หญิงสาวชุดสีแดง
"หญิงสาวชุดสีแดง" เป็นเรื่องจากยอดนักเขียนในตำนาน กฤตานนท์ หรือ Rhythm in the Air จากพันทิป หรือที่รู้จักกันดีในนาม ธี่หยด และอย่างเช่นเคยเรื่อง "หญิงสาวชุดสีแดง" อีกหนึ่งผลงานคุณภาพสยอง ต้องขอขอบคุณ ที่แบ่งปันเรื่องคุณภาพไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สายวันหนึ่ง รถกระบะเก่าบุโรทังวิ่งลัดเลาะไปตามถนน และจอดหน้าห้องแถวสองชั้น บริเวณนี้ถือได้ว่าเจริญสุดในอำเภอ
ห่างไปไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรมีตลาดสดขนาดใหญ่ ที่ซึ่งพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงชาวบ้านแวะเวียนมาจับจ่ายซื้อของตลอดทั้งวันไม่ขาดสาย
ตรงข้ามเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนกับร้านขายของชำ ติดกันเป็นโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อขนาดสองคูหา เลยไปอีกราวสี่ถึงห้ากิโลเมตรเป็นที่ตั้งสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอ ถัดจากนั้นเป็นทุ่งนายาวเหยียดสองฝั่งถนน
ทันทีที่รถจอดพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดับสนิท ประตูทั้งสองฝั่งก็เปิดออก ฝั่งหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน อายุอานามห้าสิบเศษสวมเสื้อสีขาว กางเกงขาก๊วย อีกฝั่งเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่าเอ็นดูกระโจนพรวดพราดลงมาสองคน คนแรกชื่อหยาดเป็นพี่สาวคนโต ท่าทางอัธยาศัยดี
คนเล็กชื่อยี่ ท่าทางซุกซน แก่นแก้ว ไม่ต้องสงสัยหากจะมีคนเคยแซวว่าเธอเป็นลูกคนหรือลูกลิง
แต่ทั้งสองก็หยุดทุกกิริยาแทบจะในทันที เมื่อสายตาของบิดาจ้องเขม็งมา
“อยู่นิ่งๆ ทะโมนเป็นลิงเป็นค่างมากเดี๋ยวจะโดนหวดคนละทีสองที”
เด็กหญิงทั้งสองคนได้ยินก็ยืนตัวลืบ พ่อของพวกเธอทำเสียงฟึดฟัดอยู่ครู่ ก่อนเดินไปหน้าห้องแถวห้องหนึ่ง เคาะประตู
ไม่นานประตูไม้ซึ่งเป็นบานพับได้ขนาดเท่าหน้ากว้างของห้องแถวก็เปิดออก มีหญิงสูงอายุท่าทางแข็งแรงเดินออกมาพร้อมกับ
หญิงวัยรุ่นอายุย่างสามสิบ
“หลานๆ ของยาย ไปยังไงมายังไงเนี่ย” หญิงชรายิ้มร่าโผเข้าสวมกอดเด็กสาวทั้งสามคน ท่าทางของหล่อนดูปลื้มปริ่ม
เหมือนผู้สูงวัยทั่วไปที่ได้เจอลูกหลาน “ว่ายังไงพ่อ... จะไปไหนกันรึ มาเป็นโขยงเลย”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ ก่อนตอบ “สวัสดีจ๊ะ แม่” สำเนียงของชายคนนี้ ถึงไม่บอกก็รู้ได้ไม่ยากว่ามีเชื้อสายจีนอยู่ในสายเลือดมากกว่าครึ่ง
“พอดีฉันจะไปรับแม่เย็นที่สุโขทัยสักหน่อย แล้วที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ หอบลูกไปเป็นเพื่อนด้วยสามคน ส่วนเจ้าคนโตก็หายหัวไปหลายเดือนแล้ว
ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในไร่ เป็นห่วงลูกสาว เลยจะมาฝากไว้กับแม่สักสองสามวัน”
“จริงเหรอ ก็ดีสิ” สีหน้าของหญิงชราผู้มีผมสีดอกเลาปิติเป็นล้นพ้น “ดีแล้วที่ไม่ปล่อยลูกๆ อยู่ตามลำพังกันในไร่ ถึงจะมีญาติอยู่ใกล้ๆ ก็เถอะ แต่อย่าไปเป็นภาระเขาจะดีกว่า เอามาฝากแม่นี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้ว ใช่ไหมหลานๆ ของยาย”
“จริงจ๊ะ คุณยาย” หยาดตอบชราผู้มีศักดิ์เป็นแม่ยายของพ่อ และเป็นยายของพวกเธอ
หญิงชราชื่อจำเนียรยิ้ม “ไม่ต้องกังวลนะ เอาเป็นว่า ประเดี๋ยวแม่จะช่วยดูหลานๆ ให้เอง พ่อ... ก็ไปรับเมียเถอะ ดีเสียอีก แม่ล่ะเหงาเหลือเกิน
อยู่กับแม่สร้อยกันแค่สองคน บ้านเงียบเชียบเป็นป่าช้าแล้วเนี่ย” จำเนียรพูดพลางลูบศีรษะหลานสาวทั้งสองอย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นเข้าไปดื่มน้ำดื่มท่ากันให้ชื่นใจสักหน่อยนะพ่อ...”
“ไม่เป็นไรจ๊ะแม่ นี่ก็สายมากแล้ว กว่าจะไปถึง มืดค่ำกันใหญ่ เอาเป็นว่า ฉันลาเลยดีกว่า” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างรีบร้อน ก่อนเดินเข้าไปลูบหัวลูกสาวทุกคน พร้อมกำชับอยู่หลายครั้งว่า ห้ามดื้อ ห้ามซน และอยู่ในโอวาทของยาย เด็กสาวทั้งสองคนรับปากเป็นมั่นเหมาะ เพราะเข้าใจดีว่านั่นไม่ใช่คำขู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พวกเธอรู้ดีกว่านั้น ถึงจะซนเป็นลิงเป็นค่างแค่ไหน เรื่องก็ไม่มีทางหลุดออกจากปากคุณยายเข้าหูคนอื่นเด็ดขาด เพราะหล่อนรักและเอ็นดูพวกเธอมากราวกับลูกในไส้
หยาดและยี่ ยิ้มให้บิดา ก่อนที่กระบะเก่าๆ คันนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
บ้านของจำเนียรเป็นหนึ่งในห้องแถวสองชั้นที่ติดกันเป็นพรืด ด้านซ้ายเป็นร้านตัดผม ถัดไปอีกสองห้องเป็นร้านขายของชำ
ซึ่งเป็นจุดหมายแรกๆ ที่สองพี่น้องอยากจะไปเยี่ยมเยือน แต่นั่นก็ต้องหลังจากที่พวกเธอต้องเข้าไปอาบน้ำ อาบท่า
ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะจำเนียรเคยเป็นพยาบาลอยู่อนามัยจังหวัด และเคร่งครัดเรื่องสุขอนามัยมาตั้งแต่สมัยสาวๆ
