กลกามกับคุณไสย
กลับมาอีกครั้งสำหรับผลงานของคุณ กฤตานนท์ หรือ Rhythm in the Air แห่งพันทิปนักเล่าที่มีความสามารถในการเล่าระดับมืออาชีพกลับมาครั้งนี้กับเรื่อง "กลกามกับคุณไสย" แค่ชื่อก็ใช้คำที่น่าสนใจมาก และประกอบทั้งคำปรัชญาที่แฝงอยู่ในเนื้อหารับรองว่าเรื่องของคุณ กฤตานนท์ ไม่ผิดหวังแน่นอน ขอขอบคุณเรื่องคุณภาพดีแบบนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
“ถ้าคุณนอกใจใครคนหนึ่งสำเร็จ อย่าคิดว่าอีกฝ่ายไม่เท่าทัน แต่จงรู้ไว้ว่าเขาให้ความเชื่อใจคุณเกินกว่าที่คุณควรได้รับ”
แบงค์มีอาชีพเป็นเซลล์ขายรถ พูดเก่ง อัธยาศัยดี ลูกล่อลูกชนแพรวพราว ติดท็อปเซลล์ เขามีแฟนคนหนึ่งชื่อป่าน
เป็นเซลล์อยู่โชว์รูมเดียวกัน ด้วยความที่เป็นหนุ่มคารมดีพอๆ กับหน้าตา ทำให้มีสาวน้อยสาวใหญ่เซลล์ใหม่เซลล์เก่า
รวมถึงลูกค้าสาวๆ แวะมาแจกขนมจีบเป็นประจำ และก็เข้าทำนองที่ว่า “ผู้ชายไม่เจ้าชู้ ก็เหมือนงูไม่มีพิษ” แต่สำหรับแบงค์
ไม่ใช่งูพิษธรรมดา ต้องเรียกว่าจงอางในคราบคน เพราะพี่แกเจ้าชู้ประตูดินมาก ตอดเล็กตอดน้อยลูกค้าสาวๆ ตลอด
ป่านเองก็รู้ถึงความกะล่อนมากรักของแฟนหนุ่ม แต่แบงค์ก็ลื่นเป็นปลาไหลอาบน้ำมันรำข้าว ป่านไม่เคยจับได้คาหนังคาเขา
อีกทั้งเธอคิดว่าสิ่งที่มีให้แบงค์คือ “รัก” ไม่ใช่ “หลง”
ป่านพยายามบอกแบงค์เสมอให้เลิกทำตัวเจ้าชู้ แต่แบงค์ก็ยึดมั่นในเจตนารมณ์เหมือนที่เคยบอกเสมอๆ ว่าแต่งงานกันเมื่อไหร่
จะเลิกนิสัยเจ้าชู้ทันที ในระหว่างนี้ก็อย่าบีบกันเกินไป ถ้าทนไม่ได้ก็ให้เลิกกันซะตอนนี้ (เอากับเขาสิ)
ซึ่งทั้งสองรู้กันอยู่ว่าเงื่อนไขมักง่ายนี้ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นข้อตกลงที่ฝ่ายชายบอกตั้งแต่เริ่มคบกัน และฝ่ายหญิงเลือกจะยอมรับ
แต่นั่นล่ะ หลังเกิดคาวกามขึ้นบ่อยเข้า เริ่มเกิดปมเล็กๆ ในใจฝ่ายหญิงว่าถึงรักแค่ไหนมันก็มีลิมิตนะจ๊ะ ป่านไม่ระแคะระคายเลยว่า
กำลังเกิดเหตุการณ์ให้เธอต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง และเหตุการณ์ที่ว่าเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา
และเรื่องก็เริ่มที่ตรงนี้ เมื่อแบงค์ได้รับแอสซายน์ด่วนให้นำรถไปส่งลูกค้าที่อำเภอบางสะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์...
แบงค์ชวนเพื่อนอีกสองคนเดินทางไปบางสะพานด้วยกัน คนหนึ่งชื่อต้อมอีกคนชื่อตั้ม ใช้รถสองคัน คันหนึ่งส่งมอบลูกค้า
อีกคันใช้ขับกลับกรุงเทพฯ ออกเดินทางสายวันศุกร์ก่ะว่านอนค้างสักคืนแล้วค่อยกลับวันเสาร์
ปุเลงๆ ไปไม่รีบร้อนถึงบางสะพานก็บ่ายแก่ๆ ทั้งสามรีบขับรถไปส่งมอบลูกค้าเรียบร้อย จึงวกกลับเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม
เปิดเพียงหนึ่งห้องและเพิ่มเตียงเสริม หลังจากพักผ่อนจนหายเหนื่อยก็ออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารขึ้นชื่อ...
เหล้า ยา โซดา น้ำ ยกมาเสิร์ฟสามหนุ่มสามมุม กระดก-ชน จนกรึ่มได้ที่ก็ว่าจะกลับห้องกัน
พอดีว่าสายตาแบงค์เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมองเขา ถึงอยู่ใต้แสงสลัวแต่เธอดูเป็นสตรีสวยคม ตาโต ผมยาวถึงสะโพก
สายตาหยาดเยิ้มไดเร็คถึงพ่อขมองอิ่มแบงค์
ทอดสะพานขนาดนี้ความเจ้าชู้ลุกพรึ่บในพริบตา แต่ครั้นจะเดินโทงๆ เข้าไปหาก็เสี่ยงทีนเพราะข้างกายเธอมีไอ้หนุ่มหน้าเหี้ยม
นั่งพะเน้าพะนออยู่ แต่ก็นั่นล่ะครับ เป็นสามัญวิสัยชายวัยคะนอง ตัณหามักมีน้ำหนักกว่าเหตุและผล
ระดับคาสโนว่าอย่างแบงค์มองปร๊าดเดียวทะลุ ว่าผู้หญิงคนนั้นพร้อมให้ทั้งใจทั้งตัวเลยล่ะ รีบบอกให้เพื่อนทั้งสองคนกลับโรงแรมไปก่อน
ส่วนตัวเองยืนรออยู่หลืบหนึ่งหน้าร้านอาหาร ไม่นานนักผู้หญิงคนนั้นก็ตามออกมาคนเดียวอย่างรู้งาน และแนะนำตัวว่าชื่อ 'กาหลง'
แบงค์เองก็แนะนำตัวคร่าวๆ คุยไปคุยมาตกลกว่าจะไปต่อกัน กาหลงบอกว่าไปเก็บของแป๊บเดี๋ยวมา เธอเดินกลับเข้าร้าน
สวนกลับบริกรหนุ่มผิวเข้มคนหนึ่ง แบงค์ซึ่งกำลังวาดวิมานในอากาศมารู้สึกตัวอีกทีไอ้หนุ่มสำเนียงทองแดงเดินเข้ามาใกล้ๆ
กระซิบสิบคำจำฝังใจ
“พี้ๆ อย่าไปกับผู้หญิงคนน้านนะ”
แบงค์งงว่าบ๋อยคนนี้พูดอะไร (ของมัน) ไม่คิดแม้จะถามสาเหตุ ควักเงินให้ยี่สิบแล้วตะเพิดให้กลับเข้าร้าน แต่บ๋อยคนนั้นไม่รับเงิน
เดินกลับเข้าไปทิ้งข้อความชวนสงสัยว่า “ผมเตือนพี้แล้วนะ”
สักพักกาหลงเดินออกมาและตรงเข้านัวกับแบงค์ทันที จากนั้นพากันไปที่โรงแรมเดียวกับที่ต้อมกับตั้มพักอยู่แต่เปิดห้องใหม่อีกห้อง...
