กลับ 'ป่าช้า' กันเถอะ


  กลับมาอีกครั้งสำหรับเรื่องหลอนๆของคุณลอยชาย จากกระทู้ที่มีคนติดตามมากที่สุด เราขอนำเสนอเรื่องต่อไปนี้ และขอขอบคุณลอยชาย สำหรับเรื่องราวดีๆหลอนๆเพื่อความบันเทิงของชาวผีสยองหนองกระจายด้วย

เรื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อยนะครับ
           ป่าช้า อาจเป็นชื่อที่ได้ยินแล้วทำให้คนฟังคิดกันไปต่างๆนาๆ และหนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้นเรื่องผี หรือเรื่องเล่าความเฮี้ยนของสถานที่อย่างนี้ แต่ในปัจจุบันนั้นก็เหลือน้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก
          ไม่ใช่เพราะมันหายไป แต่เพียงแค่คนสมัยใหม่เลิกฝังแล้วหันมาเผากันแทน อย่างไรก็ตามที่ดินป่าช้าก็ไม่เคยหายไป มันแค่ถูกกลบทับด้วยบ้านเรือน หรือที่อยู่อาศัยก็เท่านั้น
          เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจะขอเรียกเขาว่า ‘พี่ต้น’ ผมได้ฟังเรื่องราวนี้ในครั้งหนึ่งที่ผมไปเที่ยว โดยไปพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง พี่เขาเป็นพนักงานที่นั่น
          ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือว่าความต้องการของใคร ตอนที่ผมกำลังเช็คอินเข้าพักนั้น พี่ต้น ก็เดินมารอเพื่อช่วยยกกระเป๋าตามหน้าที่ ด้วยความเกรงใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเลยไม่ชินกับการต้องให้คนอายุมากกว่ามาช่วย
          ผมรีบเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายส่วนตัวเพื่อลดภาระแต่ตอนก้มลงไปแหวนที่ใส่ติดตัวมันร่วงลงจากนิ้วทั้งที่ปกติแล้วค่อนข้างจะพอดีไม่หลวม
          แหวนที่ผมใส่ติดตัวเป็นประจำเป็นแหวนสัญลักษณ์ โอม จริงๆผมก็เห็นหลายๆคนใส่เป็นแฟชั่นไปเสียแล้ว
          พี่ต้นมีท่าทางสนใจเพราะทันทีที่เห็นแหวนผมร่วงก็เงยหน้ามามองผมด้วยตาโตๆ เหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ก็ชะงักไปก่อนไม่ได้พูดคุยอะไรกันในตอนนั้น
          คืนนั้นไม่มีเรื่องราวอะไรเป็นพิเศษ ผมออกไปเดินเที่ยวที่ใกล้ๆตามปกติ และกลับเข้ามาในช่วงใกล้ๆเที่ยงคืน
          ในตอนเช้าผมตื่นมาช่วงประมาณ 8 โมงกว่าๆ ผมแต่งตัวเดินออกจากห้องมาก็พอจะจำหน้าของพนักงานโรงแรมคนที่ช่วยยกกระเป๋าด้วย
‘เอ่อ คุณครับ’ พนักงานโรงแรมอายุราว 30 ต้นๆเอ่ยปากทักผม
‘เรียกน้องก็ได้ครับ’
          ผมเปิดประตูออกมาเห็นพี่ต้นเดินวนไปมาอยู่ตรงทางเดินห่างจากห้องพักของผมไปนิดหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจอะไรอยู่ แล้วทันทีที่เห็นหน้าผมก็เลยกล่าวทัก
          ระหว่างเดินไปที่ลิฟท์พี่ต้นดูไม่ค่อยกล้าจะพูดคุยกับผมเท่าไหร่ เช่นเดียวกันผมก็ไม่รู้จะคุยอะไร แต่ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรจริงๆ
‘เมื่อวานเห็นแหวนของน้อง’ พี่แกทำท่าอึกอัก
‘ครับ?’
‘คือ น้องใส่สวยๆ หรือพอจะรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้างครับ’
          นั่นเป็นประโยคเริ่มเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมบอกไปตามตรงเพราะปกติก็ไม่ได้ปกปิดอะไรอยู่แล้ว พี่ต้นยังไม่ตัดสินใจเล่าอะไรแต่ถามผมว่าสะดวกพอจะมีเวลาคุยกันตอนไหนสักเล็กน้อย แล้วพยายามยกเอาเรื่องค่าตอบแทนมาอ้างเยอะแยะ เหมือนกลัวว่าผมจะไม่รับคำขอนั้น
          ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมก็ตอบตกลงไปแต่ก็ไม่คิดจะรับเงินอะไรอยู่แล้ว เมื่อเวลาที่นัดกันไว้มาถึงคือช่วงประมาณ 5 ทุ่มของคืนนั้น ผมก็ลงมารอที่ล็อบบี้ของรีสอร์ตโดยพาเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วยกันไปด้วย
          พี่ต้นเดินออกมาจากทางหลังรีสอร์ต คงจะเพิ่งเลิกงานหรืออย่างไรผมก็ไม่ทราบได้ พี่เขาเดินเข้ามาพูดคุยอย่างสุภาพเหมือนเกรงใจเรามากๆ
          เราสามคนเดินออกมาจากที่พักเลาะไปตามถนนที่มีร้านค้าตั้งเรียงรายจนมาหยุดอยู่ที่ร้านหนึ่ง เป็นร้านข้าวต้มรอบดึกเหมือนกับร้านทั่วๆไป
‘ร้านนี้เป็นพรรคพวกพี่เอง พี่ติดต่อเขาไว้แล้ว’
          ปกติร้านนี่คงจะปิดดึกจนเกือบเช้าเพราะตลอดเวลาที่เรานั่งคุยกันจะมีลูกค้าเดินเข้ามาถามว่า วันนี้ไม่ขายหรือ อยู่หลายครั้ง
          ร้านข้าวต้มราคากลางๆแต่รสชาติดีคงจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนทำงานในเมืองหลวงอย่างนี้ คืนนั้น พี่อ้วน ปิดร้านไวกว่าปกติเพื่อเพื่อนรักของเขา
          อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะไม้ที่ดูจะมีสภาพดีที่สุดในร้าน พี่อ้วนทำกับข้าวอย่างเมามันในขณะที่พี่ต้นยังคงง่วนอยู่กับการเตรียมจานและแก้วน้ำอย่างคล่องแคล่ว
‘พี่ขออนุญาตเลี้ยงอาหารสักมื้อนะครับ แทนคำขอบคุณ’ พี่ต้นยิ้มอย่างจริงใจ
‘ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยพี่ ผมเกรงใจนะแบบนี้’
          พี่ต้นยังไม่ยอมเล่าอะไรให้เราฟังบอกแต่ว่ากินกันให้อิ่มก่อนค่อยพูดกัน จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ถนนสายนั้นเริ่มเงียบ ต่างจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง
          พี่อ้วนเอื้อมมือตบลงบนบ่าของเพื่อนรักเหมือนให้กำลังใจ พี่ต้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตามรังควานตัวเขามาโดยตลอด
          เรื่องมันเกิดขึ้นนานมากแล้วครับ หลายปี ก่อนที่พี่จะตัดสินใจเข้ามาทำงานในกรุงเทพอย่างถาวร ช่วงนั้นพี่ยังทำงานอยู่แถวบ้านเพราะเพิ่งจะเรียนจบใหม่ๆแล้วเราก็ไม่ได้จบสูงด้วยเป็นสายอาชีพก็คิดว่าจะทำงานไปวันๆอยู่ที่บ้านไปวันๆเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ
          ช่วงนั้นก็เกครับ เหมือนนักเลงกุ๊ยทั่วไปเลยมีเรื่องมีราว ขี่มอเตอร์ไซด์แต่ก็แค่ชอบขี่นะครับ ไม่ได้ไปแว้นซิ่งแข่งกับใครเขา แต่เรื่องเลือดร้อนนี่ไม่แพ้ใครแน่นอน ได้มาก็หลายแผล ฝากเขาไว้ก็เยอะ
          แล้วช่วงวัยรุ่นเนี่ยแถวบ้านพี่เขานิยมของขลังกันครับ ทุกอย่างเลยทั้งสัก ทั้งยันต์ มีหมด พี่ก็ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วใครว่าที่ไหนดีถ้ามีตังค์เราก็ไปหมด เป็นพวกถือคติว่า ถ้าจะเอาก็ต้องได้ของดีครับ
          เหมือนชีวิตมันเล่นตลกหรืออย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่ได้ไปเจอกับอาจารย์คนหนึ่ง ไปกับไอ้อ้วนนี่แหละครับ เพื่อนรักกัน ตอนแรกก็แค่จะไปเอาของดี แต่ดันคุยถูกคอกับอาจารย์เขาซะงั้น
