"นักฆ่ารับจ้าง" โดย Lady Star 919
เราขอนำเสนอเรื่อง "นักฆ่ารับจ้าง" ที่แต่ขึ้นโดยนักเขียนที่มาจากพันทิปที่มีชื่อสมาชิกพันทิปว่า คุณ Lady Star 919 หลากหลายเรื่องที่เธอได้เขียนไว้ และเราจะมานำเสนอต่อชาวผีสยองหนองกระจายได้สัมผัสถึงการเขียนจากนักเขียนผู้นี้น่าติดตามมาก....
ผมชื่ออ้วน รังสิมันต์ และมีอีกชื่อหนึ่งว่าล็อคจอร์ ซึ่งเป็นชื่อในซุ้มมือปืน ชื่อนี้มีไว้สำหรับติดต่อรับงานกับผู้ว่าจ้างเท่านั้น
ผมฆ่าคนมาแล้วห้าราย สามรายแรกเป็นพวกผัวน้อยเมียน้อยที่โดนสั่งเก็บ ผมละไม่เข้าใจไอ้คนพวกนี้เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าเขา หรือ เธอ มีผัวมีเมียอยู่แล้วยังคิดเข้าไปยุ่ง จนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง คนเรานี่ก็แปลกได้เป็นชู้ผัวเมียคนอื่นมันมีความสุขนักหรือไง ยังไงผมก็ไม่เข้าใจ
แล้วไอ้คนพวกนี้ก็สรรหาคำเลิศหรู สวยงาม มาใช้เป็นข้ออ้าง อย่างคำว่า “รัก” ฟังแล้วอยากจะอ้วกใส่หน้าพวกมันจริงๆ
พวกแกจะรักกัน โดยไม่มีคำว่าผิดศีลธรรม รักกันโดยอยู่เหนือกิเลสตัณหาไม่ได้เชียวหรือ พวกแกรักกันยังไง ถึงทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ลูกๆทนทุกข์ทรมานกับคำว่ารักของพวกแก
ผมตั้งคำถามมายมากกับไอ้คนพวกนี้ ก่อนจะลั่นไกปืนเจาะทะลุกะโหลก เขา หรือ เธอ แล้วปล่อยให้คำถามจมหายไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเหยื่อ
สองรายถัดมา โดนสั่งเก็บเพราะแย่งมรดกกันระหว่างญาติพี่น้อง มรดกราวพันล้าน มันก็น่าแย่งอยู่หรอกนะ ผมเรียกเงินจากคนจ้างรายละสี่แสนบาท
ปกติแล้วจะเรียกจากคนจ้างรายละแสนเท่านั้น แต่ระดับพันล้าน ก็ต้องเรียกให้สูงหน่อย เพราะไม่ง่ายเลย ที่จะวางแผนฆ่าคนรวย
และต้องแสร้งทำให้เหมือนว่ามันเป็นการตายโดยอุบัติเหตุ และเหมือนซาตานจะเข้าข้างคนทำชั่วอย่างผมจนออกนอกหน้า
เพราะเหยื่อสองรายที่ต้องฆ่า กำลังนั่งอยู่บนรถคันเดียวกัน ผมแค่ทำอะไรสักอย่างให้ดูเหมือนว่ารถคันนี้เกิดอุบัติเหตุ...วางแผน...ลงมือ...แล้วรถก็ระเบิดตูมตามบนถนน ส่งเหยื่อไปพบมัจจุราชได้อีกสองราย ปิดงานฆ่าได้อย่างหมดจดสวยงาม
และงานใหม่ล่าสุดของผม คือการฆ่านักร้องชื่อดัง ผู้ได้ฉายาว่าเสียงร้องแห่งเทพเจ้า
รายนี้ผู้ว่าจ้างให้เงินค่าจ้างหนึ่งล้านบาท วู้...เป็นค่าจ้างที่สูงที่สุดเท่าที่ผมเคยได้มา ยังไงก็ต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ
พรุ่งนี้แล้วสินะ...นักร้องฉายาเสียงร้องแห่งเทพเจ้าจะได้ไปพบเทพเจ้าของเธอ ฮึฮึ
เหยื่อรายนี้ผมไม่รู้ว่าทำไม คนจ้างถึงต้องการฆ่าเธอ เพราะไม่ใช่หน้าที่ ที่ต้องถาม เมื่อคนจ้างไม่เอ่ยปากบอก ส่วนรายต้นๆที่ผมเล่าให้ฟัง ผู้จ้างล้วนเป็นคนบอกเองทั้งนั้น
คงอยากให้นักฆ่าอย่างผมรับรู้ถึงความเคียดแค้นที่ตนมีต่อเหยื่อสินะ ใครจะไปสนความแค้นของเมิง กูสนแต่เงินโว้ย....ฮะฮ้า
คนว่าจ้างฆ่านักร้องสาวรายนี้ แตกต่างจากทุกคน แม้ผมจะมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของคนว่าจ้างก็เถอะ เพราะมีผ้าม่านกั้นเราสองคนไว้
แต่ผมสามารถสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่ง สุขุมและดูไม่เหมือนคนที่มีอะไรแค้นเคืองกับนักร้องสาวเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมถึงอยากให้เธอตายล่ะ