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นคงไม่ต้องสาธยาย
รุ่งเช้าต้อม-ตั้มตื่นขึ้นมาไม่เห็นเพื่อนก็เดาได้ว่ามีซัมติงอย่างเคย อย่างไอ้คุณแบงค์ไปไหนก็ได้เมียมันทุกที่ ระหว่างกำลังเก็บของ
มีคนเดินมาเคาะประตู ทีแรกคิดว่าเพื่อนจอมเจ้าชู้ ที่ไหนได้เป็นกาหลง เธอบอกว่าแบงค์ให้มาบอก (อีกต่อ) ว่าให้ต้อม-ตั้มกลับกรุงเทพฯ
ไปก่อนได้เลย ส่วนแบงค์จะอยู่ที่นี่ต่ออีกสัก 2-3 วัน
ด้วยความเป็นห่วงว่าเพื่อนจะลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงข้างโรมแรมรึเปล่า จึงให้กาหลงพาไปหาแบงค์ พบแบงค์นอนยิ้มแป้นแล้นอยู่
เขาบอกว่าให้กลับไปก่อน เดี๋ยวจะตามไป ระหว่างรอสามหนุ่มคุยกัน กาหลงจึงขอตัวไปอาบน้ำ
เมื่อแบงค์เห็นฝ่ายหญิงผลุบเข้าไปในห้องน้ำ เม้าท์มอยคะนองปากแบบไม่เกรงใจฝ่ายหญิงว่า
“เชี่ย... คนนี้แม่มเด็ดจริง”
สองเพื่อนพยายามบอกว่าเอาแค่พอหอมปากหอมคอก็พอม้าง แต่แบงค์ยืนยันว่าจะอยู่ต่อ จะกลับไปทำงานวันอังคาร
ฝากบอกจีเอ็มให้ด้วย ต้อมตื้อต่อว่าถ้าป่านถามจะให้บอกยังไง แบงค์ให้เพื่อนทั้งสองบอกว่าตนไปเยี่ยมญาติ
เพื่อนพยายามเกลี้ยกล่อม แต่แบงค์ตอบกลับไปว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง จังหวะนั้นกับกาหลงอาบน้ำเสร็จพอดี ต้อม-ตั้มได้กลิ่นหอมปนฉุนจางๆ
ลอยเตะจมูก อารมณ์คุกรุ่นถึงขนาดไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ความหื่นส่งเสียงทักทาย “นายๆ อยู่แจมกับเค้าเหอะ”
แต่แบงค์รีบตะเพิดเพื่อนทั้งสองไปซะก่อน เขาก่ะว่าจะเปิดห้องนี้อยู่กับกาหลงสัก 2-3 วันค่อยกลับกรุงเทพฯ
แต่ฝ่ายหญิงบอกว่าให้ไปบ้านเธอดีกว่า อยู่กับยายพิการแค่สองคน ไม่ต้องเสียสตางค์เช่าโรงแรม
แบงค์ตอบตกลงทันที โดยที่ไม่สำเหนียกแม้แต่น้อยว่าความสะพรึงกำลังกวักมือรออยู่...
บ้านกาหลงอยู่ห่างจากตัวอำเภอไม่ไกลนัก เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ กาหลงพาแบงค์ขึ้นไปหายายที่ชั้นสอง
ยายของเธอเป็นอัมพาตนอนนิ่งอยู่ในมุ้งเห็นแค่เงาลางๆ (ก็แปลกใจว่าทำไมไม่ให้อยู่ชั้นล่างแต่แบงค์ก็ไม่ได้ถาม)
กาหลงบอกอีกว่าถ้าไม่มีธุระก็อย่าขึ้นมารบกวนยายบนนี้ เพราะแกไม่ชอบคนแปลกหน้า และยิ่งไม่ชอบเวลาที่กาหลงพาผู้ชายมาที่บ้าน
หลังจากไหว้ยายเสร็จ จึงเดินลงมาชั้นล่าง กาหลงยิ้มอยุ่แป๊บแล้วเดินเข้ามาบีบนวด แบงค์ได้กลิ่นหอมจางๆ จากตัวอีกฝ่าย
อารมณ์ก็เตลิดอีกรอบ ทั้งสองพากันไปทำการบ้านต่อทันที... คงบอกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่แบงค์ร่วมรักมาราธอนขนาดนี้
พักหายใจได้ไม่นานกาหลงก็แซะเข้ามา จากเช้าถึงเย็นจนเพลียไปหมด ก็ไม่ได้คิดอะไรมากที่มานี่ก็เพื่อการนี้อยู่แล้ว
เพิ่งมาเริ่มรู้สึกแปลกๆ เมื่อถึงมื้อเย็น เจ้าบ้านถือสำรับออกมาจากในครัว แบงค์มองก็งงไม่น้อย เพราะอาหารค่ำมีแค่ข้าวเปล่าหนึ่งก้อน
วางอยู่บนชามสังกะสีสีขาว... ไม่มีกับสักอย่าง?
ถึงบ้านจะไม่ใหญ่โต แต่ก็ไม่ใช่ว่าเล็กมาก ข้าวของในบ้านก็พอมีราคา ไม่น่าเป็นคนจนยากขนาดนั้น ไหงเอาข้าวเปล่ามาเลี้ยงแขก?
ก็ถามอ้อมๆ ว่าขาดเหลืออะไรรึเปล่าเขาพอช่วยได้นะ แต่กาหลงบอกว่า เงินทองเธอพอมี แต่วันนี้เพลียมากเลยไม่ได้ทำกับข้าวให้กิน
ไว้พรุ่งนี้เช้าจะทำกับข้าวมื้อใหญ่ให้เป็นการแก้ตัว ถัดจากนั้นเกิดกิจกรรมอะไรต่อทุกคนคงทราบ...
วันรุ่งขึ้นแบงค์รู้สึกปวดขาข้างหนึ่งแบบไม่มีสาเหตุ คิดว่าคงนอนผิดท่า เดินออกมาจากห้องนอนไม่เจอกาหลง หาจนทั่วก็ไม่พบ
พบแค่โน๊ตแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า “ออกไปซื้อกับข้าว สายๆ กลับ” แบงค์รู้สึกหิวจึงเดินเข้าไปในครัวเจอกระดาษโน๊ตอีกแผ่น
สอดอยู่ใต้ชามข้าวสังกะสีใบเดิม มีข้อความเขียนไว้ว่า “กินรอไปก่อนนะ” เขามองไปในชาม มันคือข้าวเปล่าปั้นหนึ่ง...
“ข้าวเปล่าอีกแล้วเหรอวะ?”