ทุกครั้งที่มาถึง จำเนียรกับสร้อยซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน มักจะกำชับเด็กๆ ให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจับแต่งตัวจนเด็กบ้านป่ากระดำกระด่าง
กลายเป็นสาวน้อยน่ารักกันทั้งสองคน
หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย จำเนียรพาหลานสาวเดินขึ้นบันไดไม้ไปชั้นสอง แสงแดดอบอุ่นส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
ตกกระทบลงพื้นซึ่งเป็นมันปลาบ เนื่องจากสร้อยขัดถูเกือบทุกวัน บริเวณนี้เป็นลานโล่งๆ ไม่มีเครื่องเรือนใดๆ วางระเกะระกะ
เป็นส่วนที่ไว้ให้แขกเหรื่อหรือญาติพี่น้องนอนพักได้อย่างสะดวก ติดกันคือห้องนอนกว้างขวาง แต่ก่อนเป็นห้องนอนของจำเนียร
แต่เมื่อสูงวัยขึ้น สภาพร่างกายไม่ได้ดีเหมือนแต่เก่าก่อน หล่อนจึงย้ายลงไปนอนชั้นล่าง ห้องนี้จึงตกเป็นของสร้อยไปโดยปริยาย
จำเนียรเปิดประตู พาหลานสาว ออกมายืนตรงระเบียงแคบๆ กว้างไม่เกินเมตรครึ่ง มีระแนงไม้สูงได้ระดับกั้นอยู่ และที่วางพาดอยู่ด้านบน
เป็นกระจาดใบใหญ่ ในนั้นมีมะม่วงกวนสีน้ำตาลอ่อนบางเฉียบขนาดเท่าฝ่ามือ วางเรียงรายอยู่เต็มกระจาด ส่งกลิ่นหอมละมุน
เด็กทั้งสองคนลิงโลดเป็นล้นพ้นเมื่อเห็นของว่างที่วางอยู่ตรงหน้า พวกเธอลืมเรื่องขนมที่ร้านขายของชำไปในทันที
เพราะมะม่วงกวนของจำเนียร ขึ้นชื่อไปทั่ว ทั้งอร่อย หวาน เปรี้ยว เหนียวกำลังดี
“อร่อยไหมหลานยาย” จำเนียรยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นเด็กๆ รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยที่สุดเลยจ๊ะ” หยาดตอบทั้งๆ ที่กำลังเคี้ยวมะม่วงเหนียวนุ่มอยู่เต็มปาก
“ค่อยๆ กินนะ มีเหลือเยอะแยะ ยายทำแล้วเก็บใส่ถุงไว้ก็มาก ประเดี๋ยวกลับวันไหนยายจะห่อให้เอากลับไปฝากสามหนุ่มพี่ชายเราด้วย”
“ขอบคุณจ๊ะคุณยาย” เด็กสาวทั้งสองยกมือไหว้
ทุกคนเดินกลับลงมาด้านล่างอีกครั้ง เจอสร้อยที่กำลังก่อไฟ ควันสีขาวลอยโขมงเต็มบ้าน
“สร้อยเอ้ย ก่อไฟไว้เสร็จก็ไปล้างหน้าล้างตาซะนะ พาหลานๆ ไปหาอะไรกินที่ตลาดเสียหน่อย ท่าทางหิวเต็มทน
ส่วนเย็นนี้ประเดี๋ยวฉันจะเตรียมมื้อเย็นเอง ต้อนรับหลานๆ สุดที่รักสักหน่อย”
“โอ้โห้ วันนี้ป้าเนียรจะลงมือทำกับข้าวเองเลยหรือ ลาภปากจริงๆ แหม เอาอกเอาใจหลานสาวเหลือเกินนะจ๊ะป้า”
สร้อยพูดไปพลางพัดเตาอั้งโล่ไปพลาง
“อย่ามัวแต่พูดมากเลยน่า ไปล้างหน้าซะไป๊ เปรอะไปหมดแล้ว”
สร้อยได้ยินจึงรีบเดินไปล้างหน้าทันที ตัวหล่อนเองก็อยากไปตลาดอยู่เหมือนกัน จำเนียรควักเงินให้สร้อยสามสิบบาท
กำชับให้ซื้ออะไรให้หยาดกับยี่กินรองท้องแก้หิวไปก่อน แสงแดดตอนบ่ายแผดกล้า ไอร้อนวูบวาบทำให้รู้สึกวิงเวียน
แต่นั่นไม่ทำให้ความตั้งใจของเด็กหญิงทั้งสองคนเปลี่ยนไป หยาดกับยี่กึ่งลากกึ่งจูงสร้อยออกมาหน้าบ้าน
“โอ้ย ใจเย็นๆ ทั้งสองคนจะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น ตลาดมันไม่หนีไปไหนหรอก” สร้อยบ่นอุบ
“ก็หยาดหิวนี่น่าน้าสร้อย เข้าไปทำงานในไร่ตั้งแต่เช้ามืด พอฟ้าแจ้งเดินกลับถึงบ้านพ่อก็ให้เข้ามาในเมืองเลย ข้าวยังไม่ตกถึงท้องสักเม็ด”
หยาดโอดครวญ
“ใช่จ๊ะน้าสร้อย ยี่ก็หิวจนไส้กิ่วหมดแล้ว เรารีบไปกันเถอะนะ” ยี่เสริมพี่สาวทันควัน
สร้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนคว้ามือเด็กหญิงทั้งสองคนละข้างจูงผ่านร้านตัดผม เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเสียงจำเนียรก็ดังไล่หลังมา
“รีบไปรีบกลับนะแม่สร้อย อย่าให้มืดค่ำ” สร้อยถอนหายใจอีกครั้ง “แหม ป้าก็ แถวนี้ไม่เหมือนที่บ้านหลานๆ สักหน่อย ถึงได้วังเวงอย่างกับป่าช้า
ดูสิ คนก็ออกพลุกพล่านตลอดทางจนถึงตลาด” สร้อยตอบ
หญิงชรานิ่งเงียบ จ้องลึกเข้าไปในนัยต์ตาของสร้อย ก่อนพูดอีกครั้ง
“อย่าลืมสิ สามสี่วันที่ผ่านมา แถวนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
สิ้นเสียงของคุณยายผู้แสนใจดี หยาดกับยี่ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บ เพราะอยู่ๆ น้าสาวก็ออกแรงบีบข้อมือของพวกเธอ
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเด็กหญิงทั้งสอง ดึงสติสร้อยให้กลับคืนมา หล่อนขอโทษขอโพยหลานสาวพัลวัน จังหวะนั้นเอง
หยาดเห็นใบหน้าที่จ้องมองพวกเธอดูซีดเซียวผิดปกติ
สร้อยผงกหัวให้จำเนียรอย่างว่าง่าย ก่อนจูงหลานสาวเดินตามไปติดๆ ทั้งสามเดินเลี้ยวไปทางซ้าย สองฝากฝั่งถนนยังเป็นบ้านเรียงติดกัน
บางหลังเป็นอาคารปูน แต่สวนใหญ่สร้างด้วยไม้ แต่ถึงจะเป็นเพียงห้องแถวธรรมดา ยี่ก็ยังมองด้วยความสนใจทุกครั้ง
เพราะบ้านเรือนเหล่านี้สร้างขึ้นอย่างมีแบบแผน และแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความทันสมัย หากเทียบกับบ้านไม้เก่าๆ
ของเธอต้องบอกว่าห่างกันหลายขุม
ในขณะที่ยี่กำลังชื่นชมอาคารบ้านเรือน พี่ของเธอกลับมองน้าสาวไม่ระวางตา หยาดเป็นเด็กช่างสังเกตมาตั้งแต่ยังเล็ก