ข้อนี้ผมยังสงสัย แต่คิดไปก็หนักกระบาล ไม่ได้อยากรู้จริงๆหรอก ผมสนแต่เงินค่าจ้างหนึ่งล้านบาทเท่านั้น
ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ ผมเฝ้าติดตามดูเธอออกงานแสดงคอนเสิร์ต ถ่ายแบบโฆษณา และทุกครั้งผู้จัดการของเธอจะมาส่งเธอที่คอนโด แล้วกลับออกไป
เธอเป็นบุคคลสาธารณะ ทำให้การวางแผนฆ่าในที่โล่งไม่อาจทำได้โดยง่าย ทางเดียวที่จะสามารถฆ่าเธอได้ โดยไม่มีใครเห็น คือ ต้องฆ่าเธอที่คอนโดในห้องพักของเธอ
พรุ่งนี้จะเป็นวันสิ้นปี เธอมีงานร้องเพลงเค้าท์ดาวน์สองเวที คาดว่าน่าจะกลับมาที่คอนโดราวๆตีหนึ่งตีสอง
ก่อนเริ่มแผนสังหาร ผมต้องงัดรถผู้จัดการนักร้องสาว แล้วขโมยเอาคีย์การ์ดคอนโดที่นักร้องสาวพักอยู่ มาเก็บไว้ที่ตนซะก่อน
จะเข้าไปในคอนโดหรูทั้งที จำต้องแต่งตัวให้ดูดีสักหน่อย ผมลงทุนซื้อชุดสูทเพื่อทำงานนี้ ไม่สวมกางเกงยีนส์ขาดกับเสื้อเชิ้ตมอซอในภารกิจสังหารเหยื่อรายนี้เด็ดขาด ใส่สูทเวลาเดินเข้ามาในคอนโดจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของใคร
แผนการสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เพราะตอนนี้ ผมได้เข้ามาอยู่ในห้องนักร้องเสียงแห่งเทพเจ้าเป็นเรียบร้อยแล้ว
และทำได้เพียงรอเธอ...ใช่...แค่รอ...รอเธอกลับมา
หย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาหน่อย เดินสำรวจห้องนานๆชักเมื่อยขา สายตาไม่หยุดนิ่งหรอก ห้องหรูหราสวยงามขนาดนี้ คงไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของ อย่างน้อยก็ขอเก็บบันทึกไว้ในหัวก็พอ
โอ้..ไวน์ขาว ไวน์แดงชั้นเลิศ วางเรียงเป็นแถวบนชั้นไม้ น่าจะลองชิมดูสักหน่อย ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะกลับมา เพิ่งห้าทุ่มเอง ยังไม่นับถอยหลังกันด้วยซ้ำ
จะถึงปีใหม่ทั้งที ผมก็อยากฉลองบ้าง ใครจะอยากมาฆ่าคนข้ามปี ถ้าไม่เพราะเงินหนึ่งล้านนะ ป่านนี้ผมคงนอนเปลือยกายเบียดเสียดกับสาวสวยสักสองสามคนบนเตียงนุ่มๆแล้วเปลี่ยนกันสำรวจร่างกายของกันและกัน ก่อนจะพากันขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด ...ฮะฮ้า
วู้..แค่คิด..เลือดในกายผมก็สูบฉีด รู้สึกสยิวกาย ต้องดับกระหายด้วยไวน์พวกนี้ซะแล้ว งานนี้ต้องลองชิมให้หมดทุกขวด
แก้วพร้อม ไวน์พร้อม.....กระดกมันเข้าปาก....ว้าว!..ไวน์ชั้นเลิศมันรสชาติดีอย่างนี้นี่เอง อีกสักแก้ว และขอเปิดขวดใหม่ลิ้มลองรสชาติหน่อย
ไวน์หมดไปสามขวดแล้ว....เสียงพลุดังสนั่นหวั่นไหว เสียงผู้คนโห่ร้อง กรี๊ดร้องปรบมือ แว่วผ่านเข้ามาในโสตประสาท
ผมเดินไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อดูพลุบนท้องฟ้า โอ้...สวยงามจริงๆ
“สวัสดีปีใหม่โว้ย คืนนี้กูอยู่คนเดียว” ตะโกนสวัสดีปีใหม่คนเดียวก็ได้ใครสนพวกเมิง
เดินกลับมานั่งที่โซฟา แล้ววางแก้วไวน์ไว้บนโต๊ะ ร่างกายของผมชักนั่งไม่ค่อยจะตรง
หลังทำท่าจะทิ้งราบลงบนโซฟา....ก็ต้านไม่อยู่นะสิ..โธ่เว้ย.....ครอก!
หากเป็นนก ฉันจะโผบิน
แต่ได้ยิน เธอนั้นหลายใจ
ฉันคงบินไปไม่ไหว..ปีกหัก..ทันใดเพราะเธอ
หากเป็นนก ฉันคงเหลิงลม
สิ่งที่ชมคือความพร่ำเพ้อ
ความรัก ชักนำพบเจอ กลับเห็นเธอนั้นมีคู่ใจ...