เอียนจนถึงกับอุทาน เดินรื้อค้นอาหารแห้งไม่เกรงใจเจ้าของบ้านก็ไม่พบอะไรสักอย่างนอกจากข้าวสารในโอ่ง
มาม่าปลากระป๋องก็ไม่มีสักอย่าง อยู่กันยังไง (วะ) เนี่ย คนหิวเริ่มฉุน เดินถือชามข้าวออกมานั่งเคี้ยวตุ่ยอยู่หน้าบ้าน กินอยู่ดีๆ
ก็แทบอาเจียนเพราะได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ ตัว ลองเดินหาดูก็ไม่เห็นมี จึงกลับมานั่งมองข้าวไร้กับ
ก็ทนกระเดือกเข้าไปเพราะความหิว
ช่วงสายๆ กาหลงกลับมาบ้าน หอบเนื้อและผักสดมาถุงใหญ่บอกว่าเดี๋ยวจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้กิน แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น
พอแบงค์ได้กลิ่นกรุ่นกายสาว อาการกำหนัดก็ปะทุอีก ทุกอย่างจบลงบนเตียงเหมือนอย่างเคย... ตื่นมาอีกทีโพล้เพล้ซะงั้น
เหลียวหาคนข้างกาย เจ้าบ้านหายไปอีกแล้ว? เดินออกมานอกห้องเจอชามข้าวใบเดิมพร้อมข้าวเปล่าหนึ่งก้อน...
ข้าวเปล่าหนึ่งปั้นสามมื้อ? ซื่อบื้อยังไงก็ควรตระหนักได้แล้วล่ะว่ามันผิดปกติ
แบงค์เดินสำรวจบ้านไม้หลังนั้น ไล่ตั้งแต่หน้าบ้านจรดหลังบ้าน ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เป็นบ้านไม้โบราณทั่วๆ ไป
เสาไม่ตกน้ำมัน ไม่มีใครนั่งห้อยขาอยู่บนขื่อ ไม่มีเสียงเด็กๆ วิ่งกระพรวนดังเสียดหู ไม่มีอะไรที่ชวนคลางแคลง
เป็นบ้านทั่วๆ ไป แต่... ความรู้สึกบอกว่ามีแน่ๆ ต้องซุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งเนี่ยล่ะ และแน่นอนมันไม่ได้อยู่ชั้นล่าง
อากาศช่วงใกล้ค่ำก็เป็นใจซะเหลือเกิน เงียบ วังเวง มองไปทางไหนก็มืดทึบไปหมด ไฟจากบ้านเพื่อนบ้านก็โน่นน
ไกลลิบ เหลือแสงเท่าหิ่งห้อย แบงค์เดินไปหยุดอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสอง มองขึ้นไปเหมือนโพรงดำมืด เอื้อมมือเปิดไฟ
แสงส้มๆ จากหลอดไส้สว่างขึ้น จึงค่อยก้าวขึ้นไปช้าๆ ขาเจ้ากรรมก็สั่นพั่บๆ ทั้งปวดทั้งกลัวผสมกันมั่วไปหมด
ชั้นสองเป็นลานโล่ง มีห้องหนึ่งห้องล็อคกุญแจอยู่ ตรงข้ามห้องเป็นเตียงไม้ขนาด 6 ฟุต มีมุ้งสีขาวทึมกางคลุมถึงขาเตียง
แบงค์ย่องเข้าไปเงียบๆ เห็นเงาตะคุ่มๆ ขยุกขยิกก็ตั้งท่าจะเผ่น แต่มีเสียงแหบสากแว่วมาเบาๆ
“หนุ่ม... เช้าเมื่อไหร่รีบกลับไปซะ”
ความงงนำให้แบงค์เดินเข้าไปหายาย พยายามถามว่าพูดเรื่องอะไรแต่ยายไม่ตอบ ในเงาสลัวแบงค์เห็นยายยกแขนขึ้นช้าๆ
แล้วชี้ไปห้องที่ล็อคอยู่ และเหมือนรู้ใจแบงค์ว่า 'มันล็อคอยู่นะ' ยายเลื่อนมือไปยังผนังฝั่งหนึ่งแล้วพูดต่อว่า
“กุญแจ”
แบงค์กระโผลกกระเผลกเข้าไปหาคลำๆ ควานๆ อยู่สักพักเจอกุญแจเก่าๆ ดอกหนึ่ง จึงหยิบไปไขห้องที่ล็อคอยู่
ทันทีที่เปิดประตู ลมแทบจับสิครับพี่น้อง หัวใจลงไปกองตรงตาตุ่ม... ภายในห้องนั้นมีโต๊ะหมู่เก่าๆ พวงมาลัย ดอกไม้ พาน
เทียนและน้ำตาเทียนเกรอะกรังเต็มพื้นไปหมด เท่านั้นยังไม่พอมีสายสิญจน์ห้อยระโยงระยางยุบยับไม่ต่างกับใยแมงมุง
เหมือนไม่เคยผ่านการทำความสะอาดเลย แบงค์มองไปจนสุดผนังเห็นไหสูงสักสองฟุตเรียงเป็นตับ และถ้าหูไม่ฝาดมีเสียงอะไรสักอย่าง
ดิ้นพล่านอยู่ในนั้น แต่ใครล่ะจะกล้าย่องเข้าไปดู ได้แต่คิดในใจว่า
“ซวยแล้วกรูเจอครูคนอร์ เอ้ย! ครูพนอ!”
ถลาออกจากห้องแทบไม่ทัน กำลังตั้งท่าเผ่น เสียงแหบสากดังขึ้นอีกครั้ง
“หนุ่ม... อย่าออกไปตอนกลางคืน ให้ไปพรุ่งนี้เช้า”
แบงค์รีบถามว่าทำไม เจอสภาพนี้อยู่ไม่ได้แล้วจ่ะยายจ๋า คุณยายซึ่งยังนอนอยู่ในมุ้งตอบกลับสั้นๆ แต่ทำเอาแบงค์หน้าซีดเป็นไก่ป่วย
“วันนี้วันโกน ถ้าออกไปคืนนี้หนุ่มไปไม่ถึงบ้านหรอก นังกาหลงมันเอาตาย”
แบงค์คิดในใจ 'กล้วยทอดแล้วกรู!'
เสียงแหบสากบอกต่ออีกว่าให้นัดเพื่อนมารับช่วงแปดโมงครึ่งถึงสิบโมงเช้าเพราะกาหลงไม่อยู่บ้าน
แต่จะทำอะไรก็ตามห้ามให้กาหลงรู้ว่าแบงค์กำลังจะชิ่งเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น จากนั้นยายก็ไล่ให้แบงค์รีบลงไป
ก่อนที่กาหลงจะกลับมา แบงค์หันหลังกระเผลกกลับลงไปข้างล่าง หัวสมองเบลอไปหมดคิดอะไรไม่ออกแยกแยะไม่ได้
แต่ที่แน่ๆ มีเสียงยายดังไล่หลังมาว่า
"หนุ่มมักมากไม่ดูตาม้าตาเรือก็เตรียมรับผลที่ตามมาด้วยนะ และระวังให้ดีอย่าเผลอกินอะไรที่นังกาหลงมันให้กินล่ะ”
อะไรนะ!? แบงค์หันขวับอ้าปากค้าง คิดถึงดงบุริที่กินมาแล้วสองมื้อ กำลังจะถามยายว่าทำไมห้ามกิน
ดันได้ยินเสียงกาหลงเรียกมาแต่ไกล “แบงค์ๆ”
เสียงเย็นๆ ทำเอาแบงค์ซู่ ทำไมไม่รื่นหูเหมือนทุกที (วะ) มือสองข้างขยี้ผมด้วยอารามสะพรึง ซวยๆๆๆ... ซวยเช็ด!