ทุกรายละเอียดมักไม่ลอดพ้นสายตาเธอไปได้ เช่นเดียวกับปฏิกิริยาของสร้อยหลังจากที่ได้ฟังจำเนียรพูดว่า
อย่าลืมสิ สามสี่วันที่ผ่านมา แถวนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
และหยาดก็ถามโพล่งออกไปตามประสา “น้าสร้อย สามสี่วันที่ผ่านมา มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ ท่าทางของคุณยายกับน้าสร้อยดูแปลกๆ ชอบกล”
สร้อยหันกลับมามองหน้าซีด อึกอักอยู่สักพัก ก่อนจะตอบ “แหม จะแก่นเกินอายุไปแล้วนะ พูดเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอกน่า”
“หยาดไม่เชื่อ หน้าน้าสร้อยซีดเป็นไก่ต้มงานตรุษ งานสารท เหมือนกลัวอะไรสักอย่าง ถ้าน้าไม่อยากบอก เดี๋ยวหยาดจะไปถามยายเอาเองก็ได้นะ”
“อย่านะ” สร้อยแค่นเสียงสูงจนผิดสังเกต หล่อนหันรีหันขวางอยู่ครู่แล้วกระซิบเบาๆ ให้หยาดได้ยินเพียงคนเดียว
“น้าก็อยากเล่าให้ฟังเหมือนกัน แต่กลัวคุณยายของพวกเธอจะเอ็ดเอานะซี่”
หยาดยิ้มกริ่ม เธอรู้อยู่แล้วว่าน้าสาวมีนิสัยเป็นอย่างไร งานอดิเรกในยามว่างของหล่อน คือการพาตัวเองเดินไปตั้งแต่ต้นจรดท้ายซอย
สอบถามสารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนบ้านทั้งเช้าเย็นได้ทุกวี่วัน จนหยาดเลิกสงสัยไปแล้วว่าที่ถามเพราะเป็นห่วงสุขภาพคู่สนทนา
หรือเป็นแค่คำนำก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องที่หนักไปในทางซุบซิบนินทา
“น้าสร้อยไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ หยาดกับยี่สัญญาว่าจะไม่ปริปากพูดอะไรเลยจริงๆ” ทันทีที่พี่สาวพูดจบ ยี่ก็พยักหน้าอย่างรู้งาน
สร้อยมองหน้าหลานสาวนิ่ง ก่อนออกแรงบีบข้อมือหนึ่งในเด็กทั้งสองคน
“โอ้ย” หยาดครวญในลำคอ “น้าสร้อยบีบแขนหยาดทำไม”
“อย่าเซ้าซี้มากน่า เป็นเด็กเป็นเล็ก โตเกินตัวกันจริงๆ” พูดจบหล่อนก็ลากแขนเด็กทั้งสองเดินต่อ
ทิวทัศน์ฟากหนึ่งยังเป็นห้องแถวเก่าอายุหลายสิบปี แต่อีกฟากเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดงสนโปร่ง
บริเวณนี้ช่วงฤดูร้อนเปรียบดังสนามเด็กเล่นของเด็กๆ ในชุมชน ใบสนที่แม้จะเล็กและเรียว แต่เมื่อขึ้นกันหนาแน่นก็ช่วยลดทอนแสงแดดที่ร้อนแรงลงได้มาก ส่วนพื้นด้านล่างก็แทบไร้ซึ่งวัชพืชชนิดใดๆ เนื่องจากใบสนจำนวนมหาศาลทับถมบนหน้าดินเป็นชั้นหนานุ่มๆ
เมื่อเดินถึงดงสนแห่งนี้ ก็แสดงว่าใกล้ถึงตลาดสดร่อมรอ
ฝูงชนที่บางตาเริ่มกลับมาหนาแน่นอีกครั้งเมื่อเข้าเขตตลาด ชาวบ้านจับจ่ายซื้อของกินของใช้กันอย่างคึกคัก
ผักสดหลากหลายชนิดกองอยู่ในเข่งจนพูน ตรงกันข้ามใต้ร่มบังแดดสีส้มแป๊ด ปลาดุก ปลาช่อนดิ้นไปมาอยู่ในกะละมังสังกะสีที่มีน้ำอยู่แค่ก้น
ข้างๆ กันกบนับร้อยตัว ตะเกียกตะกายหาอิสรภาพอยู่ในกะละมังอีกใบที่มีแหคลุมอยู่
ยี่หันซ้ายหันขวามองหาขนมหวานของโปรด แต่เด็กหญิงก็ต้องพบกับความผิดหวัง ภายในรัศมีร้อยเมตร ไม่มีร้านขายขนมเบื้องสักร้าน
สร้อยเดินซื้อผักสด และปลาจากทั้งสองร้าน หล่อนต่อราคาในแบบที่ไม่กลัวคนขายทอนเงินด้วยรองเท้าสักข้าง
ส่วนเด็กสาวทั้งสอง เดินเลยมาเล็กน้อย ถึงเพิงเล็กๆ มุงจาก บนโต๊ะไม้ยาวมีโหลใส ภายในมีน้ำชนิดต่างๆ บรรจุอยู่
ยี่ได้กระเจี๊ยบมาหนึ่งถุง ส่วนหยาดขออะไรที่หวานกว่านั้น เธอซื้อน้ำเก๊กฮวยมาสองถุง หนึ่งของตัวเอง อีกถุงฝากน้าสาว
เสร็จแล้วทั้งสามเดินเข้ามาในร้านก๊วยจั๊บเจ้าประจำ ตั้งใจจะกินรองท้องคนละชาม แม้สุดท้ายหยาดทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ
เธอกินด้วยความหิวโซถึงสามชามจนสร้อยบ่นอุบ
“กินขนาดนี้ ระวังเถอะจะอ้วนเป็นหมู” จากนั้นจึงหันไปคุยกับยี่ต่อ “เลยไปอีกนิดมีร้านขายขนมเบื้องอยู่นะ ไปซื้อกินสิเห็นชอบไม่ใช่เหรอ”
เด็กสาวยิ้มแก้มปริก่อนวิ่งออกไป เมื่อยี่หายลับสายตาไปแล้ว สร้อยจึงวางช้อนที่ถืออยู่ และพูดในสิ่งที่หยาดลืมเลือนไปแล้ว
“เห็นยี่ยังเด็ก เลยไม่อยากพูดให้ฟังตอนนั้น” หล่อนเกริ่น “พอเล่าจบแล้วเหยียบไว้ใต้โต๊ะเลยนะ ห้ามเอาไปเล่าให้น้องๆ
และห้ามบอกป้าเนียรว่าน้าเล่าให้ฟังนะ”
หยาดได้ฟังก็เข้าใจในทันทีว่าน้าสาว กำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“เรื่องมันมีอยู่ว่า สักอาทิตย์ก่อน ตรงถนนใหญ่แถวๆ หน้าโรงเรียนสอนภาษา เกิดอุบัติเหตุ รถกระบะชนจักรยาน คนขี่จักรยานเป็นผู้หญิง
เสียชีวิตคาที่เลย น้าก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอกนะ แต่เพื่อนน้าที่ชื่อเจ๊หน่องมาเล่าให้ฟัง เขาบอกว่าสภาพศพของผู้หญิงคนนั้นสยดสยองมาก
หัวนี่หลุดออกจากตัวเลย ส่วนเสื้อที่เป็นสีขาวก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงเถือก”
สร้อยเล่ามาถึงจุดนี้ก็คิดว่า เรื่องดังกล่าว รุนแรงเกินกว่าที่จะเล่าให้เด็กอายุสิบห้าสิบหกฟังหรือไม่
แต่กระนั้น ด้วยความเป็นคนช่างพูด หลอนกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเล่าต่อด้วยความอัดอั้น
“หลังจากนั้นสองสามวันก็เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น”
