แพรสีเลือด


     อีกหนึ่งผลงานจากคุณ กฤตานนท์ หรือ Rhythm in the Air หรือ ธี่หยด นักเขียนเรื่องสยองในตำนาน ที่อยากจะนำเสนอ เขาผู้ที่อยู่ในวงการนักเขียนที่ถ้าหากคุณเป็นตัวจริงการอ่านเรื่องสยองขวัญแล้ว ธี่หยด เป็นชื่อที่คุณรู้สึกถึงคุณภาพแบบที่คุณจะไม่สามารถอธิบายได้ แต่คุณจะสามารถรับรู้ได้ เรื่องที่จะนำเสนอต่อไปคือ "แพรสีเลือด" เรื่องสยองที่จะทำให้คุณน้ำตาไหลได้

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องมาแบ่งปันนะครับ มีคนรู้จักมาเล่าให้ฟัง ได้รับอนุญาตให้เรียบเรียงใหม่เพิ่มอรรถรสจนมาเป็นเรื่องเล่าผสมเรื่องสั้น
ไม่ต้องกังวลว่าจะลากไป ๓ วัน ๘ วัน เพราะลงในเพจจนครบหมดแล้ว จึงนำมาแชร์ให้อ่านรวดเดียวครบจบกระบวนความ
เกริ่นไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ยาวสุดๆ หากไม่ถูกจริตท่านใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ (แต่ถ้ายาวมากอาจแบ่งเป็น ๒ กระทู้นะครับ)

แพรพรรณผืนนั้นสีงามประหลาด
สีเหมือนหยดเลือดหยาด
หยาดจากกมลของคนมีแผล...
เนื้อร้องบางส่วนของเพลง 'แพรสีเลือด' ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ

หลายคนคงฝันจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต บางคนมีหลายสิ่งเอื้อให้ครอบครองได้โดยไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
แต่อีกหลายคนต้องลำบากตรากตรำ กดเครื่องคิดเลขแทบพัง เช็คเรท MLR, MRR จนตาลายกว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า 'บ้าน'
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็หวังเหมือนกันทั้งนั้นว่า เมื่อมีบ้านก็ขออยู่อย่างสุขกายสบายใจ กินอิ่มนอนอุ่น ร่มเย็นเป็นสุข ได้พักผ่อนใต้ชายคาบ้าน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับความสุขเช่นนั้น บางคนอาจจะระทมจมอยู่กับความทุกข์ และความทุกข์ที่ว่าไม่ใช่เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงลิบ
แต่เป็นอย่างอื่นที่น่ากลัวยิ่งกว่า

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน หลังพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งทำเอาเซไปทั้งประเทศ พี่ดินกับพี่เตยสองสามีภรรยาก็เซถลาไปเหมือนกัน
ทั้งคู่มีโซ่ทองคล้องใจ เป็นเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มอายุขวบเศษชื่อน้องตั้งใจ สามคนพ่อแม่ลูกทนลำบากอยู่หลายปี
ทำงานหนักหวังขยับขยายออกจากบ้านเช่าหลังเล็กที่อยู่มาร่วมสิบปี หลังผ่านไปราวสามปีเศษก็พอมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง
พี่ดินจึงคิดจะหาซื้อบ้านสักหลัง ไม่ต้องใหญ่มาก แค่พออยู่ได้ ไม่อึดอัด ให้ลูกซึ่งกำลังโตวันโตคืนได้มีที่วิ่งเล่น ได้เจอเพื่อนบ้านใหม่
สังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม

พี่ดินเข้าไปดูบ้านในโครงการหมู่บ้านหลายแห่ง แต่ก็ต้องส่ายหน้าเอาเท้าก่ายหน้าผาก เพราะราคามันแพงเหลือเกิน
สุดท้ายจึงกลับไปปรึกษาภรรยาว่า ณ ตอนนี้คงซื้อได้แค่บ้านมือสองเท่านั้น ซึ่งพี่เตยก็ไม่ติดอะไร
'นกน้อยทำรังแต่พอตัว'

พี่ดินตระเวนหาบ้านมือสองอยู่นานร่วมเดือน สุดท้ายไปเจอบ้านเก่าหลังหนึ่งอยู่ห่างจากชุมชนเล็กน้อย ตั้งอยู่เกือบสุดซอย เนื้อที่กว้างขวาง
เกือบ ๙๐ ตร.ม. พอให้ลูกชายที่กำลังซุกซนวิ่งเล่นได้สบาย ถึงจะดูทรุดโทรมไปสักหน่อย แต่หากซ่อมแซมคงดูดีไม่น้อย
พี่ดินถูกใจบ้านหลังนี้มากแต่ก็ยังไม่ดำเนินการติดต่อซื้อขายกับเจ้าของ สิ่งแรกที่ทำนั้นเรียบง่าย บ้านหลังขนาดนี้ ลักษณะแบบนี้
ราคาเท่านี้ ไฉนไม่มีคนอยู่...

เขาเข้าไปสอบถามเพื่อนบ้าน ตะล่อมคุยไปเรื่อยๆ ดินฟ้าอากาศ ท้ายสุดจึงหยั่งเสียงเพื่อนบ้านละแวกนั้นด้วยคำถามคล้ายๆ กันว่า
‘แถวนี้มีโจรขโมยบ้างมั้ยครับ’
‘ทำไมบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่’ หรือถามแม้กระทั่ง
‘เคยเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นมั้ยครับ’

ความโล่งใจมาเยือน เพื่อนบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มา ๒๐-๓๐ ปี ไม่เคยเห็นหรือเจออะไรแปลกๆ และไม่เคยได้ยินว่ามีโจรขโมยเพ่นพ่าน แต่ที่บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่มาหลายปีเพราะเจ้าของเป็นลูกหลานข้าราชการใหญ่ตั้งแต่เก่าก่อน ทรัพย์สมบัติเหลือเฟือ ไม่เดือดร้อน
จึงไม่เคยประกาศขายหรือปล่อยเช่า เพิ่งจะมาติดประกาศช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองเมื่อไม่ถึงเดือน พี่ดินก็มาเจอเข้าพอดี

'พรหมลิขิตชัดๆ' พี่ดินนึกในใจ

พี่ดินกลับบ้านในช่วงบ่าย เรียนแจ้งภรรยาผู้กุมอำนาจการตัดสินใจ จากนั้นกระเตงลูกกระเตงเมียกลับมาดูบ้านหลังนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน
เพราะกลัวจะมีใครมาสอยไปเสียก่อน แรกเห็นพี่เตยรู้สึกถูกโฉลกบ้านหลังนี้เช่นกัน ถึงจะอยู่สุดซอย ครึ้มไปด้วยต้นไม้และห่างจากบ้านหลังอื่นๆ เล็กน้อย แต่โดยรวมก็ไม่ถือว่าวังเวงแต่อย่างใด ตอนแรกพี่เตยกังวลเรื่องเดียวกับสามีว่าจะมีอย่างอื่นแถมมาในดีลนี้ด้วยหรือไม่
แต่เมื่อทราบว่าพี่ดินสอบถามเพื่อนบ้านดูแล้ว ค่อนข้างจะเคลียร์ในเรื่องของแขกไม่พึงประสงค์ ก็เป็นอันว่าตกลงที่จะซื้อบ้านหลังนี้

หลังจากที่ชมบริเวณรอบๆ เรียบร้อย ขณะที่กำลังจะกลับ น้องตั้งใจซึ่งตอนนั้นอายุสามขวบ ยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วไม้เก๋ากึ๊ก
เด็กน้อยหันมาบอกพ่อกับแม่สั้นๆ อย่างไรเดียงสา แต่ไม่ชัดถ้อยคำนัก จับได้คร่าวๆ ว่า

“น้องตั้งใจไม่อยากอยู่ที่นี่"

แน่นอนว่าคำพูดไร้ที่มาที่ไปของเด็กน้อยไม่ประสีประสาขาดน้ำหนัก และไม่มีผลกับการตัดสินใจ ไม่มีแม้กระทั่งความสงสัย
ว่าทำไมเด็กน้อยถึงพูดเช่นนั้น

สองวันต่อมา พี่ดินไปพบเจ้าของบ้าน เป็นชายสูงอายุอยู่กับหลานแค่ ๒ คน หลังจากเจรจาต่อรองซื้อขายกันเรียบร้อย พี่ดินได้รับกุญแจเก่าๆ ขึ้นสนิมมาหนึ่งพวง ผู้เฒ่าซึ่งกำลังกลายเป็นอดีตเจ้าของได้บอกว่า หลังจากจัดการย้ายของเข้าบ้านเรียบร้อย ก็ทำบุญบ้านให้เรียบร้อยจะได้เป็นสิริมงคลกับครอบครัว ยังบอกอีกว่าฝากดูแลรักษาให้ดีด้วย เพราะเป็นบ้านเก่าแก่ของบรรพบุรุษตั้งแต่ปู่ย่า

ผ่านไปอีกเกือบอาทิตย์ พี่ดิน พี่เตยและเพื่อนๆ ช่วยกันขนของบางส่วนมาไว้ที่บ้านใหม่...

บ้านหลังนี้เป็นบ้าน ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นเรือนไม้ทรงปั้นหยา รอบข้างเป็นที่ดินรกร้าง มีไม้ใหญ่ขึ้นรกครึ้มไปหมด
โครงสร้างอาคารด้านนอกถูกแดดฝนมาหลายปีก็ผุพังหมองลงไปไม่น้อย แต่ภายในกว่าครึ่งเป็นไม้สัก
พอขัดถูเข้าหน่อยก็เงาวับดูดีมีระดับสมกับเป็นเรือนข้าราชการเก่าแก่ พี่ดิน พี่เตยและเพื่อนๆ ช่วยกันทำความสะอาดทั้งวันจนบ้านเก่า
ดูดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อนๆ พากันอิจฉาว่าราคาควรจะแพงกว่านี้สัก ๒ เท่า จากนั้นก็เริ่มเสี้ยมว่ามีอย่างอื่นแถมว่าด้วยหรือเปล่าให้ว่าที่เจ้าของใหม่ใจเสียเล่น สรุปคืนนั้นพี่เตยยอมจัดให้พี่ดินกับเพื่อนไปเบาๆ สามกลม

ค่ำคืนแรกในบ้านหลังใหม่ไม่มีสิ่งผิดปกติ พี่เตยนั่งกล่อมลูกอยู่ในห้องนอน ไม่นานเด็กน้อยก็ผล็อยหลับไป ปล่อยให้หนุ่มๆ ปาร์ตี้กันอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน พี่ดินกับเพื่อนตกลงว่าวันรุ่งขึ้นจะขนเฟอร์ฯ ชิ้นใหญ่ที่เหลือมาลงให้หมด คืนนั้นทุกคนนอนหลับเป็นปกติสุข สายวันต่อมาพี่ดินและเพื่อนกลับไปบ้านเช่าเดิม ขนเฟอร์ฯ มาบ้านใหม่ เริ่มจากชิ้นเล็ก โต๊ะ เก้าอี้ เตียงที่ถอดได้ ปิดท้ายด้วยตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถแกะเป็นชิ้นๆ
พี่ดินกับเพื่อนรวม ๓ คนยกอย่างทุลักทุเล เป้าหมายคือห้องนอนของเจ้าบ้าน เมื่อเข้าไปถึงด้านใน เกิดเหตุสุดวิสัยว่าเพื่อนคนหนึ่งเกิดสะดุดพรมเช็ดเท้า เสียหลักเซล้ม ทำให้เพื่อนอีก ๒ คนรับน้ำหนักตู้เสื้อผ้าแบบปัจจุบันทันด่วนไม่ไหว จำต้องปล่อยให้ร่วงลงพื้น
มุมตู้ด้านหนึ่งตกกระแทกกับพื้นจนแตกร้าว...

พี่ดินกะเทาะเศษปูนที่แตกออกมาจากหลุมเล็กๆ กว้างเท่าเหรียญห้า ลึกสักเซนนิดๆ เมื่อเขี่ยเศษดิน เศษปูนจนหมด
ปรากฎว่ามีปลายด้ายแดงโผล่มาจากก้นหลุม ยาวสักครึ่งเซน พี่ดินไม่สนใจนัก ห่วงแต่ว่าจะโดน ผบ.สูดสุดงดเหล้ายาปลาปิ้งในวันนี้รึเปล่า
ฐานมึนเมาจนทำให้บ้านเสียหายทั้งที่จริงก็สร่างกันตั้งแต่รุ่ง มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ โปรดเข้าใจ แต่อย่างว่า
สุภาพสตรีมักมีตรรกะที่ต่างจากสุภาพบุรุษ

พี่ดินดึงเศษด้ายจนขาดติดมือมา ทันทีที่ด้ายขาดเขาได้กลิ่นคล้ายน้ำอบที่หมดอายุ กลิ่นหอมๆ แห้งๆ ชวนวิงเวียนโชยมาแตะจมูก
แต่ไม่สู้สนใจ เลื่อนพรมทับรอยแตกเลี่ยงเป็นการชั่วคราว แต่มีหรือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าภรรยาหูตาเป็นสับปะรดจะไม่รู้เรื่อง
ช่วงเย็นหลังจากปัดกวาดเช็ดถูกบ้านอีกรอบจนมาถึงห้องนอน พี่เตยพบรูดังกล่าว จึงเรียกพี่ดินมาสอบถาม หลังจากทราบเรื่องเป็นอันว่าของกำนัลแด่เพื่อนผู้มีน้ำใจ เป็นแค่กับข้าวเล็กๆ น้อยๆ ไร้สุรายาดองของมึนเมา แน่นอนว่าของแค่นั้นไม่อาจรั้งหนุ่มๆ ได้นานนัก สัก ๒ ทุ่มหลังจากจัดข้าวของเสร็จ เพื่อนทั้ง ๒ ก็แยกย้ายกลับบ้าน พี่ดินเดินไปส่งเพื่อน ปิดประตูรั้วเก่าๆ เรียบร้อยจึงกลับเข้าไปในบ้าน อาบน้ำเตรียมพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

เมื่อเข้ามาในห้องนอน พบพี่เตยนั่งจัดเครื่องสำอางค์ เธอบ่นกระปอดกระแปดว่าของบางชิ้นหายไป แต่จำไม่ได้ว่าอะไร รู้แค่ว่าไม่ครบ
คงหล่นระหว่างย้ายของ พอมีเรื่องแรกเรื่องที่สองค่อยๆ ตามมา พี่เตยบ่นสามีอีกรอบเรื่องรอยปูนที่แตก บอกให้เอาปูนมาอุดรูให้เรียบร้อย
และทิ้งท้ายไว้ว่า

“แล้วพี่เห็นตรงก้นหลุมรึยัง มีเศษด้ายแดงๆ อะไรก็ไม่รู้โผล่ออกมา สงสัยตอนเทพื้นช่างเก็บงานไม่เรียบร้อย พี่มีเวลาก็จัดการซ่อมให้ด้วยนะ”

พี่ดินรับคำไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เขาทิ้งตัวนอนข้างๆ ลูกชายด้วยความอ่อนเพลีย
สองสามีภรรยาไม่ทราบเลยว่า คืนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ

คืนที่สองในบ้านหลังใหม่...

พี่เตยสะดุ้งตื่นเป็นคนแรกเนื่องจากได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากชั้นบน เสียงไม่ดัง แต่ไม่เบา คล้ายมีวัตถุบางอย่างเคลื่อนที่ช้าๆ
เมื่อตั้งใจฟังเสียงนั้นเงียบหาย พอไม่สนใจก็กลับมาดังแว่วอยู่เรื่อย คนที่ตื่นเป็นคนต่อมาคือน้องตั้งใจ
น้องร้องโยเยไม่ยอมนอนทั้งที่ปกติจะหลับยาวถึงเช้า สรุปคืนนั้นพี่เตยมาข่มตาหลับเอาเกือบรุ่ง

เช้าวันต่อมาพี่ดินออกไปทำงานตามปกติ ปล่อยพี่เตยจัดเก็บข้าวของที่ยังกองอยู่เต็ม สาวเจ้าสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน (ใหม่)
เริ่มจากเก็บขยะ กวาดหยากไย่ ดูดฝุ่น ขัดพื้น เฉพาะชั้นล่าง ส่วนชั้นบนคงไว้วันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงเริ่มตกแต่งบ้านเท่าที่ทุนทรัพย์อำนวย
พี่เตยเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ วางกรอบรูปตามตู้โชว์ และติดมู่ลี่พลาสติกลวดลายสวยงามหน้าประตูห้องน้ำ
เสร็จจากนั้นจึงพาน้องตั้งใจเข้านอนกว่าจะกล่อมจนหลับก็เย็นย่ำเต็มทน บรรยาศยามเย็นดูเงียบสงบ ทั้งที่ห่างจากบ้านเพื่อนบ้านไม่กี่สิบเมตร
เสียงใบไม้ไหวรอบบ้านฟังดูวังเวง พี่เตยซึ่งยังไม่คุ้นกับพื้นที่เดินออกมาหน้าบ้าน มองซ้ายขวาไปนอกรั้ว
จากนั้นปิดประตูและหน้าต่าง (เกือบ) ทุกบาน เสร็จแล้วผลัดผ้าเข้าไปอาบน้ำ

ระหว่างที่กำลังชำระล้างร่างกายอย่างสบายอารมณ์ เกิดเสียงบางอย่างแทรกเสียงน้ำที่กระทบร่าง กว่าที่จะได้ยินชัด ก็ตอนที่ปิดฝักบัว
เสียงนั้นคล้ายมีวัตถุเคลื่อนที่ช้าๆ อยู่ชั้นสอง พี่เตยไม่สนใจ คิดว่าบ้านเก่าเช่นนี้ นกหนูคงเต็มไปหมด หลังสระผมเสร็จเปิดฝักบัวอีกรอบ
เสียงน้ำไหลพร้อมๆ กับที่พี่เตยได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลงส้นบนบันไดดัง ตึก! พี่เตยปิดก๊อก เงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงอะไร ยกเว้นเสียงใบไม้ที่อยู่นอกตัวบ้าน ยืนฟังอยู่นานเมื่อไม่มีเสียงจึงเปิดฝักบัวอีกรอบ พอมีเสียงน้ำไหลดัง ซ่า เสียงลงส้นก็ดังอีกรอบ ตึก!

เสียงดังพร้อมกันจนไม่แน่ใจว่ามันดังจริงรึเปล่า แต่พี่เตยเริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัว กระโจมอกเสร็จสรรพ อยู่ๆ ขนก็ลุกซู่
รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่หน้าประตู คือไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามี และถัดมาเสี้ยววินาที สิ่งที่คิดได้ถูกยืนยัน เมื่อพี่เตยได้ยินเสียงแหวกมู่ลี่
(อารมณ์ประมาณแหวกจากซ้ายไปขวา)
พี่เตยพยายามคิดว่าเป็นเพราะลม ทั้งที่จริงก็ปิดหน้าต่างไปเกือบทุกบาน ระหว่างที่คิดเสียงแหวกมู่ลี่ก็ดังอีกรอบ...
เธอตะโกนทันที “ตั้งใจเหรอลูก”

เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ พี่เตยกลั้นใจเปิดประตูออกไป ภายในบ้านว่างเปล่า ผิวหนังเปลือยเปล่าชื้นไปด้วยน้ำบอกพี่เตยว่าไม่มีลมพัดเข้ามาในบ้าน ถึงมีก็น้อยเกินจะมีแรงส่งให้มู่ลี่ขยับได้ พี่เตยชะโงกไปมองประตูและหน้าต่างทุกบานยังปิดสนิทเช่นเดิม จึงเดินไปดูห้องที่ลูกนอนอยู่
ปรากฏว่าน้องตั้งใจก็ยังนอนหลับอยู่เหมือนเดิม ความกังวลเริ่มผุดขึ้นในใจเป็นจุดเล็กๆ

ช่วงค่ำหลังมื้อเย็น พี่เตยคว้าแขนสามีออกมานั่งม้าหินหน้าบ้าน จ้องอยู่ ๓ วิฯ ก่อนถามเข้าประเด็นแบบไม่ต้องอ้อมโลก
“พี่แน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้ไม่มีอะไร”
พี่ดินที่กำลังอิ่มแปล้หันขวับไปมองภรรยาบังเกิดเกล้า ถามกลับที่พูดหมายความว่ายังไง พี่เตยไม่ตอบแต่ยังถามคำถามเดิม
“พี่แน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้ไม่มีอะไร”

“อะไรที่ว่าหมายถึงผีใช่มั้ย?” พี่ดินถามกลับตรงๆ เช่นกัน หลังจากนั้นก็เล่าว่าตัวเองเดินถามชาวบ้านหลายหลังจนขาลาก
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยเห็นว่าบ้านหลังนี้จะมีอะไรผิดปกติมากกว่าไปเป็นที่พักพิงของแมวเหมี๊ยวหรือสุนัขจรจัด
พี่ดินย้อนถามกลับว่าทำไมถึงถามแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น พี่เตยไม่ตอบ คำชี้แจงของสามีทำให้คลายความกังวลได้เปราะหนึ่ง

แม้จะตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้รกๆ ไปไม่น้อย แต่ยามค่ำคืนจิ้งหรีดก็ส่งเสียงระงมดังไปทั่ว หลังจากกล่อมลูกเข้านอนเรียบร้อย
พี่เตยออกมาเก็บกวาดครัว เสียวสันหลังเล็กน้อย กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็เกือบสามทุ่ม ครั้นจะอาบน้ำก็ขยาดนึกถึงเรื่องเมื่อช่วงเย็น
จึงต้องไปตามสามีสุดที่รักมานั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำ (ฮั่นแน่ มีใครเคยทำแบบนี้บ้างรึเปล่าเอ่ย?)

พี่ดินทำได้แค่บ่น (ในใจ) เพราะรู้ดีว่าหากบ่นออกอากาศอาจถูกสวนกลับเป็นสองเท่าหูชาแน่นอน
พี่เตยคว้าผ้าขนหนูได้ก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ระหว่างอาบก็ร้องเรียกเป็นระยะ
“พี่ยังอยู่ใช่มั้ย?”
พี่ดินก็นั่งหาว ตอบกลับแบบเนือยๆ “ก็นั่งอยู่ที่เดิมนี่ล่ะจ้า”
อาบไปสักพักพี่เตยก็เรียกอีก พี่ดินก็ตอบกลับทุกครั้ง จนระหว่างที่พี่เตยกำลังเช็ดเนื้อตัว ทุกอย่างดูเงียบเชียบไปหมด ก็ร้องเรียกสามีอีกครั้ง

“พี่”

ไม่มีเสียงตอบ จึงเรียกอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับของคุณสามี พี่เตยขนลุกซู่อีกครั้ง ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง
จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วเปิดออกเบาๆ ประตูเก่ารอการเปลี่ยน (เมื่อเงินเดือนสามีออก) ส่งเสียง แอ๊ดดด...
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้พี่เตยเกิดความรู้สึก... โกรธ เพราะสามีตัวดีนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่บนเก้าอี้ พี่เตยเห็นดังนั้นจึงถามว่าไปไหนมา
เรียกทำไมไม่ตอบ พี่ดินบอกว่าไม่ได้ลุกไปไหนเลย เห็นกลัวเลยแกล้งนั่งเงียบๆ พี่เตยเลยจัดให้ชุดใหญ่
“@#$^**&@@!%^(&#!@@&฿฿%”

พี่ดินหัวเราะร่าที่แกล้งภรรยาสำเร็จ ตรงข้ามกับพี่เตยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่แม้จะหงุดหงิด พี่เตยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
คนหนึ่งบ่นคนหนึ่งฟังเดินกลับเข้าห้องนอน เมื่อเข้าไปถึงปรากฏว่าความครื้นเครงเมื่อสักครู่หายวับไปในพริบตา
เพราะมีสิ่งหนึ่งปรากฏบนที่ๆ ไม่ควรอยู่ นั่นคือบนใบหน้าของลูกน้อยที่นอนหลับพริ้ม ส่งเสียงกรนเบาๆ
มีรอยลิปสติกสีแดงชาดทาบริเวณปากลากยาวจนถึงแก้ม...

พี่เตยถลาเข้าไปหาลูกน้อยด้วยความตกใจ หลังเขย่าตัวสักครู่ ตั้งใจงัวเงียลืมตา คุณแม่เค้นถามว่าเอาลิปสติกมาเขียนเล่นทำไม
เด็กน้อยกะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนมุดศีรษะเข้าไปใต้หมอน ไม่สนใจว่ามารดาตกใจเพียงใด พี่เตยหันกลับไปมองสามีตาขวาง

“หรือฝีมือพี่? ” พี่เตยหันขวับไปมองสามีเมื่อเห็นยืนยิ้มแหยๆ จึงจัดให้อีกชุด
“เล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้ ที่เมื่อกี้เรียกไม่ตอบ แอบหลบเข้ามาห้องแล้วแกล้งเขียนหน้าลูกใช่มั้ย”

พี่ดินขอโทษขอโพยพัลวันบอกวันหลังจะไม่เล่นแบบนี้อีก แต่พี่เตยโกรธจริงจัง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลบรอยลิปสติกบนหน้าลูก
ก็ขึ้นเตียงนอนไม่สนใจสามีอีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน พี่ดินก็ปิดไฟแล้วตามขึ้นมานอนเงียบๆ
คงรับสภาพได้ว่าคืนนี้ไม่มีโอกาสเล่นจ้ำจี้มะเขือเปราะ

บรรยากาศในคืนนั้นแปลกไปเล็กน้อย ความวังเวงน่ะมีอยู่ แต่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดบวกกับสามีสุดที่รักไม่มาง้องอน ทำให้นอนไม่หลับ
แต่ก็ขืนไม่พลิกตัวไปหาหมอนข้างดิ้นได้ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ประเดี๋ยวเสียเหลี่ยมเสียคู ต้องนับแกะอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับ

เช้าตรู่วันต่อมาก่อนพี่ดินออกไปทำงาน น้องสาวชื่อเดือนก็แวะมาที่บ้าน เธอซื้ออาหารเช้ามาฝากพี่ชายและพี่สะใภ้
เดือนบอกว่าช่วงนี้พอมีเวลาว่างจะมาช่วยทำความสะอาด พี่เตยยิ้มแก้มปริ เพราะมีทั้งคนช่วยงานพร้อมเพื่อนในคราวเดียวกัน
ความผิดฉกรรจ์ของพี่ดินเมื่อคืนที่ผ่านมา ควรถูกภาคทัณฑ์อย่างน้อยสัก ๒-๓ วัน งดล่อตะเข้ตะโขงด้วยสุรานานาชนิด
ละเลิกความคิดชวนเพื่อนสามีมาสร้างความครื้นเครงที่บ้าน

พี่ดินเดินเข้าไปพูดกับน้องสาวสองสามคำจึงขับรถออกไปทำงานตามปกติ พี่เตยกับเดือนจึงหันมาสะสางงานที่คั่งค้าง
ทั้งสองลงมือเช็ดกระจกทุกบาน เริ่มจากหน้าบ้าน ขะมักเขม้นกันได้ไม่นาน พี่เตยสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเดือน เธอดูล่อกแล่กพิกล
พี่เตยฉลาดพอที่จะจับตาดูอยู่นานพอที่จะเชื่อได้ว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ความผิดปกตินั้นคือ ไม่ว่าพี่เตยจะทำอะไรที่ใด
เดือนมักตามมาอยู่ใกล้ๆ เสมอ อาบน้ำให้ตั้งใจ เดือนจะมานั่งข้างๆ เช็ดกระจกหลังบ้าน เดือนปรี่มาขัดอยู่ใกล้ๆ หรือแม้กระทั่งพี่เตยตัดแต่งกิ่งไม้เลื้อยอยู่ข้างบ้าน เดือนก็ตามมากวาดเสียชิดติดจอ ในที่สุดพี่เตยจึงบอกให้ช่วยขึ้นไปกวาดพื้นชั้นสองให้หน่อย เดือนหันขวับมาตอบทันควัน

“ไม่เอาอ่ะพี่เตย เดือนไม่กล้าขึ้นไป”

พี่เตยจ้องมองจนเดือนอึกอัก กลบเกลื่อนว่าขึ้นไปพร้อมกันดีกว่าจะได้เสร็จเร็ว พี่เตยคิดในใจก่อนถามตรงๆ
“เดือน... ถามจริงๆ มีอะไรเปล่า? ดูลุกลี้ลุกลนชอบกลนะ ตามติดพี่แจเลย”
จำเลยโดนซักก็พยายามปฏิเสธ แต่ ‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’ พอโดนเจ้าหนูโคนันจี้เข้าก็ยอมสารภาพในที่สุด

“พี่ดินให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เตย” เดือนตอบเสียงอ่อย...
“ให้มาอยู่เป็นเพื่อน? มีอะไรเหรอ?” พี่เตยถามต่อ
“เดือนไม่รู้หรอก พี่ดินโทรมาตั้งแต่เช้าตรู่ ถามว่าว่างมั้ย ถ้าไม่ติดธุระอะไรให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เตยสัก ๒-๓ วัน”
“พี่ดินบอกมั้ยว่าให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ทำไม”
“เดือนก็ถามแบบที่พี่เตยถามนั่นล่ะ” เธอนิ่งไปชั่วครู่ สายตาเหลือบมองรอบๆ “พี่ดินบอกแค่ว่ารู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล”

พี่เตยได้ฟังก็สับสนไม่น้อย พยายามคาดคั้นสาเหตุ แต่ดูเหมือนสิ่งที่เดือนรู้ เธอได้บอกมาหมดแล้ว น้องสาวคนนี้เก็บความลับไม่ค่อยเก่ง
พี่เตยหน้านิ่วอยู่ครู่จึงยกโนเกีย ๓๒๑๐ โทรหาสามีทันที เมื่อปลายสายรับ พี่เตยจึงระดมคำถามเป็นชุด แต่สามีคนดีบอกแค่ว่าไม่มีอะไร
ให้น้องมาช่วยงานเท่านั้น และบอกว่ายุ่งอยู่มีอะไรช่วงเย็นค่อยคุยกัน สายนั้นตัดไป

ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ด...

หลังวางสาย (แบบจำยอม) คำแก้ตัวของสามีไม่เนียนเอาซะเลย ‘มันต้องมีอะไรแน่ๆ ค่ะหัวหน้า’

พี่เตยย้อนคิดถึงคำพูดของเดือน แล้วย้อนไปไกลกว่านั้นในช่วงเย็นเมื่อวานซืนที่ตัวเองเจอเหตุการณ์แปลกๆ เพียงเท่านั้น
ความกังวลที่หายไปพร้อมแกะตัวที่ ๗๐๐ เศษๆ ที่นอนนับอยู่ก่อนหลับ ก็ผุดกลับขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง พี่เตยแหงนมองไปรอบบ้าน
ความรู้สึกชื่นชมแรกเริ่ม แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

จบบิ๊กคลีนนิ่ง ตะวันโน้มไปทางตะวันตก แดดแก่ๆ ถูกไม้ใหญ่รอบบ้านบดบัง พี่เตยจัดแจงยกเตียงผ้าใบออกมากางหน้าบ้าน
พร้อมชวนเดือนมานั่งคุยกันด้านนอก สักพักพี่เตยวานเดือนช่วยดูน้อง ส่วนตัวเองก้าวออกจากบ้านช้าๆ หันไปมองถนนอ้างว้าง
ช่วงเวลากึ่งบ่ายกึ่งเย็นช่างวังเวงพิกล ห่างออกไปเล็กน้อย มีบ้านเรียงรายสองฝั่งถนน ส่วนใหญ่ชาวบ้านแถวนี้เป็นชนชั้นกลาง
บ้างเป็นลูกหลานข้าราชการเช่นเดียวกับอดีตเจ้าของบ้านหลังนี้ พี่เตยเดินสำรวจทีละหลัง ผ่านไปเรื่อยๆ จนพบชายวัยกลางคน
กำลังตัดแต่งกิ่งหูกระจง (ควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน) พี่เตยทักทายและแนะนำตัว สุดท้ายหักดิบถามตรงๆ

“น้าคะ น้าเคยเจออะไรแปลกๆ แถวนี้มั้ย? คือหนูกับแฟนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านสุดซอยหลังนั้น” พี่เตยพูดพลางชี้ไปที่บ้านใหม่ของตน

ชายคนนั้นฉงนเล็กน้อย ก่อนอมยิ้ม
“อ๋อ หนูเป็นภรรยาพ่อหนุ่มคนนั้นสิ วันก่อนเห็นมาถามเรื่องบ้านหลังนั้นทีละ ก็จะบอกเหมือนเดิมล่ะ น้าอยู่ที่นี่มา ๓๐ ปีแล้ว
ไม่เห็นเคยมีเรื่องแปลกๆ แถวนี้เลย คนตายน่ะก็มีอยู่เป็นปกติ บ้านไหนก็มีทั้งนั้น แต่บ้านหลังนั้นมันปิดมานานมาก ไม่เคยขาย
ไม่เคยปล่อยเช่า เด็กเกเรเมายาก็ไม่เคยเฉียดมาแถวนี้ เพราะฉะนั้นสบายใจได้”

พี่เตยได้ฟังก็ใจชื้นขึ้นมานิด แต่เดี๋ยวก่อน แจกแบบสอบถามที่เดิม ข้อมูลมีสิทธิ์ซ้ำซ้อนกันอยู่แล้ว พี่เตยเลือกจะเดินไกลออกไปอีก
จนเกือบถึงกึ่งกลางทางจากปากถึงท้ายซอย บ้านหลังนั้นเป็นทาวน์เฮ้าส์เก่าคร่ำคร่า
ประตูรั้วเตี้ยๆ เปิดออกพร้อมชายและหญิงวัยกลางคนกำลังจูงมอเตอร์ไซค์ออกมาจากบ้าน พี่เตยเข้าไปชวนคุยทันที
๑๒๓ ปลาฉลามขึ้นบก ๔๕๖ จิ้งจกยัดไส้ แล้วปิดท้ายด้วยคำถามเดิม

“คุณค่ะ แถวนี้มีขโมยขโจรมั้ย? เออ... แล้วแบบว่า” พี่เตยอึกอักเป็นพิธี สีหน้าอารมณ์พอเข้าชิงในฐานะดารานำหญิงได้ แล้วพูดต่อ
“ฉัน (กำลัง) ย้ายมาอยู่บ้านหลังสุดซอย ถึงจะเก่าไปสักหน่อย แต่พื้นที่ก็กว้างขวาง ทำไมไม่มีใครมาซื้อ เออ.. ฉันขอถามตรงๆ นะ
บ้านหลังนั้นมีประวัติไม่ดีอะไรรึเปล่า?”
หนุ่มสาวคู่นั้นหันไปมองหน้ากันอยู่ครู่จึงตอบ “ไม่มีนะครับ ผมกับแฟนอยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรแบบนั้นเลย แถวนี้มีแต่บ้านข้าราชการทั้งนั้น โจรขโมยไม่มีหรอกครับ ส่วนเรื่องผีสางนางไม้ก็ไม่เคยมีใครพูดนะ ถ้ามีจริงผมต้องรู้อยู่แล้ว ผมเป็นหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์อยู่ปากซอย ใครลืออะไรผมรู้หมด พี่ซื้อบ้านหลังสุดซอยใช่มั้ย เอาจริงๆ นะ ผมชอบมาก ถ้ามีเงินบ้านหลังนั้นไม่ตกถึงพี่หรอก”

โอ้ว... โลกนี้ช่างสดใส อะไรๆ ก็ดูเป็นสีชมพู พี่เตยโล่งใจขึ้นเยอะ คำยืนยันจากเพื่อนบ้านช่างรื่นหู สามีที่เคารพทำการบ้านมาดี
จะยอมลืมเรื่องพิเรนทร์ที่ทำเมื่อคืนก็ด๊ะ เธอเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยเรื่องก่ำกึ่งที่เกิด หากคิดในแง่ดีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้
เป็นวิสัยของคนปกติที่ชอบมองหรือเชื่อและสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้กลับมีเพื่อความหลอนเล่นแก่ตนเสียอย่างนั้น

ในขณะที่กำลังเดินกลับบ้านบนถนนที่โรยด้วยกลีบลาเวนเดอร์ พี่เตยเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ดูโอ่โถ่งแต่เก่าแก่ไม่แพ้ว่าที่บ้านใหม่ของตน
นอกรั้วมีหญิงชราคนหนึ่งอายุไม่ต่ำกว่าแปดสิบ นั่งหลังค่อมม้วนเชี่ยนหมากอย่างเชื่องช้าอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆ มีตะกร้าใส่ดอกกุหลาบที่ตัดมาจากแปลงดอกไม้ที่ปลูกอยู่หน้าบ้าน พี่เตยจึงเดินเข้าไปทักทาย

“สวัสดีค่ะยาย ฉันชื่อเตยนะ ยายชื่ออะไรจ๊ะ”

หญิงชราชำเลืองมองพี่เตยช้าๆ ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนหันไปบ้วนหมากแดงคล้ำลงกระโถนที่วางอยู่ข้างๆ
พี่เตยรอว่าหลังจากยายเสร็จกิจจะตอบหรือพูดอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ จึงชวนคุยต่อ

“ยายม้วนหมากสวยน่ากินเชียว” พี่เตยหาเรื่องพูดคุยไปเรื่อย แต่ยายก็ดูสนใจหมากมากกว่าหญิงสาวตรงหน้า เมื่อยายดูเป็นมิตรน้อยกว่าที่คิด
พี่เตยจำต้องจรลีก่อนจะถูกตะเพิด แต่ยังไงก็เพื่อนบ้านกัน ก่อนไปก็ร่ำลาตามมารยาท
“วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะ ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ได้ ๒-๓ วัน อยู่บ้านหลังสุดซอยนั่นน่ะ”
ทันทีที่พี่เตยพูดจบ เชี่ยนหมากในมือยายก็ร่วงตกพื้น แกชะงักงันอยู่อึดใจ จึงหันมามองพี่เตย จ้องรู้สึกเกร็ง

“เออ ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า ไว้จะมาหาใหม่นะยาย” พี่เตยยกมือไหว้ แต่ยายซึ่งเงียบมาตลอดก็พูดด้วยเสียงแหบพร่าในที่สุด
“หล่อนหมายถึงบ้านหลังไหน?”
หล่อนงั้นเหรอ? พี่เตยนึกในใจ
“ก็บ้านเก่าหลังสุดซอยนั่นล่ะ” เสียงเธอเริ่มสะบัดน้อยๆ ชะช่า กับสามีที่เป็นชายอกสามศอกยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจ
ยายคนนี้เป็นใครหน๋อ มาจิกหัวเรียกว่าหล่อน นึกว่าตัวเองเป็นผู้รากมากดีมาจากไหนกัน แต่ก่อนที่พี่เตยจะบ่น (ในใจ) ยืดยาวไปกว่านั้น
หญิงชรามือสั่นจนเห็นได้ชัดแม้ไม่ต้องเพ่ง ตาเหลือกโต พี่เตยเห็นก็ตกใจรีบคุกเข่าไปนั่งข้างๆ

“เอ๊า ยายเป็นอะไร จะเป็นลมเหรอ ตัวสั่นใหญ่เชียว มีใครอยู่ในบ้านป่ะเนี่ย” พี่เตยลุกพรวด แต่มือสั่นๆ คว้าข้อแขนหมับ หญิงสูงวัยจ้องเขม็ง
“บ้านหลังนั้นปิดไปก็ดีอยู่แล้ว หล่อนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม”
ยายพูดเสียงสั่น ประโยคนั้นเหมือนจอบเล่มโตๆ มันขุดทุกเรื่องที่พี่เตยพยายามจะลืมขึ้นมากองอยู่ข้างเชี่ยนหมากที่ตกอยู่บนพื้น
พี่เตยถามด้วยความสงสัย
“ยายพูดว่าอะไรนะ?”

แต่ไม่ได้รับคำตอบ หญิงชราร้องเรียกใครคนหนึ่งเสียงดัง
“นังพรๆ หล่อนอยู่ไหน” ครู่เดียวมีหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับพี่เตยวิ่งพรวดลงมาจากบ้าน พรเห็นคนแปลกหน้าก็ร้องเอะอะ
เดือดร้อนพี่เตยต้องอธิบายเสียยกใหญ่ว่าเป็นแค่เพื่อนบ้าน โจรที่ไหนจะสวยแบบนี้ (คิดเอง) แค่มาทักทายก็เท่านั้น
หญิงชราไม่สนใจฟังบอกให้หญิงสาวชื่อพรพากลับเข้าไปในบ้าน

แต่ก่อนที่จะเข้าไปก็ชะงักเท้าอยู่หน้ารั้ว บอกให้พี่เตยย้ายออกไปจากบ้านนั่นเสีย พี่เตยฟังแล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก

“ทำไมล่ะยาย? บ้านหลังนั้นมันมีอะไร?”

ในตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสาม ลมอ่อนๆ หอบอากาศร้อนๆ ตามมาด้วย แต่ไฉนพี่เตยขนลุกวาบ
เมื่อได้ยินหญิงสูงวัยพูดเสียงสั่นก่อนเดินกระย่องกระแย่งเข้าบ้านว่า

“นังเสรียง”

พี่เตยเดินกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ คิดถึงแต่คำพูดและท่าทางแปลกๆ ของหญิงชรา ยิ่งบางประโยคในตอนท้ายยิ่งชวนฉงน
เมื่อกลับถึงบ้าน เดือนสอบถามว่าหายไปไหน พี่เตยจึงเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอสดๆ ร้อนๆ ให้น้องสามีฟัง
หลังจากได้ฟัง แบบสอบถามสองชุดแรกถูกตัดทิ้งจากสารบบความคิดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงคำให้การของหญิงชราที่ถูกนำมาประมวลผล
(ในแง่ลบ) เดือนขนลุกซู่ ทวนสารส่วนสุดท้ายที่หญิงชราทิ้งไว้ให้นักสืบจำเป็นแกะรอย

‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’

“เรียงๆ เหลี่ยงๆ อะไรอ่ะพี่เตย หรือยายเค้าหมายถึงชื่อคน”
“พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินมายังไงก็เล่าไปยังงั้นล่ะ”
“มันแปลกๆ นะพี่เตย เดือนว่ายายคนนั้นต้องรู้อะไรแน่ๆ เราไปถามแกอีกรอบมั้ย จะได้รู้กันไปเลยว่าใครมั่วกันแน่”

แต่พี่เตยบอกว่าใจเย็นๆ ขอคุยกับพี่ดินก่อน ยายคนนั้นก็แก่มาก อาจจะเลอะเลือนพูดอะไร ผิดๆ ถูกๆ ออกมาก็ได้ (มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน บ้านก็ไม่ใช่ราคาบาทสองบาท) ทั้งคู่นั่งรอพี่ดินจนโพล้เพล้ ไฟทุกดวงที่ใช้งานได้ถูกเปิดสว่างแบบไม่กลัวท่านนายกใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง
ที่เข้ามารับเผือกร้อนแทนบิ๊กจิ๋วติติง เย็นนั้นพี่ดินกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ กว่าจะถึงก็ค่ำเต็มทน
พี่เตยในฐานะพนักงานสอบสวนกางสำนวนพรึ่บ! ซักจำเลยตั้งแต่เท้ายังไม่ผ่านธรณีประตู พี่ดินได้แต่ยืนฟังตาปริบๆ แกบอกเรียบๆ

"ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก"

เมื่อเวิร์ดดิ้งสุดคลาสสิคหลุดออกมาจากปากสามี พี่เตยปรี๊ดแตก ศูนย์ถึงสิบภายในวินาทีเศษๆ บ่นสามีชุดใหญ่ เล่าว่าไปได้ยินอะไรมาบ้าง
พี่ดินก็อยู่เป็น นั่งนิ่งไม่ต่อปากต่อคำ เพราะรู้ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง บ้านที่วาดหวังให้เป็นสถานพักใจ เริ่มเกิดรอยร้าวซะแล้ว

ค่ำคืนนั้นไฟทุกดวงเปิดสว่าง เช่นเดียวกับทีวีที่เปิดซะดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน อย่างน้อยขอความสว่างไสวและอึกทึกขับไล่ความวังเวงสักนิด แถมมีเดือนนอนเป็นเพื่อนอัดกันอยู่ในห้องทำให้พี่เตยรู้สึกอุ่นใจขึ้น เธอคิดว่ายอมจัดอีกสองกลมให้เพื่อนสามีมาปาร์ตี้ที่บ้าน
แต่อย่างเร็วก็คงเป็นพรุ่งนี้ สักพักก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…

คืนนั้นพี่เตยรู้สึกที่นอนยุบยวบจึงสะดุ้งตื่น ชำเลืองปลายเตียงเห็นดวงไฟส้มๆ สว่างอยู่ก็ตกใจ นึกว่ามีเกสมากลางดึก แต่ที่แท้เป็นพี่ดินกำลังใช้ไฟฉายส่องหาอะไรสักอย่างอยู่ในความมืด พี่เตยถามว่าทำอะไร พี่ดินสะดุ้งและบอกว่าเปล่า
พี่เตยซึ่งหงุดหงิดเป็นทุนเดิมจึงจัดให้อีกสักดอกพร้อมเบิ้ลอัศเจรีย์

“ทำอะไรอยู่บอกมาเดี๋ยวนี้!!”