แต่เสียงยายก็ดังแว่วมาอีกว่าให้รีบลงไป อย่าให้กาหลงรู้ แบงค์ก็รีบก้าวยาวลงบันไดชนิดแทบกระโดด
ตรงไปนั่งเก้าอี้โยกตัวเดิม เปิดไลน์กดแชร์โลเคชั่น ส่งข้อความบอกเพื่อนว่า
'ไอ้ต้อม พรุ่งนี้เก้าโมงเช้ามารับกรูหน่อย ห้ามขาดห้ามเกิน และไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น กรูจะเล่าให้ฟังพรุ่งนี้'
เสร็จแล้วกดปิดมือถือปั๊บ เส้นยาแดงผ่าแปดจังหวะเดียวกับที่กาหลงเปิดประตูบ้านเข้ามาพอดี ประโยคแรกที่เธอถามคือ
"กินข้าวรึยัง"
แบงค์อ้อมแอ้มบอกว่าไม่หิว มองกาหลงด้วยความรู้สึกหวาดๆ ไงชอบกล เวลากาหลงยิ้มให้ขนหัวตั้งไปทั้งกบาล
เธอมองไปที่จานข้าวเห็นว่ายังเหลือเท่าเดิมก็หน้าบึ้งเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าไวพอ แล้วบอกจะวันนี้จะทำกับข้าวอร่อยๆ
ให้แบงค์กิน ให้รอแป๊บเดียวแล้วเดินเข้าไปในครัว ส่วนพ่อยอดขมองอิ่มแบงค์นั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับ
ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินๆ แม่เจ้าประคุณเอ้ย กาหลงดันมาด้นกาพย์คาวหวานให้ฟังด้วยเสียงเย็นเยียบ
'มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา'
เชี่ย!! หลอนขั้นสุด
ถึงตอนนี้แบงค์เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ลุกลี้ลุกลนอย่างหนัก แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้เมื่อกาหลงยกสำรับออกมา
เธอพยายามคะยั้นคะยอให้กินข้าว แต่แบงค์ก็พยายามเลี่ยงตลอด จนกาหลงยืนนิ่งมองแบงค์ด้วยความสงสัย
สักพักกาหลงเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้วกลับลงมาอีกครั้ง ตรงเข้าไปหอมแก้มแบงค์ ตอนแรกก็รู้สึกขยาดปนสยอง
แต่น่าฉงนและพิกลนัก พอแบงค์ได้กลิ่นหอมจางๆ สติสตังก็เตลิดหมดถูกแทนด้วยราคะจริต แบงค์จำอะไรไม่ได้รู้แค่ว่า
มีสัมพันธ์สวาทกับกาหลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ในรอบสองวันเขาก็จำไม่ได้
รุ่งเช้าอีกวันแบงค์ตื่นมาปวดเนื้อตัวไปหมด แขน ขาลามไปถึงต้นคอ กาหลงไม่อยู่อย่างที่ยายว่าไว้ไม่ผิด
สติเตือนว่าจังหวะนี้ให้รีบเผ่น โทรหาต้อมทันที เพื่อนบอกว่าเกือบถึงแล้ว เกิดอะไรขึ้น แบงค์ก็บอกแค่ว่าให้รีบมาก็พอ
ลุ้นตัวโก่งว่าเพื่อนกับครูพนอใครจะมาถึงก่อนกัน....
สรุปว่าโชคดีต้อม-ตั้มมาถึงก่อน ทั้งสองถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่เค้าจับได้เหรอ ฯลฯ แบงค์บอกว่าไม่ใช่
เดี๋ยวเล่าให้ฟังบนรถโยนกระเป๋าให้เพื่อนขนขึ้นรถ ส่วนตัวเองวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ร่ำลาใครคนหนึ่ง
ยายยังคงนอนอยู่ในมุ้งไม่พูดไม่จา พอแบงค์บอกว่าตัวเองจะไปแล้วเลยมาลายาย แบงค์ยังถามอีกว่ายายรู้ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ยังไง
เสียงแหบๆ ตอบกลับ
“ยายก็เคยเป็นเหมือนนังกาหลง ดูออกว่ามันถูกใจหนุ่มมากกว่าผู้ชายคนอื่น และมันจะไม่ปล่อยหนุ่มไปง่ายๆ ยายบอกได้เท่านี้
รีบไปเถอะ ก่อนที่นังกาหลงจะกลับมา”
แบงค์ยกมือไหว้ปะหลกๆ แล้วรีบแจ้นออกจากบ้าน บอกโทเร็ตต้อม “เมิงเหยียบมิดเลย”
ออกมาได้สักพักใหญ่ๆ แบงค์เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ต้อม-ตั้มฟัง ทั้งสองพากันหัวเราะไม่เชื่อที่แบงค์พูด หาว่าได้หญิงแล้วชิ่ง
แบงค์เองก็ไม่แน่ใจว่าที่ยายเล่ามาเป็นความจริงรึเปล่า แต่เอาเป็นว่าตอนนี้สลัดทิ้งมาได้ก็ถือว่าจบด้วยดี
ซึ่งแบงค์ไม่รู้เลยว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะหลังจากจบบทสนทนาได้ไม่นาน เพิ่งจะพ้นเขตจังหวัดประจวบฯ แค่คืบเศษ
จู่ๆ แบงค์ก็รู้สึกปวดและคันตรงข้อพับแขนซ้าย จากน้อยไปมากจนร้าวไปทั้งแขน ยังไม่ทันรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเสียงมือถือดังขึ้น ตี๊ดๆๆ
รับปุ๊บ ปลายสายกรอกเสียง
“แบงค์... นี่กาหลงนะ ไปไหนทำไมไม่บอกกันก่อน”
“แบงค์ขอโทษ พอดีเจ้านายตามให้รีบกลับไปทำงาน”
“ฉันไม่เชื่อ”
อารมณ์โดนตอดทำให้คาสโนว่าไม่ค่อยพอใจ อีกอย่างตอนนี้ก็หนีมาไกลสุดกู่ ไม่กลัวแล้วอะไรทำนองนั้น
แบงค์สวนกลับไปว่าไม่เชื่อก็อย่าเชื่อดิ ปลายสายนิ่งไปพักและพูดต่อ
“ปวดแขนซ้ายอยู่รึเปล่า?”
ตอนนั้นนึกว่าตัวเองถือไผ่เหนือกว่าจึงไม่ทันคิด แต่อีกสิบวินาทีต่อมา ภาพครูพนอผุดในสมองแบงค์ทันที...
ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คนเล่นของ... หน้าชาอยู่แป๊บ แบงค์จึงถามด้วยความโกรธ
“กาหลง! ทำอะไรกับแบงค์กันแน่!!”
คนถูกถามไม่ตอบหัวเราะคิกคัก บอกให้แบงค์กลับไปหาที่บางสะพานแล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง รวมถึงจะช่วยรักษาอาการเจ็บแขนให้ด้วย
แบงค์ตอบไปว่าไม่กลับ ยังไงก็ไม่กลับ กาหลงนิ่งไปแป๊บแล้วกึ่งเปรยกึ่งถาม
“ปวดขาขวารึเปล่า” ยังกับละครหลังข่าว ถามจบปั๊บแบงค์ปวดขาหนึบขึ้นมาทันที ร้องโอดโอย กาหลงได้ยินก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
แบงค์โมโหรีบกดตัดสายทิ้ง
ต้อม-ตั้มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งคิดว่าอุปทานไปเองรึเปล่า แบงค์บอกว่าอุปทงอุปทานอะไรเจ็บจริงๆ (โว้ย)
กำลังจะแวะกินข้าวและหาซื้อยานวดหรือยาแก้ปวดให้เพื่อน แต่ความคิดดังกล่าวล้มครืนไม่เป็นท่าเมื่อแบงค์ร้องว่าเจ็บแขนมาก
เจ็บจนน้ำตาซึม รีบถลกแขนเสื้อขึ้นดู สองเพื่อนตัว “ต” ถึงกับตาถลนเมื่อเห็นผิวของแบงค์ปูดนูนขึ้นมาเป็นรอยเล็กๆ
จากนั้นรอยนูนที่ว่าก็เคลื่อนจากข้อพับขึ้นแขนท่อนบน ต้อม-ตั้มรู้ทันทีว่า แบงค์ไม่ได้กำลังฝึกวิชาจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น
แต่มันกำลังโดนของ และของที่ว่ามาพร้อมกลิ่นเน่าเหม็นสุดบรรยาย
แบงค์รีบบอกให้เพื่อนหาอะไรมารัดแขน (เขาเล่าแบบนี้) ต้อมคว้าเชือกได้เส้นหนึ่งก็ขันชะเนาะแปดรอบครึ่ง ดักไม่ให้เจ้าสิ่งนั้น
เคลื่อนไปมากกว่านี้ ปากก็ตะโกนบอกให้ตั้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปไว้ แต่ยังไม่ทันจะถ่ายรอยนูนนั้นก็ยุบหายไป
พร้อมเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกคำรบ ตี๊ดๆๆ แบงค์เห็นเบอร์ก็รู้ว่าใครโทรมา จึงทักทายดุจมิตรรัก
“กาหลง e วิปริต นี่เมิงทำอะไรกับกรูกันแน่วะ!”
กาหลงกลับบอกว่าถ้าแบงค์ไม่รีบกลับไปหาเธอมันจะไม่จบแค่นี้ แบงค์กลัวมากขนทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ไม้ยืนต้นและล้มลุกมาพูด
แต่อีกฝ่ายยืนยันคำเดิมว่าไปเจอกันที่บ้าน อื่นใดนอกจากนี้ไม่รับฟัง และไม่รับประกันความปลอดภัยด้วย
แบงค์โมโหมากด่ากราดไปชุดใหญ่ เสียงแข็งว่ายังไงก็ไม่กลับ เขาเองก็เคยไปลงกระหม่อมมาหลายวัด ครูบาอาจารย์ที่นับถือก็พอมี
จะทำพิธีปัดรังควานสักกี่รอบก็ยังได้ อย่ามาขู่เลย ไม่กลัวหรอก
ปลายสายตอบเสียงเย็นๆ อย่างคนเป็นต่อ “เอาซิ... เอาเลย... ดูสิใครช่วยแบงค์ได้” แล้วกาหลงก็วางสายไป
แบงค์ไม่รู้ตัวเลยว่าทัณฑ์จากความเจ้าชู้หนนี้สาหัสนัก ตลอดทางเขาทรมานมากจนน้ำตาไหล ปวดแขน ปวดขา ปวดหัว
ทั้งยังอาเจียนเป็นเมือกปนเลือดออกมาเป็นระยะ ภายในรถเหม็นเน่าอบอวลไปทั้งคัน ต้องเปิดกระจกขับเกือบตลอดทาง
ขณะขับก็เหมือนมีเสียงก๊อกแก๊กๆ ดังรอบตัวรถอยู่เนืองๆ ทำเอาต้อมบ่นอุบเพราะเป็นรถบริษัท
แบงค์โทรไปถามอาจารย์ที่รู้จักกัน (สมมุติชื่อน้อย) หลังอาจารย์น้อยได้ฟังเรื่องทั้งหมด ก็แนะนำว่ารีบกลับให้ถึงกรุงเทพฯ ก่อนค่ำ
เพราะวันนี้เป็นวันพระใหญ่เข้าทางพวกคนเล่นของ และดูท่าแบงค์คงโดนมาหลายขนานตั้งแต่วันโกนแล้ว
กว่าจะกลับมาถึงกรุงเทพฯ แบงค์ก็สะโหล่สะเหล่เต็มที ต้อม-ตั้มพาแบงค์ไปโรงพยาบาล หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ
คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย นอนพักผ่อนให้เต็มที่จะดีขึ้น จากนั้นปรึกษากันว่าจะเอายังไง
แบงค์ก็ใจเด็ดเหลือเกิน โทรบอกป่านแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง ป่านเสียใจมาก แต่ก็ข่มความรู้สึกนั้นไว้และรีบตามไป
ยังวัดแห่งหนึ่งซึ่งอาจารย์น้อยเป็นคนแนะนำให้แบงค์และเพื่อนขับรถไปรอที่นั่น
เมื่อไปถึงจึงได้รู้ถึงความน่ากลัวของคุณไสย (ที่แบงค์และเพื่อนไม่เคยคิดเชื่อแม้น้อย) เพราะไม่ใช่เฉพาะแบงค์คนเดียวที่โดน
แต่กลับกลายเป็นว่าสารถีตัวประกอบห้าบาทสิบบาทอย่างต้อมเจือกโดนหางเลขไปด้วย... ใช่ครับ ต้อมก็โดนของไปหนึ่งดอกเช่นกัน
พิกัดอยู่บริเวณข้อเท้า... อาจารย์น้อยบอกว่า นี่ล่ะที่เขากันว่าเรียกลมเพลมพัด ระหว่างขับรถมาต้อมคงไปเผลอทักอะไรเข้าให้
ซวยเช็ด!
