รอยต่อ...เบญจเพส


      เบญจเพส เป็นความเชื่อของไทย ตามความเชื่อของคนโบราณถือว่าเป็นวัยเบญจเพสในอายุครบ 25 ปี นั้นทำไมถึงเสี่ยงต่อการพบเจอเรื่องร้ายๆ บางรายพบเจอเรื่องอันตรายถึงชีวิต เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คุณลอยชาย เจ้าชายนักเล่าแห่งพันทิปเรื่อง "รอยต่อ...เบญจเพส" ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเบญจเพส ดังกล่าวลองไปติดตามกันเลย

     เบญจเพส สะกดด้วย ส ไม่ใช่ ศ เรียกว่าคงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินคำคำนี้แต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของความหมายและความเข้าใจ ตามคติความเชื่อของพราหมณ์ที่ผสมปนเปมาในความเชื่อแบบไทยๆมีอยู่ว่า ช่วงอายุ 25 ปี นั้นคือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ดีสุด หรือ ร้ายสุด สามารถเกิดขึ้นได้ซึ่งส่วนมากแล้วมักจะ ร้าย บางคนบาดเจ็บเล็กน้อยของหายไปจนถึงเสียชีวิต แต่ก็ไม่น้อยเช่นกันที่ชีวิตกลับพลิกผัน ยากจนเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคือ
          จริงๆแล้วมันไม่ได้จำกัดด้วยซ้ำว่าจะต้องเป็นช่วงอายุ 25 ปี เป๊ะๆ บางคนก็หวาดวิตกฉันจะ 25 แล้วกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรวิ่งเข้าวัดหาร่างทรงหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาพ้นภัย บ้างก็หลงระเริงดีใจว่า ฉันพ้น 25 มาแล้วปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท บ้างก็ว่าเหลวไหลไม่เป็นความจริง ฉันไม่เห็นจะเจออะไร ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นเรื่องของ บุญกรรม ประกอบกับสติและความประมาททั้งนั้น
          ชีวิตของคนเราจะมีช่วงหนึ่งที่กราฟจะตกลงถึงจุดต่ำสุดของชีวิต ต่ำจนเราอาจคิดว่าชีวิตนี้ช่างยากเย็นทุกอย่างพังไม่เป็นท่าความพยายามไร้ความหมายความดีไม่ช่วยอะไร และวันนึ่งมันจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรืออาจดีกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเวลาและการกระทำเท่านั้น
          เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ยกตัวอย่างคำว่า เบญจเพส ได้อย่างชัดเจนในหลายๆความหมายและมันคงไม่ใช่แค่ความซวยโดยทั่วๆไปอย่างแน่นอน ก่อนจะที่ทุกคนจะเริ่มอ่านเรื่องของผมขอเตือนไว้ก่อนว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลท่านอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ได้ สุดแล้วแต่วิจารณญาณเท่านั้น หากเรื่องนี้ไม่ตรงใจท่านก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครจะมายืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงนอกจาก ผม และ ผู้ร่วมเหตุการณ์ในเรื่องนี้เท่านั้น
........................................................................................