หยาดถามอย่างหวาดๆ “เกิดเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ”
สร้อยหันซ้ายหันขวาและเล่าต่อ
“กลางดึกวันหนึ่ง ประมาณยามสาม ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขี่จักรยานตรวจตราความเรียบร้อย พร้อมกับระแวดระวังเรื่องฟืนไฟ
ก็อย่างว่า ช่วงนี้หน้าร้อน บ้านเรือนแถวนี้ก็เป็นไม้เกือบหมด เขาขี่วนผ่านหน้าบ้านป้าเนียร จริงๆ ก็มาตามทางที่เราเดินมาเมื่อตะกี้นั่นล่ะ
เรื่อยมาจนถึงดงสน ตำรวจคนนั้นเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ไกลๆ ก็รู้สึกตะหงิดๆ เวลาตอนนั้น อย่างต่ำก็ตีหนึ่ง จะมีใครที่ไหนมาเตร็ดเตร่
จึงคว้าไฟฉายประจำตัวขึ้นมาส่อง ทันทีที่แสงจากไฟฉายส่องวาบตัดความมืดออกไป รู้ไหมว่าตำรวจคนนั้นเห็นอะไร จะตาฝาดรึเปล่าก็ไม่รู้ล่ะ
เขาเห็นคนขี่จักรยานอยู่ตรงหน้า ห่างไปไม่ถึงร้อยเมตร แต่ที่น่ากลัวคือคนๆ นั้นไม่มีหัว แถมเสื้อที่สวมก็เป็นสีแดงสด เปรอะเลือดเต็มไปหมด ตำรวจโชคร้ายเห็นแบบนั้น ก็หันหลังออกแรงปั่นห้อแน่บแทบไม่ทัน และพอเหลียวกลับไปมองอีกที ร่างนั้นก็อันตธานหายไปแล้ว”
หยาดขนลุกซู่ แม้ในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่อากาศแสนจะอบอ้าว
“ผีเหรอจ๊ะน้าสร้อย” เด็กสาวถามเสียงสั่น
สร้อยมองหยาดอยู่ครู่ ก่อนพูดต่อ “ตอนแรกน้าก็ไม่ค่อยเชื่อนะ แต่หลายวันที่ผ่านมา มีคนเจอเหตุการณ์แบบนี้หลายคน
บ้างเล่าว่านอนๆ อยู่ ได้ยินเสียงกริ่งจักรยานดังวนไปมาอยู่นั่น พอชะโงกขึ้นดูจากชั้นสอง ก็ไม่เห็นอะไร แต่เสียงยังดังอยู่ พูดแล้วขนลุก”
แต่หยาดยังไม่มีโอกาสสอบถามอะไรเพิ่มเติม เพราะยี่เดินกลับเข้ามาพร้อมถุงกระดาษที่บรรจุขนมเบื้องสองถุง
“สองถุงเลยเหรอ” สร้อยตัดบท หันไปถามยี่
“เกือบไม่ได้กินแล้วจ่ะ ป้าคนขายกำลังเก็บร้านพอดี ไม่ใช่เฉพาะร้านขนมนะ ร้านน้ำที่ยี่กับเจ้เข้าไปซื้อก็ปิดแล้ว
ร้านขายผักกับร้านขายปลาก็กำลังเก็บเหมือนกัน” ยี่ตอบด้วยท่าทีงุนงงตามประสาเด็ก
“ช่างเถอะ คงมีธุระกันล่ะมั้ง เรารีบกลับบ้านกันดีกว่า” สร้อยตอบพร้อมจ่ายค่าก๊วยจั๊บ
ทั้งสามคนเดินออกมาด้านนอกอีกครั้ง และก็จริงอย่างที่ยี่บอก ร้านรวงต่างๆ ทยอยเก็บกันอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยเดินซื้อของหนาแน่น
กลับบางตาในเวลาเพียงครู่เดียวทั้งที่ยังไม่ถึงสี่โมงด้วยซ้ำ
“เพราะเรื่องนั้นล่ะ” สร้อยเปรยเบาๆ และมันทำให้หยาดเข้าใจในทันที
น้ากับสองหลานสาวเดินย้อนกลับมาทางเดิม บ้านเรือนที่รายล้อมอยู่โดยรอบปิดประตูกันเกือบหมด
ทั้งที่แสงแดดยังคงเรืองรอง ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านเดียวในละแวกนี้ ที่ฐานะดีพอจะมีโทรทัศน์ขาวดำตั้งโชว์อยู่หน้าร้าน
ปกติจะมีชาวบ้านมายืนออรอดูความมหัศจรรย์ของเจ้ากล่องเล็กๆ ที่มีภาพเคลื่อนไหวได้อยู่ด้านใน
แต่วันนี้ร้านดังกล่าวกลับปิดประตูเงียบเชียบ ก็พลอยทำให้ไม่มีไทยมุงสักคนเดียว
และช่วยไม่ได้ที่หยาดจะนึกถึงเรื่องสุดสยองที่สร้อยเล่าให้ฟัง เมื่อพวกเธอทั้งสามเดินผ่านดงสนที่อยู่ทางซ้ายมือ
คงเป็นจุดใดจุดหนึ่งบริเวณๆ นี้ที่นายตำรวจผู้น่าสงสาร เจอกับอะไรบางอย่างที่น่าขนลุกขนพอง หยาดหันไปมองป่าสนโปร่ง
แสงอาทิตย์ส่องเป็นลำสีส้มนวลๆ ตัดอยู่ท่ามกลางความสลัวของดงไม้ อันที่จริงช่วงขามาเด็กสาวก็แปลกใจไม่น้อย
ที่ไม่มีเด็กมาวิ่งเล่นในดงสนอย่างเคย แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
สร้อยกึ่งเดินกึ่งวิ่งจูงหลานสาวทั้งสอง หล่อนหันรีหันขวางตลอดเวลา คงมีแต่หยาดที่รู้ว่าทำไมน้าสาวของตนจึงมีพฤติกรรมแบบนั้น
ส่วนยี่นั้นเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจ ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องดี เพราะเด็กสาวจอมทะโมน หวาดกลัวเรื่องทำนองนี้ไม่น้อยไปกว่าใครใคร
แต่อนิจจา ไม่มีใครคาดเดาอนาคตได้ บางครั้งยิ่งซ่อนสิ่งใดไว้ ฟ้าก็ชอบแกล้งให้สิ่งนั้นประจักษ์แจ้งออกมา
เมื่อเหลือเพียงอีกโค้งเดียวก็จะถึงบ้าน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินอยู่อีกฟากถนนด้วยท่าทีรีบร้อนไม่แพ้กัน
หล่อนทำท่าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นทั้งสร้อยกับหลานๆ
“อ้าวสร้อย พาเด็กๆ มาเดินเตร็ดเตร่อะไรตอนนี้เนี่ย ไม่รีบกลับบ้านกลับช่อง ไม่กลัวอีนางชุดแดงนั่นออกมาหลอกเอาหรือไง
ดูสิ ตะวันยังสว่างโร่แบบนี้ แต่ชาวบ้านชาวช่องกลับเข้าบ้านปิดประตูเงียบกันหมด มันเฮี้ยนจริงๆ หลอกชาวบ้านขนหัวตั้งไปหลายคน ”
หยาดสะดุ้งวาบ แต่เธอไม่ใช่คนที่ตกใจที่สุด ยี่สลัดมือสร้อยเดินอ้อมมาจับแขนพี่สาวทันที
“เจ๊หน่อง” สร้อยเรียกชื่อสั้นๆ ก่อนทำปากจุ๊ๆ นัยว่า ผู้หญิงชื่อหน่องเพิ่งพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด หรืออย่างแย่ก็ไม่ควรพูดในเวลานี้
หน่องละสายตาจากเพื่อนสนิทมองไปที่ยี่ซึ่งยืนหลบอยู่หลังพี่สาว