แบงค์กับต้อมขอร้องให้อาจารย์น้อยช่วย แต่อาจารย์บอกช่วยไม่ได้ และอธิบายสั้นๆ ว่าคนเล่นคุณไสยแบบนี้มีสองประเภท
คือจำพวก 'ทำ' กับ 'แก้' ใครที่เชี่ยวชาญด้านทำจะไม่ชำนาญการแก้ เช่นเดียวกันคนแก้ก็ไม่ชำนาญด้านการทำ
เลยต้องมาขอให้หลวงพี่รูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่วัดนี้ช่วย
ระหว่างรอ ป่านปลอบแบงค์สารพัด ให้กำลังใจตลอดว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ไม่พูดหรือซ้ำเติมการกระทำแย่ๆ
ของแบงค์แม้แต่น้อย แบงค์ตื้นตันมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกเพราะเพลียเต็มที่ สักพักหลวงพี่รูปหนึ่งเดินออกมา
อดีตเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่ท่านสักยันต์เต็มตัว ท่านมองแบงค์กับต้อมแล้วบอกให้ทั้งสองนอนลงกับพื้น
จากนั้นหยิบบาตรออกมา ทำพิธีอยู่ครู่แล้วกรอกน้ำทั้งที่นอนอยู่
เมื่อดื่มเข้าไปแล้วต้อมไม่รู้สึกอะไร แค่มึนหน่อยๆ แต่แบงค์กลับอาเจียนอย่างรุนแรง เศษอาหารที่อ๊อกมาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั้งศาลา
แต่พอหยุดอาเจียนก็รู้สึกดีขึ้น แบงค์ขอบคุณหลวงพี่รูปนั้น แต่ท่านยืนสำรวมอยู่นิ่งๆ แล้วยื่นกระดาษยับๆ ให้หนึ่งแผ่น
บอกต่อว่าไปหาคนที่มีชื่ออยู่ในกระดาษแผ่นนี้ ระหว่างทางหากรู้สึกไม่ดีก็ให้ทั้งสองคนจิบน้ำในบาตรเรื่อยๆ
พูดจบหลวงพี่ก็เดินกลับกุฏิทิ้งความงงงวยให้คณะฉิ่งฉับทัวร์ อาจารย์น้อยจึงบอกว่าหลวงพี่ท่านช่วยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
ไม่สามารถเอาของออกจากตัวได้ แต่คนที่ท่านคิดว่าช่วยได้ คือคนที่มีชื่ออยู่ในกระดาษนั่นล่ะ ให้ทั้งสามคน (แบงค์ ต้อม ตั้ม)
รีบไปทันที แต่ระหว่างทางต้องระวังให้ดี ยังไงวันนี้ก็วันพระใหญ่อาจโดนลมเพลมพัดเข้าอีกก็ได้
ฟังจบตั้มออกตัวทันที “ไอ้แบงค์ กรูไม่ไปนะ”
แบงค์ไม่ค่อยพอใจนัก เป็นเพื่อนกันแท้ๆ เวลาเดือดร้อนกลับทิ้งกันเฉย เดินทางมืดๆ ค่ำๆ กับต้อมแค่สองคนสยองตายชัก
แต่ก็ไม่อยากบังคับเพราะว่าตั้มคงไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยง แต่ที่ไหนได้คนที่ยอมเสี่ยงกลับเป็นป่าน
แบงค์ไม่อยากให้ไปเพราะเป็นห่วงแฟน แต่สุดท้ายป่านยืนยันว่าจะไปเป็นเพื่อน แบงค์ได้ยินก็รู้สึกละอายใจกับการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง
ป่านเช็คเที่ยวบินทันทีปรากฏว่าไม่ทัน แต่ดูจากสภาพแบงค์เดี๋ยวอ้วกๆ ถ้าไปเครื่องไม่ได้ขับรถไปเองสะดวกที่สุด
ทั้งสามตกลงว่าจะออกเดินทางทันทีเพราะอาการแบงค์ไม่สู้ดีนัก สุดท้ายอาจารย์น้อยเลยบอกว่าจะไปด้วย
แบงค์ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ต้อม ต้อมอ่านจบเปิด GPS ระบุปลายทาง อำเภอโพนพิสัยจังหวัดหนองคาย...
ออกจากกรุงเทพฯ สองทุ่มเศษโดยมี แบงค์ ต้อม ป่านและอาจารย์น้อยร่วมเดินทางไปด้วยกัน
มันช่างเป็นการเดินทางยามวิกาลที่เสียวสันหลังดีชะมัด แถวกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ไม่เท่าไหร่ ไฟพร่างสว่างพราวไปหมด
แต่พอห่างออกไปรถเริ่มบางตา ทีนี้ล่ะขนค่อยๆ ลุกทีละเส้นสองเส้น รู้สึกตัวอีกทีขนทั้งแขนก็ชี้โด่เด่
อาจารย์น้อยถามลักษณะผู้หญิงคนนั้นรวมไปถึงบ้านช่องห้องหับ แบงค์ก็เล่าเท่าที่จำได้ อาจารย์น้อยจึงลงความเห็นว่า
คุณไสยของกาหลงน่าจะมีที่มาจากทางใต้ และดูท่าเธอจะเชี่ยวชาญเกินอายุ อาจมีมือดีสอนตั้งแต่ยังเล็ก
แบงค์นั่งฟังก็นึกถึงยายของกาหลงขึ้นมาทันที
อาจารย์บอกต่อว่าเธอ (น่าจะ) ทำของลงข้าวเปล่าที่ให้แบงค์กินนั่นล่ะ แต่โชคดีที่เฉลียวใจไม่กินครบสามก้อน
ไม่งั้นอาจไม่ได้มานั่งคุยกันตรงนี้
ตัดฉับขับมาถึงโคราชจึงแวะเข้าห้องน้ำ เพราะแบงค์ต้องคอยจิบน้ำมนต์ตลอดเวลาทำให้ปัสสาวะบ่อย จากนั้นทุกคนเดินไปหาซื้อของกิน
แบงค์เองก็หิวแสบไส้ เพราะแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากข้าวเปล่าที่กาหลงคะยั้นคะยอให้กินนั่นล่ะ
เขาซื้อขนมปัง ไส้กรอก น้ำอัดลม กินแบบหิวโหย เสร็จแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ แล้วแบงค์ก็รู้สึกถึงความผิดปกติอีกอย่างที่ไม่ใช่ความรู้สึกปวด
แต่เป็นความรู้สึกหิว... หิวทั้งที่เพิ่งสวาปามขนมปัง ไส้กรอกไปแหมบๆ
เขาลงไปซื้อของกินเพิ่มและน่าแปลกกินจนหมดก็ยังไม่รู้รสอิ่ม แถมอาการปวดที่ทุเลาไปแล้วขึ้นกลับปวดตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