          การพบเจอกันโดยบังเอิญเกิดขึ้นได้ง่ายๆโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับครั้งนั้นที่ผมได้พบกับ พี่นนท์ พี่ชายคนหนึ่งที่เราเคยรู้จักและคลุกคลีกันมาในช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงก่อนที่ผมจะเข้า ม.ปลาย ด้วยเหตุการณ์หลายๆอย่างทำให้พวกเราไมได้เจอกันมาสักพักใหญ่ๆ ตอนนั้นตัวผมเองยังไม่ได้มี facebook กับ line ยิ่งทำให้เราแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย
           วันนั้นผมเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกรุงเทพเพราะกำลังจะไปเจอเพื่อนที่นัดเอาไว้ในช่วงเย็นๆ ผมเลือกที่จะมาถึงสถานที่นัดก่อนเวลาหลายชั่วโมงเพราะอยากจะเดินเล่นหาซื้อของอย่างที่ต้องการเสียก่อน
         ตอนที่ผมเพิ่งก้าวลงขากบีทีเอสโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก ผมก็ได้ยินเสียงคนเรียกแว่วๆแต่ไม่ชัดเพราะใส่หูฟังอยู่ ‘น้องๆ’ เขาไม่ได้เรียกชื่อผมอาจเพราะยังไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเอง ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเมื่อถูกมือคู่นั้นจับเอาไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง
         ผมจำพี่นนท์ไม่ได้ในทันทีได้แต่ยืนมองอย่าง งงๆด้วยความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนจะเคยรู้จักคนตรงหน้า พี่เขายืนหอบคงเพราะวิ่งสวนฝูงคนขึ้นมาในตอนที่เห็นผม พี่เขาเรียกชื่อผมแล้วทักทายอย่างดีใจน้ำเสียงของเขาทำให้ผมนึกออกแล้วว่าคนที่เข้ามาทักผมคนนี้คือคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
         ผมดีใจไม่แพ้พี่นนท์ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงเวลานี้พี่นนท์บอกว่าหน้าตาของผมไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่มองผ่านแค่แวบเดียวก็จำได้ในทันที อีกเหตุผลที่ทำให้ผมจำเขาไม่ได้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่พบหน้าไม่ใช่เพราะเราไม่ได้เจอกันนานหรือหน้าตาที่เปลี่ยนไป แต่เป็นร่างกายที่ซูบผอมลงมากกว่าเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน
         แม้ว่าผมจะดีใจที่ได้พบกับพี่ชายคนนี้แต่ก็ไม่สามารถจะเก็บความประหลาดใจที่เผลอแสดงออกมาอย่างลืมตัวไว้ไม่ได้ พี่นนท์ยิ้มเจื่อนๆเหมือนจะรู้ทันความคิดของผม เขาชวนผมไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหารใกล้ๆด้วยความสนิทคุ้นเคยที่ดูจะไม่น้อยลงไปเลยแม้ว่าจะผ่านมาหลายปี
         เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องราวสมัยเด็กๆที่มีแต่ความสุขถามถึงเพื่อนๆในวันเวลานั้นๆ แม้ว่าบทสนทนาจะสดใสแค่ไหนแต่ใบหน้าที่ซูบซีดหมองคล้ำของคนตรงหน้ายังทำให้ผมอดรู้สึกหวิวอยู่ลึกๆไม่ได้
         จากคนที่เคยมีรูปร่างล่ำสันออกท้วมนิดๆแต่ไม่ถึงกับอ้วน โครงร่างที่ใหญ่อยู่แล้วยิ่งทำให้เขาดูตัวใหญ่มากกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกันอยู่เสมอๆ วันนี้เขาซูบซีผอมเกือบจะแห้งไม่ถึงกับหนังติดกระดูกแต่ถ้าใครผ่านมาเห็นก็คงจะต้องเหลียวมองเป็นแน่ โครงร่างใหญ่ๆของเขาที่เคยทำให้เขาดูแข็งแรงตอนนี้ยิ่งทำให้เขาดูเก้งก้างไม่สมส่วน
         พี่นนท์เป็นคนผิวขาวตามแบบฉบับของลูกครึ่งไทยจีนแต่ใบหน้าที่ผมเห็นในวันนั้นดูหมองคล้ำไร้ราศี ถ้าใครเคยเห็นก็คงพอจะนึกออกว่า คนที่หน้าหมอง แม้ว่าเขาจะมีผิวที่ขาวแค่ไหนมันก็จะดูไม่สดใสเอาเสียเลย
‘เออ เรายังเห็นผีอยู่รึเปล่า’
         อยู่ดีๆพี่เขาก็ตัดบทขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ ถ้าเป็นเพื่อนรอบๆตัวที่รู้จักกันมานานจะพอรู้อยู่แล้วถึงความไม่ปกติของผม ผมตอบติดตลกไปเหมือนทุกทีเพราะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเครียดๆ ผมตอบรับกับคำถามนั้นพี่เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่จนผมไม่กล้าจะตลกต่อ
‘เห็นใครตามพี่ไหม’
‘หมายความว่าไงพี่นนท์’
         คำถามที่ไม่คิดว่าจะเจอทำให้ผมประหลาดใจ พี่นนท์เล่าให้ฟังว่าช่วงนี้เขาฝันถึงใครคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ ในฝันนั้นเลือนรางไม่เป็นรูปเป็นร่างมากแต่ก็ชัดเจนว่ามีใครบางคนมากวนเขาตลอดเวลาพักผ่อนยามค่ำคืนเสมอๆ
           เรื่องบังเอิญอีกเรื่องที่นึกย้อนไปก็รู้สึกขำ แม้ว่าพี่นนท์จะรู้อยู่แล้วว่าผมเห็นอะไรพวกนี้แต่ด้วยระยะห่างที่มากขึ้นก็ทำให้เราไม่ได้คุยกันมากพอที่เขาจะรู้ว่าชีวิตของผมเกิดอะไรและผ่านอะไรมาบ้าง จนเขาหลุดปากถามผมออกมา ‘พี่เคยอ่านพันทิปของคนคนนึง อยู่พิษณุโลกด้วยนะ ชื่อลอยชาย เราเคยอ่านป่าว’
‘อ่านดิพี่ พี่อ่านมานานยัง’ ผมตอบไปขำๆตามนิสัยส่วนตัว
‘ว่างก็เข้าไปอ่าน แต่ยังอ่านไม่ครบเลยชีวิตพี่วุ่นๆช่วงหลังๆมานี้’
          พี่นนท์บอกว่าเสียดายที่ไม่ได้กลับไปที่พิษณุโลกมาพักใหญ่แล้วไม่อย่างนั้นก็คงจะลองติดต่อไปปรึกษาปัญหาดูบ้าง รวมถึงอยากชวนผมไปด้วยเพราะเมื่อก่อนการเห็นของผมค่อนข้างจะเป็นปัญหาและทำให้ผมไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตมากเท่าไหร่ เผื่อผมเองจะได้คำแนะนำอะไรกลับมาบ้างสักอย่างสองอย่าง
          ผมไม่ได้ปล่อยไว้อย่างนั้นนานผมก็เลยบอกไปตามตรงเลยว่า ‘เออพี่ นั่นผมเองแหละ’ พี่เขาอึ้งไปทันทีเพราะคงไม่คิดจริงๆว่ามันจะใกล้ตัวมากขนาดนี้และคงไม่คิดว่าเด็กน้อยที่เคยวิ่งตามพี่เขาในวันนั้นจะกลายมาเป็นอะไรแบบนี้ บางครั้งผมก็คิดจริงๆว่าความบังเอิญ มันก็บังเอิญเสียจนไม่น่าใช่ความบังเอิญ
          หลังจากเราปรับความเข้าใจตรงกันแล้วพี่นนท์ก็ขอที่จะถามและปรึกษาความสงสัยที่มีในใจกับผม อีกอย่างคือผมก็เริ่มที่จะรู้สึกได้บ้างแล้วว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้จริงๆ
          พี่นนท์ใช้เวลานิดหนึ่งเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจุดเริ่มต้นของมันจริงๆมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากเราสองคนปล่อยให้บทสนทนามีแต่ความเงียบอยู่ราวๆสิบนาทีพี่นนท์ก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง
          เรื่องราวทั้งหมดนั้นน่าจะเริ่มมาจากเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งในวันเกิดครบรอบ 24 ปีของเขาเอง วันนั้นเป็นวันที่ดีวันหนึ่งเพื่อนๆในบริษัทที่พี่นนท์เพิ่งเข้าทำงานได้เกือบครึ่งปีจัดงานวันเกิดเล็กๆให้ในช่วงบ่ายของวัน แวดล้อมทุกคนในที่ทำงานนั้นเป็นสังคมที่น่าอิจฉาสำหรับพนักงานบริษัท
          ทุกคนเข้ามาอวยพรพร้อมของขวัญเล็กๆน้อยๆ ในสมัยนี้คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้วันเกิดของใครสักคนหนึ่งแม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่กันมากมายสักเท่าไหร่
‘นนท์ๆ ปีนี้เท่าไหร่แล้ว’
’24 ครับ พี่อ้อม’
‘อุ๊ย จะเบญจเพสแล้วสิ ดูแลตัวเองด้วยนะอันตรายๆ’
          ประโยคไม่กี่ประโยคสร้างความครึกครื้นในให้วงสนทนามีชีวิตชีวามากกว่าปกติ พี่นนท์มีความเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วตัวเองก็คิดเอาไว้บ้างแล้วว่าช่วงวันเกิดอายุ 24 25 จะต้องหาโอกาสไปทำบุญสะเดาะเคราะห์หรือสร้างบุญใหญ่สักครั้งเพราะกลัวเรื่องของเบญจเพสเหมือนกับคนทั่วๆไป
          พี่อ้อม รุ่นพี่ในบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็นกูรูด้านหมอดูก็ได้เวลาแสดงฝีมือร่ายยาวรายชื่อหมอดูชื่อดังและไม่มีชื่อแต่เป็นที่รู้กันว่าแม่นขนาดไหน หัวข้อการสนทนาในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทุกๆคนรวมถึงตัวพี่นนท์เอง การไปตรวจดวงชะตารับรู้เรื่องราวไว้ล่วงหน้ามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายสักเท่าไหร่สำหรับช่วงสำคัญของชีวิต
          ทุกคนไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์วันเกิดของพี่นนท์น่าจะประมาณวันพุธหรือพฤหัสแล้วพวกเขาก็นัดกันไปดูดวงในวันเสาร์ของสัปดาห์เดียวกันทันที
          สถานที่ดูดวงนั้นเป็นลานกว้างๆของที่ไหนสักที่พี่นนท์อธิบายให้ผมฟังอย่าง งงๆ อาจเพราะไม่ชินเส้นทางจำได้แค่ว่าเป็นเขตจังหวัดนครปฐม ที่ตรงนั้นมีทั้งร้านค้าและโต๊ะพับหลายตัวตั้งวางอยู่ตามใต้ต้นไม้เพื่อหลบแสงแดดในช่วงกลางวัน เมื่อมองดูดีๆจะเห็นว่าเกือบทั้งหมดนั้นเป็นป้ายฟิวเจอร์บอร์ดเขียนด้วยลายมือง่ายๆว่า รับดูดวง
          ถ้าใครที่เพิ่งมาครั้งแรกคงจะต้องยืนคิดอยู่สักพักหนึ่งว่าจะเลือกเดินเข้าไปหาเจ้าไหนดีที่จะไม่ทำให้รู้สึกว่าเสียเงินเปล่า แต่ไม่ใช่สำหรับพี่อ้อมที่ชำนาญทางตั้งแต่ขับรถมาจนถึงตอนเรื่องร้าน พี่คนโตของแผนกพาเดินตรงผ่านร้านค้าไปยังด้านหลังที่มีรถยนต์จอดอยู่หลายคันจนพอจะเข้าใจได้ว่าที่ตรงนี้เป็นลานจอดรถแต่ว่าต้องเสียค่าจอด เลยเลือกที่จะจอดไกลออกไปสักหน่อยแล้วเดินเอา
           ที่ด้านในของลานจอดรถมีตึกเล็กๆก่อด้วยปูนมีช่องกระจกสีดำเล็กๆน่าจะเป็นที่พักของคนเฝ้ารถแต่ที่น่าสนใจคือที่จอดรถช่องหนึ่งติดกับป้อมยามนั้นมีเต็นท์ผ้าใบเก่าๆกางอยู่แบบกึ่งถาวรข้างหน้าเต็นท์นั้นมีเก้าอี้พลาสติกหลายตัววางเกะกะและทั้งหมดนั้นมีคนนั่งอยู่เต็มอัตรา อีกทั้งรอบข้างยังมีคนยืนเล่นโทรศัพท์รออีกหลายคน
          พี่นนท์เห็นอย่างนั้นก็นึกในใจว่าคงจะมาเสียเที่ยวแล้ว แต่พี่อ้อมกลับเดินตรงเข้าไปตรงป้อมยามเคาะกระจกสีดำเล็กๆเรียกคนข้างในออกมาคุยด้วย
‘มาจอดรถหรือมาดูดวงครับ’ ลุงยามอายุมากแง้มกระจกบานเลื่อนออกมาคุย
‘ดูดวงค่ะลุง วันนี้ทันไหมคะ’ พี่อ้อมถาม
‘น่าจะทันนะดูทั้งหมดเลยใช่ไหม’ ลุงชะโงกหน้ามานับจำนวนคนพร้อมเปิดสมุดที่วางอยู่ดู
‘ค่ะ ทั้งหมดสามคนเลยค่ะ’
          โชคดีที่วันนั้นไปตั้งแต่หัววันทำให้ได้คิวดูดวงในช่วงเกือบจะเย็นๆเพราะจำนวนคนที่ค่อนข้างมาก ระหว่างรอทั้งสามคนมีพี่นนท์พี่อ้อมและน้องใหม่อีกคนที่มาด้วยกันไปเดินหาอะไรกินกันที่ตลาดใกล้ๆเพื่อฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงเวลาที่นัดกันไว้กับลุงยาม
          พอใกล้เวลาทุกคนจะต้องมายืนรอที่ด้านหน้าเต็นท์ที่เดิมโดยตอนนี้คนเบาบางลงมากแล้วไม่แน่ว่าพวกพี่เขาอาจจะเป็นคิวสุดท้ายของวัน ไม่นานนักก็ได้เวลา ทั้งสามคนเลือกที่จะเข้าไปพร้อมๆกันเพราะไม่ได้มีเรื่องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากนัก จริงๆแล้วก็คือความอยากรู้นั่นเอง ส่วนพี่นนท์ก็อยากให้พี่อ้อมที่เป็นกูรูด้านนี้มาช่วยถามช่วยซักด้วยเช่นกัน
           ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดียกเว้นของพี่นนท์เพียงคนเดียวที่ถูกทักว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงเบญจเพส และมันจะเป็นช่วงที่หนักที่สุดของชีวิต ไม่ใช่เรื่องงานหรือเงิน แต่มันรวมไปถึงความปลอดภัยในชีวิตที่มีแนวโน้มว่ามันจะเลวร้ายจนอาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
          พี่นนท์เองเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้วว่าคงจะมีเรื่องการทักทายทำนองนี้ด้วยช่วงของอายุแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ คำว่าชะตาขาดหรือถึงขาดเป็นคำที่ฟังดูมีน้ำหนักถ่วงอยู่ในใจอย่างประหลาดอีกทั้งประโยคที่ตัวเขาเองก็ยังไมเข้าใจมันมากนักกระนั้นมันก็ฝังรากลึกลงในจิตใจของพี่นนท์อย่างแน่นหนา
‘เจ้ากรรมเขามารอแล้ว ทำบุญเยอะๆนะในตอนที่ยังมีโอกาส’

เมื่อทั้งสามคนได้ยินดังนั้นก็รีบถามถึงวิธีแก้ไขแต่กลายเป็นว่าหมอดูคนนี้ไม่แนะนำใดๆทั้งสิ้นได้แต่บอกว่า ให้หมั่นสะสมบุญ บุญเท่านั้นที่จะช่วยได้ ตัวหมอดูเองก็เกินมือที่จะยื่นเข้าไปด้วยตัวเอง คำตอบนั้นมีทั้งความรู้สึกดีและไม่พอใจ พี่นนท์บอกกับผมว่าเขาฟังดูดีมากเพราะไม่เรียกเงินไม่สะเดาะเคราะห์อะไร แต่ในเมื่อทักมาเลวร้ายขนาดนี้กลับไม่ยอมช่วยไม่ยอมเปิดทางให้กันเลย พี่นนท์เลยไม่รู้ว่าควรจะศรัทธาหรือหงุดหงิดดี
         ในเมื่อถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมอดูก็ยังยืนยันคำตอบเดิม พี่อ้อมจึงชวนให้ทุกคนกลับกันก่อนในวันนั้นแล้วค่อยไปคุยกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อไป พี่นนท์ลุกขึ้นอย่างอารมณ์เสียก่อนจะหันหลังกลับออกไปหมอดูก็เรียกให้หยุดรอพร้อมกับยื่นเงินค่าครูคืนให้กับพี่นนท์เต็มจำนวน
‘ฉันขอไม่รับเงินก้อนนี้ เธอเก็บไว้เถอะ ถือเสียว่าฉันฝากเธอทำบุญก็แล้วกัน’
         พี่นนท์อึ้งกับสิ่งที่ตนได้พบเจอ นี่เป็นครั้งแรกและคาดว่าคงจะเป็นครั้งเดียวที่หมอดูมีชื่อคืนเงินให้กับลูกค้าหลังจากสามารถทักทายอดีตและปัจจุบันได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง แม้จะสร้างความไม่พอใจให้เขาอยู่บ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอดูคนนี้ทั้งแม่นและมีทัศนคติที่ต่างไปจากหมอดูทั่วๆไปอย่างมาก
        พี่อ้อมกับน้องใหม่ในแผนกพยายามปลอบใจพี่นนท์เพื่อไม่ให้เขาคิดมากแต่มันก็ดูจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่เขารู้ตัวเองดีเลยว่าตอนนี้เขาค่อนข้างจิตตกกับคำทำนายนั้นพอสมควร พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็เดินมาจนถึงรถที่จอดไว้ที่เดิมขับออกมาทางถนนข้างๆกับลานจอดรถนั้น ก่อนจะตัดออกไปที่ถนนใหญ่จะต้องผ่านลานจอดรถเดิมอีกครั้ง
         พอเข้าไปใกล้พี่นนท์หันมองไปยังเต็นท์ผ้าใบเก่าๆนั้นอีกครั้งเหมือนต้องการจะหาคำตอบอะไรให้ตัวเองสักอย่าง แต่สิ่งที่เห็นนั้นก็น่าประหลาดใจอยู่พอสมควร ลุงยามที่ได้พบหน้าเพียงชั่วครู่ตอนจองคิวมายืนอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าลานจอดรถอีกฝั่งที่ไม่ใช่ทางที่พวกพี่นนท์เข้าไปจอด
         ลุงยืนชิดริมถนนโบกไม้โบกมือเรียกให้รถของพี่อ้อมจอด เมื่อรถเทียบท่าเข้าข้างทางพี่อ้อมก็เปิดกระจกฝั่งคนนั่งเพื่อจะถามว่าลุงมีธุระอะไรหรือเปล่า แต่ลุงกลับไม่ได้สนใจน้องใหม่ที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ ลุงเดินเลยมาที่ด้านโดยสาของรถแล้วใช้นิ้วเคาะกระจกตรงที่พี่นนท์นั่งอยู่อย่างเจาะจง
         พี่นนท์กดลดกระจกลงอย่างกล้าๆกลัวๆ ลุงยื่นหน้าเข้ามาใกล้กระจกแต่รักษาระยะห่างไว้ประมาหนึ่งอย่างคนมีมารยาท ลุงมองหน้าเขานิ่งๆครู่หนึ่งจึงค่อยถ่ายทอดข้อความที่ได้รับฝากมา ‘ป้าเขาฝากมาบอกว่า อย่าไปเข้าใกล้ที่อัปมงคลหรืองานอวมงคลจนกว่าจะพ้นวันเกิดปีหน้าไปแล้ว’
         เพียงประโยคเดียวลุงก็หันหลังกลับไปไม่รอแม้แต่คำขอบคุณของคนฟัง ทั้งสามนั่งรถออกไปจากที่ตรงนั้นเงียบๆ จนในที่สุดน้องเล็กในรถคันนั้นก็ทำลายความเงียบด้วยประโยคที่ทำให้รถเงียบลงกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
‘ลุงเขารู้ได้ไงว่ารถพี่อ้อมคันไหน เราไม่ได้ไปจอดในลานของเขานี่’

