เสียงปริศนาที่ชั้น ๑๒
เรื่อง "เสียงปริศนาที่ชั้น ๑๒" เขียนด้วยนักเขียนมากความสามารถในการเขียน ทำให้เรื่องราวสนุกน่าติดตามมาก โดย Rhythm in the Air หรือในนาม กฤตานนท์ จากพันทิปเราขอขอบคุณเรื่องราวหลอนๆนี้ในการรับชมทางความบันเทิงและเป็นกำลังใจให้เรื่องราวดีๆ เชิญรับชมกันเลย
“ร่างที่ตายแล้วไม่มีอะไรน่ากลัว และความมืดก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเหมือนกัน ความไม่รู้จักต่างหากที่เรากลัว”
อัลบัส ดัมเบิ้ลอร์
เคยมั้ยบางครั้งนั่งคนเดียวแต่รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่เดียวดาย...
เรื่องนี้มีอยู่ว่า... ก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะเร็วปรู๊ดปร๊าดสามจีสี่จีทุกอย่างง่ายดายแค่มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก่อนหน้านั้นมันไม่ได้สะดวกเช่นทุกวันนี้
ยุคหนึ่งธุรกิจอินเตอร์เน็ตคาเฟ่จึงฟู่ฟ่องละอองฟิ่วมากๆ เป็นแหล่งพบปะของคนหลายอาชีพ บ้างสำราญกับเกมส์ออนไลน์
บ้างพึ่งพาโปรแกรมแชทหาคู่ แต่สำหรับ ยิ้ม (นามสมมุติ) สาวบัญชีวัยยี่สิบเศษใช้มันสำหรับหางาน
หลังเตะฝุ่นมาสองเดือน เธอต้องรีบหางานให้ได้ก่อนเข้าเดือนที่สามเพราะสายป่านที่เปื่อยยุ่ยกำลังขาดผึง
ยิ้มใช้เวลาช่วงเช้าทุกวันหมกตัวอยู่ในร้าน เพราะเดือนก่อนมีบริษัทหนึ่งที่เธอสนใจมานานเปิดรับพนักงาน (บัญชี)
แต่ไม่นานก็ปิดรับสมัครคาดว่าได้พนักงานเป็นที่เรียบร้อย แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เปิดรับสมัครอีกรอบยิ้มก็ยังช้าไป
ระหว่างนั้นจึงคิดว่าบางทีบริษัทนั้นอาจกำลังขยายธุรกิจจึงรับพนักงานจำนวนมาก ขณะกำลังคิดเพลินๆ กด F5 รีเฟรชหน้าจอ
บริษัท XXX ก็เด้งขึ้นมาระบุเช่นเดิม ‘รับสมัครพนักงานบัญชีด่วน!’
'เสร็จตูล่ะ' ยิ้มคิดพร้อมแอทแทคไฟล์ ร่อนเรซูเม่เสร็จปุ๊บ คว้าโนเกีย 3310 ปั๊บ
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อพิมพ์ใจนะคะ เห็นประกาศรับสมัครพนักงานตำแหน่งบัญชี อยากรบกวนสอบถามว่า...”
หลังสนทนาอยู่สักพัก ปลายสายนัดให้เข้ามาสัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้น ยิ้มดีใจมากกลับไปอาบน้ำปะแป้งมองเล่ยะ นอนรอวันใหม่...