“หยาดกับยี่ใช่ไหม แวะมาเที่ยวเหรอ” หล่อนเปลี่ยนเรื่องทันที แม้อาจจะช้าไปเล็กน้อย
“ไปตลาดกันมาหรือ ได้อะไรมาบ้างล่ะ”
สร้อยส่ายศีรษะ คุยกับหน่องอยู่เพียงครู่เดียว ต่างฝ่ายต่างรีบกลับที่พักของตน ก่อนกลับหน่องยังเตือนให้สร้อยดูแลหลานอย่าให้คาดสายตา
และอย่าปล่อยให้ออกมาข้างนอกหลังตะวันลับฟ้า นั่นทำให้เด็กสาวทั้งสองหวาดกลัวยิ่งขึ้น
เมื่อถึงบ้านทั้งสามเห็นจำเนียรยืนชะเง้อ หญิงชรายิ้มกว้างเมื่อเห็นน้าหลานกลับมาถึง ประตูไม้บานพับที่เคยเปิดอ้าเท่าหน้ากว้างของห้องแถว
บัดนี้ถูกปิดจนเหลือช่องเล็กๆ ให้พอแทรกตัวเข้าไปได้เท่านั้น และทันทีที่ทั้งหมดเดินกลับเข้าไปในบ้าน สร้อยซึ่งเดินรั้งท้าย
ชะโงกหน้าออกไปด้านนอก หันซ้ายหันขวาอยู่ครู่ ก่อนปิดประตูลงสลัก ใส่กุญแจอย่างหนาแน่น
แสงไฟสลัวสีส้มจากหลอดไส้ สว่างขึ้นเหนือโต๊ะอาหาร มีกับข้าวท่าทางน่ารับประทานวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะรวมถึง
ปลาที่ซื้อมาจากตลาดที่ถูกนำไปทอดจนเหลืออร่าม ส่งกลิ่นหอม ค่ำคืนนี้มีสมาชิกเพิ่มถึงสองคน บรรยากาศควรจะสนุกครื้นเครง
แต่กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งเงียบเชียบ มีเพียงจำเนียรกับยี่เท่านั้นที่สนทนากันอย่างสนุก
“สร้อย หยาดเป็นอะไร นั่งเงียบเชียว” จำเนียรเอ่ยถาม
ทั้งสองหันไปสบตากัน ก่อนยี่จะถามออกไปโดยที่สร้อยกับหยาดไม่ทันห้ามปราม
“ยายจ๋า แถวนี้มีผีเหรอจ๊ะ”
จำเนียรได้ยินก็หันขวับไปมองสร้อยตาเขียวปั๊ด “แม่สร้อย นี่ไปเล่าอะไรให้หลานฉันฟัง”
“เปล่านะไม่ได้เล่าอะไรให้ยี่ฟังเลยสักนิด” แม่ปลาไหลตอบ “คือว่า ยังไงดีล่ะ พอดีขากลับจากตลาดเจอเจ๊หน่อง
ยังไม่ทันจะถามสารทุกข์สุกดิบอะไร เขาก็โพล่งเรื่องนั้นออกมาเลย จะให้ฉันทำยังไงล่ะจ๊ะป้า”
สร้อยก้มหน้าหันไปทำปากขมุบขมิบกับหยาด ทางด้านจำเนียรถอนหายใจยาว ลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปโอบหลานสาว
“โอ๋ ขวัญเอ้ยขวัญมา เรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่าเก็บไปคิดเลยนะหลานยาย ผู้ใหญ่เขาแค่หยอกเล่นเฉยๆ ใช่ไหมสร้อย”
จำเนียรหันไปถามสร้อยที่กำลังตักข้าวเข้าปาก
“ใช่จ๊ะ เพื่อนน้าเขาล้อเล่น ไม่ต้องตกใจนะ เรามากินข้าวกันดีกว่า กินเสร็จเดี๋ยวไปอาบน้ำกัน แล้วคืนนี้น้าจะเล่านิทานสนุกๆ ให้ฟัง ดีไหม”
ยี่ได้ยินก็เฮลั่น ลืมเรื่องต่างๆ จนหมด มีเพียงหยาดเท่านั้นที่รู้ว่ายายกับน้าของตน เพียงแค่ปลอบประโลมเท่านั้น
เธอไม่รู้ว่าเรื่องที่ได้ยินมาจากสร้อยเป็นความจริงแค่ไหน แต่จากเหตุการณ์ผิดวิสัยที่เกิดขึ้นตลอดทาง
ก็ชวนให้เด็กสาวขนพองสยองเกล้าโดยไม่รู้ตัว
หลังมื้อเย็นผ่านไป เด็กทั้งสองคนอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย จำเนียรดึงหลานสาวเข้ามาหอมอย่างอ่อนโยน
ก่อนที่หญิงชราจะปลีกตัวเข้ามุ้งนอนพักผ่อน น้าหลานจึงทยอยเดินเรียงแถวขึ้นไปบนชั้นสองทีละคน ชั้นบนที่เคยเป็นลานกว้าง
ตอนนี้มีมุ้งขนาดใหญ่กางอยู่ติดกับหน้าต่าง เพียงพอจนเหลือเฟือให้เด็กๆ นอนกลิ้งได้อย่างสบาย
แสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องผ่านหน้าต่างกระทบกับพื้นไม้ที่เป็นมันวับทำให้บริเวณชั้นสองดูสว่างขึ้นไม่น้อย ซึ่งหยาดกับยี่ก็ไม่มีความคิดที่จะไปปิดหน้าต่างตามที่น้าของตนแนะนำ ในเวลานี้พวกเธอต้องการแสงสว่างมากกว่าความมืดมิด
สร้อยเล่าอะไรบางอย่างตามที่เคยสัญญาไว้บนโต๊ะอาหาร แต่หากจะบอกว่านั่นเป็นนิทานก็คงด้อยคุณภาพเต็มทน
หล่อนนั่งเป็นเพื่อนไม่ถึงสิบนาที ก็หาวแล้วเดินกลับเข้าห้อง เหลือเด็กสาวสองคนที่ยังกระส่ายกระสับข่มตาหลับไม่ลงเสียที
“เป็นอะไรยี่ นอนไม่หลับเหรอ” หยาดถามน้องสาวที่พลิกตัวไปมาหลายต่อหลายครั้ง
“คิดถึงเรื่องที่เพื่อนน้าสร้อยพูดแล้วรู้สึกกลัวจ่ะเจ้ ที่บอกว่าไม่กลัวอีนังชุดแดงนั่นหลอกเอาเหรอ เขาหมายถึงผีใช่ไหมเจ้” ยี่หันมาสบตาพี่สาว
หยาดชะงักไปชั่วครู่ เธอก็เป็นคนจำพวกโกหกไม่เก่งเสียด้วย ที่สำคัญรู้สึกคันปากยิบๆ อยากที่จะระบายเรื่องที่ได้ฟังมาให้ใครสักคนฟัง
ติดแค่ว่าคนเดียวที่พร้อมรับฟังในเวลานี้ คือน้องสาวผู้แสนจะขวัญอ่อนที่นอนอยู่ข้างๆ
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นตอนกลางคืนสิ เขาถือไม่รู้หรือไง” หยาดปราม แต่เมื่อเห็นสายตาหวาดกลัวของยี่ ก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที
“เอาแบบนี้ เดี๋ยวพี่เล่านิทานให้ฟังเองเอาไหม รับรองว่าไม่จืดชืดเหมือนที่น้าสร้อยเล่าแน่”
ยี่พยักหน้า ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย หยาดจึงเริ่มเล่าเรื่องที่เธอชื่นชอบมากที่สุด... กามนิตกับวาสิฏฐี
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายชื่อกามนิต ผู้หวังที่จะได้พบเจอพระพุทธเจ้าสักครั้ง เพื่อชี้ทางให้ตนพบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์...”