เสียงเพลงบ้าๆข้างบนนั้นทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา และพบว่าตนนอนอยู่บนโซฟาในห้องนักร้องสาวเสียงเทพเจ้า หนำซ้ำบนตัวยังมีผ้าห่มอีกด้วย นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกันนี่
พรวดพราดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ใครจะไม่ตกใจก็ช่างหัวมัน
“ตื่นแล้วหรือคะ รับกาแฟหรือจะรับอะไรดีคะ”
น้ำเสียงใสราวระฆังเงิน ดึงผมให้หันไปมอง และได้เห็นเธอ นักร้องสาวฉายาเสียงแห่งเทพเจ้า เจ้าหล่อนยืนส่งยิ้มแฉ่งมาให้
ปืน..ปืนอยู่ไหน นั่นมันเหยื่อที่ผมต้องฆ่า จะมายืนถือแก้วกาแฟ ยิ้มหน้าระรื่นแบบนี้ได้ไง นรกชัดๆ เธอต้องตายวันนี้ และตอนนี้
เจอแล้วปืนที่พกมาเพื่อฆ่าเธอ ผมลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปหาเธอ เล็งปืนไปที่หัวใจ พร้อมแล้วที่จะปลิดชีพเหยื่อรายนี้
“เต..ส่งคุณมาฆ่าฉันหรือคะ คุณเป็นมือปืนรายที่สามแล้วค่ะที่เตส่งมา”
เรื่องอะไรจะอยากเสวนากับหล่อน ใครเต..เตไหน จะไปรู้ชื่อคนที่จ้างมาฆ่าหรือไง พูดมากเดี๋ยวยิงไส้แตกซะเลย
“อย่าเพิ่งยิงฉันนะคะ ก่อนที่คุณจะยิงฉัน ฉันต้องบอกความจริงอะไรบ้างอย่างกับคุณก่อนค่ะ คุณยินดีจะฟังไหมคะ”
ไม่ยินดีก็บ้าแล้ว แค่เสียงพูดของเจ้าหล่อนก็ไพเราะ เกินจะกล้าตอบปฏิเสธ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ฉายานักร้องเสียงแห่งเทพเจ้า
ผมแค่พยักหน้าเป็นคำตอบว่ายินดีที่จะฟัง นักร้องสาวจึงเดินมานั่งบนโซฟาแล้ววางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะ
“คุณคงพอรู้มาแล้วว่าฉันได้ฉายาว่านักร้องเสียงแห่งเทพเจ้า และนั่นอาจเป็นเรื่องจริง อืมม์...ฉันเป็นนางฟ้าค่ะ ถูกส่งมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคนบนโลก เรา ฉันหมายถึงเหล่าเทพทั้งหลาย ไม่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์เพื่อช่วยเหลือคนได้เท่าที่ควร การจะทำอะไรบางอย่างล้วนมีข้อจำกัดเสมอ เชื่อเถอะค่ะ
การเป็นนักร้อง เป็นบุคคลที่เด็กเยาวชนชื่นชอบ ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถเข้าหาทุกๆคนบนโลกได้รวดเร็ว ทั่วถึงในโลกยุคนี้
ฉันทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้เยาวชนได้เห็น พาพวกเขาร่วมทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม ต่อโลก เยาวชนหลายคนทำตามและยึดฉันเป็นแบบอย่าง ถือว่าเป็นสิ่งที่ประสบผลสำเร็จในขั้นแรกกับการลงมาช่วยเหลือผู้คนบนโลก
ส่วนเตอยากให้ฉันตาย เพราะเตเป็นซาตานค่ะ เขาคอยขัดขวางคนที่จะทำความดีอยู่เสมอ เตไม่เคยหยุดที่จะทำร้ายคนดี เช่นเดียวกับที่ไม่เคยหยุดส่งเสริมคนทำชั่ว เตทำอย่างนี้เสมอ เขาทำมาตลอดชั่วชีวิตของเขา เขาทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอกค่ะนอกจากฝักใฝ่ในความชั่วร้าย คุณตกเป็นเครื่องมือของเขา คุณสามารถเลือกเส้นทางชีวิตที่ดีกว่านี้ เพียงคุณกล้าพอ กล้าที่จะเปิดใจ”
“พูดพล่ามอะไรของเธอ กลัวตายจนเพี้ยนบอกว่าตัวเองเป็นนางฟ้า เชื่อก็โง่แล้ว”
ปืนถูกยกขึ้นเล็งไปที่เธออีกครั้ง
“คุณไม่เชื่อฉัน ฉันจะไม่หนีไปไหน จะยืนให้คุณยิง แต่ก่อนที่คุณจะยิง ฉันก็อยากพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง”
เจ้าหล่อนลุกขึ้นยืน ผมก็ต้องขยับปลายกระบอกปืนตามสิ หากหล่อนคิดตุกติกจะหนีละก็ น้องสาวคนสวยเอ๋ยได้ไปพบเทพเจ้าแน่ๆ พี่ล็อคจอร์คนนี้ไม่ปรานีหรอกนะ พี่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพตัวเอง ไม่ปล่อยให้เหยื่อที่ต้องสังหารรอดชีวิตไปได้ง่ายๆหรอก แต่ขอดูหน่อยสิ จะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นนางฟ้ายังไง
นักร้องสาวส่งยิ้มมา และสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นก็เกิดขึ้น
ปีกสีขาวเปล่งประกายระยิบระยับ แผ่สยายออกมาจากแผ่นหลังหญิงสาว มันค่อยๆเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น โอ้...เป็นปีกนางฟ้าที่สวยงามมาก ผมยืนตะลึง อึ้ง จนเกือบเผลอปล่อยปืนหลุดมือ
เธอโบกสะบัดปีกไปมา แล้วร่างก็ค่อยๆลอยขึ้น ลอยขึ้น บินอยู่เหนือศีรษะผม
“ทีนี้คุณเชื่อฉันหรือยัง ว่าฉันเป็นนางฟ้าจริงๆ”
“ถึงเธอจะเป็นนางฟ้าจริงๆ ยังไงก็ต้องฆ่า”
“ก็ได้ ฉันจะลงไปให้คุณฆ่า”
นางฟ้านักร้องบินลงมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“แต่ก่อนที่คุณจะฆ่าฉัน ฉันขอร้องเพลงให้คุณฟังก่อนค่ะ”