          วันนั้นที่ไปมันผิดแผนนิดหน่อย พี่ต้นหันไปหาพี่อ้วนเหมือนจะให้พยายามช่วยกันนึก เราไปถึงกันช่วงเย็นๆเกือบค่ำซะแล้วเพราะหลงทาง
          ตอนแรกก็เลยคิดว่าจะกลับบ้านก่อนแล้วค่อยมาใหม่เพราะไม่ได้ไกลกันมากขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ วันนี้ก็ถือว่ามาดูที่ทางไว้ก่อนแล้วกัน
          แต่พอไปถึงหน้าบ้านก็เห็นคนสามสี่คนนั่งเล่นอยู่ที่แคร่ไม้หน้าบ้าน เจากวักมือเรียก เราก็เลยต้องลงไป สรุปเป็นอาจารย์กับเพื่อนๆนั่งก๊งกันอยู่หลังปิดตำหนัก
          เราเข้าไปทักทายตามปกติแล้วจะขอตัวกลับ แต่กลายเป็นว่าโดนบังคับให้นั่งกินเป็นเพื่อน คุยกันไปกันมาก็ถูกคอถูกใจกัน เราก็ชอบเลยเพราะจะมาเอาของดีอยู่แล้วยิ่งรู้จักยิ่งน่าจะได้อะไรพิเศษๆ
          มันเริ่มจากวันนั้นแหละครับ แวะเวียนไปหาก็หลายครั้งได้ของดีมาทุกรอบ เสียเงินบ้างฟรีบ้าง ของเขาดีจริงนะครับ พี่เคยโดนไล่ยิงมันมาจ่อๆพี่เลย แต่ดันกระสุนด้านยิงไม่ออกดัง แชะ แชะ เลย
          ผมก็นั่งฟังไปเพลินๆครับ เพราะพี่ๆทั้งสองคนอัธยาศัยดีตามประสาผู้ชายบ้านๆ ส่วนเพื่อนผมนอนกลิ้งอยู่หน้าโทรทัศน์ไปแล้วหลังจากสนุกเกินเหตุจนกระดกเหล้าเข้าไปจนน๊อค
          พี่ต้นเริ่มเล่าต่อหลังจากที่ปูพื้นมาเสียนาน
          ด้วยความสนิทหรือเพราะถูกใจกันก็ไม่รู้อาจารย์แกก็เรียกพวกพี่ว่าเป็นลูกศิษย์ไปเลย แล้วพวกพี่ก็เริ่มถูกชวนให้ เรียนวิชา จากแก เพราะแกไม่มีลูกเต้า ไม่มีใครมาสืบทอด
          ตอนแรกพี่ก็กล้าๆกลัวๆครับแต่วิชาอาจารย์เขาก็ของจริง พี่ก็เลยเริ่มสนใจอย่างน้อยเราก็เอาไว้ป้องกันตัว ไม่ได้คิดจะเอาไปเปิดตำหนักแบบอาจารย์เขาหรอก
          สุดท้ายพี่ก็ตกลงปลงใจครับ แต่อ้วนมันไม่ได้เรียนด้วยเพราะอาจารย์เขาบอกว่าดวงอ้วนมันไม่ไหวกดผีไม่อยู่อะไรเทือกๆนั้น ตอนนั้นอ้วนมันก็โล่งใจเลยเพราะมันกลัวๆอยู่แล้ว พี่อ้วนยิ้มอย่างภูมิใจที่รอดมาได้
          แต่ถึงมันไม่ได้เรียนพี่ก็ลากมันไปด้วยกันล่ะครับ เพื่อนตาย หมายถึงพี่จะไม่ยอมตายคนเดียว ฮ่าๆ
          ครั้งแรกที่เริ่มเรียนพี่เกือบจะถอดใจแล้ว เพราะพี่คิดไว้แค่ว่าคงไปหาแกที่บ้านแล้วนั่งสอนๆกันอะไรทำนองนั้น แต่ครั้งแรกแกกับนัดพี่ให้ไปหาที่ ป่าช้า
          สมัยนี้คงหาได้ยากแล้วแต่ตามนอกๆมันก็ยังมีอยู่ ใช่ว่าทุกที่จะมีเมรุเผาดีๆ อีกอย่างก็แพงด้วย คนไม่มีเงิน คนไม่มีญาติก็เยอะ ยิ่งแถวบ้านพี่นะ ตายโหงเขาไม่เผากันหรอก ต้องฝัง
          พี่ต้นเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอย่างละเอียดแต่ผมขอเล่าไว้คร่าวๆแล้วกันนะครับ เมื่อถึงป่าช้าแล้วก็เดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของสถานที่โดนก่อนหน้านี้ต้องดูวันและเวลาที่เหมาะสมมาก่อน ไม่ใช่ฤกษ์ดี แต่ต้องเป็นฤกษ์อาถรรพ์
          พี่ถูกจับให้นั่งอยู่ในหลุมเก่าหลุมหนึ่ง มันเป็นหลุมขึ้นลึกสักครึ่งตัวได้ อาจารย์ลงมานั่งข้างหลังพี่แต่นั่งอยู่บนขอบหลุม แล้วใช้เหล็กแหลมแทงสักยันต์ไว้ที่กลางหลังบอกว่าเป็น ยันต์ครู หมายถึงแกจะส่งต่อวิชาให้ผ่านทางยันต์นี้เป็นเครื่องหมาย
          ระหว่างสักก็มีเสียงหวีดหวิวหลายครั้ง บางครั้งก็เป็นเสียงครวญครางบ้าง กรีดร้องบ้าง เล่นเอาพี่สะดุ้งไปหลายครั้งแต่อาจารย์บอกให้อดทน ถ้ากลัวแล้วจะรับวิชาพวกนี้ไม่ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมาที่นี่
          หลังจากนั้นพี่ก็กลายเป็นคนมีวิชาติดตัวไปเลย แล้วก็มีอีกหลายๆครั้งที่ไปเรียน ไปรับมาแต่ก็ไม่เคยได้ใช้เลยเสียทีเพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
          พี่อ้วนสะกิดเหมือนจะเตือนอะไรสักอย่าง พี่ต้นหันไปดูนาฬิกาก็รีบขอโทษเพราะมัวนอกเรื่องมานาน
          พี่ต้นกลับมาเข้าประเด็นที่ต้องการจะถามในครั้งแรก เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากวันที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ของพี่เขา ตาย กะทันหัน พูดง่ายๆก็ ตายโหงนั่นแหละ
          ในเหตุการณ์ก็ไม่ได้มีใครเห็นชัดเจนหรอกนะ มีแต่ชาวบ้านใกล้ๆนั้นเขาเห็นว่าแกออกมาเดินตอนค่อนแจ้งสักตี 4 กว่าๆตี 5 เห็นจะได้ แถวนั้นเขาตื่นกันเช้ามาเตรียมขายของ
          ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรคงออกมาเดินตามปกติ แต่ท่าทางแกเดินแปลกๆ เดินเก้ๆกังๆเหมือนเมาหรือยังไงก็ไม่รู้ จนสุดท้ายแกเดินออกไปกลางถนนหน้าบ้าน แล้วประจบว่ามีรถมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งขับผ่านมาพอดี เฉี่ยวแกล้ม
          แต่ก็ไม่ได้ตายเลยนะ แกยังลงไปนั่งอยู่ข้างทางคนขับรถก็ลงมาดู แต่แกก็ว่าแกไม่เป็นอะไรนะ ป้าคนที่เห็นเหตุการณ์ก็ว่าแกดูมึนๆคงจะเมาจริงๆ
          พอช่วงสายๆมีคนมาหาอาจารย์ตามปกติตามเวลาเปิดตำหนัก แต่วันนั้นบ้านยังปิดสนิทอยู่ซึ่งปกติประตูไม้ข้างหน้าจะต้องเปิดแล้ว จนป้าคนเดิมที่เห็นเมื่อเช้าแกสงสัย กลัวว่าจะเป็นผลจากรถชนอะไรนั่นก็เลยไปตามพวกเพื่อนๆแกให้มาดู
          เรียกอยู่นานก็ไม่มีใครเปิด สุดท้ายตัดสินใจพังประตูเข้าไปเลยด้วยความห่วงเพื่อน พอเข้าไปก็แทบหงายหลัง
          ในบ้านไม้ผสมปูนเก่าๆจัดแต่งไว้ด้วยของง่ายๆแต่รกพอสมควรตรงกลางมีหิ้งพระขนาดใหญ่ซึ่งส่วนมากไม่ใช่พระแต่ก็มีพระประธานตั้งอยู่ ที่สะดุดตาก็คือเศียรครูต่างๆที่วางเรียงรายมีทั้งสวยงามและน่ากลัว

แล้วตรงหน้าหิ้งพระกลางบ้านนั้นก็มีร่างของชายสูงอายุห้อยตัวลงมาจากขื่อกลางบ้าน ร่างหมุนไหวไปตามแรงลมเล็กน้อยตาเหลือกลืมเหมือนคนตกใจกลัวอย่างที่สุด ลิ้นจุกปากตรงคอมีรอยเล็บใกล้ๆกับผ้าที่ใช้ผูก
          จากรอยเล็บน่าจะเป็นการพยายามดิ้นเอาตัวรอดจากสภาพนั้น ซึ่งก็น่าแปลกเพราะไม่น่าจะมีใครเข้าไปทำอะไรแกได้ บ้านก็ปิดอยู่ตลอดทุกทางจนต้องพังเข้าไป แล้วป้าข้างบ้านก็บอกว่าไม่เห็นใครเดินเข้าออกด้วยนอกจากตัวแกเอง
          ด้วยความที่แกเป็นหมอวิชาแล้วขึ้นชื่อว่า ของแรง แน่นอนว่ามีทั้งผีทั้งพรายอะไรเต็มไปหมด ด้วยตัวอาจารย์เองเป็นคนอัธยาศัยดีคนหนึ่งทำให้พอมีเพื่อนที่สนิทๆกันบ้าง แต่ในเรื่องนี้หลายๆคนก็เลือกที่จะเลี่ยงมากกว่า
          ในตอนงานศพแกก็ไม่มีญาติเลยเลือกที่จะสวดศพก่อนคืนหนึ่งแล้วจะเผาจนในวันเผาก็เกิดเรื่องอีก ในตอนที่จุดไฟพร้อมกับข้าวของของแกเข้าไปด้วยในเตาทั้งหมด
ตึ้ง!