พี่ดินถอนหายใจ เรียกเบาๆ ให้ ผบ. สูงสุดเข้ามาใกล้ๆ จนเกือบถึงประตู พอพี่เตยลงมายืน ฝ่ายชายเลื่อนพรมเช็ดเท้าออกพร้อมใช้ไฟฉายส่อง
ตอนแรกพี่เตยไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอดูดีๆ ก็กระจ่างในทันที พื้นที่แตกเมื่อวันก่อน จากที่มีด้ายแดงสั้นๆ
โผล่แค่ปลายก้อยและถูกดึงจนขาดไปแล้ว วันนี้กลับมีปลายด้ายแดงแทรกปูนโผล่มาอีกเกือบนิ้ว??
พี่เตยอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก

“พี่ยังไม่ได้ซ่อมเหรอ? แล้วมันโผล่ขึ้นมาได้ยังไงพี่ วันก่อนเห็นเป็นเส้นกุดๆ แค่ก้นหลุม วันนี้มันงอกออกมาได้ยังไง”

พี่ดินส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน พยายามเกลี้ยกล่อมว่ามีอะไรให้คุยกันพรุ่งนี้ทีเดียว เดี๋ยวลูกตื่นจะเป็นเรื่อง
พี่เตยขัดใจไม่น้อยจะชวนให้ออกไปคุยนอกห้อง แต่ความคิดดังกล่าวก็ถูกหยุดไว้ เมื่อเธอหันกลับไปมองลูกน้อยที่นอนหลับอยู่
แล้วสายตาดันไปเห็นของธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เมื่อผ้าม่านที่เธอเพิ่งเปลี่ยนเกิดสะบัดปลิวจนเผยให้เห็นพกหญ้ารกร้างด้านนอก

คุณพระ... ผ้าม่านมันขยับพลิ้วจนเปิดเห็นวิวด้านนอก? กระจกก็ปิดสนิท ผ้าก็มีน้ำหนักพอตัว แถมแอร์คอนดิชั่นฯ
ที่อยู่เหนือม่านก็เปิดแรงลมแค่เบอร์หนึ่ง ร้อยหนึ่งขอสลึงเดียวว่ามันไม่สามารถทำให้ม่านปลิวสูงขนาดนั้นได้ คราวมู่ลี่อาจเป็นเพราะลม
แต่คราวนี้ไม่ใช่แน่ ขณะที่สมองกำลังคิดคำนวนมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ ก็มีสิ่งย้ำว่า ที่กำลังคิดอยู่เนี่ย ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย

เมื่อผ้านม่านปลิวตลบขึ้นอีกรอบพร้อมกับที่พี่เตยเห็นชายผ้าสีแดงพลิ้วผ่านกระจก (ด้านนอก) ไปแบบต่อหน้าต่อตา
พร้อมกลิ่นน้ำอบฝาดๆ ลอยผ่านนาสิก...
พี่เตยทรุดฮวบลงกับพื้น มือข้างหนึ่งปิดจมูก อีกข้างชี้ไปที่ผ้าม่านที่ตกลงมาปิดเช่นเดิมแล้ว

“พะ... พี่ เมื่อกี้มีอะไรไม่รู้ลอยอยู่ด้านนอก”
พี่ดินหันไปมองม่าน มันสงบนิ่งไม่ไหวติง
“เหลวไหลน่า ม่านปิดอยู่จะไปเห็นข้างนอกได้ยังไง”
“เมื่อกี้ม่านมันปลิวขึ้นไปนะสิ”
“ลมพัดละมั้ง” พี่ดินตอบ
“ไม่ใช่ลมแน่นอน” ว่าแล้วพี่เตยก็นั่งจ้องผ้าม่านอยู่นานหลายนาที ผ้าม่านผืนนั้นก็ไม่กระดิกกระเดี้ยปลอบใจแม้แต่นิดเดียว
พี่ดินเห็นภรรยานั่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงพูดเบาๆ เพราะเกรงลูกจะตื่น

“ตาฝาดละมั้ง ไป... ไปนอนเถอะ”
พี่เตยนึกถึงชายผ้าแดงที่ลอยผ่านตาไปเมื่อสักครู่ คิดในใจ ฝาด... ไม่ฝาด... ฝาด... ไม่ฝาด สุดท้ายหันไปบอกพี่ดิน

“พี่ เราขายบ้านหลังนี้คืนเขาไปเถอะ”

พี่ดินได้ยินก็ตกใจ เข้าไปกุมมือภรรยา ปลอบให้ใจเย็นๆ บอกว่าคิดมากไป
อีกอย่างหากทำแบบที่พี่เตยพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะขายคืน หรือขายต่อ ที่สำคัญเจ้าของเดิมก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วย
มีอะไรเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่าเดี๋ยวลูกตื่น ตอนแรกพี่เตยยอมกล้ำกลืนทำตามที่สามีบอกเพราะจะว่าไปก็มีแต่ตัวเองคนเดียวที่เจออะไรแปลกๆ
แต่เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในคำพูดที่สามีเพิ่งโพล่งออกมาเมื่อสักครู่

“พี่รู้ได้ยังไงว่าเจ้าของเดิมเขาป่วย? พี่ไปเจอเขามาเหรอ?”
เมื่อเห็นสามีอ้ำอึ้งอยู่สักพัก ก็เป็นอันแน่นอนว่าสามีตัวดีมีอะไรปิดบังอยู่เป็นแน่แท้
“มีอะไรจะบอกมั้ย?”
พี่ดินถอนหายใจ ทำไมศรีภรรยาถึงช่างสังเกตขนาดนี้นะ “ออกไปคุยกันข้างนอก”

ทั้งสองเดินออกมานอกห้อง พี่เตยยืนนิ่งรอฟังคำแก้ตัวของสามี ซึ่งหลายเรื่องผู้หญิงอาจจะมีความกล้ามากว่าชาย ยกเว้นก็เรื่องผีสาง
พี่ดินถอนหายใจอีกรอบ โชคดีที่เขาไม่ใช่พระเอกในละครหลังข่าวสองทุ่มครึ่ง ที่ออกแนวทึ่มหน่อยๆ ความรู้สึกช้านิดๆ
ให้ผู้ชมรู้สึกขัดอกขัดใจกับการกระทำว่า
‘ทำไมคุณพี่ถึงซื่อบื้อแบบนั้นล่ะจ๊ะ?’

พี่ดินเริ่มเล่าว่า ที่กลับค่ำกว่าปกติ เพราะไปหาเจ้าของบ้านเดิมมา ใจอยากจะเข้าไปคุยเรื่องขอขายบ้านคืน เขาจะคิดค่าใช้จ่ายยังไงก็ว่ามา
ถือว่าเป็นค่าเช่าก็ได้ เพราะเราก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับโครงสร้างเลย นอกจากทำความสะอาดเท่านั้น
แต่พอไปถึงปรากฏว่าคุณตาเกิดไม่สบายหนักเข้าโรงพยาบาล หลานที่อยู่ด้วยไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น
ต้องรอให้คุณตาทุเลาขึ้นจึงสามารถคุยรายละเอียดได้

พี่เตยหน้าซึมไปเล็กน้อย การซื้อขายบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าวของก็ขนมาจนหมด บ้านเช่าก็คืนไปแล้ว เงินที่เหลืออยู่ก็ไม่มากมาย
ช่วงที่ดำเนินการซื้อขาย หากไม่อยู่ที่บ้านหลังนี้ไปก่อนก็ต้องระเห็จไปอาศัยอยู่บ้านญาติ คำถามก็คงตามมามากมาย
'อ้าวซื้อบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมขายเสียล่ะ ไม่มีเงินผ่อนละสิ'

อีกอย่างต้องไปพร้อมกัน ๓ ชีวิตก็ดูลำบากไม่น้อย แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น
มีอะไรบางอย่างต้องถามสามีก่อน “ทำไมอยู่ๆ พี่คิดจะขายบ้านล่ะ?”

พี่ดินอึกอักๆ พูดไปว่าก็เห็นพี่เตยไม่สบายใจเลยไปเลียบๆ เคียงๆ ถามดูก็เท่านั้น ยังไม่คิดจะขายแน่นอน แทนที่พี่เตยจะพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเหมือนปกติ กลับถามด้วยน้ำเสียงวิงวอน
“ทำไมพี่ถึงจะขายบ้าน บอกเตยเถอะ เราเป็นสามีภรรยากันนะ”

พี่ดินนิ่งอยู่นาน พี่เตยก็เงียบตามไม่พูดแทรก จนในที่สุดฝ่ายชายยกมือขึ้นลูบหน้าไปมาก่อนจะบอกในสิ่งที่ไม่อยากจะบอกในเวลานี้
เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย แต่เพราะประโยค ‘เราเป็นสามีภรรยากันนะ’ พี่ดินจึงยอมพูด

“พี่ไม่ได้เป็นคนเอาลิปสติกเขียนหน้าลูก และพี่คิดว่าลูกก็คงไม่ได้เอามาเขียนเล่นเอง”

พี่เตยได้ฟังก็แปลกใจ แต่ก็เข้าใจในเวลาไม่นาน วันนั้นก่อนที่สามีจะรับว่าเป็นคนเอาลิปสติกเขียนหน้าลูก ก็หน้าถอดสีไปไม่น้อยเหมือนกัน
ความจริงเขาไม่ได้เป็นคนทำ!? แต่ที่รับเพราะไม่อยากให้เธอกลัวนั่นเอง พี่เตยอยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง
และถามต่อว่าแล้วรู้ได้ยังไงว่าตั้งใจไม่ได้เอาลิปฯ ไปเขียนเล่นเอง ก่อนจะตอบ พี่ดินถามกลับ

"เตยเคยขึ้นไปบนห้องชั้นสองรึยัง?"

พี่เตยส่ายหัว เธอเคยขึ้นไปถึงบันไดชั้นบนสุดเท่านั้น ไม่เคยเหยียบพื้นชั้นสองซะทีแม้อยู่มาหลายวันแล้วก็ตาม
"พี่ขึ้นไปเมื่อวันก่อน ชั้นบนมีห้องอยู่สามห้อง แต่มีห้องเดียวที่ล็อคกลอนอยู่ พอไขประตูเข้าไป ด้านในมีผ้าปิดทึบรอบด้าน
ฝุ่น หยากไย่เกาะเต็มไปหมด ในห้องมีตู้ไม้เก่าๆ รู้มั้ยว่าพี่เจออะไร"

พี่เตยส่ายหน้าอีกรอบ พี่ดินสีหน้าอึดอัดถอนหายใจก่อนพูดเบาๆ
"พี่เจอลิปสติกของเตยตั้งอยู่ในตู้กระจกใบนั้น"

“ความจริงพี่ก็ไม่แน่ใจว่าลิปสติกแท่งนั้นใช่ของเตยรึเปล่าหรือเป็นของใคร มันวางอยู่ในตู้ กระจกบานนั้นก็มัวจนมองไม่ชัด
พี่ก็รีบออกไปทำงานก่อน ที่จริงไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้ฟังเลยนะแต่... วิ้ง... วิ้ง... วิ้ง”

ประโยคหลังจากนั้นฟังไม่ได้ศัพท์เลยว่าสามีพูดปลอบใจอะไรบ้าง พี่เตยหูอื้อไปหมด ต้นคอด้านหลังมีอาการร้าวตุบๆ
สมองสั่งให้ย้อนคิดไปเมื่อสองวันก่อน วันที่เหตุการณ์พิศวงเริ่มแผ้วพานเข้ามาในครอบครัว...
วันที่เธอบ่นว่าเหมือนเครื่องสำอางบางชิ้นหายไป ตอนแรกคิดว่าตกหล่นระหว่างขนย้าย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ได้หายไปไหน
มันอาจจะอยู่ใกล้กว่าที่คิด แต่ปัญหาสามเด้ง คือมันใช่ของเธอหรือไม่? แล้วขึ้นไปอยู่ข้างบนได้ยังไง? ในห้องที่ล็อคกุญแจ?

โอ้... ‘คดีลิปสติกปริศนาในห้องปิดตาย’

“ตอนเช้าพี่เลยโทรไปตามเดือนให้มาอยู่เป็นเพื่อน เพราะไม่สบายใจ บอกตรงๆ ว่า ตัวพี่หน่ะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย
แต่จะปิดหูปิดตาไม่สนอะไรก็ใช่ที่ พี่ออกจากที่ทำงานก็ตรงไปบ้านเจ้าของเดิม เมื่อไม่ได้เรื่องจึงโทรไปปรึกษาเพื่อน
เพื่อนมันก็ให้เบอร์พระอาจารย์ที่นับถือกันอยู่ คุยไปมาก็ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ เพราะทางเราก็ไม่มีข้อมูลอะไรให้เค้าเลยนอกจากด้ายสีแดงอะไรก็ไม่รู้ พี่เลยนัดให้อาจารย์เข้ามาดูวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะให้ท่านช่วยดูฤกษ์ทำบุญบ้านไปเลย เตยไม่ต้องกังวลนะ”

พี่เตยยืนอึ้ง มองทุกอย่างลบไปหมด ใจก็โกรธสามีไม่น้อยที่ปิดบังเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่เค้นคอถามคงไม่ได้คำตอบ
ทำไม๊ทำไมผู้ชายชอบหมกเม็ดเสียจริงๆ พี่เตยหันไปมา สายตาจับจ้องไปที่โพลงดำมืดที่พาขึ้นสู่ชั้นบน
และละสายตาแทบทันทีกลัวจะมีปลายเท้าใครโผล่พ้นมุมมืดบริเวณขั้นบันได
พี่เตยถามกลับ “แล้วถ้ามันมีล่ะ เป็นต้นว่านังสะรง เสรียงอะไรนั่น”

พี่ดินนิ่งงัน ใครหน๋อเป็นเจ้ากรมข่าวลือเรื่องนี้ แต่ในฐานที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องเก็บอาการและเป็นหลักให้ภรรยาและลูกยึดโยง
พี่ดินบอกว่าขอเวลาอีก ๑-๒ วัน ถ้ายังมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นสัญญาว่าจะย้ายออกไปหาบ้านเช่ารอจนกว่าเจ้าของเดิมออกจากโรงพยาบาล
เพราะตอนนี้เงินทองก็ร่อยหลอ เงินเดือนก็ยังไม่ออก ไม่อยากบากหน้าไปหยิบยืมคนอื่นให้เป็นขี้ปาก

“พรุ่งนี้อาจารย์มาดูก็คงชี้ทางให้ได้ว่าควรทำยังไง อะไรที่ไม่ดีก็ให้ปัดรังควานเสีย เพื่อนพี่บอกว่าอาจารย์คนนี้ชื่อเสียงดังพอดู”

พี่ดินพยายามสรรหาคำพูดปลอบใจภรรยา เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่กวนจิตใจอยู่
เมื่อเห็นว่าพี่เตยสงบลงจึงบอกให้กลับเข้านอนและจะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าเธอจะหลับ พี่เตยส่ายหน้าก่อนตอบ
“เราขึ้นข้างบนกันเลยดีกว่า เตยอยากเห็นว่าลิปสติกแท่งนั้นมันมีจริงและใช่ของเตยรึเปล่า ถ้าใช่พรุ่งนี้เราจะย้ายออก
เตยกับลูกไม่ทนอยู่กับอะไรที่มันน่ากลัวแบบนี้หรอกนะ พี่เห็นมั้ยว่าตั้งใจโดนอะไรมา”

บัญชาประกาศิตมาแบบนี้ พี่ดินจำต้องจำนน ลึกๆ คิดว่าไม่น่าใจอ่อนเล่าเรื่องดังกล่าวให้ภรรยาฟังเลย
ปัญหาที่ว่ากำลังตามมาเป็นปมให้เขาทยอยแก้ไปทีละเปลาะ และบางเปลาะภรรยาก็ยังไม่รู้เสียด้วย แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องดี
ไปดูให้เห็นจะๆ กันเลย ไม่ต้องรอท่าคอยความสุ่มเสี่ยงเหมือนกับในละครทีวีที่ต้องเจอตัวเป็นๆ ก่อนถึงยอมเผ่นป่าราบ

พี่ดินเดินนำพี่เตยเดินตาม ทั้งคู่ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปช้าๆ เมื่อกดสวิทซ์ไฟก็เป็นใจเหลือเกินว่าไฟชั้นบนมันไม่ติด
เกิดสถานการณ์ก่ำกึ่งให้ต้องคิดว่ามี 'อะไร' ทำให้เป็นแบบนั้น ทั้งที่จริงบ้านเก่าอายุหลายสิบปีไม่มีคนอยู่
ไฟบางดวงยังเป็นหลอดไส้สอดใส่อยู่ในโคมเก่ากึก ก็ไม่แปลกที่มันจะไม่ติด พี่ดินเดินไปหยิบไฟฉาย จากนั้นหวนกลับขึ้นไปใหม่
สองสามีภรรยาค่อยๆ เดินขึ้นไปทีละก้าว...
เอี๊ยด... เอี๊ยด... เอี๊ยด

เป็นเรื่องปกติเมื่อมีมูลจูงใจอะไรๆ ก็ดูคูณสองไปหมด เช่นเดียวกับความวังเวงบนชั้นสองของบ้านหลังนี้ เมื่อขึ้นไปถึงเจอชานโปร่งโล่ง
ขนาดราวสามคูณสามตารางเมตร ถัดไปเป็นห้อง ผนังทุกด้านเป็นไม้ ตรงข้ามกันมีอีกสองห้องกั้นกลางด้วยทางเดินแคบๆ
จุดกำเนิดแสงเดียวมาจากประกายแสงจันทร์ที่ลอดไล้มาจากหน้าต่างทอดตัวลงบนพื้นไม้ที่ย่ำไปตรงไหนก็ลั่นเอี๊ยดอ๊าดให้สะดุ้งเล่น
อันฟีลลิ่งแบบนี้เคยผ่านตามาจากละครทีวี แต่กับความรู้สึกจริง มันต่างกันราวหน้ามือกับหลังเท้า

‘เปลี่ยนใจทันมั้ยเนี่ย?’

ห้องเจ้าปัญหาอยู่ส่วนหลังติดกับชายป่ามืดทึบ พี่ดินค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปด้านใน พลันที่ส่องไฟฉายเข้าไปฝุ่นจำนวนมาก
ออกมาโชว์ตัวอยู่ทุกที่ที่แสงไฟพาดผ่าน ภายในมีผ้าขึงปิดทึบคลุมหน้าต่างทุกบานอย่างที่พี่ดินบอก
ไม่มีแสงสว่างใดส่องลอดเข้ามาได้ พี่ดินใช้ลำไฟแทนนิ้วชี้ไปที่ตู้เก่าใบหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมห้อง ดูไม่ยากว่าเป็นของโบราณ
ลวดลายสลักเสลาดูประณีตวิจิตรฝีมือผิดกับงานช่างสมัยนี้ เอาไปเช็ดถูเสียหน่อยคงหรูหรามีราคาไม่น้อย
แต่ก็นั่นล่ะ เช็ดๆ ไปเกิดจินนี่โผล่ออกมาคงวิ่งกันเปรมิกาป่าราบ...

แสงไฟส่องผ่านกระจกตู้ขุ่นมัว ภายในมีของเล็กน้อยๆ วางระเกะระกะ เช่น เข็มขึ้นสนิมที่ปักบนหมอนขนาดจิ๋ว แกนด้าย
ขวดใสทรงกลมขนาดเล็ก ถ้วยน้ำชาเก่าๆ กล่องเหล็ก กล่องกำมะหยี่ มีของอีกหลายชิ้นวางทิ้งไว้บนชั้นฝุ่นเขรอะ
แต่ไม่ยักกะมีสิ่งที่ทั้งสองต้องประสงค์

“ไหนล่ะลิปสติกที่พี่บอกว่าเจออยู่ในตู้” พี่เตยเข้าไปเกาะแขนสามี เพราะตอนนี้ความหวาดกลัวก็เกาะหนึบที่แขนเธออยู่เหมือนกัน
พี่ดินพยายามส่องหาก็ไม่เจอ ครั้นจะเอื้อมมือไปเปิดตู้ พี่เตยก็ดึงให้ถอยห่างออกมา

“พี่แน่ใจนะไม่ได้ตาฝาดเห็นขวดแก้วนั่นเป็นลิปฯ”

ผู้ถูกถามเริ่มลังเล คราวที่ขึ้นมาดูก็เห็นแค่แว่บเดียว แถมสะเพร่าไม่ได้ลงสลักลงกลอนให้เรียบร้อย ก่ะจะมาตรวจให้แน่ใจ
ก็มีหลายเรื่องถาโถมเข้ามาเสียก่อน ความมั่นใจน่ะพอมี แต่ไม่ถึงร้อยซะแล้ว... กระนั้นก็มีสองทางเลือกแล้วในตอนนี้
หนึ่งคือบอกไปว่าอาจจะตาฝาด และดึงเวลาไปอีกอย่างน้อยวันสองวันเพื่อหาข้อสรุป เผื่ออาจารย์ชื่อดังจะมีคำแนะนำดีๆ
หรือสอง แน่วแน่ไปว่าไม่ฝาดชัวร์ป้าบแล้วพรุ่งนี้เก็บข้าวของย้ายออกหาที่ซุกหัวนอนใหม่

สุภาพบุรุษหกในสิบอาจจะเลือกช้อยส์ที่สอง แต่สี่ในสิบจะเลือกข้อแรก และพี่ดินก็เป็นชนกลุ่มน้อย
“พี่ไม่แน่ใจ อาจจะตาฝาดไปก็ได้ สงสัยเบลอไปหน่อย” เขาพูดเสียงอ่อย

“เอายังไงแน่พี่ เมื่อกี้เหมือนแน่ใจ ตอนนี้บอกอีกอย่าง กลับกลอกไปเรื่อย” พี่ดินยืนนิ่ง พี่เตยยิ่งฉุน
“เป็นใบ้รึไง มีอะไรก็พูดมาสิ มันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะพี่”
เมื่อโดนตำหนิมากๆ เข้าเหล่าสุภาพบุรุษก็ขึ้นเป็นเหมือนกัน (นะ) พี่ดินเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เสียงแข็งกร้าวขึ้น
“ก็ไม่แน่ใจ จะให้ทำยังไงล่ะ? ตอนขึ้นมาดูก็มองแค่แว่บเดียว... ขอล่ะอย่าเพิ่งมาทะเลาะกันตอนนี้ได้ป่ะ? ปัญหามันก็เยอะอยู่แล้ว
เอาอย่างที่พี่บอกนั่นล่ะ รอดูพรุ่งนี้อีกวัน ถ้ามันมีปัญหามากนักก็ขายๆ ไปซะสิ้นเรื่องสิ้นราว ย้ายกลับไปอยู่บ้านเช่าเล็กๆ แคบๆ เหมือนเดิมนั่นล่ะ”
พูดตัดบทก็เดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิดแต่ชะงักเท้าอยู่ทางลงบันได

“จะลงมั้ย? รึจะรอนังเสรียงอะไรนั่นอยู่บนนี้?”

หากเป็นสถานการณ์ปกติร้อยหนึงขอสลึงเดียว คงได้ปะทะคารมต่อจนบ้านแตก แต่ด้วยความกลัวบรรยากาศแสนวังเวง
บวกกับรู้สึกว่าตนเองพูดแรงกับสามีไปนิด พี่เตยจึงไม่ต่อล้อต่อเถียง เดินตามลงไปติดๆ
คืนนั้นเธอนอนนับแกะถึงหลักพันก็ไม่หลับจนรุ่ง...

เช้าวันต่อมาพี่ดินลางานเพื่อรอพบพระอาจารย์ชื่อดังที่เพื่อนแนะนำมา ระหว่างนั้นสงครามเย็นก็ยังกรุ่นอยู่
สองสามีภรรยาแทบจะไม่คุยกันเลยตลอดช่วงเช้า ตอนแรกพี่เตยกับเดือนคิดจะไปหาหญิงชราที่บ้านอีกสักครั้ง
แต่ขณะที่กำลังเดินออกจากบ้าน ก็มีรถเก๋งขับมาจอดหน้ารั้ว ชายสองคนไว้หนวดเคราหน้าตาเหี้ยมเกรียมลงมาจากเบาะหน้า
และอีกคนเป็นชายแก่นุ่งน้ำเงินเข้มสวมประคำสีงาดูเหมือนหมอผีในนิยายมากกว่าพระอาจารย์ชื่อก้องลงมาจากเบาะหลัง

“บ้านคุณดินใช่มั้ย?” ชายคนแรกถาม
“ใช่ค่ะ” พี่เตยตอบ
“ผมชื่อณเดช คนนี้คืออาจารย์บุญ คุณดินโทรมาปรึกษาเรื่องบ้านหลังนี้ ขอเข้าไปหน่อยครับ”

พี่เตยเปิดประตูรับแขก นอกจากคนที่ชื่ออาจารย์บุญอันมีบุคลิกน่ายำเกรงอยู่บ้าง อีกสองคนขอพูดแบบอคติ หากไม่บอกว่าเป็นใคร
คงนึกว่าเป็นทีมอุ้มฆ่าซะมากกว่า สักพักพี่ดินออกมาต้อนรับขับสู้ จากนั้นก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้อาจารย์บุญรับทราบ
ชายที่ดูแก่กว่าวัยยืนฟังอยู่ครู่ก็พึมพำเบาๆ

“ไม่ธรรมดานะหลังนี้”
นั่นปะไรยังกับนิยาย...

พี่ดินพยายามสอบถาม แต่อาจารย์ไม่ตอบอะไร บอกให้พาเข้าไปดูจุดเจ้าปัญหา... หลุมเล็กๆ ที่มีเศษด้ายแดงโผล่ออกมา
เจ้าบ้านจึงพาเข้าไปในห้องนอน เลื่อนพรมเช็ดเท้า ระหว่างที่อาจารย์บุญกำลังสำรวจก้นกลุ้ม
พี่ดินบอกว่าอีกเดี๋ยวจะเอาปูนมาอุดเพราะภรรยาบ่นทุกวัน อาจารย์บุญหันไปมอง และบอกว่าถ้าไม่อยากเดือดร้อนมากกว่านี้
อย่าไปอุดสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด

“ทำไมล่ะครับอาจารย์” พี่ดินถาม อาจารย์จึงค่อยๆ เฉลยหลังจากเก็บงำอยู่เป็นนาน
“ตอนแรกที่คุณเล่าให้ฟังก็นึกว่าอาจจะเป็นของมงคลที่ฝังตามจุดต่างๆ ตามความเชื่อของคนโบราณบางกลุ่ม
วันดีคืนดีอาจจะโผล่ขึ้นมาให้คุณกับเจ้าบ้านบ้าง แต่พอมาเห็นตำแหน่งการฝังบอกได้เลยว่าตรงกันข้าม
นี่มันเป็นสิ่งอัปมงคลที่ไว้ผูกพันธะกับเหล่าสัมภเวสีชัดๆ"

สมาชิกในบ้านยกเว้นน้องตั้งใจขนลุกพรึ่บ! ส่วนพี่เตยได้ยินก็ลมแทบจับ คุณพระ... จะบอกว่าบ้านข้าพเจ้ามีเกสจริงๆ เหรอเนี่ย?

อุปกรณ์หลากชนิดขนจากท้ายรถมาวางในห้องนอน เช่น โต๊ะขนาดเล็กคล้ายโต๊ะหมู่ พระพุทธรูป พานและขันทองเหลือง
เทียน สายสิญจน์และปูนแดง โดยหันโต๊ะออกนอกห้อง จากนั้นอาจารย์บุญใช้ศิษย์สองคนช่วยเอาสายสิญจน์ไปพันล้อมรอบบ้าน
ตัวเองนั่งสมาธิสวดมนต์ขมุบขมิบ ปล่อยให้เจ้าบ้านนั่งมองด้วยความหวาดวิตก เมื่อสวดได้ราวสิบนาทีโปรเฟสเซอร์บุญ
เรียกให้ทุกคนเข้าไปนั่งในห้อง จากนั้นจึงสวดพระคาถานานาบทต่อ มือถือเทียนไกววนรอบขันทองเหลืองให้หยาดน้ำตาเทียนตกสู่ขันเบื้องล่าง ของเหลวที่ทำจากพาราฟินกลายเป็นเกล็ดแข็งเมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำ (เอ๊ะ ชักออกแนวนิยาย) ขั้นตอนคล้ายกับนิมนต์พระมาทำบุญบ้าน
เพียงแค่อาจารย์บุญสั่งห้ามให้ทุกคนออกจากห้อง (นอน) ช่วงที่กำลังทำพิธีเด็ดขาด

คุณพระ... ตั้งแต่เกิดมาบาทาเท่าฝาหอย ก็เพิ่งเคยเห็นพิธีปัดรังควานกับตากับตัวเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ มันดูเข้มขลังชวนคล้อยตามซะเหลือเกิน
พี่เตยพนมมือนิ่งจับตาดูทุกการกระทำของพระอาจารย์สลับกับชำเลืองมองว่าจะเกิดเหตุอาเพศใดแบบในละครทีวี
เช่นลมกรรโชก ประตู หน้าต่างผ้าม่านเปิดปิดเอง หรือเสียงโหยหวนหวนครวญคราง แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ
เสียงครวญเดียวที่ดังให้ได้ยินคือน้องตั้งใจถามซ้ำๆ ว่า

‘แม่จ๋า ลุงเค้าทำไรกันง่ะ’

ระหว่างที่กำลังคิดถึงบทละครเพลินๆ เสียงสวดถูกแทนด้วยประโยคที่สร้างความพรั่นพรึงให้กับทุกคน

“มันเดินผ่านประตูไปเมื่อกี้ เป็นหญิงสาว รูปร่างท่วมตัน นุ่งโจงกระเบนห่มสไป ผมหยักศกฟู หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว... เหม็นเน่ามาเชียวนะ”

นี่มาให้เห็นแบบฟูลเอชดี? สามมิติทะลุทะลวงขนาดนั้นเลยเหรอ?? คุณพระ... นังเสรียงแกช่างอัปลักษณ์ทั้งหน้าตาและกลิ่นตัวเลยนะ
ทุกคนหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เดือนเบียดชิดพี่เตย ส่วนพี่เตยเบียดชิดพี่ดิน พี่ดินจะไปซบหนุ่มหน้าเหี้ยมก็กระไรอยู่...

อาจารย์บุญเปล่งเสียงดังกังวานขึ้น จากนั้นหยิบปูนแดงที่ผสมมวลสารขึ้นภาวนา เป่าลมใส่ ใช้ก้นเทียนบรรจงป้ายปูนแดง
โป๊ะไปที่ก้นหลุมทีละน้อยจนหมดถ้วย แล้วใช้น้ำตาเทียนหยดซ้ำเหนือปูนแดง ร่างนายบุญสั่นเทิ้ม เหงื่อแตกพลั่ก
สุ้มเสียงที่ดังค่อยๆ ลดระดับแต่ดูเค้นมากยิ่งขึ้น... ยิ่งขึ้น จนเงียบหายในที่สุด โปรเฟสเซอร์คนดังหายใจหอบถี่ ร่างโคลงเอียง
เหล่าศิษย์เห็นต้องเข้าไปหิ้วปีก

พี่ดินคลานเข่าเข้าไปหาทันทีถามพัลวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์บุญต้องใช้เวลาปรับลมหายใจอยู่นานก่อนตอบ
“นังนี่มันร้ายนัก ร้ายจริงๆ ดีนะมีแค่หนึ่งไม่มีสอง ไม่อย่างนั้นผมคงแย่เหมือนกัน แต่โปรดวางใจ ผมไล่และสะกดด้ายแดงซึ่งเป็นพันธะเชื่อมโยงวิญญาณมันเรียบร้อย ต่อไปนี้มันไม่อาจไปก่อกายหยาบกายละเอียดสร้างความเลือดร้อนกับใครได้อีก”

พี่ดินยิ้มกริ่มถึงกับกราบขอบคุณ อาจารย์บุญย้ำว่าหลังจากนี้จะเอาปูนอุดรูก็ได้ แต่อย่าแกะปูนแดงออกเด็ดขาด
ส่วนสายสิญจน์ที่พันอยู่รอบบ้านก็ให้ทิ้งไว้สักสามวันเจ็ดวันค่อยปลดออก

พี่ดินแยกตัวไปคุยกับอาจารย์บุญอยู่ครู่ พี่เตยเห็นจึงเดินตามเข้าไปขอบคุณ พี่ดินพยายามกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับอาจารย์
ก่อนที่ภรรยามาถึง แต่เขาส่ายศีรษะ และแนะให้บอกภรรยาไปดีกว่า พี่เตยถามว่ามีอะไร อาจารย์จึงบอกว่า บ้านหลังนี้ฮวงจุ้ยไม่ดี
หันหน้าเข้าทิศหรดีแถมอยู่ก้นซอยรับแต่ความทุกข์ ให้ขายไปดีกว่า และยังทำนายว่าหากไม่กลัวส่งเผือกร้อนๆ ให้คนอื่น
อีกไม่นานจะมีคนมาติดต่อซื้อแน่นอน พี่เตยคิดในใจ

‘เกิดเรื่องขนาดนี้อิชั้นก็ไม่คิดจะอยู่ยาวอยู่แล้วเจ้าค่ะ!’

หลังจากอาจารย์บุญขอตัวกลับ สมาชิกในบ้านก็มานั่งตกลงกันว่าจะเอาอย่างไรกับบ้านหลังนี้ พี่ดินเห็นว่าหากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เขาอยากอยู่ต่อโดยจะนิมนต์พระมาทำบุญบ้านให้เป็นกิจจะลักษณะอย่างที่เจ้าของเดิมแนะนำ แต่พี่เตยค้านหัวชนฝา
นี่สามีที่เคารพยังคิดจะอยู่บ้านหลังนี้ต่อจริงๆ หรือเนี่ย ในสมองมีแต่อากาศธาตุรึไง ไม่เห็นเหรอว่าอาจารย์บุญก็แนะให้ขายไปซะ

“เตยไม่ยอม ยังไงพี่ต้องขายบ้านหลังนี้ไปซะ นี่เป็นคำขาด”

วงสนทนาแตกทันทีที่พี่เตยยื่นเงื่อนไข หัวอกคนเป็นเมียเป็นแม่ใครมันจะไปทนอยู่ได้ในสถานที่อัปมงคลแบบนี้ ถึงว่าที่ไร้คนซื้อ
ไร้คนเช่าก็เพราะแบบนี้นี่เอง บางทีเพราะมันขายไม่ได้สักทีไงล่ะ คุณตาเจ้าของเดิมอาจเจ้าเล่ห์เตี๊ยมกับคนแถวนี้ไว้แล้วก็ได้
ขนมครกเอ้ย! นี่มาแผนสูงขนาดนี้เลยเหรอ? จบเรื่องนี้ต้องนำของไปกำนัลคุณยายคนนั้นสักหน่อยแล้วที่ยอมปริปากพูดความจริง
ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ปูน

แม้พี่ดินจะขอร้องอีกหลายครั้งให้คิดดูก่อน แต่พี่เตยสะบัดก้นงามงอนพรืด! หนีเสียทุกครั้งที่วกกลับมาคุยเรื่องนี้
สุดท้ายพี่ดินจำใจรับสภาพว่าคงต้องขายบ้านหลังนี้จริงๆ และหวังว่าคงมีคนรับซื้อต่อโดยเร็วพร้อมให้เงื่อนไขที่ไม่กดจนโงหัวไม่ขึ้นเกินไป
บรรยากาศในบ้านดูดีขึ้นตามลำดับ พี่เตยปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะได้ทำพิธีปัดรังควานจนทุกอย่างกลับคืนสู่ความสุขสงบคิดๆ ก็เสียดาย
ลึกๆ แล้วก็เธอพึงใจบ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าต้องให้เลือกระหว่างโฮมกับแฟมิลี่ เธอเลือกอย่างหลังแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
ช่วงบ่าย พี่เตยชวนเดือนออกไปซื้อข้าวของและผลไม้ เพื่อนำไปกำนัลแด่หญิงชราคนนั้น แม้ยายจะพูดจาจีบปากจีบคอไปบ้าง
แต่คนเราอย่าตัดสินแค่วจนะ แต่จงมองให้ลึกถึงแก่นเจตนา เป็นเพราะเธอนั่นเองที่บอกเงื่อนงำอำพรางบางอย่างให้กระจ่างแจ้งในเวลาต่อมา
คงต้องกราบขอบคุณให้เหมาะสมเป็นการใหญ่ (พร้อมอยากเอาอุจจาระไปปาหน้าบ้านลุงหูกระจงกับวินฯ เสล่อนั่นจริงๆ มามุสากันได้)

พี่เตยกดกริ่งหน้าบ้าน สักพักหญิงสาวที่ชื่อพรจึงวิ่งมาเปิดรั้ว พี่เตยบอกว่าอยากพบคุณยาย มีเรื่องอยากจะคุยเล็กน้อย พรอึกอักอยู่ครู่
บอกว่าจะไปถามคุณยายดูก่อน เธอผลุบหายเข้าไปในบ้านนานหลายนาทีก่อนวิ่งกลับออกมาว่า คุณยายบอกให้เข้าไปคุยในบ้าน
บ้านหญิงชราดูมีฐานะพอควร เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ภายนอกดูทรุดโทรม แต่ภายในมีเครื่องเรือนเก่าหลายชิ้นดูมากมูลค่า
ทั้ง โต๊ะ ตู้ เตียง ชุดรับแขก กรอบรูปล้วนมีราคา หญิงชรานั่งคอยพิงหมอนอิงอยู่บนตั่งไม้ หรี่ตามองแขกตั้งแต่หัวจรดเท้า
พี่เตยและเดือนยกมือไหว้ มอบของให้เสร็จสรรพ แต่คุณยายยังคงความ ‘เยอะ’ จิกเรียกเหมือนเคย

“พวกหล่อนมีธุระอะไรกันล่ะ”

พี่เตยไหว้อีกครั้ง และเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งประสบมากับตัวให้คุณยายฟังอย่างละเอียด ว่าเกิดเรื่องอะไรในเคหสถานสุดซอยหลังนั้น
หญิงชราหน้าซีดเผือด พี่เตยวิงวอนอยากได้คำตอบว่าบ้านหลังนั้นมีประวัติยังไง และใครคือเสรียง
หญิงชรานิ่งเงียบไปนาน ก่อนพูดเสียงยานคาง

“บ้านหลังนั้นแต่เดิมเป็นของคุณหลวงชิต ข้าราชการใหญ่ในกระทรวงเศรษฐการ (กระทรวงพาณิชย์) ทรัพย์สมบัติท่านมากล้น
บริวารก็มากเหลือ” คุณยายนิ่งคิดอยู่ครู่แววตาเลื่อนลอย

“คุณหลวงท่านมีภรรยาเอกชื่อท่านผู้หญิงอมรา ทั้งสองครองคู่กันอย่างเป็นสุขอยู่หลายยยยสิบปี
จนอยู่มาวันหนึ่งนังผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาในบ้าน... นังเสรียง”
น้ำเสียงยานคางเปลี่ยนเป็นคับแค้น
“คุณหลวงเอานังผู้หญิงชั้นต่ำนั่นมาเป็นน้อย ถึงไม่เทียบเสมอคุณหญิงท่าน แต่ก็ห่างกันไม่มาก และยังสั่งให้บ่าวปฏิบัติตนกับนังเสรียง
ด้วยความนบนอบ คุณชิตช่างไม่รู้สายสนกลในบ้างเลยว่าบ่าวทั้งบ้านเกลียดนังนี่ยังกับอะไร”
พล็อตพีเรียดฮอเรอร์ชัดๆ พี่เตยอึ้งกิมกี่

“คุณหลวงจวักไม่รู้รสแกง”
นั่นปะไรมีเหน็บต่อเนื่อง พี่เตยก็ไม่รู้หรอกว่าคุณยายหมายความอะไร แต่คงไม่ใช่สรรเสริญคุณลงคุณหลวงอะไรนั่น

“สุดท้ายท่านผู้หญิงก็ตรอมใจสิ้นลม ปล่อยให้นังกาลกิณีนั่นเสวยสุขอยู่กับคุณชิต... หึ แต่ฟ้าท่านมิได้หูหนวกตาบอด
สุดท้ายเป็นแค่ไพร่ดันทำตัวเทียมเจ้า จิกโขกบ่าวในบ้านราวกับทาส หลังคุณชิตสิ้นไม่นาน
มันก็ถูกบ่าวที่โขกสับฆ่าหมกเรือนสิ้นสุดความผยองของมัน”

พี่เตยปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก แวบหนึ่งเธอเห็นร่องรอยความสะใจอยู่ในดวงตาหรี่เล็กบนใบหน้ายับย่น
“ทำไมยายรู้เรื่องละเอียดจังเลยคะ” เดือนถามในสิ่งที่พี่เตยก็คิดจะทำ
คุณยายนิ่งไปพักก่อนเล่าต่อ
“ตอนเด็กๆ ฉันสนิทกับลูกหลานคุณหลวง เล่นหัวกันบ่อยไป คุณชิตท่านก็เอ็นดูฉันดั่งลูกหลาน เรื่องเล็กน้อยอะไรฉันก็รู้หมด”
เสียงหญิงชราสั่นเครือ ครวญคร่ำเบาๆ “ไม่น่าเลยคุณหลวง... คุณหญิง”

หัวอกลูกผู้หญิงชิงชังนังเสรียงนั่นไม่น้อยไปกว่าคุณยาย เรื่องหลังจากนี้เรียบเรียงได้ไม่ยากเกินความสามารถของเจ้าหนูโคนันอิจิ
(โคนัน+คินดะอิจิ)

‘ขอเอาชื่อเสียงของคุณปู่เป็นเดิมพัน ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’

ทั้งสองคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องลาคุณยายเสียที พี่เตยกราบลาอย่างเคารพ คลายความรู้สึกที่เคยหมั่นไส้ไปจนหมด
และบอกว่าเมื่อถึงวันที่ต้องย้ายออกจากบ้านหลังนั้นจะมาร่ำลาอีกที…

คราวซวยมาเยือนเมื่อภรรยากลับถึงบ้าน พี่เตยคงกำลังอินคิดว่าผู้ชายก็เจ้าชู้ประตูดินเหมือนกันไปหมด ไม่ว่าจะคุณชิต หรือคุณดิน
เมื่อเห็นสามีนั่งโขกซีเมนต์โบกรอยแตก พี่เตยซึ่งยังกรุ่นกับละครพีเรียดเมื่อสักครู่ ก็เหน็บพี่ดินทันที

“จะทำไปทำไม อีกไม่กี่วันก็ย้ายออกแล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ยพี่ เช่นหาคนที่จะมาซื้อบ้านหลังนี้”

ความหมั่นไส้คุณยายย้ายมาลงที่สามีซะงั้น พี่ดินทำได้แค่รับสภาพบอกว่าพรุ่งนี้จะรีบจัดการให้ ยังผลให้มื้อเย็นของเขาได้รับแค่ข้าวโป๊ะไข่เจียว
ค่ำคืนนั้นเป็นคืนที่พี่เตยรู้สึกสบายตัวที่สุดนับแต่ย้ายเข้ามาอยู่ (และกำลังจะย้ายออกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า)
จะมีหงุดหงิดบ้างก็เพราะน้องตั้งใจร้องโยเยไม่ยอมนอน หลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายรอบ หลังจากทุกคนหลับ พี่เตยนั่งดูข่าวสารไปเรื่อยๆ
ข่าววายทูเคดูเป็นอะไรที่ทั่วโลกแตกตื่นกันมากที่สุด สำนักข่าวหลายช่องวิเคราะห์กันทั้งวันทั้งคืน

“นักวิชาการคาดการณ์ว่าอาจเกิดปัญหากับระบบคอมพิวเตอร์ ยังผลให้ระบบการเงินการธนาคารและตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกประสบวิกฤต
อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ผมกิตติ สิงหาคม สดจากแอลบูเคอร์คี นิวเม็กซิโก”

เสียงทีวียังคงก้องเป็นระยะ พี่เตยนอนฟังเสียงนักวิชาการกล่อมจนเคลิ้มไปช้าๆ ช่วงที่กำลังจะหลับ
เสียงนักวิชาการหนุ่มก็สลับเป็นนักวิชาการสาวบ้าง เธอพูดว่า

“เจ้านกกาเหว่า(เอย) ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก(เอย) นึกว่าลูกในอุทร คาบข้าวเอามาเผื่อ(เอย) ไปคาบเหยื่อเอามาป้อน”

ห๊ะ! สำนักข่าวช่องไหนเนี่ย? เปิดเพลงกล่อมเด็กสุดหลอนสมัยเจ้าคุณปู่

พี่เตยงัวเงียลืมตาขึ้น ในแสงสลัวจากทีวีที่ตอนนี้มีแค่คลื่นซ่าเส้นยิบๆ ไร้ภาพ ไร้เสียง พี่เตยเห็นหญิงสาวผมยาวสลวย
รูปร่างระหง มีทรวดทรงองค์เอวนั่งพับเพียบอยู่ปลายเตียง หล่อนสวมผ้าถุงนุ่งกระโจมอก บนไหล่เปลือยเปล่าหุ้มห่อด้วยแพรสีแดง...

ตัวแข็งทื่อ ปลายผมเหมือนลุกตั้งได้ หน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าคราวโดนสามีเกี้ยวใหม่ๆ แสงสลัวจากทีวีพอทำให้เห็นเกสนิรนาม
ที่มาในชุดไทยร่วมสมัย ถึงเห็นหน้าไม่ชัด แต่อย่างน้อยเธอเป็นหญิงที่มีโครงหน้าสวยคม สัดส่วนเรือนร่างชวนชมสมเป็นหญิงไทย
กลิ่นกรุ่นน้ำอบฝาดๆ ที่ลอยสะกิดจมูกทั้งฉุนทั้งหอมนั้นน่าจะมีที่มาจากแพรสีแดงผืนบางที่คลุมไหล่
ระดับพัดลมแอร์คอนดิชั่นฯ แค่เบอร์หนึ่ง แต่ชายผ้าสีแดงปลิวไสวเหมือนโดนลม

อาการผีอำที่ใครเขาว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง ทุกอย่างอยู่ที่เดิมครบถ้วนเหมือนเช่นก่อนงีบ ทีวีที่มีแต่คลื่นแทรก สามีที่นอนตะแคงติดผนัง
ถัดมาลูกน้อยยังคงดิ้นไปมาอย่างไม่สบายตัว ทุกอย่างดูเบลอไปหมด ยกเว้นสตรีที่นั่งพับเพียบอยู่ มันชัดจนไม่คิดว่าฝัน
หันหน้าหนีก็ไม่ได้ ลูกตาก็ขยับซ้ายกับขวาแค่ไม่เกินฟุต แต่น่าแปลกที่เธอคนนั้นไม่หันมามองพี่เตยแม้แต่น้อย
คงจ้องไปที่น้องตั้งใจซึ่งพลิกกระสับกระส่ายไปมา พร้อมท่วงทำนองเพลงกล่อมเด็ก

“เจ้านกกาเหว่า(เอย) ไข่ไว้... ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก(เอย)..."