รุ่งเช้าแต่งตัวเรียบร้อย ปัดหน้าใสๆ ตวัดอายแชโดว์พองาม เดินทางไปสัมภาษณ์แต่หัววัน ออฟฟิศบิลดิ้งนั้นอยู่เกือบกลางกรุง
ส่วนบริษัทที่ว่าเช่าอยู่ชั้น 12 เหลียวมองหนุ่มสาวออฟฟิศแต่งตัวดูดีมีสกุล เข้าไปเบียดกับหนุ่มๆ ในลิฟท์รู้สึกเนื้อเต้นนิดๆ
แต่เกิดเป็นกุลสตรีจำต้องสงวนตัวไว้สักหน่อย ทอดสะพานสุ่มสี่สุ่มห้ามันจะไม่งาม... คุณหญิงแม่สอนมา
ถึงชั้น 12 มนุษย์เงินเดือนเดินออกจากลิฟท์ปะปราย ชั้นนี้มีบริษัทเช่าอยู่ 2 ห้อง คือ B กับ D ตามผังด้านล่าง
บริษัทที่ยิ้มมาสัมภาษณ์ตามผังคือตำแหน่ง D ส่วนออฟฟิศ A เพิ่งย้ายออกไปไม่นาน แต่ที่ทำให้ต้องเหลือบมองคือออฟฟิศ C ต่างหาก
ออฟฟิศนั้นปิดร้าง ด้านในมีข้าวของวางระเกะระกะ โต๊ะทำงาน ตู้เอกสารวางซ้อนในกองฝุ่น สุดสายตามีสิ่งหนึ่งตรึงบนเสาปูน
ดูไกลๆ คล้ายศาล ระหว่างกำลังสำรวจมีผู้หญิงคนหนึ่งทัก “สวัสดีค่ะ หน้าไม่คุ้นเลย มาสมัครงานรึเปล่าคะ?”
ยิ้มแจ้งว่ามาสัมภาษณ์ ผู้หญิงคนนั้น (สมมุติว่าชื่อแก้ว) จึงให้ตามเข้าไปในออฟฟิศ นั่งรอในห้องประชุมอยู่สักครู่ จนท.ฝ่ายบุคคลก็เข้ามาสัมภาษณ์ หลังจากพูดคุยและทดสอบความชำนาญพื้นฐาน สรุปว่าบริษัท D รับยิ้มเข้าทำงาน พรุ่งนี้ให้เริ่มงานได้เลย ยิ้มดีใจมากกลับบ้านไปนอนฝันหวานปะแป้งสปริงซอง
รุ่งขึ้นมาทำงานเป็นวันแรก สิ่งที่ได้รับมอบหมายไม่ใช่โชว์สกิลเอ็กซ์เพรสขั้นเทพ แต่ที่เพื่อนๆ ให้ทำคือลงไปไหว้ศาลพระภูมิหน้าตึก?
อ่า... ไม่แปลกใจยังไงคิดอยู่แล้วว่าจะลงไปไหว้ อธิษฐานขอพรพระให้ทำงานราบรื่น ออกมายืนรอลิฟท์เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากออฟฟิศ B
กดลูกศรชี้ขึ้น หันมองยิ้มและเหลือบไปมองพวงมาลัยที่ถือในมือ แป๊บเดียวลูกศรชี้ขึ้นสว่างพร้อมเสียงดัง กิ๊ง ประตูอลูมีเนียมดีดออก
หนุ่มออฟฟิศ (สมมุติชื่อจั๊บ) ก้าวเข้าไปกดปิดลิฟท์ แต่ก่อนที่ประตูจะงับเขาพูดว่า
“ระวังนะ”
ตึง! ยืนงงยิ้มไม่ออก คืออะไรอ่ะ? ถ้าจะจีบกันขอบอกเลยว่ามุขนี้ไม่ผ่าน เออ ถ้าแกล้งลงเหมือนกันแล้วถามว่า “ชั้นไหนครับ”
พอผู้หญิงตอบว่า “ชั้นหนึ่งค่ะ” ค่อยหยอดกลับ “อ่อครับ นึกว่าชั้นรักคุณ” อะไรเทือกนั้น ถึงจะเสี่ยวแต่ความเสี่ยวนั้นจะถูกบันทึก
ลงสมองฮิปโปแคมปัสได้บ้างล่ะน่า ระหว่างคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกในนิยายเกาหลีกำลังเจอพระเอกตามจีบ