         เย็นวันนั้นพี่นนท์เข้าที่พักที่เป็นคอนโดย่านลาดพร้าว ด้วยหน้าที่การงานที่ตัวเองทำนั้นค่อนข้างดีทำให้เขามีเงินมากพอที่จะผ่อนคอนโดได้สบายๆ อีกอย่างคือที่บ้านต่างจังหวัดนั้นมีสวนผลไม้ทำให้ไม่ต้องส่งเงินกลับไปที่บ้านมากนักเรียกได้ว่ารายได้ของพ่อกับแม่ที่ทำสวนอยู่บ้านน่าจะมากกว่าเงินเดินของพนักงานบริษัทอย่างเขาเสียอีก
ตี๊ด...
         เสียงคีย์การ์ดหน้าทางเข้าคอนโดส่งเสียงบอกให้รู้ว่ามีคนเดินตามหลังพี่นนท์เข้ามาหลังจากที่เขาปล่อยให้ประตูมันกลับไปปิดตามเดิมแล้ว ด้วยความเหนื่อยล้าและไม่สบายใจพี่นนท์จึงคิดที่จะเดินขึ้นห้องอย่างช้าๆไม่เร่งรีบเลยเบี่ยงตัวหลบเข้าข้างทางเดินเพื่อให้คนที่เข้ามาทีหลังได้เดินผ่านไปเลยหากกำลังรีบ
         เขาก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เหมือนอย่างปกติพร้อมกับที่ยังคงเอียงตัวพิงผนังด้านหนึ่งไว้เพื่อเปิดทางให้เพื่อนบ้าน แต่พอรู้สึกตัวก็คิดได้ว่ามันนานเกินไปสำหรับใครบางคนที่จะเดินผ่านเขาไป ทำไมไม่มีผ่านไปเสียที ด้วยความเคยชินจึงเงยหน้าหันกลับไปมองยังประตูทางเข้าของคอนโดที่ตอนนี้ปิดสนิทและมีแต่ความว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาของคนที่ตนเพิ่งคิดว่าเดินตามเขามา
         พี่นนท์มองซ้ายมองขวาเผื่อว่าเขาจะพบใครสักคนในเวลานี้ อย่างน้อยก็รองเท้า ประตู หรืออะไรก็ได้ที่จะบอกกับเขาว่ามีคนเดินตามเขาเข้ามาจริงๆ แต่ก็เปล่าเลยไม่มีร่องรอยใดๆยืนยันกับความคิดของเขาได้เลยสักนิด ประตูห้องอื่นๆยังคงปิดสนิท และตัวเขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องของใครแม้แต่น้อย
         คอนโดที่เคยน่าอยู่ตอนนี้มันดูวังเวงชอบกล เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหนักขึ้นด้วยความกระวนกระวายจนมาถึงหน้าลิฟต์ที่อยู่ตรงกลางทางเดิน แม้เขาจะรู้ดีว่าการกดปุ่มลิฟต์ซ้ำๆจะไม่ช่วยให้มันเปิดเร็วขึ้นแต่ความกังวลในใจที่มีมากกว่าทำให้เขากดย้ำอยู่หลายครั้ง
         ลิฟต์เปิดออกต้อนรับเขา แสงไฟในลิฟต์กระพริบวูบวาบเปิดขึ้นทันทีที่ประตูเปิดเหมือนกับเป็นระบบประหยัดไฟในเวลาที่ลิฟต์ไม่ถูกใช้งานเป็นเวลาประมาณหนึ่ง
         ลิฟต์เคลื่อนตัวสูงขึ้นไปจนถึงชั้น 6 ที่พี่นนท์อาศัยอยู่ บรรยากาศที่เคยคุ้นกลับไม่ดูไม่ชินอย่างประหลาด เมื่อคว้ากลอนหน้าประตูห้องได้ก็รีบใช้กุญแจไขเปิดอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูห้องปิดลงสถานที่พักผ่อนที่เขาจะทิ้งเรืองราวทุกอย่างในชีวิตไว้ได้ปรากฏขึ้น เขาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ทุ่มเอาความอ่อนล้าความไม่สบายใจที่มีไว้บนนั้น
         เขาเผลอหลับไปในแทบจะทันทีด้วยความเหนื่อยล้า จนมารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งในช่วงประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ พี่นนท์รู้สึกดีขึ้นมากแล้วจะลุกไปอาบน้ำคิดว่าจะกลับมานอนดูหนังให้สบายใจแล้วจะปิดฉากวันอันแสนประหลาดนี้ลงในไม่ช้า
         น้ำเย็นๆจากฝักบัวรดผ่านร่างกายจนรู้สึกสบายตัวขึ้นไปอีกระดับ ระหว่างที่เขากำลังสระผมหูก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในห้องน้ำ ติ๊ง...
         เสียงไมโครเวฟส่งสัญญาณเตือนครบเวลาทั้งที่เขาไม่ได้เข้าไปใช้งานมันเลยแม้แต่น้อย พี่นนท์ยืนตัวแข็งอยู่ในห้องน้ำกับความกลัวที่ตอนนี้ก่อตัวหนาแน่นขึ้นจนแทบจะทะลักออกมาจากหน้าอกของเขาได้ตลอดเวลา