พยายามจิบน้ำมนต์เรื่อยๆ ก็ไม่หาย กระโผลกกระเผลกเข้าไปบอกอาจารย์น้อย อาจารย์ได้ยินจึงรีบสั่งให้ทุกคนขึ้นรถทันที
บอกแค่ว่าต้องรีบไปแล้ว พูดจบเดินเข้าไปหาแบงค์บอกว่าลองมองเข้าไปในปั๊มดูสิว่าคุ้นหน้าคุ้นตาใครบ้างรึเปล่า
แบงค์ซึ่งร้าวไปทั้งตัวคิดว่าถึงเป็นกลางดึก แต่ปั๊มใหญ่จุดพักรถแบบนี้มีคนอยู่เยอะแยะจะไปสังเกตหมดได้ยังไง
และที่สำคัญมาไกลขนาดนี้นอกจากเพื่อนและแฟนที่มาด้วยกัน ก็ไม่รู้จักใครอยู่แล้ว แบงค์มองกราดแล้วบอกว่าไม่คุ้นหน้าใครสักคน
อาจารย์น้อยถอนหายใจโล่งอก แต่ยังไล่ลมไม่หมดโพรงจมูก แบงค์ก็ขัดขึ้น
“เดี๋ยวครับอาจารย์” คนพูดเสียงสั่น เพราะไกลลิบๆ ในขณะที่คนอื่นเดินขวักไขว่ไปมา มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนนิ่งจ้องแบงค์ไม่วางตา
แบงค์ไม่คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ ไม่เคยเห็น แต่ความรู้สึกมันบอกว่าเคยเจอแน่ๆ
และเมื่อเห็นเธอคนนั้นยกมือขึ้นแล้วชี้นิ้วไปมาซ้าย-ขวา สัญชาตญาณเตือนแบงค์ทันทีว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้องที่สุด
เขาเคยเจอผู้หญิงคนนี้จริงๆ... ยายของกาหลง
แบงค์ร้องเสียงดังลั่นรถ เฮ้ย! ร้าวจี๊ดตั้งแต่ขาขึ้นไปถึงหัวชนิดซดน้ำมนต์ครึ่งลิตรก็ไม่หาย ท้องก็ร้องครืดคราดๆ รู้สึกหิวมากๆ
เช่นเดียวกับต้อมก็บ่นอุบว่าเจ็บจี๊ดตรงข้อเท้า อาจารย์น้อยรีบถามแบงค์ว่าเห็นอะไร แบงค์กระพริบตาอีกครั้ง และอีกครั้ง
แต่ยายกาหลงก็ยังยืนนิ่งอยู่กลานลานซีเมนต์ไม่ไกลจากจุดจ่ายน้ำมัน แบงค์ชี้นิ้วผ่านกระจกละล่ำละลักบอกว่ารู้จักผู้หญิงแก่คนนั้น
เคยเจอแกที่บ้านกาหลง แต่อาจารย์น้อย ต้อมและป่านมองตามก็ไม่เห็นมีผู้หญิงแก่สักคน
“ไอ้เชี่ย! เมิงอย่าอำนะ ไม่ขำโว้ย” ปากต้อมว่าแบบนั้นแต่นิ้วนี่ดึงปุ่มเลื่อนกระจกขึ้นแทบไม่ทัน
“อำเอิมอะไร ถึงกรูไม่เคยเห็นหน้า แต่กรูแน่ใจว่าใช่ เคยคุยด้วยซ้ำ แกนั่นล่ะเป็นคนบอกกรูว่ากาหลงเล่นของ
และยังบอกให้รีบออกมาจากบ้านนั้นด้วย แต่แกเป็นอัมพาตนี่หว่า แล้วแม่มมาโผล่โคราชได้ไงวะ!"
ต้อมอยากกำนัลแบงค์ด้วยผรุสวาจาสักสองโหล ว่าใช่เวลาสงสัยมั้ยครับเพ่ แต่ตอนนี้คือกลัวขึ้นสมองไปหมดแล้ว
หันไปมองอาจารย์น้อย แกเองก็เริ่มหน้าเสีย ละล่ำละลักบอกว่าให้รีบไป โทเร็ตต้อมได้ยินก็เหยียบมิดไมล์
ป่านถามว่ากว่าจะถึงหนองคายก็อีกหลายร้อยกิโลฯ หรือจะแวะนอนที่โคราชสักคืนแล้วตอนเช้าค่อยไปต่อ แต่อาจารย์บอกว่า
อาการแบงค์ไม่ค่อยดีแล้ว ต้องรีบไปให้เร็วที่สุด สิ่งที่อาจารย์พูดถูกเป๊ะ ภายใต้ความมืดในห้องโดยสาร
แบงค์เอามือคลำแขนกับขาตัวเอง รอยนูนเริ่มปูดขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ไม่ได้มีแค่รอยเดียวซะด้วยสิ มาเป็นแผงเลย
ขณะที่รถกำลังแล่นไปบนถนน อยู่ๆ ป่านก็เปรยถามแบงค์ว่าเคยเห็นยายคนที่ว่าเหรอ แบงค์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง
เพราะไม่เคยเห็นหน้าชัดๆ สักที แต่เขาแน่ใจว่าใช่ ป่านจึงพูดต่อว่า แล้วแบงค์แน่ใจได้ยังไงว่าที่แบงค์คุยด้วยคือคนจริงๆ
แบงค์ถึงกับสะอึก เพราะตลอดเกือบสองวันที่อยู่บ้านกาหลง แม้จะเคยคุยฉอดๆ กับยาย แต่ยายก็ไม่เคยลุกออกมาจากมุ้งแม้แต่ครั้งเดียว
อาจารย์น้อยจึงบอกว่าที่ป่านพูดก็มีโอกาสเป็นไปได้ ของจากใต้ใครๆ ก็ว่าไม่ธรรมดา แม้แต่ในยุคสมัยนี้
ในแวดวงคนเล่นของยังพูดกันว่าของจากทางใต้อาถรรพ์แรงที่สุด และยายคนนั้นรูปกายอาจเป็นคนแต่เนื้อในอาจไม่ใช่
บางทีอาจเป็นอะไรบางอย่างที่แฝงมาพร้อมกับ 'ลมเพลมพัด'
แบงค์ไม่ได้รับรู้สิ่งที่เพื่อนๆ คุยกันแม้แต่น้อย เพราะปวดไปทั้งตัวจนเบลอไปหมด เกิดมาไม่เคยเชื่อและมองว่าเล่นของอะไรเทือกนี้
เป็นเรื่องแหกตาลวงโลกชัดๆ ใครจะเชื่อตอนนี้นั่งกอดบาตรหมดสภาพแบบนี้ และจากโคราชเขาต้องนั่งทรมานต่อเนื่องอีก
5 ชั่วโมง ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าไม่รอดแต่ก็ทนจนมาถึงหนองคายเอาเกือบรุ่ง จุดหมายที่ระบุในกระดาษอยู่ลึกเข้าไปในอำเภอโพนพิสัย
ที่นั่นเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง ชื่อบุคคลปริศนาที่ปรากฏในกระดาษเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า ยายบัตร (นามสมมุติ)
บ้านยายบัตรเป็นกระท่อมไม้หลังไม่ใหญ่นัก เมื่อคณะฉิ่งฉับทัวร์เดินทางไปถึงมีหญิงชราคนหนึ่งอายุแปดสิบเศษ
สวมเสื้อคอกระเช้าแขนกุดเดินออกมาจากบ้าน เมื่อมองแบงค์สีหน้าแกแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