จะมามีลีลาอะไรอีก แต่ผมก็ยอมเจ้าหล่อนอีกละ จะตายอยู่แล้วยังคิดจะร้องเพลง เฮ้อ...เอ้า..ฟังก็ฟัง
เธอกำลังร้องเพลง น้ำเสียงนุ่ม กังวาน สุดแสนไพเราะทำผมเคลิบเคลิ้ม จิตใจปลอดโปร่ง ดวงตาพร่ามัวกระทั่งมืดมิดลง
ผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเสียงร้องเพลงของนางฟ้านักร้อง และตื่นขึ้นมาอีกที บนเตียงสีขาวสะอาด แถมยังมีกลิ่นหอมชวนหลงใหล
“ตื่นสักที”
น้ำเสียงหญิงสาว กล่าวทักทายผมทันทีที่เห็นว่าลืมตาขึ้น
“ผมอยู่ที่ไหน”
“สถานีบำบัดคนชั่วให้กลายเป็นคนดีค่ะ เอ้าละ ลุกขึ้น แล้วเดินตามฉันมาค่ะ”
ผมลุกขึ้นแต่ไม่โง่ เดินตามเธอไปหรอก บ้าบออะไรอีก สถานีบำบัดคนชั่วให้กลายเป็นดีเหรอ อยากจะเป็นคนดีตายแหละ เฮอะ ประกันได้เลยว่าหญิงสาวคนนี้ต้องเป็นนางฟ้าอีกแน่ๆ ก็สวยซะขนาดนี้
“เป็นนางฟ้าล่ะสิ”
“ใช่ค่ะ เธอส่งคุณมา”
เธอที่ว่านี้คงเป็นนางฟ้านักร้องนางนั่นแน่ๆ
“ผมไม่อยากเป็นคนดี ส่งผมกลับไปเดี๋ยวนี้”
“เราช่วยคุณได้นะคะ”
“ใครอยากให้ช่วย ส่งผมกลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะยิงคุณ” ผมควานหาปืนข้างสะเอว แต่มันไม่อยู่ตรงที่ควรอยู่ ให้ตายเถอะ บีบคอยัยนี่ให้ตายคามือเลยดีไหม
“ปืนวางอยู่ตรงโน่นค่ะ” เธอชี้นิ้วบอก ผมจึงเดินไปหยิบปืนที่วางอยู่บนโต๊ะไม้สีขาวข้างเตียง ยกปืนเล็งใช่นางฟ้าสาวสวยตรงหน้าทันที
“คุณยิงฉัน ฉันไม่ตายหรอก แต่คุณจะตกนรกนะคะ เราพยายามช่วยคุณอยู่ ฉันอยากให้คุณเชื่อมั่นในการทำความดี”
“เชื่อไปก็ไม่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้นไปกว่านี้หรอก ส่งผมกลับไปเดี๋ยวนี้ ผมต้องทำงานให้เสร็จ”
ผมเล็งปืนไปที่หน้าผากนางฟ้าแสนสวย สายลมเย็นโบกสะบัดอยู่เหนือศีรษะ จึงต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นปีกสีขาวระยิบยับ กำลังบินเข้ามาใกล้ และผู้ที่ลงมาจากฟ้าเบื้องบนคือนางฟ้านักร้องที่ผมต้องฆ่า
ผมเลื่อนปืนมาเล็งที่เจ้าหล่อนทันที เพราะคนนี้คือเป้าหมายเงินหนึ่งล้านบาท เธอต้องตาย แล้วผมจะได้เงินค่าจ้างอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะคะ” ทันทีที่เจ้าหล่อนลงมายืนบนพื้น จึงเอ่ยถาม
ผมมือสั่น สั่นใจ นึกอยากเปลี่ยนใจไม่ฆ่าเธอ แต่แรงขับเคลื่อนในอาชีพนักฆ่าที่ทำมายาวนาน และเงินที่ยั่วยวน ทำให้ตนต้องรับผิดชอบงานที่รับมาให้เสร็จสิ้น
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนสามนัดดังติด กระหน่ำยิงใส่นางฟ้านักร้อง ผมเห็นแววตาเศร้าหมองของเธอจ้องมาที่ผม เธอไม่ล้มลงอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดจากการถูกยิง
เกิดอะไรขึ้น หรือว่า กระสุนปืนทำอะไรเธอไม่ได้จริงๆ
“บนโลกคุณจะฆ่าฉันได้เช่นคนปกติ แต่ทว่าที่นี่กระสุนปืนมิอาจทำอะไรฉันได้”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินนางฟ้านักร้องเอ่ยออกมา ก่อนที่ไฟจากพื้นเบื้องล่างจะลุกพรึบขึ้นมาเผาร่างผม โอ๊ย... ร้อน ร้อนเหลือเกิน ปวดแสบทรมาน ผิวหนังถูกไฟไหม้หลุดลอก เลือดไหลอาบทั่วตัว
คนที่ผมเคยฆ่าล่องลอยอยู่รอบตัว ทุกคนตะโกนด่าทอ สาปแช่ง กรีดร้องด้วยความสะใจที่เห็นผมทุกข์ทรมานกับผลกรรมที่ได้กระทำ
“ยอมแล้ว ยอมแล้ว ผมอยากเป็นคนดีแล้ว โอ๊ย...ปวดแสบเหลือเกินช่วยผมด้วย”
ผมล้มตัวนั่งคุกเข่า ร้องไห้น้ำตานองหน้า อ้อนวอนขอร้องต่อนางฟ้าแสนสวย
“เราหมดหน้าที่ของเราแล้วค่ะ เราช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว”
ร่างของผมค่อยๆจมหายลงไปใต้พื้นดิน ไฟนรกเปิดทางอ้าปากรับคนชั่วอย่างผมด้วยความหิวกระหาย
.................................................
มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หากต้องฆ่าใครสักคนทั้งที่ไม่มีความแค้น ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีเรื่องบาดหมางใจกัน
แต่ฆ่าเพื่อเงิน ฟังดูแล้วคงไม่ต่างจากสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ และนั่นแหละคือตัวฉันเอง
ฉันฆ่าคนเพื่อเงิน..สำหรับฉันสิ่งนี้นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลกับคนที่เกิดมามีชีวิตเดนตายอย่างฉัน .. ฆ่า.. รับเงิน..ซ่อนตัว วัฎจักรในชีวิตฉันมีเพียงเท่านี้
คนที่ถูกฉันฆ่า บางคนฉันไม่รู้จักชื่อพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ใครจะสนละ ฉันเป็นนักฆ่าแค่มาฆ่าตามที่ได้รับว่าจ้าง รับเงินแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย..