หลังจากยืนสงบสติอารมณ์สักพักหนึ่งเขาก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำมาเพื่อไปดูให้เห็นกับตาถึงที่มาของเสียงนั้น ไมโครเวฟที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานวางอยู่บนชั้นไม้ทำครัวใกล้กับตู้เย็นตามปกติ ผ้าที่เอาคลุมไว้ยังอยู่กับที่ เขาเปิดไมโครเวฟออกดูก็ไม่พบว่าข้างในนั้นมีอะไรวางอยู่ ลองเอามือเข้าไปอังดูข้างในก็ไม่รู้สึกร้อน
สงสัยจะหูฝาด...
         พี่นนท์บอกกับตัวเองอย่างนั้นก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงตามความตั้งใจในตอนแรก เขาเปิดทีวีไล่หารายการที่อยากดูแล้วนอนอยู่อย่างนั้นได้อีกพักใหญ่ๆ ติ๊ง...
         เสียงสัญญาณไมโครเวฟดังขึ้นอีกครั้งโดนที่คราวนี้เขามั่นใจมากว่ามันดังมาจากในครัวของเขาเอง เขาไม่ได้หูฝาดและมันก็ไม่ได้มาจากห้องข้างๆอย่างแน่นอน ถ้าเมื่อเย็นไม่ได้ไปดูดวงมาแล้วมันแย่ขนาดนั้นเขาคงจะลุกออกไปดูให้แน่ใจอีกครั้งแต่ไม่ใช่สำหรับคืนนี้ พี่นนท์เร่งเสียงทีวีให้ดังขึ้นอีกแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวข่มตาตัวเองให้หลับโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก
         เช้าวันถัดมายังเป็นวันหยุดของพี่นนท์ เขาตื่นมาด้วยความสดชื่นสบายตัวทำให้อารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยคิดว่าจะตื่นมาทำอาหารง่ายๆเป็นกิจกรรมยามว่างไว้ใช้คลายเครียดส่วนตัวของเขา เมนูที่คิดจะทำก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเอาของเหลือๆในตู้เย็นมากองรวมๆกันเพื่อไม่ให้มันเน่าคาตู้เย็นไปอย่างไร้ประโยชน์
เพล้ง!
         อยู่ดีๆจานทีวางอยู่ในชั้นวางของเหนือเตาไฟฟ้าก็ร่วงลงมาอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จานเซรามิกอย่างที่เขาชอบแตกกระจายกระเด็นมาปักที่หลังเท้าของเขาเข้าอย่างจัง จนเจ้าตัวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นแต่บาดแผลมันเจ็บเกินกว่าที่เขาจะใช้เท้าข้างนั้นยันพื้นได้ด้วยตัวเอง
         พี่นนท์ใช้ขาข้างเดียวและแขนสองข้างพยุงตัวเองไปนั่นที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดหยิบโทรศัพท์โทรหาแฟนให้รีบมาหา ดีที่เศษจานมันปักเข้าไปและยังคาอยู่ทำให้เลือดไม่ได้ไหลนองออกมาจนอันตราย มีเพียงความเจ็บที่เกินจะทนได้เท่านั้นเอง
         ไม่ถึง 15 นาทีแฟนของพี่นนท์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเพราะว่าบ้านของเธออาศัยอยู่ใกล้ๆนี้เองจริงๆแล้วคงต้องบอกว่าเขาเลือกซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้เธอเสียมากกว่า พี่เจนรีบพาเขาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
         แผลไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากโชคดีที่มันปักเข้าไปตรงเนื้อไม่ได้โดนเส้นเอ็นหรือหลอดเลือดเส้นใหญ่ๆ เพียงแค่เย็บแผลและพักฟื้นสักเดือนหนึ่งก็น่าจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
         หลังจากทำแผลเสร็จวันนั้นเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกได้แต่นอนดูทีวีอยู่ในห้องพร้อมกับพี่เจนที่เข้ามาช่วยเก็บกวาดทำอาหารให้กินด้วยความเป็นห่วง ยาชาที่หมอฉีดให้ตอนทำแผลทำให้เขารู้สึกเจ็บน้อยลงมากจนหลับลงได้ อีกทั้งยาแก้ปวดที่เพิ่งจะกินไปไม่นานทำให้เขารู้สึกเพลียจนเผลอหลับไป
         ตรงนี้จะเป็นคำบอกเล่าที่พี่นนท์ได้ฟังมาจากพี่เจนอีกทีหนึ่ง หลังจากที่เธอเห็นว่าพี่นนท์หลับไปแล้วตรงโซฟาเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรอยากให้คนรักได้พักผ่อนเพราะคงจะเพลียจากฤทธิ์ยา พี่เจนทำกับข้าวอยู่ในครัวก็ได้ยินเสียงผู้ชายครางอึงอื้ออยู่ในอากาศฟังไม่รู้เรื่อง
         เธอปิดเตาไฟฟ้าให้เงียบลงเพื่อฟังเสียงนั้นให้ชัดขึ้น เสียงนั้นดังมาจากห้องนั่งเล่นที่อยู่ถัดไปซึ่งตรงนั้นมีแค่พี่นนท์ที่นอนอยู่ เธอคิดไปว่าคงเป็นเสียงคนรักของเธอที่อาจจะทรมานจากบาดแผลจึงรีบเดินไปดู แต่กลายเป็นว่าเขายังหลับอยู่
         สองตาของพี่นนท์ยังหลับสนิทแต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยปลายเท้าจิกงอ สองมือหงิกงอเกร็งเช่นกัน เสียงที่เธอได้ยินนั้นก็มาจากผู้ชายคนนี้ ถ้ามองผ่านๆก็คงเหมือนกับการนอนละเมอทั่วๆไปติดแต่ว่าเมื่อตั้งใจฟังดีแล้วๆเสียงในลำคอของพี่นนท์นั้นมีความหมาย
‘อย่า อย่าทำฉัน ฉันเจ็บ’
         น้ำเสียงทีได้ยินนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคยของคนตรงหน้าแต่คำพูดนั้นเธอไม่เคยได้ยินจากปากเขาเลยสักครั้งคนที่มักจะแทนตัวเองด้วยชื่อและคำว่า ผม ตอนนี้ทำไมเขาใช้สรรพนามที่ไม่คุ้นเคย พี่เจนรู้สึกกังวลใจแต่ก็รวบรวมความกล้าสะกิดเรียกแฟนของตัวเองให้ตื่น
         พี่นนท์ตื่นขึ้นมาในความปกติ ไม่มีอะไรผิดสักเกตแม้แต่น้อย พี่เจนจึงยังไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังในวันนั้นทันทีคิดว่าจะเก็บไว้เล่าในวันหลังเพราะวันนี้มันมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นไปก่อนแล้ว
         คืนนั้นพี่เจนตั้งใจมานอนเป็นเพื่อนเพื่อดูแลพี่นนท์ที่ยังขยับตัวไม่สะดวก แต่ช่วงหัวค่ำพี่เจนต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นาน ทั้งที่เขานอนมาแล้วทั้งวันในช่วงสั้นๆที่ไม่มีคนให้คุยด้วยตอนนี้พี่นนท์ก็หลับไปอีกครั้ง
         ในภวังค์นั้นเขารู้สึกตัวอยู่สักครึ่งหนึ่งสภาวะคล้ายเวลาเมาจนเกือบจะไม่ได้สติร่างกายหนักอึ้งหัวหมุนไปหมด แต่ที่ปลายเท้าเขารู้สึกได้ถึงความเจ็บทีวิ่งแปลบไปทั่วๆจากปากแผลและอีกที่หนึ่งที่เหมือนถูกอะไรบางอยากบีบเอาไว้ เขาพยายามหรี่ตาขึ้นมาไปที่ขาของตัวเอง
         ที่ตรงนั้นมีเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งไม่ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่ในชุดเสื้อผ้าสกปรกพันตัวเอาไว้ผมสั้นเกรียนอย่างที่ไม่เคยเห็นแต่หน้าอกที่เด่นชัดทำให้รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง มือข้างหนึ่งของเธอกำแน่นที่ข้อเท้าของพี่นนท์ มืออีกข้างกดอยู่ตรงแผลที่มีผ้าพันแผลสีขาวปนแดงแปะไว้อยู่
         ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น เธอตรงหน้าไม่ได้หันมามองเขาแต่ปลายนิ้วและเล็บสีดำเหลืองสกปรกมันทำให้เขารู้สึกเจ็บจนอยากจะร้องออกมาให้สุดเสียง
         พี่นนท์หลับตาพยายามเรียกเอาแรงที่ตัวเองมีทั้งหมดออกมาใช้เพื่อสะบัดให้ตัวเองหลุดจากสภาพที่เป็นอยู่ แล้วมันก็สำเร็จเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาจากฝันเหมือนอย่างในหนังในละคร แต่เขาแค่หลุดจากสภาวะร่างกายที่หนักอึ้งและเจ็บปวดเท่านั้นสติไม่ได้ขาดไป เขาตื่นอยู่ในตอนที่เขาเห็นภาพนั้น
         เขาคว้าโทรศัพท์โทรหาแฟนสาวที่หายไปนานจนผิดปกติ ‘ฮัลโหล เจนอยู่ไหนครับ ทำไมไปนานจัง’ พี่นนท์เอ่ยถามก่อนที่ปลายสายจะได้พูดอะไรเสียอีก
‘อะไรกันนนท์ เค้าเพิ่งลงมาถึงหน้าคอนโดเอง เจ็บแล้วอยากอ้อนหรือคะเนี่ย’