มนต์ทุกบทเท่าที่นึกออกประเคนออกมาเพื่อให้ ‘เธอ’ คนนั้นไปให้พ้นๆ เสียที ลูกคนเดียวอิชั้นเลี้ยงได้

หลังจากนั้นความเพลียที่ไม่อาจฝืนเริ่มคืบคลานเข้ามา มีสองสิ่งที่พี่เตยทำก่อนจะสิ้นสติ
หนึ่งคือจดจำทุกรายละเอียดของสตรีนางนั้นจนขึ้นใจเพื่อไปขยายต่อให้ใกล้เคียงมากที่สุด สองคือสรรเสริญชื่นชมพระอาจารย์บุญยกใหญ่
ไหนบอกหนึ่งเดียวไม่มีสอง ไหนล่ะหญิงสาวรูปร่างท่วมตัน นุ่งโจงกระเบนห่มสไป ผมหยักศกฟู หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว..
บ้านแกสิ!! ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเนี่ยถ้าเข้าประกวดนางสาวสยามขี้หมูขี้หมาต้องเข้ารอบสามคนสุดท้ายแน่ๆ แล้วพี่เตยก็วูบไป...

ในความฝันพี่เตยเห็นหญิงสาวคนนั้นเดินลงมาจากชั้นบน เครื่องหน้าหลบอยู่ใต้เงา เธอหยุดตรงชานพักบันได
ปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง

รุ่งเช้าพี่เตยตื่นขึ้นเมื่อสามีเข้ามาปลุก ทันทีที่ลุกเหมือนโลกหมุนได้ มันโคลงไปหมด พอตั้งหลักหันไปมองลูกเป็นสิ่งแรก
เมื่อเห็นที่นอนว่างเปล่าก็รีบถามด้วยความตกใจว่าลูกไปไหน พี่ดินจึงบอกว่าตั้งใจออกไปเล่นกับเดือนข้างนอก มีอะไรรึเปล่า
พูดเสียงดังตกใจหมด พี่เตยรื้อความทรงช่วงสุดท้ายแล้วสาธยายออกมาจนหมดเปลือกว่าเห็นอะไรมาบ้าง

“พี่... เตยอยู่ไม่ได้แล้ว เตยจะย้ายออกวันนี้ เดี๋ยวนี้ หากพี่จะอยู่ต่อ ก็เชิญอยู่ไปคนเดียวเถอะ”

พี่เตยรู้สึกว่าปลายผมยังฟูๆ อยู่ อาการขนหัวลุกเป็นแบบนี้นี่เอง เคยเห็นในละครแล้วรู้สึกว่าเป็นมุขที่เฝือมากจนมาเจอกับตัวนี่ล่ะถึงรู้ว่าไม่ตลก
เธอจัดแจงเตรียมข้าวของ อุปกรณ์เลี้ยงลูก กระเป๋าใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว หลังจากเตรียมของเสร็จเรียบร้อยก็ยกออกมากองหน้าบ้าน
ตะโกนเรียกสามี

“พี่จะไปด้วยกันมั้ย? ถ้าไม่ไปช่วยไปส่งเตยกับลูกที่บ้านแม่ที แล้วเตยขอเงินติดตัวสักสองสามพัน เผื่อซื้อนมซื้อของใช้ด้วย”

พูดจบปุ๊บ พี่เตยเห็นอาการสามีมีพิรุธ (อีกแล้ว) มันเป็นเซ้นต์ของอิสตรี เหมือนมีอะไรปิดบัง และอะไรที่ว่าก็เห็นได้ด้วยตาเปล่านี่ล่ะ
แต่ ณ ตอนนั้นคิดไม่ออกจริงๆ ความกลัวบังตา... กลับมาเรื่องเงิน พอบอกว่าขอติดตัวหน่อย สามีอ้อมแอ้มสารภาพว่าเงินก้อนสุดท้าย
จ่ายเป็นค่าทำพิธีไปเมื่อวาน พอพี่เตยรู้ตัวเลขก็แทบเป็นลม

“สองหมื่น!!? พี่จะบ้าไปแล้วรึไร ทำไมแพงขนาดนั้น ทำไมไม่ปรึกษากันก่อน ทำไมๆๆๆๆ”
ตามมาอีกหลายทำไม หลังจบประโยคคำถาม ก็ตามด้วยประโยคคำสั่ง

“โทรไปหาอาจารย์อะไรนั้นเดี๋ยวนี้เลย”
พี่ดินทำได้แค่รีบกดโทรศัพท์ กดเสร็จปุ๊บโดนคว้าไปจากมือปั๊บ
“อาจารย์บุญเหรอคะ”
“ผมณเดช ศิษย์อาจารย์บุญครับ”
“ขอสายอาจารย์บุญหน่อยค่ะ”
“สักครู่ครับ”
........................................
“ผมอาจารย์บุญครับ”
“อาจารย์บุญคะ ฉันเป็นภรรยาพี่ดินนะ ที่เมื่อวานทำพิธีปัดรังควานจำได้มั้ย”
“อ่อ จำได้ครับ”
“พิธีปัดรังควานบ้อบออะไรคะ ผียังเต็มบ้านอยู่เลย หลอกลวงประชาชน รีบเอาเงินมาคืนเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไปแจ้งความ!”

แล้วพี่เตยก็วางสายไปด้วยความรวดเร็ว คืนโทรศัพท์ใส่มือสามีอย่างแรง และตอนนั้นเองสายตาของเจ้าหนูโคนันก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
มันเป็นสิ่งที่ทำให้พี่ดินอึกอักมาวันสองวัน...
“พี่ดิน... แหวนแต่งงานไปไหน?”
คนโดนซักหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“อ่อ... พี่ถอดไว้ในห้อง” พี่เตยหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“โอเช... ไปหยิบมาสิ๊ที่รัก”

พี่ดินพูดไม่ออก เพราะมันไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่ได้อยู่ที่ไหนในบ้านทั้งนั้น จะบอกหลุดจากนิ้วก็ดูเหลือเชื่อ สุดท้ายจำต้องยอมสารภาพ
อยู่ที่ใครคงพอเดากันได้ ใช่แล้วแหวนแทนรักอยู่ที่พระอาจารย์บุญ หลังไต่สวนได้ความว่าพี่ดินมีเงินไม่พอจ่ายค่าทำพิธี
จำต้องจ่ายเงินพร้อมจำนำแหวนไปในคราวนี้ก่อน รอเงินเดือนออกค่อยไปไถ่ถอนคืน กะว่าจะปิดให้เงียบที่สุด ภรรยาดันตาดีอีก
พี่เตยนึกขึ้นได้... อ่อที่ไปซุบซิบล่อกแล่กกันเมื่อวานเพราะมีดีลกันแบบนี้?? คุณพระ! คิดได้ยังไงกันคุณพี่!
เอาแหวนคุณพ่อที่มอบให้ตอนแต่งงานไปจำนำ!?

“พี่ทำอะไรเนี่ย!” พี่เตยเหมือนฟิวส์ขาดไปแล้ว เธอน้ำตาซึม ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่เพราะโกรธ ทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
อยากมีบ้านสักหลังทำไมมันมีปัญหามากมายจริงๆ พี่เตยโยนกระเป๋าลงพื้นเสียงดังโครม ดังจนเดือนกับตั้งใจวิ่งมาดู
พี่เตยพยายามเก็บอาการกลัวลูกเห็นอะไรที่ไม่เหมาะ เธอนั่งตัวสั่นด้วยความโกรธรอตัวละครอีกคน...

ระหว่างนั้นพี่ดินพยายามอธิบาย บอกว่าอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่อยากให้ภรรยาและลูกไม่สบายใจ
แต่พี่เตยโกรธมากไม่ยอมคุยด้วย ไม่นานนักหลังเก๋งคันเดิมวิ่งมาจอดหน้าบ้าน พร้อมคณะบุคคลเซ็ทเดิมเพิ่มเติมมาอีกหนึ่ง
พี่เตยปรี่เข้าไปต่อว่าด้วยความโมโห บอกว่าเป็นพระอาจารย์จริงรึเปล่า หรือเป็นพวกแก๊งค์ต้มตุ๋น
รีบคืนเงินกับแหวนมาซะดีๆ ก่อนเรื่องจะถึงโรงพัก แต่สิ่งที่พี่เตยคิดไว้เมื่อวานว่าลูกศิษย์อาจารย์บุญดูเหมือนทีมอุ้ม
จริงๆ แล้วก็ใกล้เคียงนั่นล่ะ อันธพาลดีๆ นี่เอง ชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นณเดช) ตบหน้าพี่เตยเสียงดังเผี๊ยะ!
พี่ดินเห็นก็วิ่งเข้าไปจะเอาเรื่อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกคนควักปืนออกมา

“อย่าซ่าส์ เดี๋ยวปืนลั่น... พาลูกเมียเมิงเข้าไปในบ้าน”

เกิดอะไรขึ้น (วะ) เนี่ย พี่ดินคิดในใจ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรขนาดนี้ เจอผีไม่พอมาเจอมิจาฉาชีพอีก ซวยครบสูตรจริงๆ
พี่ดินพยุงพี่เตยให้ยืนขึ้น ปากขอร้องว่าอย่าทำอะไรภรรยา ลูกและน้องสาวเลย อยากได้อะไรก็เอาไป แต่กลุ่มอาจารย์บุญไม่สนใจ
ฉุดกระชากสมาชิกทุกคนเข้าไปในบ้าน ปิดรั้ว ปิดประตู...

พี่ดิน พี่เตย เดือนและตั้งใจถูกพาไปนั่งเบียดชิดกันอยู่มุมห้อง หลังจากนั้นหมาป่าในคราบนักบุญก็ลอกคราบ
อาจารย์บุญลากเก้าอี้มาตรงหน้ากลุ่มคน นั่งลง จุดบุหรี่สูบ พ่นควันใส่หน้าพี่เตย

“ปากจัดเหลือเกินนะคุณผู้หญิง ระวังจะไม่แก่ตาย”

พูดจบก็หัวเราะถัดจากนั้นจับมือพี่เตยขึ้นมาจูบ แล้วดึงแหวนแต่งงาน (อีกวง) ออกไปจากมือ เกิดความกลัวจับใจยิ่งกว่าครั้งไหน
คนที่รู้สึกผิดมากที่สุดคือสองสามีภรรยา พี่ดินรู้สึกผิดที่ความอยากได้อยากมีพาครอบครัวมาสู่หายนะ
ส่วนพี่เตยเสียใจที่เป็นคนใจร้อนพูดก่อนคิดจนพาทุกคนมาเจอสถานการณ์ย่ำแย่อาจถึงชีวิตเช่นนี้ คำวิงวอนส่งไปถึงกลุ่มชายฉกรรจ์

อาจารย์บุญสูดบุหรี่อีกทีคราวนี้พ่นควันไปที่เดือน “หน้าตาดีนะเรา มาเป็นเมียพี่มั้ย” แล้วก็หัวเราะอีก จากนั้นจึงพูดต่อ

“พิธงพิธีอะไรพวกกรูทำไม่เป็นหรอก วิญญาณบ้าบออะไรก็ไม่เคยเห็น กรูพูดไปเรื่อยแต่พวกเมิงมันโง่ อยู่ๆ ก็มาให้เชือดถึงที่
หลอกง่ายอิ๊บหาย อันที่จริงก็น่าจะจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ดันกล้ามาขู่กรูงั้นเหรอ จะบอกอะไรให้เอาบุญ
ที่กรูบอกว่าจะมีคนมาซื้อบ้านภายในสองสามวันนี้ก็พวกกรูเองนี่ล่ะจะหาคนมาสวมรอย ตอนแรกก่ะว่าทำพิธีจบๆ
ได้เงินสองหมื่นมาใช้เล่นๆ แต่พอมาเห็นบ้านพวกเมิงมันใหญ่โตโอ่อ่าเหลือเกิน ด้านในก็เป็นไม้สัก ราคาก็ไม่แพง
แถมอยู่ท้ายซอยไม่มีใครกวน ถูกใจจริงๆ ว่ะ ฮ่าๆๆ แต่ตอนนี้กรูไม่สนแล้วล่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย?
เพราะก่อนหน้านี้กรูไม่รู้หรอกว่ามีผีเผ่อจริงรึเปล่า แต่อีกสักพักมีแน่ ก็เมิงสี่คนนี่ไง ฮ่าๆๆ”

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

อนิจจา... สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่าผี ก็สัมภเวสีในร่างคนนี่ล่ะ...

เวลาคนมีอำนาจเหนือกว่าก็มักจะกร่างเกินพิกัด จากแมวก็กลายเป็นเสือ จากหมาก็กลายเป็นสิงห์
อาจารย์บุญกับชายฉกรรจ์อีกสามคนนั่งเฝ้าดูลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด คำพูดเหน็บแนมมอบให้พี่ดิน
ส่วนคำพูดสัปดนส่งให้พี่เตยกับเดือน

พี่เตยเป็นผู้หญิงหน้าตาดี สมัยก่อนมีหนุ่มๆ ติดเกรียว แต่เมื่อมีสามีและลูกแล้ว ความน่าสนใจก็ลดวูบ
ดังนั้นความซวยจึงกองอยู่ตรงหน้าเดือน... หลังจากแทะโลมได้ที่ สันดานชายเปลี่ยวก็คุกรุ่น ลูกน้องคนหนึ่ง (สมมุติชื่อโต)
เข้าไปซุบซิบกับลูกพี่อยู่สักแป๊บ พอเห็นอาจารย์พยักหน้า เขาส่งสายตาสุดกระสันไปที่เดือน

พี่ดินเห็นจึงรีบเอาตัวเข้าไปขวาง พยายามขอร้อง พอเห็นว่าไม่สำเร็จจึงเอากำลังเข้าสู้ ผลคือโดนหมัด
เท้า เข่า ศอก แข้งและขาครบ ๙ ศาสตรา นอนสะบักสะบอม พี่เตยเป็นรายต่อไปบอกว่าอย่าทำอะไรเดือน
ผลคือถูกณเดชเอาผ้ามัดปากและแขน เมื่อหมดก้างนายโตเข้าไปฉุดกระชากเดือน เธอร้องไห้ อ้อนวอนขออย่าทำอะไร
แต่น่าสงสารคำวิงวอนเข้าหูซ้ายออกหูขวา เทียบกับคนพวกนี้กระบือยังดูสูงส่งกว่า

เดือนพยายามขัดขืนสุดกำลัง เมื่อโดนขัดใจมากเข้า นายโตควักปืนออกมา
“ขืนยังโวยวายอีกกรูจะยิงทิ้งตรงนี้เลย”
แต่เธอก็ใจเด็ดไม่ยอมถูกข่มเหงง่ายๆ ผลคือโดนหลังมือฟาดหน้าจนทรุดลงกับพื้น พี่ดิน พี่เตยสงสารน้องสุดหัวใจแต่ทำอะไรไม่ได้
เห็นภาพด้านหลังน้องสาวโดนลากไถลไปกับพื้น... พี่เตยคาดว่าด้วยความกลัว เดือนจึงลุกเดินตามไปอย่างว่าง่าย นายโตยิ้มร่า
“เออ ว่านอนสอนง่ายจะได้ไม่เจ็บตัว” ทั้งสองคนหายเข้าไปในห้องนอนของเจ้าบ้าน...

พี่ดินนอนดิ้นไปมาอยู่กับพื้นโดยมีปืนอีกกระบอกจ่อศีรษะ น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งออกมาอย่างไม่อายฟ้าดิน
อาจารย์บุญถือไพ่เหนือกว่าก็ทับถมสารพัด
“พวกเมิงนี่มันงมงายเสียจริง ผีมันมีที่ไหน เพราะความงมงายแท้ๆ พวกเมิงถึงต้องมาซวยแบบนี้ แล้วไอ้ตัวเล็กอายุเท่าไหร่วะ
เสียดายนะไม่อยู่จนโต ถ้าจะโทษโทษพ่อเมิงเลยนะ หน้าโง่ชะมัด ฮ่าๆๆ”

สองสามีภรรยาสวดมนต์อ้อนวอน ขอใครสักคน ใครก็ได้ช่วยให้พ้นจากสถานการณ์นี้ แต่ดูเหมือนถูกตัดขาดจากโลก...
สักพักความช้ำใจต่อชะตายิ่งมากขึ้น เมื่อเห็นนายโต ออกมาจากห้อง กวักมือเรียกเล็ก (นามสมมุติ) ให้ตามเข้าไป
นายเล็กยิ้มกริ่ม เตะปลายเท้าพี่ดิน

“ตากรูล่ะ ฮ่าๆๆ”

นายเล็กเดินเข้าไปในห้องอีกคน พี่เตยไม่สามารถจินตนาการความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเดือนได้ เธอร้องไห้ปานจะขาดใจ
ยิ่งเห็นความเจ็บปวดของคน อาจารย์บุญยิ่งสะใจ รออยู่สักพักจึงสั่งลูกน้อง
“อย่าทำอะไรโง่ๆ นะไอ้น้อง ไม่งั้นจะฆ่าเมียกับน้องเมิงจริงๆ ณเดช เฝ้าไอ้นี่ไว้ ส่วนคุณผู้หญิงตามมานี่ เราไปสนุกกันดีกว่า”

อาจารย์บุญลากพี่เตยตามไปที่ห้องอีกคน หมายกระทำชำเรา พี่เตยทั้งดิ้นทั้งสะบัดแต่ไม่สามารถขัดขืนผู้ชายได้
มารศาสนาเปิดประตูเข้าไปตะโกนเสียงดัง

“พอๆ พวกเมิงไปสนุกกันข้างนอกโน่น ตากรูมั่งล่ะ”

แต่โปรเฟสเซอร์ต้องพบกับความฉงน แทนที่จะเห็นภาพสองสมุนข่มเหงน้ำใจหญิงสาว กลับเห็นทั้งสองนอนนิ่งอยู่บนพื้น
มือสองข้างชูมัดติดกับผ้าม่าน (ที่เคยพลิ้ว) ส่วนเดือนนั่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีเค้าลางว่าถูกหยามน้ำใจ
และที่สำคัญมีอีกสิ่งที่ทำให้อาจารย์บุญถึงกับผงะ เมื่อพื้นปูนสีเทาที่เขานั่งทำพิธีเมื่อวาน วันนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนเลือด...

“เชี่ยอะไรวะเนี่ย!?” อาจารย์บุญร้องเสียงหลง พลางเรียกสมุนทั้งสองคนลั่น ทั้งสองนอนนิ่งเงียบ แต่เสียงอาจารย์บุญปลุกให้ใครอีกคนตื่นขึ้น
เดือนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ อาจารย์บุญเห็นก็ร้องลั่นอีกรอบ

“เชี่ย! เมิงเป็นใครวะ”

พี่เตยสุดแสนจะงงงวย สิ่งที่อยู่ภายในห้อง ผิดวิสัยสุดก็คือชายสองคนที่นอนนิ่งมือถูกมัด ที่เหลือเป็นปกติ
แต่ทำไมอาจารย์บุญดูตกใจสุดประมาณ...

อาจารย์บุญผงะล้มลง ตั้งหลักได้รีบวิ่งออกมาจากห้อง เดือนก้าวเท้าผ่านพี่สะใภ้ช้าๆ และยิ้มให้พี่เตยแวบหนึ่ง
ในขณะที่น้องสาวเดินผ่าน ขนพี่เตยก็ลุกพรึ่บ เมื่อได้กลิ่นน้ำอาบฝาดๆ จางๆ ลอยผ่านจมูก

โปรเฟสเซอร์วิ่งเข้าไปหาณเดช ละล่ำละลักบอกด้วยความตกใจ
“ยิงมัน! ยิงอีนังนั่นเร็วโว้ย”
ลูกน้องคนสนิทก็ดูตกใจไม่แพ้กัน “เห้ย แมร่งใครวะนั่น”
อาจารย์บุญไม่สนใจบอกให้ยิงเร็วๆ ณเดชจึงตอบกลับ

“ยิงเยิงอะไรล่ะลูกพี่ นี่มันปืนเก๊!”

ประโยคนั้นแล่นผ่านเข้าหูพี่ดินที่นอนแผ่สองสลึงอยู่ แต่มันทำให้เห็นทางรอด เขาค่อยๆ คลานไปหยิบกีตาร์โปร่งตัวโปรด
คิดในใจด้วยความเดือดดาล ‘ยังงี้ก็สวยสิไอ้หอกหัก’

เขาลุกขึ้นยืนถทึงแล้วฟาดกีตาร์ใส่กึ่งก้านคอกึ่งกบาลณเดชจนกีตาร์แตกกระจายเป็นชิ้นๆ เบ๊คนสนิททรุดฮวบลงกับพื้น...
อาจารย์บุญเห็นเข้าก็ไม่รอช้าใส่เกียร์หมาเปิดประตูวิ่งหนีออกจากบ้านตรงไปที่รถทันที แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มคนยืนรออยู่ด้านนอก
เป็นชายฉกรรจ์ท่าทางภูมิฐานสามคนและชายชราหนึ่งคน

พี่ดินในสภาพชุ่มโชกเลือดกระเจือกกระสนวิ่งตามออกมาติดๆ เมื่อกลุ่มคนข้างนอกเห็นจึงรวบตัวอาจารย์บุญทันที
สายตาพร่าเลือนของพี่ดินมองไปที่กลุ่มคนและอุทานเบา
“คุณตา (เจ้าของบ้าน)”

เสียงไซเรนดังไปทั่วซอย บรรดาไทยมุงพยายามเบียดแทรกกันเข้ามา แต่ถูกตำรวจกันให้ออกห่างจากพื้นที่ บริเวณหน้าบ้าน
กลุ่มมิจฉาชีพภัยสังคมทั้งสี่ถูกใส่กุญแจมือนั่งกองกันอยู่กับพื้น สองในสี่ผมชี้โด่แสดงท่าทางหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
ภายในบ้านพี่ดินนั่งให้พยาบาลทำแผล ส่วนเดือนก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง จำได้แค่ว่าถูกนายโตตบไปหนึ่งฉาดจากนั้นก็วูบสลบไปเลย
ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง

กลายเป็นคดีปริศนาในห้องปิดตาย (ปิดตายตรงไหน)

ส่วนเหตุการณ์อื่นๆ เหลือเพียงคนเดียวที่พอให้ความกระจ่างได้ หลังจากให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พี่เตยเข้ามานั่งคุยกับชายชรา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” คุณตาถามทันที พี่เตยจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พรั่งพรูเป็นชุดยาวเหยียดตั้งแต่เริ่มซื้อบ้าน
เจอเหตุการณ์แปลกๆ อะไรต่อมิอะไรจนมาเจอแก๊งค์อาจารย์บุญมะเร็งร้ายของสังคม ตลอดการเล่าก็เหน็บชายสูงวัยเป็นระยะ
พอฟังจบคุณตาจึงขอโทษขอโพยแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วบอกว่าหลานเล่าให้ฟังแล้วว่าพี่ดินกับพี่เตยอยากขายบ้านคืน
เขาจะรับซื้อพร้อมจ่ายค่าทำขวัญให้ก้อนหนึ่ง พี่เตยดีใจอย่างสุดซึ้งตกปากรับคำทันที ความขุ่นเคืองในอดีตที่หลอกขายบ้านผีสิงให้
เป็นอันจบกันที่ตรงนี้ ทางใครทางมัน ปิดดีล

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่เตยต้องถามให้หายค้างคาใจ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันถึงขีดสุด เพิ่งผ่านความเป็นตายมาหยกๆ อะไรเธอก็ไม่กลัวอีกแล้ว
แม้กระทั่งผีสางนางไม้

“คุณตารู้จักคนชื่อเสรียงมั้ยคะ?”

ประโยคคำถามนั้นทำให้คุณตาคิ้วขมวด “หนูไปได้ยินชื่อนี้มาจากใครรึ?”

พี่เตยเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงคุณยายคนนั้น “จะรู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่หนูรู้ว่ามันนี่ล่ะเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายๆ ในบ้านหลังนี้”

คุณตาถอนหายใจ “เขาไม่ใช่คนไม่ดี” แต่คุณตายังพูดไม่จบอาการปากไวกว่าสมองของพี่เตยกำเริบทันที
“อ๋อ เป็นเมียน้อยเขานี่คงดีนักสินะคะ จะได้จำไว้ คนอะไรแค่ชื่อก็ขนลุกแล้ว... นังเสรียง”
คุณตาดูเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก แต่อาบน้ำร้อนมาเยอะ เก็บอาการง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ไม่เหมือนพี่เตยที่คนที่สนิทจะรู้สิ่งเธอคิดก่อนเธอจะคิดเสียอีก คุณตาเริ่มพูดช้าๆ

“เธอเป็นน้อยก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นคนชั่วช้าสามานย์ กลับกันเสียอีก เธอเป็นคนดีและน่ารักมากกว่าใครๆ ที่ตาเคยรู้จัก
แต่ก่อนที่จะเล่าอะไรให้ฟัง ตาวอนนิดเดียว อย่าเพิ่งอคติกับความที่ได้ฟังมาเพียงข้างเดียว ลองเปลี่ยนคำนำหน้านามเธอสักนิดสิ
แม่หนูรู้มั้ย? เพียงแค่ชื่อไม่ใช่สิ่งที่บอกกำพืดคน”

คุณตาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนพูดเบาๆ “ลองเปลี่ยนจากนังเป็นคุณสิ... คุณเสรียง”

คุณเสรียง... พี่เตยพูดเบาๆ
เออเนอะ เป็นอะไรที่น่าแปลก ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้บวกกับมี ‘นัง’ ต่ออยู่ด้านหน้า พี่เตยขนลุกซู่ทั้งที่แดดเปรี้ยง
ใจพาลคิดว่าคนๆ นี้ไม่เป็นผีกะเหรี่ยง ผีพม่า ก็ผีล้านนา แต่พอเปลี่ยนคำนำหน้านามปุ๊บ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป

‘งานนี้ต้องมีใครมุสาแน่ๆ ค่ะสารวัตรเมงูเระ’

“เอาล่ะ ลองฟังเรื่องนี้ดูก่อนแล้วตัดสินใจอีกทีนะแม่หนู”
จากนั้นคุณตาอดีตเจ้าของบ้านก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนี้ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษปู่ย่า พอมาถึงยุคคุณชิต ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน
อันเอื้อให้ได้รับผลประโยชน์มากมาย ทรัพย์สินเงินทองที่แต่เดิมมีมาก ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น แขกเหรื่อแวะเวียนมาที่บ้านกันเป็นประจำ
จนคุณชิตมีความรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันคับแคบไป ไม่สู้สมวิทยฐานะข้าราชการใหญ่แห่งกระทรวงเศรษฐการ (กระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบัน)
ในที่สุดจึงย้ายไปปลูกบ้านใหม่ หลังใหญ่พร้อมบ่าวบริวารนับสิบ ปิดบ้านหลังนี้เป็นการชั่วคราว

คุณหลวงมีภรรยาเอกชื่อว่าคุณอมราอันเป็นบุตรีพระยาคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันหลายปี แรกก็รัก แต่หลังๆ ลิ้นกับฟันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นปกติ แต่ทั้งคู่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือทิฐิ เพราะต่างถือว่าตนก็ผู้ดีเก่าทั้งคู่ นานวันเข้าความระหองระแหงกัดกินจนความสัมพันธ์ไม่ดีดั่งเดิม กอปรกับคุณอมราไม่มีบุตรให้คุณชิตเชยชมเสียที

วันดีคืนดีคุณหลวงได้รู้จักกับเจ้าสัวคนหนึ่ง ฐานะนับได้ว่าเป็นเศรษฐีย่อยๆ คุยกันถูกคอพบปะสังสรรค์กันประจำ
เย็นวันหนึ่งเจ้าสัวเชิญคุณหลวงไปบ้านเพื่อคุยเรื่องสินค้าล็อตใหญ่ที่กำลังนำเข้ามาจากแผ่นดินใหญ่
เย็นนั้นคุณชิตได้พบกับลูกสาวของเจ้าสัว นั่นคือคุณเสรียง ด้วยความเป็นหญิงสาวลูกครึ่งไทย-เจ๊ก ผิวขาวนวลหน้าตาสวยใสไร้ตำหนิ
คุณหลวงเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อนาง คิดออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่ค่ำนั้น...

พี่เตยนั่งฟังบทละครพีเรียดเงียบๆ หลายอย่างเริ่มตีวงแคบเข้า รูปพรรณที่ได้ยินมันใกล้เคียงกับสุภาพสตรีนางหนึ่งที่เห็นเมื่อคืนชะมัด
ว่าแล้วก็ขนลุก...

คุณหลวงพยายามเกี้ยวทุกครั้งที่มีโอกาส ณ ตอนนั้นคุณเสรียงจะมีจิตเสน่หาตอบหรือไม่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเธอเอง
แต่ที่แน่ๆ เธอรู้ว่าคุณชิตมีเมียอยู่แล้ว จึงพยายามรักษาระยะห่าง เมื่อเข้าทางลูกไม่ได้ คุณชิตจึงเข้าทางพ่อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นาๆ
ทั้งบอกว่าจะช่วยให้สินค้าจำหน่ายขายคล่องในสยาม พร้อมแจงความประสงค์ว่าไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ ในดีลนี้ ขอเป็นลูกสาวเจ้าสัวละกัน
คุณพระ... ขอดื้อๆ กันแบบนี้เลย?

เจ้าสัวแสนอึดอัดเพียงใด แต่สุดท้ายขนบโบราณยากที่จะขืน ตนเองก็ไม่ได้นามสกุลเจียรว..... ถึงจะกล้าหักอำนาจรัฐ
เอาอนาคตทางธุรกิจไปเสี่ยงก็กระไร จุดท้ายกลั้นใจเอาลูกสาวใส่พานผูกโบว์ส่งไปให้ข้าหลวงใหญ่แลกกับความมั่งคั่งทางธุรกิจ

“ถึงคุณเสรียงจะมีเชื้อเจ๊ก แต่กิริยานั้นอ่อนหวานในขณะเดียวกันก็มีความซุกซนปนเข้มแข็ง ถึงหน้าชื่นอกตรม
แต่น้ำตาไม่เคยไหลออกมาสักหยด เธออาภัพรับสถานภาพภรรยาน้อยอย่างจนใจ... ในที่สุดบ้านหลังนี้เปิดอีกครั้ง เป็นรังรักของคุณชิต
เมื่อสนิทกันมากเข้า น้ำหยดลงหินทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความรักที่คุณชิตบรรจงหยดเรื่อยๆ ในที่สุดคุณเสรียงก็เริ่มใจอ่อนผูกพันโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็เจียมตนว่าเป็นน้อย ไม่เคยออกงาน เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน”

นิยายชัดๆ พี่เตยเริ่มอิน...

“สัปดาห์หนึ่งคุณชิตจะหมกตัวอยู่ที่นี่เสียกว่าครึ่ง เมื่อเห็นคุณเสรียงอยู่กับบ่าวแค่คนเดียวจึงแบ่งจากบ้านใหญ่มาไว้ที่นี่อีกหลายคน
ทุกคนล้วนเคารพรักเธอ รวมถึง... ” คุณตาเว้นช่วง
“รวมถึงตาเองซึ่งเป็นหลานชายของคุณชิต ตอนนั้นตายังเล็กนัก จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าคุณเสรียงเป็นคนสวย เนื้อตัวหอมตลอดวัน
ใจดีแต่ว่าซุกซน ตารู้ว่าลึกๆ เธอรักคุณชิตมากแต่ไม่ค่อยแสดงออก เพราะครั้งหนึ่งตาเห็นคุณเขาไปได้แพรเนื้อดีสีมุกมาหนึ่งผืน
จึงบรรจงปักลายตรงชายผ้าพร้อมตัวอักษรว่า 'CS' ตาเคยถามว่าคืออะไร แต่เธอไม่บอก บอกแต่ว่าเป็นของขวัญให้ใครคนหนึ่ง

'ไว้คลุมยามหนาว คราวใดเศร้าเอาไว้ซับน้ำตา' ในตอนนี้ตาอนุมานเอาเองว่ามันคือชื่อย่อของทั้งสอง ชิต... เสรียง"

คุณพระ... โรแมนติกยิ่งนักแม่คุณเอ้ย

“คุณเสรียงเอ็นดูตามาก ทะนุถนอมดุจลูก บ่าวในบ้านแกก็เอื้อเฟื้อเกินสมควรเสียด้วยซ้ำ... แต่ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน
ระดับคุณหลวงมีบ้านเล็กปิดยังไงก็ไม่มิด ลางร้ายเริ่มมาเยือนเรือนหลังนี้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานความรู้ถึงหูคุณอมรา
เธอกริ้วมาก ทะเลาะกับคุณหลวงครั้งใหญ่ คุณชิตยืนกรานว่าสองบ้านไม่เกี่ยวกับ (สมัยนั้น) ใครๆ ก็มีบ้านเล็กบ้านน้อยทั้งนั้น
แต่คุณอมราไม่ยอม คุณชิตแม้จะรักคุณเสรียงมาก ตำแหน่งในสังคมก็ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเรื่องถึงผู้ใหญ่จุดจบจะเป็นอย่างไร ใครๆ ก็รู้
ระหว่างลูกสาวเจ้าคุณกับลูกสาวเจ้าสัว คุณหลวงโดนมัดมือให้เลือกคุณอมราอย่างจำยอม”

“เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ความเลวร้ายเหลือเกิดขึ้นกับผู้หญิงตัวเล็กๆ เย็นวันหนึ่ง คุณหญิงอมรากับบ่าวบ้านใหญ่ทั้งชายหญิงจำนวนมากแวะมาที่นี่
จากนั้นไล่บ่าวบ้านเล็กออกไปจนหมด”

คุณตาเจ้าของเดิมนิ่งเงียบ สายตาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม

“ตาโดนบ่าวคนหนึ่งจูงออกมาด้านนอก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือคุณเสรียงซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นถูกคุณอมราทำร้าย ทั้งตบทั้งตี
นั่นเป็นครั้งท้ายๆ ที่ตาเห็นคุณเสรียง”

ทุกอย่างเงียบกริบ พี่ดินกับน้องสาวนั่งฟังอยู่ห่างๆ ด้วยความงง ส่วนพี่เตยจุกแน่นในอกหายใจแทบไม่ออก

คุณตาเล่าต่อว่า หลังจากนั้นเขาถูกส่งไปเรียนประจำ แทบไม่มีโอกาสได้เจอใครอีก บ่าวบ้านเล็กต่างหลบหนีกันไปหมด
ใครที่สนิทกับคุณเสรียงก็จะหายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางข่าวลือว่า ‘ฝีมือท่านเจ้าคุณ’
แม่ของคุณตาก็ไม่อยากให้เฉียดเข้าไปใกล้ทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็ก สองครั้งสุดท้ายที่ได้ไปเยือนบ้านใหญ่คือคราวงานศพคุณหลวงชิต
และคุณหญิงอมรา...

ในพินัยกรรมของคุณชิต ระบุชัดว่าบ้านหลังนี้ยกให้เป็นสมบัติของน้องสาว (แม่คุณตา) และต่อมาแม่ก็ยกต่อให้ลูก (คุณตา)
แหม... มาถึงขั้นนี้เด็กมัธยมยังเรียบเรียงได้เลย แต่ยังมีคำพูดบางอย่างซุกซ่อนในประโยค มันมิอาจรอดพ้นสายตาเจ้าหนูโคนันอิจิ
(โคนัน+คินดะอิจิ)

“เมื่อกี้คุณตาพูดว่าครั้งท้ายๆ แสดงว่ายังเคยได้เจอเธออีกใช่มั้ย” พี่เตยถามเสียงเศร้า

คุณตานิ่งอยู่ครู่
“คุณเสรียงเธอหายไปนานเหลือเกิน ตาเจอคุณเขาอีกสองครั้ง ครั้งแรกคือคืนก่อนที่คุณดินจะมาติดต่อขอซื้อบ้าน
เธอมาเข้าฝันนัยว่าบ้านหลังนี้กำลังได้รับเกียรติต้อนรับเจ้าบ้านใหม่กระมัง ส่วนครั้งที่สองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
เธอบอกว่ามีแขกไม่พึงประสงค์มาเยือนเรือน ให้รีบมา”

ขนแขนสแตนอัพพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย...

พี่เตยมองรอบบ้านอย่างหวาดๆ (ใครไม่หวาดก็คนเหล็กแล้ว) พลางหันกลับไปดูแก๊งค์มิจฉาชีพที่กำลังโดนตำรวจลากไปขึ้นรถ
สองคนเหมือนกลัวอะไรสักอย่างถึงขีดสุด ส่วนอีกสองก็นั่งจ้องเดือนด้วยความงุนงง
เอาล่ะ... คดีปริศนาบนเส้นขนานคงใกล้ถึงจุดจบ ไม่ใครก็ใครต้องโกหกคำโตกันล่ะพี่เตยคิดในใจ
คุณตายิ้มพรายพูดก่อนที่พี่เตยจะพูดเสียอีก

“มีไม่กี่คนที่อายุยืนยาวรับรู้เหตุการณ์เมื่อครั้งกระโน้นหรอก ตาพอรู้เลาๆ ว่าแม่หนูได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร เอาล่ะ... เพื่อความยุติธรรม
เราไปหายายโฉมกันเถอะ”

พี่เตยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คุณยายคนนั้นชื่อโฉมงั้นหรือ... ทั้งสองไปรู้จักกันได้ยังไง? อย่าบอกนะเคยกิ๊กกั๊กกัน!?

ส่วนเดือนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ความทรงจำล่าสุดคือถูกจิ๊กโก๋กำมะลอเอาปืนขู่ พอขัดขืนจึงโดนทำร้ายจนสลบหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้
พี่ดินจึงนั่งปลอบน้องสาวที่กำลังขวัญเสีย และฝากพี่เตยกับคุณตาไปตามหาปริศนาชิ้นสุดท้าย คุณตาบอกให้หลานทุกคนอยู่เป็นเพื่อนพี่ดิน
ส่วนตัวเองกับพี่เตยเตรียมตัวไปหาใครคนหนึ่ง เมื่อหลานคนสนิทจะไปด้วยคุณตาบอกว่า

“อย่าไปกันเยอะ ยายโฉมไม่ใช่คนที่จะคุยได้ด้วยจำนวนคนหรือกำลัง”

แต่คุณตากลับชวนใครคนหนึ่งตามไปด้วย คนๆ นั่นคือน้องตั้งใจ... ทั้งสามมุ่งหน้าไปบ้านยายโฉมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
บริเวณประตูรั้วหญิงสาวชื่อพรยืนชะเง้อชะแง้ไปทางก้นซอยที่มีเสียงไซเรนดังเป็นระยะ เมื่อเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าเดินมาก็ถามว่ามาหาใคร
พี่เตยถามพรว่าจำตนได้มั้ยเคยเจอกันเมื่อวันก่อน ขอเข้าไปคุยกับคุณยายหน่อย พรกลับเข้าไปในบ้าน ระหว่างนั้นคุณตาบอกว่า
ถ้าคุณยายพูดอะไรให้นิ่งเข้าไว้ อย่าทำให้แกโกรธ พี่เตยก็งงเด้ๆ

สักพักพรวิ่งกลับออกมาบอกว่าคุณยายไม่อยากคุย บ้านหลังนั้นเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้เล่าไปหมดแล้ว พี่เตยขึ้นปรี๊ดด นึกในใจ
ก็เพราะเรื่องนี้ถึงได้มา จะได้รู้กันไปเลยว่าใครสตอกันแน่ และขอบอกกงๆ ตอนนี้ค่อนข้างเอนเอียงมาทางคุณตาที่ยืนข้างๆ มากกว่าด้วย
พี่เตยพยายามพูดว่ามีเรื่องสำคัญ แต่พรก็ไม่ยอมให้เข้าไป สุดท้ายคุณตาบอกเอ่ยแทน

“เข้าไปถามอีกรอบ บอกว่าคนชื่อโชติมาหา”

พรทำหน้างงๆ แต่ก็หายกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง และเมื่อวิ่งออกมาอีกรอบ คราวนี้เธอบอกว่าคุณยายยอมให้เข้าพบได้
นั่นปะไร! กิ๊กเก่ากันแหง พี่เตยมโนเพลินเลย

ทั้งสามเดินเข้าไปในบ้านอันมืดครึ้ม เมื่อถึงส่วนรับแขกพบคุณยายนั่งอยู่บนตั่งตัวเดิม ดูตระหนกเล็กน้อยที่เห็นคุณตาโชติเดินนำหน้ามา
แกมองคุณตาแล้วเลยผ่านไปที่น้องตั้งใจ ไม่แลพี่เตยแม้แต่น้อย เออ... เอาที่สบายใจ ประเดี๋ยวให้รู้ความจริงก่อนเถอะ
แม่จะวีนให้บ้านแตกเลย ผู้ดีกงผู้ดีเก่าอะไรไม่สน แต่พี่เตยก็แปลกใจที่เห็นคุณยาย ยกมือสวัสดีคุณตาช้าๆ (อย่างเชิดๆ)

“สวัสดีค่ะคุณโชติ”

คุณตารับไหว้แล้วไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ไอ้เรื่องวัยน่ะก็ใกล้กันอยู่ ห่างกันคงไม่กี่ปี แต่ใครอาวุโสกว่าก็ฟันธงลำบาก แต่ที่แน่ๆ
ยายโฉมดูเกรงใจคุณตามากกว่าที่เกรงใจพี่เตยมาก

“สบายดีรึคุณโฉม”
“ไม่เจ็บไม่ไข้ ไอ้ที่รังควานอยู่ก็โรคชรา”

ทั้งสองสนทนาราวกับคนมักคุ้นกันมาเนิ่นนาน ดูไปดูมายังกับคู่รักที่พลัดพราก ใช่แน่ๆ มันต้องใช่แน่ๆ แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น
จะไถ่ถามสารทุกข์กันอีกนานมั้ย? เข้าเรื่องซะทีเถอะ ฉันเพิ่งเกือบตายมานะ อยากรู้ว่าใครสตอกันแน่ เพราะมันมีผลกับการตัดสินใจหลายอย่างรวมถึงว่าจะอยู่หรือย้ายออกจากบ้านหลังนั้น คุณตาก็รู้ใจเหลือเกินหลังจากนั้นจึงเริ่มเข้าประเด็น

“ทำไมคุณโฉมถึงปดเรื่องคุณเสรียงอย่างนั้น”

คุณยายวรนาถได้ยินก็ชะงัก หน้าถอดสีเล็กน้อย เรียงเม็ดไม่ยากว่าพี่เตยกับคุณตาคงได้คุยกันไปแล้ว ปัญหาคือคุยไปแล้วแค่ไหน
“คุณโชติพูดเรื่องอะไรรึ ฉันไม่เข้าใจ”
นั่นไง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครโกหก นังผู้ร้ายปากแข็ง วันก่อนเล่าเสียเป็นฉากๆ วันนี้อัลไซเมอร์กำเริบรึไง ประเดี๋ยวแม่จะด่าให้ยับเลย
เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกับเตยตลาดสด

“นี่คุณยายคะ ไม่เข้าจงไม่เข้าใจอะไร เพิ่งเล่าให้ฟังวันก่อนหยกๆ ความจำเสื่อมขึ้นมารึไงคะ”
ธนูดอกแรกพุ่งฉิวไปหาคุณยายโฉม แต่เธอไม่ธรรมดา ไม่ปรายตามองด้วยซ้ำ ทำยังกับพี่เตยเป็นอากาศธาตุ
“ถ้าจะมาแสดงกิริยาไพร่ๆ ในบ้านฉันก็ออกไปเสียให้พ้นๆ รกตาไม่พอยังมารกหูกับเสียงแว๊ดๆ ของหล่อนอีก”

ตู้ม!! แล้วทุ่งข้าวสาลีเคลือบช็อคโกแลคก็ระเบิดเป็นโกโก้คลั้นช์ อารมณ์พี่เตยพุ่งปรี๊ดในพริบตา เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
ยังไม่เคยถูกใครว่าถึงขนาดนี้ อันมาตรฐานคนไทยสมัยเจ้าคุณทวด ไพร่ = สามัญชน มันเป็นเรื่องเข้าใจได้
แต่ไฉนโดนเหน็บว่าไพร่กงๆ มันถึงได้ชาไปทั้งหน้าแบบนี้ โอเคอยากก่อสงครามใช่มั้ย เดี๋ยวเจ๊จัดให้

แต่คุณตาก็ไวทายาด ลุกขึ้นขวางพี่เตยไว้ พร้อมทำปากขมุบขมิบอะไรบางอย่าง ส่ายหน้าจนเวียนหัวกว่าที่พี่เตยจะยอมสงบ
เธอสะบัดพรืด ไม่สามารถทนมองคุณยายได้อีก (เดี๋ยวธาตุไฟเข้าแทรก)

คุณตากวักมือเรียกตั้งใจให้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกล่อมยายโฉมว่าสงสารเด็กตาดำๆ มันเถอะนะ แต่คุณยายก็ยังตีมึนบอกว่าไม่เห็นเกี่ยวกัน
คุณตานิ่งไปครู่ใหญ่นี่เป็นการประชันปัญญาของคนวัยดึก อันว่าต้องการให้ความจริงกระจ่างว่าใครมุสาก็เรื่องหนึ่ง
แต่ยังมีอีกเรื่องที่คุณโชติอยากจะรู้... อยากมาหลายสิบปีแล้ว คุณตาเชื่อว่าคุณเสรียงได้จากไปนานแล้ว
แต่ไฉนถึงมาปรากฏกายให้เห็นราวกับภูติผี นึกได้อยู่ประการเดียว เธอยังวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
และเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องราวทั้งหมดคือหญิงชราที่นั่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นบ่าวสาวคนสนิทของคุณหญิงอมรา เธออยู่ด้วยในวันนั้น วันที่เกิดเรื่อง...