          เสียงมันดังมาจากเมรุ ตัวพี่ต้องไปร่วมงานตั้งแต่แรกเพราะเป็นอาจารย์ก็เลยทันเหตุการณ์ทุกอย่าง อยู่ดีๆเมรุก็มีเสียงดังเหมือนปูนแตก
          สัปเหร่อวิ่งไปดูในทันทีแล้วก็เป็นอย่างที่คาด ปูนส่วนหนึ่งแตกออกเป็นรอยแยกทำให้มีควันลอยออกมาจากข้างในจำเป็นต้องหยุดการเผาในทันที
          ไฟเพิ่งถูกจุดไปได้ไม่น่าจะเกิน 10 นาทีบางคนก็ว่ามันไม่นานพอ แต่พี่ว่ามันก็แปลกเกินไปที่ไม่มีข้าวของในเตานั้นไหม้ไฟเลย มีแค่รอยดำๆตรงขอบโลงที่ตัดเปิดให้ไฟลอดเข้าไปกับชายผ้าที่ลองห่อไว้เท่านั้น
‘ไม่ไหวว่ะ เฮี้ยนเกินทั้งนายทั้งบ่าว’
          ลุงสัปเหร่อแกพูดออกมาอย่างเหนื่อยใจระหว่างที่กำลังดับไฟในเตาก่อนที่เมรุจะเกิดความเสียหายมากไปกว่านี้ พี่ก็เข้าไปช่วยลุงทันที
          สุดท้ายก็ไม่สามารถจะเผาได้ในวันนั้นถ้าจะรอซ่อมเมรุเสร็จก็หลายวันจะไปวัดอื่นก็ไม่มีเงินกัน สุดท้ายจึงต้องจบลงด้วยการ ฝัง
          ธรรมเนียมการฝังเป็นอะไรที่ยุ่งยากและไม่สามารถเมินเฉยต่อมันได้ด้วยความเชื่อหลายๆอย่าง
          กว่าจะเตรียมของกว่าจะหาโลงมาใหม่เพราะอันเก่าถูกตัดเปิดไปแล้วเล็กน้อยก็กินเวลาไปจนค่ำมืดทำให้เหลือแค่ พี่ต้น พี่อ้วน ลุงสัปเหร่อ แล้วก็เพื่อนของอาจารย์อีกคนหนึ่ง
          โลงถูกวางบนรถเข็นของทางวัดจากคำบอกเล่าของพี่ต้นบอกไว้ว่า มันหนักมากเหมือนขนอะไรมาเยอะแยะทั้งที่มันก็มีแค่โลงเดียว เพื่อนอาจารย์แกก็ปลอบใจว่า ‘ข้าวของที่ใส่ไปในโลงมันเยอะ ก็หนักอย่างนี้แหละ’
          ทุกคนพูดปลอบใจกันเองทั้งๆที่รู้ดีว่ามันเกิดจากอะไร น้ำหนังของคนหลายคนที่ตามติดผู้เป็นนายอย่างไม่เว้นวาง หรือจะบอกว่าถูกจองจำไว้ด้วยอาคมก็แล้วแต่ เขาเหล่านั้นยังติดตามเพื่อดูวาระสุดท้ายของใครบางคนที่เขาอาจจะ รัก หรือ เกลียด จนสุดหัวใจ
          หลุมที่ถูกขุดเตรียมไว้ก่อนหน้าตอนนี้มีผ้าขาวรองไว้บางๆ ก่อนจะค่อยๆช่วยกันยกโลงศพของอาจารย์ใส่ลงในหลุม แล้วในตอนที่กำลังยกนั้นเอง พี่ต้นก็โดนตะปูด้านล่างโลงที่พ้นขอบไม้ออกมาขูดเข้าที่มืออย่างจัง
          ความคมของตะปูบวกกับน้ำน้ำของโลงทำให้ตอนปล่อยโลงนั้นเกิดแรงมากพอที่จะทำให้มือของพี่ต้นเป็นแผลใหญ่เลือดไหลนองจนดูน่ากลัว
          ด้วยความตกใจจึงรีบสะบัดมืออกทำให้เลือดมันกระเด็นหยดลงไปบนโลงศพอย่างไม่ตั้งใจ ทุกคนมองหน้ากันอย่างขนลุก ตอนนั้นคงคิดได้แต่เพียงว่า เขาคงอยากได้เครื่องเซ่น
          หลุมถูกกลบอย่างรวดเร็วและอาจจะพูดได้ว่า ลวกๆ ก่อนเดินกลับออกจากป่าช้าไปนั้นลุงสัปเปร่อก็หยิบถ้วยอาหารเล็กๆที่ทำจากใบตองมีกับข้าวสามอย่างวางลงตรงที่ดินใกล้ๆกับทางออกของป่าช้า
‘ตาเอ้ย ยายเอ้ย ขอซื้อที่หน่อยนะ ฝากดูแลด้วย’
           ตรงนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติมสักหน่อยหลายๆคนอาจจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินในเรื่องความเชื่อของการฝังศพแบบโบราณ มักจะมีกรขอซื้อที่การบอกกล่าวแก่นายป่าช้า หรือที่คนโบราณมักเรียกว่า ยายกะลา ตากะลี
          ตำนานนี้มีมานานมากแล้วและก็แตกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคทั้งชื่อเรียกและพิธีกรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความหมายของมันก็มีเพียงหนึ่งเดียวคือ ผู้เฝ้าป่าช้า
          โบราณมีความเชื่อว่าป่าช้าแต่ละแห่งจะต้องมีผู้เฝ้าเพื่อไม่ให้เหล่าวิญญาณที่ถูกฝังอยู่ในนั้นออกมาอาละวาดหรือมาปรากฏตัวให้คนเห็นและนั่นหมายถึง ยายกะลาตากะลี จะต้องมีกำลังเหนือภูตผีตนใดที่เป็นบริวารตน ทำให้บางครั้งมีคนพยายามจะจับผู้เฝ้าป่าช้าไปเป็นผีเลี้ยงเสียเอง
          หลังจากที่ทุกคนออกมาจากป่าช้าแล้วก็รีบพาพี่ต้นไปโรงพยาบาลเพื่อทำแผลและฉีดยากันบาดทะยัก พี่ต้นคิดเอาเองว่ามันคงจบแล้ว ตัวพี่แกเองคงไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับอะไรไสยศาสตร์มนต์ดำอะไรอีก
          แต่มันก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น ตั้งแต่คืนแรกที่กลับมาจากงานศพ พี่ต้นบอกว่ารู้สึกนอนไม่หลับ มันกระสับกระส่าย แล้วก็คิดเอาเองว่ามันคงเป็นอะไรไม่ดีที่ติดมาจากป่าช้า
          แกลุกไปไหว้พระ แต่ก็ไม่ดีขึ้น เป็นอย่างนั้นอยู่สามวัน จนมันเริ่มหนักขึ้น แกเริ่มได้ยินเสียงใครสักคน มันดังมาจากที่ไกลๆ เป็นเสียงแว่วๆ เสียงผู้ชายบ้างผู้หญิงบ้าง วนไปวนมาแต่ไม่เป็นศัพท์
          แกปล่อยให้ตัวเองอยู่อย่างนั้นไปหลายวันเพราะไม่มีทางออกบวกกับงานที่ค่อนข้างทำให้ไม่มีเวลาไปไหน
          แล้วเรื่องราวมันก็เกินที่จะรับได้ เมื่อคืนหนึ่งกำลังนั่งสังสรรค์กับเพื่อนแถวบ้านรวมถึงพี่อ้วนด้วย คืนนั้นแกบอกว่าแกยังไม่เมา แต่อยู่ดีๆมันก็จำอะไรไม่ได้เลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ค่อนคืน เหมือนภาพตัดแล้วเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
          พี่ต้นถามพี่อ้วนถึงช่วงที่แกจำอะไรไม่ได้เลยประมาณร่วมชั่วโมง พี่อ้วนเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ถามเพราะว่าพี่ต้นไม่ได้มีอาการเมา หรือหลับอะไรเลยสักอย่าง ก็นั่งกินกันตามปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต
          เหตุการณ์คล้ายๆอย่างนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง พี่ต้นจำอะไรไม่ได้เหมือนคนหลับแล้วตื่น แต่คนรอบตัวบอกว่าพี่ต้นใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต
          พี่ต้นเริ่มกลัวตัวเองคิดว่าอาจจะเป็นเพราะ วิชา ที่ติดตัวมา จึงเป็นที่มาให้แกพยายามเลิกสนใจเรื่องราวเหล่านี้ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
          คืนนั้นพี่ต้นนั่งหน้าพระในห้องพระที่บ้าน ขอวางวิชาและคืนทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยอีก ทันทีที่กราบลงก็ปวดหัว ปวดจนน้ำตาไหล แล้วหลับไปในที่สุด
          เมื่อตื่นมามันกลับตรงข้ามกัน วิชาไม่ได้หายไปที่พี่ต้นกลับ เห็นผี ขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้จะไม่ได้เห็นตลอด แต่มันก็เห็นมากกว่าที่เคย
          คืนถัดมาพี่ต้นหลับไปแล้วก็ถูกปลุกด้วยเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง เสียงนั้นหวานใส แต่โหยหวนและบางเบา แปลกๆ พี่ต้นเงี่ยหูฟังจึงรู้ว่ามันดังมาจากข้างเตียง