ยิ้มได้ยินเสียง เอี๊ยดด แว่วมาเบาๆ มันดังพร้อมกับเสียงลิฟท์
ยิ้มไม่ได้สนใจ ลงไปไหว้ศาลพระภูมิเสร็จก็กลับขึ้นมาทำงาน ตลอดทั้งวันแก้วซึ่งอยู่ฝ่ายบัญชีเหมือนกันเป็นคนเทรนด์งานให้
แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ สนิทกัน พอใกล้เลิกงานยังมีเอกสารบางอย่างที่ยิ้มอยากจะเคลียร์ให้จบ (ประมาณเด็กใหม่ไฟแรง)
เลยขอทำให้เสร็จก่อน แต่แก้วบอกว่าเอาไว้ทำพรุ่งนี้ดีกว่า แต่ยิ้มก็เกรงใจบอกให้เพื่อนกลับไปก่อนก็ได้
แต่เพื่อนใหม่ยังยืนยันเหมือนเดิม “เอาน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาทำ เก็บของๆ”
ยิ้มงงเล็กน้อยแต่ก็เชื่อนะ เก็บข้าวของออกมายืนรอลิฟท์ ระหว่างนั้นคนที่ยืนรออยู่ก่อนทยอยเดินเข้าลิฟท์ที่กำลังจะลง
แต่สองสาวก้าวไปไม่ทัน เผอิญว่ายิ้มเห็นผู้ชายคนนั้นกำลังเดินเข้าไปในลิฟท์จึงถามเพื่อนใหม่เบาๆ ว่ารู้จักผู้ชายคนนั้นมั้ย
“ไหน... อ๋อ คนนั้นน่ะเหรอรู้จักสิ ทำไมปิ๊งเขาเหรอ? เสียใจด้วยนะเขาเป็นสามีในอนาคตของชั้น 555”
“เปล่า แต่ที่ถามเพราะเมื่อเช้าตอนลงไปไหว้ศาลพระภูมิเขาพูดอะไรแปลกๆ”
ยิ้มพูดจบแก้วชะงักเท้า มองซ้ายขวาแล้วถามเบาๆ “แปลกยังไงเหรอ?”
“เขาพูดว่าระวังนะ”
แก้วหันกลับไปมองเพื่อนในออฟฟิศอยู่สักพัก เหลือบไปมองส่วนออฟฟิศ B ก็ยังเงียบจึงคว้าแขนยิ้มลากไปลงบันไดหนีไฟ
ยิ้มยิ่งงงก็ถามว่าจะลงบันไดหนีไฟทำไม เดี๋ยวลิฟท์ก็มาแล้ว แต่แก้วไม่ตอบพอเดินมาโผล่ชั้น 11 ปรากฏว่าคนยืนรอกันเต็มพรืดไปหมด
ยิ้มจึงบ่นๆ ว่าคนตรึมเลยกว่าจะได้ลง ขึ้นไปรอหน้าออฟฟิศเราไม่ดีกว่าเหรอไม่ค่อยมีคน
“รอนี่ล่ะ เชื่อเรา” แก้วตอบเบาๆ... ยิ้มกลับบ้านด้วยความงุนงง อาบน้ำปะแป้งเภสัชก่อนเข้านอน
เมื่อวานยุ่งๆ อยู่ วันต่อมาขณะนั่งทำงานก๊อกแก๊ก ก็ถามแก้วว่าพนักงานสองคนที่รับมาก่อนหน้าคนไหนจะได้แนะนำตัวกันหน่อย
เห็นว่าเป็นพนักงานบัญชีเหมือนกัน แก้วซึ่งกำลังเข้าเว็บม่วงๆ ที่ชอบมีดราม่าหันขวับมามองบอกว่าออกไปแล้วทั้งสองคน
หือ!? ออกคนเดียวไม่เท่าไหร่แต่ออกไล่ๆ กันแบบนี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ค่ะหัวหน้า ก็พยายามถามแก้ว
แต่เพื่อนก็บ่ายเบี่ยงบอกว่าไม่มีอะไร แต่นั่นล่ะพอได้ยินคำว่าไม่มีอะไรจำให้มั่นว่ามากกว่าครึ่งมันมีอะไรแน่ๆ
และวันนั้นน้องยิ้มก็เริ่มระแคะระคายว่าออฟฟิศใหม่มันชักจะยังไงๆ ซะแล้วสิ….