“เรื่องราวมันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ความจริงเป็นเช่นไร พวกเราต่างรู้กันดี คุณโฉมบอกมาเถอะว่าทำไมถึงปดไปแบบนั้น” คุณตาตะล่อมต่อ
“พวกเราที่ว่า... ก็แค่คุณโชติกับฉัน ทำไมถึงคิดว่าฉันปดอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ? เป็นคุณโชติเองรึเปล่าที่ไม่เล่าความจริงให้คนซื้อทราบว่า
บ้านหลังนั้นมีประวัติยังไง เล่นแจงกันไม่หมดแบบนี้ ออกจะเจ้าเล่ห์เกินไปนะ”

หือ? พี่เตยหันขวับ คิดในใจ ‘อย่าเพิ่งหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตอนนี้ได้มั้ย คือ... หนูอยากรู้ความจริงง่ะ’

“บ้านหลังนั้นเป็นของคุณชิต ลุงของคุณไม่ใช่หรือ?”
คุณยายพูด คุณตานิ่ง
“คุณก็ทราบว่าท่านตบแต่งมีภรรยาแล้ว?”
คุณยายพูด คุณตานิ่ง
“แล้วนังเสรียงนั่นมันก็เป็นเมียน้อยของคุณท่านไม่ใช่หรือ?”
คุณยายพูด คุณตานิ่งต่อ
“และเพราะความมักมากเลือกกินน้ำใต้ศอก ก็ทำให้มันก็ตายอยู่ในเรือนนั้นจริง ตรงไหนรึที่เรียกว่าปด?”
คุณพระ... โฮล์มส์กำลังโดนไอรีน แอดเลอร์ต้อนเข้ามุม คุณตาดูเมาหมัด แถมอาการไม่สบายกำเริบอีกต่างหากสีหน้าดูไม่สู้ดีนัก

"คุณโชติไม่สบายรึ ฉันว่าคุณกลับไปพักผ่อนดีกว่ามาเสียเวลากับของคนอื่น (ปรายตาไปที่พี่เตย) ฉันเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน"
เสียงยานคางพูดต่อ คุณตาสูดลมหายใจลึกและยาว ประคองสติ
“แค่กๆ เรื่องที่คุณพูดมาก็ถูกทั้งหมด บ้านนั้นคือบ้านคุณหลวงชิตซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงผม และคุณเสรียงก็เป็นน้อยจริงตามที่คุณว่า”
โชติล็อค โฮล์มส์เงียบอยู่ครู่
“แต่คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณเสรียงเสียชีวิตในเรือนนั้น”
คุณยาย “...........”

“นั่นเพราะวันนั้นคุณกับคุณหญิงรวมถึงบ่าวบ้านใหญ่ลงมือฆ่าคุณเสรียงใช่หรือไม่”
คุณยายอ้าปากจะพูด แต่คุณตาไม่ปล่อยนาทีทอง ด้วยต้องการเค้นให้จนมุมจำต้องพูดในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูดแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะมันเป็นการหมิ่นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว
“คุณมันก็อำมหิตไม่แพ้คุณอมรา ร่วมกันฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ลงคอ ไม่ใช่สิต้องบอกว่าคุณอมราต่างหากที่อำมหิตผิดมนุษย์
เสียทีเกิดเป็นลูกพระน้ำพระยาจิตใจกลับต่ำตมสกปรก หน้าใสใจคด ฆ่าเพศเดียวกันได้ลงคอ เสียทีเกิดเป็นคน
ไม่รู้ว่าคุณลุงไปคว้ามาทำเมียได้ยังไง”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณโชติ!" หญิงชราตะโกนเสียงแหบหอบและถี่พอกันตามสภาพวัย "ต่อให้เป็นคุณก็ไม่มีสิทธิ์ว่าคุณท่านทั้งสอง
ถึงคุณหญิงจะพลั้งมือฆ่านังนั่นจริงแต่ก็สาสมกับความมักมากของมันแล้ว ฉันแสนยินดีเหลือเกินที่นังเสรียงมันตายๆ ไปซะได้
คุณหลวงท่านจะได้ตาสว่างกลับมาครองคู่กับคนที่คู่ควร กลับมาอยู่กับคุณหญิง กลับมาให้โฉมปรนนิบัติ ไม่ใช่อีนังกาลกิณีนั่น!
มันสมควรตายแล้ว”

ดวงตาเล็กหรี่เปี่ยมไปด้วยความแค้น ทุกร่องรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความปรีดาดูน่าหวาดหวั่น

เอาล่ะปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว ถึงตาฉันใส่บ้างล่ะนะยายแก่โรคจิต... พี่เตยลุกพรวดเตรียมจัดหนัก แต่คุณตายกมือปรามไว้อีก
มือแห้งเล็กนั้นสั่นอย่างอ่อนแรก

“อย่าบอกนะ...” คุณตาเอ่ยเบาๆ แต่คุณยายโฉมนั่งนิ่งไม่พูดจา ความเงียบปกคลุมห้องรับแขก ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นานจนพี่เตยรู้สึกอึดอัด
อะไร... เกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจวุ้ย สักพักคุณตาถึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงจนพี่เตยงง กำลังได้เปรียบ
ทำไมต้องยอมอ่อนข้อให้ด้วยล่ะคุณตา? ด่าต่อสิ

“คุณโฉมเอ้ย เรื่องราวมันก็ผ่านมานานแล้ว ซากเก่าที่หลงเหลือจากอดีตก็มีแค่เราสองคน ความผิดใดแต่หนหลังก็อโหสิกรรมกันเถอะนะ
คุณดูเด็กคนนี้นะ (ตั้งใจ) แกน่าเอ็นดูใช่มั้ยล่ะ? ผมว่าแกหน้าตาคล้ายคุณชิตอยู่นะ”

หือ!? อะไรนะ พี่เตยสะดุ้งวาบ ลูกอิชั้นหน้าเหมือนคุณหลวงชิต? ไปเป็นญาติกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีทางล้านเปอร์เซ็นต์
คุณตาเอาอะไรมาพูดหรือที่ชวนน้องตั้งใจมาเพราะจุดประสงค์บางอย่าง? โอ้ยปวดกบาล
“เถอะนะคุณโฉม เล่าให้ฉันฟังเถอะว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ฉันขอร้อง” เสียงคุณตาวิงวอน
ยายโฉมพยายามเพ่งน้องตั้งใจ หล่อนยื่นหน้ามาใกล้จนตั้งใจกลัว ภายในดวงตาเล็กๆ มีน้ำใสๆ ปริ่มอยู่
ครู่ใหญ่เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือความยินดีมากกว่าเศร้าโศก ดูน่าขนลุกสุดสะพรึง

“คุณหญิงไม่ได้ตั้งใจ ท่านเห็นนังนั่นกุมแพรผืนหนึ่งไม่ยอมปล่อย พอทราบถึงที่มาก็บันดาลโทสะพลั้งมือเอาแจกันทุบไปที่หัวนังนั่นอย่างแรง
แพรที่มันรักนักหนาร่วงหลุดมือพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของมันที่ล้มลงไปกองกับพื้น อ่าาาาา... ฉันจำได้ดีเลือดที่ไหลออกมา
ย้อมแพรสีขาวผืนนั้นกลายเป็นสีแดง”

..................................................................................

“คุณหญิงท่านเคยเมตตาให้มันเก็บของออกไปจากชีวิตคุณท่าน มันก็ยังดื้อด้านอยู่ สำรอกมาได้ว่าจะอยู่อย่างเจียมตน ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง...
คุณหญิงท่านดูตระหนกนะที่พลั้งมือฆ่านังนั่น แต่ก็เป็นฉันนี่ล่ะที่บอกว่าอย่าไปรู้สึกผิดกับการลงทัณฑ์คนชั่ว อ่าาา... รู้สึกดีจริงๆ
ตอนที่เห็นมันล้มลงไปกองกับพื้น ไม่น่าเชื่อว่าเลือดชั่วของมันจะมากพอย้อมแพรสุดรักสุดหวงของมันให้กลายเป็นสีแดง ฮิฮิ”

พี่เตยชะงักงันไป ไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงชราท่าทางไม่มีพิษสงจะพูดอะไรอำมหิตแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย
และรู้สึกสะดุ้งทุกครั้งเมื่อตาเล็กหรี่เหลือบมามอง พี่เตยคว้าตั้งใจเข้ามาโอบเกรงเหตุมิดีมิร้าย ส่วนคุณโชติก้มหน้ามองไปที่พื้น
บ่นงึมงำเบาๆ อยู่คนเดียว "โธ่... ไม่น่าเลยคุณเสรียง"

ยายโฉมไม่ดูเหมือนเป็นผู้จนมุมในเกมส์นี้ สีหน้ายิ้มเยาะอย่างสะใจ ยิ่งเห็นผู้ชนะเศร้าโศกยิ่งเปี่ยมสุข
“แต่ก็อาจจะดี" คุณตาพูด "เธอจะได้พ้นทุกข์พ้นโศกเสียสี ขอให้ไปสู่สุขคติเถิดนะคุณเสรียง”

คุณตายังคงพร่ำอธิษฐานซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ก้มหน้าหลบสายตายายโฉม อาจเพราะต้องการซ่อนน้ำตารึไม่ไม่มีใครทราบ
นั่นยิ่งทำให้หญิงชราได้ใจ เธอแผดเสียงแหลมยานคางน่ากลัว

“ฮิ... ฮิ... ฮิ... คิดแบบงั้นรึคุณโชติ? มันเป็นแบบนั้นแน่รึ? คิดว่านังเสรียงที่คุณรักนักหนาจะได้สุขสบายง่ายดายขนาดนั้นเลยรึ? ฮิ... ฮิ... ฮิ”
“ป่านนี้เธอคงไปเกิดใหม่แล้วกระมัง” คุณตาพูดเบาๆ
“ไม่” ยายโฉมตอบ “มันไม่มีทางได้ไปเกิดง่ายๆ หรอก คุณหญิงท่านแค้นมันเกินกว่าจะปล่อยให้ไปสบายแบบนั้น”
“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณหญิงทำอะไรกับคุณเสรียง? ของแบบนั้นมันมีแต่ในละครนะคุณโฉม”
“มาถึงขั้นนี้คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ใจคุณ”

“พอๆ พอกันที ไม่ต้องเล่าอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากฟัง! เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น” คุณตาเบือนหน้าหนี
“ฮิ... ฮิ... ฮิ ไหนแต่ก่อนคะยั้นคะยอถามฉันอยู่ออกบ่อย... ฟังเถิดค่ะ วันนี้ฉันจะเล่าให้ฟัง ฉันนี่ล่ะเป็นคนแนะนำหมอเขมรมา
ทำพิธีสะกดวิญญาณนังเสรียงนั่น”
“คุณโฉมพอได้แล้ว!” คุณตาลุกขึ้นยืนโงนเงนไปมา แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ คุณยายยังคงเล่าต่อด้วยความสะใจ
“คุณหญิงท่านเห็นชอบด้วย จึงจ้างหมอเขมรทำพิธีสะกดวิญญาณมันไว้ที่บ้านหลังนั้น โดยเอาของที่มันรักนักหนาแบ่งเป็นสามส่วน
แยกกักวิญญาณไว้สามจุด ต่อให้ใครเผลอปลดผนึกไปเสียอันก็ไม่มีทางปล่อยวิญญาณมันได้
สมน้ำหน้ามันริอาจมาแย่งคุณหลวงของคุณหญิง... คุณหลวงของฉัน ฮิ.. ฮิ... ฮิ”

“แล้วหมอเขมรฝังไว้ตรงไหนบ้างล่ะ”

คุณตาถามกลับเสียงราบเรียบ น้ำเสียงเกือบเป็นปกติของคุณตาโชติทำให้ยายโฉมหันไปมองด้วยความสงสัย
และจากความสงสัยก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ
“ฉันไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่บอกหรอก นังเสรียงมันต้องอยู่ที่นั่น ไม่ได้ไปผุดไปเกิดชั่วกัปชั่วกัลป์!”

คุณตายืดตัวตรง แววตาบ่งบอกถึงความเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ไม่มีคราบน้ำตาซ่อนอยู่อย่างที่หญิงชราคาดคิด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หลังจากที่หาคำตอบมานานในที่สุดผมก็รู้จนได้ สิ่งที่คุณกับคุณหญิงทำมันเลวร้ายเหลือประมาณ โลภะ โมหะ ราคะ
มันกัดกินคุณจนไม่เหลือความเป็นคน ถึงได้กล้าทำสิ่งอำมหิต วิปริต จิตสกปรกร่วมกับนายแบบนั้น
เชิญเก็บความลับนั่นไว้กับตัวจนตายเถอะคุณโฉม ตายไปพร้อมกับความโดดเดี่ยวอันหนาวเหน็บ จงจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีคนคะนึงถึง
ลาลับไปพร้อมตราบาปในใจตัวเอง ต่อให้คุณไม่บอก ผมก็ต้องหาทางปลดปล่อยวิญญาณคุณเสรียงให้ได้แม้ต้องทุบบ้านบรรพบุรุษหลังนั้นทิ้ง”

ยายโฉมอ้าปากค้าง โกรธจัดจนใบหน้าเขียวคล้ำ เปล่งได้เพียงคำสั้นๆ “แก... นี่แก"

“ไปเถอะแม่หนู เราได้รู้ในสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว แต่ถ้าอยากพูดอะไรกับคุณโฉมสักนิดก็เชิญตามสบาย ตาจะรอตรงนี้”

พี่เตยได้ยินก็ยิ้มแก้มปริ โอ้ย ปล่อยให้รอตั้งนานนะคุณตาขา เธอหันไปมองหญิงชราด้วยแววตารังเกียจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูด

“ไม่ดีกว่าค่ะ... คุณตาด่าแทนไปเรียบร้อย เป็นหนูนะถ้าต้องทำอะไรยิ้มแบบนั้นสู้คงเอาหัวโขกฝาบ้านตายไปซะดีกว่า เราไปกันเถอะค่ะ
เดี๋ยวเชื้อชั่วจะติดตัวเอา”

ทั้งสามเดินออกมาจากบ้าน ไม่สนใจเสียงยายโฉมหอบอย่างรุนแรง ไม่สนว่าแกจะเป็นตายร้ายดียังไงอีกต่อไป...
ตลอดทางเดินกลับบ้านคุณตาเงียบขรึมไม่พูดจาจนพี่เตยไม่กล้าถาม ทั้งที่คันปากเมือนคนอ่านว่า
สรุปยายโฉมกิ๊กกั๊กกับคุณหลวงอะไรนั่นจริงหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเรื่องการหักเหลี่ยมเฉือนคมเพื่อตามล่าหาความจริงนั่นอีก
นำมาซึ่งการเอ่ยอ้างว่าน้องตั้งใจมีส่วนละม้ายคล้ายกับคุณหลวงชิต ชายผู้มีชีวิตเมื่อเจ็ดแปดสิบปีก่อน พี่เตยก้มมองหน้าตั้งใจ
เอ หรือว่าตั้งใจจะเป็นคุณหลวงกลับชาติมาเกิด ไม่นะ...

เมื่อกลับถึงบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำผู้ต้องหาไปแล้ว พี่ดินเข้ามาสอบถามภรรยาว่าได้ความอะไรบ้าง
พี่เตยบอกได้แค่ว่าสิ่งที่คุณตาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง สักพักคุณตาโชติเดินเข้ามาถามว่าตกลงจะขายบ้านหลังนี้คืนใช่มั้ย
ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้เค้าจะให้ช่างเข้ามารื้อ ส่วนที่อยู่ไม่เป็นปัญหา คุณตาจะจัดการให้

ถึงแม้ว่าเพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งลี้ลับ แต่จะให้อยู่กับผีสางต่อไปก็ทำใจลำบาก ในที่สุดมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะขายคืน
แต่พี่เตยบอกคุณตาว่า ไม่อยากให้ทุบบ้านทิ้ง เสียดายบ้านเก่าแก่ของบรรพบุรุษ ถ้าอยากจะหาจุดที่หมอเขมรฝังบางสิ่งไว้เพื่อกักขังวิญญาณคุณเสรียงจริง ก็ไม่น่าจะยากจนเกินความสามารถของทุกคน เพราะอย่างน้อยมีแน่ๆ หนึ่งจุด คือในห้องนอน

เจ้าบ้านใหม่พาเจ้าบ้านเก่าไปดูตำแหน่งที่พูดถึง ซึ่งตอนนี้พี่ดินคนขยันอุดรูไปเรียบร้อย ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า ทุบซะ
ชะแลง ค้อน บรรจงทุบโป๊กๆ กะเทาะปูนออกมาทีละน้อย หลังจากยกแผ่นปูนขึ้นมา ปรากฏว่ามีบางสิ่งถูกฝังอยู่ใต้ปูนจริงๆ
เป็นกล่องกำมะหยี่สีกรมท่าขนาดสิบห้าคูณสิบห้าเซนฯ (ประมาณกล่องกำไล) ซุกซ่อนอยู่ใต้ปูน
มุมด้านหนึ่งมีชายผ้าสีแดงฉีกห้อยอยู่ดูแล้วน่าขนลุก

พี่ดินถามว่าจะเปิดเลยจริงเหรอ ต้องทำพิธีอะไรหรือเปล่า? คุณตาบอกไม่เป็นไร เราไม่ได้ประสงค์ร้ายเพียงแค่อยากปลดปล่อย
ดวงวิญญาณของผู้ถูกจองจำด้วยจิตบริสุทธิ์ คุณตายกมือไหว้ขอขมาจาก จากนั้นเปิดเปิดฝาออก…
ภายในมีเศษผ้าสีแดงถูกมัดเป็นก้อนกลมๆ พันด้วยสายสิญจน์ด้วยเงื่อนแปลกๆ กึ่งกลางเงื่อนตรึงด้วยหมุด ทันทีที่คุณตาแกะหมุดและสายสิญจน์ ทุกคนต่างได้กลิ่นน้ำอบฝาดๆ ลอยคละคลุ้ง ลูกหลานที่มาพร้อมคุณตาถึงกับผงะ เมื่อคลี่ออก ปรากฏว่าผ้าผืนนั้นเป็นสีแดงชาดคล้ายสีเลือด

“เอาล่ะ... เหลืออีกสอง”

คุณตาเปรยเบาๆ จากนั้นก็มานั่งสอบถามว่าเคยเจออะไรแปลกๆ ที่ตรงไหนอีกบ้าง พี่ดินกับพี่เตยนั่งปรึกษากัน
‘ใช้หมอง... นั่งมาธิ’ คิดอยู่นาน สุดท้ายโมริ โคโก่โร่กับโคนันคุงฟันธงตรงกันว่า มันต้องอยู่ชั้นบน... ในห้องปิดตาย

ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายแก่ อากาศเริ่มมืดครึ้มได้ฟีลลิ่งดีชะมัด คณะพันธมิตรแห่งแหวน เดินขึ้นชั้นบนตรงไปห้องที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย
เข้าไปที่ตู้เก่าซึ่งด้านในมีของวางระเกะระกะ และมันดูง่ายไปมั้ย ด้านในมีกล่องกำมะหยี่ลักษณะคล้ายกันอยู่จริงๆ
เมื่อเปิดออกด้านในว่างเปล่า... นั่นไงโชว์หราแบบนี้มันง่ายไป ทั้งหมดช่วยกันรื้อตู้อยู่นานก็ไม่พบอะไรที่ดูแปลกปลอม
พี่เตยบอกว่ามันไม่น่าจะซ่อนอยู่ในตู้นะ เกิดวันดีคืนดีมีคนซื้อไปก็แย่สิ สรุปคิดว่ามันไม่น่าอยู่ในตู้ แต่มันต้องอยู่ในห้องนี้ล่ะ คิดสิคิด...

ปิ๊ง! คิดออกแล้ว พี่เตยให้ทุกคนตั้งแถวหน้ากระดานจากนั้นเดินพร้อมๆ กันจากฟากหนึ่งไปอีกฟาก พี่ดินถามว่าทำไม พี่เตยตอบว่า
“คืนแรกๆ ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนอะไรเคลื่อนที่สักอย่าง ลองดูไม่เสียหาย”
แถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งออกเดินพร้อมๆ กัน เดินไปได้สัก ๔ ก้าว ทุกคนได้ยินเสียงเอี๊ยด ดังมาจากใต้ฝ่าเท้าพี่ดิน มติเป็นเอกฉันท์ แงะซะ
โป๊กๆๆ ชั่วครู่แผ่นไม้ถูกงัดออกมา อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น มีกล่องกำมะหยี่ซุกอยู่ใต้พื้นไม้จริงๆ เมื่อเปิดออก
ภายในมีผ้าสีแดงม้วนกลมหยาบๆ มัดด้วยสายสิญจน์เช่นกัน คุณตาทำแบบครั้งก่อน พนมมือไหว้แล้วปลดพันธนาการ พอแกะปุ๊บ
ทุกคนได้กลิ่นน้ำอบฝาดๆ ปั๊บ

เอาล่ะ เหลืออีกเพียงจุดเดียวเท่านั้น พี่ดิน พี่เตยนั่งจ้องหน้ากันต่อ 'ใช้หมอง... นั่งมาธิ'

พี่ดินบอกว่าหรือจะฝังไว้นอกบ้าน อาจจะตามโคนต้นไม้ต่างๆ หลานคุณตาสองคนรับแอสไซน์ไปทันที ลงไปขุดดินโป๊กๆ ตามจุดต่างๆ
พี่เตยกลับนั่งคิดเงียบๆ อันที่จริงหากทำใจเชื่อเข้าสักหน่อย ที่ครอบครัวตนรอดจากเภทภัยมาได้ก็เพราะคุณเสรียงนั่นล่ะ
ควรจะต้องขอบคุณเป็นการใหญ่ หากเรื่องที่ได้ฟังมาเป็นความจริง เธออยากจะช่วย เหมือนที่เคยได้รับการช่วยเหลือ พยายามใช้ความจำ
อันเป็นสิ่งที่ตัวเองมั่นใจที่สุด...

'ฉันต้องหาแพรชิ้นสุดท้ายให้เจอให้จงได้ ขอเอาชื่อคุณปู่เป็นเดิมพัน!'
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว!
คืนวันนั้น ในตอนที่ฟังคุณกิตติ สิงหาคม รายงานสดวิกฤตวายทูเคแล้วหลับไป คุณเสรียงก็มาปรากฏกายให้เห็นแบบฟูลเอชดี
พร้อมช่วยกล่อมน้องตั้งใจที่นอนกระสับกระส่ายตลอดคืน หลังจากนั้นพี่เตยก็หมดสติ คืนเดียวกันนั้นก็ฝันเห็นคุณเสรียงยืนอยู่บนชานพักบันได
พูดขมุบขมิบอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง

ฟันทิ้ง! สิ่งนั้นมันต้องอยู่แถวๆ บันได หรือไม่ก็ใต้บันได คุณสามีที่รัก หยิบค้อนธอร์ เอ้ย! ค้อนปอนด์และชะแลงตามลงไปด่วน
ทั้งหมดก้าวลงไปช้าๆ บริเวณชานพักไม่มีอะไรผิดปกติ ฉะนั้นมันต้องอยู่ข้างใต้ พี่ดินกำค้อนแน่น ใจคิดถึงหน้านายโตและนายเล็ก
ฟาดค้อนลงไปที่พื้นปูนใต้บันได โป๊ก! จากนั้นเงื้ออีก นึกถึงหน้านายณเดชแล้วฟาดดัง โป๊กก! เศษปูนกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
สุดท้ายนึกถึงหน้าอาจารย์บุญ แล้วหวดลงไปเต็มแรงอีกครั้ง โป๊กกก!! ปูนกะเทาะออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ เมื่อยกเศษปูนขึ้นมา
พบกล่องกำมะหยี่ฝังอยู่ข้างใต้ จึงแงะๆ แซะๆ ขึ้นมาส่งให้คุณตาโชติ

คุณตาค่อยๆ แกะออกช้าๆ ภายในบรรจุผ้าสีแดงเกรอะกรัง เมื่อดึงหมุด ปลดสายสิญจน์คลี่ออก น้ำตาคุณโชติถึงกับไหลซึมออกมา
เมื่อเห็นตรงชายผ้าสลักอักษร ‘CS’

กลิ่นหอมจางโชยไปทั่วบ้าน อบอวลอยู่ราวนาที กลิ่นก็จางหายไปอย่างแปลกประหลาด คุณตายืนน้ำตาซึม เหมือนย้อนไปเป็นเด็กเก้าขวบ
พร่ำพรรณา
“สู่สุขคติเถิดนะ ผมทำตามสัญญาแล้ว”

หลานๆ เข้าไปปลอบถามว่าเป็นอะไร คุณตาโชติบอกว่าให้ลงไปคุยกันข้างล่างทีเดียว ทั้งหมดเดินลงมาสมทบกันคนที่เหลือ
คุณตาชวนทุกคนมาล้อมวงอยู่กลางบ้าน โดยมีตนเองนั่งเป็นประธานอยู่ตรงกลาง จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังอีกครั้ง
หลานๆ รู้ว่าคุณตาชอบเปรยถึงคนชื่อเสรียง แต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ทุกครั้งบอกแค่ว่าเป็นญาติคนหนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใดๆ
มาถึงวันนี้จึงแจงว่าเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันหลายฝ่าย ทั้งญาติผู้ใหญ่สายคุณลุงชิต และสายคุณป้าอมรา อีกทั้งใครๆ คงรู้สึกไม่ดีต่อคุณเสรียง เพราะคำว่า ‘เมียน้อย’ ค้ำคออยู่ เป็นจำพวกแย่งสามีชาวบ้านทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ แต่เพราะสถานการณ์พาไป กอปรกับสมัยก่อนคนเป็นลูกแทบจะไม่มีโอกาสขัดคำพ่อและแม่ เป็นดั่งประกาศิต ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ อยากยกให้ใครก็ไม่อาจเลี่ยง ทำได้แค่รับสภาพ
คุณเสรียงเป็นเหยื่อหนึ่งเดียวในโศกนาฏกรรมครั้งนั้น

ระหว่างที่คุณตากำลังแฟลชแบ็คให้หลานๆ ฟัง พี่เตยซึ่งรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วก็หันไปสะกิดสามี แล้วสอบถามต่างๆ นาๆ เป็นต้นว่า
มีญาติข้างไหนเกี่ยวดองกับคุณตาบ้างรึเปล่า จากนั้นขอโทษขอโพยสามีก่อนกระซิบถามเบาๆ ว่าหรือมีญาติห่างๆ รุ่น ย่า ยาย ทวด
เคยเล่าเรื่องอะไรแปลกๆ ให้ฟังมั้ย? พี่ดินฟังก็งง ถามกลับว่าทำไม มีอะไร พี่เตยจึงเล่าเรื่องน้องตั้งให้สามีฟัง

“ตอนไปบ้านยายโฉมอะไรนั่น แกก็จ้องตั้งใจใหญ่เลย แถมคุณตาเองก็บอกว่าลูกเรามีส่วนคล้ายกับคุณหลวงชิตอะไรนั่น ฉันเลยอยากรู้ว่า
คุณชิตเจ้าจอมชู้นั่นไปไข่ไว้ที่ไหนอีกรึเปล่า?”

สามีได้ยินก็จุ๊ๆ ว่าแล้วก็นั่งคิดอยู่สักพัก แต่ก็จนใจเพราะจำไม่ได้จริงๆ สองสามีภรรยามองหน้าตาลูกชายด้วยความฉงน
ไอ้เรื่องกลับชาติมาเกิดนี่มันนิยายมากๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ พี่ดินนิ่งไปพัก จึงหันถามลูกน้อย

“ตั้งใจครับ... จำวันแรกที่คุณพ่อพามาที่บ้านนี่ได้มั้ย?”
เด็กสามขวบเศษตอบว่าจำได้ เอาล่ะ เด็กไร้เดียงสาเป็นผ้าขาวที่ไม่น่าจะโกหกอะไร พี่ดินถามต่อ
“ทำไมตั้งใจถึงบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ครับ”
เด็กน้อยนิ่งอยู่พักแล้วตอบคุณพ่อ
“หนูเห็นผู้หญิงยืนอยู่บนชั้นสอง”

สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากัน... ถามต่อว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่งตัวยังไง แต่เด็กน้อยสามขวบเศษพูดยังไม่สู้จะชัด
สมาธิก็สั้น ไม่สามารถถ่ายทอดอะไรได้มากนัก ประโยคสุดท้ายที่หลุดออกมาก่อนหันเหความสนใจไปสู่จุกนมคือว่า
“พี่เค้าร้องไห้อยู่... หนูกลัว”
พอดีกับที่คุณตาเล่าจบ ทุกคนจึงหันเหความสนใจไปที่เศษผ้าแดงกระดำกระด่างทั้งสามชิ้น สองในสามเป็นสีแดงเกือบเต็มผืน...
ยังมีปริศนาบางอย่างที่ขบไม่แตก แต่ไม่สามารถไปหาความจริงได้จากที่ไหน พี่เตยจึงตัดสินใจถามคุณตาตรงๆ
ว่าลูกชายตนหน้าตาคล้ายคุณหลวงจริงหรือ คุณตาหันไปมองเด็กน้อยที่กำลังดูดนมอย่างเพลิดเพลิน

“ตาพูดไปอย่างนั้นเอง เพื่อทำให้ยายโฉมไขว้เขว ก็ไม่รู้ว่ายายโฉมเคยเห็นภาพคุณหลวงตอนยังเล็กหรือเปล่า เพราะภาพถ่ายมีนับใบได้
แต่เป็นอันว่าเราก็ลวงสำเร็จ” คุณตาตอบ
พี่เตยโล่งอก... แต่โล่งได้เพียงสามวิฯ เศษๆ เมื่อคุณตาพูดต่อ
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีส่วนคล้ายนะ” เขายิ้มพราย

เออะ... คืออะไรอ่ะ พูดเป็นปริศนาอีกแล้ว บอกเถอะ คนอ่านอยากรู้ แต่คุณตาก็ไม่พูดอะไรต่อ บรรจงเก็บผ้าทั้งสามผืนพับอย่างดี
พร้อมนำไปทำพิธีทางศาสนาต่อไป เห็นอักษร ‘CS’ น้ำตาก็ซึมอีก เมื่อไม่มีใครกล้าถาม จำต้องเป็นหน้าที่ของเตยตลาดสดอีกจนได้
“คุณตาดูรักคุณเสรียงมากเลยนะคะ”

คุณตายิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อย “อย่างที่ตาเคยบอกเลย คุณเขาเป็นคนดีมากกว่าใครที่ตาเคยรู้จัก นั่นเรียกว่าความเคารพรัก
คุณเขาเอ็นดูตามากเหลือเกิน คุณแม่ของตาท่านก็ทราบ ไม่อย่างนั้นจะไว้ใจปล่อยลูกชายเทียวไปเทียวมาได้อย่างไร
คุณแม่ท่านไม่ได้ปล่อยตามาเพราะคุณหลวง แต่เพราะคุณเขาต่างหาก ท่านสงสารคุณเสรียงนัก แต่หลังเกิดเรื่อง คุณแม่เกรงอิทธิพลเจ้าคุณพ่อของคุณอมราเอามาก ลือกันว่าบ่าวคนสนิทที่เจ้าสัวส่งมาดูแลลูกสาวก็หายตัวไปอย่างลึกลับ แม้กระทั่งห้างร้านของเจ้าสัวเองยังถูกตำรวจสันติบาลเข้าค้นอยู่บ่อยๆ บ้างโดนข้อหาว่าลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายเสียอย่างนั้น คุณแม่จึงจำต้องส่งตาไปเรียนประจำ ตาเลยไม่รู้ว่าคุณเขาเป็นตายร้ายดียังไง เพิ่งมารู้ความจริงในวันนี้นี่เอง น่าสงสารเหลือเกิน...”

ทุกคนอึ้งไปกับเรื่องที่ได้ยิน คุณตาพูดต่อ “เอาล่ะ... พวกหลานคงต้องกลับไปทำงานทำการกันแล้ว ก่อนไปเข้ามากราบลาป้าน้อยกันก่อน”

คุณตาเปิดกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว หยิบรูปถ่ายขาวดำที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในออกมาวางบนแพรสีแดง ภาพนั้นเป็นภาพพอทเทรดหญิงสาว
หน้าตาสะสวยในชุดลูกไม้ เป็นลักษณะการแต่งกายของสตรีในรัชกาลที่ ๖ - ๗ เพียงแต่เธอไม่เกล้าผม ไม่ซอยสั้น ไม่ดัดเป็นลอนตามสมัยนิยม
ผมยาวสลวยดุจเส้นไหมปล่อยยาว แววตาบ่งบอกถึงความเป็นคนเข้มแข็ง

คุณพี่เตยเห็นภาพดังกล่าวก็อ้าปากค้าง คุณพระคุณเจ้า คนเดียวกับที่มาร้องเพลงกล่อมลูกชายชัดๆ ขนแขนสแตนอัพพึ่บพั่บ...

หลังเสร็จธุระ หลานบางคนขอตัวกลับไปทำงาน เหลือหลานสนิทเพียงคนเดียว เรื่องลี้ลับจบไปแล้วมาเข้าในส่วนของธุรกิจ
โดยคุณตาจะซื้อบ้านคืนพร้อมจ่ายค่าทำขวัญให้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยทีเดียว พร้อมกับเป็นธุระจัดการเรื่องสัญญาให้เรียบร้อย
หลังจากนั้นจะเก็บบ้านไว้อย่างเดิม หรือจะรื้อค่อยตัดสินใจอีกที หลังจากคุยธุระเสร็จก็ค่ำพอดี คุณตากับหลานจึงขอตัวกลับ
แต่มีบางอย่างดลใจให้พี่เตยบอกคุณตาว่า

“คุณตาคะ หนูอยากฟังเรื่องของคุณเสรียงอีก ไหนๆ เราก็จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว มาคุยกันต่ออีกสักหน่อยได้มั้ยคะ”

คุณตายิ้ม นั่งบนเก้าอี้ เล่าความทรงจำวัยเด็กให้ทุกคนฟังอย่างเปี่ยมสุข... เล่ากันอยู่นานจนทั้งคนเล่าและคนฟังหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

พี่เตยลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกแสงแดดมากระทบหางตา มีเสียงเหมือนโมบายกระดิ่งลมดังเบาๆ ผสมกับท่วงทำนองบางอย่างชวนเคลิ้ม
เธอลุกขึ้นนั่ง หันไปมองรอบตัว บ้านมือสองที่เคยเก่าคร่ำคร่า ตอนนี้ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ฝาบ้านที่เป็นไม้สักถูกขัดจนมันวาว
โคมระย้าใหญ่ยวงห้อยจากเพดาน ส่องแสงสีส้มนวล หน้าต่างทุกบานติดม่านลายดอกสวยงาม
(เทสช่างห่างกับผ้าม่านลายเบ็นเท็น+ลายโดราเอม่อน ที่พี่เตยเหมามาจากห้างสรรพสินค้าสุดๆ)

เครื่องเรือนหลายชิ้น หรือชุดรับแขกไม่ใช่สิ่งที่พี่เตยเคยเห็น แต่กลับรู้สึกคุ้นตาเอามากๆ โสตประสาทได้กลิ่นหอมหวลรัญจวนใจ
จุดกำเนิดกลิ่นอยู่ห่างออกไปตรงหน้า บนตั่งไม้ (ที่คุ้นตาอีกแล้ว) มีสุภาพสตรีนางหนึ่งนั่งพับเพียบอยู่ ใบหน้าคมขำ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น
เธอกระโจมอก คลุมไหล่ด้วยแพรสีขาวมุก บริเวณเนินอกขาวจั๊วะดุจหยวกกล้วย เนียนเรียบไร้ริ้วรอย ดูมีเซ็กส์แอพพีลสุดๆ
ไม่แปลกใจเลยที่คุณหลวงจะหลงใหลได้ปลื้มเอามากๆ ใกล้กันมีเด็กชายนอนเคลิ้มอยู่ มือของหญิงสาวลูบศีรษะเด็กชายอย่างทะนุถนอม
พี่เตยเห็นก็สะดุ้ง ‘ลูกแม่!’ แต่เมื่อพินิจให้ดี ถึงจะคล้ายกันแต่เด็กชายไม่ใช่น้องตั้งใจ เป็นคนอื่น โตกว่าพอสมควร
เขานอนจ้องหน้าพี่เตยด้วยสีหน้าตระหนกเช่นกัน

ท่วงทำนองแผ่วเบาที่ผสมผสานกับโมบายกระดิ่งดังว่า
“เจ้านกกาเหว่า(เอย) ไข่ไว้... ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก(เอย)... นึกว่าลูก... ในอุทร คาบข้าวเอามาเผื่อ(เอย).. ไปคาบเหยื่อเอามาป้อน”
เออะ... ฟังคุ้นๆ นะ แต่กลับไม่รู้สึกหวาดเหมือนคราวก่อน เสียงพี่เตยที่หลุดออกมาทำให้เพลงกล่อมเด็กหยุดลง

“คุณเสรียง?”

เจ้าของใบหน้ากลมเกลี้ยงเงยขึ้นมามอง พี่เตยจ้องกลับแล้วยิ่งทึ่ง คนอะไรสวยจริงๆ ยังกับนางในวรรณคดี เธอพยักหน้าให้พี่เตย
“คุณคงมีเรื่องสงสัยหลายประการ?” หญิงสาวพูดต่อ “ก็อย่างที่ได้ยินได้ฟังมา ชีวิตดิฉันผกผันเหลือเกิน”
เพียงแค่ประโยคเริ่มต้น พี่เตยก็รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเข้มแข็งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงฟูมฟาย
ใช้คำว่ารันทดหรือไม่ก็อาภัพรักเรียกคะแนนสงสาร

“ในวันนั้น วันที่ดิฉันลาลับ วิญญาณถูกจับแยกออกเป็นสามส่วน ผนึกลงฮอร์ครักซ์ (ผ้าแพร) จองจำดิฉันไว้ยาวนานเจ็ดสิบกว่าปีจนมาพบพวกคุณ”
“เห็นคุณตาบอกว่าคุณไปเข้าฝัน ทำไมไม่บอกว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นล่ะคะ คุณตาจะได้ปลดปล่อยเสียตั้งเนิ่นนาน”
“ทำไม่ได้” คุณเสรียงถอนหายใจ

“มนต์ดำที่กักดิฉันนั้นเข้มขลังนัก กว่าที่จะเกิดความผิดพลาดก็ล่วงไปเจ็ดสิบปี กาลเวลาที่ยาวนานก่อให้ผนึกอันหนึ่งเกิดเสียหายเล็กน้อย
ชายผ้าหลุดจากหมุดอาคมช่วงใกล้กับที่สามีคุณจะมาซื้อเรือนหลังนี้ นั่นเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดสิบกว่าปีที่ดิฉันสามารถปรากฏกายได้...
ปรากฏในฝันของตาโชติ นั่นคงทำให้เขาคิดว่าดิฉันยินดีขายเรือนหลังนี้ แต่อันที่จริงดิชั้นมีเพียงรูปกาย สื่อสารได้เพียงสีหน้าเท่านั้น
ไม่อาจบอกอะไรได้จนวันแรกที่พวกคุณย้ายเข้ามาอยู่และเผลอทำปูนแตกจนเผยด้ายเส้นหนึ่งที่ทอมาจากผืนแพร แล้วสามีคุณดึงจนขาด
นั่นเป็นการปลดเปลื้องเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณดิฉันอย่างแท้จริง”

เออ... งงวุ้ย พี่เตยคิดในใจ แต่ก็นั่งฟังต่อ

“ดิฉันพยายามปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม และต้องขอโทษด้วยที่แกล้งลูกชายคุณในคืนต่อมา เพราะเห็นหน้าตาท่าทางแล้วหมั่นเขี้ยวชอบกล คงเพราะลูกคุณมีส่วนคล้ายคลึงเจ้าตัวแสบคนนี้”

คุณเสรียงหันกลับไปมองเด็กชาย เด็กชายก็ยิ้มตอบ “แต่เพราะความซุกซนของดิฉันนำมาซึ่งความวุ่นวายหลายประการ
ชักพาคนพาลเข้าสู่ชีวิตคุณ ดิฉันต้องกราบขออภัยอีกครั้ง” คุณเสรียงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ดิฉันไม่มีอำนาจพอจะช่วยเหลือคุณได้ทันท่วงที ทำได้แค่รอ... รอจนกว่าตาโชติจะหลับถึงบอกว่าภัยมาเยือน
และต้องรอกว่าน้องสาวคุณสลบ ถึงถือวิสาสะยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้”

พี่เตยเริ่มปะติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน “แต่หนึ่งในคนที่ทำร้ายคุณในอดีตยังมีชีวิตอยู่”

คุณเสรียงส่ายศีรษะ “ดิฉันไม่แค้นเคืองใครอีก ไม่ประสงค์เอ่ยนามคนผู้นั้นให้เป็นบ่วงพัวพันกันไปถึงภพภูมิหน้า ดิฉันอโหสิกรรมให้เขานานแล้ว”
“แม้ว่าเขาทำร้ายคุณถึงขนาดนั้น? ทั้งที่เขาคิดคดกับคุณมาตลอด? และฉันแน่ใจว่าเครื่องเรือนหลายชิ้นรวมถึงตั่งที่คุณนั่ง
ตอนนี้อยู่ที่บ้านยายโฉมทั้งหมด คุณคงไม่ได้ยกให้คนที่ร่วมกันทำร้ายคุณหรอกมั้ง?”

คุณเสรียงนิ่งอยู่ครู่ ยิ้มน้อยๆ
“ดิฉันไม่เสียดายหรอกค่ะ สิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนเครื่องเตือนให้ดิฉันเห็นถึงทุกข์มากกว่าสุข”
เสียงโมบายกระดิ่งยังคงส่งเสียงเบาๆ

“ดูเหมือนคุณตาจะรักคุณมาก” พี่เตยถามต่อ
คุณเสรียงยิ้ม “ดิฉันเองก็เอ็นดูเขามาก ใจก็อยากมีลูกสักคน แต่ไร้วาสนา”

ความสงสารเกาะกุมจิตใจพี่เตย คิดว่าหากตนเองเป็นคุณเสรียง จะสามารถยืนหยัดได้สักครึ่งของเธอหรือไม่ เพียงแค่อยากแทนคุณบิดา
ทำให้ต้องตกเป็นของชายที่ไม่รู้จัก เป็นเสมือนที่ระบายความกำหนัดของเขา ต้องทนให้ใครต่อใครหยามว่าเป็นน้อย
และสุดท้ายต้องสิ้นชีพเพราะคุณหลวงชิตอีกเช่นกันแม้เขาไม่ได้เป็นคนลงมือเองก็ตามที สุดท้ายยังถูกจองจำนานเกือบร้อยปี

“ดิฉันคงได้พบพวกคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว โปรดอย่าจากกันด้วยความโศกศัลย์”
คุณเสรียงยิ้มอย่างมไมตรีพร้อมยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“ดิฉันคงต้องไปแล้ว ขอให้คุณกับสามีครองคู่กันจนแก่เฒ่า พานพบแต่สุขสันต์... ลานะคะ ขอบพระคุณสำหรับทุกอย่าง”

สายลมพัดแพรปลิวไสว...

พวกผู้ชายนี่ช่างไม่เข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงเลย ทั้งเจ้าสัวที่เห็นผลประโยชน์สำคัญเหนือบุตร ทั้งคุณหลวงชิตที่มักมากเจ้าชู้ประตูดิน
ทั้งท่านเจ้าคุณที่เข้าข้างลูกสาวแบบผิดๆ ทั้งพี่ดินที่ชอบปกปิดคิดทำอะไรด้วยตนเองไม่ปรึกษาใคร แม้กระทั่งคุณตาโชติเองก็ตามที
แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าคุณเสรียงนั้นรักคุณหลวงชิตสุดหัวใจ ช่างไร้เดียงสาจริงๆ นะเด็กน้อย
อักษร ‘C’ บนชายแพร ไม่ได้หมายถึงชิต

คุณเสรียงยิ้มพรายราวกับรู้ในสิ่งที่พี่เตยครุ่นคิด เธอคลายแพรออกจากไหล่ไปคลุมร่างเด็กชายที่นอนคู้อยู่ข้างๆ
พร้อมกับนำชายผ้าไปเช็ดหยดน้ำจากดวงตาเด็กน้อย...

‘ไว้คลุมยามหนาว คราวใดเศร้าเอาไว้ซับน้ำตา’

แล้วน้ำตาพี่เตยก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว...