          พี่ต้นสะดุ้งหันไปมองด้วยความตกใจแม้เพียงชั่ววูบเดียวก็จำได้ติดตา ร่างของหญิงสาวในชุดเก่าๆ เนื้อตัวขาวซีด ใบหน้าซูบผอมไร้สีเลือด ดวงตาสีขาวขุ่นจนเกือบจะเท่ากับสีผิวไม่มีตาดำ สไบย้อนยุคที่ตอนนี้เหมือนเศษใบตอง เธอนั่งมองมายังพี่ต้นด้วย รอยยิ้ม
          รอยยิ้มอันน่าขนลุกที่แฝงไว้ด้วยความสุข และความพอใจอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อตั้งใจฟังดีๆเสียงครวญนั้นคล้ายทำนองเสนาะ หรือขับเสภาเสียมากกว่าเสียงกรีดร้อง
          ก่อนเธอจากไป เธอทิ้งเสียงหัวเราะลอยไว้ในอากาศ หรืออาจจะดังก้องอยู่ในหัวของตัวพี่ต้นเองก็ยากที่จะแยกได้
          ไม่ใช่แค่ตัวพี่ต้นเองที่เจอเรื่องราวแปลกๆ พ่อและแม่ในบ้านก็พบเจอเรื่องราวน่ากลัวไม่แพ้กัน
          หลายครั้งที่แม่จะตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวและเตรียมของขาย ปกติจะเป็นช่วงตี3ตี4 ราวๆนี้ตามวิถีชีวิตของคนบ้านนอก บ้านพี่ต้นมีสองชั้น บันไดไม้ยังเป็นแบบเก่า คือเป็นไม้กระดานชิ้นๆ ทำให้มีช่องว่างในแต่ละขั้นไม่เหมือนบ้านปูนในปัจจุบัน
          ครัวของที่บ้านใกล้กับบันไดขึ้นชั้นสอง แม่มักจะมองดูว่าพ่อตื่นหรือยังแต่วันนั้นแม่รู้สึกเหมือนเห็นอะไรที่หางตา จึงเผลอหันไปดู

เด็กน้อยอายุราว 6 7 ขวบ ร่างกายผอมบางติดกระดูกนั่งมองแม่อยู่ตรงขั้นบันไดด้วยท่านั่งกอดเข่า แววตานั้นจ้องมาที่แม่อย่างมีความหมาย แม้แปลไม่ออกแต่ร่างผอมบางนั้นก็ดูน่ากลัวเกินกว่าจะเรียกว่า น่ารักได้
          แม่หลับตาแล้วลืมตามาดูใหม่ร่างนั้นก็ยังไม่หายไป ยังคงนั่งมองเธออย่าใจจดใจจ่อ แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรกลัวก็กลัว จะส่งเสียงเรียกก็ไม่มีแรง ทำให้ขนมในมือตกลงบนพื้น
          แม่สะดุ้งกับเสียงขนมตกเลยทำให้ต้องหันมาดูแล้วก็พร้อมกันกับที่เด็กคนนั้นหายไปจากบันได แต่กลับมานั่งอยู่ตรงขนมบนพื้นนั้นเอง
          ด้วยความกลัวแม่วิ่งขึ้นห้องนอนข้างบนไปหาพ่อในทันที แม่เล่าให้ทุกคนฟังในวันรุ่งขึ้นเพราะส่วนตัวไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน
          ส่วนพ่อก็เคยโดนอะไรคล้ายๆอย่างนี้เช่นกัน พ่อฝันว่ามีผู้หญิงมาหา ในฝันนั้นเธอสวยมาก แต่ไม่รู้จัก หญิงสาวเปลือยกายร่างกายสวยงามอวบอิ่มเต่งตึง พูดได้ว่า สวยเหมือนนางในฝัน
          เธอเค้ามาปะโลมโอบพ่ออย่างอ่อนโยน และในที่สุดก็ร่วมรักกันในความฝันนั้น แต่เรื่องนี้พ่อมาเล่าให้ฟังก็ช่วงหลังๆแล้วเพราะกลัวแม่จะโกรธ แล้วก็ผิดคาดเพราะแม่บอกว่าแม่ก็เห็นมีผู้หญิงมานั่งคร่อมพ่ออยู่คืนหนึ่ง
          สิ่งที่แม่เห็นนั้นขัดกับพ่อโดยสิ้นเชิง ร่างเปลือยของหญิงสาวคนนั้น บวม อืด เหมือนเป็นศพที่ผ่านเวลามาพอสมควร ใบหน้าย้อยย้วยไม่น่ามอง ตามเนื้อตัวมีแผลคล้ายไฟไหม้หลายแห่ง โดยเฉพาะตรงส่วนคางมีแต่รอยคล้ำดำสะเก็ดจะแผลไฟไหม้
          เมื่อทุกอย่างเริ่มรบกวนคนในบ้านพี่ต้นก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองกำลังนำพาอะไรบางอย่างเข้ามาสู่ครอบครัวของตน
          พี่ต้นรีบหาวันเวลาว่างเพื่อไปหาพระท่านหนึ่งซึ่งได้ชื่อว่า เก่ง ในด้านพุทธคุณสามารถถอนคุณไสยได้ทุกชนิด แต่ในคืนก่อนที่จะเดินทางก็เกิดเรื่องแปลก พี่ต้นฝันเห็นชายแก่คนหนึ่งมานั่งยิ้มเยาะให้เห็นลางๆ ร่างนั้นซูบผอมน่ากลัว ไม่คุ้นตา
          พี่ต้นตื่นมาในวันรุ่งขึ้นก็รีบจัดแจงแต่งตัวเพื่อเตรียมจะเดินทางโดยรอพี่อ้วนให้มารับ
          เวลาผ่านไปจนเลยเวลานัด พี่ต้อนจึงกดโทรหาพี่อ้วน
‘ไม่มารับสักทีวะ รอนานแล้ว’
‘รับไปไหน นัดกันตอนไหนวะ’
‘เอ้า ก็ที่จะไปหาหลวงพ่อไง ลืมได้ไงวะ คนยิ่งเครียดๆอยู่’
‘ก็เมื่อวานไปหาเอ็งที่บ้านแล้ว ตามนัด เอ็งบอกเปลี่ยนใจเองนี่หว่า’
          ประโยคนั้นทำเอาคนโทรหาใจหล่นวูบ มันจะเป็นไปได้อย่างไร นัดกันวันนี้ มันจะเป็นเมื่อวานไปได้อย่างไร พี่ต้นรีบวิ่งลงจากบ้านมาอย่างรีบร้อนก่อนจะถามพ่อกับแม่ว่าวันนี้วันอะไร
          มันอาจจะเกินเชื่อไปสักนิดหนึ่ง แต่มันผ่านวันนัดมาแล้วจริงๆ แต่ทำไมพี่ต้นไม่มีความทรงจำนั้นเลย พ่อกับแม่บอกว่าพี่ลงมาทำงานได้ตามปกติ แต่ขึ้นไปนอนซะส่วนมาก เพราะมันเป็นวันว่าง แม่ก็คิดว่าป่วยเลยไม่ได้ตามหา
          พี่ต้นเริ่มกลัวตัวเอง กลัวเอามากๆจนสุดท้ายต้องตัดสินใจกลับไปที่บ้านอาจารย์ ไปหาลุงสัปเหร่อ ลุงแกคงมีทางออก
          เมื่อไปถึงแล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง ลุงสัปเหร่อถึงกับเหงื่อตก ไม่คิดว่าเรื่องมันจะวุ่นวายขนาดนี้ ในคืนนั้นลุงต้องเข้าไปในป่าใช้คนเดียวเปิดฝาโลงออกแล้วราดน้ำมนต์ที่ทำขึ้นเองจากว่านหลายชนิดที่เชื่อว่ามีฤทธิ์ล้างอาถรรพ์
‘ผีเลี้ยงมันคงตามเอ็งไป เพราะมันได้กินเลือด’
          นั่นคือความเห็นของลุงสัปเหร่อ แล้วพิธีกรรมนั้นมันก็ได้ผล หลังจากกลับมาที่บ้านก็ไม่มีเรื่องราวแปลกๆอีก เว้นแต่ตัวพี่ต้นเองที่ยังไม่หมดเรื่องแย่ๆ
          หลังจากคืนนั้นพี่ต้นเริ่มฝัน บางครั้งก็เห็น บางครั้งก็เหมือนคิดไปเองว่ามีคนแก่ๆมายืนอยู่ที่หน้าบ้าน ตรงประตูเลื่อนเหล็กด้านล่าง สายตานั้นมองขึ้นมายังห้องนอนพี่ต้นอย่างเห็นได้ชัด
          พี่ต้นเริ่มสังเกตจนสรุปได้ว่าเขาจะมาทุกวันพระ จะมายืนอยู่ที่เดิมๆ จ้องมองมาที่เขาอย่างน่ากลัว
          ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ตัวพี่ต้นเองก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะพยายามวางวิชาลงเท่าไหร่ก็เหมือนมันจะเข้มแข็งขึ้นทุกวัน ถ้าใครมีวิชาคงจะรู้ดี ตัวเจ้าของวิชาจะรู้ว่าสิ่งที่อยู่กับตน ยังอยู่หรือไม่ หรืออ่อนแอลงหรือเปล่า
          ทุกอย่างดำเนินวนเวียนไปซ้ำๆ จนในที่สุดมันก็เริ่มจะเกินรับไหว พี่ต้นเป็นคนกินง่ายก็จริง แต่มันก็แปลกเกินไป จากคำบอกเล่าของพี่อ้วนที่ตัวติดกันบอกว่า
          เพื่อนพี่เริ่มอยากกินอะไรที่มันสดๆ พวกหลู้ พวกก้อยนี่กินหมด แถมบ่อยอีกต่างหาก บางทีก็โทรมาสั่งให้พี่ทำให้ ถาดเบ้อเร่อ กินจนหมด แล้วเน้นว่าขอให้ใส่เลือดเยอะๆ คนที่กินเป็นเขายังว่าคาวเลย