ช่วยบ่ายน้องใหม่จับผลัดจับผลูต้องออกมานั่งหน้าเคาท์เตอร์เพื่อรับเอกสารวางบิลจากแมสเซนเจอร์ (ตำแหน่งเคาท์เตอร์ดังในภาพ)
นึกในใจมีเคาท์เตอร์แต่ไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์มานั่งสักคน ส่วนใหญ่จะนั่งอยู่โต๊ะด้านในมากกว่า
ช่วงบ่ายแก่คนมาส่งเอกสารเริ่มบางตาและขาดระยะ คนรับก็เริ่มง่วงสิทีนี้ นั่งหาวหวอด สายตามองตรงไปข้างหน้า
จังหวะนั้นยิ้มเห็นเงาดำๆ เคลื่อนผ่านประตูกระจกออฟฟิศ C ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็ว แต่ที่แน่ๆ ขนลุกวาบสะดุ้งแทบตกเก้าอี้
นั่นออฟฟิศร้างไม่ใช่เหรอ? ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นนิสัยซึ่งจะนำความซวยมาสู่ผู้สาระแน
ยิ้มเดินออกไปด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าออฟฟิศ C แสงอาทิตย์คล้อยบ่ายแยงเข้ามาสุดผนังด้านใน มองกวาดไปเรื่อยๆ
มาสะดุดบริเวณมุมห้อง เห็นเป็นเงาซิลลูเอทพลิ้วไกวอยู่เหนือโต๊ะมองไม่ชัดว่าสัณฐานคืออะไร แต่จะว่าไปก็คล้ายคน
จ้องอยู่สักพักเหมือนมีช่วงหนึ่งที่แสงอัสดงส่องเข้ามาข้างใน โป๊ะเช๊ะเลยครับพี่น้อง ยิ้มแน่ใจว่าเป็นเงาคนห้อยต่องแต่งไปมา
แบบไม่ต้องรอพี่แป๋ง กพลทองม้วนมาพิสูจน์ ยิ้มตกใจร้องเสียงดัง กรี๊ดดดดด!
เพื่อนๆ ที่ทำงานได้ยินรีบวิ่งกรูกันออกมาโถงทางเดิน เห็นน้องใหม่นั่งทรุดอยู่หน้าประตูออฟฟิศ C ทุกคนพร้อมเพรียงมีพิรุธกันหมด
ยิ้มละล่ำละลักบอกว่าเห็นคนอยู่ในออฟฟิศ C ลักษณะเหมือนห้อยบนเพดาน... เหมือนคนผูกคอตาย!?
แก้วปรี่เข้ามาจับไหล่เขย่าเบาๆ บอกว่าตาฝาดแล้วมั้ง ชะโงกมองเข้าไปไม่เห็นอะไรมาไปกว่าเศษฝ้าเก่าห้อยต่องแต่ง
ยิ้มผงกหัวขึ้นไปดูก็เห็นแต่ฝ้าห้อยอยู่อย่างเพื่อนว่า... พากันจูงยิ้มกลับเข้าออฟฟิศ บอกว่าตาฝาดๆ
แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรเพิ่มเติมก็ดันใกล้เลิกงานเสียก่อน ยิ้มเพิ่งสังเกตถึงความแปลกในวันนี้นี่เอง คือเกือบทุกคนเลิกงานตรงเวลามาก
คือใกล้คำว่าลนมากกว่ารีบ ห้าโมงปุ๊บเก็บข้าวของปั๊บ หรือจะเป็นคัลเจอร์ของที่นี่ ในเวลางานทำเต็มที่ นอกเวลาเป็นเรื่องส่วนตัวนะจ๊ะ
แก้วก็ชวนเพื่อนใหม่กลับเช่นเคย แต่พอดีว่ายิ้มติดทำเอกสารด่วน เสร็จแล้วต้องส่งอีเมล์ให้หัวหน้าจึงบอกให้แก้วกลับก่อน
แต่แก้วบอกจะรอเป็นเพื่อน ยิ้มแย้งกลับบอกให้ชิ่งได้เลย ส่วนตัวเองจะรีบทำรีบกลับ ไม่ต้องห่วงอะไรประมาณนั้น
แก้วเองก็ติดธุระ ได้ยินแบบนั้นจึงเดินออกไปดูฝ่ายไอที ฝ่ายบุคคลและมาร์เก็ตติ้งแล้วตะโกนว่า
“น้องใหม่ยังอยู่นะ ใครกลับช้ามาชวนน้องกลับด้วย”
เสร็จแล้วเดินเข้ามาบอกว่าอย่ากลับมืด ยิ้มพยักหน้ารับคิดแต่รีบเคลียร์งานให้เสร็จ ไม่รู้ตัวเลยว่าคืนนี้กำลังโดนรับน้อง...