พี่เตยตื่นขึ้นเพราะพี่ดินปลุก ถามอย่างร้อนใจว่าร้องไห้ทำไม พี่เตยไม่ตอบหันไปมองคุณตาโชติซึ่งนั่งน้ำตาซึมจ้องพี่เตยอยู่เช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจอยู่นานพอสมควร
“เตยเป็นอะไรไป” พี่ดินถาม สงสัยว่าภรรยาโดนเกสก่อกวนอีกแล้วรึเปล่า พี่เตยส่ายหน้า เอามือขึ้นปาดน้ำตา

แพรสีเลือด

อีกหนึ่งผลงานจากคุณ กฤตานนท์ หรือ Rhythm in the Air หรือ ธี่หยด นักเขียนเรื่องสยองในตำนาน ที่อยากจะนำเสนอ เขาผู้ที่อยู่ในวงการนักเขียนที่ถ้าหากคุณเป็นตัวจริงการอ่านเรื่องสยองขวัญแล้ว ธี่หยด เป็นชื่อที่คุณรู้สึกถึงคุณภาพแบบที่คุณจะไม่สามารถอธิบายได้ แต่คุณจะสามารถรับรู้ได้ เรื่องที่จะนำเสนอต่อไปคือ "แพรสีเลือด" เรื่องสยองที่จะทำให้คุณน้ำตาไหลได้

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องมาแบ่งปันนะครับ มีคนรู้จักมาเล่าให้ฟัง ได้รับอนุญาตให้เรียบเรียงใหม่เพิ่มอรรถรสจนมาเป็นเรื่องเล่าผสมเรื่องสั้น
ไม่ต้องกังวลว่าจะลากไป ๓ วัน ๘ วัน เพราะลงในเพจจนครบหมดแล้ว จึงนำมาแชร์ให้อ่านรวดเดียวครบจบกระบวนความ
เกริ่นไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ยาวสุดๆ หากไม่ถูกจริตท่านใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ (แต่ถ้ายาวมากอาจแบ่งเป็น ๒ กระทู้นะครับ)

แพรพรรณผืนนั้นสีงามประหลาด
สีเหมือนหยดเลือดหยาด
หยาดจากกมลของคนมีแผล...
เนื้อร้องบางส่วนของเพลง 'แพรสีเลือด' ขับร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ

หลายคนคงฝันจะมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิต บางคนมีหลายสิ่งเอื้อให้ครอบครองได้โดยไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
แต่อีกหลายคนต้องลำบากตรากตรำ กดเครื่องคิดเลขแทบพัง เช็คเรท MLR, MRR จนตาลายกว่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า 'บ้าน'
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็หวังเหมือนกันทั้งนั้นว่า เมื่อมีบ้านก็ขออยู่อย่างสุขกายสบายใจ กินอิ่มนอนอุ่น ร่มเย็นเป็นสุข ได้พักผ่อนใต้ชายคาบ้าน
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับความสุขเช่นนั้น บางคนอาจจะระทมจมอยู่กับความทุกข์ และความทุกข์ที่ว่าไม่ใช่เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงลิบ
แต่เป็นอย่างอื่นที่น่ากลัวยิ่งกว่า

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน หลังพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งทำเอาเซไปทั้งประเทศ พี่ดินกับพี่เตยสองสามีภรรยาก็เซถลาไปเหมือนกัน
ทั้งคู่มีโซ่ทองคล้องใจ เป็นเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มอายุขวบเศษชื่อน้องตั้งใจ สามคนพ่อแม่ลูกทนลำบากอยู่หลายปี
ทำงานหนักหวังขยับขยายออกจากบ้านเช่าหลังเล็กที่อยู่มาร่วมสิบปี หลังผ่านไปราวสามปีเศษก็พอมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง
พี่ดินจึงคิดจะหาซื้อบ้านสักหลัง ไม่ต้องใหญ่มาก แค่พออยู่ได้ ไม่อึดอัด ให้ลูกซึ่งกำลังโตวันโตคืนได้มีที่วิ่งเล่น ได้เจอเพื่อนบ้านใหม่
สังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม

พี่ดินเข้าไปดูบ้านในโครงการหมู่บ้านหลายแห่ง แต่ก็ต้องส่ายหน้าเอาเท้าก่ายหน้าผาก เพราะราคามันแพงเหลือเกิน
สุดท้ายจึงกลับไปปรึกษาภรรยาว่า ณ ตอนนี้คงซื้อได้แค่บ้านมือสองเท่านั้น ซึ่งพี่เตยก็ไม่ติดอะไร
'นกน้อยทำรังแต่พอตัว'

พี่ดินตระเวนหาบ้านมือสองอยู่นานร่วมเดือน สุดท้ายไปเจอบ้านเก่าหลังหนึ่งอยู่ห่างจากชุมชนเล็กน้อย ตั้งอยู่เกือบสุดซอย เนื้อที่กว้างขวาง
เกือบ ๙๐ ตร.ม. พอให้ลูกชายที่กำลังซุกซนวิ่งเล่นได้สบาย ถึงจะดูทรุดโทรมไปสักหน่อย แต่หากซ่อมแซมคงดูดีไม่น้อย
พี่ดินถูกใจบ้านหลังนี้มากแต่ก็ยังไม่ดำเนินการติดต่อซื้อขายกับเจ้าของ สิ่งแรกที่ทำนั้นเรียบง่าย บ้านหลังขนาดนี้ ลักษณะแบบนี้
ราคาเท่านี้ ไฉนไม่มีคนอยู่...

เขาเข้าไปสอบถามเพื่อนบ้าน ตะล่อมคุยไปเรื่อยๆ ดินฟ้าอากาศ ท้ายสุดจึงหยั่งเสียงเพื่อนบ้านละแวกนั้นด้วยคำถามคล้ายๆ กันว่า
‘แถวนี้มีโจรขโมยบ้างมั้ยครับ’
‘ทำไมบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่’ หรือถามแม้กระทั่ง
‘เคยเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นมั้ยครับ’

ความโล่งใจมาเยือน เพื่อนบ้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มา ๒๐-๓๐ ปี ไม่เคยเห็นหรือเจออะไรแปลกๆ และไม่เคยได้ยินว่ามีโจรขโมยเพ่นพ่าน แต่ที่บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่มาหลายปีเพราะเจ้าของเป็นลูกหลานข้าราชการใหญ่ตั้งแต่เก่าก่อน ทรัพย์สมบัติเหลือเฟือ ไม่เดือดร้อน
จึงไม่เคยประกาศขายหรือปล่อยเช่า เพิ่งจะมาติดประกาศช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองเมื่อไม่ถึงเดือน พี่ดินก็มาเจอเข้าพอดี

'พรหมลิขิตชัดๆ' พี่ดินนึกในใจ

พี่ดินกลับบ้านในช่วงบ่าย เรียนแจ้งภรรยาผู้กุมอำนาจการตัดสินใจ จากนั้นกระเตงลูกกระเตงเมียกลับมาดูบ้านหลังนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน
เพราะกลัวจะมีใครมาสอยไปเสียก่อน แรกเห็นพี่เตยรู้สึกถูกโฉลกบ้านหลังนี้เช่นกัน ถึงจะอยู่สุดซอย ครึ้มไปด้วยต้นไม้และห่างจากบ้านหลังอื่นๆ เล็กน้อย แต่โดยรวมก็ไม่ถือว่าวังเวงแต่อย่างใด ตอนแรกพี่เตยกังวลเรื่องเดียวกับสามีว่าจะมีอย่างอื่นแถมมาในดีลนี้ด้วยหรือไม่
แต่เมื่อทราบว่าพี่ดินสอบถามเพื่อนบ้านดูแล้ว ค่อนข้างจะเคลียร์ในเรื่องของแขกไม่พึงประสงค์ ก็เป็นอันว่าตกลงที่จะซื้อบ้านหลังนี้

หลังจากที่ชมบริเวณรอบๆ เรียบร้อย ขณะที่กำลังจะกลับ น้องตั้งใจซึ่งตอนนั้นอายุสามขวบ ยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วไม้เก๋ากึ๊ก
เด็กน้อยหันมาบอกพ่อกับแม่สั้นๆ อย่างไรเดียงสา แต่ไม่ชัดถ้อยคำนัก จับได้คร่าวๆ ว่า

“น้องตั้งใจไม่อยากอยู่ที่นี่"

แน่นอนว่าคำพูดไร้ที่มาที่ไปของเด็กน้อยไม่ประสีประสาขาดน้ำหนัก และไม่มีผลกับการตัดสินใจ ไม่มีแม้กระทั่งความสงสัย
ว่าทำไมเด็กน้อยถึงพูดเช่นนั้น

สองวันต่อมา พี่ดินไปพบเจ้าของบ้าน เป็นชายสูงอายุอยู่กับหลานแค่ ๒ คน หลังจากเจรจาต่อรองซื้อขายกันเรียบร้อย พี่ดินได้รับกุญแจเก่าๆ ขึ้นสนิมมาหนึ่งพวง ผู้เฒ่าซึ่งกำลังกลายเป็นอดีตเจ้าของได้บอกว่า หลังจากจัดการย้ายของเข้าบ้านเรียบร้อย ก็ทำบุญบ้านให้เรียบร้อยจะได้เป็นสิริมงคลกับครอบครัว ยังบอกอีกว่าฝากดูแลรักษาให้ดีด้วย เพราะเป็นบ้านเก่าแก่ของบรรพบุรุษตั้งแต่ปู่ย่า

ผ่านไปอีกเกือบอาทิตย์ พี่ดิน พี่เตยและเพื่อนๆ ช่วยกันขนของบางส่วนมาไว้ที่บ้านใหม่...

บ้านหลังนี้เป็นบ้าน ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นเรือนไม้ทรงปั้นหยา รอบข้างเป็นที่ดินรกร้าง มีไม้ใหญ่ขึ้นรกครึ้มไปหมด
โครงสร้างอาคารด้านนอกถูกแดดฝนมาหลายปีก็ผุพังหมองลงไปไม่น้อย แต่ภายในกว่าครึ่งเป็นไม้สัก
พอขัดถูเข้าหน่อยก็เงาวับดูดีมีระดับสมกับเป็นเรือนข้าราชการเก่าแก่ พี่ดิน พี่เตยและเพื่อนๆ ช่วยกันทำความสะอาดทั้งวันจนบ้านเก่า
ดูดีขึ้นเป็นลำดับ เพื่อนๆ พากันอิจฉาว่าราคาควรจะแพงกว่านี้สัก ๒ เท่า จากนั้นก็เริ่มเสี้ยมว่ามีอย่างอื่นแถมว่าด้วยหรือเปล่าให้ว่าที่เจ้าของใหม่ใจเสียเล่น สรุปคืนนั้นพี่เตยยอมจัดให้พี่ดินกับเพื่อนไปเบาๆ สามกลม

ค่ำคืนแรกในบ้านหลังใหม่ไม่มีสิ่งผิดปกติ พี่เตยนั่งกล่อมลูกอยู่ในห้องนอน ไม่นานเด็กน้อยก็ผล็อยหลับไป ปล่อยให้หนุ่มๆ ปาร์ตี้กันอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน พี่ดินกับเพื่อนตกลงว่าวันรุ่งขึ้นจะขนเฟอร์ฯ ชิ้นใหญ่ที่เหลือมาลงให้หมด คืนนั้นทุกคนนอนหลับเป็นปกติสุข สายวันต่อมาพี่ดินและเพื่อนกลับไปบ้านเช่าเดิม ขนเฟอร์ฯ มาบ้านใหม่ เริ่มจากชิ้นเล็ก โต๊ะ เก้าอี้ เตียงที่ถอดได้ ปิดท้ายด้วยตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถแกะเป็นชิ้นๆ
พี่ดินกับเพื่อนรวม ๓ คนยกอย่างทุลักทุเล เป้าหมายคือห้องนอนของเจ้าบ้าน เมื่อเข้าไปถึงด้านใน เกิดเหตุสุดวิสัยว่าเพื่อนคนหนึ่งเกิดสะดุดพรมเช็ดเท้า เสียหลักเซล้ม ทำให้เพื่อนอีก ๒ คนรับน้ำหนักตู้เสื้อผ้าแบบปัจจุบันทันด่วนไม่ไหว จำต้องปล่อยให้ร่วงลงพื้น
มุมตู้ด้านหนึ่งตกกระแทกกับพื้นจนแตกร้าว...

พี่ดินกะเทาะเศษปูนที่แตกออกมาจากหลุมเล็กๆ กว้างเท่าเหรียญห้า ลึกสักเซนนิดๆ เมื่อเขี่ยเศษดิน เศษปูนจนหมด
ปรากฎว่ามีปลายด้ายแดงโผล่มาจากก้นหลุม ยาวสักครึ่งเซน พี่ดินไม่สนใจนัก ห่วงแต่ว่าจะโดน ผบ.สูดสุดงดเหล้ายาปลาปิ้งในวันนี้รึเปล่า
ฐานมึนเมาจนทำให้บ้านเสียหายทั้งที่จริงก็สร่างกันตั้งแต่รุ่ง มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ โปรดเข้าใจ แต่อย่างว่า
สุภาพสตรีมักมีตรรกะที่ต่างจากสุภาพบุรุษ

พี่ดินดึงเศษด้ายจนขาดติดมือมา ทันทีที่ด้ายขาดเขาได้กลิ่นคล้ายน้ำอบที่หมดอายุ กลิ่นหอมๆ แห้งๆ ชวนวิงเวียนโชยมาแตะจมูก
แต่ไม่สู้สนใจ เลื่อนพรมทับรอยแตกเลี่ยงเป็นการชั่วคราว แต่มีหรือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าภรรยาหูตาเป็นสับปะรดจะไม่รู้เรื่อง
ช่วงเย็นหลังจากปัดกวาดเช็ดถูกบ้านอีกรอบจนมาถึงห้องนอน พี่เตยพบรูดังกล่าว จึงเรียกพี่ดินมาสอบถาม หลังจากทราบเรื่องเป็นอันว่าของกำนัลแด่เพื่อนผู้มีน้ำใจ เป็นแค่กับข้าวเล็กๆ น้อยๆ ไร้สุรายาดองของมึนเมา แน่นอนว่าของแค่นั้นไม่อาจรั้งหนุ่มๆ ได้นานนัก สัก ๒ ทุ่มหลังจากจัดข้าวของเสร็จ เพื่อนทั้ง ๒ ก็แยกย้ายกลับบ้าน พี่ดินเดินไปส่งเพื่อน ปิดประตูรั้วเก่าๆ เรียบร้อยจึงกลับเข้าไปในบ้าน อาบน้ำเตรียมพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

เมื่อเข้ามาในห้องนอน พบพี่เตยนั่งจัดเครื่องสำอางค์ เธอบ่นกระปอดกระแปดว่าของบางชิ้นหายไป แต่จำไม่ได้ว่าอะไร รู้แค่ว่าไม่ครบ
คงหล่นระหว่างย้ายของ พอมีเรื่องแรกเรื่องที่สองค่อยๆ ตามมา พี่เตยบ่นสามีอีกรอบเรื่องรอยปูนที่แตก บอกให้เอาปูนมาอุดรูให้เรียบร้อย
และทิ้งท้ายไว้ว่า

“แล้วพี่เห็นตรงก้นหลุมรึยัง มีเศษด้ายแดงๆ อะไรก็ไม่รู้โผล่ออกมา สงสัยตอนเทพื้นช่างเก็บงานไม่เรียบร้อย พี่มีเวลาก็จัดการซ่อมให้ด้วยนะ”

พี่ดินรับคำไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เขาทิ้งตัวนอนข้างๆ ลูกชายด้วยความอ่อนเพลีย
สองสามีภรรยาไม่ทราบเลยว่า คืนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ

คืนที่สองในบ้านหลังใหม่...

พี่เตยสะดุ้งตื่นเป็นคนแรกเนื่องจากได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากชั้นบน เสียงไม่ดัง แต่ไม่เบา คล้ายมีวัตถุบางอย่างเคลื่อนที่ช้าๆ
เมื่อตั้งใจฟังเสียงนั้นเงียบหาย พอไม่สนใจก็กลับมาดังแว่วอยู่เรื่อย คนที่ตื่นเป็นคนต่อมาคือน้องตั้งใจ
น้องร้องโยเยไม่ยอมนอนทั้งที่ปกติจะหลับยาวถึงเช้า สรุปคืนนั้นพี่เตยมาข่มตาหลับเอาเกือบรุ่ง

เช้าวันต่อมาพี่ดินออกไปทำงานตามปกติ ปล่อยพี่เตยจัดเก็บข้าวของที่ยังกองอยู่เต็ม สาวเจ้าสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดบ้าน (ใหม่)
เริ่มจากเก็บขยะ กวาดหยากไย่ ดูดฝุ่น ขัดพื้น เฉพาะชั้นล่าง ส่วนชั้นบนคงไว้วันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงเริ่มตกแต่งบ้านเท่าที่ทุนทรัพย์อำนวย
พี่เตยเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ วางกรอบรูปตามตู้โชว์ และติดมู่ลี่พลาสติกลวดลายสวยงามหน้าประตูห้องน้ำ
เสร็จจากนั้นจึงพาน้องตั้งใจเข้านอนกว่าจะกล่อมจนหลับก็เย็นย่ำเต็มทน บรรยาศยามเย็นดูเงียบสงบ ทั้งที่ห่างจากบ้านเพื่อนบ้านไม่กี่สิบเมตร
เสียงใบไม้ไหวรอบบ้านฟังดูวังเวง พี่เตยซึ่งยังไม่คุ้นกับพื้นที่เดินออกมาหน้าบ้าน มองซ้ายขวาไปนอกรั้ว
จากนั้นปิดประตูและหน้าต่าง (เกือบ) ทุกบาน เสร็จแล้วผลัดผ้าเข้าไปอาบน้ำ

ระหว่างที่กำลังชำระล้างร่างกายอย่างสบายอารมณ์ เกิดเสียงบางอย่างแทรกเสียงน้ำที่กระทบร่าง กว่าที่จะได้ยินชัด ก็ตอนที่ปิดฝักบัว
เสียงนั้นคล้ายมีวัตถุเคลื่อนที่ช้าๆ อยู่ชั้นสอง พี่เตยไม่สนใจ คิดว่าบ้านเก่าเช่นนี้ นกหนูคงเต็มไปหมด หลังสระผมเสร็จเปิดฝักบัวอีกรอบ
เสียงน้ำไหลพร้อมๆ กับที่พี่เตยได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลงส้นบนบันไดดัง ตึก! พี่เตยปิดก๊อก เงี่ยหูฟัง ไม่มีเสียงอะไร ยกเว้นเสียงใบไม้ที่อยู่นอกตัวบ้าน ยืนฟังอยู่นานเมื่อไม่มีเสียงจึงเปิดฝักบัวอีกรอบ พอมีเสียงน้ำไหลดัง ซ่า เสียงลงส้นก็ดังอีกรอบ ตึก!

เสียงดังพร้อมกันจนไม่แน่ใจว่ามันดังจริงรึเปล่า แต่พี่เตยเริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัว กระโจมอกเสร็จสรรพ อยู่ๆ ขนก็ลุกซู่
รู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่หน้าประตู คือไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามี และถัดมาเสี้ยววินาที สิ่งที่คิดได้ถูกยืนยัน เมื่อพี่เตยได้ยินเสียงแหวกมู่ลี่
(อารมณ์ประมาณแหวกจากซ้ายไปขวา)
พี่เตยพยายามคิดว่าเป็นเพราะลม ทั้งที่จริงก็ปิดหน้าต่างไปเกือบทุกบาน ระหว่างที่คิดเสียงแหวกมู่ลี่ก็ดังอีกรอบ...
เธอตะโกนทันที “ตั้งใจเหรอลูก”

เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ พี่เตยกลั้นใจเปิดประตูออกไป ภายในบ้านว่างเปล่า ผิวหนังเปลือยเปล่าชื้นไปด้วยน้ำบอกพี่เตยว่าไม่มีลมพัดเข้ามาในบ้าน ถึงมีก็น้อยเกินจะมีแรงส่งให้มู่ลี่ขยับได้ พี่เตยชะโงกไปมองประตูและหน้าต่างทุกบานยังปิดสนิทเช่นเดิม จึงเดินไปดูห้องที่ลูกนอนอยู่
ปรากฏว่าน้องตั้งใจก็ยังนอนหลับอยู่เหมือนเดิม ความกังวลเริ่มผุดขึ้นในใจเป็นจุดเล็กๆ

ช่วงค่ำหลังมื้อเย็น พี่เตยคว้าแขนสามีออกมานั่งม้าหินหน้าบ้าน จ้องอยู่ ๓ วิฯ ก่อนถามเข้าประเด็นแบบไม่ต้องอ้อมโลก
“พี่แน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้ไม่มีอะไร”
พี่ดินที่กำลังอิ่มแปล้หันขวับไปมองภรรยาบังเกิดเกล้า ถามกลับที่พูดหมายความว่ายังไง พี่เตยไม่ตอบแต่ยังถามคำถามเดิม
“พี่แน่ใจนะว่าบ้านหลังนี้ไม่มีอะไร”

“อะไรที่ว่าหมายถึงผีใช่มั้ย?” พี่ดินถามกลับตรงๆ เช่นกัน หลังจากนั้นก็เล่าว่าตัวเองเดินถามชาวบ้านหลายหลังจนขาลาก
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยเห็นว่าบ้านหลังนี้จะมีอะไรผิดปกติมากกว่าไปเป็นที่พักพิงของแมวเหมี๊ยวหรือสุนัขจรจัด
พี่ดินย้อนถามกลับว่าทำไมถึงถามแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น พี่เตยไม่ตอบ คำชี้แจงของสามีทำให้คลายความกังวลได้เปราะหนึ่ง

แม้จะตัดหญ้า ตัดกิ่งไม้รกๆ ไปไม่น้อย แต่ยามค่ำคืนจิ้งหรีดก็ส่งเสียงระงมดังไปทั่ว หลังจากกล่อมลูกเข้านอนเรียบร้อย
พี่เตยออกมาเก็บกวาดครัว เสียวสันหลังเล็กน้อย กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็เกือบสามทุ่ม ครั้นจะอาบน้ำก็ขยาดนึกถึงเรื่องเมื่อช่วงเย็น
จึงต้องไปตามสามีสุดที่รักมานั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำ (ฮั่นแน่ มีใครเคยทำแบบนี้บ้างรึเปล่าเอ่ย?)

พี่ดินทำได้แค่บ่น (ในใจ) เพราะรู้ดีว่าหากบ่นออกอากาศอาจถูกสวนกลับเป็นสองเท่าหูชาแน่นอน
พี่เตยคว้าผ้าขนหนูได้ก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ระหว่างอาบก็ร้องเรียกเป็นระยะ
“พี่ยังอยู่ใช่มั้ย?”
พี่ดินก็นั่งหาว ตอบกลับแบบเนือยๆ “ก็นั่งอยู่ที่เดิมนี่ล่ะจ้า”
อาบไปสักพักพี่เตยก็เรียกอีก พี่ดินก็ตอบกลับทุกครั้ง จนระหว่างที่พี่เตยกำลังเช็ดเนื้อตัว ทุกอย่างดูเงียบเชียบไปหมด ก็ร้องเรียกสามีอีกครั้ง

“พี่”

ไม่มีเสียงตอบ จึงเรียกอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับของคุณสามี พี่เตยขนลุกซู่อีกครั้ง ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง
จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วเปิดออกเบาๆ ประตูเก่ารอการเปลี่ยน (เมื่อเงินเดือนสามีออก) ส่งเสียง แอ๊ดดด...
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้พี่เตยเกิดความรู้สึก... โกรธ เพราะสามีตัวดีนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่บนเก้าอี้ พี่เตยเห็นดังนั้นจึงถามว่าไปไหนมา
เรียกทำไมไม่ตอบ พี่ดินบอกว่าไม่ได้ลุกไปไหนเลย เห็นกลัวเลยแกล้งนั่งเงียบๆ พี่เตยเลยจัดให้ชุดใหญ่
“@#$^**&@@!%^(&#!@@&฿฿%”

พี่ดินหัวเราะร่าที่แกล้งภรรยาสำเร็จ ตรงข้ามกับพี่เตยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่แม้จะหงุดหงิด พี่เตยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
คนหนึ่งบ่นคนหนึ่งฟังเดินกลับเข้าห้องนอน เมื่อเข้าไปถึงปรากฏว่าความครื้นเครงเมื่อสักครู่หายวับไปในพริบตา
เพราะมีสิ่งหนึ่งปรากฏบนที่ๆ ไม่ควรอยู่ นั่นคือบนใบหน้าของลูกน้อยที่นอนหลับพริ้ม ส่งเสียงกรนเบาๆ
มีรอยลิปสติกสีแดงชาดทาบริเวณปากลากยาวจนถึงแก้ม...

พี่เตยถลาเข้าไปหาลูกน้อยด้วยความตกใจ หลังเขย่าตัวสักครู่ ตั้งใจงัวเงียลืมตา คุณแม่เค้นถามว่าเอาลิปสติกมาเขียนเล่นทำไม
เด็กน้อยกะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนมุดศีรษะเข้าไปใต้หมอน ไม่สนใจว่ามารดาตกใจเพียงใด พี่เตยหันกลับไปมองสามีตาขวาง

“หรือฝีมือพี่? ” พี่เตยหันขวับไปมองสามีเมื่อเห็นยืนยิ้มแหยๆ จึงจัดให้อีกชุด
“เล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้ ที่เมื่อกี้เรียกไม่ตอบ แอบหลบเข้ามาห้องแล้วแกล้งเขียนหน้าลูกใช่มั้ย”

พี่ดินขอโทษขอโพยพัลวันบอกวันหลังจะไม่เล่นแบบนี้อีก แต่พี่เตยโกรธจริงจัง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลบรอยลิปสติกบนหน้าลูก
ก็ขึ้นเตียงนอนไม่สนใจสามีอีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน พี่ดินก็ปิดไฟแล้วตามขึ้นมานอนเงียบๆ
คงรับสภาพได้ว่าคืนนี้ไม่มีโอกาสเล่นจ้ำจี้มะเขือเปราะ

บรรยากาศในคืนนั้นแปลกไปเล็กน้อย ความวังเวงน่ะมีอยู่ แต่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดบวกกับสามีสุดที่รักไม่มาง้องอน ทำให้นอนไม่หลับ
แต่ก็ขืนไม่พลิกตัวไปหาหมอนข้างดิ้นได้ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ประเดี๋ยวเสียเหลี่ยมเสียคู ต้องนับแกะอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับ

เช้าตรู่วันต่อมาก่อนพี่ดินออกไปทำงาน น้องสาวชื่อเดือนก็แวะมาที่บ้าน เธอซื้ออาหารเช้ามาฝากพี่ชายและพี่สะใภ้
เดือนบอกว่าช่วงนี้พอมีเวลาว่างจะมาช่วยทำความสะอาด พี่เตยยิ้มแก้มปริ เพราะมีทั้งคนช่วยงานพร้อมเพื่อนในคราวเดียวกัน
ความผิดฉกรรจ์ของพี่ดินเมื่อคืนที่ผ่านมา ควรถูกภาคทัณฑ์อย่างน้อยสัก ๒-๓ วัน งดล่อตะเข้ตะโขงด้วยสุรานานาชนิด
ละเลิกความคิดชวนเพื่อนสามีมาสร้างความครื้นเครงที่บ้าน

พี่ดินเดินเข้าไปพูดกับน้องสาวสองสามคำจึงขับรถออกไปทำงานตามปกติ พี่เตยกับเดือนจึงหันมาสะสางงานที่คั่งค้าง
ทั้งสองลงมือเช็ดกระจกทุกบาน เริ่มจากหน้าบ้าน ขะมักเขม้นกันได้ไม่นาน พี่เตยสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเดือน เธอดูล่อกแล่กพิกล
พี่เตยฉลาดพอที่จะจับตาดูอยู่นานพอที่จะเชื่อได้ว่าเกิดความผิดปกติขึ้น ความผิดปกตินั้นคือ ไม่ว่าพี่เตยจะทำอะไรที่ใด
เดือนมักตามมาอยู่ใกล้ๆ เสมอ อาบน้ำให้ตั้งใจ เดือนจะมานั่งข้างๆ เช็ดกระจกหลังบ้าน เดือนปรี่มาขัดอยู่ใกล้ๆ หรือแม้กระทั่งพี่เตยตัดแต่งกิ่งไม้เลื้อยอยู่ข้างบ้าน เดือนก็ตามมากวาดเสียชิดติดจอ ในที่สุดพี่เตยจึงบอกให้ช่วยขึ้นไปกวาดพื้นชั้นสองให้หน่อย เดือนหันขวับมาตอบทันควัน

“ไม่เอาอ่ะพี่เตย เดือนไม่กล้าขึ้นไป”

พี่เตยจ้องมองจนเดือนอึกอัก กลบเกลื่อนว่าขึ้นไปพร้อมกันดีกว่าจะได้เสร็จเร็ว พี่เตยคิดในใจก่อนถามตรงๆ
“เดือน... ถามจริงๆ มีอะไรเปล่า? ดูลุกลี้ลุกลนชอบกลนะ ตามติดพี่แจเลย”
จำเลยโดนซักก็พยายามปฏิเสธ แต่ ‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’ พอโดนเจ้าหนูโคนันจี้เข้าก็ยอมสารภาพในที่สุด

“พี่ดินให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เตย” เดือนตอบเสียงอ่อย...
“ให้มาอยู่เป็นเพื่อน? มีอะไรเหรอ?” พี่เตยถามต่อ
“เดือนไม่รู้หรอก พี่ดินโทรมาตั้งแต่เช้าตรู่ ถามว่าว่างมั้ย ถ้าไม่ติดธุระอะไรให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เตยสัก ๒-๓ วัน”
“พี่ดินบอกมั้ยว่าให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ทำไม”
“เดือนก็ถามแบบที่พี่เตยถามนั่นล่ะ” เธอนิ่งไปชั่วครู่ สายตาเหลือบมองรอบๆ “พี่ดินบอกแค่ว่ารู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล”

พี่เตยได้ฟังก็สับสนไม่น้อย พยายามคาดคั้นสาเหตุ แต่ดูเหมือนสิ่งที่เดือนรู้ เธอได้บอกมาหมดแล้ว น้องสาวคนนี้เก็บความลับไม่ค่อยเก่ง
พี่เตยหน้านิ่วอยู่ครู่จึงยกโนเกีย ๓๒๑๐ โทรหาสามีทันที เมื่อปลายสายรับ พี่เตยจึงระดมคำถามเป็นชุด แต่สามีคนดีบอกแค่ว่าไม่มีอะไร
ให้น้องมาช่วยงานเท่านั้น และบอกว่ายุ่งอยู่มีอะไรช่วงเย็นค่อยคุยกัน สายนั้นตัดไป

ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ด...

หลังวางสาย (แบบจำยอม) คำแก้ตัวของสามีไม่เนียนเอาซะเลย ‘มันต้องมีอะไรแน่ๆ ค่ะหัวหน้า’

พี่เตยย้อนคิดถึงคำพูดของเดือน แล้วย้อนไปไกลกว่านั้นในช่วงเย็นเมื่อวานซืนที่ตัวเองเจอเหตุการณ์แปลกๆ เพียงเท่านั้น
ความกังวลที่หายไปพร้อมแกะตัวที่ ๗๐๐ เศษๆ ที่นอนนับอยู่ก่อนหลับ ก็ผุดกลับขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง พี่เตยแหงนมองไปรอบบ้าน
ความรู้สึกชื่นชมแรกเริ่ม แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

จบบิ๊กคลีนนิ่ง ตะวันโน้มไปทางตะวันตก แดดแก่ๆ ถูกไม้ใหญ่รอบบ้านบดบัง พี่เตยจัดแจงยกเตียงผ้าใบออกมากางหน้าบ้าน
พร้อมชวนเดือนมานั่งคุยกันด้านนอก สักพักพี่เตยวานเดือนช่วยดูน้อง ส่วนตัวเองก้าวออกจากบ้านช้าๆ หันไปมองถนนอ้างว้าง
ช่วงเวลากึ่งบ่ายกึ่งเย็นช่างวังเวงพิกล ห่างออกไปเล็กน้อย มีบ้านเรียงรายสองฝั่งถนน ส่วนใหญ่ชาวบ้านแถวนี้เป็นชนชั้นกลาง
บ้างเป็นลูกหลานข้าราชการเช่นเดียวกับอดีตเจ้าของบ้านหลังนี้ พี่เตยเดินสำรวจทีละหลัง ผ่านไปเรื่อยๆ จนพบชายวัยกลางคน
กำลังตัดแต่งกิ่งหูกระจง (ควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน) พี่เตยทักทายและแนะนำตัว สุดท้ายหักดิบถามตรงๆ

“น้าคะ น้าเคยเจออะไรแปลกๆ แถวนี้มั้ย? คือหนูกับแฟนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านสุดซอยหลังนั้น” พี่เตยพูดพลางชี้ไปที่บ้านใหม่ของตน

ชายคนนั้นฉงนเล็กน้อย ก่อนอมยิ้ม
“อ๋อ หนูเป็นภรรยาพ่อหนุ่มคนนั้นสิ วันก่อนเห็นมาถามเรื่องบ้านหลังนั้นทีละ ก็จะบอกเหมือนเดิมล่ะ น้าอยู่ที่นี่มา ๓๐ ปีแล้ว
ไม่เห็นเคยมีเรื่องแปลกๆ แถวนี้เลย คนตายน่ะก็มีอยู่เป็นปกติ บ้านไหนก็มีทั้งนั้น แต่บ้านหลังนั้นมันปิดมานานมาก ไม่เคยขาย
ไม่เคยปล่อยเช่า เด็กเกเรเมายาก็ไม่เคยเฉียดมาแถวนี้ เพราะฉะนั้นสบายใจได้”

พี่เตยได้ฟังก็ใจชื้นขึ้นมานิด แต่เดี๋ยวก่อน แจกแบบสอบถามที่เดิม ข้อมูลมีสิทธิ์ซ้ำซ้อนกันอยู่แล้ว พี่เตยเลือกจะเดินไกลออกไปอีก
จนเกือบถึงกึ่งกลางทางจากปากถึงท้ายซอย บ้านหลังนั้นเป็นทาวน์เฮ้าส์เก่าคร่ำคร่า
ประตูรั้วเตี้ยๆ เปิดออกพร้อมชายและหญิงวัยกลางคนกำลังจูงมอเตอร์ไซค์ออกมาจากบ้าน พี่เตยเข้าไปชวนคุยทันที
๑๒๓ ปลาฉลามขึ้นบก ๔๕๖ จิ้งจกยัดไส้ แล้วปิดท้ายด้วยคำถามเดิม

“คุณค่ะ แถวนี้มีขโมยขโจรมั้ย? เออ... แล้วแบบว่า” พี่เตยอึกอักเป็นพิธี สีหน้าอารมณ์พอเข้าชิงในฐานะดารานำหญิงได้ แล้วพูดต่อ
“ฉัน (กำลัง) ย้ายมาอยู่บ้านหลังสุดซอย ถึงจะเก่าไปสักหน่อย แต่พื้นที่ก็กว้างขวาง ทำไมไม่มีใครมาซื้อ เออ.. ฉันขอถามตรงๆ นะ
บ้านหลังนั้นมีประวัติไม่ดีอะไรรึเปล่า?”
หนุ่มสาวคู่นั้นหันไปมองหน้ากันอยู่ครู่จึงตอบ “ไม่มีนะครับ ผมกับแฟนอยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรแบบนั้นเลย แถวนี้มีแต่บ้านข้าราชการทั้งนั้น โจรขโมยไม่มีหรอกครับ ส่วนเรื่องผีสางนางไม้ก็ไม่เคยมีใครพูดนะ ถ้ามีจริงผมต้องรู้อยู่แล้ว ผมเป็นหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์อยู่ปากซอย ใครลืออะไรผมรู้หมด พี่ซื้อบ้านหลังสุดซอยใช่มั้ย เอาจริงๆ นะ ผมชอบมาก ถ้ามีเงินบ้านหลังนั้นไม่ตกถึงพี่หรอก”

โอ้ว... โลกนี้ช่างสดใส อะไรๆ ก็ดูเป็นสีชมพู พี่เตยโล่งใจขึ้นเยอะ คำยืนยันจากเพื่อนบ้านช่างรื่นหู สามีที่เคารพทำการบ้านมาดี
จะยอมลืมเรื่องพิเรนทร์ที่ทำเมื่อคืนก็ด๊ะ เธอเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อยเรื่องก่ำกึ่งที่เกิด หากคิดในแง่ดีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้
เป็นวิสัยของคนปกติที่ชอบมองหรือเชื่อและสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้กลับมีเพื่อความหลอนเล่นแก่ตนเสียอย่างนั้น

ในขณะที่กำลังเดินกลับบ้านบนถนนที่โรยด้วยกลีบลาเวนเดอร์ พี่เตยเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ดูโอ่โถ่งแต่เก่าแก่ไม่แพ้ว่าที่บ้านใหม่ของตน
นอกรั้วมีหญิงชราคนหนึ่งอายุไม่ต่ำกว่าแปดสิบ นั่งหลังค่อมม้วนเชี่ยนหมากอย่างเชื่องช้าอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆ มีตะกร้าใส่ดอกกุหลาบที่ตัดมาจากแปลงดอกไม้ที่ปลูกอยู่หน้าบ้าน พี่เตยจึงเดินเข้าไปทักทาย

“สวัสดีค่ะยาย ฉันชื่อเตยนะ ยายชื่ออะไรจ๊ะ”

หญิงชราชำเลืองมองพี่เตยช้าๆ ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนหันไปบ้วนหมากแดงคล้ำลงกระโถนที่วางอยู่ข้างๆ
พี่เตยรอว่าหลังจากยายเสร็จกิจจะตอบหรือพูดอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ จึงชวนคุยต่อ

“ยายม้วนหมากสวยน่ากินเชียว” พี่เตยหาเรื่องพูดคุยไปเรื่อย แต่ยายก็ดูสนใจหมากมากกว่าหญิงสาวตรงหน้า เมื่อยายดูเป็นมิตรน้อยกว่าที่คิด
พี่เตยจำต้องจรลีก่อนจะถูกตะเพิด แต่ยังไงก็เพื่อนบ้านกัน ก่อนไปก็ร่ำลาตามมารยาท
“วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่นะ ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ได้ ๒-๓ วัน อยู่บ้านหลังสุดซอยนั่นน่ะ”
ทันทีที่พี่เตยพูดจบ เชี่ยนหมากในมือยายก็ร่วงตกพื้น แกชะงักงันอยู่อึดใจ จึงหันมามองพี่เตย จ้องรู้สึกเกร็ง

“เออ ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า ไว้จะมาหาใหม่นะยาย” พี่เตยยกมือไหว้ แต่ยายซึ่งเงียบมาตลอดก็พูดด้วยเสียงแหบพร่าในที่สุด
“หล่อนหมายถึงบ้านหลังไหน?”
หล่อนงั้นเหรอ? พี่เตยนึกในใจ
“ก็บ้านเก่าหลังสุดซอยนั่นล่ะ” เสียงเธอเริ่มสะบัดน้อยๆ ชะช่า กับสามีที่เป็นชายอกสามศอกยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจ
ยายคนนี้เป็นใครหน๋อ มาจิกหัวเรียกว่าหล่อน นึกว่าตัวเองเป็นผู้รากมากดีมาจากไหนกัน แต่ก่อนที่พี่เตยจะบ่น (ในใจ) ยืดยาวไปกว่านั้น
หญิงชรามือสั่นจนเห็นได้ชัดแม้ไม่ต้องเพ่ง ตาเหลือกโต พี่เตยเห็นก็ตกใจรีบคุกเข่าไปนั่งข้างๆ

“เอ๊า ยายเป็นอะไร จะเป็นลมเหรอ ตัวสั่นใหญ่เชียว มีใครอยู่ในบ้านป่ะเนี่ย” พี่เตยลุกพรวด แต่มือสั่นๆ คว้าข้อแขนหมับ หญิงสูงวัยจ้องเขม็ง
“บ้านหลังนั้นปิดไปก็ดีอยู่แล้ว หล่อนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม”
ยายพูดเสียงสั่น ประโยคนั้นเหมือนจอบเล่มโตๆ มันขุดทุกเรื่องที่พี่เตยพยายามจะลืมขึ้นมากองอยู่ข้างเชี่ยนหมากที่ตกอยู่บนพื้น
พี่เตยถามด้วยความสงสัย
“ยายพูดว่าอะไรนะ?”

แต่ไม่ได้รับคำตอบ หญิงชราร้องเรียกใครคนหนึ่งเสียงดัง
“นังพรๆ หล่อนอยู่ไหน” ครู่เดียวมีหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับพี่เตยวิ่งพรวดลงมาจากบ้าน พรเห็นคนแปลกหน้าก็ร้องเอะอะ
เดือดร้อนพี่เตยต้องอธิบายเสียยกใหญ่ว่าเป็นแค่เพื่อนบ้าน โจรที่ไหนจะสวยแบบนี้ (คิดเอง) แค่มาทักทายก็เท่านั้น
หญิงชราไม่สนใจฟังบอกให้หญิงสาวชื่อพรพากลับเข้าไปในบ้าน

แต่ก่อนที่จะเข้าไปก็ชะงักเท้าอยู่หน้ารั้ว บอกให้พี่เตยย้ายออกไปจากบ้านนั่นเสีย พี่เตยฟังแล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก

“ทำไมล่ะยาย? บ้านหลังนั้นมันมีอะไร?”

ในตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสาม ลมอ่อนๆ หอบอากาศร้อนๆ ตามมาด้วย แต่ไฉนพี่เตยขนลุกวาบ
เมื่อได้ยินหญิงสูงวัยพูดเสียงสั่นก่อนเดินกระย่องกระแย่งเข้าบ้านว่า

“นังเสรียง”

พี่เตยเดินกลับมาบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ คิดถึงแต่คำพูดและท่าทางแปลกๆ ของหญิงชรา ยิ่งบางประโยคในตอนท้ายยิ่งชวนฉงน
เมื่อกลับถึงบ้าน เดือนสอบถามว่าหายไปไหน พี่เตยจึงเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอสดๆ ร้อนๆ ให้น้องสามีฟัง
หลังจากได้ฟัง แบบสอบถามสองชุดแรกถูกตัดทิ้งจากสารบบความคิดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงคำให้การของหญิงชราที่ถูกนำมาประมวลผล
(ในแง่ลบ) เดือนขนลุกซู่ ทวนสารส่วนสุดท้ายที่หญิงชราทิ้งไว้ให้นักสืบจำเป็นแกะรอย

‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’

“เรียงๆ เหลี่ยงๆ อะไรอ่ะพี่เตย หรือยายเค้าหมายถึงชื่อคน”
“พี่ก็ไม่รู้ ได้ยินมายังไงก็เล่าไปยังงั้นล่ะ”
“มันแปลกๆ นะพี่เตย เดือนว่ายายคนนั้นต้องรู้อะไรแน่ๆ เราไปถามแกอีกรอบมั้ย จะได้รู้กันไปเลยว่าใครมั่วกันแน่”

แต่พี่เตยบอกว่าใจเย็นๆ ขอคุยกับพี่ดินก่อน ยายคนนั้นก็แก่มาก อาจจะเลอะเลือนพูดอะไร ผิดๆ ถูกๆ ออกมาก็ได้ (มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน บ้านก็ไม่ใช่ราคาบาทสองบาท) ทั้งคู่นั่งรอพี่ดินจนโพล้เพล้ ไฟทุกดวงที่ใช้งานได้ถูกเปิดสว่างแบบไม่กลัวท่านนายกใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง
ที่เข้ามารับเผือกร้อนแทนบิ๊กจิ๋วติติง เย็นนั้นพี่ดินกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ กว่าจะถึงก็ค่ำเต็มทน
พี่เตยในฐานะพนักงานสอบสวนกางสำนวนพรึ่บ! ซักจำเลยตั้งแต่เท้ายังไม่ผ่านธรณีประตู พี่ดินได้แต่ยืนฟังตาปริบๆ แกบอกเรียบๆ

"ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก"

เมื่อเวิร์ดดิ้งสุดคลาสสิคหลุดออกมาจากปากสามี พี่เตยปรี๊ดแตก ศูนย์ถึงสิบภายในวินาทีเศษๆ บ่นสามีชุดใหญ่ เล่าว่าไปได้ยินอะไรมาบ้าง
พี่ดินก็อยู่เป็น นั่งนิ่งไม่ต่อปากต่อคำ เพราะรู้ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง บ้านที่วาดหวังให้เป็นสถานพักใจ เริ่มเกิดรอยร้าวซะแล้ว

ค่ำคืนนั้นไฟทุกดวงเปิดสว่าง เช่นเดียวกับทีวีที่เปิดซะดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน อย่างน้อยขอความสว่างไสวและอึกทึกขับไล่ความวังเวงสักนิด แถมมีเดือนนอนเป็นเพื่อนอัดกันอยู่ในห้องทำให้พี่เตยรู้สึกอุ่นใจขึ้น เธอคิดว่ายอมจัดอีกสองกลมให้เพื่อนสามีมาปาร์ตี้ที่บ้าน
แต่อย่างเร็วก็คงเป็นพรุ่งนี้ สักพักก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…

คืนนั้นพี่เตยรู้สึกที่นอนยุบยวบจึงสะดุ้งตื่น ชำเลืองปลายเตียงเห็นดวงไฟส้มๆ สว่างอยู่ก็ตกใจ นึกว่ามีเกสมากลางดึก แต่ที่แท้เป็นพี่ดินกำลังใช้ไฟฉายส่องหาอะไรสักอย่างอยู่ในความมืด พี่เตยถามว่าทำอะไร พี่ดินสะดุ้งและบอกว่าเปล่า
พี่เตยซึ่งหงุดหงิดเป็นทุนเดิมจึงจัดให้อีกสักดอกพร้อมเบิ้ลอัศเจรีย์

“ทำอะไรอยู่บอกมาเดี๋ยวนี้!!”