หยาดเล่านิทานอิงพระพุทธศาสนาอย่างคล่องแคล่ว เพราะเป็นเรื่องโปรดของเธอ และทุกครั้งที่เล่า น้องๆ ก็จะฟังอย่างตั้งใจ
เช่นเดียวกับครั้งนี้ ยี่ใช้สองมือพนมรองแทนหมอน จ้องหน้าพี่สาวที่กำลังเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทอง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่หยาดทำเพื่อให้น้องสาวของตนหายหวาดกลัวและนิทราอย่างไร้กังวล กลับมลายหายไปในพริบตา
เพราะในขณะที่กำลังเล่าถึงวาสิฏฐีตัวละครหลักอีกคน ในความเงียบงันกลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
กริ๊งๆ...
หยาดกับยี่จ้องตากันเขม็ง ทุกสรรพเสียงเงียบกริบในทันใด ไม่เว้นแม้กระทั้งเสียงลมหายใจของเด็กทั้งสอง...
“เสียงอะไรน่ะ” ยี่ถามแผ่วเบาจนเกือบกระซิบ
หยาดส่ายศีรษะ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงอะไร
“เหมือนเสียงกริ่งจักรยาน” ยี่พูดต่อ
ประโยคนี้เองที่ทำให้หยาดขนลุกวาบขึ้นมาอีกครั้ง เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ได้ฟังเรื่องของหญิงผู้เคราะห์ร้าย
เด็กสาวมองไปที่ขอบหน้าต่าง ที่ซึ่งแสงไฟสาดส่องเข้ามา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ คลานสี่ขา ก่อนเลิ่กมุ้งแผ่วเบา หยาดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ว่าทำไมถึงต้องอยากสอดรู้สอดเห็นในเวลานี้ แต่จะว่าไปนั่นก็เป็นนิสัยปกติของเธอ
“เจ้ จะทำอะไร” ยี่แค่นเสียงถาม แล้วเธอก็ค่อยๆ เยื้องย่างตามพี่สาวไปติดๆ ยี่ถามแบบเดิมอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากผู้เป็นพี่
เด็กทั้งสองคลานไปจนถึงหน้าต่าง แล้วค่อยๆ ชะโงกมองออกไปด้านนอก บริเวณถนนที่เปลี่ยวร้าง มีแสงไฟนวลๆ ส่องเป็นจุด
แต่ละจุดห่างกันประมาณสิบถึงสิบห้าเมตร อย่าว่าแต่จะมีชาวบ้านสัญจรไปมาในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้
แม้แต่หมาหรือแมวสักตัวก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ทั้งสองคนจ้องมองอยู่นานก็ไม่เห็นต้นตอของเสียงใดๆ จึงหดตัวลงมานั่งมองหน้ากัน
เพียงแค่เสี้ยววินาที ก็มีเสียงแบบเดิมดังอีกรอบ กริ๊งๆ...
หยาดชะโงกตัวขึ้นไปดูอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้น้องสาวนั่งกุมเข่าอยู่หลังบานหน้าต่าง ทางซ้ายมือห่างออกไปสักยี่สิบถึงสามสิบเมตร
หยาดเห็นเงาบางอย่างผลุบหายเข้าไปในความมืดระหว่างเสาไฟ เด็กหญิงกลั้นใจรอคอยเวลาที่เงาดังกล่าวจะโผล่มาที่เสาไฟอีกต้น
ซึ่งอยู่เยื้องหน้าบ้านไปเล็กน้อยด้วยใจระทึก ซึ่งนั่นก็เป็นอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
สิ่งที่โผล่พ้นความมืดออกมาเป็นลำดับแรกคือบังโคลนสีดำกับล้อ มาพร้อมกับเสียงดัง เอี๊ยดๆ คล้ายกับชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งหลวมโพรก
จากนั้นตามมาด้วยเสียงกริ่งดังระรัวสองครั้งติด กริ๊งๆ และสิ่งสุดท้ายที่โผล่พ้นออกมาจากเงามืด คือร่างบอบบางสวมเสื้อสีแดงสดทรงตัวอยู่บนจักรยาน หยาดไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงและเงาตกกระทบที่ลวงสายตาหรือไม่ จึงมองไม่เห็นศีรษะของผู้หญิงคนนั้น
หยาดหน้าซีด ตัวสั่น ขนลุกซู่ หัวใจร่วงหล่นไปกองที่ตาตุ่ม และหากไม่มีมือคู่หนึ่งมาปิดปากไว้ทันท่วงที คงกรีดร้องลั่นบ้านไปแล้ว
เจ้าของมือที่สั่นเทาคู่นั้นคือจำเนียร คุณยายผู้แสนดี หล่อนส่ายศีรษะเบาๆ จากนั้นดึงร่างของหลานทั้งสองเข้าไปกอดแนบอก
พร้อมปลอบประโลมไม่ขาดปาก หัวใจของหยาดกับแย้มที่เต้นรัวราวกลองเพล ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย
“ยายจ๋า...”เสียงสั่นพร่าออกจากปากเด็กสาวอย่างยากลำบาก แต่เธอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะจำเนียรชิงพูดเสียก่อน
“ไม่ต้องกลัวนะ ยายอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่มีอะไรมาทำร้ายหลานๆ ได้ เราอยู่ส่วนเรา เขาอยู่ส่วนเขา พันธะต่างๆ สิ้นสุดกันแล้ว
เขาเพียงสับสนว่า ตัวเองควรอยู่ที่ไหนกันแน่ จึงเวียนว่ายอยู่ระหว่างสองภพ แต่อีกไม่นาน ทุกอย่างจะผ่านไป”
จำเนียรยิ้มให้หลานทั้งสอง และกอดแน่นขึ้นจนหยาดและยี่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นไม่แพ้อ้อมกอดของผู้เป็นแม่
ไม่นานนักทั้งคู่ก็เข้าสู่นิทราในอ้อมกอดของหญิงชรา
เปลวแดดอบอุ่นจนเกือบร้อนส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง และเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ปลุกหยาดกับยี่ให้ตื่นขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
ทั้งคู่มองตาด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย ความหวาดกลัวยังเกาะแน่นในใจ หยาดลุกขึ้นยืนบริเวณหน้าต่าง
สายตาทอดยาวไปจนถึงตำแหน่งที่บางสิ่งบางอย่างที่น่าขนลุกปรากฏ แต่ในเวลานี้ถูกแทนที่ด้วยชาวบ้านจำนวนหลายสิบคน
ยืนเรียงรายอยู่ริมถนน คงเป็นคนกลุ่มนี้ที่เป็นต้นกำเนิดเสียงจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกแตกรัง
หยาดกับยี่เดินลงไปด้านล่าง ภายในบ้านว่างเปล่า ไร้วี่แววของสมาชิกคนใด จึงเดินตามออกไปหน้าบ้าน ก็พบจำเนียรกับสร้อย
ยืนคุยกับเจ้าของร้านตัดผมด้วยท่าทีตื่นตระหนก
“มีเรื่องอะไรกันจ๊ะ คนเต็มเลย หรือว่ามีใครเป็นอะไร” หยาดเดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับสร้อย
ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มกลับมาเกาะกุมจิตใจอีกครั้ง
“เปล่า ไม่มีใครเป็นอะไร แต่กำลังมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นต่างหาก” สร้อยตอบหลานสาว