ขณะนั้นประมาณใกล้หกโมง แดดหรอมแหรม ก็มีพี่ๆ เดินเข้ามาถามว่าใกล้เสร็จรึยังอีกเดี๋ยวจะกลับกันแล้ว ยิ้มก็บอกว่าอีกนิดเดียว
หลายคนก็ทยอยกลับจนหมด เหลือป้าแม่บ้านประจำออฟฟิศที่ไม่รู้ไปเตร่ถึงไหน ยิ้มก็ไม่รู้ว่าถูกทิ้งอย่างไม่ตั้งใจ นั่งทำเอกสาร แก๊กๆๆ
เดินไปถ่ายเอกสาร ส่งไฟล์ กว่าจะเสร็จฟ้ามืดพอดี เดินออกมาดูตามห้องหับต่างๆ ไม่เหลือใครอยู่เลย จึงเดินกลับเข้าไปเก็บของ
ระหว่างเก็บอยู่ๆ โทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น กริ๊งงง
ในใจนี่ด่าก่อนเลยว่าใครหน๋อเสล่อโทรมาตอนนี้ รับปุ๊บ “ฮาโหลค่า”
เงียบ...
สงสัยโทรผิด วางปุ๊บ โทรศัพท์เครื่องแก้วดัง กริ๊งงง ยิ้มก็อุตส่าห์เดินไปรับ “ฮาโหลค่า”
เงียบ...
พอวางปุ๊บ โทรศัพท์ ผจก.ฝ่ายบัญชีดังอีก กริ๊งงง จะไม่รับก็เผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน สาวเท้าวิ่งเข้าไปรับ “ฮาโหลค่า”
เงียบ...
เริ่มฉุน ใครโทรมาแกล้งรึเปล่า... หรือแก้วกับเพื่อน? แต่ยังไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ฝ่ายไอทีดัง ฝ่ายบุคคลดังสลับกันเป็นทอด
เซ้นส์บางอย่างบอกว่าผิดปกติแล้วล่ะ ถ้าใครโทรมาแกล้งเมิงต้องขยันมาก รีบวิ่งไปเก็บของทั้งที่โทรศัพท์ยังดังต่อเนื่อง
สุดท้ายมันดังที่ห้องนาย กริ๊งงง
อ่า... หรือนายโทรมาจริงๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องปากก็ขออนุญาตทั้งที่ไม่มีคนอยู่ พอรับสายคราวนี้ได้ยินเสียง...
เสียงคนหัวเราะ...
เออะ!? มีคนแกล้งรึเปล่าไม่รู้ แต่ทั้งออฟฟิศอยู่แค่คนเดียวไม่กลัวบ้างก็ใจหินเกินไปหน่อยแล้วล่ะ ยิ้มวางโทรศัพท์เบาๆ ดังโครม!