          พี่ต้นรู้แต่เพียงว่าอยากกิน ไม่ได้มีความคิดอะไรไปมากกว่านั้น ยิ่งได้กินก็รู้สึกดี เหมือนมีแรงแข็งแรงขึ้น จนในที่สุดพ่อกับแม่ก็ทนไม่ไหว
          แม่ตื่นมาทำกับข้าวในเวลาเดิม ในวันนั้นแม่ได้ยินเสียงเหมือนคนขู่ในลำคอดัง ครืดๆ ตอนแรกคิดว่าพ่อกรน แต่มันก็ไม่ใช่เพราะมันดังมาจากหน้าบ้าน
          เสียงเหมือนหมา เหมือนสัตว์ป่า แม่ว่าอย่างนั้น แม่ถือมีดในครัวติดไปหลังจากปลุกพ่อลงมาแล้ว พอเปิดประตูบ้านออกไปก็แทบหัวใจวาย
          พี่ต้นนั่งยองๆอยู่กับพื้นพร้อมกับเศษอาหารที่ร่วงกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด คนเป็นลูกหันมามองพ่อกับแม่ตาขวางเหมือนไม่พอใจ ส่งเสียงแปลกๆในลำคอเหมือนขู่ แต่พ่อบอกว่ามันเหมือนบทสวดมากกว่า เสียงพึมพำนั้นทำให้คนเป็นแม่ขาอ่อนลมแทบจับ พ่อตัดสินใจวิ่งเอาพระที่ตัวเองห้อยคออยู่ไปคล้องให้ลูก
          พี่ต้นพยายามดิ้น พยายามเหมือนจะถอดพระออกแต่ก็ทำไม่ได้ พอแตะตัวพระก็รีบเอามืออกเหมือนเจ็บ แล้วก็เริ่มอ่อนแรงลงจนล้มลงไป พ่อกับแม่ได้แต่มองลูกชายกับเศษเครื่องเซ่นศาลพระภูมิหน้าบ้านที่ข้ามวันมายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนกระจายเต็มพื้น พร้อมกับหน้าต่างห้องนอนลูกที่ชั้นสองมันเปิดอ้าเอาไว้
          ทุกคนรอให้พี่ต้นตื่นขึ้นมาจนเวลาประมาณ 9 โมงพี่ต้นตื่นขึ้นมาในห้องพระของที่บ้าน พร้อมกับเชือกไนลอนที่มัดมือกับเท้าไว้เพื่อไม่ให้สามารถลุกออจากห้องนั้นไปได้
           พี่ต้นตกใจเป็นอย่างมากพยายามดิ้นจนได้ยินเสียงแม่ร้องทัก เมื่อหันไปมองก็เห็นแม่นั่งน้ำตาคลออยู่พร้อมกับพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ และพี่อ้วน
‘หันมาทางนี้โยม’
         โดยไม่ทันสังเกตที่นั่งข้างๆเยื้องไปทางด้านหลังมีพระท่านหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับบาตรที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำภายในเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทำน้ำมนต์ ทุกอย่างดูงุนงงไปหมด แล้วทันทีที่หลวงพ่อเริ่มสวดพี่ต้นก็ไม่ได้สติอีกเลย
         เรื่องเล่าในช่วงนี้จึงเป็นคำที่มาจากปากของพี่อ้วน พี่ต้นเริ่มส่งเสียงแปลกๆเหมือนสวดอะไรสักอย่างไปพร้อมๆกับหลวงพ่อแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามรถจะต้านทานได้ จากที่เคยเชิดหัวตัวตรงส่งเสียงสู้ตอนนี้เริ่มงอตัวลงกับพื้นก้มหน้าทีละน้อยจนแนบกับพื้นบ้านไปในที่สุด
         น้ำมนต์ในขันถูกรดลงบนหัวของพี่ต้นทีละน้อยพร้อมกับหลวงพ่อที่ตอนนี้ยังไม่ลืมตาปากก็ยังไม่หยุดการบริกรรม พี่ต้นยังคงส่งเสียงในลำคอน่าขนลุก
         เมื่อพี่ต้นสงบเงียบลงไปแล้วหลวงพ่อจึงบอกให้ทุกคนรอ จนกว่าเขาจะตื่น เมื่อตื่นหลวงพอก็ยื่นเขี้ยวเสือให้อันหนึ่ง พร้อมกับเชือกที่ร้อยไว้เป็นสร้อยอย่างดี
‘ให้เอาติดตัวลูกไว้อย่าได้ห่าง’
         ถ้าใครที่มีความรู้คงจะรู้ว่า เขี้ยวเสือ นั้นมีมูลค่าไม่น้อยเลย แต่ท่านก็ให้มาโดยไม่ขอรับปัจจัยตอบแทน เพื่อแต่สอนและเป็นห่วงคนในบ้านหลังนี้ก็เท่านั้น
‘รับไปเถอะ อาตมาธุดงค์ไปเรื่อยตามป่าตามเขา เดี๋ยวเขาก็ให้มาอีก ชิ้นนี้เขาก็ให้มาจึงไม่นับว่าเป็นของส่วนตัว’

ทั้งบ้านซาบซึ้งกับเมตตาของหลวงพ่อ แล้วคงต้องเล่าย้อนไปนิดหนึ่งว่าหลังจากที่หามพี่ต้นเข้ามาในบ้านแล้วนั้น ก็มีพระรูปหนึ่งมายืนรอที่หน้าบ้านในเวลาใกล้แจ้งเหมือนมารอบิณฑบาต แต่แม่ยังไม่ทันได้เตรียมอะไรเสร็จจึงได้แต่ถวายอาหารกระป๋องแทนเท่านั้น
         หลังจากรับบาตรท่านก็ยังไม่ไปไหน เหมือนรอให้คนเป็นแม่เอ่ยปาก เรื่องลูกชาย มันเหมือนเป็นเหตุบังเอิญ แต่ก็แปลกเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญได้
         อีกครั้งที่พี่ต้นตื่นขึ้นมาแต่คราวนี้มีเขี้ยวเสือห้อยอยู่ที่คอของตน ทันทีที่หายมึนงงพี่ต้นรีบก้มลงกราบหลวงพ่อเพราะต่อให้ไม่เล่าให้ฟังก็พอจะจับใจความเรื่องราวได้
‘อวิชชามันน่าค้นหา แต่มันเลวร้ายนัก มันนำมาซึ่งความทุกข์และความทรมาน’
‘ผมต้องทำอย่างไรครับหลวงพ่อ ผมกลัว ผมไม่เอาแล้ว’
‘กรรมใดใครก่อ ก็ยากเกินจะยื่นมือเข้าไปขวาง เก็บของชิ้นนี้ไว้กับตัวดีๆ จนกว่าจะใช้กันหมด ทางจะเปิดเอง’
         นั่นหมายความว่าไม่สามารถจะทำให้พี่ต้นพ้นทุกข์ได้ในเวลานั้น เพราะตัวพี่ต้นคือผู้แสวงหาและนำมันมาเองไม่ได้เกิดจากน้ำมือใคร เมื่อสร้างก็ต้องรับมันไปอย่างไร้ทางออก
         ก่อนที่หลวงพ่อจะจากไปท่านไม่ยอมให้ขับรถไปส่งบอกแต่เพียงว่าจะเดิน เดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดหมายใดมากไปกว่าความสงบ ไม่มีใครเข้าใจท่านในประโยคนั้นแต่ก็จดจำกันไว้อย่างดี
‘อดทนเถอะสหาย ท่านไม่ทิ้งหรอก เมื่อเวลามาถึงจะได้รู้เอง โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ’
         หลวงพ่อจากไปโดยไม่ตอบคำถามใดๆเพิ่มหรืออธิบายอะไรอีก
         หลังจากวันนั้นพี่ต้นยังมีอาการแปลกๆบ้างแต่ไม่รุนแรงเหมือนในครั้งแรกๆ แต่ที่มันมากขึ้นคือเรื่องของ ความฝัน หรือบางครั้งมันก็สมจริงยิ่งกว่าฝัน
         บ่อยครั้งที่พี่ต้นมักจะฝันเห็นคนแก่สองคนมาเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าบ้าน เขาจำได้ดีว่าเป็นคนที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ สายตาที่จ้องมองมายังน่ากลัวไม่เปลี่ยน ตาแก่และยายแก่สองคนมักจะมาเยี่ยมเยือนเขาในทุกๆคืนวันพระ แต่บางครั้งก็มามากกว่าปกติ
         คืนหนึ่งพี่ต้นตื่นขึ้นมากลางดึกเหมือนถูกปลุก ร่างกายขยับซ้ายขวาไม่ได้ ไม่ได้แม้แต่จะหันหน้า ความรู้สึกสะอิดสะเอียนพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าตีเข้าจมูกจนต้องอาเจียนออกมา
         เมื่อมองไปรอบห้องจึงได้เห็นว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกแล้ว ในห้องมีวิญญาณหลายดวงรายล้อมตัวเขาเอาไว้ด้วยท่าทางน่ากลัวและสภาพน่าสยดสยอง
         หญิงสาวในชุดสไบเก่าๆคนเดิมยังอยู่แต่ตอนนี้ไร้ซึ่งรอยยิ้ม เด็กน้อยที่คาดว่าจะเป็นคนเดียวกับที่แม่เห็นนั่งอยู่ไม่ห่าง ร่างบวมอืดที่เคยทำร้ายพ่อยืนจ้องด้วยสายตาอาฆาต และยังมีร่างของชายแก่คนหนึ่งในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งตาถลนมองเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ
         ที่เก้าอี้ข้างเตียงนั้นมีคนนั่งอยู่ แม้ไม่สามารถจะเงยหน้าขึ้นไปมองได้ก็รับรู้ว่าเป็น ผู้ชาย ร่างนั้นนั่งอย่างวางท่า กางขาวางมือบนไม้เท้าที่อยู่ตรงหน้า เสียงแหบพร่าแต่กังวานน่าขนลุก
‘ถึงเวลาแล้ว’
         เสียงนั้นดังก้องไปทั่วห้องพร้อมกับวิญญาณตนอื่นๆที่ถอยห่างออก เมื่อสิ้นเสียงพี่ต้นก็รู้สึกได้ว่ามีน้ำหนักทิ้งตัวลงบนร่ากาย ที่ตรงหน้าอก
         พี่ต้นตาเหลือกค้างจนหัวใจแทบจะวาย ร่างของหญิงชราไม่ผอมและไม่ถึงกับอ้วน เรียกว่าท้วมคงจจะด้าย ผมมเผ้าเผ้ายุ่งเหยิงแห้งกรัง สีขาวปนเทากระดำกระด่างไม่น่ามอง ผิวหนังที่เหี่ยวย่นจนเห็นเป็นชั้นๆ ดวงตากลมโตแต่ไม่มีสีขาว เป็นตาดำล้วนสบตากับพี่อ้วน
‘ไป กลับป่าช้าได้แล้ว’
         เสียงที่ไม่น่าฟังพูดคำเดิมซ้ำๆวนอยู่หลายรอบ ปากที่ตอนนี้ยิ้มกว้างผิดปกติในปากมีฟันที่ดำไปด้วยหมากพลูหรืออะไรสักอย่างทำให้ชวนขนลุกมากขึ้นไปอีก
         นิ้วมือเรียวๆที่มีเล็บยาวสกปรกค่อยลูบไล้ไปบนใบหน้าของพี่ต้น เล็บขูดขบกับผิวหน้าจนรู้สึกเจ็บ มือนั้นไล้ลงมาจนถึงเขี้ยวเสือที่ห้อยคออยู่ เขาก็หายไปจากตรงหน้าเสียดื้อๆ
         ภาพตัดไปตรงนั้น พี่ต้นตื่ขึ้นมาก่อนฟ้าสางพร้อมกับรอยแดงบนหน้าของตัวเอง
         เรื่องในคืนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนให้ตัดสินใจเข้ามาอยู่อาศัยในตัวเมืองใหญ่เพราะพ่อกับแม่บอกว่า ออกห่างจากที่เดิมๆเผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง
         ดีที่บ้านพี่อ้วนก็จะให้พี่อ้วนไปเปิดร้านทำอาหารเสียที เพราะคงทำอย่างอื่นไม่ได้อีก หลังจากนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลานานแต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้จบลงไปด้วย
         หลายครั้งที่พี่ต้นเห็นหญิงชราและชายชราทั้งสองมาเดินตามตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือว่าระหว่างทางกลับบ้าน เขาทั้งสองจะแอบมองเสมอ บางครั้งก็จะมานั่งใกล้ๆเตียงนอน บางครั้งจะมานั่งทับหรือนอนทับในบางคืน พร้อมกับประโยคเดิมๆ
‘กลับป่าช้าได้แล้ว’
         พี่ต้นเคยถอดเขี้ยวเสือออกด้วยความเครียดที่อยากให้มันจบลง แต่ผลมันเลวร้ายกว่าที่คิด พี่ต้นจำอะไรไม่ได้เช่นเคย เห็นแต่รอยแดงตามเนื้อตัวที่เป็นรอยเล็บ เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง ซ้ำร้าย หลังจากวันนั้นอาการของพี่ต้นก็หนักขึ้น ทุกวันโกนวันพระพี่ต้นจะอยากกินของสด จนทนไม่ได้
         จะต้องได้กินเสมอถ้าไม่ได้กินจะรู้สึกทรมาน สุขภาพย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แล้วตายายทั้งสองคนยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งมาถี่ขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งก็มานั่งให้เห็นในเวลากลางวันแสกๆ
         เรื่องเล่าทั้งหมดจบลง นั่นคือสิ่งที่พี่ต้นอยากหาทางออก เพราะไม่กล้าบอกพ่อกับแม่อีก กลัวว่าจะเป็นห่วงไปมากกว่านี้ แล้วในเมืองหลวงก็มีแต่แพงๆทั้งนั้น เงินทองก็ไม่ได้มากพอจะไปได้บ่อยๆ
         ผมนั่งคิดตามเรื่องราวทั้งหมดก็สงสัยอยู่แค่สองเรื่องคือ ตายายนั้นเป็นใคร และช่วงที่พี่ต้นขาดสติไปมันเกิดอะไรขึ้น ผมบอกกับพี่อ้วนว่าช่วงนั้นเป็นอย่างไร พี่อ้วนบอกว่าปกติเลย เหมือนคน กินข้าวได้พูดได้ แต่ไม่ค่อยพูด บางครั้งก็โวยวายท่องคาถาอะไรไม่รู้ ข่วนตัวเองก็มี
‘เออ พี่ลืมบอก เวลาพี่กินของสดพี่จำไม่ได้นะ’
         พี่ต้นเล่าเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดไป บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่มันก็มีอย่างหนึ่งที่น่าลองดู แม้วันมันจะดูอันตรายไปเสียหน่อยก็เถอะ
         หลังจากถามความสมัครใจของคนทั้งสองแล้ว พี่อ้วนก็เดินไปปิดร้านให้สนิท ไม่ให้คนภายนอกมารบกวนได้ ตอนแรกยังแค่แง้มๆไว้รับลม
         ผมบอกให้พี่อ้วนทำอาหารสดที่บอกว่าพี่ต้นต้องกินเป็นประจำมาวางบนโต๊ะ โดยขออนุญาตมัดตัวพี่ต้นไว้ก่อนเผื่อเหตุฉุกเฉิน
         ผมจำไม่ได้ว่าอาหารในวันนั้นเรียกว่าอะไร แต่มันเป็นเนื้อวัวสับละเอียดๆ ใส่เครื่องเทศ กับเครื่องในเล็กน้อย แล้วก็เลือดวัวสดๆ ผสมให้เข้ากัน แต่ผมขอให้พี่อ้วนเพิ่มปริมาณเลือดให้มากกว่าปกติเสียหน่อย
         เมื่ออาหารมาวางบนโต๊ะผมต้องรับกลับหายใจเพราะกลิ่นคาวมันรุนแรงกว่าที่ผมคิดไว้ ดีที่ผมเคยฝึกงานในหน่วยงานสายนิติวิทยาศาสตร์ บวกกับเคยเข้าไปในห้องชันสูตรครั้งหนึ่งทำให้ปรับตัวได้ไม่ยากมากนัก
‘รอบนี้คาวจังวะ’
         พี่ต้นบ่นพร้อมเบือนหน้าหนี พี่ต้นนั่งมองเฉยๆไม่ได้รู้สึกอยากกินและไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร ผมเลยลองจุดธูป 1 ดอกปักลงบนอาหารจานนั้น
‘สัมภเวสีผีตายโหงแถวนี้ มากินซะ’

ทุกอย่างยังเงียบอยู่ เหมือนมันไม่ได้ผล ผมนึกขึ้นได้ถึง เขี้ยวเสือที่ได้ฟังมา พี่ต้นบอกว่ายังใสอยู่ ผมเลยขอให้ถอดออก ทั้งสองคนมีสีหน้ากังวล แต่ก็คงไม่มีทางเลือก ต้องจำใจทำตามที่ผมบอก
         พี่อ้วนเป็นคนถอดให้เพราะมือที่ถูกมัดอยู่ แล้วก็ได้ผลดังคาด อยู่ดีๆพี่ต้นก็ส่ายหัวไปมาบอกว่ามึนหัว มันตื้อๆ เหมือนจะเป็นลม แล้วพี่ต้นก็นิ่งไปก่อนจะลืมตาขึ้นมาในอีกความรู้สึกหนึ่ง
         รอยยิ้มมุมปากเหมือไม่ใช่พี่ต้น เสียงครืดๆในลำคอยค่อยๆดังขึ้น และทันทีที่เห็นอาหารตรงหน้า ใครในร่างพี่ต้นก็พยายามจะก้มลงไปกินแต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดเชือกที่มัดเอาไว้
         ผมบอกให้พี่อ้วนเอาอะไรรองจานให้สูงขึ้น พี่อ้วนเลยใช้ลังเบียร์มาวางจานจนสูงถึงปลายคาง พี่ต้นก้มลงไปกินอย่างมูมมามจนเลือดสดๆเลอะไปทั่วปากกับเสื้อ ทำให้กลิ่นคาวคลุ้งมากกว่าปกติ
         กลิ่นคาวจนผมต้องเดินออกมาห่างเพื่อสูดอากาศก่อนจะต้องยืมแมสที่พี่อ้วนซื้อตุนไว้ใช้ทำอาหารมาอันหนึ่ง พวกเรารอจนใครบางคนในนั้น พอใจ
‘อิ่มรึยัง คุยกันหน่อยสิ’ ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเขานิ่งไปแล้ว
‘เอ็งมีอะไร เรียกกรุมาทำไม’
‘ใคร..’ พี่อ้วนหันมากระซิบถามผม
‘อะไร จำกันไม่ได้แล้วหรือไงไอ้อ้วน เมื่อก่อนมากินข้าวบ้านข้าประจำ’
‘อาจารย์!?’