พี่ดินถอนหายใจ เรียกเบาๆ ให้ ผบ. สูงสุดเข้ามาใกล้ๆ จนเกือบถึงประตู พอพี่เตยลงมายืน ฝ่ายชายเลื่อนพรมเช็ดเท้าออกพร้อมใช้ไฟฉายส่อง
ตอนแรกพี่เตยไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอดูดีๆ ก็กระจ่างในทันที พื้นที่แตกเมื่อวันก่อน จากที่มีด้ายแดงสั้นๆ
โผล่แค่ปลายก้อยและถูกดึงจนขาดไปแล้ว วันนี้กลับมีปลายด้ายแดงแทรกปูนโผล่มาอีกเกือบนิ้ว??
พี่เตยอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก

“พี่ยังไม่ได้ซ่อมเหรอ? แล้วมันโผล่ขึ้นมาได้ยังไงพี่ วันก่อนเห็นเป็นเส้นกุดๆ แค่ก้นหลุม วันนี้มันงอกออกมาได้ยังไง”

พี่ดินส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน พยายามเกลี้ยกล่อมว่ามีอะไรให้คุยกันพรุ่งนี้ทีเดียว เดี๋ยวลูกตื่นจะเป็นเรื่อง
พี่เตยขัดใจไม่น้อยจะชวนให้ออกไปคุยนอกห้อง แต่ความคิดดังกล่าวก็ถูกหยุดไว้ เมื่อเธอหันกลับไปมองลูกน้อยที่นอนหลับอยู่
แล้วสายตาดันไปเห็นของธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เมื่อผ้าม่านที่เธอเพิ่งเปลี่ยนเกิดสะบัดปลิวจนเผยให้เห็นพกหญ้ารกร้างด้านนอก

คุณพระ... ผ้าม่านมันขยับพลิ้วจนเปิดเห็นวิวด้านนอก? กระจกก็ปิดสนิท ผ้าก็มีน้ำหนักพอตัว แถมแอร์คอนดิชั่นฯ
ที่อยู่เหนือม่านก็เปิดแรงลมแค่เบอร์หนึ่ง ร้อยหนึ่งขอสลึงเดียวว่ามันไม่สามารถทำให้ม่านปลิวสูงขนาดนั้นได้ คราวมู่ลี่อาจเป็นเพราะลม
แต่คราวนี้ไม่ใช่แน่ ขณะที่สมองกำลังคิดคำนวนมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ ก็มีสิ่งย้ำว่า ที่กำลังคิดอยู่เนี่ย ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย

เมื่อผ้านม่านปลิวตลบขึ้นอีกรอบพร้อมกับที่พี่เตยเห็นชายผ้าสีแดงพลิ้วผ่านกระจก (ด้านนอก) ไปแบบต่อหน้าต่อตา
พร้อมกลิ่นน้ำอบฝาดๆ ลอยผ่านนาสิก...
พี่เตยทรุดฮวบลงกับพื้น มือข้างหนึ่งปิดจมูก อีกข้างชี้ไปที่ผ้าม่านที่ตกลงมาปิดเช่นเดิมแล้ว

“พะ... พี่ เมื่อกี้มีอะไรไม่รู้ลอยอยู่ด้านนอก”
พี่ดินหันไปมองม่าน มันสงบนิ่งไม่ไหวติง
“เหลวไหลน่า ม่านปิดอยู่จะไปเห็นข้างนอกได้ยังไง”
“เมื่อกี้ม่านมันปลิวขึ้นไปนะสิ”
“ลมพัดละมั้ง” พี่ดินตอบ
“ไม่ใช่ลมแน่นอน” ว่าแล้วพี่เตยก็นั่งจ้องผ้าม่านอยู่นานหลายนาที ผ้าม่านผืนนั้นก็ไม่กระดิกกระเดี้ยปลอบใจแม้แต่นิดเดียว
พี่ดินเห็นภรรยานั่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงพูดเบาๆ เพราะเกรงลูกจะตื่น

“ตาฝาดละมั้ง ไป... ไปนอนเถอะ”
พี่เตยนึกถึงชายผ้าแดงที่ลอยผ่านตาไปเมื่อสักครู่ คิดในใจ ฝาด... ไม่ฝาด... ฝาด... ไม่ฝาด สุดท้ายหันไปบอกพี่ดิน

“พี่ เราขายบ้านหลังนี้คืนเขาไปเถอะ”

พี่ดินได้ยินก็ตกใจ เข้าไปกุมมือภรรยา ปลอบให้ใจเย็นๆ บอกว่าคิดมากไป
อีกอย่างหากทำแบบที่พี่เตยพูดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะขายคืน หรือขายต่อ ที่สำคัญเจ้าของเดิมก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วย
มีอะไรเอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่าเดี๋ยวลูกตื่น ตอนแรกพี่เตยยอมกล้ำกลืนทำตามที่สามีบอกเพราะจะว่าไปก็มีแต่ตัวเองคนเดียวที่เจออะไรแปลกๆ
แต่เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในคำพูดที่สามีเพิ่งโพล่งออกมาเมื่อสักครู่

“พี่รู้ได้ยังไงว่าเจ้าของเดิมเขาป่วย? พี่ไปเจอเขามาเหรอ?”
เมื่อเห็นสามีอ้ำอึ้งอยู่สักพัก ก็เป็นอันแน่นอนว่าสามีตัวดีมีอะไรปิดบังอยู่เป็นแน่แท้
“มีอะไรจะบอกมั้ย?”
พี่ดินถอนหายใจ ทำไมศรีภรรยาถึงช่างสังเกตขนาดนี้นะ “ออกไปคุยกันข้างนอก”

ทั้งสองเดินออกมานอกห้อง พี่เตยยืนนิ่งรอฟังคำแก้ตัวของสามี ซึ่งหลายเรื่องผู้หญิงอาจจะมีความกล้ามากว่าชาย ยกเว้นก็เรื่องผีสาง
พี่ดินถอนหายใจอีกรอบ โชคดีที่เขาไม่ใช่พระเอกในละครหลังข่าวสองทุ่มครึ่ง ที่ออกแนวทึ่มหน่อยๆ ความรู้สึกช้านิดๆ
ให้ผู้ชมรู้สึกขัดอกขัดใจกับการกระทำว่า
‘ทำไมคุณพี่ถึงซื่อบื้อแบบนั้นล่ะจ๊ะ?’

พี่ดินเริ่มเล่าว่า ที่กลับค่ำกว่าปกติ เพราะไปหาเจ้าของบ้านเดิมมา ใจอยากจะเข้าไปคุยเรื่องขอขายบ้านคืน เขาจะคิดค่าใช้จ่ายยังไงก็ว่ามา
ถือว่าเป็นค่าเช่าก็ได้ เพราะเราก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับโครงสร้างเลย นอกจากทำความสะอาดเท่านั้น
แต่พอไปถึงปรากฏว่าคุณตาเกิดไม่สบายหนักเข้าโรงพยาบาล หลานที่อยู่ด้วยไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น
ต้องรอให้คุณตาทุเลาขึ้นจึงสามารถคุยรายละเอียดได้

พี่เตยหน้าซึมไปเล็กน้อย การซื้อขายบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าวของก็ขนมาจนหมด บ้านเช่าก็คืนไปแล้ว เงินที่เหลืออยู่ก็ไม่มากมาย
ช่วงที่ดำเนินการซื้อขาย หากไม่อยู่ที่บ้านหลังนี้ไปก่อนก็ต้องระเห็จไปอาศัยอยู่บ้านญาติ คำถามก็คงตามมามากมาย
'อ้าวซื้อบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมขายเสียล่ะ ไม่มีเงินผ่อนละสิ'

อีกอย่างต้องไปพร้อมกัน ๓ ชีวิตก็ดูลำบากไม่น้อย แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น
มีอะไรบางอย่างต้องถามสามีก่อน “ทำไมอยู่ๆ พี่คิดจะขายบ้านล่ะ?”

พี่ดินอึกอักๆ พูดไปว่าก็เห็นพี่เตยไม่สบายใจเลยไปเลียบๆ เคียงๆ ถามดูก็เท่านั้น ยังไม่คิดจะขายแน่นอน แทนที่พี่เตยจะพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเหมือนปกติ กลับถามด้วยน้ำเสียงวิงวอน
“ทำไมพี่ถึงจะขายบ้าน บอกเตยเถอะ เราเป็นสามีภรรยากันนะ”

พี่ดินนิ่งอยู่นาน พี่เตยก็เงียบตามไม่พูดแทรก จนในที่สุดฝ่ายชายยกมือขึ้นลูบหน้าไปมาก่อนจะบอกในสิ่งที่ไม่อยากจะบอกในเวลานี้
เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย แต่เพราะประโยค ‘เราเป็นสามีภรรยากันนะ’ พี่ดินจึงยอมพูด

“พี่ไม่ได้เป็นคนเอาลิปสติกเขียนหน้าลูก และพี่คิดว่าลูกก็คงไม่ได้เอามาเขียนเล่นเอง”

พี่เตยได้ฟังก็แปลกใจ แต่ก็เข้าใจในเวลาไม่นาน วันนั้นก่อนที่สามีจะรับว่าเป็นคนเอาลิปสติกเขียนหน้าลูก ก็หน้าถอดสีไปไม่น้อยเหมือนกัน
ความจริงเขาไม่ได้เป็นคนทำ!? แต่ที่รับเพราะไม่อยากให้เธอกลัวนั่นเอง พี่เตยอยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง
และถามต่อว่าแล้วรู้ได้ยังไงว่าตั้งใจไม่ได้เอาลิปฯ ไปเขียนเล่นเอง ก่อนจะตอบ พี่ดินถามกลับ

"เตยเคยขึ้นไปบนห้องชั้นสองรึยัง?"

พี่เตยส่ายหัว เธอเคยขึ้นไปถึงบันไดชั้นบนสุดเท่านั้น ไม่เคยเหยียบพื้นชั้นสองซะทีแม้อยู่มาหลายวันแล้วก็ตาม
"พี่ขึ้นไปเมื่อวันก่อน ชั้นบนมีห้องอยู่สามห้อง แต่มีห้องเดียวที่ล็อคกลอนอยู่ พอไขประตูเข้าไป ด้านในมีผ้าปิดทึบรอบด้าน
ฝุ่น หยากไย่เกาะเต็มไปหมด ในห้องมีตู้ไม้เก่าๆ รู้มั้ยว่าพี่เจออะไร"

พี่เตยส่ายหน้าอีกรอบ พี่ดินสีหน้าอึดอัดถอนหายใจก่อนพูดเบาๆ
"พี่เจอลิปสติกของเตยตั้งอยู่ในตู้กระจกใบนั้น"

“ความจริงพี่ก็ไม่แน่ใจว่าลิปสติกแท่งนั้นใช่ของเตยรึเปล่าหรือเป็นของใคร มันวางอยู่ในตู้ กระจกบานนั้นก็มัวจนมองไม่ชัด
พี่ก็รีบออกไปทำงานก่อน ที่จริงไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้ฟังเลยนะแต่... วิ้ง... วิ้ง... วิ้ง”

ประโยคหลังจากนั้นฟังไม่ได้ศัพท์เลยว่าสามีพูดปลอบใจอะไรบ้าง พี่เตยหูอื้อไปหมด ต้นคอด้านหลังมีอาการร้าวตุบๆ
สมองสั่งให้ย้อนคิดไปเมื่อสองวันก่อน วันที่เหตุการณ์พิศวงเริ่มแผ้วพานเข้ามาในครอบครัว...
วันที่เธอบ่นว่าเหมือนเครื่องสำอางบางชิ้นหายไป ตอนแรกคิดว่าตกหล่นระหว่างขนย้าย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ได้หายไปไหน
มันอาจจะอยู่ใกล้กว่าที่คิด แต่ปัญหาสามเด้ง คือมันใช่ของเธอหรือไม่? แล้วขึ้นไปอยู่ข้างบนได้ยังไง? ในห้องที่ล็อคกุญแจ?

โอ้... ‘คดีลิปสติกปริศนาในห้องปิดตาย’

“ตอนเช้าพี่เลยโทรไปตามเดือนให้มาอยู่เป็นเพื่อน เพราะไม่สบายใจ บอกตรงๆ ว่า ตัวพี่หน่ะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย
แต่จะปิดหูปิดตาไม่สนอะไรก็ใช่ที่ พี่ออกจากที่ทำงานก็ตรงไปบ้านเจ้าของเดิม เมื่อไม่ได้เรื่องจึงโทรไปปรึกษาเพื่อน
เพื่อนมันก็ให้เบอร์พระอาจารย์ที่นับถือกันอยู่ คุยไปมาก็ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ เพราะทางเราก็ไม่มีข้อมูลอะไรให้เค้าเลยนอกจากด้ายสีแดงอะไรก็ไม่รู้ พี่เลยนัดให้อาจารย์เข้ามาดูวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะให้ท่านช่วยดูฤกษ์ทำบุญบ้านไปเลย เตยไม่ต้องกังวลนะ”

พี่เตยยืนอึ้ง มองทุกอย่างลบไปหมด ใจก็โกรธสามีไม่น้อยที่ปิดบังเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่เค้นคอถามคงไม่ได้คำตอบ
ทำไม๊ทำไมผู้ชายชอบหมกเม็ดเสียจริงๆ พี่เตยหันไปมา สายตาจับจ้องไปที่โพลงดำมืดที่พาขึ้นสู่ชั้นบน
และละสายตาแทบทันทีกลัวจะมีปลายเท้าใครโผล่พ้นมุมมืดบริเวณขั้นบันได
พี่เตยถามกลับ “แล้วถ้ามันมีล่ะ เป็นต้นว่านังสะรง เสรียงอะไรนั่น”

พี่ดินนิ่งงัน ใครหน๋อเป็นเจ้ากรมข่าวลือเรื่องนี้ แต่ในฐานที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องเก็บอาการและเป็นหลักให้ภรรยาและลูกยึดโยง
พี่ดินบอกว่าขอเวลาอีก ๑-๒ วัน ถ้ายังมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นสัญญาว่าจะย้ายออกไปหาบ้านเช่ารอจนกว่าเจ้าของเดิมออกจากโรงพยาบาล
เพราะตอนนี้เงินทองก็ร่อยหลอ เงินเดือนก็ยังไม่ออก ไม่อยากบากหน้าไปหยิบยืมคนอื่นให้เป็นขี้ปาก

“พรุ่งนี้อาจารย์มาดูก็คงชี้ทางให้ได้ว่าควรทำยังไง อะไรที่ไม่ดีก็ให้ปัดรังควานเสีย เพื่อนพี่บอกว่าอาจารย์คนนี้ชื่อเสียงดังพอดู”

พี่ดินพยายามสรรหาคำพูดปลอบใจภรรยา เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่กวนจิตใจอยู่
เมื่อเห็นว่าพี่เตยสงบลงจึงบอกให้กลับเข้านอนและจะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าเธอจะหลับ พี่เตยส่ายหน้าก่อนตอบ
“เราขึ้นข้างบนกันเลยดีกว่า เตยอยากเห็นว่าลิปสติกแท่งนั้นมันมีจริงและใช่ของเตยรึเปล่า ถ้าใช่พรุ่งนี้เราจะย้ายออก
เตยกับลูกไม่ทนอยู่กับอะไรที่มันน่ากลัวแบบนี้หรอกนะ พี่เห็นมั้ยว่าตั้งใจโดนอะไรมา”

บัญชาประกาศิตมาแบบนี้ พี่ดินจำต้องจำนน ลึกๆ คิดว่าไม่น่าใจอ่อนเล่าเรื่องดังกล่าวให้ภรรยาฟังเลย
ปัญหาที่ว่ากำลังตามมาเป็นปมให้เขาทยอยแก้ไปทีละเปลาะ และบางเปลาะภรรยาก็ยังไม่รู้เสียด้วย แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องดี
ไปดูให้เห็นจะๆ กันเลย ไม่ต้องรอท่าคอยความสุ่มเสี่ยงเหมือนกับในละครทีวีที่ต้องเจอตัวเป็นๆ ก่อนถึงยอมเผ่นป่าราบ

พี่ดินเดินนำพี่เตยเดินตาม ทั้งคู่ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปช้าๆ เมื่อกดสวิทซ์ไฟก็เป็นใจเหลือเกินว่าไฟชั้นบนมันไม่ติด
เกิดสถานการณ์ก่ำกึ่งให้ต้องคิดว่ามี 'อะไร' ทำให้เป็นแบบนั้น ทั้งที่จริงบ้านเก่าอายุหลายสิบปีไม่มีคนอยู่
ไฟบางดวงยังเป็นหลอดไส้สอดใส่อยู่ในโคมเก่ากึก ก็ไม่แปลกที่มันจะไม่ติด พี่ดินเดินไปหยิบไฟฉาย จากนั้นหวนกลับขึ้นไปใหม่
สองสามีภรรยาค่อยๆ เดินขึ้นไปทีละก้าว...
เอี๊ยด... เอี๊ยด... เอี๊ยด

เป็นเรื่องปกติเมื่อมีมูลจูงใจอะไรๆ ก็ดูคูณสองไปหมด เช่นเดียวกับความวังเวงบนชั้นสองของบ้านหลังนี้ เมื่อขึ้นไปถึงเจอชานโปร่งโล่ง
ขนาดราวสามคูณสามตารางเมตร ถัดไปเป็นห้อง ผนังทุกด้านเป็นไม้ ตรงข้ามกันมีอีกสองห้องกั้นกลางด้วยทางเดินแคบๆ
จุดกำเนิดแสงเดียวมาจากประกายแสงจันทร์ที่ลอดไล้มาจากหน้าต่างทอดตัวลงบนพื้นไม้ที่ย่ำไปตรงไหนก็ลั่นเอี๊ยดอ๊าดให้สะดุ้งเล่น
อันฟีลลิ่งแบบนี้เคยผ่านตามาจากละครทีวี แต่กับความรู้สึกจริง มันต่างกันราวหน้ามือกับหลังเท้า

‘เปลี่ยนใจทันมั้ยเนี่ย?’

ห้องเจ้าปัญหาอยู่ส่วนหลังติดกับชายป่ามืดทึบ พี่ดินค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปด้านใน พลันที่ส่องไฟฉายเข้าไปฝุ่นจำนวนมาก
ออกมาโชว์ตัวอยู่ทุกที่ที่แสงไฟพาดผ่าน ภายในมีผ้าขึงปิดทึบคลุมหน้าต่างทุกบานอย่างที่พี่ดินบอก
ไม่มีแสงสว่างใดส่องลอดเข้ามาได้ พี่ดินใช้ลำไฟแทนนิ้วชี้ไปที่ตู้เก่าใบหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมห้อง ดูไม่ยากว่าเป็นของโบราณ
ลวดลายสลักเสลาดูประณีตวิจิตรฝีมือผิดกับงานช่างสมัยนี้ เอาไปเช็ดถูเสียหน่อยคงหรูหรามีราคาไม่น้อย
แต่ก็นั่นล่ะ เช็ดๆ ไปเกิดจินนี่โผล่ออกมาคงวิ่งกันเปรมิกาป่าราบ...

แสงไฟส่องผ่านกระจกตู้ขุ่นมัว ภายในมีของเล็กน้อยๆ วางระเกะระกะ เช่น เข็มขึ้นสนิมที่ปักบนหมอนขนาดจิ๋ว แกนด้าย
ขวดใสทรงกลมขนาดเล็ก ถ้วยน้ำชาเก่าๆ กล่องเหล็ก กล่องกำมะหยี่ มีของอีกหลายชิ้นวางทิ้งไว้บนชั้นฝุ่นเขรอะ
แต่ไม่ยักกะมีสิ่งที่ทั้งสองต้องประสงค์

“ไหนล่ะลิปสติกที่พี่บอกว่าเจออยู่ในตู้” พี่เตยเข้าไปเกาะแขนสามี เพราะตอนนี้ความหวาดกลัวก็เกาะหนึบที่แขนเธออยู่เหมือนกัน
พี่ดินพยายามส่องหาก็ไม่เจอ ครั้นจะเอื้อมมือไปเปิดตู้ พี่เตยก็ดึงให้ถอยห่างออกมา

“พี่แน่ใจนะไม่ได้ตาฝาดเห็นขวดแก้วนั่นเป็นลิปฯ”

ผู้ถูกถามเริ่มลังเล คราวที่ขึ้นมาดูก็เห็นแค่แว่บเดียว แถมสะเพร่าไม่ได้ลงสลักลงกลอนให้เรียบร้อย ก่ะจะมาตรวจให้แน่ใจ
ก็มีหลายเรื่องถาโถมเข้ามาเสียก่อน ความมั่นใจน่ะพอมี แต่ไม่ถึงร้อยซะแล้ว... กระนั้นก็มีสองทางเลือกแล้วในตอนนี้
หนึ่งคือบอกไปว่าอาจจะตาฝาด และดึงเวลาไปอีกอย่างน้อยวันสองวันเพื่อหาข้อสรุป เผื่ออาจารย์ชื่อดังจะมีคำแนะนำดีๆ
หรือสอง แน่วแน่ไปว่าไม่ฝาดชัวร์ป้าบแล้วพรุ่งนี้เก็บข้าวของย้ายออกหาที่ซุกหัวนอนใหม่

สุภาพบุรุษหกในสิบอาจจะเลือกช้อยส์ที่สอง แต่สี่ในสิบจะเลือกข้อแรก และพี่ดินก็เป็นชนกลุ่มน้อย
“พี่ไม่แน่ใจ อาจจะตาฝาดไปก็ได้ สงสัยเบลอไปหน่อย” เขาพูดเสียงอ่อย

“เอายังไงแน่พี่ เมื่อกี้เหมือนแน่ใจ ตอนนี้บอกอีกอย่าง กลับกลอกไปเรื่อย” พี่ดินยืนนิ่ง พี่เตยยิ่งฉุน
“เป็นใบ้รึไง มีอะไรก็พูดมาสิ มันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะพี่”
เมื่อโดนตำหนิมากๆ เข้าเหล่าสุภาพบุรุษก็ขึ้นเป็นเหมือนกัน (นะ) พี่ดินเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เสียงแข็งกร้าวขึ้น
“ก็ไม่แน่ใจ จะให้ทำยังไงล่ะ? ตอนขึ้นมาดูก็มองแค่แว่บเดียว... ขอล่ะอย่าเพิ่งมาทะเลาะกันตอนนี้ได้ป่ะ? ปัญหามันก็เยอะอยู่แล้ว
เอาอย่างที่พี่บอกนั่นล่ะ รอดูพรุ่งนี้อีกวัน ถ้ามันมีปัญหามากนักก็ขายๆ ไปซะสิ้นเรื่องสิ้นราว ย้ายกลับไปอยู่บ้านเช่าเล็กๆ แคบๆ เหมือนเดิมนั่นล่ะ”
พูดตัดบทก็เดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิดแต่ชะงักเท้าอยู่ทางลงบันได

“จะลงมั้ย? รึจะรอนังเสรียงอะไรนั่นอยู่บนนี้?”

หากเป็นสถานการณ์ปกติร้อยหนึงขอสลึงเดียว คงได้ปะทะคารมต่อจนบ้านแตก แต่ด้วยความกลัวบรรยากาศแสนวังเวง
บวกกับรู้สึกว่าตนเองพูดแรงกับสามีไปนิด พี่เตยจึงไม่ต่อล้อต่อเถียง เดินตามลงไปติดๆ
คืนนั้นเธอนอนนับแกะถึงหลักพันก็ไม่หลับจนรุ่ง...

เช้าวันต่อมาพี่ดินลางานเพื่อรอพบพระอาจารย์ชื่อดังที่เพื่อนแนะนำมา ระหว่างนั้นสงครามเย็นก็ยังกรุ่นอยู่
สองสามีภรรยาแทบจะไม่คุยกันเลยตลอดช่วงเช้า ตอนแรกพี่เตยกับเดือนคิดจะไปหาหญิงชราที่บ้านอีกสักครั้ง
แต่ขณะที่กำลังเดินออกจากบ้าน ก็มีรถเก๋งขับมาจอดหน้ารั้ว ชายสองคนไว้หนวดเคราหน้าตาเหี้ยมเกรียมลงมาจากเบาะหน้า
และอีกคนเป็นชายแก่นุ่งน้ำเงินเข้มสวมประคำสีงาดูเหมือนหมอผีในนิยายมากกว่าพระอาจารย์ชื่อก้องลงมาจากเบาะหลัง

“บ้านคุณดินใช่มั้ย?” ชายคนแรกถาม
“ใช่ค่ะ” พี่เตยตอบ
“ผมชื่อณเดช คนนี้คืออาจารย์บุญ คุณดินโทรมาปรึกษาเรื่องบ้านหลังนี้ ขอเข้าไปหน่อยครับ”

พี่เตยเปิดประตูรับแขก นอกจากคนที่ชื่ออาจารย์บุญอันมีบุคลิกน่ายำเกรงอยู่บ้าง อีกสองคนขอพูดแบบอคติ หากไม่บอกว่าเป็นใคร
คงนึกว่าเป็นทีมอุ้มฆ่าซะมากกว่า สักพักพี่ดินออกมาต้อนรับขับสู้ จากนั้นก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้อาจารย์บุญรับทราบ
ชายที่ดูแก่กว่าวัยยืนฟังอยู่ครู่ก็พึมพำเบาๆ

“ไม่ธรรมดานะหลังนี้”
นั่นปะไรยังกับนิยาย...

พี่ดินพยายามสอบถาม แต่อาจารย์ไม่ตอบอะไร บอกให้พาเข้าไปดูจุดเจ้าปัญหา... หลุมเล็กๆ ที่มีเศษด้ายแดงโผล่ออกมา
เจ้าบ้านจึงพาเข้าไปในห้องนอน เลื่อนพรมเช็ดเท้า ระหว่างที่อาจารย์บุญกำลังสำรวจก้นกลุ้ม
พี่ดินบอกว่าอีกเดี๋ยวจะเอาปูนมาอุดเพราะภรรยาบ่นทุกวัน อาจารย์บุญหันไปมอง และบอกว่าถ้าไม่อยากเดือดร้อนมากกว่านี้
อย่าไปอุดสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด

“ทำไมล่ะครับอาจารย์” พี่ดินถาม อาจารย์จึงค่อยๆ เฉลยหลังจากเก็บงำอยู่เป็นนาน
“ตอนแรกที่คุณเล่าให้ฟังก็นึกว่าอาจจะเป็นของมงคลที่ฝังตามจุดต่างๆ ตามความเชื่อของคนโบราณบางกลุ่ม
วันดีคืนดีอาจจะโผล่ขึ้นมาให้คุณกับเจ้าบ้านบ้าง แต่พอมาเห็นตำแหน่งการฝังบอกได้เลยว่าตรงกันข้าม
นี่มันเป็นสิ่งอัปมงคลที่ไว้ผูกพันธะกับเหล่าสัมภเวสีชัดๆ"

สมาชิกในบ้านยกเว้นน้องตั้งใจขนลุกพรึ่บ! ส่วนพี่เตยได้ยินก็ลมแทบจับ คุณพระ... จะบอกว่าบ้านข้าพเจ้ามีเกสจริงๆ เหรอเนี่ย?

อุปกรณ์หลากชนิดขนจากท้ายรถมาวางในห้องนอน เช่น โต๊ะขนาดเล็กคล้ายโต๊ะหมู่ พระพุทธรูป พานและขันทองเหลือง
เทียน สายสิญจน์และปูนแดง โดยหันโต๊ะออกนอกห้อง จากนั้นอาจารย์บุญใช้ศิษย์สองคนช่วยเอาสายสิญจน์ไปพันล้อมรอบบ้าน
ตัวเองนั่งสมาธิสวดมนต์ขมุบขมิบ ปล่อยให้เจ้าบ้านนั่งมองด้วยความหวาดวิตก เมื่อสวดได้ราวสิบนาทีโปรเฟสเซอร์บุญ
เรียกให้ทุกคนเข้าไปนั่งในห้อง จากนั้นจึงสวดพระคาถานานาบทต่อ มือถือเทียนไกววนรอบขันทองเหลืองให้หยาดน้ำตาเทียนตกสู่ขันเบื้องล่าง ของเหลวที่ทำจากพาราฟินกลายเป็นเกล็ดแข็งเมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำ (เอ๊ะ ชักออกแนวนิยาย) ขั้นตอนคล้ายกับนิมนต์พระมาทำบุญบ้าน
เพียงแค่อาจารย์บุญสั่งห้ามให้ทุกคนออกจากห้อง (นอน) ช่วงที่กำลังทำพิธีเด็ดขาด

คุณพระ... ตั้งแต่เกิดมาบาทาเท่าฝาหอย ก็เพิ่งเคยเห็นพิธีปัดรังควานกับตากับตัวเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ มันดูเข้มขลังชวนคล้อยตามซะเหลือเกิน
พี่เตยพนมมือนิ่งจับตาดูทุกการกระทำของพระอาจารย์สลับกับชำเลืองมองว่าจะเกิดเหตุอาเพศใดแบบในละครทีวี
เช่นลมกรรโชก ประตู หน้าต่างผ้าม่านเปิดปิดเอง หรือเสียงโหยหวนหวนครวญคราง แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ
เสียงครวญเดียวที่ดังให้ได้ยินคือน้องตั้งใจถามซ้ำๆ ว่า

‘แม่จ๋า ลุงเค้าทำไรกันง่ะ’

ระหว่างที่กำลังคิดถึงบทละครเพลินๆ เสียงสวดถูกแทนด้วยประโยคที่สร้างความพรั่นพรึงให้กับทุกคน

“มันเดินผ่านประตูไปเมื่อกี้ เป็นหญิงสาว รูปร่างท่วมตัน นุ่งโจงกระเบนห่มสไป ผมหยักศกฟู หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว... เหม็นเน่ามาเชียวนะ”

นี่มาให้เห็นแบบฟูลเอชดี? สามมิติทะลุทะลวงขนาดนั้นเลยเหรอ?? คุณพระ... นังเสรียงแกช่างอัปลักษณ์ทั้งหน้าตาและกลิ่นตัวเลยนะ
ทุกคนหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เดือนเบียดชิดพี่เตย ส่วนพี่เตยเบียดชิดพี่ดิน พี่ดินจะไปซบหนุ่มหน้าเหี้ยมก็กระไรอยู่...

อาจารย์บุญเปล่งเสียงดังกังวานขึ้น จากนั้นหยิบปูนแดงที่ผสมมวลสารขึ้นภาวนา เป่าลมใส่ ใช้ก้นเทียนบรรจงป้ายปูนแดง
โป๊ะไปที่ก้นหลุมทีละน้อยจนหมดถ้วย แล้วใช้น้ำตาเทียนหยดซ้ำเหนือปูนแดง ร่างนายบุญสั่นเทิ้ม เหงื่อแตกพลั่ก
สุ้มเสียงที่ดังค่อยๆ ลดระดับแต่ดูเค้นมากยิ่งขึ้น... ยิ่งขึ้น จนเงียบหายในที่สุด โปรเฟสเซอร์คนดังหายใจหอบถี่ ร่างโคลงเอียง
เหล่าศิษย์เห็นต้องเข้าไปหิ้วปีก

พี่ดินคลานเข่าเข้าไปหาทันทีถามพัลวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์บุญต้องใช้เวลาปรับลมหายใจอยู่นานก่อนตอบ
“นังนี่มันร้ายนัก ร้ายจริงๆ ดีนะมีแค่หนึ่งไม่มีสอง ไม่อย่างนั้นผมคงแย่เหมือนกัน แต่โปรดวางใจ ผมไล่และสะกดด้ายแดงซึ่งเป็นพันธะเชื่อมโยงวิญญาณมันเรียบร้อย ต่อไปนี้มันไม่อาจไปก่อกายหยาบกายละเอียดสร้างความเลือดร้อนกับใครได้อีก”

พี่ดินยิ้มกริ่มถึงกับกราบขอบคุณ อาจารย์บุญย้ำว่าหลังจากนี้จะเอาปูนอุดรูก็ได้ แต่อย่าแกะปูนแดงออกเด็ดขาด
ส่วนสายสิญจน์ที่พันอยู่รอบบ้านก็ให้ทิ้งไว้สักสามวันเจ็ดวันค่อยปลดออก

พี่ดินแยกตัวไปคุยกับอาจารย์บุญอยู่ครู่ พี่เตยเห็นจึงเดินตามเข้าไปขอบคุณ พี่ดินพยายามกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับอาจารย์
ก่อนที่ภรรยามาถึง แต่เขาส่ายศีรษะ และแนะให้บอกภรรยาไปดีกว่า พี่เตยถามว่ามีอะไร อาจารย์จึงบอกว่า บ้านหลังนี้ฮวงจุ้ยไม่ดี
หันหน้าเข้าทิศหรดีแถมอยู่ก้นซอยรับแต่ความทุกข์ ให้ขายไปดีกว่า และยังทำนายว่าหากไม่กลัวส่งเผือกร้อนๆ ให้คนอื่น
อีกไม่นานจะมีคนมาติดต่อซื้อแน่นอน พี่เตยคิดในใจ

‘เกิดเรื่องขนาดนี้อิชั้นก็ไม่คิดจะอยู่ยาวอยู่แล้วเจ้าค่ะ!’

หลังจากอาจารย์บุญขอตัวกลับ สมาชิกในบ้านก็มานั่งตกลงกันว่าจะเอาอย่างไรกับบ้านหลังนี้ พี่ดินเห็นว่าหากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เขาอยากอยู่ต่อโดยจะนิมนต์พระมาทำบุญบ้านให้เป็นกิจจะลักษณะอย่างที่เจ้าของเดิมแนะนำ แต่พี่เตยค้านหัวชนฝา
นี่สามีที่เคารพยังคิดจะอยู่บ้านหลังนี้ต่อจริงๆ หรือเนี่ย ในสมองมีแต่อากาศธาตุรึไง ไม่เห็นเหรอว่าอาจารย์บุญก็แนะให้ขายไปซะ

“เตยไม่ยอม ยังไงพี่ต้องขายบ้านหลังนี้ไปซะ นี่เป็นคำขาด”

วงสนทนาแตกทันทีที่พี่เตยยื่นเงื่อนไข หัวอกคนเป็นเมียเป็นแม่ใครมันจะไปทนอยู่ได้ในสถานที่อัปมงคลแบบนี้ ถึงว่าที่ไร้คนซื้อ
ไร้คนเช่าก็เพราะแบบนี้นี่เอง บางทีเพราะมันขายไม่ได้สักทีไงล่ะ คุณตาเจ้าของเดิมอาจเจ้าเล่ห์เตี๊ยมกับคนแถวนี้ไว้แล้วก็ได้
ขนมครกเอ้ย! นี่มาแผนสูงขนาดนี้เลยเหรอ? จบเรื่องนี้ต้องนำของไปกำนัลคุณยายคนนั้นสักหน่อยแล้วที่ยอมปริปากพูดความจริง
ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ปูน

แม้พี่ดินจะขอร้องอีกหลายครั้งให้คิดดูก่อน แต่พี่เตยสะบัดก้นงามงอนพรืด! หนีเสียทุกครั้งที่วกกลับมาคุยเรื่องนี้
สุดท้ายพี่ดินจำใจรับสภาพว่าคงต้องขายบ้านหลังนี้จริงๆ และหวังว่าคงมีคนรับซื้อต่อโดยเร็วพร้อมให้เงื่อนไขที่ไม่กดจนโงหัวไม่ขึ้นเกินไป
บรรยากาศในบ้านดูดีขึ้นตามลำดับ พี่เตยปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะได้ทำพิธีปัดรังควานจนทุกอย่างกลับคืนสู่ความสุขสงบคิดๆ ก็เสียดาย
ลึกๆ แล้วก็เธอพึงใจบ้านหลังนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าต้องให้เลือกระหว่างโฮมกับแฟมิลี่ เธอเลือกอย่างหลังแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
ช่วงบ่าย พี่เตยชวนเดือนออกไปซื้อข้าวของและผลไม้ เพื่อนำไปกำนัลแด่หญิงชราคนนั้น แม้ยายจะพูดจาจีบปากจีบคอไปบ้าง
แต่คนเราอย่าตัดสินแค่วจนะ แต่จงมองให้ลึกถึงแก่นเจตนา เป็นเพราะเธอนั่นเองที่บอกเงื่อนงำอำพรางบางอย่างให้กระจ่างแจ้งในเวลาต่อมา
คงต้องกราบขอบคุณให้เหมาะสมเป็นการใหญ่ (พร้อมอยากเอาอุจจาระไปปาหน้าบ้านลุงหูกระจงกับวินฯ เสล่อนั่นจริงๆ มามุสากันได้)

พี่เตยกดกริ่งหน้าบ้าน สักพักหญิงสาวที่ชื่อพรจึงวิ่งมาเปิดรั้ว พี่เตยบอกว่าอยากพบคุณยาย มีเรื่องอยากจะคุยเล็กน้อย พรอึกอักอยู่ครู่
บอกว่าจะไปถามคุณยายดูก่อน เธอผลุบหายเข้าไปในบ้านนานหลายนาทีก่อนวิ่งกลับออกมาว่า คุณยายบอกให้เข้าไปคุยในบ้าน
บ้านหญิงชราดูมีฐานะพอควร เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ภายนอกดูทรุดโทรม แต่ภายในมีเครื่องเรือนเก่าหลายชิ้นดูมากมูลค่า
ทั้ง โต๊ะ ตู้ เตียง ชุดรับแขก กรอบรูปล้วนมีราคา หญิงชรานั่งคอยพิงหมอนอิงอยู่บนตั่งไม้ หรี่ตามองแขกตั้งแต่หัวจรดเท้า
พี่เตยและเดือนยกมือไหว้ มอบของให้เสร็จสรรพ แต่คุณยายยังคงความ ‘เยอะ’ จิกเรียกเหมือนเคย

“พวกหล่อนมีธุระอะไรกันล่ะ”

พี่เตยไหว้อีกครั้ง และเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งประสบมากับตัวให้คุณยายฟังอย่างละเอียด ว่าเกิดเรื่องอะไรในเคหสถานสุดซอยหลังนั้น
หญิงชราหน้าซีดเผือด พี่เตยวิงวอนอยากได้คำตอบว่าบ้านหลังนั้นมีประวัติยังไง และใครคือเสรียง
หญิงชรานิ่งเงียบไปนาน ก่อนพูดเสียงยานคาง

“บ้านหลังนั้นแต่เดิมเป็นของคุณหลวงชิต ข้าราชการใหญ่ในกระทรวงเศรษฐการ (กระทรวงพาณิชย์) ทรัพย์สมบัติท่านมากล้น
บริวารก็มากเหลือ” คุณยายนิ่งคิดอยู่ครู่แววตาเลื่อนลอย

“คุณหลวงท่านมีภรรยาเอกชื่อท่านผู้หญิงอมรา ทั้งสองครองคู่กันอย่างเป็นสุขอยู่หลายยยยสิบปี
จนอยู่มาวันหนึ่งนังผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาในบ้าน... นังเสรียง”
น้ำเสียงยานคางเปลี่ยนเป็นคับแค้น
“คุณหลวงเอานังผู้หญิงชั้นต่ำนั่นมาเป็นน้อย ถึงไม่เทียบเสมอคุณหญิงท่าน แต่ก็ห่างกันไม่มาก และยังสั่งให้บ่าวปฏิบัติตนกับนังเสรียง
ด้วยความนบนอบ คุณชิตช่างไม่รู้สายสนกลในบ้างเลยว่าบ่าวทั้งบ้านเกลียดนังนี่ยังกับอะไร”
พล็อตพีเรียดฮอเรอร์ชัดๆ พี่เตยอึ้งกิมกี่

“คุณหลวงจวักไม่รู้รสแกง”
นั่นปะไรมีเหน็บต่อเนื่อง พี่เตยก็ไม่รู้หรอกว่าคุณยายหมายความอะไร แต่คงไม่ใช่สรรเสริญคุณลงคุณหลวงอะไรนั่น

“สุดท้ายท่านผู้หญิงก็ตรอมใจสิ้นลม ปล่อยให้นังกาลกิณีนั่นเสวยสุขอยู่กับคุณชิต... หึ แต่ฟ้าท่านมิได้หูหนวกตาบอด
สุดท้ายเป็นแค่ไพร่ดันทำตัวเทียมเจ้า จิกโขกบ่าวในบ้านราวกับทาส หลังคุณชิตสิ้นไม่นาน
มันก็ถูกบ่าวที่โขกสับฆ่าหมกเรือนสิ้นสุดความผยองของมัน”

พี่เตยปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก แวบหนึ่งเธอเห็นร่องรอยความสะใจอยู่ในดวงตาหรี่เล็กบนใบหน้ายับย่น
“ทำไมยายรู้เรื่องละเอียดจังเลยคะ” เดือนถามในสิ่งที่พี่เตยก็คิดจะทำ
คุณยายนิ่งไปพักก่อนเล่าต่อ
“ตอนเด็กๆ ฉันสนิทกับลูกหลานคุณหลวง เล่นหัวกันบ่อยไป คุณชิตท่านก็เอ็นดูฉันดั่งลูกหลาน เรื่องเล็กน้อยอะไรฉันก็รู้หมด”
เสียงหญิงชราสั่นเครือ ครวญคร่ำเบาๆ “ไม่น่าเลยคุณหลวง... คุณหญิง”

หัวอกลูกผู้หญิงชิงชังนังเสรียงนั่นไม่น้อยไปกว่าคุณยาย เรื่องหลังจากนี้เรียบเรียงได้ไม่ยากเกินความสามารถของเจ้าหนูโคนันอิจิ
(โคนัน+คินดะอิจิ)

‘ขอเอาชื่อเสียงของคุณปู่เป็นเดิมพัน ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’

ทั้งสองคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องลาคุณยายเสียที พี่เตยกราบลาอย่างเคารพ คลายความรู้สึกที่เคยหมั่นไส้ไปจนหมด
และบอกว่าเมื่อถึงวันที่ต้องย้ายออกจากบ้านหลังนั้นจะมาร่ำลาอีกที…

คราวซวยมาเยือนเมื่อภรรยากลับถึงบ้าน พี่เตยคงกำลังอินคิดว่าผู้ชายก็เจ้าชู้ประตูดินเหมือนกันไปหมด ไม่ว่าจะคุณชิต หรือคุณดิน
เมื่อเห็นสามีนั่งโขกซีเมนต์โบกรอยแตก พี่เตยซึ่งยังกรุ่นกับละครพีเรียดเมื่อสักครู่ ก็เหน็บพี่ดินทันที

“จะทำไปทำไม อีกไม่กี่วันก็ย้ายออกแล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ยพี่ เช่นหาคนที่จะมาซื้อบ้านหลังนี้”

ความหมั่นไส้คุณยายย้ายมาลงที่สามีซะงั้น พี่ดินทำได้แค่รับสภาพบอกว่าพรุ่งนี้จะรีบจัดการให้ ยังผลให้มื้อเย็นของเขาได้รับแค่ข้าวโป๊ะไข่เจียว
ค่ำคืนนั้นเป็นคืนที่พี่เตยรู้สึกสบายตัวที่สุดนับแต่ย้ายเข้ามาอยู่ (และกำลังจะย้ายออกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า)
จะมีหงุดหงิดบ้างก็เพราะน้องตั้งใจร้องโยเยไม่ยอมนอน หลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายรอบ หลังจากทุกคนหลับ พี่เตยนั่งดูข่าวสารไปเรื่อยๆ
ข่าววายทูเคดูเป็นอะไรที่ทั่วโลกแตกตื่นกันมากที่สุด สำนักข่าวหลายช่องวิเคราะห์กันทั้งวันทั้งคืน

“นักวิชาการคาดการณ์ว่าอาจเกิดปัญหากับระบบคอมพิวเตอร์ ยังผลให้ระบบการเงินการธนาคารและตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกประสบวิกฤต
อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ผมกิตติ สิงหาคม สดจากแอลบูเคอร์คี นิวเม็กซิโก”

เสียงทีวียังคงก้องเป็นระยะ พี่เตยนอนฟังเสียงนักวิชาการกล่อมจนเคลิ้มไปช้าๆ ช่วงที่กำลังจะหลับ
เสียงนักวิชาการหนุ่มก็สลับเป็นนักวิชาการสาวบ้าง เธอพูดว่า

“เจ้านกกาเหว่า(เอย) ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก(เอย) นึกว่าลูกในอุทร คาบข้าวเอามาเผื่อ(เอย) ไปคาบเหยื่อเอามาป้อน”

ห๊ะ! สำนักข่าวช่องไหนเนี่ย? เปิดเพลงกล่อมเด็กสุดหลอนสมัยเจ้าคุณปู่

พี่เตยงัวเงียลืมตาขึ้น ในแสงสลัวจากทีวีที่ตอนนี้มีแค่คลื่นซ่าเส้นยิบๆ ไร้ภาพ ไร้เสียง พี่เตยเห็นหญิงสาวผมยาวสลวย
รูปร่างระหง มีทรวดทรงองค์เอวนั่งพับเพียบอยู่ปลายเตียง หล่อนสวมผ้าถุงนุ่งกระโจมอก บนไหล่เปลือยเปล่าหุ้มห่อด้วยแพรสีแดง...

ตัวแข็งทื่อ ปลายผมเหมือนลุกตั้งได้ หน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าคราวโดนสามีเกี้ยวใหม่ๆ แสงสลัวจากทีวีพอทำให้เห็นเกสนิรนาม
ที่มาในชุดไทยร่วมสมัย ถึงเห็นหน้าไม่ชัด แต่อย่างน้อยเธอเป็นหญิงที่มีโครงหน้าสวยคม สัดส่วนเรือนร่างชวนชมสมเป็นหญิงไทย
กลิ่นกรุ่นน้ำอบฝาดๆ ที่ลอยสะกิดจมูกทั้งฉุนทั้งหอมนั้นน่าจะมีที่มาจากแพรสีแดงผืนบางที่คลุมไหล่
ระดับพัดลมแอร์คอนดิชั่นฯ แค่เบอร์หนึ่ง แต่ชายผ้าสีแดงปลิวไสวเหมือนโดนลม

อาการผีอำที่ใครเขาว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง ทุกอย่างอยู่ที่เดิมครบถ้วนเหมือนเช่นก่อนงีบ ทีวีที่มีแต่คลื่นแทรก สามีที่นอนตะแคงติดผนัง
ถัดมาลูกน้อยยังคงดิ้นไปมาอย่างไม่สบายตัว ทุกอย่างดูเบลอไปหมด ยกเว้นสตรีที่นั่งพับเพียบอยู่ มันชัดจนไม่คิดว่าฝัน
หันหน้าหนีก็ไม่ได้ ลูกตาก็ขยับซ้ายกับขวาแค่ไม่เกินฟุต แต่น่าแปลกที่เธอคนนั้นไม่หันมามองพี่เตยแม้แต่น้อย
คงจ้องไปที่น้องตั้งใจซึ่งพลิกกระสับกระส่ายไปมา พร้อมท่วงทำนองเพลงกล่อมเด็ก

“เจ้านกกาเหว่า(เอย) ไข่ไว้... ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก(เอย)..."

มนต์ทุกบทเท่าที่นึกออกประเคนออกมาเพื่อให้ ‘เธอ’ คนนั้นไปให้พ้นๆ เสียที ลูกคนเดียวอิชั้นเลี้ยงได้

หลังจากนั้นความเพลียที่ไม่อาจฝืนเริ่มคืบคลานเข้ามา มีสองสิ่งที่พี่เตยทำก่อนจะสิ้นสติ
หนึ่งคือจดจำทุกรายละเอียดของสตรีนางนั้นจนขึ้นใจเพื่อไปขยายต่อให้ใกล้เคียงมากที่สุด สองคือสรรเสริญชื่นชมพระอาจารย์บุญยกใหญ่
ไหนบอกหนึ่งเดียวไม่มีสอง ไหนล่ะหญิงสาวรูปร่างท่วมตัน นุ่งโจงกระเบนห่มสไป ผมหยักศกฟู หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว..
บ้านแกสิ!! ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเนี่ยถ้าเข้าประกวดนางสาวสยามขี้หมูขี้หมาต้องเข้ารอบสามคนสุดท้ายแน่ๆ แล้วพี่เตยก็วูบไป...