ก็จริงที่ในเวลาปกติพี่นนท์ค่อนข้างเป็นคนขี้อ้อนกับแฟนตัวเองแต่การที่พี่เจนตอบกลับมาแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เสียงหายใจหอบหนักของพี่นนท์ดังลอดผ่านโทรศัพท์จนปลายสายรู้สึกถึงความผิดปกติ ‘นนท์เป็นอะไรรึเปล่า งั้นเจนไม่ไปเอาเสื้อผ้าแล้วเดี๋ยวรีบกลับขึ้นไป’
          พี่เจนเข้ามาในห้องเห็นพี่นนท์นั่งกอดเข้าอยู่บนโซฟาตัวเดิมใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อปลายผมเปียกเรียบลีบไปกับใบหน้าเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนัก เธอเข้าไปกอดปลอบใจคนตรงหน้าให้ใจเย็นลง หลังจากตั้งสติได้พี่นนท์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่เจนฟัง
          หลังจากที่ได้ฟังอย่างนั้นฝ่ายแฟนสาวก็ไม่รู้ว่าควรจะแนะนำหรือพูดอะไรออกไปดี ได้แต่บอกให้ใจเย็นแล้วชวนกันไปทำบุญในวันต่อๆไป ตัวพี่นนท์เองก็คิดเหมือนกันว่าในตอนนี้คงจะทำอะไรไม่ได้คงต้องรอให้แผลที่เท้าดีขึ้นอีกนิดพอที่จะเดินทางได้สะดวกแล้วจะค่อยไปทำบุญให้สบายใจ
          คืนนั้นพี่นนท์หลับไปก่อนเพราะความอ่อนเพลียที่ยังไม่หายไป พี่เจนนอนดูข้างๆอย่างห่วงใยได้สักพักหนึ่งก็คล้อยหลับไปตามๆกัน
          กลางดึกเธอได้ยินเสียงครางอึงอื้ออยู่ใกล้ๆแม้ไม่ต้องลืมตาก็รู้ว่าเป็นเสียงของคนที่นอนอยู่ข้างๆเธอ เมื่อรู้อย่างนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองคนตรงหน้าที่มีท่าทางทรมานเหมือนกับหายใจไม่สะดวก มือของพี่นนท์กำแน่นอยู่ที่เสื้อตรงหน้าอก สลับกับการออกแรงทุบหน้าอกตัวเองดังบึก
          พี่นนท์ออกแรงทุบหน้าอกตัวเองอีกหลายทีพร้อมใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เสียงหายใจที่เคยหอบแรงตอนนี้เงียบสนิทมีแต่เสียงอู้อี้ในลำคอเหมือนพยายามจะหายใจ พี่เจนตกใจมากจนลนลานทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตีแจนเขย่าตัวให้คนตรงหน้าลุกขึ้นมาสื่อสารกับตัวเอง
           เขายังไม่มีทีท่าจะดีขึ้นจนสุดท้ายพี่เจนตัดสินใจเอาน้ำที่อยู่หัวเตียงเปิดขวดราดลงบนใบหน้าของพี่นนท์ เขาสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงไอโขลกหลายครั้ง พร้อมควานเอาขวดน้ำในมือของพี่เจนมาดื่มอย่างกระหาย
          พี่เจนปล่อยให้พี่นนท์ได้สติกลับมาเต็มที่จึงค่อยถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเล่าว่าเขาฝันว่ามีใครบางคน... หลายคนแต่ไม่รู้จำนวนเดินเข้ามาใกล้เขาจากที่ไกลๆ แล้วอยู่ดีๆก็มีมือคู่หนึ่งยื่นออกมาบีบที่คอเขา พอเขาหันไปมองก็เห็นผู้หญิงคนเดินที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้นั่งยองๆเหยียบอยู่บนหน้าอกของเขา ดวงตาสีขาวขุ่นจนออกเหลือง ฟันหลอสกปรกมีคราบดำๆแดงๆเคลือบอยู่บางซี่เหมือนคนที่ชอบกินหมากจากภาพที่เห็นเธอน่าจะมีอายุประมาณหนึ่ง ในฝันเขาพยายามใช้มือตีไปที่ขาและตัวของผู้หญิงคนนั้นเพื่อให้ปล่อยเขาไปแต่ภาพที่พี่เจนเห็นคือเข้ากำลังทุบหน้าอกตัวเองต่างหาก
          หลังจากเขาออกแรงในฝันอยู่นานเขาก็เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกจนทรมานเจ็บแปลบในหน้าอกและลำคอ พร้อมๆกับที่มีมืออีกคู่หนึ่งยื่นผ่านความมืดมากด ลงที่คอเขาเพิ่มอีกหนึ่ง สีผิวของมือคู่นั้นดำคล้ำเหมือนคนทำงานกรำแดดมาเป็นเวลานาน เขายังไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเจ้าของมือคู่นั้นเขาก็ถูกปลุกด้วยน้ำในมือของพี่เจน
          เหงื่อที่ชุ่มโชกอยู่ตามร่างกายเป็นสิ่งช่วยยืนยันว่าเขาไม่ได้โกหกกับสิ่งที่เขาเจอ สายตานั้นไร้ซึ่งแววแห่งการโกหก พี่เจนเริ่มวิตกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับคนตรงหน้าของเธอเสียแล้ว
           เช้าวันต่อมาเป็นวันทำงานแต่พี่นนท์จำเป็นต้องลางานไปก่อนเพราะยังเดินเหินไม่ได้ตามต้องการ รวมถึงพี่เจนที่ยังคงรู้สึกเป็นห่วงอาการของเขาด้วยเช่นกัน
          เขาหยุดอยู่ที่บ้านประมาณสองสามวันก็รู้สึกเบามากขึ้นไม้ค้ำสองอันที่ได้มาจากโรงพยาบาลก็เริ่มคุ้นมือจนเข้าที่เข้าทางทำให้เขาสามารถเดินเหินไปมาได้ตามใจต้องการ แต่ใบหน้าและดวงตาของเขาดำคล้ำโหลเพราะการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การหลับตานอนในแต่ละคืนช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเขา คืนแล้วคืนเล่าที่เขาจะได้เห็นผู้หญิงคนเดิมมานั่งมองหรือเดินผ่านไปมาในห้องนอนของเขา และทุกครั้งที่ได้เห็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะข่มตาหลับต่อได้อีก
           เช้าวันนั้นเป็นวันแรกที่เขากลับไปทำงานหลังจากไปดูดวงกับพี่อ้อม เขาเดินเขย่งเท้าพร้อมกับไม้ค้ำในมือข้างหนึ่ง เพราะคิดว่าถ้าใช้ทั้งสองข้างน่าจะดูอนาถไม่น้อย เมื่อเข้ามาในออฟฟิศได้ทุกคนก็วิ่งมารุมถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างๆมันดูน่ากลัวและสอดคล้องกับคำทำนายของหมอดูคนนั้นไปเสียหมด มันอาจดูบังเอิญแต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่า คำทำนายนั้นแท่นเหลือเกิน
          วันแต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบากในขณะที่แผลค่อยๆหายดีงานของเขาก็เริ่มจะติดขัดทั้งที่เขาก็ทำเหมือนเดิมทุกๆอย่างตามระบบของบริษัท ทำงานตามขั้นตอนไม่มีกามักง่ายหรือหมกเม็ดแต่มันก็กลายเป็นว่างานของเขาจะต้องมีส่วนนั้นขากไปส่วนนี้ตกไปบ้างก็ได้ยินการสั่งงานมาผิดๆจนทำงานผิดพลาด หนักสุดคือส่งงานไม่ทันจนเกิดความเสียหายต่อบริษัท
          พี่นนท์เคยเป็นคนทำงานดีได้รางวัลได้รับคำชมมาโดยตลอดแต่ช่วงนี้กลับมีเรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอย่างล่าสุดลูกน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ทำงานพลาดแล้วหนีหายลาออกกะทันหันไปซะเฉยๆเลยทำให้ความรับผิดชอบทั้งหมดตกลงมาอยู่ที่ตัวเขาแทน แม้จะไม่ได้โดนตำหนิมากนักแต่ปริมาณงานและความเครียดที่มากขึ้นเริ่มส่งผลต่อสุขภาพของเขาอย่างเห็นได้ชัด
          เขาน้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่องใบหน้าซูบซีดอ่อนแรง แม้ว่าพี่เจนจะพาพี่นนท์ไปทำบุญแทบจะทุกวันที่ทำได้แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดชีวิตของเขาก็มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดหักเหของชีวิตอย่างรุนแรง
          ด้วยหน้าที่การงานของทางพี่เจนทำให้ต้องมีการไปออกงานนอกสถานที่บ้างและทุกครั้งก็จะต้องไปค้างคืนจนกว่าจะปิดจ๊อบได้แต่ถ้าเป็นเขตปริมณฑลก็พอจะขับรถไปกลับได้เองอยู่ แค่รอบนี้เป็นงานต่างจังหวัดที่ค่อนข้างไกลทำให้เธอไม่สามารถขับรถไปกลับเองได้ แม้ว่าจะห่วงแฟนหนุ่มอย่างไรเรื่องงานก็สำคัญไม่แพ้กันยิ่งอยู่ในช่วงทำผลงานอย่างนี้ด้วยแล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิเสธงาน
          พี่นนท์เข้าใจดีและไม่ได้โกรธอะไรหากทั้งสองคนต้องการจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเขาทั้งสองก็ควรจะมีงานการที่มั่นคงเพียงพอเพื่ออนาคต ทั้งสองคนคิดอย่างนั้น พี่เจนเบาใจไปเปราะหนึ่งเพราะแผลที่เท้าของพี่นนท์หายแล้วตอนนี้เขาสามารถเดินและขับรถได้เองตามปกติ
          วันแรกที่พี่นนท์กลับมาขับรถคือวันที่พี่เจนอยู่ต่างจังหวัดแล้ว ถนนแถวลาดพร้าวมีรถติดค่อนข้างมากก็จริงอยู่แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน พี่นนท์ค่อยๆขับรถไปตามทางอย่างใจเย็นเพราะติดนิสัยการออกจากบ้านก่อนเวลาค่อนข้างเยอะ
          ระหว่างที่รอไฟแดงอยู่นั้นพี่นนท์ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาเห็นไฟเขียวตรงหน้ากลายเป็นสีเหลืองจึงค่อยๆชะลอรถลงแล้วจอดสนิทตอนมันเปลี่ยนเป็นสีแดง
ตู้ม!