ชีวิตวนเวียนอยู่กับกลิ่นคาวเลือด กลิ่นแห่งความตายและเสียงร้องโหยหวนร้องขอชีวิตจากเหยื่อรายแล้วรายเล่า
ฉันเล็งปืนใส่ศีรษะพวกเขาลั่นไกปืนฝังลูกตะกั่วไว้ในกะโหลกเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ส่งพวกเขาไปยมโลกอย่างสงบสุข เรียบง่าย เฉียบขาด ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ
แล้วฉันก็นั่งอยู่ตรงนั้นมองดูศพสักสี่หรือห้านาที..เลือดแดงฉานไหลออกมาจากสมองสวยงามราวกับลาวาพวยพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ
รายที่เท่าไหร่แล้วนะ ยกนิ้วขึ้นมานับจำนวนเหยื่อที่สังหารไป และมันก็หยุดอยู่ที่เลขสิบสอง ไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันอมยิ้มให้กับผลงานตัวเอง ….
สายตาเพ่งมองไปยังชายหนุ่มผมทอง ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล นอนตะแคงอยู่บนพรมสีเขียวเข้ม ลมหายใจรวยริน ดวงตาเปิดโพลงคงนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาตายง่ายดายแบบนี้ ดวงตาสีฟ้านั่นจ้องมองมาที่ฉัน
ฉันจ้องกลับด้วยแววตาเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านต่อคำสาปแช่งทางสายตา
วันนี้ฉันพลาดเป้าลูกกระสุนนัดเดียวไม่สามารถปลิดชีพพ่อหนุ่มตาสีฟ้าคนนี้ได้ ฉันเดินวนรอบห้องพักหรูของโรงแรมดังกลางเมืองภูเก็ต ถือปืนซึ่งมีกระบอบเก็บเสียงหมุนเกลียวแน่น รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เขายังไม่ตาย
แต่เอาเถอะ..ถ้าเหยื่อยังไม่อยากตายง่ายๆก็ต้องเล่นเกมกวนประสาทกับเหยื่อสักหน่อย ถือว่าเป็นกับแกล้ม
“การตายมันไม่ง่ายเลยว่าไหมโจนส์นาธาน”
ฉันพูดกับเหยื่อ มือดึงรูปถ่ายครอบครัวของเขาออกมาจากกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
รูปถ่ายใบนั้นเป็นภาพภรรยากอดแขนสามี ลูกชายอายุประมาณสี่หรือห้าขวบขี่คอพ่อ เบื้องหลังพวกเขาคือหอไอเฟลในกรุงปารีส ทั้งสามฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัสขานรับกับแสงสีเหลืองส้มรำไรยามพระอาทิตย์อัสดง
เป็นภาพที่บ่งบอกว่าเป็นครอบครัวซึ่งอบอุ่นและมีความสุขล้นปรี่จนน่าอิจฉา
ฉันเก็บรูปถ่ายไว้ที่เดิม
แล้วเดินมานั่งไขว้ห้างที่ปลายเตียง..เอียงคอเมียงมองโจนส์นาธานตะเกียกตะกายพาร่างโชกเลือดคลานขยับเขยื้อนจะไปให้ถึงประตูห้องให้ได้ ปากขยับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่าโจนส์นาธาน ไม่มีใครได้ยินเสียงคุณหรอกนะ ห้องนี้เก็บเสียงได้ดีทีเดียว คุณก็น่าจะรู้นิ”
ฉันพูดกับเขาอีกครั้ง พยายามดึงเขาให้หันกลับมาในห้อง และได้ผลโจนส์นาธานหันมาสบตาฉัน ดวงตาฉายแววหวาดกลัว อ้อนวอนขอความเมตตาและแฝงไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ริมฝีปากสั่นระริกบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรง….
ฉันเห็นภาพแบบนี้มาสิบสองครั้ง โจนส์นาธานคือครั้งที่สิบสาม..มันเริ่มชินเสียแล้วกับภาพตรงหน้าในลักษณะแบบนี้ ไม่มีอะไรทำให้ฉันเปลี่ยนใจ ไม่มีความสงสาร ไม่มีความเมตตาและเห็นใจ…
ฉันใช้ปลายกระบอบปืนลูบไล้บริเวณขาอ่อนแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงไอเย็นจากแท่งเหล็กซึ่งแทรกซึมผ่านกางเกงหนังสีดำรัดเปรี๊ยะ
ความเย็นของมันทำให้ฉันรู้เสียวซาบซ่านและตื่นตัว จึงต้องเม้นริมฝีปากก่อนจะตวัดลิ้นสีชมพูลามเลียริมฝีปากบนล่าง
“มันคืองานของฉันน่ะโจนส์นาธาน …ฆ่าคน นั่นแหละงานฉัน”
ฉันบอกเขา หวังว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำหรืออย่างน้อยเขาจะได้ลงไปบอกยมทูตได้ถูกต้องว่าเขาได้ตายยังไง
มันคงเป็นการดีถ้าฉันและเขาไม่มีอะไรข้องใจในการกระทำของอีกฝ่าย การได้พูดคุยกับเหยื่อก่อนจะกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่างถือว่าเป็นเกมอย่างหนึ่งที่เย้ายวนใจอยู่ไม่น้อย