ในความฝันพี่เตยเห็นหญิงสาวคนนั้นเดินลงมาจากชั้นบน เครื่องหน้าหลบอยู่ใต้เงา เธอหยุดตรงชานพักบันได
ปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง

รุ่งเช้าพี่เตยตื่นขึ้นเมื่อสามีเข้ามาปลุก ทันทีที่ลุกเหมือนโลกหมุนได้ มันโคลงไปหมด พอตั้งหลักหันไปมองลูกเป็นสิ่งแรก
เมื่อเห็นที่นอนว่างเปล่าก็รีบถามด้วยความตกใจว่าลูกไปไหน พี่ดินจึงบอกว่าตั้งใจออกไปเล่นกับเดือนข้างนอก มีอะไรรึเปล่า
พูดเสียงดังตกใจหมด พี่เตยรื้อความทรงช่วงสุดท้ายแล้วสาธยายออกมาจนหมดเปลือกว่าเห็นอะไรมาบ้าง

“พี่... เตยอยู่ไม่ได้แล้ว เตยจะย้ายออกวันนี้ เดี๋ยวนี้ หากพี่จะอยู่ต่อ ก็เชิญอยู่ไปคนเดียวเถอะ”

พี่เตยรู้สึกว่าปลายผมยังฟูๆ อยู่ อาการขนหัวลุกเป็นแบบนี้นี่เอง เคยเห็นในละครแล้วรู้สึกว่าเป็นมุขที่เฝือมากจนมาเจอกับตัวนี่ล่ะถึงรู้ว่าไม่ตลก
เธอจัดแจงเตรียมข้าวของ อุปกรณ์เลี้ยงลูก กระเป๋าใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว หลังจากเตรียมของเสร็จเรียบร้อยก็ยกออกมากองหน้าบ้าน
ตะโกนเรียกสามี

“พี่จะไปด้วยกันมั้ย? ถ้าไม่ไปช่วยไปส่งเตยกับลูกที่บ้านแม่ที แล้วเตยขอเงินติดตัวสักสองสามพัน เผื่อซื้อนมซื้อของใช้ด้วย”

พูดจบปุ๊บ พี่เตยเห็นอาการสามีมีพิรุธ (อีกแล้ว) มันเป็นเซ้นต์ของอิสตรี เหมือนมีอะไรปิดบัง และอะไรที่ว่าก็เห็นได้ด้วยตาเปล่านี่ล่ะ
แต่ ณ ตอนนั้นคิดไม่ออกจริงๆ ความกลัวบังตา... กลับมาเรื่องเงิน พอบอกว่าขอติดตัวหน่อย สามีอ้อมแอ้มสารภาพว่าเงินก้อนสุดท้าย
จ่ายเป็นค่าทำพิธีไปเมื่อวาน พอพี่เตยรู้ตัวเลขก็แทบเป็นลม

“สองหมื่น!!? พี่จะบ้าไปแล้วรึไร ทำไมแพงขนาดนั้น ทำไมไม่ปรึกษากันก่อน ทำไมๆๆๆๆ”
ตามมาอีกหลายทำไม หลังจบประโยคคำถาม ก็ตามด้วยประโยคคำสั่ง

“โทรไปหาอาจารย์อะไรนั้นเดี๋ยวนี้เลย”
พี่ดินทำได้แค่รีบกดโทรศัพท์ กดเสร็จปุ๊บโดนคว้าไปจากมือปั๊บ
“อาจารย์บุญเหรอคะ”
“ผมณเดช ศิษย์อาจารย์บุญครับ”
“ขอสายอาจารย์บุญหน่อยค่ะ”
“สักครู่ครับ”
........................................
“ผมอาจารย์บุญครับ”
“อาจารย์บุญคะ ฉันเป็นภรรยาพี่ดินนะ ที่เมื่อวานทำพิธีปัดรังควานจำได้มั้ย”
“อ่อ จำได้ครับ”
“พิธีปัดรังควานบ้อบออะไรคะ ผียังเต็มบ้านอยู่เลย หลอกลวงประชาชน รีบเอาเงินมาคืนเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไปแจ้งความ!”

แล้วพี่เตยก็วางสายไปด้วยความรวดเร็ว คืนโทรศัพท์ใส่มือสามีอย่างแรง และตอนนั้นเองสายตาของเจ้าหนูโคนันก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
มันเป็นสิ่งที่ทำให้พี่ดินอึกอักมาวันสองวัน...
“พี่ดิน... แหวนแต่งงานไปไหน?”
คนโดนซักหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“อ่อ... พี่ถอดไว้ในห้อง” พี่เตยหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“โอเช... ไปหยิบมาสิ๊ที่รัก”

พี่ดินพูดไม่ออก เพราะมันไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่ได้อยู่ที่ไหนในบ้านทั้งนั้น จะบอกหลุดจากนิ้วก็ดูเหลือเชื่อ สุดท้ายจำต้องยอมสารภาพ
อยู่ที่ใครคงพอเดากันได้ ใช่แล้วแหวนแทนรักอยู่ที่พระอาจารย์บุญ หลังไต่สวนได้ความว่าพี่ดินมีเงินไม่พอจ่ายค่าทำพิธี
จำต้องจ่ายเงินพร้อมจำนำแหวนไปในคราวนี้ก่อน รอเงินเดือนออกค่อยไปไถ่ถอนคืน กะว่าจะปิดให้เงียบที่สุด ภรรยาดันตาดีอีก
พี่เตยนึกขึ้นได้... อ่อที่ไปซุบซิบล่อกแล่กกันเมื่อวานเพราะมีดีลกันแบบนี้?? คุณพระ! คิดได้ยังไงกันคุณพี่!
เอาแหวนคุณพ่อที่มอบให้ตอนแต่งงานไปจำนำ!?

“พี่ทำอะไรเนี่ย!” พี่เตยเหมือนฟิวส์ขาดไปแล้ว เธอน้ำตาซึม ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่เพราะโกรธ ทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
อยากมีบ้านสักหลังทำไมมันมีปัญหามากมายจริงๆ พี่เตยโยนกระเป๋าลงพื้นเสียงดังโครม ดังจนเดือนกับตั้งใจวิ่งมาดู
พี่เตยพยายามเก็บอาการกลัวลูกเห็นอะไรที่ไม่เหมาะ เธอนั่งตัวสั่นด้วยความโกรธรอตัวละครอีกคน...

ระหว่างนั้นพี่ดินพยายามอธิบาย บอกว่าอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยไม่อยากให้ภรรยาและลูกไม่สบายใจ
แต่พี่เตยโกรธมากไม่ยอมคุยด้วย ไม่นานนักหลังเก๋งคันเดิมวิ่งมาจอดหน้าบ้าน พร้อมคณะบุคคลเซ็ทเดิมเพิ่มเติมมาอีกหนึ่ง
พี่เตยปรี่เข้าไปต่อว่าด้วยความโมโห บอกว่าเป็นพระอาจารย์จริงรึเปล่า หรือเป็นพวกแก๊งค์ต้มตุ๋น
รีบคืนเงินกับแหวนมาซะดีๆ ก่อนเรื่องจะถึงโรงพัก แต่สิ่งที่พี่เตยคิดไว้เมื่อวานว่าลูกศิษย์อาจารย์บุญดูเหมือนทีมอุ้ม
จริงๆ แล้วก็ใกล้เคียงนั่นล่ะ อันธพาลดีๆ นี่เอง ชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นณเดช) ตบหน้าพี่เตยเสียงดังเผี๊ยะ!
พี่ดินเห็นก็วิ่งเข้าไปจะเอาเรื่อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกคนควักปืนออกมา

“อย่าซ่าส์ เดี๋ยวปืนลั่น... พาลูกเมียเมิงเข้าไปในบ้าน”

เกิดอะไรขึ้น (วะ) เนี่ย พี่ดินคิดในใจ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรขนาดนี้ เจอผีไม่พอมาเจอมิจาฉาชีพอีก ซวยครบสูตรจริงๆ
พี่ดินพยุงพี่เตยให้ยืนขึ้น ปากขอร้องว่าอย่าทำอะไรภรรยา ลูกและน้องสาวเลย อยากได้อะไรก็เอาไป แต่กลุ่มอาจารย์บุญไม่สนใจ
ฉุดกระชากสมาชิกทุกคนเข้าไปในบ้าน ปิดรั้ว ปิดประตู...

พี่ดิน พี่เตย เดือนและตั้งใจถูกพาไปนั่งเบียดชิดกันอยู่มุมห้อง หลังจากนั้นหมาป่าในคราบนักบุญก็ลอกคราบ
อาจารย์บุญลากเก้าอี้มาตรงหน้ากลุ่มคน นั่งลง จุดบุหรี่สูบ พ่นควันใส่หน้าพี่เตย

“ปากจัดเหลือเกินนะคุณผู้หญิง ระวังจะไม่แก่ตาย”

พูดจบก็หัวเราะถัดจากนั้นจับมือพี่เตยขึ้นมาจูบ แล้วดึงแหวนแต่งงาน (อีกวง) ออกไปจากมือ เกิดความกลัวจับใจยิ่งกว่าครั้งไหน
คนที่รู้สึกผิดมากที่สุดคือสองสามีภรรยา พี่ดินรู้สึกผิดที่ความอยากได้อยากมีพาครอบครัวมาสู่หายนะ
ส่วนพี่เตยเสียใจที่เป็นคนใจร้อนพูดก่อนคิดจนพาทุกคนมาเจอสถานการณ์ย่ำแย่อาจถึงชีวิตเช่นนี้ คำวิงวอนส่งไปถึงกลุ่มชายฉกรรจ์

อาจารย์บุญสูดบุหรี่อีกทีคราวนี้พ่นควันไปที่เดือน “หน้าตาดีนะเรา มาเป็นเมียพี่มั้ย” แล้วก็หัวเราะอีก จากนั้นจึงพูดต่อ

“พิธงพิธีอะไรพวกกรูทำไม่เป็นหรอก วิญญาณบ้าบออะไรก็ไม่เคยเห็น กรูพูดไปเรื่อยแต่พวกเมิงมันโง่ อยู่ๆ ก็มาให้เชือดถึงที่
หลอกง่ายอิ๊บหาย อันที่จริงก็น่าจะจบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ดันกล้ามาขู่กรูงั้นเหรอ จะบอกอะไรให้เอาบุญ
ที่กรูบอกว่าจะมีคนมาซื้อบ้านภายในสองสามวันนี้ก็พวกกรูเองนี่ล่ะจะหาคนมาสวมรอย ตอนแรกก่ะว่าทำพิธีจบๆ
ได้เงินสองหมื่นมาใช้เล่นๆ แต่พอมาเห็นบ้านพวกเมิงมันใหญ่โตโอ่อ่าเหลือเกิน ด้านในก็เป็นไม้สัก ราคาก็ไม่แพง
แถมอยู่ท้ายซอยไม่มีใครกวน ถูกใจจริงๆ ว่ะ ฮ่าๆๆ แต่ตอนนี้กรูไม่สนแล้วล่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย?
เพราะก่อนหน้านี้กรูไม่รู้หรอกว่ามีผีเผ่อจริงรึเปล่า แต่อีกสักพักมีแน่ ก็เมิงสี่คนนี่ไง ฮ่าๆๆ”

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

อนิจจา... สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่าผี ก็สัมภเวสีในร่างคนนี่ล่ะ...

เวลาคนมีอำนาจเหนือกว่าก็มักจะกร่างเกินพิกัด จากแมวก็กลายเป็นเสือ จากหมาก็กลายเป็นสิงห์
อาจารย์บุญกับชายฉกรรจ์อีกสามคนนั่งเฝ้าดูลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด คำพูดเหน็บแนมมอบให้พี่ดิน
ส่วนคำพูดสัปดนส่งให้พี่เตยกับเดือน

พี่เตยเป็นผู้หญิงหน้าตาดี สมัยก่อนมีหนุ่มๆ ติดเกรียว แต่เมื่อมีสามีและลูกแล้ว ความน่าสนใจก็ลดวูบ
ดังนั้นความซวยจึงกองอยู่ตรงหน้าเดือน... หลังจากแทะโลมได้ที่ สันดานชายเปลี่ยวก็คุกรุ่น ลูกน้องคนหนึ่ง (สมมุติชื่อโต)
เข้าไปซุบซิบกับลูกพี่อยู่สักแป๊บ พอเห็นอาจารย์พยักหน้า เขาส่งสายตาสุดกระสันไปที่เดือน

พี่ดินเห็นจึงรีบเอาตัวเข้าไปขวาง พยายามขอร้อง พอเห็นว่าไม่สำเร็จจึงเอากำลังเข้าสู้ ผลคือโดนหมัด
เท้า เข่า ศอก แข้งและขาครบ ๙ ศาสตรา นอนสะบักสะบอม พี่เตยเป็นรายต่อไปบอกว่าอย่าทำอะไรเดือน
ผลคือถูกณเดชเอาผ้ามัดปากและแขน เมื่อหมดก้างนายโตเข้าไปฉุดกระชากเดือน เธอร้องไห้ อ้อนวอนขออย่าทำอะไร
แต่น่าสงสารคำวิงวอนเข้าหูซ้ายออกหูขวา เทียบกับคนพวกนี้กระบือยังดูสูงส่งกว่า

เดือนพยายามขัดขืนสุดกำลัง เมื่อโดนขัดใจมากเข้า นายโตควักปืนออกมา
“ขืนยังโวยวายอีกกรูจะยิงทิ้งตรงนี้เลย”
แต่เธอก็ใจเด็ดไม่ยอมถูกข่มเหงง่ายๆ ผลคือโดนหลังมือฟาดหน้าจนทรุดลงกับพื้น พี่ดิน พี่เตยสงสารน้องสุดหัวใจแต่ทำอะไรไม่ได้
เห็นภาพด้านหลังน้องสาวโดนลากไถลไปกับพื้น... พี่เตยคาดว่าด้วยความกลัว เดือนจึงลุกเดินตามไปอย่างว่าง่าย นายโตยิ้มร่า
“เออ ว่านอนสอนง่ายจะได้ไม่เจ็บตัว” ทั้งสองคนหายเข้าไปในห้องนอนของเจ้าบ้าน...

พี่ดินนอนดิ้นไปมาอยู่กับพื้นโดยมีปืนอีกกระบอกจ่อศีรษะ น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งออกมาอย่างไม่อายฟ้าดิน
อาจารย์บุญถือไพ่เหนือกว่าก็ทับถมสารพัด
“พวกเมิงนี่มันงมงายเสียจริง ผีมันมีที่ไหน เพราะความงมงายแท้ๆ พวกเมิงถึงต้องมาซวยแบบนี้ แล้วไอ้ตัวเล็กอายุเท่าไหร่วะ
เสียดายนะไม่อยู่จนโต ถ้าจะโทษโทษพ่อเมิงเลยนะ หน้าโง่ชะมัด ฮ่าๆๆ”

สองสามีภรรยาสวดมนต์อ้อนวอน ขอใครสักคน ใครก็ได้ช่วยให้พ้นจากสถานการณ์นี้ แต่ดูเหมือนถูกตัดขาดจากโลก...
สักพักความช้ำใจต่อชะตายิ่งมากขึ้น เมื่อเห็นนายโต ออกมาจากห้อง กวักมือเรียกเล็ก (นามสมมุติ) ให้ตามเข้าไป
นายเล็กยิ้มกริ่ม เตะปลายเท้าพี่ดิน

“ตากรูล่ะ ฮ่าๆๆ”

นายเล็กเดินเข้าไปในห้องอีกคน พี่เตยไม่สามารถจินตนาการความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเดือนได้ เธอร้องไห้ปานจะขาดใจ
ยิ่งเห็นความเจ็บปวดของคน อาจารย์บุญยิ่งสะใจ รออยู่สักพักจึงสั่งลูกน้อง
“อย่าทำอะไรโง่ๆ นะไอ้น้อง ไม่งั้นจะฆ่าเมียกับน้องเมิงจริงๆ ณเดช เฝ้าไอ้นี่ไว้ ส่วนคุณผู้หญิงตามมานี่ เราไปสนุกกันดีกว่า”

อาจารย์บุญลากพี่เตยตามไปที่ห้องอีกคน หมายกระทำชำเรา พี่เตยทั้งดิ้นทั้งสะบัดแต่ไม่สามารถขัดขืนผู้ชายได้
มารศาสนาเปิดประตูเข้าไปตะโกนเสียงดัง

“พอๆ พวกเมิงไปสนุกกันข้างนอกโน่น ตากรูมั่งล่ะ”

แต่โปรเฟสเซอร์ต้องพบกับความฉงน แทนที่จะเห็นภาพสองสมุนข่มเหงน้ำใจหญิงสาว กลับเห็นทั้งสองนอนนิ่งอยู่บนพื้น
มือสองข้างชูมัดติดกับผ้าม่าน (ที่เคยพลิ้ว) ส่วนเดือนนั่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีเค้าลางว่าถูกหยามน้ำใจ
และที่สำคัญมีอีกสิ่งที่ทำให้อาจารย์บุญถึงกับผงะ เมื่อพื้นปูนสีเทาที่เขานั่งทำพิธีเมื่อวาน วันนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนเลือด...

“เชี่ยอะไรวะเนี่ย!?” อาจารย์บุญร้องเสียงหลง พลางเรียกสมุนทั้งสองคนลั่น ทั้งสองนอนนิ่งเงียบ แต่เสียงอาจารย์บุญปลุกให้ใครอีกคนตื่นขึ้น
เดือนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ อาจารย์บุญเห็นก็ร้องลั่นอีกรอบ

“เชี่ย! เมิงเป็นใครวะ”

พี่เตยสุดแสนจะงงงวย สิ่งที่อยู่ภายในห้อง ผิดวิสัยสุดก็คือชายสองคนที่นอนนิ่งมือถูกมัด ที่เหลือเป็นปกติ
แต่ทำไมอาจารย์บุญดูตกใจสุดประมาณ...

อาจารย์บุญผงะล้มลง ตั้งหลักได้รีบวิ่งออกมาจากห้อง เดือนก้าวเท้าผ่านพี่สะใภ้ช้าๆ และยิ้มให้พี่เตยแวบหนึ่ง
ในขณะที่น้องสาวเดินผ่าน ขนพี่เตยก็ลุกพรึ่บ เมื่อได้กลิ่นน้ำอาบฝาดๆ จางๆ ลอยผ่านจมูก

โปรเฟสเซอร์วิ่งเข้าไปหาณเดช ละล่ำละลักบอกด้วยความตกใจ
“ยิงมัน! ยิงอีนังนั่นเร็วโว้ย”
ลูกน้องคนสนิทก็ดูตกใจไม่แพ้กัน “เห้ย แมร่งใครวะนั่น”
อาจารย์บุญไม่สนใจบอกให้ยิงเร็วๆ ณเดชจึงตอบกลับ

“ยิงเยิงอะไรล่ะลูกพี่ นี่มันปืนเก๊!”

ประโยคนั้นแล่นผ่านเข้าหูพี่ดินที่นอนแผ่สองสลึงอยู่ แต่มันทำให้เห็นทางรอด เขาค่อยๆ คลานไปหยิบกีตาร์โปร่งตัวโปรด
คิดในใจด้วยความเดือดดาล ‘ยังงี้ก็สวยสิไอ้หอกหัก’

เขาลุกขึ้นยืนถทึงแล้วฟาดกีตาร์ใส่กึ่งก้านคอกึ่งกบาลณเดชจนกีตาร์แตกกระจายเป็นชิ้นๆ เบ๊คนสนิททรุดฮวบลงกับพื้น...
อาจารย์บุญเห็นเข้าก็ไม่รอช้าใส่เกียร์หมาเปิดประตูวิ่งหนีออกจากบ้านตรงไปที่รถทันที แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มคนยืนรออยู่ด้านนอก
เป็นชายฉกรรจ์ท่าทางภูมิฐานสามคนและชายชราหนึ่งคน

พี่ดินในสภาพชุ่มโชกเลือดกระเจือกกระสนวิ่งตามออกมาติดๆ เมื่อกลุ่มคนข้างนอกเห็นจึงรวบตัวอาจารย์บุญทันที
สายตาพร่าเลือนของพี่ดินมองไปที่กลุ่มคนและอุทานเบา
“คุณตา (เจ้าของบ้าน)”

เสียงไซเรนดังไปทั่วซอย บรรดาไทยมุงพยายามเบียดแทรกกันเข้ามา แต่ถูกตำรวจกันให้ออกห่างจากพื้นที่ บริเวณหน้าบ้าน
กลุ่มมิจฉาชีพภัยสังคมทั้งสี่ถูกใส่กุญแจมือนั่งกองกันอยู่กับพื้น สองในสี่ผมชี้โด่แสดงท่าทางหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
ภายในบ้านพี่ดินนั่งให้พยาบาลทำแผล ส่วนเดือนก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง จำได้แค่ว่าถูกนายโตตบไปหนึ่งฉาดจากนั้นก็วูบสลบไปเลย
ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง

กลายเป็นคดีปริศนาในห้องปิดตาย (ปิดตายตรงไหน)

ส่วนเหตุการณ์อื่นๆ เหลือเพียงคนเดียวที่พอให้ความกระจ่างได้ หลังจากให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พี่เตยเข้ามานั่งคุยกับชายชรา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” คุณตาถามทันที พี่เตยจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง พรั่งพรูเป็นชุดยาวเหยียดตั้งแต่เริ่มซื้อบ้าน
เจอเหตุการณ์แปลกๆ อะไรต่อมิอะไรจนมาเจอแก๊งค์อาจารย์บุญมะเร็งร้ายของสังคม ตลอดการเล่าก็เหน็บชายสูงวัยเป็นระยะ
พอฟังจบคุณตาจึงขอโทษขอโพยแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วบอกว่าหลานเล่าให้ฟังแล้วว่าพี่ดินกับพี่เตยอยากขายบ้านคืน
เขาจะรับซื้อพร้อมจ่ายค่าทำขวัญให้ก้อนหนึ่ง พี่เตยดีใจอย่างสุดซึ้งตกปากรับคำทันที ความขุ่นเคืองในอดีตที่หลอกขายบ้านผีสิงให้
เป็นอันจบกันที่ตรงนี้ ทางใครทางมัน ปิดดีล

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่เตยต้องถามให้หายค้างคาใจ เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันถึงขีดสุด เพิ่งผ่านความเป็นตายมาหยกๆ อะไรเธอก็ไม่กลัวอีกแล้ว
แม้กระทั่งผีสางนางไม้

“คุณตารู้จักคนชื่อเสรียงมั้ยคะ?”

ประโยคคำถามนั้นทำให้คุณตาคิ้วขมวด “หนูไปได้ยินชื่อนี้มาจากใครรึ?”

พี่เตยเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงคุณยายคนนั้น “จะรู้มาจากไหนไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่หนูรู้ว่ามันนี่ล่ะเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายๆ ในบ้านหลังนี้”

คุณตาถอนหายใจ “เขาไม่ใช่คนไม่ดี” แต่คุณตายังพูดไม่จบอาการปากไวกว่าสมองของพี่เตยกำเริบทันที
“อ๋อ เป็นเมียน้อยเขานี่คงดีนักสินะคะ จะได้จำไว้ คนอะไรแค่ชื่อก็ขนลุกแล้ว... นังเสรียง”
คุณตาดูเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก แต่อาบน้ำร้อนมาเยอะ เก็บอาการง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ไม่เหมือนพี่เตยที่คนที่สนิทจะรู้สิ่งเธอคิดก่อนเธอจะคิดเสียอีก คุณตาเริ่มพูดช้าๆ

“เธอเป็นน้อยก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นคนชั่วช้าสามานย์ กลับกันเสียอีก เธอเป็นคนดีและน่ารักมากกว่าใครๆ ที่ตาเคยรู้จัก
แต่ก่อนที่จะเล่าอะไรให้ฟัง ตาวอนนิดเดียว อย่าเพิ่งอคติกับความที่ได้ฟังมาเพียงข้างเดียว ลองเปลี่ยนคำนำหน้านามเธอสักนิดสิ
แม่หนูรู้มั้ย? เพียงแค่ชื่อไม่ใช่สิ่งที่บอกกำพืดคน”

คุณตาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนพูดเบาๆ “ลองเปลี่ยนจากนังเป็นคุณสิ... คุณเสรียง”

คุณเสรียง... พี่เตยพูดเบาๆ
เออเนอะ เป็นอะไรที่น่าแปลก ตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้บวกกับมี ‘นัง’ ต่ออยู่ด้านหน้า พี่เตยขนลุกซู่ทั้งที่แดดเปรี้ยง
ใจพาลคิดว่าคนๆ นี้ไม่เป็นผีกะเหรี่ยง ผีพม่า ก็ผีล้านนา แต่พอเปลี่ยนคำนำหน้านามปุ๊บ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป

‘งานนี้ต้องมีใครมุสาแน่ๆ ค่ะสารวัตรเมงูเระ’

“เอาล่ะ ลองฟังเรื่องนี้ดูก่อนแล้วตัดสินใจอีกทีนะแม่หนู”
จากนั้นคุณตาอดีตเจ้าของบ้านก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนี้ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษปู่ย่า พอมาถึงยุคคุณชิต ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน
อันเอื้อให้ได้รับผลประโยชน์มากมาย ทรัพย์สินเงินทองที่แต่เดิมมีมาก ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น แขกเหรื่อแวะเวียนมาที่บ้านกันเป็นประจำ
จนคุณชิตมีความรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันคับแคบไป ไม่สู้สมวิทยฐานะข้าราชการใหญ่แห่งกระทรวงเศรษฐการ (กระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบัน)
ในที่สุดจึงย้ายไปปลูกบ้านใหม่ หลังใหญ่พร้อมบ่าวบริวารนับสิบ ปิดบ้านหลังนี้เป็นการชั่วคราว

คุณหลวงมีภรรยาเอกชื่อว่าคุณอมราอันเป็นบุตรีพระยาคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันหลายปี แรกก็รัก แต่หลังๆ ลิ้นกับฟันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นปกติ แต่ทั้งคู่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือทิฐิ เพราะต่างถือว่าตนก็ผู้ดีเก่าทั้งคู่ นานวันเข้าความระหองระแหงกัดกินจนความสัมพันธ์ไม่ดีดั่งเดิม กอปรกับคุณอมราไม่มีบุตรให้คุณชิตเชยชมเสียที

วันดีคืนดีคุณหลวงได้รู้จักกับเจ้าสัวคนหนึ่ง ฐานะนับได้ว่าเป็นเศรษฐีย่อยๆ คุยกันถูกคอพบปะสังสรรค์กันประจำ
เย็นวันหนึ่งเจ้าสัวเชิญคุณหลวงไปบ้านเพื่อคุยเรื่องสินค้าล็อตใหญ่ที่กำลังนำเข้ามาจากแผ่นดินใหญ่
เย็นนั้นคุณชิตได้พบกับลูกสาวของเจ้าสัว นั่นคือคุณเสรียง ด้วยความเป็นหญิงสาวลูกครึ่งไทย-เจ๊ก ผิวขาวนวลหน้าตาสวยใสไร้ตำหนิ
คุณหลวงเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อนาง คิดออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่ค่ำนั้น...

พี่เตยนั่งฟังบทละครพีเรียดเงียบๆ หลายอย่างเริ่มตีวงแคบเข้า รูปพรรณที่ได้ยินมันใกล้เคียงกับสุภาพสตรีนางหนึ่งที่เห็นเมื่อคืนชะมัด
ว่าแล้วก็ขนลุก...

คุณหลวงพยายามเกี้ยวทุกครั้งที่มีโอกาส ณ ตอนนั้นคุณเสรียงจะมีจิตเสน่หาตอบหรือไม่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเธอเอง
แต่ที่แน่ๆ เธอรู้ว่าคุณชิตมีเมียอยู่แล้ว จึงพยายามรักษาระยะห่าง เมื่อเข้าทางลูกไม่ได้ คุณชิตจึงเข้าทางพ่อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นาๆ
ทั้งบอกว่าจะช่วยให้สินค้าจำหน่ายขายคล่องในสยาม พร้อมแจงความประสงค์ว่าไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ ในดีลนี้ ขอเป็นลูกสาวเจ้าสัวละกัน
คุณพระ... ขอดื้อๆ กันแบบนี้เลย?

เจ้าสัวแสนอึดอัดเพียงใด แต่สุดท้ายขนบโบราณยากที่จะขืน ตนเองก็ไม่ได้นามสกุลเจียรว..... ถึงจะกล้าหักอำนาจรัฐ
เอาอนาคตทางธุรกิจไปเสี่ยงก็กระไร จุดท้ายกลั้นใจเอาลูกสาวใส่พานผูกโบว์ส่งไปให้ข้าหลวงใหญ่แลกกับความมั่งคั่งทางธุรกิจ

“ถึงคุณเสรียงจะมีเชื้อเจ๊ก แต่กิริยานั้นอ่อนหวานในขณะเดียวกันก็มีความซุกซนปนเข้มแข็ง ถึงหน้าชื่นอกตรม
แต่น้ำตาไม่เคยไหลออกมาสักหยด เธออาภัพรับสถานภาพภรรยาน้อยอย่างจนใจ... ในที่สุดบ้านหลังนี้เปิดอีกครั้ง เป็นรังรักของคุณชิต
เมื่อสนิทกันมากเข้า น้ำหยดลงหินทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความรักที่คุณชิตบรรจงหยดเรื่อยๆ ในที่สุดคุณเสรียงก็เริ่มใจอ่อนผูกพันโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็เจียมตนว่าเป็นน้อย ไม่เคยออกงาน เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน”

นิยายชัดๆ พี่เตยเริ่มอิน...

“สัปดาห์หนึ่งคุณชิตจะหมกตัวอยู่ที่นี่เสียกว่าครึ่ง เมื่อเห็นคุณเสรียงอยู่กับบ่าวแค่คนเดียวจึงแบ่งจากบ้านใหญ่มาไว้ที่นี่อีกหลายคน
ทุกคนล้วนเคารพรักเธอ รวมถึง... ” คุณตาเว้นช่วง
“รวมถึงตาเองซึ่งเป็นหลานชายของคุณชิต ตอนนั้นตายังเล็กนัก จำอะไรไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าคุณเสรียงเป็นคนสวย เนื้อตัวหอมตลอดวัน
ใจดีแต่ว่าซุกซน ตารู้ว่าลึกๆ เธอรักคุณชิตมากแต่ไม่ค่อยแสดงออก เพราะครั้งหนึ่งตาเห็นคุณเขาไปได้แพรเนื้อดีสีมุกมาหนึ่งผืน
จึงบรรจงปักลายตรงชายผ้าพร้อมตัวอักษรว่า 'CS' ตาเคยถามว่าคืออะไร แต่เธอไม่บอก บอกแต่ว่าเป็นของขวัญให้ใครคนหนึ่ง

'ไว้คลุมยามหนาว คราวใดเศร้าเอาไว้ซับน้ำตา' ในตอนนี้ตาอนุมานเอาเองว่ามันคือชื่อย่อของทั้งสอง ชิต... เสรียง"

คุณพระ... โรแมนติกยิ่งนักแม่คุณเอ้ย

“คุณเสรียงเอ็นดูตามาก ทะนุถนอมดุจลูก บ่าวในบ้านแกก็เอื้อเฟื้อเกินสมควรเสียด้วยซ้ำ... แต่ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน
ระดับคุณหลวงมีบ้านเล็กปิดยังไงก็ไม่มิด ลางร้ายเริ่มมาเยือนเรือนหลังนี้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานความรู้ถึงหูคุณอมรา
เธอกริ้วมาก ทะเลาะกับคุณหลวงครั้งใหญ่ คุณชิตยืนกรานว่าสองบ้านไม่เกี่ยวกับ (สมัยนั้น) ใครๆ ก็มีบ้านเล็กบ้านน้อยทั้งนั้น
แต่คุณอมราไม่ยอม คุณชิตแม้จะรักคุณเสรียงมาก ตำแหน่งในสังคมก็ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเรื่องถึงผู้ใหญ่จุดจบจะเป็นอย่างไร ใครๆ ก็รู้
ระหว่างลูกสาวเจ้าคุณกับลูกสาวเจ้าสัว คุณหลวงโดนมัดมือให้เลือกคุณอมราอย่างจำยอม”

“เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ความเลวร้ายเหลือเกิดขึ้นกับผู้หญิงตัวเล็กๆ เย็นวันหนึ่ง คุณหญิงอมรากับบ่าวบ้านใหญ่ทั้งชายหญิงจำนวนมากแวะมาที่นี่
จากนั้นไล่บ่าวบ้านเล็กออกไปจนหมด”

คุณตาเจ้าของเดิมนิ่งเงียบ สายตาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม

“ตาโดนบ่าวคนหนึ่งจูงออกมาด้านนอก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือคุณเสรียงซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นถูกคุณอมราทำร้าย ทั้งตบทั้งตี
นั่นเป็นครั้งท้ายๆ ที่ตาเห็นคุณเสรียง”

ทุกอย่างเงียบกริบ พี่ดินกับน้องสาวนั่งฟังอยู่ห่างๆ ด้วยความงง ส่วนพี่เตยจุกแน่นในอกหายใจแทบไม่ออก

คุณตาเล่าต่อว่า หลังจากนั้นเขาถูกส่งไปเรียนประจำ แทบไม่มีโอกาสได้เจอใครอีก บ่าวบ้านเล็กต่างหลบหนีกันไปหมด
ใครที่สนิทกับคุณเสรียงก็จะหายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางข่าวลือว่า ‘ฝีมือท่านเจ้าคุณ’
แม่ของคุณตาก็ไม่อยากให้เฉียดเข้าไปใกล้ทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็ก สองครั้งสุดท้ายที่ได้ไปเยือนบ้านใหญ่คือคราวงานศพคุณหลวงชิต
และคุณหญิงอมรา...

ในพินัยกรรมของคุณชิต ระบุชัดว่าบ้านหลังนี้ยกให้เป็นสมบัติของน้องสาว (แม่คุณตา) และต่อมาแม่ก็ยกต่อให้ลูก (คุณตา)
แหม... มาถึงขั้นนี้เด็กมัธยมยังเรียบเรียงได้เลย แต่ยังมีคำพูดบางอย่างซุกซ่อนในประโยค มันมิอาจรอดพ้นสายตาเจ้าหนูโคนันอิจิ
(โคนัน+คินดะอิจิ)

“เมื่อกี้คุณตาพูดว่าครั้งท้ายๆ แสดงว่ายังเคยได้เจอเธออีกใช่มั้ย” พี่เตยถามเสียงเศร้า

คุณตานิ่งอยู่ครู่
“คุณเสรียงเธอหายไปนานเหลือเกิน ตาเจอคุณเขาอีกสองครั้ง ครั้งแรกคือคืนก่อนที่คุณดินจะมาติดต่อขอซื้อบ้าน
เธอมาเข้าฝันนัยว่าบ้านหลังนี้กำลังได้รับเกียรติต้อนรับเจ้าบ้านใหม่กระมัง ส่วนครั้งที่สองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
เธอบอกว่ามีแขกไม่พึงประสงค์มาเยือนเรือน ให้รีบมา”

ขนแขนสแตนอัพพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย...

พี่เตยมองรอบบ้านอย่างหวาดๆ (ใครไม่หวาดก็คนเหล็กแล้ว) พลางหันกลับไปดูแก๊งค์มิจฉาชีพที่กำลังโดนตำรวจลากไปขึ้นรถ
สองคนเหมือนกลัวอะไรสักอย่างถึงขีดสุด ส่วนอีกสองก็นั่งจ้องเดือนด้วยความงุนงง
เอาล่ะ... คดีปริศนาบนเส้นขนานคงใกล้ถึงจุดจบ ไม่ใครก็ใครต้องโกหกคำโตกันล่ะพี่เตยคิดในใจ
คุณตายิ้มพรายพูดก่อนที่พี่เตยจะพูดเสียอีก

“มีไม่กี่คนที่อายุยืนยาวรับรู้เหตุการณ์เมื่อครั้งกระโน้นหรอก ตาพอรู้เลาๆ ว่าแม่หนูได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร เอาล่ะ... เพื่อความยุติธรรม
เราไปหายายโฉมกันเถอะ”

พี่เตยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คุณยายคนนั้นชื่อโฉมงั้นหรือ... ทั้งสองไปรู้จักกันได้ยังไง? อย่าบอกนะเคยกิ๊กกั๊กกัน!?

ส่วนเดือนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ความทรงจำล่าสุดคือถูกจิ๊กโก๋กำมะลอเอาปืนขู่ พอขัดขืนจึงโดนทำร้ายจนสลบหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้
พี่ดินจึงนั่งปลอบน้องสาวที่กำลังขวัญเสีย และฝากพี่เตยกับคุณตาไปตามหาปริศนาชิ้นสุดท้าย คุณตาบอกให้หลานทุกคนอยู่เป็นเพื่อนพี่ดิน
ส่วนตัวเองกับพี่เตยเตรียมตัวไปหาใครคนหนึ่ง เมื่อหลานคนสนิทจะไปด้วยคุณตาบอกว่า

“อย่าไปกันเยอะ ยายโฉมไม่ใช่คนที่จะคุยได้ด้วยจำนวนคนหรือกำลัง”

แต่คุณตากลับชวนใครคนหนึ่งตามไปด้วย คนๆ นั่นคือน้องตั้งใจ... ทั้งสามมุ่งหน้าไปบ้านยายโฉมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
บริเวณประตูรั้วหญิงสาวชื่อพรยืนชะเง้อชะแง้ไปทางก้นซอยที่มีเสียงไซเรนดังเป็นระยะ เมื่อเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าเดินมาก็ถามว่ามาหาใคร
พี่เตยถามพรว่าจำตนได้มั้ยเคยเจอกันเมื่อวันก่อน ขอเข้าไปคุยกับคุณยายหน่อย พรกลับเข้าไปในบ้าน ระหว่างนั้นคุณตาบอกว่า
ถ้าคุณยายพูดอะไรให้นิ่งเข้าไว้ อย่าทำให้แกโกรธ พี่เตยก็งงเด้ๆ

สักพักพรวิ่งกลับออกมาบอกว่าคุณยายไม่อยากคุย บ้านหลังนั้นเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้เล่าไปหมดแล้ว พี่เตยขึ้นปรี๊ดด นึกในใจ
ก็เพราะเรื่องนี้ถึงได้มา จะได้รู้กันไปเลยว่าใครสตอกันแน่ และขอบอกกงๆ ตอนนี้ค่อนข้างเอนเอียงมาทางคุณตาที่ยืนข้างๆ มากกว่าด้วย
พี่เตยพยายามพูดว่ามีเรื่องสำคัญ แต่พรก็ไม่ยอมให้เข้าไป สุดท้ายคุณตาบอกเอ่ยแทน

“เข้าไปถามอีกรอบ บอกว่าคนชื่อโชติมาหา”

พรทำหน้างงๆ แต่ก็หายกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง และเมื่อวิ่งออกมาอีกรอบ คราวนี้เธอบอกว่าคุณยายยอมให้เข้าพบได้
นั่นปะไร! กิ๊กเก่ากันแหง พี่เตยมโนเพลินเลย

ทั้งสามเดินเข้าไปในบ้านอันมืดครึ้ม เมื่อถึงส่วนรับแขกพบคุณยายนั่งอยู่บนตั่งตัวเดิม ดูตระหนกเล็กน้อยที่เห็นคุณตาโชติเดินนำหน้ามา
แกมองคุณตาแล้วเลยผ่านไปที่น้องตั้งใจ ไม่แลพี่เตยแม้แต่น้อย เออ... เอาที่สบายใจ ประเดี๋ยวให้รู้ความจริงก่อนเถอะ
แม่จะวีนให้บ้านแตกเลย ผู้ดีกงผู้ดีเก่าอะไรไม่สน แต่พี่เตยก็แปลกใจที่เห็นคุณยาย ยกมือสวัสดีคุณตาช้าๆ (อย่างเชิดๆ)

“สวัสดีค่ะคุณโชติ”

คุณตารับไหว้แล้วไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ไอ้เรื่องวัยน่ะก็ใกล้กันอยู่ ห่างกันคงไม่กี่ปี แต่ใครอาวุโสกว่าก็ฟันธงลำบาก แต่ที่แน่ๆ
ยายโฉมดูเกรงใจคุณตามากกว่าที่เกรงใจพี่เตยมาก

“สบายดีรึคุณโฉม”
“ไม่เจ็บไม่ไข้ ไอ้ที่รังควานอยู่ก็โรคชรา”

ทั้งสองสนทนาราวกับคนมักคุ้นกันมาเนิ่นนาน ดูไปดูมายังกับคู่รักที่พลัดพราก ใช่แน่ๆ มันต้องใช่แน่ๆ แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น
จะไถ่ถามสารทุกข์กันอีกนานมั้ย? เข้าเรื่องซะทีเถอะ ฉันเพิ่งเกือบตายมานะ อยากรู้ว่าใครสตอกันแน่ เพราะมันมีผลกับการตัดสินใจหลายอย่างรวมถึงว่าจะอยู่หรือย้ายออกจากบ้านหลังนั้น คุณตาก็รู้ใจเหลือเกินหลังจากนั้นจึงเริ่มเข้าประเด็น

“ทำไมคุณโฉมถึงปดเรื่องคุณเสรียงอย่างนั้น”

คุณยายวรนาถได้ยินก็ชะงัก หน้าถอดสีเล็กน้อย เรียงเม็ดไม่ยากว่าพี่เตยกับคุณตาคงได้คุยกันไปแล้ว ปัญหาคือคุยไปแล้วแค่ไหน
“คุณโชติพูดเรื่องอะไรรึ ฉันไม่เข้าใจ”
นั่นไง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าใครโกหก นังผู้ร้ายปากแข็ง วันก่อนเล่าเสียเป็นฉากๆ วันนี้อัลไซเมอร์กำเริบรึไง ประเดี๋ยวแม่จะด่าให้ยับเลย
เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกับเตยตลาดสด

“นี่คุณยายคะ ไม่เข้าจงไม่เข้าใจอะไร เพิ่งเล่าให้ฟังวันก่อนหยกๆ ความจำเสื่อมขึ้นมารึไงคะ”
ธนูดอกแรกพุ่งฉิวไปหาคุณยายโฉม แต่เธอไม่ธรรมดา ไม่ปรายตามองด้วยซ้ำ ทำยังกับพี่เตยเป็นอากาศธาตุ
“ถ้าจะมาแสดงกิริยาไพร่ๆ ในบ้านฉันก็ออกไปเสียให้พ้นๆ รกตาไม่พอยังมารกหูกับเสียงแว๊ดๆ ของหล่อนอีก”

ตู้ม!! แล้วทุ่งข้าวสาลีเคลือบช็อคโกแลคก็ระเบิดเป็นโกโก้คลั้นช์ อารมณ์พี่เตยพุ่งปรี๊ดในพริบตา เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
ยังไม่เคยถูกใครว่าถึงขนาดนี้ อันมาตรฐานคนไทยสมัยเจ้าคุณทวด ไพร่ = สามัญชน มันเป็นเรื่องเข้าใจได้
แต่ไฉนโดนเหน็บว่าไพร่กงๆ มันถึงได้ชาไปทั้งหน้าแบบนี้ โอเคอยากก่อสงครามใช่มั้ย เดี๋ยวเจ๊จัดให้

แต่คุณตาก็ไวทายาด ลุกขึ้นขวางพี่เตยไว้ พร้อมทำปากขมุบขมิบอะไรบางอย่าง ส่ายหน้าจนเวียนหัวกว่าที่พี่เตยจะยอมสงบ
เธอสะบัดพรืด ไม่สามารถทนมองคุณยายได้อีก (เดี๋ยวธาตุไฟเข้าแทรก)

คุณตากวักมือเรียกตั้งใจให้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกล่อมยายโฉมว่าสงสารเด็กตาดำๆ มันเถอะนะ แต่คุณยายก็ยังตีมึนบอกว่าไม่เห็นเกี่ยวกัน
คุณตานิ่งไปครู่ใหญ่นี่เป็นการประชันปัญญาของคนวัยดึก อันว่าต้องการให้ความจริงกระจ่างว่าใครมุสาก็เรื่องหนึ่ง
แต่ยังมีอีกเรื่องที่คุณโชติอยากจะรู้... อยากมาหลายสิบปีแล้ว คุณตาเชื่อว่าคุณเสรียงได้จากไปนานแล้ว
แต่ไฉนถึงมาปรากฏกายให้เห็นราวกับภูติผี นึกได้อยู่ประการเดียว เธอยังวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
และเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องราวทั้งหมดคือหญิงชราที่นั่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นบ่าวสาวคนสนิทของคุณหญิงอมรา เธออยู่ด้วยในวันนั้น วันที่เกิดเรื่อง...

“เรื่องราวมันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ความจริงเป็นเช่นไร พวกเราต่างรู้กันดี คุณโฉมบอกมาเถอะว่าทำไมถึงปดไปแบบนั้น” คุณตาตะล่อมต่อ
“พวกเราที่ว่า... ก็แค่คุณโชติกับฉัน ทำไมถึงคิดว่าฉันปดอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ? เป็นคุณโชติเองรึเปล่าที่ไม่เล่าความจริงให้คนซื้อทราบว่า
บ้านหลังนั้นมีประวัติยังไง เล่นแจงกันไม่หมดแบบนี้ ออกจะเจ้าเล่ห์เกินไปนะ”

หือ? พี่เตยหันขวับ คิดในใจ ‘อย่าเพิ่งหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตอนนี้ได้มั้ย คือ... หนูอยากรู้ความจริงง่ะ’

“บ้านหลังนั้นเป็นของคุณชิต ลุงของคุณไม่ใช่หรือ?”
คุณยายพูด คุณตานิ่ง
“คุณก็ทราบว่าท่านตบแต่งมีภรรยาแล้ว?”
คุณยายพูด คุณตานิ่ง
“แล้วนังเสรียงนั่นมันก็เป็นเมียน้อยของคุณท่านไม่ใช่หรือ?”
คุณยายพูด คุณตานิ่งต่อ
“และเพราะความมักมากเลือกกินน้ำใต้ศอก ก็ทำให้มันก็ตายอยู่ในเรือนนั้นจริง ตรงไหนรึที่เรียกว่าปด?”
คุณพระ... โฮล์มส์กำลังโดนไอรีน แอดเลอร์ต้อนเข้ามุม คุณตาดูเมาหมัด แถมอาการไม่สบายกำเริบอีกต่างหากสีหน้าดูไม่สู้ดีนัก

"คุณโชติไม่สบายรึ ฉันว่าคุณกลับไปพักผ่อนดีกว่ามาเสียเวลากับของคนอื่น (ปรายตาไปที่พี่เตย) ฉันเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน"
เสียงยานคางพูดต่อ คุณตาสูดลมหายใจลึกและยาว ประคองสติ
“แค่กๆ เรื่องที่คุณพูดมาก็ถูกทั้งหมด บ้านนั้นคือบ้านคุณหลวงชิตซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงผม และคุณเสรียงก็เป็นน้อยจริงตามที่คุณว่า”
โชติล็อค โฮล์มส์เงียบอยู่ครู่
“แต่คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณเสรียงเสียชีวิตในเรือนนั้น”
คุณยาย “...........”