เสียงรถกระแทกเข้าที่ดานหลังของรถตัวเอง พี่นนท์สะดุ้งสุดตัวลืมความง่วงงุนเมื่อสักครู่ไปเสียสนิท เสียและแรงกระแทกทำให้เขารู้สึกมึนเล็กน้อย และจากเสียงแตรรถกับเสียงคนโวยวายที่ตามมาทำให้เราเขารู้สึกตัวว่ามันคือความจริง พี่นนท์รีบเอาตัวเองออกมาจากรถเพื่อเตรียมพร้อมเจรจากับคนขับที่ตามมาข้างหลัง ในใจหวังว่าจะเอาเรื่องให้เต็มที่เสียหน่อย อยู่ดีๆจะมาชนท้ายกันอย่างนี้ได้อย่างไรสัญญาณไฟก็มีไม่รู้จักทำตาม
          แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากเจ้าของรถที่เข้ามาชนเป็นชายวัยกลางคนแต่งตัวธรรมดาเหมือนคนทั่วๆไปแต่ตามเนื้อตัวมีกล้ามเนื้อกำยำอย่างคนใช้แรงงานไม่ใช่คนเล่นฟิตเนส เขาเดินเข้ามาจับที่เสื้อของพี่นนท์ ‘เป็นบ้าอะไรวะ หยุดทำบ้าอะไรตอนไฟเขียว’
          พี่นนท์งงกับสิ่งทีได้ยินและเมื่อหันกลับไปมองที่สัญญาณไฟก็พบว่ามันเป็นไฟเขียวจริงๆ เขาตกใจมากใจหายวูบหล่นลงไปอยู่ที่พื้นมือไม้อ่อนขาอ่อนจนเกือบจะทรุดลงไปดีที่มือของอีกฝ่ายดึงคอเสื้อเขาไว้จึงพออาศัยแรงของฝั่งนั้นประคองตัวได้
‘อะไรแค่นี้ทำเป็นขาอ่อน แล้วอไอ้พวกคนอื่นในรถไม่คิดจะช่วยดูกันเลยรึไงวะ’
‘ใครครับพี่ ผมมาคนเดียวครับ’
‘อย่ามาเล่นลิ้นตรุขับตามเมริงมาตั้งแต่แยกที่แล้วเห็นคนนั่งอยู่เบาะหลังเต็ม’
          อีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงพูดในสิ่งที่มันไม่ตรงกับการรับรู้ของเขาเอาเสียเลย แต่ด้วยสติที่ยังเหลืออยู่พี่นนท์จึงโทรเรียกประกันมาช่วยคุยและไกล่เกลี่ยด้วยข้อสรุปว่าพี่นนท์ยินดีจะจ่ายค่าซ่อมให้ฟังนั้นทั้งหมดและไม่เรียกค่าเสียหายใดๆ หลังจากเคลียร์ทุกอย่างได้ลงตัวคู่กรณีก็เดินกลับไปที่รถเขาก็บ่นออกมาพอให้พี่นนท์ได้ยิน
‘แล้วพวกเพื่อนๆมันหนีไปตอนไหนวะ’
          วันนั้นเขาโทรไปลางานทั้งๆที่รู้ว่าจะต้องโดนตำหนิยกใหญ่แน่ๆแต่จะให้ทำอย่างไรรถก็ต้องซ่อมความเครียดก็ทวีคูณเต็มไปหมด ตอนนี้เขานั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์หลังจากปล่อยให้ประกันเอารถไปซ่อมแล้ว เขาถือกระเป๋าใบเดิมขึ้นรถเมล์ไปโดยไม่ได้สนใจว่ามันเป็นสายอะไร เขาแค่อยากนั่งไปเรื่อยๆ ไปที่ไหนก็ได้ที่มันจะห่างไกลจากความวุ่นวายในชีวิตของเขา
          เขานั่งอยู่บนนั้นนาน จนเขาก็ไม่รู้ว่าเขามาอยู่ที่ส่วนไหนของกรุงเทพ หรือไม่ก็อาจจะไปรอบๆนอกแล้วก็ได้ รถจอดที่ตรงตลาดเขาที่เริ่มรู้สึกหิวจึงเดินลงจากรถไปเพื่อหาอะไรใส่ท้อง เขาเดินทะลุตลาดออกมาพร้อมกับของกินเล่นในมือเท่าที่อยากแล้วก็เจอว่ามันมีวัดตั้งอยู่ตรงนั้นพอดี
          ช่วงนี้ชีวิตมันซวยจนเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะซวยไปได้กว่านี้อีกหรือไม่ อย่างน้อยก็ขอเข้าวัดไปทำบุญเสียหน่อยเผื่อชีวิตมันจะดีขึ้นบ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดี
          เขาเดินหยอดเหรียญลงในตู้ของวัดไปเรื่อยๆ ตู้ละไม่กี่บาทเท่าที่เขาจะหยิบจับออกมาได้โดยไม่ได้นับ เขาเดินเลยวิหารออกไปจนถึงบริเวณใกล้ๆกับทางออกของวัด ตรงนั้นเป็นที่สุสานของที่วัดมีโกฎิกระดูกอยู่หลายอัน เขาเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็รู้สึกเวียนหัวเหมือนจะวูบลงไป เขาเซตัวลงเอามือเท้าบางอย่างไว้ได้แล้วค่อยๆพยุงตัวขึ้น แต่มันกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาไปเท้านั้นคือ เรือขนศพ
เรือขนศพ คือคำที่ไว้ใช้เรียกรถที่มีรูปร่างคล้ายเกวียนสำหรับวางโลงศพแล้วโยงสายสิญจน์วนรอบเมรุจนครบสามรอบก่อนจะขึ้นเผาในเตาเผา ตามความเชื่อโบราณวัตถุนี้ถือเป็นสิ่งอัปมงคลเพราะบางครั้งเหล่าดวงวิญญาณจะไม่ไปไหนและจะยังตกค้างอยู่บนเรือลำนั้นรอจนกว่าจะถึงเวลาไป
‘โยม ไปทำอะไรตรงนั้น มาทางนี้ดีกว่า’
        พี่นนท์สะดุ้งกับเสียงเรียกของหลวงตาที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ห่างไปเล็กน้อย ในมือของหลวงตาถือไม้กวาดทางมะพร้าวกับน้ำเปล่าขวดหนึ่งท่านคงจะมากวาดลานวัดตามปกติแล้วมาพบกับพี่เขาเข้าโดยบังเอิญ ท่านชวนพี่นนท์คุยได้สักพักพี่นนท์ก็เล่าความไม่สบายใจและสิ่งที่มันเกิดขึ้นให้ท่านฟังหวังว่าท่านจะช่วยชี้แนะแนวทางใดๆได้บ้าง
        ท่านฟังแล้วก็ถอนหายใจแล้วสอนพระธรรมให้พี่นนท์ฟังบทหนึ่งพี่เขารู้สึกหงุดหงิดในใจลึกๆ เขาไมได้ต้องการคำสอนเขาต้องการทางออก เขาแค่อยากจะออกไปให้พ้นๆกับเรื่องราวบ้าๆทั้งหมดนี่ก็เท่านั้น หลวงตาท่านแนะนำให้พี่นนท์สร้างบุญกุศลเอาไว้เยอะๆสะสมไปทีละเล็กละน้อยวันหนึ่งเมื่อมันพอดีชีวิตก็จะดีขึ้นเอง
        เขาเดินจากออกมาอย่างสุภาพตามความควรจะเป็นแต่ในใจนั้นไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด หลวงตาท่านขอให้ถวายน้ำท่านหนึ่งชวดเป็นสังฆทานแล้วท่านจึงให้พรและผูกข้อมือให้เส้นหนึ่งอีกด้วย
        พี่นนท์ออกมาที่หน้าวัดเพื่อหาทางกลับไปยังตัวเมือง ซอยตลาดนั้นเหมือนกันแทบจะทุกทีทั้งสกปรกและมีน้ำขังเจิ่งนองไปทั่วเขาเดินย่ำอย่างไม่สนใจแต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกจนได้ อยู่ดีๆก็มีมอเตอร์ไซด์ส่งผักคันหนึ่งวิ่งฝ่าซอยแคบๆนั้นมาอย่างรวดเร็วหักออกมาตรงซอยหักศอกข้างๆอีกทีหนึ่ง
        ด้วยความตกใจพี่นนท์รีบเบี่ยงตัวหลบแต่ซอยที่แคบๆนั้นก็ทำให้กระจกรถข้างหนึ่งของมอเตอร์ไซด์ตีเข้าที่ตรงแขนของพี่นนท์จนเขียวช้ำอีกทั้งล้อรถยังดีดเอาน้ำคลำเน่าๆบนพื้นกระเด็นขึ้นมาเปื้อนตามเนื้อตัวของพี่นนท์ไปหมด
‘บุญ บุญ บุญ อะไรก็บุญ แล้วเมื่อไหร่มันจะเห็นผล ตรุไม่เอาแล้วโว้ย!’
        ด้วยอารมณ์ที่ขาดผึงเขาคิดและตัดสินใจอย่างนั้นจริงๆ เมื่อกลับมาถึงที่คอนโดหลังจากเจอเรื่องแย่ๆมาทั้งวันเขาก็กดเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งใจทักข้อความใน facebook หาเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนและคนนี้ยังเป็นคนที่ชื่นชอบในเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างมาก
        หัวข้อของการสนทนาในวันนั้นของเขาทั้งสองคือการ สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา พี่นนท์ต้องการจะเปลี่ยนชะตาตัวเองโดยไม่สนใจว่าจะเป็นวิธีใดขอเพียงแค่ชีวิตเขาหายจากเรื่องแย่ๆพวกนี้ได้เขายอมทั้งนั้น กี่บาทก็จะจ่ายถ้ามันได้ผล
        คืนนั้นเขาเข้านอนในช่วงที่ค่อนข้างดึกเพราะมัวแก้ปัญหาเรื่องงานค้างเนื่องจากไม่ได้เข้าบริษัท เขานอนพลิกตัวมาอยู่บนเตียงก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนอนไม่หลับ จนต้องลุกไปดื่มน้ำล้างหน้าล้างตาให้สบายตัว ด้วยความเคยชินจากการลุกจากเตียงไปแค่ห้องน้ำ แสงไฟสว่างจากถนนในเมืองหลวงที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ของห้องก็เพียงพอให้เขาเดินได้อย่างเป็นปกติ

ตอนที่ก้าวออกจากห้องน้ำระหว่างที่เอามือลูบหน้าให้แห้งสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นเงาดำวูบไหวอยู่ในความมืดของห้องนอน แม้จะไม่ได้ชัดจนถึงกับบอกได้ว่ามันคืออะไรแต่เขาก็มั่นใจว่ามีบางอย่างเพิ่งผ่านสายตาเขาไปแน่ๆ
          เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องคอนโดที่แบ่งเป็นส่วนๆอย่างสวยงาม ตรงเตียงของเขา โซฟา ห้องครัว ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเงียบสงบดี
          พีนนท์ตัดสินใจกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียง เพียงแค่หลับตาลงไปเท่านั้นเขาก็เห็นเงาดำวาบผ่านปลายเตียงตรงปลายเท้าเขาไปอย่างรวดเร็วเงาดำนั้นเคลื่อนไปทางประตูกระจกข้างเตียงต่อกับระเบียงเขารีบมองตามไปด้วยสัญชาตญาณและที่ตรงนั้นก็ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ ไม่มีเงาดำ มีแค่กระถางต้นไม้เล็กๆและเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้เท่านั้น
          เขาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าและกล่าวโทษความวิตกจริตคิดมากของตัวเอง ที่หัวนอนจะมีไฟสีส้มสลัวไว้ใช้เวลาที่ต้องการบรรยากาศอย่างเช่นในคืนนี้ ไฟสีส้มอ่อนถูกเปิดไว้ตรงโต๊ะวางของข้างหัวเตียง พี่นนท์ทิ้งหัวลงบนหมอนหลับตาแต่ในตอนนั้นก็มีเสียง กุกกัก เหมือนของที่อยู่บนหัวเตียงมันล้ม
          ด้วยความตกใจเขาจึงเผลอลืมตาขึ้นมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือภาพของเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบคนหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่บนหัวเตียงก้มมองลงมายังเขาพร้อมสบตาด้วยความสงสัย ใบหน้าเนื้อตัวของเด็กคนนี้ขาวซีมีรอยเหี่ยวย่นเหมือนคนที่ว่ายน้ำเล่นนานๆ ดวงตากลมโตกว่าปกติเล็กน้อยมีตาขาวมากกว่าตาดำ
          พี่นนท์รู้สึกกลัวจนตัวแข็งขยับร่างกายไม่ได้ เด็กคนนั้นยังจ้องเขาอยู่ สมองมือที่กอดเข่าเริ่มขยับแน่นขึ้น เด็กคนนั้นชะโงกหน้าลงมาหาพี่นนท์ที่นอนอยู่ ตัวของเด็กคนนั้นอยู่กับที่มีแต่เพียงส่วนหัวที่ค่อยๆยื่นเข้ามาใกล้ พี่นนพยายามหลับตาแต่กลับทำไม่ได้เขาพยายามกรีดร้องสุดเสียง
          เขาตื่นขึ้นจากความฝันในตอนเช้าบนเตียงนอนหลังเดิมในห้องนอนของตัวเอง เมื่อได้สติเขารีบหันไปมองที่หัวเตียงเพราะกลัวว่าจะยังมีเด็กคนนั้นนั่งอยู่อีกแต่ดีที่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาหายใจเข้าออกลึกๆตั้งสติให้ดีๆแล้วรีบไปอาบน้ำเพราะวันนี้เขาจะขาดงานอีกไม่ได้แล้ว
          พี่นนท์มองตัวเองในกระจกก็รู้สึกใจหายทำไมเขาถึงโทรมได้มากขนาดนี้ ใบหน้าที่เริ่มตอบจนเห็นสันกระดูดปากซีดตาโหล ทำให้เขาต้องเอาเครื่องสำอางมากลบร่องรอยพวกนั้นด้วยความจำเป็น ก่อนจะออกจากห้องไปในตอนเช้า
          ที่ทำงานคนหลายคนเข้ามาทักถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเขาซึ่งเขาก็ได้แต่ตอบไปเจื่อนๆว่าคงจะเครียดมากไป แม้ว่าในความจริงแล้วเขาเอาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น
          ในตอนเย็นพี่นนท์ออกจากออฟฟิศตรงเวลาเป๊ะ ทั้งที่ปกติจะอยู่รอต่ออีกหน่อย นั่นเป็นเพราะวันนี้เขามีนัดสะเดาะเคราะห์กับอาจารย์ที่เพื่อนเขาแนะนำมา บ้านอาจารย์อยู่นอกเมืองต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควรจึงต้องรีบอย่างมากก่อนที่รถจะติดมหาศาล
         ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงกว่าๆโพล้เพล้พี่นนท์ก็มาถึงบ้านของอาจารย์คนดังกล่าว บ้านนั้นเป็นบ้านปูนตามปกติ แต่ข้างในตกแต่งด้วยของเก่าหลายอย่างดูขลังพอสมควร อาจารย์นั่งรออยู่แล้วที่หน้าบ้าน ทุกอย่างเริ่มจากการผูกดวงตามศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา

‘เอ็งมันชะตาขาดแล้วนี่หว่า’
          นั่นคือประโยคแรกหลังจากการผูกดวง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้พี่นนท์ก็เริ่มที่จะรู้สึกว่าอาจารย์คนนี้คงจะเป็นของจริง ทางออกของอาจารย์มีอย่างเดียวเพราะบอกว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายชีวิตของเขามาถึงจุดที่ต่ำที่สุดแล้ว ในครั้งนี้ เขาต้องเกิดใหม่อย่างเช่นการบังสกุล แต่คราวนี้ต้องทำมากกว่านั้น
          หลังจากถามความสมัครใจอาจารย์ก็โทรไปหาลูกน้องให้จัดเตรียมข้าวของระหว่างนั้นเขาก็ให้พี่นนท์มาร่วมพิธีสวดมนต์ซึ่งทั้งหมดเป็นการบริกรรมคาถาไม่ใช่บทสวดมนต์ทั่วๆไป รวมไปถึงการอาบน้ำว่านลงขี้เถ้าซึ่งเป็นพิธีที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันมากนัก และสุดท้ายคือการเข้าไปในป่าช้าเก่าของวัดใกล้ๆบ้านอาจารย์
          พี่นนท์คิดเอาเองว่าแค่เข้าไปทำพิธีก็จบ เข้าไป ออกมา พร้อมกันทุกๆคนแต่กลับไมใช่เลย อาจารย์ให้พี่นนท์นอนอยู่ในโลงศพใหม่ที่วางอยู่ในหลุมขุดใหม่เช่นกันอยู่ในป่าช้าบรรยากาศในยามนี้วังเวงจนน่าขนลุกแต่พี่นนท์กลับรู้สึกว่ามันเย็นสบายเหมือนเวลาที่เราไปขึ้นดอยสูดอากาศบริสุทธิ์
          คำว่าป่าช้าเก่านั้นหมายถึงครั้งหนึ่งมันเคยมีศพมากมายมารวมกันและถูกฝังที่นี่แต่มันก็ไม่ได้ถูกใช้อย่างนั้นมานานมากแล้ว แต่อย่างไรผู้ล่วงลับที่เคยผ่านมาก็ยังคงทิ้งเศษซากของตนไว้ที่นี่ พี่นนท์เกิดช่างใจอยู่เหมือนกันแต่อาจารย์รับประกันว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้น เขาได้ลงอาคมไว้หมดแล้วมีผีตัวไหนจะเข้ามายุ่งวุ่นวายได้
          พี่นนท์พูดกับผมว่า พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรจะว่าเชื่อใจอาจารย์ก็ยังไม่ใช่จะว่าอยากหลุดพ้นจาดชีวิตแย่ๆก็ยังไม่ใช่อีก แต่สุดท้ายพี่ก็เลือกที่จะเข้าไปในโลงศพนั้นตามพิธีที่อาจารย์บอก
          โลงศพนั้นเจาะช่องเล็กๆไว้สำหรับหายใจได้สะดวก ทำการปิดฝาแต่ไม่ได้เอาดินกลบ ในตอนแรกพี่นนท์กลัวมากกลัวจนอยากจะร้องไห้ แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกสบายตัว เหมือนกับทุกๆอย่างมันดีขึ้นแล้ว ตอนนั้นที่นอนตรงนั้นสบายกว่านอนบนเตียงในคอนโดเสียงอีก สุดท้ายเขาก็หลับไปในโลงนั้นจนถึงเช้า ไม่ฝัน ไม่ถูกแกล้งไม่ถูกหลอก ซ้ำยังรู้สึกสดชื่นมากที่สุดในรอบเดือนหนึ่งที่ผ่านมา
          เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงระฆังวัดที่ดังก้องเรียกให้พระลูกวัดมารวมตัวกันทำวัดในตอนเช้า เขาเดินกลับออกมาที่บ้านอาจารย์ตามทางที่ตนพอจำได้ ที่หน้าบ้านอาจารย์ตื่นแล้วนั่งรอเขาอยู่ อาจารย์บอกว่าต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องร้ายใดๆอีก พร้อมกับเรียกเก็บค่าครูแสนแพงที่ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะจ่ายในตอนแรก แต่ความรู้สึกสบายตัวในตอนนี้มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เขายอมจ่ายได้โดยง่าย
          พี่นนท์ไม่ได้รู้เลยว่าโลงศพหลังนั้นคือจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งของชีวิตเขา จริงอย่างที่ว่า เขาได้ทำการพลิกชะตาตัวเองแล้วแต่ไม่มีใครบอกเขาเลยว่าการพลิกชะตานั้นคือการพลิกจากร้ายกลายเป็นดี หรือจากดีกลับไปร้ายอีกครั้ง

หลังจากกลับมาในวันนั้นมันเริ่มมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเขา เขาเริ่มเบื่ออาหารที่เคยกินได้ในทุกๆวันไม่ว่าจะเป็นของที่ตนเคยชอบแค่ไหนก็รู้สึกว่าไม่อยากกินแต่ของที่พอจะกินด้ายคือของที่ดูไม่ค่อยสะอาด ของร้านข้างทางที่ดูสกปรกๆ แม้ว่าจิตใต้สำนึกจะบอกเขาว่ามันชวนอ้วกแค่ไหนแต่เขาก็กลับกลืนมาลงอย่างเอร็ดอร่อย
          เขาเริ่มที่จะซื้อข้าวมาแล้ววางให้ชืดจนมันแห้งติดกล่องโฟมบางครั้งก็รอจนมันมีกลิ่นหืนกลิ่นเปรี้ยวจึงจะกินลงได้ เขากลัวตัวเองเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ผลจริงๆก็คือ เขาไม่เห็นผี ไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ใกล้ๆตัวเขาอีกแล้ว พี่เจนกลับมาได้พักหนึ่งแล้วแต่ก็ยังมีงานยุ่งๆทำได้แค่แวะเวียนมาหาในช่วงกลางคืนบางวันเท่านั้นซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด
          พี่นนท์เริ่มมีอาการหนักขึ้นเข้าควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ถ้าคนในบริษัทตำหนิเพียงเล็กน้อยเขาจะรู้สึกโกรธ โกรธจนคุมสติไม่ได้จนต้องระเบิดมันออกมาแล้วในที่สุดมันก็เห็นผลเมื่อเขาไประเบิดอารมณ์ใส่หัวหน้าหลังจากตนถูกตำหนิเรื่องทำงานสะเพร่า
          อาทิตย์นั้นเป็นอาทิตย์สุดท้ายที่เขาจะได้ทำงานที่นี่ วันที่ต้องเก็บของออกจากบริษัท พี่อ้อมเข้ามาถามและปลอบใจ พี่อ้อมบอกให้พี่นนท์ไปทำบุญเยอะๆมันคงเป็นเบญเพสจริงๆ มีแต่เรื่องซวยๆแย่ๆผ่านเข้ามา
          พี่นนท์สะบด หึ ก่อนจะเดินออกจากบริษัทเพราะไม่ไม่รู้สึกเลยว่าเขาจะต้องเชื่อในบุญบาปต่อไปอีก ทำบุญมามากแค่ไหนเขาก็ยังคงซวย ซวย และก็ซวย
          ชีวิตเขาแย่ลงเรื่อยๆ พี่เจนเริ่มถอยห่างออกไปเพราะอารมณ์ที่ไม่ปกติของเขา แต่ก่อนที่เขาจะขาดจากกันพี่เจนตัดสินใจโทรไปเล่าทุกอย่างให้แม่ของพี่นนท์ฟัง และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาโกรธจนขาดสติอย่างไม่มีเหตุผลและเลือกที่จะตัดขาดกับผู้หญิงคนนี้ในที่สุด 
          หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปพี่นนท์กลับไปอยู่ที่บ้านระหว่างนั้นพ่อกับแม่พยายามพาเขาไปวัด ฝึกสมาธิจนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะ บวช ทดแทนคุณพ่อแม่ที่เขาเลื่อนแล้วเลื่อนอีกตั้งแต่ตอนอายุครบได้ 20 ปี แม้ว่าเขาจะได้สติกลับคืนมาบ้างแต่เขาก็ยังรู้สึก รู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่กับเขา ใครที่ทำให้เขาไม่ใช่เขาเหมือนอย่างเคย
          ในวันบวชตอนที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากชุดธรรมดาเป็นผ้าเหลือง พี่นนท์ก็เกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงหายใจไม่ออกในความรู้สึกอันเลือนรางนั้นเขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่งตัวใบหน้าร้อนเหมือนตอนเป็นไข้ และเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกจนเขาต้องมาถามจากแม่และพ่อเอาทีหลัง
          หลังจากที่เขาเริ่มเจ็บหน้าอกเขาก็ลงไปนอนกองกับพื้นญาติๆเข้ามาช่วยกันพยุงจะพาไปโรงพยาบาลแต่หลวงพ่อให้ห้ามไว้ก่อนแล้วเอาน้ำมนต์ในโบสถ์นั้นพรมลงบนตัวเขา พี่นนท์ร้องโอดครวญอย่างทรมานสองมือจิกแขนตัวเองทุบตัวเองจกเป็นรอยเล็บเลือดไหล
          หลวงพ่อเอาน้ำมนต์เทราดจนเปียกชุ่มไปทั้งตัวเขาค่อยสงบลงได้แต่ก็เกิดอาการคลื่นไส้อย่างหนักต้องอ้วกออกมาที่กลางโบสถ์นั้นอย่างน่าอนาถ
          สิ่งที่ออกมาจากปากของเขามีแต่เศษอาหารเน่าๆส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วจนคนที่มาร่วมงานรู้สึกคลื่นไส้ไปตามๆกันบางคนที่ได้เห็นภาพนั้นเต็มๆตาก็ถึงกับเป็นลมขาอ่อนลงไปตรงนั้น สิ่งหนึ่งที่ออกมากับเศษอาหารและทำให้คนอื่นๆขนลุกเกรียวไปทั้งตัวคือ ก้อนสายสิญจน์ที่มัดเป็นทรงกลมขนาดเท่าลูกแก้วที่เด็กๆไว้ใช้เล่นกัน