ฉันยังคงจำเหยื่อรายแรกที่ฉันฆ่าได้เป็นอย่างดี ฉันใช้เวลาพูดคุยกับเขาค่อนข้างนาน.. ไม่สิ .. นานพอสมควรก่อนที่ฉันจะลงมือเอามีดบาดคอหอย
ฉันนั่งคร่อมอยู่หลังเขาดึงผมเพื่องัดคอให้หงายขึ้นจากพื้น
จากนั่นก็ค่อยๆบรรจงกรีดมีดทำครัวเชือดคอเขา เหมือนคนที่กำลังเชือดคอไก่ เป็นภาพที่ไม่น่าดูนักหรอก แต่ถ้าเป็นคุณ เชื่อเถอะไม่ช้าไม่นานคุณก็จะทำเหมือนฉัน …
หากคุณเคยเป็นผู้ที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากใครสักคนที่คุณรักและไว้วางใจ
“ทะ..ทำไม” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นของโจนส์นาธานเอ่ยถามฉัน
“ทำไมน่ะหรือ .. มันเป็นแบบนี้นะโจนส์นาธาน มีคนว่าจ้างฉันให้มาฆ่าคุณ พอฉันฆ่าคุณเสร็จก็ไปรับเงินอีกส่วนที่เหลือ ปิดงานฆ่า
ฉันเผ่นแน่บหายเข้ากลีบเมฆ .. พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาพบศพคุณ ตำรวจทั้งโรงพักจะยกโขยงกันมาที่นี่ สืบเสาะหาฆาตกร
หลังจากนั้นครอบครัวคุณจะจัดงานศพให้คุณอย่างสมเกียรติ จะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานศพคุณมากมาย พวกเขาจะตีหน้าเศร้าสร้อย บางคนอาจร้องห่ม
ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง ร่างไร้วิญญาณของคุณจะถูกยัดลงโลงและถูกหย่อนลงหลุมซึ่งขุดเตรียมไว้อย่างพอเหมาะพอดีกับโลงศพ
แขกเหรื่อจะพากันโยนดอกไม้และเศษดินลงหลุมศพ เดินหันหลังจากไป ชื่อของคุณจะกลายเป็นอดีต
และไม่ช้าไม่นานคุณก็เลือนหายไปจากความทรงจำของพวกเขา … จบฉากศิลปะแห่งการตาย คุณลองจินตนาการดูสิว่ามันสวยงามเพียงใด”
ฉันหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ร่างโชกเลือดกระตุกสามครั้ง ดวงตากลอกกลิ้งไปมา เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นกลางหน้าผาก เลือดแดงฉานไหลย้อยออกจากปาก
ศิลปะแห่งการตายดูท่าจะทำให้โจนส์นาธานหวาดหวั่นสั่นสะพรึงอยู่ไม่น้อย ฉันเหยียดยิ้มและขยิบตาให้เขา
“ใคร….” โจนส์นาธานกลั่นกรองคำพูดออกจากปากอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
“จุ๊ๆ” ฉันยกปลายกระบอบปืนแนบริมฝีปากแล้วเลื่อนลงมาถูคางเล่น
“คุณจะไม่มีทางรู้ว่าคนที่จ้างฉันมาฆ่าคุณเป็นใคร มันเป็นกฎน่ะโจนส์นาธาน คุณต้องเข้าใจตรงนี้ด้วยนะ”
ฉันเหยียดยิ้มอีกครั้ง การได้กุมชีวิตใครสักคนไว้ในกำมือมันช่างสนุกสนานและสร้างความจรรโลงใจอยู่ไม่น้อย หากโจนส์นาธานรู้ว่าใครจ้างฉันมาฆ่าเขา คงกระอักเลือดตายก่อนที่ฉันจะเหนี่ยวไกปืนเสียด้วยซ้ำ
“ห้าล้านบาท.. คือจำนวนเงินที่เขาจ้างฉันมาฆ่าคุณ เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยว่าไหม คุณมีค่าตัวแพงลิบเลย คุณน่าจะดีใจนะ …โอ๋ๆอย่างทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้นสิ เดี๋ยวก็จะได้ลาโลกแล้ว”
ฉันลุกขึ้นก้าวย่างเข้ามาหาเหยื่อ นั่งยองๆข้างร่างโจนส์นาธานที่สั่นเทา จ่อปลายกระบอบปืนเข้ากลางหน้าผากเขา
และลั่นไกฝังลูกตะกั่วเจาะทะลุทะลวงเข้าสมอง ร่างไร้วิญญาณนอนแน่นิ่ง ฉันยืนมองรูโว่กลางหน้าผากของเหยื่อรายที่สิบสามด้วยความรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมาน
ฉันส่งเขาไปอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ จบสิ้นงาน..ปลอดโปร่งและโล่งใจ
ฉันกระซิบข้างหูเขาแผ่วเบาและนุ่มนวลที่สุด
“คนที่จ้างฉันให้มาฆ่าคุณคือผู้หญิงในรูปถ่ายใบนั้น”
ฉันดึงผ้าห่มบนเตียงมาคลุมศพ ยืนสวดมนต์ให้เขาเล็กน้อย อันที่จริงฉันกำลังสวดมนต์ให้ตัวเองเสียมากกว่า คนตายไปแล้วจะรับรู้อะไร ….
ฉันวางโปสการ์ดแหลมพรหมเทพไว้ข้างกระเป๋าสตางค์
และเดินออกจากห้อง หลบหลีกมาทางบันไดหนีไฟและออกมาทางด้านหลังโรงแรม มันเป็นตรอกเล็กๆมืดมิดและมีกลิ่นเหม็นเน่าจากกองขยะ
ฉันดึงวิกผมสั้นสีน้ำตาลโยนลงถังขยะ เดินออกจากตรอกเน่าเหม็นวิ่งข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปอีกซอยหนึ่งก่อนจะลัดเลาะมาโผล่อีกซอย..