เก็บของเสร็จปากก็ตะโกนเรียกแม่บ้าน แต่ไม่ยักออกมาคิดในใจ ‘ขอโทษนะป้า หนูไปก่อนล่ะ’
โถงทางเดินหน้าลิฟท์เงียบวังเวงได้ใจมาก (ท่านใดทำงานบนออฟฟิศบิลดิ้งแล้วกลับดึกๆ คงเคยสัมผัส)
เหลียวไปมองความมืดสนิทของออฟฟิศ C ภาพเมื่อบ่ายผุดในหัว รีบจ้ำเข้าไปกดปุ่มรัวๆ เสียงดัง กิ๊ง
เป็นขาขึ้น แถมดั๊นนเป็นคนดีไม่เข้าไปอีก มารู้ว่าคิดผิดมหันต์ตอนได้ยินเสียงบางอย่างดังก้องไปทั่ว คล้ายคนเดินลงส้นถ้าหูไม่ฝาด
เสียงดังมาจากบันไดหนีไฟและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ต๊อกแต๊กๆ
ขนงี้ลุกพรึ่บพั่บ ครึ่งใจคิดว่าเป็นแม่บ้าน แต่อีกครึ่งตะโกนว่าแม่บ้านที่ไหนเค้าใส่ส้นสูง
สักพักเสียงลงส้นเงียบไป กลับมีเสียงดังขึ้นอีกฝั่ง เอี๊ยดๆ เหมือนมีอะไรสักอย่างเสียดสี แว่วมาจากไหนทุกท่านที่อ่านถึงบรรทัดนี้คงทราบ
มันดังมาจากออฟฟิศ C เอาจริงๆ ถ้าเป็นช่วงกลางวันความสาระแนอาจมีพลังพอให้ย่องเข้าไปดู แต่ตอนนี้มันฝ่อหมดแล้ว
“มารดาคุณเถอะ ลิฟท์มาเร็วๆ สิคะ” นิ้วเรียวรัวปุ่มยิกๆ
เมื่อเสียงสวรรค์ดัง กิ๊ง ประตูเปิดออกยิ้มพุ่งเข้าด้านใน กดปุ่มแทบพังประตูค่อยๆ เลื่อนปิดช้าๆ เหลืออีกประมาณหนึ่งฝ่ามือจะสนิท
มันกลับเด้งผึงเปิดออก! คล้ายเซ็นเซอร์ทำงานเวลาคนแทรกตัวเข้ามาหรือมีคนข้างนอกกดปุ่ม แต่เผอิญคืนนั้นไม่มีใครเข้ามา
ยิ้มถอยกรูดชิดผนังด้านใน บอกว่าใจเต้นตึกตักยังน้อยไป ต้องว่าบอกว่าตูมตาม กัดฟันชะโงกหน้าออกไปมอง เงียบ... ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
แล้วมันเด้งเปิดได้ไงล่ะ? ระบบรวนเหรอ? กลับเข้ามากดปิดเท่าไหร่แต่ประตูเจ้ากรรมก็ไม่ยอมงับ
กลับเป็นลิฟท์อีกตัวซึ่งอยู่ข้างกันเปิดออกเสียงดัง กิ๊ง (ตามแปลนยิ้มจะไม่เห็น ได้ยินแค่เสียง) คราวนี้ชัดยิ่งกว่าชัดได้ยินเสียงคนเดิน
ต๊อกแต๊กๆ ประมาณสิบก้าวแล้วเงียบ เหมือนว่าเดินไปจนสุดทางเดินซึ่งเป็นที่ตั้งของออฟฟิศ A และ B
จากนั้นยิ้มได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะกลั้วในคอ
“ฮิฮิ”
สวรรค์ทรงโปรดส่งเพื่อนยามค่ำ ชะโงกหน้าออกไปดูอีกรอบ เห็นหางผมผลุบเข้าไปในลิฟท์ และประตูกำลังจะปิดจึงรีบตะโกนว่ารอด้วยค๊า
ได้ผลประตูอลูฯ เด้งเปิดออกแต่ที่ทำให้ยิ้ม ยิ้มไม่ออกคือในลิฟท์ดันไม่มีคน...
ใครกำลังรอลิฟท์ เหลียวรอบตัวด้วยนะ
ระหว่างยืนเอ๋อก้าวขาไม่ออกมีใครคนหนึ่งทักจนสะดุ้ง “อ้าวน้องใหม่ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอจ๊ะ”
ป้าแม่บ้านนั่นเอง (สมมุติชื่อบัว) ก็เข้ามาบอกว่าดึกดื่นทำไมไม่รีบกลับไม่รู้รึว่า... แกเงียบอยู่แค่นั้น
ยิ้มพยายามถาม แกบอกว่าพรุ่งนี้ให้ลองไปถามแก้วดูเอง น้องใหม่กลับบ้านด้วยความงุนงงเป็นวันที่สาม
นอนกลั้นความสงสัยอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ รุ่งเช้าก็ติดงานกันจนใกล้เที่ยงถึงมีโอกาสได้คุย ทันทีที่กลุ่มเพื่อนได้ยินคำถามก็หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พลางเกี่ยงกันว่า ‘แกเล่าสิๆ’ อยู่นั่น ในที่สุดแก้วจึงตัดสินใจเป็นคนเล่าให้ฟังว่า ที่ทุกคนรีบกลับเพราะไม่อยากอยู่ค่ำมืด
มีคนเคยเจอเรื่องแปลกๆ ยิ่งใครอยู่คนเดียวไม่พลาดแจ็คพอคแน่ๆ เช่น นั่งทำงานอยู่เหมือนมีคนเดินไปมาทั่วออฟฟิศ
บางทีโทรศัพท์ดังมั่ง ของตกมั่ง ประตูลิฟท์เปิดเองทั้งที่ยังไม่มีคนกด มีเสียงกดชักโครกทั้งที่คนกลับหมดแล้ว
แก้วเล่าว่าเรื่องแปลกๆ ทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน...
