจของตัวเอง
          ตรงนี้ก็คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะทำให้ได้ เธอยังไม่ได้ถอยไป แต่ก็ยอมให้ผมช่วยเหลือ เธอก็คงอึดอัดในการอยู่อย่างนี้การถูกผูกติดกับคนเป็นก็ไม่ได้เป็นผลดีกับคนตาย
          น้ำมนต์ที่เพิ่งทำให้พรมลงไปตรงหลังของพี่ปลาปรากฏให้เห็นรอยแดงขึ้นมาเป็นรูปคล้ายยันต์ที่ผมอ่านไม่ออก การถอนวิชานั้นไม่ใช่ง่าย และก็ใช่ว่าผมจะเก่งขนาดนั้น
          ดีที่ ท่าน ยังคงช่วยเหลือในทุกๆครั้ง หลังจากถอนสิ่งเหล่านี้ออก มันไม่ได้ติดมือผมออกมาเหมือนในหนังแต่เป็นพี่ปลาที่วิ่งไปอาเจียรเอาน้ำมันเหนียวๆออกจากคอตัวเอง เธอหมดแรงอยู่ในห้องน้ำจนเพื่อนต้องไปพยุงออกมา
          น้ำมันที่ออกมาจากปากถูกรวมเข้ากับขวดน้ำมันพรายที่ยังเก็บไว้และหุ่นดินปั้น ทั้งหมดถูกเผาที่ระเบียงห้องพักนั้น สร้อยพระนั้นเธอเก็บไว้สัญญาว่าเมื่อเสร็จเรื่องราวจะนำไปคืนเจ้าของ เธอบอกกับผมว่าจะทำบุญ และหันมาสนใจศาสนาเพื่อชดใช้กรรม
          ผมย้ำกับเธออีกครั้งว่า ผมไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมไม่สามารถลบล้างกรรมใครได้เมื่อพี่ก่อ พี่ต้องใช้ นั่นเป็นสิ่งตายตัว หลังจากนี้เธอก็ยังคงต้องทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ทำไปอีกนาน อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าการชดใช้ วันหนึ่งมันจะหมดลง แต่เมื่อไหร่ ใครจะรู้
          แม้ว่าจะไม่ได้ยุ่งโดยตรงแต่การเข้าไปรบกวนระบบกรรมนั้นก็ทำเอาผมหมดสภาพป่วยหนักไปเกือบอาทิตย์ เมื่อเราเข้าไปขวางกรรมใคร เราก็มักจะต้องแบกรับผลนั้นด้วยเช่นกัน
          ขึ้นชื่อว่า กรรม ถ้าไม่ก่อ ก็ไม่เกิด แต่ถ้าเกิดแล้ว ก็มิอาจลบล้าง อย่าได้หลงเชื่อคำโฆษณา เรื่องการล้างกรรม หนทางเดียวที่มีคือ การชดใช้ แต่จะชดใช้ด้วยอะไร ก็ลองคิดดู

ไม่มีความคิดเห็น