รูดซิปเสื้อเจ๊กเก็ตหนังซึ่งใหญ่กว่าตัวสองไซส์ ถอดมันออกแล้วโยนลงถังสังกะสีที่ชาวบ้านกำลังจุดไฟเผาเศษกระดาษเศษกิ่งไม้ ถอดคอนเทคเลนส์สีน้ำตาลทิ้งลงท่อระบายน้ำ
สาวเท้าก้าวเดินฉับๆเลียบริมฟุตปาธเพื่อรอคอยบางอย่าง และไม่ถึงห้านาทีสิ่งที่รอคอยก็มา
เด็กแว้นขับมอเตอร์ไซค์รุ่นดัดแปลงท่อไอเสีย โครงสร้างของรถมีแต่ซากเหล็กซึ่งไม่ห่อหุ้มพลาสติกเปลือกนอกเอาไว้
สวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบปิดบังใบหน้ามิดชิด ฉันมองดูอย่างไม่แน่ใจว่าจะใช่คนส่งของหรือเปล่า แต่ก็คงใช่ เด็กแว้นล่วงมือลงไปในกระเป๋าดึงถุงสีดำขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ฉัน
ฉันยื่นมือออกไปรับ เมื่อส่งของเรียบร้อยเด็กแว้นเร่งเครื่องยนต์ตะบึงรถหายเข้าไปในซอยเล็กซึ่งอยู่ถัดไป แสงไฟสลัวริมทางทำให้ฉันมองเห็นแผ่นหลังเขาไวๆและไม่นานก็ลับหายไปในความมืด
ฉันไม่รู้ว่าเด็กแว้นคนนั้นเป็นใคร เช่นเดียวกับที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ไปทำอะไรมา เด็กแว้นพวกนี้มีหน้าที่เพียงส่งของให้เหล่านักฆ่า ห้ามพูด ห้ามถามแค่มาส่งของแล้วจากไป ใครผิดกฎหากไม่ตายเป็นวิญญาณเฝ้าถนนก็กลายเป็นคนพิการแบบพูดไม่ได้ทันที
ฉันเทของบางอย่างออกจากถุงผ้า ในนั้นมีกุญแจเพียงดอกเดียว ฉันเก็บกุญแจยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโยนถุงผ้าลงคลองน้ำเน่า โบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ไปส่งที่กรีนวิลล่ารีสอร์ท
ไม่ถึงสิบนาทีฉันมายืนอยู่ทางเข้ารีสอร์ทซึ่งมีต้นลีลาวดีสี่ต้นปลูกอยู่หน้าทางเข้า ดอกสีขาวร่วงหล่นลงพื้นซีเมนต์
ฉันเดินสวนกับคู่รักต่างชาติกำลังยืนกอดจูบอยู่ในมุมมืดๆมุมหนึ่ง ซึ่งใช้ร่มเงาของต้นไม้เป็นที่กำบัง ฉันเหลือบไปมองแบบไม่สนใจก่อนจะรีบสาวก้าวเดินมุ่งหน้าเข้าไปภายในรีสอร์ท เห็นห้องพักสองสามห้องยังเปิดไปสว่างจ้า
ฉันเดินหลบหลีกแสงไฟเดินอ้อมอาคารสำนักงานที่เตรียมไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า มุ่งไปอีกทางที่ไม่ใช่จุดห้องพักของลูกค้า
แต่เป็นเส้นทางแคบๆซอยมืดมิด ตลอดทางเดินโรยด้วยกรวดหินสีขาวและมีหมากเหลืองปลูกยาวตลอดริมทางเดิน เดินมาไม่นานก็เจอบ้านไม้ชั้นเดียว หลังคาทรงปั้นหยา
หยุดอยู่หน้าประตูไม้เกาะสลัก และเคาะประตูบ้านสามครั้ง
“รหัส” น้ำเสียงห้วนๆฟังดูไม่เป็นมิตรตะโกนออกมาจากในบ้าน
“ไปตายซะ ถ้าไม่เปิดประตูภายในหนึ่งนาที”
ฉันพูดรหัสออกไป และรู้สึกอยากบีบคอชาร์ล็อตนัก ที่คิดรหัสบ้าบอแบบนี้มาให้ ส่วนเขาดันคิดว่ามันตลกขบขันดี ถ้าฉันเป็นคนพูดรหัสนี้ออกมา
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก ฉันเห็นชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ หนังศีรษะล้านเตียน หน้าตา ท่าทางเบื่อโลก เขาใส่เสื้อยืดสีแดงภาพบนเสื้อยืดคือรูปหัวกะโหลกปากคาบบุหรี่และมีหูฟังแนบอยู่ข้างหู
“เสื้อสวยดีนะ” ฉันเอ่ยชม .. เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้ม แต่ยังไม่ยิ้ม เขาเหลียวมองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปิดประตูและเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างประตู ซึ่งมีปืนไรเฟิลวางพิงอยู่ข้างเก้าอี้
ฉันเดินไปเปิดประตูห้องซึ่งอยู่ด้านหลังของหนุ่มผิวสี ในห้องนั่นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงตู้เสื้อผ้าเก่าๆมีรอยขีดข่วนจากของมีคมอยู่หลายจุด มันอยู่มุมหนึ่งของห้อง
ฉันเปิดประตูตู้เสื้อผ้า แล้วเดินเข้าไป กดปุ่มสีเขียวทางขาวมือซึ่งมีอยู่ปุ่มเดียว และระบบกลไกบ้างอย่างเริ่มทำงาน มันส่งเสียงกิ๊กและเอี๊ยดอ๊าด ….