“เรื่องอะไรจ๊ะ” หยาดถามด้วยความใคร่รู้
สร้อยชำเลืองจำเนียรอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าหญิงชรากำลังคุยกับเพื่อนบ้านอย่างตั้งใจ สร้อยยิ้ม ลูบหัวยี่ ก่อนดึงหยาดให้ห่างออกมา
แล้วเริ่มเล่า “วันนี้จะมีพิธีใหญ่”
“พิธีอะไรจ๊ะ ทำบุญตักบาตรอะไรทำนองนั้นเหรอ” หยาดถาม
“ไม่ใช่… เป็นพิธีส่งวิญญาณ ก็ออกจะเฮี้ยนขนาดนั้น ชาวบ้านแถวนี้ทนไม่ไหว ลงขันกันจ้างร่างทรงจากต่างอำเภอมาทำพิธี”
สร้อยหันไปมองจำเนียรอีกครั้งและพูดด้วยเสียงเบากว่าเดิม “น้าก็ลงไปสิบบาท”
หลานสาวมองหน้าสร้อยอยู่นานจนเริ่มผิดสังเกตุ “มีอะไรหรือเปล่า จ้องหน้าน้าเขม็งเชียว”
หยาดนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์สยดสยองเมื่อคืนที่ผ่านมา ชั่งใจว่าจะเล่าให้สร้อยฟังดีหรือไม่ จนแล้วจนรอดเธอเลือกที่จะไม่พูดอะไร
“เปล่าจ่ะ แล้วยังไงต่อจ๊ะ”
สร้อยคิ้วขมวดย่นชนกันก่อนเล่าต่อ “เห็นพูดกันว่า ตอนนี้ร่างทรงกำลังทำพิธีอยู่จุดที่เกิดอุบัติเหตุ จากนั้นขบวนพิธีจะเคลื่อนไปตามถนนใหญ่
เลี้ยวเข้ามาในซอย ผ่านหน้าบ้านเราแล้วเลี้ยวอีกทีไปทางดงสน ผ่านตลาด อ้อมกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง” สร้อยเว้นช่วงเล็กน้อยและพูดต่อ
“เกิดมาน้ายังไม่เคยเห็นพิธีใหญ่ที่มีคนเยอะขนาดนี้เลย”
อากาศในวันนี้ไม่ร้อนเท่าไหร่นัก เนื่องจากดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยเมฆก้อนใหญ่หนาทึบ ชวนให้ยิ่งเกิดความรู้สึกวังเวง
กลุ่มคนที่ยืนกระจัดกระจาย ยังอดทนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เต็มสองฝั่งถนน ทั้งหัวซอยและท้ายซอยถูกปิดกั้น
ไม่ให้มีรถชนิดใดผ่านเข้าออก
หลังจากเลยเที่ยงวันเกือบชั่วโมง มีเสียงฆ้องกับกระดิ่งดังมาแต่ไกล คาดว่าคงมาจากต้นซอยติดถนนใหญ่ เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชาวบ้านเกือบร้อยชีวิตกรูกันเข้าไปยืนชิดขอบถนน รวมถึงสร้อยและหยาดที่เบียดแทรกเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ส่วนยี่ถูกจำเนียรดึงกลับไปรอที่บริเวณหน้าประตูบ้าน
เสียงทุ้มกังวาน ตึง... ตึง... ตึง... ดังสลับกับเสียงกระดิ่ง กิ๊งๆ...
เสียงฆ้องที่ดังก้องเนิบนาบได้จังหวะสม่ำเสมอ มาพร้อมขบวนชาวบ้านหลายสิบชีวิตทุกคนล้วนใส่ชุดขาว เช่นเดียวกับผู้ที่เดินนำหน้า
เป็นผู้ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีขาวสะอาดสะอ้าน คลุมยาวจนถึงข้อเท้า แต่งหน้าสีสันฉูดฉาดคล้ายนักแสดงงิ้ว มือซ้ายถือกระดิ่งทองเหลือง
มือขวาถือกิ่งมะยม เดินท่องบทสวดทั้งไทยและจีนผสมกัน พอจบหนึ่งบทก็สั่นกระดิ่งสองครั้งและโบกกิ่งมะยมในมือ
ชาวบ้านที่ยืนเบียดเสียดกัน ต่างมองร่างทรงด้วยความฉงน ไม่ต่ำกว่าครึ่งคิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นเพียงนักต้มตุ๋ม
ต่างจากอีกครึ่งที่ฝากความหวังให้พวกเขาช่วยปัดเป่าความน่ากลัวที่คุกคามชุมชนแห่งนี้
เหตุการณ์ผิดปกติเริ่มต้นขึ้น เมื่อกลุ่มคนเดินผ่านหน้าบ้านจำเนียรไปเพียงไม่กี่เมตร ก็มีเสียงกรี๊ด ดังมาจากฝั่งตรงข้ามจุดใดจุดหนึ่ง
สิ้นเสียงแค่อึดใจเดียว ผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากสร้อยและหยาดก็กรีดร้อง เป็นลมล้มพับไป
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันอีกหลายครั้ง จนมีเสียงใครบางคนโหวกเหวกออกมาว่า
เห็นคนใส่เสื้อสีแดงเดินแทรก ผลุบๆ โผล่ๆ ไปมาระหว่างชาวบ้านสองฝั่ง
กลุ่มคนที่ยืนออเต็มสองฝั่งถนนแตกฮือไปคนละทิศละทาง จำเนียรเห็นท่าไม่ดี จึงตะโกนเรียกสองน้าหลานที่ยืนอยู่ข้างถนนให้รีบกลับเข้าบ้าน
สร้อยกับหยาดเองก็ไม่รอความวิปริตผิดเพี้ยนมาเยือน โกยแนบไปยืนหลบอยู่หลังประตูทันที
กลุ่มลูกศิษย์ที่เดินตามเป็นพรวนเริ่มระส่ำระส่าย ต่างหันรีหันขวางอย่างร้อนใจ ฆ้องที่ถูกหามโดยชายสองคนหยุดตีไปพร้อมๆ
กับเสียงกรี๊ดของหญิงสาวชาวบ้าน คนที่อยู่ใกล้ก็ประคับประคองตามมีตามเกิด ร่างทรงที่เป็นชายวัยกลางคนเห็นเหตุการณ์
จึงแผดเสียงกว่าเดิม และกวัดแกว่งของสองสิ่งในมือรวดเร็วยิ่งขึ้น กระดิ่งอันจ้อยส่งเสียงเป็นจังหวะ กิ๊งๆ...
ร่างทรงสูดลมหายใจลึกยาว พร้อมจะตะเบ็งบทสวดอีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงดัง กริ๊งๆ...
สร้อยเป็นหนึ่งในชาวบ้านไม่กี่คนที่สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล หล่อนยืนนิ่งเพียงครู่เดียว ก่อนถลาเข้าไปเกาะหลังจำเนียรอย่างรวดเร็ว
“คุณพระ คุณเจ้า เฮี้ยนจริงๆ แม่คุณเอ้ย” หล่อนครางเสียงสั่น
“อะไรของเธอ แม่สร้อย” จำเนียรถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
สร้อยจ้องหน้าจำเนียรสลับกับหยาด แววตาแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว หล่อนบรรจงชี้นิ้วไปตำแหน่งที่ร่างทรงยืนสงบนิ่งอยู่
“ตรงนั้น” สร้อยพูดเบาๆ
จำเนียรและหลานสาวทั้งสองคน มองไปตามทิศทางนั้น ก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติ นอกจากชายวัยกลางคนที่ ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กึ่งกลางถนน
รายล้อมด้วยบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่ยกโขยงกันมาทำพิธีในครั้งนี้
“ชี้ให้ดูอะไรแม่สร้อย ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” จำเนียรบ่นอุบ
สร้อยไม่ได้ละสายตากลับมามองจำเนียรแม้แต่น้อย ยังคงมองตรงไป เหมือนกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง ชั่วอึดใจ หล่อนพูดออกมาเบาๆ
“ไม่ได้ให้ดู... ให้ฟัง”
พลันที่หญิงสาวช่างจ้อพูดจบ ก็มีเสียงดัง กริ๊งๆ...