         ทุกคนหายสงสัยแล้วว่า ใคร ที่ทำให้พี่ต้นเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็เหมือนจะตอบคำถามได้ทุกอย่างว่ามันมาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร
         พวกเราพยายามพูดคุยกันดีๆก็เหมือนจะไม่ได้ความ บอกให้ถอยให้ห่างไปอย่าสร้างกรรมก็ไม่ฟัง พูดแต่เพียงว่าจะ เอาพี่ต้นเป็นร่าง หรือก็คือจะให้สืบทอดวิชาโดยเลี้ยงเขาไว้ในตัวเหมือนอย่างที่หลายๆคนคงเคยได้ยินเรื่อง ปอบวิชา
         พวกเราไม่มีใครยอมให้มันเป็นอย่างนั้น จึงตัดสินใจว่าจะช่วยกันให้มันจบลง แต่มันก็ดูอันตรายไปเสียหน่อย ผมตัดสินใจเอาเขี้ยวเสือออกมาห่างๆ เอาสร้อยและแหวนที่ตัวเองใส่ติดตัวประจำคล้องเขาไว้ทั้งอย่างนั้น
         เห็นได้ชัดว่าเขามาท่าทางอึดอัด เมื่อรู้สึกตัวทันก็รีบบริกรรมคาถาอะไรสักอย่างเสียงดังจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว เล่นเอาคลื่นไส้ปวดหัวไปเหมือนกัน แล้วอยู่ดีๆพี่อ้วนก็วิ่งขึ้นไปชั้นสองของร้าน แล้วกลับลงมาพร้อมกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่พอออุ้มได้ มาตั้งวางไว้บนโต๊ะอาหาร
         อาจารย์ในร่างพี่ต้นยังคงบริกรรมไม่หยุด พร้อมๆกับที่เริ่มมีเสียงกุกกักดังรอบๆร้าน เสียงเหมือนคนมาเคาะประตูหน้าต่างให้มีเสียงดัง บางครั้งแว่วเสียงโหยหวนของผู้หญิง เสียงกระแอมในลำคอของผู้ชายสลับไปมา
         เสียงโครามครามดังไปทั่วๆ ข้าวของตกเสียหาย พี่อ้วนขยับมานั่งชิดผมที่ตอนนี้พยายามสวดมนต์เพื่อทำน้ำมนต์เช่นกันแต่บอกตามตรงว่ามันก็แทบไม่ไหว เพราะเราเองก็ตกใจกับเสียงดังพวกนี้
         แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ตามมา ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หญิงสาวในชุดสไบเก่าๆ ผิวหน้าซีดเผือดขาวซีด ร่างผอมบางนั้นค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ แปลกที่พี่อ้วนก็เห็นเหมือนที่ผมเห็น เธอพยายามจะเข้ามาขวางแล้วเธอก็ทำได้สำเร็จ เธอส่งเสียงโหยหวนจนพี่อ้วนตกใจปัดขันน้ำมนต์ตกพื้นไม่เหลือสักหยด
         เสียงหัวเราะลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับเธอที่จากไป ผมสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ในครั้งแรกไม่อยากจะทำรุนแรงอะไรกับใครแต่ครั้งนี้มันคงเกินจะเลี่ยงไปแล้ว
         จากความคิดที่จะทำน้ำมนต์รดให้เขาหายไปหมดไปจากความคิด แล้วเลือกที่จะใช้วิธีค่อนข้างรุนแรง ผมลุกไปเดินไปข้างๆพี่ต้น ใช้ปลายนิ้วจี้ไปที่กลางหน้าผาก วาดรูปสัญลักษณ์แหมือนบนแหวนที่ใส่อยู่ประจำ (ถ้าใครเคยอ่านกระทู้เก่าๆคงจำได้ว่าผมเคยใช้วิธีนี้มาบ้างแล้ว)
         บทสวดในวันนั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มีเพียงบทบูชาพระรัตนตรัย และบทอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อร้องขอความช่วยเหลือเท่านั้น บวกกับจิตเราที่ต้องไม่แกว่งไปตามเขา ไม่อย่างนั้นเราจะแพ้
         ที่ตอนแรกไม่อยากทำแบบนี้เพราะมันจะส่งผลกับตัวร่างด้วย ร่างกายที่ไม่เคยได้สัมผัสกับพลังงานกระแสบริสุทธิ์สูงจะเกิดความเจ็บปวดตามมา(เหตุผลเดียวกับเรื่องที่ว่าทำไมบางคนที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจึงชอบปวดหัว)
         ไม่รู้ว่าเป็นพี่ต้นหรือใครในร่างนั้นร้องโวยวายอย่างเจ็บปวดก่อนจะเงียบไป พี่อ้วนที่หาวงเพื่อนจงรีบวิ่งเข้าไปดู ด้วยความไม่ระวังตัวร่างนั้นจึงเผลอกัดที่นิ้วจนเลือดไหลหยดลงบนโต๊ะ
         พี่อ้วนดึงนิ้วตัวเองออกมาได้แต่ก็กลัวแบบสุดๆ ขาอ่อนทรุดลงไปกับพื้น แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในอากาศ
‘เราขอเข้าไปได้หรือไม่’
         ด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรไม่รู้เหมือนกันผมเพิ่มจำนวนธูปแล้วปักลงในแก้วน้ำเพราะไม่มีกระถางธูป เพียงวูบเดียวผมได้กลิ่นเหม็นสาบแต่ปนด้วยกลิ่นหอม พร้อมกับลมวูบหนึ่งผ่านมาจากด้านหลัง
         ตอนนี้ที่ข้างหลังของพี่ต้นมีร่างชราของชายหญิงคู่หนึ่ง คงจะเป็นตายายอย่างที่พี่ต้นเคยเล่าไว้ ทั้งสองมองพี่ต้นอย่างพอใจด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก พร้อมกับเสียงโวยวาย
‘กรุไม่ไป!’
         พี่ต้นกระตุกล้มหงายลงบนพื้นหลับเงียบไปในที่สุด
         ด้วยความเป็นห่วงพี่อ้วนพาพี่ต้นไปโรงพยาบาลด้วยความอิดโรยหมอจึงให้นอนให้น้ำเกลือสักพักหนึ่ง โดยที่พี่ต้นตื่นแล้วแต่ดูยังงัวเงียมึนๆอยู่ ตัวพี่อ้วนเองก็ได้ไปทำแผลที่โดนกัด เรากลับมาที่ร้านอาหารในช่วงพระบิณฑบาตพอดีเลยมีโอกาสได้ใส่บาตรไปในตัว
         เมื่อมาถึงหน้าร้าน ป้าร้านข้างๆออกมาทักทายพ่อค้าด้วยกัน ‘อ้วนเมื่อวานปิดเร็วหรอ เห็นตอนดึกๆคนมายืนรอเต็มหน้าร้านเลย’
         พวกเรามองหน้ากันเหมือนจะรู้ เหมือนจะเข้าใจว่า ใคร ที่มารออยู่หน้าร้าน
         พวกเราคิดว่ามันจบแล้ว ผมจึงได้ขอตัวกลับพร้อมกับอาหารฟรีอีกหนึ่งมื้อ พี่อ้วนขอเบอร์ผมไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินอะไรอีก จนผมกลับมาที่พิษณุโลกได้พักใหญ่ๆแล้วก็ได้รับสายจากพี่อ้วน
‘น้อง มันเป็นอีกแล้ว เริ่มฝันอีกแล้ว’
         พี่ต้นบอกว่าเริ่มฝัน ฝันว่าตัวเองนอนอยู่แล้วมีชายแก่กับหญิงแก่มานั่งข้างๆร่างตัวเอง โดยที่แกไม่ได้อยู่ในร่าง คนแก่ทั้งสองคนพยายามจับลูบไล้ไปตามตัวอย่างไม่พอใจ บางครั้งก็ตื่นมาเจอใบหน้าของหญิงชราจ้องเขม็งด้วยสายตาอาฆาตแล้วในห้องนอนมันก็มีแต่กลิ่นเน่ากลิ่นสาบเต็มไปหมด
         ผมพยายามคิดตามว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันยังไม่หมด ไม่จบ หรือมันเพิ่ม ‘ให้เขากลับบ้าน เราจะช่วย’
         ผมได้ยินเสียงหนึ่งก้องในหัว เป็นเสียงที่เคยคุ้นแต่ไม่บ่อยนักที่จะได้ยิน
‘พี่ต้นรู้จัก พระนเรศวรไหมพี่’
‘รู้จักสิครับ บ้านพี่นับถือมากๆเลย มีเต็มบ้าน’
‘กลับบ้านนะพี่ แล้วจะหาย ผมไปด้วย’
         อะไรหลายๆอย่างมันเริ่มเข้าเค้าและดูประจวบเหมาะกันจนเกินไป ผมตัดสินใจไปบ้านพี่ต้นในช่วงเดือนถัดมาเพราะภาระงานทั้งผมทั้งพี่ต้นพี่อ้วนเอง
         เมื่อมาถึงบ้านก็เป็นบ้านนอกอย่างที่คิดไว้ บ้านหลังไม่ใหญ่แต่ดูอบอุ่น พี่ต้นแนะนำผมกับพ่อแม่ก่อนตามมารยาทโดยเล่าเรื่องราวทั้งหมดไปตรงๆ พ่อกับแม่ดูจะดีใจและเกรงใจมากรีบไปหาอะไรมาให้กิน ผมยิ่งเกรงใจกว่าจนทำตัวไม่ถูก