ตู้เสื้อผ้าเริ่มเคลื่อนไหว ค่อยๆเคลื่อนตัวลงสู่พื้นเบื้องล่าง ดำดิ่งลงมาสู่ชั้นใต้ดิน หน้าจอเหนือศีรษะฉันแสดงหมายเลข 1 2 และหยุดที่เลข 3 ประตูตู้เสื้อผ้าเลื่อนเปิดออก
ฉันก้าวออกมา ได้กลิ่นเหม็นไหม้อะไรสักอย่าง เดินตรงไปยังแผงกั้นกรงเหล็กและมีกระจกใสกันกระสุนกั้นอีกชั้นหนึ่ง
ภายในนั้นเป็นห้องเล็กๆซึ่งมีตู้ล็อกเกอร์เหล็กเจ็ดตู้ถูกฝังติดไว้กับผนัง ฉันมองดูชายแก่ผมหงอกขาวทั้งหัวกำลังก้มๆเงยๆ หยิบจับอะไรบางอย่างบนพื้น
“ทำอะไรอยู่น่ะ ชาล์ล็อต” เอ่ยถามผ่านช่องเล็กๆของซี่กรงเหล็กซึ่งเปิดไว้สำหรับแลกเปลี่ยนสิ่งของระหว่างคนภายในห้องกับคนที่อยู่ด้านนอก
“จัดการกับหนูที่เข้ามาพันสายไฟเสียหน่อย ดูสิมันทำไฟฟ้าลัดวงจรไปหมด หนูน้อยไม่ไร้เดียงสาถูกเผาทั้งเป็น”
ชาล์ล็อตจับหางหูแล้วยกชูร่างไหม้เกรียมของมันขึ้นมาให้ฉันดู ก่อนจะโยนมันลงถังขยะ
“น่าจะหาอะไรมาดักหนูไว้บ้างนะชาล์ล็อต”
“ลองแล้ว แต่หนูพวกนี้มันฉลาดไม่ยอมเข้ามากินอาหารที่ใส่ไว้ในกรงกับดักเลย แล้วนี้ก็ออกลูกหลานมาเต็ม เมื่อวานว่าฉันเพิ่งเผาลูกหนูไปหกตัวละ”
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ชาล์ล็อตเงยหน้ามองฉัน
“เรียบร้อย” ฉันยื่นกุญแจผ่านเข้าไปในช่องเล็กๆวางไว้บนเคาน์เตอร์ด้านหน้า
ชาล์ล็อตยื่นมือมาหยิบกุญแจ และเดินเชื่องช้าไปยังตู้ล็อคเกอร์ด้านหลัง เขาเสียบกุญแจที่ล็อคเกอร์หมายเลขสามบิดลูกกุญแจหนึ่งทีประตูล็อคเกอร์ถูกเปิดออก
เขาดึงถือกระเป๋าสีดำใบเล็กออกมาแล้วเดินกลับมาที่เดิม ดันกระเป๋าใบนั้นผ่านช่องเล็กมาให้ฉัน ฉันเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจดูเงินส่วนที่เหลือซึ่งลูกค้าจะเป็นผู้ส่งเงินผ่านผู้รับ
ผู้รับจะนำเงินส่วนนั้นมาใส่ไว้ในล็อคเกอร์และกุญแจเปิดล็อคเกอร์จะมีเพียงดอกเดียว ทันทีที่ฉันทำงานสำเร็จ จะได้รับกุญแจจากเด็กส่งของ จากนั้นจะได้รับข้อความทางโทรศัพท์ให้ไปรับเงิน ณ จุดที่ผู้จ่ายเงินได้นำเงินมาฝากไว้
ล็อคเกอร์เจ็ดตู้นั่นหมายถึงยังมีนักฆ่าอีกหกคนกำลังปฏิบัติงานอยู่ หรือบางคนอาจจะมารับเงินแล้วเผ่นแน่บหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ฉันเคยมารับเงินที่นี่สองครั้งและนี่คือครั้งที่สามและคงจะเป็นครั้งสุดท้าย
ฉันดึงเงินปึกหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้ชาล์ล็อต นั่นคือค่าตอบแทนสำหรับคนเฝ้าเงิน เขารับเงินไปโดยไม่นับ ยัดใส่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเก้าอี้
“ล็อคจอร์ รับงานที่นี่ด้วย อีกไม่นานคงมารับเงิน ถ้าเธออยากพบเขาก็อยู่รอที่นี่ได้นะ” ชาล์ล็อตพูดขึ้น
ล็อคจอร์คือนักฆ่าที่ฉันเคยช่วยชีวิตไว้ครั้งหนึ่ง ขณะปฏิบัติงานเขาถูกเหยื่อยิงสวนกลับมา จนเกือบเอาตัวเองไม่รอด
ในฐานะที่ทำอาชีพเดียวกัน ฉันทนดูไม่ได้จึงจัดการเหยื่อรายนั้นให้ล็อคจอร์ และเขายินดีมอบเงินค่าจ้างทั้งหมดให้ฉัน และไอ้หมอนี้ก็ดันยกย่องฉันให้กลายเป็นผู้มีพระคุณต่อตน เจอกันทีไรแทบจะวิ่งมากราบเท้าฉัน เฮ้อ... พวกนักฆ่ามือใหม่ก็เป็นแบบนี้ละ มักจะทำงานพลาดอยู่เสมอ
“ไม่ละ ฉันขอตัว”
….
ฉันขึ้นมานั่งในรถบีเอ็มดับเบิลยูฝั่งคนขับ โยนกระเป๋าเงินจำนวนห้าล้านบาทไปไว้ที่เบาะฝั่งตรงข้าม
ฉันหันไปยิ้มให้เงินจำนวนนั้น ก่อนจะเหยียบคันเร่งตะบึงรถบีเอ็มเบิลยูออกสู่ถนนเส้นใหญ่ยามราตรีของเมืองภูเก็ตซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ทุกคนออกมาเที่ยวสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้จนเมามาย แสงสีจากผับบาร์ส่องประกายยั่วยวนนักท่องราตรีได้อยู่เสมอ กว่าจะรู้ว่ามีคนตายอยู่ในโรงแรมก็คงเช้าโน่นแหละ ถึงเวลานั้นฉันก็หอบเงินไปเที่ยวต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว…..
จบ
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
Post a Comment