ในห่อสายสิญจน์นั้นมีขี้เถ้าปนอยู่ พี่นนท์จำไม่ได้เลยว่าไปกินของอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ออกมาจากปากเขาเองจริงๆจะว่าใครมาแกล้งมาจัดฉากก็คงจะไม่ใช่ และในที่สุดหลังจากเรื่องวุ่นๆในตอนเช้าพี่นนท์ก็ได้บวชในช่วงบ่ายแทน เขาบวชแค่ 7 วันเท่านั้นเพราะรู้สึกร้อนใจอยากหางานใหม่บวกกับตัวเขาไม่ค่อยซาบซึ้งในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เรียกว่าทำเพื่อความสบายใจของแม่ก็ว่าได้
           ตลอดเวลาในผ้าเหลืองเขารู้สึกหงุดหงิดร้อนใจไม่มีความสุขเวลาในแต่ละวันมันเดินผ่านไปช้าเหลือเกิน แต่กลายเป็นว่าวันที่สึกออกมานั้นจะมีการอาบน้ำส้มป่อยเพื่อเป็นการอวยพรให้กับชีวิตใหม่ วันนั้นเป็นวันที่ดียิ่งกว่าวันไหนๆ ความคิดด้านลบที่เคยมีหายไปหมด เขากลับมาเป็นเขาคนเดิมอีกครั้งอยากไม่น่าเป็นไปได้
          เขากราบของขมาหลวงพ่อที่บวชให้อย่างจริงใจด้วยความรู้สึกผิดและซาบซึ้ง หลังจากกลับออกมาแล้วเขาก็ตั้งใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่แต่อะไรๆมันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นในชีวิตจริง
          หลังจากพักฟื้นเติมพลังงานดีๆจากที่บ้านมาแล้วเขาก็กลับเข้ามาในกรุงเทพอีกครั้งด้วยความตั้งใจสองอย่างคือ อย่างแรกเขาจะต้องหางานใหม่ให้ได้ และสอง เขาจะต้องกลับไปขอโทษและขอคืนดีกับพี่เจนให้ได้เช่นกัน
          คืนนั้นเขากำลังจะเข้านอนในช่วงค่อนคืน พี่นนท์รู้สึกเหมือนมีใครมาคุยกันให้ได้ยินใกล้ๆหู น้ำเสียงนั้นเหมือนกระซิบกระซาบเสียงนั้นเบาๆแห้งๆ หลายเสียงสอดแทรกกันน่ารำคาญจนไม่สามารถจะนอนต่อได้ แต่ใครจะมาคุยกันในห้องของเขาได้
          ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง เสียงนั้นยังไม่เบาลงและยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ ครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งเสียงนั้นยังดังอยู่เช่นเดียวกับที่พี่นนท์ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ในเลยแม้แต่น้อย พี่นนท์ตัดสินใจรวบรวมความกล้าค่อยหยีตามองไปยังทิศทางที่คิดว่าเป็นที่มาของเสียง เสียงนั้นดังมาจากระเบียงห้องที่มีประตูกระจกกันอยู่ใกล้ๆเตียง
          ที่ตรงลานโล่งๆของระเบียงนั้นมีเงาร่างของคนกว่าสิบคนนั่งอยู่กับพื้นในท่าทางเดียวกันคือนั่งยองๆกอดเข่า ทุกคนแต่งตัวในชุดโบราณอย่างผ้าขาดสีเข้มๆสกปรกซอมซ่อ สภาพร่างกายของทุกคนผอมซีดอิดโรย บางก็ไม่มีแขน บ้างก็มีอแผลเหวอะที่ใบหน้า และบ้างก็มีเครื่องมือบางอย่างติดตรึงไว้ตามเนื้อตัว
          สายตาลึกโบ๋นั้นมองผ่านกระจกมายังพี่นนท์ที่นอนอยู่บนเตียงปากของเงาร่างพวกนั้นขยับเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ดวงตาลึกโบ๋นั้นค่อยๆโตขึ้นแสดงให้เห็นความโกรธ พวกมันค่อยๆเปลี่ยนท่าเป็นคลานสี่ขาเหมือนพยายามจะเข้ามาใกล้พี่นนท์ แต่แล้วภาพก็ตัดหายไปกลายเป็นความมืดว่างเปล่า
          พี่นนท์นอนอยู่บนเตียงด้วยความมึนงงเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ในภวังค์นั้นเขานอนเหงายแผ่แขนทั้งสองข้างออกข้างลำตัว ภาพที่เห็นมีเงาร่างที่เขาเห็นก่อนหน้านี้นั่งมองยืนมองอยู่รอบๆแขนของเขา คนหนึ่งที่ตัวใหญ่ที่สุดสภาพไม่สมประกอบเพราะมีแขนข้างหนึ่งขาดหายไปและมีแผลช้ำเลือดช้ำหนองอยู่ตามตัวอีกหลายแห่ง
          เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของนิ้วและเล็บที่บีบและกดลงบนแขนของเขาจนรู้สึกเจ็บ ชายไร้แขนที่ยืนอยู่คนเดียวนั้นถือค้อนเอาไว้ในมือ ที่ข้างๆกันมียายแก่คนหนึ่งฟันหลอดำน่าเกลียดผมสั้นหยิกหยอยสกปรกเอามือเหี่ยวๆนั้นมาจับที่นิ้วของพี่นนท์ จากนั้นเอาตะปูเหล็กเก่าๆออกมาวางด้านแหลมเทินไว้บนเล็บนิ้วหัวแม่มือของเขา
          ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่เงื้อค้อนขึ้นเหนือหัวก่อนจะฟาดลงมาอย่างเต็มแรงที่ปลายตะปูดอกนั้น อ๊ากกก พี่นนท์ร็สึกเจ็บปวดอย่างมากในความฝันแต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่พบว่ามีแผลอะไรหลงเหลืออยู่บนร่างกายนอกจากความเจ็บปวดที่จดจำได้ในความฝัน
          พี่นนท์กำนิ้วตัวเองอยู่หลายทีเหมือนจะตรวจดูว่าไม่มีแผลตามที่พบเจอในฝัน และในตอนที่เขากำลังจะออกจากห้องไปนั้นเขาทำกุญแจห้องร่วงลงกับพื้นจึงก้มตัวลงไปเก็บขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งมือข้างที่จับขอบประตูเพื่อพยุงตัวก็ได้ยินเสียง ปัง!
          ประตูคอนโดเหมือนโดนลมหอบใหญ่พัดจนปิดงับเขากับวงกบอย่างแรงจนได้ยินเสียงสนั่นไปทั้งชั้นและตอนที่มันปิดกระแทกเข้ามานิ้วหัวแม่มือข้างหนึ่งของพี่นนท์วางอยู่ตรงขอบประตูนั้น น้ำหนักและแรงของประตูทำให้เล็บแตกทิ่มลงไปในนิ้วมือจนเป็นสีม่วงคล้ำอีกทั้งกระดูกนิ้วที่แตกเป็นชิ้นจนต้องใส่เฝือกนิ้ว
          พี่นนท์ยื่นนิ้วข้างที่ยังเป็นเฝือกอยู่ให้ผมดู สภาพมันน่าขนลุกพอสมควรเขากลับไปซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมตามเดิมก่อนจะกลับมาถามผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร
          คำตอบเดียวที่ผมมีให้คือ กรรม เพราะเขาเหล่านั้นที่พี่นนท์พูดถึงตอนนี้เขาก็อยู่ เขายังนั่งล้อมพี่นนท์อยู๋ใกล้ๆในร้านที่เรานั่งคุยกัน สภาพพวกเขาน่าอนาถตามสภาพของคำว่า ทาส ร่างกายมีแต่แผล ไม่สมประกอบ บางคนในมือถืออุปกรณ์ที่ใช้ทรมานและลงโทษในสมัยนั้น พวกเขามีแต่ความอาฆาตมากมายเกินกว่าจะคุยกันได้รู้เรื่อง
‘อะไรที่เราสร้างและก็ต้องใช้เขาไป นะครับพี่...’
          ผมได้แต่ตอบไปอย่างนั้นเพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะขวางกรรมของใคร เสียงโทรศัพท์พี่นนท์ดังขึ้นเหมือนถูกโทรตาม เราจำเป็นต้องลากันก่อนในเวลานั้นและคิดไว้ว่าเราจะนัดกันอีกทีในภายหลัง ภายนั่งมองพี่นนท์เดินจากไปพร้อมกับเงาร่างของหญิงชายคละวัยในสภาพน่าขนลุกเดินตามหลังไปอย่างใกล้ชิด ภาพหนึ่งที่ติดตาผมมากคือเด็กน้อยประมาณสามสี่ขวบที่กอดขาข้างหนึ่งของพี่นนท์เอาไว้แน่น สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ผมราวกับจะบอกว่า
อย่ายุ่ง...
          เวลาผ่านไปได้สักพักผมได้รับข้อความจากพี่นนท์ว่าเขาฝันอีกแล้ว ฝันว่ามีคนกลุ่มเดิมแต่เปลี่ยนหน้าคนที่เคยทุบนิ้วเขาเป็นอีกคน คนที่ทุบนิ้วตอนนี้กลับไปนั่งรวมอยู่ในกลุ่มคนที่มายืนเป็นอีกคนหนึ่ง คนนั้นเป็นผู้หญิงท้องแก่และยังอุ้มลูกไว้ด้วยอีกข้าง ในมือของเขาถือพร้าอันใหญ่ๆ
          คนหลายคนจับแขนและขาพี่เอาไว้กดจนพี่รู้สึกเจ็บ เจ็บมากเจ็บกว่าตอนที่นิ้วอีก แล้วผู้หญิงคนน้ำก็ฟาดมีดลลงมาที่ขาพี่ พี่เจ็บมาก มันไม่ได้ฟันทีเดียว มันเฉือนพี่อีกหลายทีจนพี่สลบไป
          นั่นคือความฝันที่ผมได้ฟัง และหลังจากนั้นผมก็ได้รับข่าวมาอีกว่า พี่นนท์เดินไม่ได้อีกแล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์...
.......................................................................

เรื่องนี้จบลงตรงนี้ พี่นนท์เลือกที่จะกลับบ้าน ขายคอนโด ไม่ติดต่อพี่เจน กลับไปใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัดทำงานเท่าที่ทำได้อย่างน้อยเขาก็ยังมีความรู้ เขาเริ่มปลงกับชีวิตได้บ้าง เขาเริ่มเข้าใจคำว่า กรรม ขึ้นทีละน้อย เขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผม แต่แค่อยากให้ผม เล่า เท่านั้น เผื่อเรื่องของเขาจะเตือนสติใครได้บ้างว่า อย่าประมาทและจงมีสติอยู่เสมอ อย่าเชื่อใครให้มาก อย่ามั่นใจตัวเองให้มาก และอย่าคิดว่า กรรม ไม่มีมีจริง
          เบญจเพสไม่ได้หมายถึงอายุ 25 35 หรืออะไรทำนองนั้นมันเป็นช่วงที่ชีวิตเราตกต่ำลงจนถึงที่สุดด้วย ผลกรรม กรรมนั้นจะส่งผลในทุกๆคนทุกโอกาส หากไม่สะสมบุญไว้ ไม่มีสติ และปัญญา จากช่วงเบญจเพส 1 ปี อาจกลายเป็นทั้งชีวิตแบบพี่ชายของผมคนนี้ก็ได้

ลอยชาย.

ไม่มีความคิดเห็น