แกชี้ไปที่แบงค์ ต้อม แล้วบอกให้ตามเข้าไปในบ้านส่วนคนที่เหลือรอข้างนอก แต่ป่านบอกว่าขอเข้าไปด้วย ตัวเองเป็นแฟนของแบงค์
ยายบัตรจึงอนุญาตให้ตามเข้าไปได้
ไปถึงยายบัตรให้แบงค์ถอดเสื้อแล้วนอนคว่ำหน้ากับพื้น แกบอกว่ายืนดูเงียบๆ ได้ แต่อย่าส่งเสียงรบกวน
จากนั้นให้จ่ายค่าครูเป็นเงิน 1XX บาท แกทำพิธีอยู่สักพักก็มานั่งลงข้างๆ แบงค์ พึมพำขยุบขมิบบีบแขนแบงค์
ไล่จากแขนท่อนบนลงแขนท่อนล่างไปจนรอยนูนไปหยุดตรงข้อพับแกก็กดแรงๆ ตรงนั้นปรากฏว่ามีตะปู
ทะลุออกมาจากเนื้อ เลือดสดๆ ไหลเยิ้มออกมา
ป่านกับต้อมจ้องอยู่แล้ว เพราะเคยเห็นคลิปที่เขาเอาตะปูออกจากตัว บางคนก็ว่าซ่อนไว้ตามนิ้ว แต่มันไม่เหมือนครั้งนี้
พวกเขาเห็นตะปูทะลุออกมาจากเนื้อจริงๆ มาพร้อมเลือดและกลิ่นเน่าเหม็นชวนอ้วก
ยายบัตรก็พึมพำว่า "ผู้หญิงคนที่ทำเขาก่ะเอาตายเลยนะลูก"
จากนั้นแกก็ค่อยๆ บีบตะปูสนิมเขรอะออกมาทีละตัวสองตัว เลือดไหลเต็มหลัง ใช้เวลาไปราวหนึ่งชั่วโมง
มีตะปูเล็ก-ใหญ่ออกมาจากตัวแบงค์รวม 13 ดอก
ยายบัตรบอกว่ายังไม่หมด แต่คนโดนทนไม่ไหวแล้วให้หยุดพักก่อน บ่ายๆ ถ้าไหวค่อยทำต่อ
แบงค์ถึงกับนอนหมดสติไม่รู้เรื่องตั้งแต่นั้น
ต้อมเป็นรายต่อไปที่โดน และเขาพยายามบอกให้ป่านถ่ายคลิปไว้ แต่ป่านห่วงแฟนตัวเองมากกว่า
สิ่งที่ออกมาจากข้อเท้าต้อมเป็นเศษผ้าขนาดนิ้วคูณนิ้ว เหม็นเน่าไม่แพ้กัน ต้อมถามยายว่ามันคืออะไร
ยายบัตรตอบว่าเป็นผ้าห่อศพ
ช่วงที่รอแบงค์ฟื้น ทั้งสองเดินออกมาคุยกับอาจารย์น้อยอีกครั้ง พยายามถามว่ายายบัตรแกเป็นพวกมิจฉาชีพรึเปล่า
อาจารย์น้อยจึงบอกว่าคนที่ทำได้แบบยายบัตร ทั้งประเทศมีแค่ไม่กี่คน ที่เหลือเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น
ยายบัตรเชี่ยวชาญทั้ง 'ทำ' และ 'แก้' ซึ่งมีไม่กี่คนที่ทำได้
ช่วงบ่าย แบงค์ฟื้นขึ้นมาก็กัดฟันทำต่อ รอบที่สองมีตะปูออกมา 24 ดอก แถมด้วยหนังควายอีก 1 ชิ้น
สรุปรวมทั้งหมดเจอตะปูในตัวแบงค์ 37 ดอก! และหนังควายอีก 1 ชิ้น
(คุณพระ! เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หลายคนคงอุทานเหมือนผม)
แบงค์กลายเป็นมัมมี่เป็นการชั่วคราว ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าพันแผล เลือดซึมเป็นดวงๆ ยายบัตรเห็น
ก็บ่นว่าไม่น่าเล่นกันแรงขนาดนี้ อยากสั่งสอนเขาสักหน่อยมั้ย? จะได้หลาบจำ แบงค์ถามกลับว่าทำได้เหรอ
ยายบัตรพยักหน้า แล้วพูดว่า "เค้าเรียกคืนของ"
จากนั้นยายบัตรแยกตะปูออกมา (กี่ดอกคนเล่าก็ไม่เห็น) ห่อด้วยผ้าขาววางใส่พาน จากนั้นบริกรรมคาถาอยู่สักครู่
แล้วหอบผ้าขาวนั้นกลับเข้าไปในบ้าน ไม่ถึงสิบนาทีต่อจากนั้นเกิดเรื่องพิศวงขึ้นอีกรอบเมื่อโทรศัพท์แบงค์ซึ่งเงียบไปนานดังขึ้น
ตี๊ดๆๆ แบงค์จำเบอร์ได้ทันทีว่าเป็นใคร... กาหลงนั่นเอง
เสียงปลายสายร้องทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดบอกว่ายอมแล้ว พอแล้ว แบงค์สะใจไม่น้อยที่กาหลงโดนเข้ากับตัวเสียบ้าง
บอกว่าให้ทนไปหนึ่งวันค่อยว่ากันแล้วกดตัดสายทิ้ง กาหลงโทรมาอีกอ้อนวอนแบงค์ต่างๆ นาๆ แบงค์ก็อาฆาตไม่ยอมง่ายๆ
ยืนยันเหมือนเดิมว่ากาหลงต้องโดนเหมือนที่เขาโดน จากนั้นกดปิดเครื่องเดินเข้าไปคุยกับยายบัตร
แต่ยายบัตรบอกว่าพรุ่งนี้จะถอนของออก ที่ทำก็เพื่อสั่งสอนเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นแทนแบงค์
เรื่องราวเกือบจะลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลังจากแบงค์ค่อยยังชั่ว
ป่านเข้าไปบอกว่าขอเลิกกับแบงค์ เธอบอกว่าไม่สามารถทนรับพฤติกรรมมักมากของแบงค์ได้อีกต่อไป
ที่ทำทุกอย่างก็เพราะเป็นห่วงด้วยใจจริง ป่านบอกตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่า "จะมาเป็นเพื่อน" และเธอหมายความแบบนั้นจริงๆ
สุดท้ายแม้จะผ่านเคราะห์ครั้งใหญ่มาได้ แต่แบงค์ก็ต้องสูญเสียสิ่งมีค่าบางอย่างเป็นการตอบแทน
“ถ้าคุณนอกใจใครคนหนึ่งสำเร็จ อย่าคิดว่าอีกฝ่ายไม่เท่าทัน แต่จงรู้ไว้ว่าเขาให้ความเชื่อใจคุณเกินกว่าที่คุณควรได้รับ”
ปล. ใครผ่านไปแถวบางสะพานเจอผู้หญิงสวยคมขำ ผมยาวท่าทางทรงเสน่ห์ ไม่แน่นะอาจเป็นคุณกาหลง
จบแล้วครับ เลทไปนิดหน่อย ถ้ามีตกหล่นพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกขออนุญาตเพิ่มเติมพรุ่งนี้ครับ
มีโอกาสคงได้พบกันใหม่นะครับ
ฝันดีราตรีสวัสดิ์
Post a Comment