“นั่นเพราะวันนั้นคุณกับคุณหญิงรวมถึงบ่าวบ้านใหญ่ลงมือฆ่าคุณเสรียงใช่หรือไม่”
คุณยายอ้าปากจะพูด แต่คุณตาไม่ปล่อยนาทีทอง ด้วยต้องการเค้นให้จนมุมจำต้องพูดในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูดแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะมันเป็นการหมิ่นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว
“คุณมันก็อำมหิตไม่แพ้คุณอมรา ร่วมกันฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ลงคอ ไม่ใช่สิต้องบอกว่าคุณอมราต่างหากที่อำมหิตผิดมนุษย์
เสียทีเกิดเป็นลูกพระน้ำพระยาจิตใจกลับต่ำตมสกปรก หน้าใสใจคด ฆ่าเพศเดียวกันได้ลงคอ เสียทีเกิดเป็นคน
ไม่รู้ว่าคุณลุงไปคว้ามาทำเมียได้ยังไง”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณโชติ!" หญิงชราตะโกนเสียงแหบหอบและถี่พอกันตามสภาพวัย "ต่อให้เป็นคุณก็ไม่มีสิทธิ์ว่าคุณท่านทั้งสอง
ถึงคุณหญิงจะพลั้งมือฆ่านังนั่นจริงแต่ก็สาสมกับความมักมากของมันแล้ว ฉันแสนยินดีเหลือเกินที่นังเสรียงมันตายๆ ไปซะได้
คุณหลวงท่านจะได้ตาสว่างกลับมาครองคู่กับคนที่คู่ควร กลับมาอยู่กับคุณหญิง กลับมาให้โฉมปรนนิบัติ ไม่ใช่อีนังกาลกิณีนั่น!
มันสมควรตายแล้ว”

ดวงตาเล็กหรี่เปี่ยมไปด้วยความแค้น ทุกร่องรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความปรีดาดูน่าหวาดหวั่น

เอาล่ะปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว ถึงตาฉันใส่บ้างล่ะนะยายแก่โรคจิต... พี่เตยลุกพรวดเตรียมจัดหนัก แต่คุณตายกมือปรามไว้อีก
มือแห้งเล็กนั้นสั่นอย่างอ่อนแรก

“อย่าบอกนะ...” คุณตาเอ่ยเบาๆ แต่คุณยายโฉมนั่งนิ่งไม่พูดจา ความเงียบปกคลุมห้องรับแขก ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นานจนพี่เตยรู้สึกอึดอัด
อะไร... เกิดอะไรขึ้น ไม่เข้าใจวุ้ย สักพักคุณตาถึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงจนพี่เตยงง กำลังได้เปรียบ
ทำไมต้องยอมอ่อนข้อให้ด้วยล่ะคุณตา? ด่าต่อสิ

“คุณโฉมเอ้ย เรื่องราวมันก็ผ่านมานานแล้ว ซากเก่าที่หลงเหลือจากอดีตก็มีแค่เราสองคน ความผิดใดแต่หนหลังก็อโหสิกรรมกันเถอะนะ
คุณดูเด็กคนนี้นะ (ตั้งใจ) แกน่าเอ็นดูใช่มั้ยล่ะ? ผมว่าแกหน้าตาคล้ายคุณชิตอยู่นะ”

หือ!? อะไรนะ พี่เตยสะดุ้งวาบ ลูกอิชั้นหน้าเหมือนคุณหลวงชิต? ไปเป็นญาติกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีทางล้านเปอร์เซ็นต์
คุณตาเอาอะไรมาพูดหรือที่ชวนน้องตั้งใจมาเพราะจุดประสงค์บางอย่าง? โอ้ยปวดกบาล
“เถอะนะคุณโฉม เล่าให้ฉันฟังเถอะว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ฉันขอร้อง” เสียงคุณตาวิงวอน
ยายโฉมพยายามเพ่งน้องตั้งใจ หล่อนยื่นหน้ามาใกล้จนตั้งใจกลัว ภายในดวงตาเล็กๆ มีน้ำใสๆ ปริ่มอยู่
ครู่ใหญ่เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือความยินดีมากกว่าเศร้าโศก ดูน่าขนลุกสุดสะพรึง

“คุณหญิงไม่ได้ตั้งใจ ท่านเห็นนังนั่นกุมแพรผืนหนึ่งไม่ยอมปล่อย พอทราบถึงที่มาก็บันดาลโทสะพลั้งมือเอาแจกันทุบไปที่หัวนังนั่นอย่างแรง
แพรที่มันรักนักหนาร่วงหลุดมือพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของมันที่ล้มลงไปกองกับพื้น อ่าาาาา... ฉันจำได้ดีเลือดที่ไหลออกมา
ย้อมแพรสีขาวผืนนั้นกลายเป็นสีแดง”

..................................................................................

“คุณหญิงท่านเคยเมตตาให้มันเก็บของออกไปจากชีวิตคุณท่าน มันก็ยังดื้อด้านอยู่ สำรอกมาได้ว่าจะอยู่อย่างเจียมตน ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง...
คุณหญิงท่านดูตระหนกนะที่พลั้งมือฆ่านังนั่น แต่ก็เป็นฉันนี่ล่ะที่บอกว่าอย่าไปรู้สึกผิดกับการลงทัณฑ์คนชั่ว อ่าาา... รู้สึกดีจริงๆ
ตอนที่เห็นมันล้มลงไปกองกับพื้น ไม่น่าเชื่อว่าเลือดชั่วของมันจะมากพอย้อมแพรสุดรักสุดหวงของมันให้กลายเป็นสีแดง ฮิฮิ”

พี่เตยชะงักงันไป ไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงชราท่าทางไม่มีพิษสงจะพูดอะไรอำมหิตแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย
และรู้สึกสะดุ้งทุกครั้งเมื่อตาเล็กหรี่เหลือบมามอง พี่เตยคว้าตั้งใจเข้ามาโอบเกรงเหตุมิดีมิร้าย ส่วนคุณโชติก้มหน้ามองไปที่พื้น
บ่นงึมงำเบาๆ อยู่คนเดียว "โธ่... ไม่น่าเลยคุณเสรียง"

ยายโฉมไม่ดูเหมือนเป็นผู้จนมุมในเกมส์นี้ สีหน้ายิ้มเยาะอย่างสะใจ ยิ่งเห็นผู้ชนะเศร้าโศกยิ่งเปี่ยมสุข
“แต่ก็อาจจะดี" คุณตาพูด "เธอจะได้พ้นทุกข์พ้นโศกเสียสี ขอให้ไปสู่สุขคติเถิดนะคุณเสรียง”

คุณตายังคงพร่ำอธิษฐานซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ก้มหน้าหลบสายตายายโฉม อาจเพราะต้องการซ่อนน้ำตารึไม่ไม่มีใครทราบ
นั่นยิ่งทำให้หญิงชราได้ใจ เธอแผดเสียงแหลมยานคางน่ากลัว

“ฮิ... ฮิ... ฮิ... คิดแบบงั้นรึคุณโชติ? มันเป็นแบบนั้นแน่รึ? คิดว่านังเสรียงที่คุณรักนักหนาจะได้สุขสบายง่ายดายขนาดนั้นเลยรึ? ฮิ... ฮิ... ฮิ”
“ป่านนี้เธอคงไปเกิดใหม่แล้วกระมัง” คุณตาพูดเบาๆ
“ไม่” ยายโฉมตอบ “มันไม่มีทางได้ไปเกิดง่ายๆ หรอก คุณหญิงท่านแค้นมันเกินกว่าจะปล่อยให้ไปสบายแบบนั้น”
“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณหญิงทำอะไรกับคุณเสรียง? ของแบบนั้นมันมีแต่ในละครนะคุณโฉม”
“มาถึงขั้นนี้คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ใจคุณ”

“พอๆ พอกันที ไม่ต้องเล่าอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากฟัง! เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น” คุณตาเบือนหน้าหนี
“ฮิ... ฮิ... ฮิ ไหนแต่ก่อนคะยั้นคะยอถามฉันอยู่ออกบ่อย... ฟังเถิดค่ะ วันนี้ฉันจะเล่าให้ฟัง ฉันนี่ล่ะเป็นคนแนะนำหมอเขมรมา
ทำพิธีสะกดวิญญาณนังเสรียงนั่น”
“คุณโฉมพอได้แล้ว!” คุณตาลุกขึ้นยืนโงนเงนไปมา แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ คุณยายยังคงเล่าต่อด้วยความสะใจ
“คุณหญิงท่านเห็นชอบด้วย จึงจ้างหมอเขมรทำพิธีสะกดวิญญาณมันไว้ที่บ้านหลังนั้น โดยเอาของที่มันรักนักหนาแบ่งเป็นสามส่วน
แยกกักวิญญาณไว้สามจุด ต่อให้ใครเผลอปลดผนึกไปเสียอันก็ไม่มีทางปล่อยวิญญาณมันได้
สมน้ำหน้ามันริอาจมาแย่งคุณหลวงของคุณหญิง... คุณหลวงของฉัน ฮิ.. ฮิ... ฮิ”

“แล้วหมอเขมรฝังไว้ตรงไหนบ้างล่ะ”

คุณตาถามกลับเสียงราบเรียบ น้ำเสียงเกือบเป็นปกติของคุณตาโชติทำให้ยายโฉมหันไปมองด้วยความสงสัย
และจากความสงสัยก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ
“ฉันไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่บอกหรอก นังเสรียงมันต้องอยู่ที่นั่น ไม่ได้ไปผุดไปเกิดชั่วกัปชั่วกัลป์!”

คุณตายืดตัวตรง แววตาบ่งบอกถึงความเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ไม่มีคราบน้ำตาซ่อนอยู่อย่างที่หญิงชราคาดคิด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หลังจากที่หาคำตอบมานานในที่สุดผมก็รู้จนได้ สิ่งที่คุณกับคุณหญิงทำมันเลวร้ายเหลือประมาณ โลภะ โมหะ ราคะ
มันกัดกินคุณจนไม่เหลือความเป็นคน ถึงได้กล้าทำสิ่งอำมหิต วิปริต จิตสกปรกร่วมกับนายแบบนั้น
เชิญเก็บความลับนั่นไว้กับตัวจนตายเถอะคุณโฉม ตายไปพร้อมกับความโดดเดี่ยวอันหนาวเหน็บ จงจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีคนคะนึงถึง
ลาลับไปพร้อมตราบาปในใจตัวเอง ต่อให้คุณไม่บอก ผมก็ต้องหาทางปลดปล่อยวิญญาณคุณเสรียงให้ได้แม้ต้องทุบบ้านบรรพบุรุษหลังนั้นทิ้ง”

ยายโฉมอ้าปากค้าง โกรธจัดจนใบหน้าเขียวคล้ำ เปล่งได้เพียงคำสั้นๆ “แก... นี่แก"

“ไปเถอะแม่หนู เราได้รู้ในสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว แต่ถ้าอยากพูดอะไรกับคุณโฉมสักนิดก็เชิญตามสบาย ตาจะรอตรงนี้”

พี่เตยได้ยินก็ยิ้มแก้มปริ โอ้ย ปล่อยให้รอตั้งนานนะคุณตาขา เธอหันไปมองหญิงชราด้วยแววตารังเกียจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูด

“ไม่ดีกว่าค่ะ... คุณตาด่าแทนไปเรียบร้อย เป็นหนูนะถ้าต้องทำอะไรยิ้มแบบนั้นสู้คงเอาหัวโขกฝาบ้านตายไปซะดีกว่า เราไปกันเถอะค่ะ
เดี๋ยวเชื้อชั่วจะติดตัวเอา”

ทั้งสามเดินออกมาจากบ้าน ไม่สนใจเสียงยายโฉมหอบอย่างรุนแรง ไม่สนว่าแกจะเป็นตายร้ายดียังไงอีกต่อไป...
ตลอดทางเดินกลับบ้านคุณตาเงียบขรึมไม่พูดจาจนพี่เตยไม่กล้าถาม ทั้งที่คันปากเมือนคนอ่านว่า
สรุปยายโฉมกิ๊กกั๊กกับคุณหลวงอะไรนั่นจริงหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเรื่องการหักเหลี่ยมเฉือนคมเพื่อตามล่าหาความจริงนั่นอีก
นำมาซึ่งการเอ่ยอ้างว่าน้องตั้งใจมีส่วนละม้ายคล้ายกับคุณหลวงชิต ชายผู้มีชีวิตเมื่อเจ็ดแปดสิบปีก่อน พี่เตยก้มมองหน้าตั้งใจ
เอ หรือว่าตั้งใจจะเป็นคุณหลวงกลับชาติมาเกิด ไม่นะ...

เมื่อกลับถึงบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำผู้ต้องหาไปแล้ว พี่ดินเข้ามาสอบถามภรรยาว่าได้ความอะไรบ้าง
พี่เตยบอกได้แค่ว่าสิ่งที่คุณตาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง สักพักคุณตาโชติเดินเข้ามาถามว่าตกลงจะขายบ้านหลังนี้คืนใช่มั้ย
ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้เค้าจะให้ช่างเข้ามารื้อ ส่วนที่อยู่ไม่เป็นปัญหา คุณตาจะจัดการให้

ถึงแม้ว่าเพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งลี้ลับ แต่จะให้อยู่กับผีสางต่อไปก็ทำใจลำบาก ในที่สุดมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะขายคืน
แต่พี่เตยบอกคุณตาว่า ไม่อยากให้ทุบบ้านทิ้ง เสียดายบ้านเก่าแก่ของบรรพบุรุษ ถ้าอยากจะหาจุดที่หมอเขมรฝังบางสิ่งไว้เพื่อกักขังวิญญาณคุณเสรียงจริง ก็ไม่น่าจะยากจนเกินความสามารถของทุกคน เพราะอย่างน้อยมีแน่ๆ หนึ่งจุด คือในห้องนอน

เจ้าบ้านใหม่พาเจ้าบ้านเก่าไปดูตำแหน่งที่พูดถึง ซึ่งตอนนี้พี่ดินคนขยันอุดรูไปเรียบร้อย ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า ทุบซะ
ชะแลง ค้อน บรรจงทุบโป๊กๆ กะเทาะปูนออกมาทีละน้อย หลังจากยกแผ่นปูนขึ้นมา ปรากฏว่ามีบางสิ่งถูกฝังอยู่ใต้ปูนจริงๆ
เป็นกล่องกำมะหยี่สีกรมท่าขนาดสิบห้าคูณสิบห้าเซนฯ (ประมาณกล่องกำไล) ซุกซ่อนอยู่ใต้ปูน
มุมด้านหนึ่งมีชายผ้าสีแดงฉีกห้อยอยู่ดูแล้วน่าขนลุก

พี่ดินถามว่าจะเปิดเลยจริงเหรอ ต้องทำพิธีอะไรหรือเปล่า? คุณตาบอกไม่เป็นไร เราไม่ได้ประสงค์ร้ายเพียงแค่อยากปลดปล่อย
ดวงวิญญาณของผู้ถูกจองจำด้วยจิตบริสุทธิ์ คุณตายกมือไหว้ขอขมาจาก จากนั้นเปิดเปิดฝาออก…
ภายในมีเศษผ้าสีแดงถูกมัดเป็นก้อนกลมๆ พันด้วยสายสิญจน์ด้วยเงื่อนแปลกๆ กึ่งกลางเงื่อนตรึงด้วยหมุด ทันทีที่คุณตาแกะหมุดและสายสิญจน์ ทุกคนต่างได้กลิ่นน้ำอบฝาดๆ ลอยคละคลุ้ง ลูกหลานที่มาพร้อมคุณตาถึงกับผงะ เมื่อคลี่ออก ปรากฏว่าผ้าผืนนั้นเป็นสีแดงชาดคล้ายสีเลือด

“เอาล่ะ... เหลืออีกสอง”

คุณตาเปรยเบาๆ จากนั้นก็มานั่งสอบถามว่าเคยเจออะไรแปลกๆ ที่ตรงไหนอีกบ้าง พี่ดินกับพี่เตยนั่งปรึกษากัน
‘ใช้หมอง... นั่งมาธิ’ คิดอยู่นาน สุดท้ายโมริ โคโก่โร่กับโคนันคุงฟันธงตรงกันว่า มันต้องอยู่ชั้นบน... ในห้องปิดตาย

ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายแก่ อากาศเริ่มมืดครึ้มได้ฟีลลิ่งดีชะมัด คณะพันธมิตรแห่งแหวน เดินขึ้นชั้นบนตรงไปห้องที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย
เข้าไปที่ตู้เก่าซึ่งด้านในมีของวางระเกะระกะ และมันดูง่ายไปมั้ย ด้านในมีกล่องกำมะหยี่ลักษณะคล้ายกันอยู่จริงๆ
เมื่อเปิดออกด้านในว่างเปล่า... นั่นไงโชว์หราแบบนี้มันง่ายไป ทั้งหมดช่วยกันรื้อตู้อยู่นานก็ไม่พบอะไรที่ดูแปลกปลอม
พี่เตยบอกว่ามันไม่น่าจะซ่อนอยู่ในตู้นะ เกิดวันดีคืนดีมีคนซื้อไปก็แย่สิ สรุปคิดว่ามันไม่น่าอยู่ในตู้ แต่มันต้องอยู่ในห้องนี้ล่ะ คิดสิคิด...

ปิ๊ง! คิดออกแล้ว พี่เตยให้ทุกคนตั้งแถวหน้ากระดานจากนั้นเดินพร้อมๆ กันจากฟากหนึ่งไปอีกฟาก พี่ดินถามว่าทำไม พี่เตยตอบว่า
“คืนแรกๆ ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนอะไรเคลื่อนที่สักอย่าง ลองดูไม่เสียหาย”
แถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งออกเดินพร้อมๆ กัน เดินไปได้สัก ๔ ก้าว ทุกคนได้ยินเสียงเอี๊ยด ดังมาจากใต้ฝ่าเท้าพี่ดิน มติเป็นเอกฉันท์ แงะซะ
โป๊กๆๆ ชั่วครู่แผ่นไม้ถูกงัดออกมา อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น มีกล่องกำมะหยี่ซุกอยู่ใต้พื้นไม้จริงๆ เมื่อเปิดออก
ภายในมีผ้าสีแดงม้วนกลมหยาบๆ มัดด้วยสายสิญจน์เช่นกัน คุณตาทำแบบครั้งก่อน พนมมือไหว้แล้วปลดพันธนาการ พอแกะปุ๊บ
ทุกคนได้กลิ่นน้ำอบฝาดๆ ปั๊บ

เอาล่ะ เหลืออีกเพียงจุดเดียวเท่านั้น พี่ดิน พี่เตยนั่งจ้องหน้ากันต่อ 'ใช้หมอง... นั่งมาธิ'

พี่ดินบอกว่าหรือจะฝังไว้นอกบ้าน อาจจะตามโคนต้นไม้ต่างๆ หลานคุณตาสองคนรับแอสไซน์ไปทันที ลงไปขุดดินโป๊กๆ ตามจุดต่างๆ
พี่เตยกลับนั่งคิดเงียบๆ อันที่จริงหากทำใจเชื่อเข้าสักหน่อย ที่ครอบครัวตนรอดจากเภทภัยมาได้ก็เพราะคุณเสรียงนั่นล่ะ
ควรจะต้องขอบคุณเป็นการใหญ่ หากเรื่องที่ได้ฟังมาเป็นความจริง เธออยากจะช่วย เหมือนที่เคยได้รับการช่วยเหลือ พยายามใช้ความจำ
อันเป็นสิ่งที่ตัวเองมั่นใจที่สุด...

'ฉันต้องหาแพรชิ้นสุดท้ายให้เจอให้จงได้ ขอเอาชื่อคุณปู่เป็นเดิมพัน!'
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
…………………………………………………………..
ปริศนาทุกอย่างกระจ่างแล้ว!
คืนวันนั้น ในตอนที่ฟังคุณกิตติ สิงหาคม รายงานสดวิกฤตวายทูเคแล้วหลับไป คุณเสรียงก็มาปรากฏกายให้เห็นแบบฟูลเอชดี
พร้อมช่วยกล่อมน้องตั้งใจที่นอนกระสับกระส่ายตลอดคืน หลังจากนั้นพี่เตยก็หมดสติ คืนเดียวกันนั้นก็ฝันเห็นคุณเสรียงยืนอยู่บนชานพักบันได
พูดขมุบขมิบอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง

ฟันทิ้ง! สิ่งนั้นมันต้องอยู่แถวๆ บันได หรือไม่ก็ใต้บันได คุณสามีที่รัก หยิบค้อนธอร์ เอ้ย! ค้อนปอนด์และชะแลงตามลงไปด่วน
ทั้งหมดก้าวลงไปช้าๆ บริเวณชานพักไม่มีอะไรผิดปกติ ฉะนั้นมันต้องอยู่ข้างใต้ พี่ดินกำค้อนแน่น ใจคิดถึงหน้านายโตและนายเล็ก
ฟาดค้อนลงไปที่พื้นปูนใต้บันได โป๊ก! จากนั้นเงื้ออีก นึกถึงหน้านายณเดชแล้วฟาดดัง โป๊กก! เศษปูนกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
สุดท้ายนึกถึงหน้าอาจารย์บุญ แล้วหวดลงไปเต็มแรงอีกครั้ง โป๊กกก!! ปูนกะเทาะออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ เมื่อยกเศษปูนขึ้นมา
พบกล่องกำมะหยี่ฝังอยู่ข้างใต้ จึงแงะๆ แซะๆ ขึ้นมาส่งให้คุณตาโชติ

คุณตาค่อยๆ แกะออกช้าๆ ภายในบรรจุผ้าสีแดงเกรอะกรัง เมื่อดึงหมุด ปลดสายสิญจน์คลี่ออก น้ำตาคุณโชติถึงกับไหลซึมออกมา
เมื่อเห็นตรงชายผ้าสลักอักษร ‘CS’

กลิ่นหอมจางโชยไปทั่วบ้าน อบอวลอยู่ราวนาที กลิ่นก็จางหายไปอย่างแปลกประหลาด คุณตายืนน้ำตาซึม เหมือนย้อนไปเป็นเด็กเก้าขวบ
พร่ำพรรณา
“สู่สุขคติเถิดนะ ผมทำตามสัญญาแล้ว”

หลานๆ เข้าไปปลอบถามว่าเป็นอะไร คุณตาโชติบอกว่าให้ลงไปคุยกันข้างล่างทีเดียว ทั้งหมดเดินลงมาสมทบกันคนที่เหลือ
คุณตาชวนทุกคนมาล้อมวงอยู่กลางบ้าน โดยมีตนเองนั่งเป็นประธานอยู่ตรงกลาง จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังอีกครั้ง
หลานๆ รู้ว่าคุณตาชอบเปรยถึงคนชื่อเสรียง แต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ทุกครั้งบอกแค่ว่าเป็นญาติคนหนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใดๆ
มาถึงวันนี้จึงแจงว่าเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันหลายฝ่าย ทั้งญาติผู้ใหญ่สายคุณลุงชิต และสายคุณป้าอมรา อีกทั้งใครๆ คงรู้สึกไม่ดีต่อคุณเสรียง เพราะคำว่า ‘เมียน้อย’ ค้ำคออยู่ เป็นจำพวกแย่งสามีชาวบ้านทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ แต่เพราะสถานการณ์พาไป กอปรกับสมัยก่อนคนเป็นลูกแทบจะไม่มีโอกาสขัดคำพ่อและแม่ เป็นดั่งประกาศิต ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ อยากยกให้ใครก็ไม่อาจเลี่ยง ทำได้แค่รับสภาพ
คุณเสรียงเป็นเหยื่อหนึ่งเดียวในโศกนาฏกรรมครั้งนั้น

ระหว่างที่คุณตากำลังแฟลชแบ็คให้หลานๆ ฟัง พี่เตยซึ่งรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วก็หันไปสะกิดสามี แล้วสอบถามต่างๆ นาๆ เป็นต้นว่า
มีญาติข้างไหนเกี่ยวดองกับคุณตาบ้างรึเปล่า จากนั้นขอโทษขอโพยสามีก่อนกระซิบถามเบาๆ ว่าหรือมีญาติห่างๆ รุ่น ย่า ยาย ทวด
เคยเล่าเรื่องอะไรแปลกๆ ให้ฟังมั้ย? พี่ดินฟังก็งง ถามกลับว่าทำไม มีอะไร พี่เตยจึงเล่าเรื่องน้องตั้งให้สามีฟัง

“ตอนไปบ้านยายโฉมอะไรนั่น แกก็จ้องตั้งใจใหญ่เลย แถมคุณตาเองก็บอกว่าลูกเรามีส่วนคล้ายกับคุณหลวงชิตอะไรนั่น ฉันเลยอยากรู้ว่า
คุณชิตเจ้าจอมชู้นั่นไปไข่ไว้ที่ไหนอีกรึเปล่า?”

สามีได้ยินก็จุ๊ๆ ว่าแล้วก็นั่งคิดอยู่สักพัก แต่ก็จนใจเพราะจำไม่ได้จริงๆ สองสามีภรรยามองหน้าตาลูกชายด้วยความฉงน
ไอ้เรื่องกลับชาติมาเกิดนี่มันนิยายมากๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ พี่ดินนิ่งไปพัก จึงหันถามลูกน้อย

“ตั้งใจครับ... จำวันแรกที่คุณพ่อพามาที่บ้านนี่ได้มั้ย?”
เด็กสามขวบเศษตอบว่าจำได้ เอาล่ะ เด็กไร้เดียงสาเป็นผ้าขาวที่ไม่น่าจะโกหกอะไร พี่ดินถามต่อ
“ทำไมตั้งใจถึงบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่ครับ”
เด็กน้อยนิ่งอยู่พักแล้วตอบคุณพ่อ
“หนูเห็นผู้หญิงยืนอยู่บนชั้นสอง”

สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากัน... ถามต่อว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่งตัวยังไง แต่เด็กน้อยสามขวบเศษพูดยังไม่สู้จะชัด
สมาธิก็สั้น ไม่สามารถถ่ายทอดอะไรได้มากนัก ประโยคสุดท้ายที่หลุดออกมาก่อนหันเหความสนใจไปสู่จุกนมคือว่า
“พี่เค้าร้องไห้อยู่... หนูกลัว”
พอดีกับที่คุณตาเล่าจบ ทุกคนจึงหันเหความสนใจไปที่เศษผ้าแดงกระดำกระด่างทั้งสามชิ้น สองในสามเป็นสีแดงเกือบเต็มผืน...
ยังมีปริศนาบางอย่างที่ขบไม่แตก แต่ไม่สามารถไปหาความจริงได้จากที่ไหน พี่เตยจึงตัดสินใจถามคุณตาตรงๆ
ว่าลูกชายตนหน้าตาคล้ายคุณหลวงจริงหรือ คุณตาหันไปมองเด็กน้อยที่กำลังดูดนมอย่างเพลิดเพลิน

“ตาพูดไปอย่างนั้นเอง เพื่อทำให้ยายโฉมไขว้เขว ก็ไม่รู้ว่ายายโฉมเคยเห็นภาพคุณหลวงตอนยังเล็กหรือเปล่า เพราะภาพถ่ายมีนับใบได้
แต่เป็นอันว่าเราก็ลวงสำเร็จ” คุณตาตอบ
พี่เตยโล่งอก... แต่โล่งได้เพียงสามวิฯ เศษๆ เมื่อคุณตาพูดต่อ
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีส่วนคล้ายนะ” เขายิ้มพราย

เออะ... คืออะไรอ่ะ พูดเป็นปริศนาอีกแล้ว บอกเถอะ คนอ่านอยากรู้ แต่คุณตาก็ไม่พูดอะไรต่อ บรรจงเก็บผ้าทั้งสามผืนพับอย่างดี
พร้อมนำไปทำพิธีทางศาสนาต่อไป เห็นอักษร ‘CS’ น้ำตาก็ซึมอีก เมื่อไม่มีใครกล้าถาม จำต้องเป็นหน้าที่ของเตยตลาดสดอีกจนได้
“คุณตาดูรักคุณเสรียงมากเลยนะคะ”

คุณตายิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อย “อย่างที่ตาเคยบอกเลย คุณเขาเป็นคนดีมากกว่าใครที่ตาเคยรู้จัก นั่นเรียกว่าความเคารพรัก
คุณเขาเอ็นดูตามากเหลือเกิน คุณแม่ของตาท่านก็ทราบ ไม่อย่างนั้นจะไว้ใจปล่อยลูกชายเทียวไปเทียวมาได้อย่างไร
คุณแม่ท่านไม่ได้ปล่อยตามาเพราะคุณหลวง แต่เพราะคุณเขาต่างหาก ท่านสงสารคุณเสรียงนัก แต่หลังเกิดเรื่อง คุณแม่เกรงอิทธิพลเจ้าคุณพ่อของคุณอมราเอามาก ลือกันว่าบ่าวคนสนิทที่เจ้าสัวส่งมาดูแลลูกสาวก็หายตัวไปอย่างลึกลับ แม้กระทั่งห้างร้านของเจ้าสัวเองยังถูกตำรวจสันติบาลเข้าค้นอยู่บ่อยๆ บ้างโดนข้อหาว่าลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายเสียอย่างนั้น คุณแม่จึงจำต้องส่งตาไปเรียนประจำ ตาเลยไม่รู้ว่าคุณเขาเป็นตายร้ายดียังไง เพิ่งมารู้ความจริงในวันนี้นี่เอง น่าสงสารเหลือเกิน...”

ทุกคนอึ้งไปกับเรื่องที่ได้ยิน คุณตาพูดต่อ “เอาล่ะ... พวกหลานคงต้องกลับไปทำงานทำการกันแล้ว ก่อนไปเข้ามากราบลาป้าน้อยกันก่อน”

คุณตาเปิดกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว หยิบรูปถ่ายขาวดำที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในออกมาวางบนแพรสีแดง ภาพนั้นเป็นภาพพอทเทรดหญิงสาว
หน้าตาสะสวยในชุดลูกไม้ เป็นลักษณะการแต่งกายของสตรีในรัชกาลที่ ๖ - ๗ เพียงแต่เธอไม่เกล้าผม ไม่ซอยสั้น ไม่ดัดเป็นลอนตามสมัยนิยม
ผมยาวสลวยดุจเส้นไหมปล่อยยาว แววตาบ่งบอกถึงความเป็นคนเข้มแข็ง

คุณพี่เตยเห็นภาพดังกล่าวก็อ้าปากค้าง คุณพระคุณเจ้า คนเดียวกับที่มาร้องเพลงกล่อมลูกชายชัดๆ ขนแขนสแตนอัพพึ่บพั่บ...

หลังเสร็จธุระ หลานบางคนขอตัวกลับไปทำงาน เหลือหลานสนิทเพียงคนเดียว เรื่องลี้ลับจบไปแล้วมาเข้าในส่วนของธุรกิจ
โดยคุณตาจะซื้อบ้านคืนพร้อมจ่ายค่าทำขวัญให้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยทีเดียว พร้อมกับเป็นธุระจัดการเรื่องสัญญาให้เรียบร้อย
หลังจากนั้นจะเก็บบ้านไว้อย่างเดิม หรือจะรื้อค่อยตัดสินใจอีกที หลังจากคุยธุระเสร็จก็ค่ำพอดี คุณตากับหลานจึงขอตัวกลับ
แต่มีบางอย่างดลใจให้พี่เตยบอกคุณตาว่า

“คุณตาคะ หนูอยากฟังเรื่องของคุณเสรียงอีก ไหนๆ เราก็จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว มาคุยกันต่ออีกสักหน่อยได้มั้ยคะ”

คุณตายิ้ม นั่งบนเก้าอี้ เล่าความทรงจำวัยเด็กให้ทุกคนฟังอย่างเปี่ยมสุข... เล่ากันอยู่นานจนทั้งคนเล่าและคนฟังหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

พี่เตยลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกแสงแดดมากระทบหางตา มีเสียงเหมือนโมบายกระดิ่งลมดังเบาๆ ผสมกับท่วงทำนองบางอย่างชวนเคลิ้ม
เธอลุกขึ้นนั่ง หันไปมองรอบตัว บ้านมือสองที่เคยเก่าคร่ำคร่า ตอนนี้ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ฝาบ้านที่เป็นไม้สักถูกขัดจนมันวาว
โคมระย้าใหญ่ยวงห้อยจากเพดาน ส่องแสงสีส้มนวล หน้าต่างทุกบานติดม่านลายดอกสวยงาม
(เทสช่างห่างกับผ้าม่านลายเบ็นเท็น+ลายโดราเอม่อน ที่พี่เตยเหมามาจากห้างสรรพสินค้าสุดๆ)

เครื่องเรือนหลายชิ้น หรือชุดรับแขกไม่ใช่สิ่งที่พี่เตยเคยเห็น แต่กลับรู้สึกคุ้นตาเอามากๆ โสตประสาทได้กลิ่นหอมหวลรัญจวนใจ
จุดกำเนิดกลิ่นอยู่ห่างออกไปตรงหน้า บนตั่งไม้ (ที่คุ้นตาอีกแล้ว) มีสุภาพสตรีนางหนึ่งนั่งพับเพียบอยู่ ใบหน้าคมขำ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น
เธอกระโจมอก คลุมไหล่ด้วยแพรสีขาวมุก บริเวณเนินอกขาวจั๊วะดุจหยวกกล้วย เนียนเรียบไร้ริ้วรอย ดูมีเซ็กส์แอพพีลสุดๆ
ไม่แปลกใจเลยที่คุณหลวงจะหลงใหลได้ปลื้มเอามากๆ ใกล้กันมีเด็กชายนอนเคลิ้มอยู่ มือของหญิงสาวลูบศีรษะเด็กชายอย่างทะนุถนอม
พี่เตยเห็นก็สะดุ้ง ‘ลูกแม่!’ แต่เมื่อพินิจให้ดี ถึงจะคล้ายกันแต่เด็กชายไม่ใช่น้องตั้งใจ เป็นคนอื่น โตกว่าพอสมควร
เขานอนจ้องหน้าพี่เตยด้วยสีหน้าตระหนกเช่นกัน

ท่วงทำนองแผ่วเบาที่ผสมผสานกับโมบายกระดิ่งดังว่า
“เจ้านกกาเหว่า(เอย) ไข่ไว้... ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก(เอย)... นึกว่าลูก... ในอุทร คาบข้าวเอามาเผื่อ(เอย).. ไปคาบเหยื่อเอามาป้อน”
เออะ... ฟังคุ้นๆ นะ แต่กลับไม่รู้สึกหวาดเหมือนคราวก่อน เสียงพี่เตยที่หลุดออกมาทำให้เพลงกล่อมเด็กหยุดลง

“คุณเสรียง?”

เจ้าของใบหน้ากลมเกลี้ยงเงยขึ้นมามอง พี่เตยจ้องกลับแล้วยิ่งทึ่ง คนอะไรสวยจริงๆ ยังกับนางในวรรณคดี เธอพยักหน้าให้พี่เตย
“คุณคงมีเรื่องสงสัยหลายประการ?” หญิงสาวพูดต่อ “ก็อย่างที่ได้ยินได้ฟังมา ชีวิตดิฉันผกผันเหลือเกิน”
เพียงแค่ประโยคเริ่มต้น พี่เตยก็รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเข้มแข็งผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงฟูมฟาย
ใช้คำว่ารันทดหรือไม่ก็อาภัพรักเรียกคะแนนสงสาร

“ในวันนั้น วันที่ดิฉันลาลับ วิญญาณถูกจับแยกออกเป็นสามส่วน ผนึกลงฮอร์ครักซ์ (ผ้าแพร) จองจำดิฉันไว้ยาวนานเจ็ดสิบกว่าปีจนมาพบพวกคุณ”
“เห็นคุณตาบอกว่าคุณไปเข้าฝัน ทำไมไม่บอกว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นล่ะคะ คุณตาจะได้ปลดปล่อยเสียตั้งเนิ่นนาน”
“ทำไม่ได้” คุณเสรียงถอนหายใจ

“มนต์ดำที่กักดิฉันนั้นเข้มขลังนัก กว่าที่จะเกิดความผิดพลาดก็ล่วงไปเจ็ดสิบปี กาลเวลาที่ยาวนานก่อให้ผนึกอันหนึ่งเกิดเสียหายเล็กน้อย
ชายผ้าหลุดจากหมุดอาคมช่วงใกล้กับที่สามีคุณจะมาซื้อเรือนหลังนี้ นั่นเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดสิบกว่าปีที่ดิฉันสามารถปรากฏกายได้...
ปรากฏในฝันของตาโชติ นั่นคงทำให้เขาคิดว่าดิฉันยินดีขายเรือนหลังนี้ แต่อันที่จริงดิชั้นมีเพียงรูปกาย สื่อสารได้เพียงสีหน้าเท่านั้น
ไม่อาจบอกอะไรได้จนวันแรกที่พวกคุณย้ายเข้ามาอยู่และเผลอทำปูนแตกจนเผยด้ายเส้นหนึ่งที่ทอมาจากผืนแพร แล้วสามีคุณดึงจนขาด
นั่นเป็นการปลดเปลื้องเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณดิฉันอย่างแท้จริง”

เออ... งงวุ้ย พี่เตยคิดในใจ แต่ก็นั่งฟังต่อ

“ดิฉันพยายามปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม และต้องขอโทษด้วยที่แกล้งลูกชายคุณในคืนต่อมา เพราะเห็นหน้าตาท่าทางแล้วหมั่นเขี้ยวชอบกล คงเพราะลูกคุณมีส่วนคล้ายคลึงเจ้าตัวแสบคนนี้”

คุณเสรียงหันกลับไปมองเด็กชาย เด็กชายก็ยิ้มตอบ “แต่เพราะความซุกซนของดิฉันนำมาซึ่งความวุ่นวายหลายประการ
ชักพาคนพาลเข้าสู่ชีวิตคุณ ดิฉันต้องกราบขออภัยอีกครั้ง” คุณเสรียงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ดิฉันไม่มีอำนาจพอจะช่วยเหลือคุณได้ทันท่วงที ทำได้แค่รอ... รอจนกว่าตาโชติจะหลับถึงบอกว่าภัยมาเยือน
และต้องรอกว่าน้องสาวคุณสลบ ถึงถือวิสาสะยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้”

พี่เตยเริ่มปะติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน “แต่หนึ่งในคนที่ทำร้ายคุณในอดีตยังมีชีวิตอยู่”

คุณเสรียงส่ายศีรษะ “ดิฉันไม่แค้นเคืองใครอีก ไม่ประสงค์เอ่ยนามคนผู้นั้นให้เป็นบ่วงพัวพันกันไปถึงภพภูมิหน้า ดิฉันอโหสิกรรมให้เขานานแล้ว”
“แม้ว่าเขาทำร้ายคุณถึงขนาดนั้น? ทั้งที่เขาคิดคดกับคุณมาตลอด? และฉันแน่ใจว่าเครื่องเรือนหลายชิ้นรวมถึงตั่งที่คุณนั่ง
ตอนนี้อยู่ที่บ้านยายโฉมทั้งหมด คุณคงไม่ได้ยกให้คนที่ร่วมกันทำร้ายคุณหรอกมั้ง?”

คุณเสรียงนิ่งอยู่ครู่ ยิ้มน้อยๆ
“ดิฉันไม่เสียดายหรอกค่ะ สิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนเครื่องเตือนให้ดิฉันเห็นถึงทุกข์มากกว่าสุข”
เสียงโมบายกระดิ่งยังคงส่งเสียงเบาๆ

“ดูเหมือนคุณตาจะรักคุณมาก” พี่เตยถามต่อ
คุณเสรียงยิ้ม “ดิฉันเองก็เอ็นดูเขามาก ใจก็อยากมีลูกสักคน แต่ไร้วาสนา”

ความสงสารเกาะกุมจิตใจพี่เตย คิดว่าหากตนเองเป็นคุณเสรียง จะสามารถยืนหยัดได้สักครึ่งของเธอหรือไม่ เพียงแค่อยากแทนคุณบิดา
ทำให้ต้องตกเป็นของชายที่ไม่รู้จัก เป็นเสมือนที่ระบายความกำหนัดของเขา ต้องทนให้ใครต่อใครหยามว่าเป็นน้อย
และสุดท้ายต้องสิ้นชีพเพราะคุณหลวงชิตอีกเช่นกันแม้เขาไม่ได้เป็นคนลงมือเองก็ตามที สุดท้ายยังถูกจองจำนานเกือบร้อยปี

“ดิฉันคงได้พบพวกคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว โปรดอย่าจากกันด้วยความโศกศัลย์”
คุณเสรียงยิ้มอย่างมไมตรีพร้อมยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“ดิฉันคงต้องไปแล้ว ขอให้คุณกับสามีครองคู่กันจนแก่เฒ่า พานพบแต่สุขสันต์... ลานะคะ ขอบพระคุณสำหรับทุกอย่าง”

สายลมพัดแพรปลิวไสว...

พวกผู้ชายนี่ช่างไม่เข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงเลย ทั้งเจ้าสัวที่เห็นผลประโยชน์สำคัญเหนือบุตร ทั้งคุณหลวงชิตที่มักมากเจ้าชู้ประตูดิน
ทั้งท่านเจ้าคุณที่เข้าข้างลูกสาวแบบผิดๆ ทั้งพี่ดินที่ชอบปกปิดคิดทำอะไรด้วยตนเองไม่ปรึกษาใคร แม้กระทั่งคุณตาโชติเองก็ตามที
แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าคุณเสรียงนั้นรักคุณหลวงชิตสุดหัวใจ ช่างไร้เดียงสาจริงๆ นะเด็กน้อย
อักษร ‘C’ บนชายแพร ไม่ได้หมายถึงชิต

คุณเสรียงยิ้มพรายราวกับรู้ในสิ่งที่พี่เตยครุ่นคิด เธอคลายแพรออกจากไหล่ไปคลุมร่างเด็กชายที่นอนคู้อยู่ข้างๆ
พร้อมกับนำชายผ้าไปเช็ดหยดน้ำจากดวงตาเด็กน้อย...

‘ไว้คลุมยามหนาว คราวใดเศร้าเอาไว้ซับน้ำตา’

แล้วน้ำตาพี่เตยก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว...

พี่เตยตื่นขึ้นเพราะพี่ดินปลุก ถามอย่างร้อนใจว่าร้องไห้ทำไม พี่เตยไม่ตอบหันไปมองคุณตาโชติซึ่งนั่งน้ำตาซึมจ้องพี่เตยอยู่เช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจอยู่นานพอสมควร
“เตยเป็นอะไรไป” พี่ดินถาม สงสัยว่าภรรยาโดนเกสก่อกวนอีกแล้วรึเปล่า พี่เตยส่ายหน้า เอามือขึ้นปาดน้ำตา
“เปล่าจ๊ะ เตยแค่ฝันว่าคุณเสรียงมาขอบคุณเท่านั้น” แม้คำตอบจะพูดกับสามีโดยตรง แต่สายตาพี่เตยมองไปที่คุณตา
ทั้งสองคนสื่อสารอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด คุณโชติยิ้ม พูดกับตัวเองเบาๆ

“ขอบใจนะแม่หนู... ขอบคุณนะคุณเสรียง”

สุดท้ายคุณตาก็ไม่รื้อบ้านหลังนั้น...

ด้วยความช่วยเหลือของคุณโชติ รถขนของมาแต่เข้าตรู่ คนงานเกือบสิบเข้ามาช่วยขนย้าย เพียงไม่นานข้าวของก็ถูกขนขึ้นรถจนเรียบร้อย
พี่ดินจูงมือตั้งใจเดินตรวจตราเผื่อมีสิ่งของตกหล่น เช่นเดียวกับพี่เตยเดินดูรอบบ้าน มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในช่วงไม่กี่วัน
เป็นความทรงจำไม่รู้ลืมเลยทีเดียว เมื่อดูชั้นล่างเรียบร้อย จึงขึ้นไปชั้นสอง ตรงเข้าไปในห้องที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย
เธอไปยืนอยู่หน้าตู้กระจกเก่าแก่ คงเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวที่ยายโฉมไม่ได้ฉกไปไว้บ้านตัวเอง พี่เตยมองเข้าไปในตู้
เธอยืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนยิ้มอย่างแปลกใจ

ภายในตู้กระจก มีลิปสติกแท่งหนึ่งตั้งอยู่...

จบแล้วนะครับ ไว้มีโอกาสคงได้พบกันใหม่
ราตรีสวัสดิ์ครับ
“เปล่าจ๊ะ เตยแค่ฝันว่าคุณเสรียงมาขอบคุณเท่านั้น” แม้คำตอบจะพูดกับสามีโดยตรง แต่สายตาพี่เตยมองไปที่คุณตา
ทั้งสองคนสื่อสารอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด คุณโชติยิ้ม พูดกับตัวเองเบาๆ

“ขอบใจนะแม่หนู... ขอบคุณนะคุณเสรียง”

สุดท้ายคุณตาก็ไม่รื้อบ้านหลังนั้น...

ด้วยความช่วยเหลือของคุณโชติ รถขนของมาแต่เข้าตรู่ คนงานเกือบสิบเข้ามาช่วยขนย้าย เพียงไม่นานข้าวของก็ถูกขนขึ้นรถจนเรียบร้อย
พี่ดินจูงมือตั้งใจเดินตรวจตราเผื่อมีสิ่งของตกหล่น เช่นเดียวกับพี่เตยเดินดูรอบบ้าน มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในช่วงไม่กี่วัน
เป็นความทรงจำไม่รู้ลืมเลยทีเดียว เมื่อดูชั้นล่างเรียบร้อย จึงขึ้นไปชั้นสอง ตรงเข้าไปในห้องที่ครั้งหนึ่งเคยปิดตาย
เธอไปยืนอยู่หน้าตู้กระจกเก่าแก่ คงเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวที่ยายโฉมไม่ได้ฉกไปไว้บ้านตัวเอง พี่เตยมองเข้าไปในตู้
เธอยืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนยิ้มอย่างแปลกใจ

ภายในตู้กระจก มีลิปสติกแท่งหนึ่งตั้งอยู่...

จบแล้วนะครับ ไว้มีโอกาสคงได้พบกันใหม่
ราตรีสวัสดิ์ครับ

ไม่มีความคิดเห็น