         ระหว่างกินข้าวผมเลยได้โอกาสถามคนที่บ้าน ‘ทำไมที่บ้านนับถือองค์ดำกันล่ะครับ’ (พระนเรศวรบางพื้นที่จะติดเรียกอย่างง่ายๆว่าองค์ดำ)

พ่อเป็นคนเล่าให้ฟัง มันเป็นเรื่องเล่ามานานแล้วหนู ตระกูลพ่อเขาเชื่อกันว่านับย้อนกลับไปหลายๆรุ่นต้นตระกูลน่ะท่านเป็นทหารขององค์ดำ แต่ก็เป็นระดับไพร่พลนะไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต เขาเล่าต่อๆกันมาเราก็เชื่อแล้วก็บูชาท่านตามๆกันมา
         บ้านนี้จะมีของเก่าชิ้นหนึ่งเขาว่าเป็นดาบของต้นตระกูล เขากลับมาส่งข่าว ออกมาจากสนามรบแล้วก็ตายเพราะบาดเจ็บมาตั้งแต่ตอนนั้น ได้แต่ฝากดาบไว้ที่เมีย เมียก็เป็นคนเล่าให้ลูกหลานฟังมาเรื่อยๆ พร้อมกับดาบเก่าๆอันนั้นนั่นแหละ
‘ดาบยังอยู่ไหมครับ’
‘อยู่สิ พ่อไม่กล้าทิ้งหรอก ถ้าพ่อตายไอ้ต้นมันก็ต้องดูแลต่อ’
         มาถึงตรงนี้ดูแล้วมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วเราก็ได้ทางออกอย่างที่คิดเรานั่งคุยย้อนไปย้อนมาถึงเรื่องราวทั้งหมด บวกกับความเชื่อคนโบราณที่ผมไม่เคยรู้จากพ่อแม่ของพี่ต้น
         ยันต์ที่พี่ต้นมีที่ถูกสักไว้ในครั้งแรกที่อาจารย์บอกเอาไว้ว่ามันเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นศิษย์ มันคงมีอะไรมากกว่านั้น ผมจึงขอดู
         แล้วความรู้สึกมันก็ชัดเจนว่า มันเป็นการฝากจิต อาจารย์ฝากจิตตัวเองไว้กับรอยสักเพื่อเป็นสื่อให้ตัวเอง มันอาจดูเกินจริงแต่สำหรับผู้ที่มีอำนาจจิตสูงๆสามารถทำได้ และแตกต่างกันไปในหลายๆรูปแบบ
         ความคิดของผมตอนนั้นคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ยันต์มันหายไป แต่ก็คิดไม่ออกจนในที่สุดก็ได้คำตอบจาก ท่าน ที่บอกให้ผมตามมาหาเขาที่บ้าน
‘ดาบนั้นจะช่วยได้’
         ประโยคสั้นๆที่ได้ใจความผมบอกว่าคงต้องใช้ดาบเก่านั้นโดยเล่าทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อรีบลนลานไปหาของชิ้นนั้นมาพร้อมกับอาบน้ำใส่ชุดขาวมาอย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งคงเพราะอยากช่วยลูก แต่อีกส่วนคงเป็นศรัทธาที่มาจากใจ
         ใครจะทำได้นอกจาก คนเป็นพ่อเป็นแม่ ดาบเก่าๆเขรอะสนิมกร่อนจนแทบไม่เหลือสภาพแต่ดูเข้มขลังไม่ต่างจากมีดหมอลงอาคมดีๆเล่มหนึ่ง รูปหล่อองค์สมเด็จที่ตั้งอยู่กลางหิ้งพระตอนนี้ดูสดใสกว่าปกติ เหมือนอยากบอกให้รู้ถึงการมาเยือนของท่าน
         มีดถูกกดลงตรงกลางยันต์ที่แผ่นหลังโดยไม่ได้เฉือนออกเพียงแค่กดลงไปด้วยมือพ่อกับแม่ มากกว่าอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะเป็นความรักความหวังดีของพ่อกับแม่ จึงทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น
         รอยแดงๆของเหล็กที่กดลงกลางหลังเกิดเป็นแนวยาวตัดผ่านรอยยันต์เป็นสองส่วน ทันทีที่ถอนมีดออก พี่ต้นก็อาเจียนออกมาในปริมาณมาก แม่รีบไปหาภาชนะมารอง
         พี่ต้นอาเจียนจนหมดแรงเพราะปริมาณที่ออกมานั้นมันเยอะมาก ผสมกับของเหลวสีเหลืองๆเขียวๆคล้ายน้ำมันผสมมากับเศษอาหาร เหมือนกันกับที่กลางหลังมีน้ำมันซึมออกมาจากรอยสักจนหยดเป็นทาง
         เราปล่อยให้พี่ต้นนอนพักอยู่ตรงนั้นเลย พร้อมๆกับที่ผมเห็นเงาร่างกำยำของชายคนหนึ่งมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังพ่อ หน้าตาละม้ายกันแต่ไม่เหมือน สีผิวดำแดงเหมือนคนอยู่กลางแดดตลอดเวลา ร่างนั้นคลานเข้าไปกราบรูปหล่อขององค์สมเด็จที่ตอนนี้ยังคงสุกสว่าง
         เงาร่างนั้นกราบลงพร้อมส่งผ่านความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ชัดเจนในความเคารพและจงรักภักดี ผมอาจจะคิดไปเองหรือเป็นเสียงจากเขาผมก็ไม่แน่ใจ แต่มันยังชัดเจนในหัวใจจนทุกวันนี้
‘ท่านทรงเมตตา เมตตาเหลือเกิน’ เงาร่างนั้นยังหมอบกราบไม่เงยหน้า
‘เราไม่เคยทิ้งใคร และจะไม่มีวันทิ้ง’ กระแสเสียอันพิสุทธิ์แต่ทรงพลังดังก้องไปทั่วบริเวณ
         หลังจากทุกอย่างจบลงในช่วงกลางคืน พี่ต้นพอมีแรงที่จะมานั่งร่วมโต๊ะสนทนาที่ตอนนี้พ่อยังคงร้องไห้ไม่หยุด พ่อเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าเป็น สมเด็จท่านมาโปรด มาช่วยเหลือลูกหลานของบริวารตัวเล็กๆอย่างเขา เช่นเดียวกับทุกๆคนในบ้าน
         ก่อนที่ผมจะกลับพี่ต้นขอให้ผมพาไปที่ป่าช้าที่ฝังศพอาจารย์ โดยเราต้องเดินทางพ่อก็ค้านในตอนแรกแต่ก็ต้องไปกัน เพื่อให้ทุกอย่างมันจบลง พี่ต้นเตรียมบายศรีขันครู เครื่องเซ่นหลายอย่าง
         เมื่อไปถึงก็เดินตรงไปยังหลุมของอาจารย์วางขันและเครื่องเซ่นทั้งหมดลงเป็นการลาครูครั้งสุดท้ายเพื่อขอตัดขาดกันเพียงเท่านี้ พร้อมการขอขมาอย่างถูกต้อง
         ในตอนที่กลับออกมาจากป่าช้า ผมเหลียวหลังกลับไปมองเพราะได้กลิ่นหอมอ่อนปนกลิ่นสาบโชยมา ที่ตรงนั้นมีตายายสองคนยืนอยู่ ท่าทางหน้าตาน่ากลัวไม่เหมือนคนทั่วไป แต่ที่น่าขนลุกคือในมือข้างหนึ่งของยาย มีร่างขางชายอีกคนอยู่
         นิ้วแห้งเหี่ยวเรียวยาวผิดปกติพร้อมเล็บสกปรกที่ยาวแหลมคมจกลงไปบนหนังศีรษะของชายมากวัยในชุดขาวมอๆสกปรก สี่นิ้วกางครอบไว้รอบหัวเว้นแต่นิ้วกลางที่จิกเจาะทะลุลงไปตรงกลางหน้าผากเหนือคิ้วทั้งสองข้างเล็กน้อย ร่างในกำมือนั้นดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดทรมาน
         หลังจากเรื่องนั้นพี่ต้นโทรมารายงานว่า ลุงสัปเหร่อแกกลัวศพอาจารย์จะเฮี้ยน เลยใช้ตะปูสังฆวานรที่แกมีตอกลงไปตรงกลางกน้าผากหรือตรงที่เรียกว่า ปั้นเหน่ง เป็นความเชื่อของการสะกดวิญญาณรูปแบบหนึ่ง
         แล้วผมก็ฝันเช่นกัน ผมฝันเห็นร่างขายชายคนนั้นคนที่น่าจะเป็นอาจารย์ของพี่ต้น เดินวนเวียนอยู่ในป่าช้าเหมือนพยายามหนีจากอะไรสักอย่าง แล้วไม่นานก็ล้มลง วิญญาณหลายดวงเดินเข้ามารุมล้อมสร้างความทรมานและทารุณให้กับดวงวิญญาณของอดีตหมอผีผู้แก่กล้า
         โดยมีตายายสองคนเฝ้ามองอยู่อย่างมีความสุข
         วิชาทั้งหลายเอาเขามาจากป่าช้า กระทำการยิ้มด้วยวิชาต่างๆนาๆ เมื่อตายลงจะไปไหนได้เสียนอกจากกลับมาให้เขาเอาคืน ในที่เดิมที่ตนสร้าง

รื่องจบลงตรงนี้ครับ
เรื่องของคุณไสย์มนต์ดำภูติผีปีศาจอาจฟังดูล้าสมัย แต่ทำไมเราถึงคิดว่ามันล้าสมัยล่ะครับ ทั้งที่มันไม่เคยหายไปเลยจากสังคม แต่ด้วยความสนใจที่น้อยลงอาจทำให้มันต้องหลบซ่อนอยู่ในหลืบมุมหนึ่งก็เท่านั้น
..............................................................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น