ช่วงท้ายๆ ไม่มีสต็อคครับ เลยช้าไปหน่อย
หยาดไม่แน่ใจว่าจำเนียรจะรู้แล้วหรือไม่ แต่สำหรับเธอ เข้าใจสิ่งที่น้าสาวต้องการจะสื่อในทันที เด็กสาวรู้สึกว่าอากาศรอบตัว
เย็นเยียบขึ้นมาในบัดดล ขนทั่วร่างแม้กระทั่งเส้นผมยังเหมือนจะตั้งขึ้นมาให้ได้ นั่นเพราะเสียงกริ่งที่ดังเอื่อยๆ อยู่
ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากกระดิ่งในมือร่างทรง เขาไม่ได้สั่นมันแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างห้อยอยู่ข้างลำตัว แม้มองไกลๆ
ก็ยังเห็นว่าใบหน้าของเขาซีดเผือด
เพราะเสียงนั้นดังไม่เหมือนเสียงกระดิ่งใดๆ มันเหมือนเสียงกริ่งจักรยาน
แสงตะวันยังไม่อาจส่องผ่านม่านเมฆออกมาได้ ในเวลาบ่ายดูเหมือนโพล้เพล้ กลุ่มคนที่เคยแน่นขนัด เริ่มทยอยหายไปทีละน้อย
และยิ่งน้อยลง เมื่อเริ่มมีชาวบ้านบางคนสังเกตเห็นความผิดปกติเหมือนกับสร้อย
ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังประคองร่างหญิงสาวที่สลบสไล ครวญครางออกมาเบาๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตะโกนก้อง
“เวรแล้ว นั่นมันเสียงกริ่งจักรยานนี่หว่า เผ่นโว้ย”
เมื่อได้ยิน กลุ่มคนที่ยืนลังเลอยู่ ก็วิ่งแตกฮือไปคนละทิศละทาง บ้างวิ่งเข้าห้องหับของชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น
บ้างวิ่งเตลิดไปตั้งหลักไกลลิบ เหลือชาวบ้านใจกล้าที่ส่วนใหญ่เป็นชายเพียงไม่กี่สิบคน จากเดิมที่มีร่วมร้อย
จำเนียรผลักสมาชิกทุกคนเข้าบ้าน เลื่อนประตูแง้มจนเหลือช่องว่างไม่ถึงศอก พอให้มองเห็นเหตุการณ์บนถนนได้เพียงคนเดียว
หล่อนสั่งห้ามหลานทุกคนแอบดู เมื่อเป็นเช่นนั้น สร้อยกับหยาดไม่เสียเวลาขอในสิ่งที่จำเนียรคงไม่อนุญาตในเวลานี้
ทั้งสองคนวิ่งพรวดขึ้นชั้นสอง ตรงไปยังหน้าต่างที่ยังเปิดอ้าอยู่ หัวใจของน้าหลานเต้นระรัว
“น้าสร้อย เสียงกริ่งนั่นมัน...” หยาดระล่ำระลักพูดอย่างลำบาก สร้อยได้ยินก็รีบปิดปากเด็กสาวทันที
“จะบ้าเหรอ อย่าพูดตอนนี้” สร้อยพูดจบก็ค่อยๆ เยื้องย่างไปตรงชานด้านนอก เพื่อให้เห็นถนัดขึ้น โดยมีหยาดตามไปติดๆ
เมื่อมองจากที่สูง จึงเห็นว่าประตูห้องแถวที่เรียงรายสองฟากฝั่งถนนถูกปิดเกือบทั้งหมด หลังไหนที่ยังไม่ปิด
จะมีชาวบ้านยืนกระจุกอยู่นับสิบคน ส่วนบริเวณกลางถนน ร่างทรงยืนนิ่ง โดยมีลูกศิษย์ลูกหา ยืนหันรีหันขวางอยู่ห่างๆ ด้วยความกระวนกระวาย
ที่เหลือเป็นชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นชายวัยฉกรรจ์ หยาดไม่แน่ใจว่าเขาเหล่านั้นไม่ทันสังเกต ไม่ทันฟัง หรือเพราะใจกล้าบ้าบิ่นกันแน่
ถึงยืนดูอยู่โดยไม่เผ่นห้อแนบไป แต่ร้อยหนึ่งขอสลึงเดียว หยาดแน่ใจว่า ถ้าพี่ชายคนโตของเธออยู่ที่นี่
เขาจะยืนสูบบุหรี่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ด้านล่างด้วยเป็นแน่
ความเงียบสงัดปกคลุมถนนที่เคยคราคร่ำไปด้วยผู้คนอยู่นานเกือบสิบนาที ชายที่เป็นร่างทรงก็หันไปยังกลุ่มลูกศิษย์ที่ยืนอยู่โดยรอบ
สายตาของเขาสอดส่ายหาบางสิ่ง ทุกคนในที่นั้นมองตามติดๆ
จนในที่สุดก็พูดแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก “หมดเรื่องแล้ว มันไปแล้ว สบายใจได้”
ชาวบ้านที่ยืนหลบๆ ซ่อนๆ อยู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เมื่อกลุ่มลูกศิษย์ร่างทรงเฮกันลั่น ชาวบ้านที่เหลือก็ค่อยๆ เฮตามน้ำจน
เสียงดังก้องไปทั่วซอยเล็กๆ กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกต่างวิ่งไปมาตามท้องถนนอย่างโล่งอก ที่ต่อไปจะไม่ต้องหวาดกลัวกับความเฮี้ยน
ของวิญญาณหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนี้
สร้อยกับหยาดเดินลงมาชั้นล่าง ตรงเข้าไปสมทบกับจำเนียรหญิงชราผู้แสนใจดี หล่อนหันมามองหลานๆ ทุกคนด้วยสายตาแปลกๆ
ก่อนที่จะพูดเบาๆ “เห็นไหมหลานยาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แสนน่ากลัว เลวร้ายหรือทุกข์เข็ญแค่ไหน ไม่นานมันก็ผ่านไป”
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หยาดกลับมองไม่เห็นวี่แววความโล่งใจบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้น
สร้อยเอ่ยถามบางอย่างเบาๆ เบาเสียจนเด็กทั้งสองคนไม่ได้ยิน ทั้งคู่จ้องตากันเหมือนจะสื่อสารอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องการเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
หลังจากนั้นจำเนียรหันกลับไปมองกลุ่มคนที่เข้าไปแสดงความยินดีกับชายวัยกลางคนที่เป็นร่างทรงชื่อดัง
น้อยคนนัก ที่จะเห็นว่าหนึ่งในชาวบ้านที่กำลังรุมล้อมร่างทรงราวกับเป็นดารา คือหญิงสาวที่ไม่แสดงท่าทีดีอกดีใจเฉกเช่นคนอื่น
หล่อนสวมเสื้อสีแดง
Post a Comment