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคารสถานที่ของออฟฟิศบิลดิ้งแห่งนี้ (สมมุติชื่อเหมย) เหมยไม่ใช่คนสวย จัดว่าอยู่กลางๆ
แต่มีดีที่ทรวดทรงองค์เอว ชอบแต่งตัว เป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวที่ชอบสวมรองเท้าส้นสูง เธอเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศโดยเฉพาะกับหนุ่มๆ
บริหารเสน่ห์อยู่บ่อยๆ จนวันหนึ่งเหมยเกิดไปปิ๊งปั๊งกับผู้ชายซึ่งอยู่ออฟฟิศ B เป็นเพื่อนจั๊บชื่อว่าที
แรกๆ ทีก็ไม่สนใจเพราะตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว แต่ไปๆ มาๆ เริ่มใจอ่อนเพราะเหมยเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ บางทีซื้อกาแฟมาฝากถึงออฟฟิศ
หยอกทุกวันถึงเนื้อถึงตัวจนหินแข็งยังเริ่มกร่อน ยังหยอกไปหยอกมาไฟคงเริ่มสปาร์คตามวิสัยบุรุษเพศ
แก้วเล่าต่อว่าหลังจากนั้นเริ่มมีข่าวลือ (ย้ำว่าข่าวลือ) ว่าทั้งสองคนนัดบ่ะบ่ะโอ้บ่ะบ่ะกันในออฟฟิศ C ซึ่งปิดร้างมานาน
(เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคาร หากุญแจสักดอกไม่ใช่เรื่องยาก)
แต่ประเด็นคือคนเก่าคนแก่ที่อยู่ตึกนี้บอกว่า ห้องชุดนั้นแรงมาก สมัยตึกสร้างใหม่ๆ มีคนงานฆ่าตัวตายในห้องชุดนั้น
แต่เจ้าของตึกสั่งให้ปิดข่าว หลังจากนั้นบริษัทไหนมาเช่าไม่นานต้องย้ายออกจนหมด นิมนต์พระมาทำบุญก็ไม่ดีขึ้น
จ้างซินแสมายังส่ายหน้าบอกว่าปิดตายไปดีกว่า
ไม่มีใครรู้ว่าทีกับเหมยเคยเข้าไปทำอะไรห่ามๆ ในนั้นจริงหรือไม่ แต่พอจั๊บรู้เรื่องก็พยายามเตือนเพื่อนว่ามันไม่ดีนะเว้ย นอกใจแฟนไม่พอ
ยังไปลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นอีก... ไม่รู้ว่าเพราะกลัวสิ่งลึกลับหรือเพราะได้เหมยแล้ว ทีเริ่มตีตัวออกห่างหลบหน้าหลบตา
แต่เหมยก็ไม่ใช่หมูในอวย ถึงเป็นหมูก็หมูเขี้ยวตันนะจ๊ะ ตามราวีไม่เลิก ครั้งหนึ่งแฟนที (สมมุติชื่อหน่อย) มาที่ออฟฟิศ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังกลับบ้าน อยู่ๆ เหมยก็โผล่ออกมาแนะนำตัวบอกว่าเป็นเพื่อนกับที แต่เซ้นส์ผู้หญิงบอกหน่อยว่าคนชื่อเหมย
สนิทกับแฟนตัวเองเกินเพื่อนแน่ๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เหมยต้องการอยู่แล้ว ประมาณว่าร่อนสารฉบับเดียวถึงมือผู้รับพร้อมกันสองคน
หลังจากนั้นหน่อยจึงแวะมารอที่ออฟฟิศบ่อยขึ้น ของๆ ใครใครก็รัก (แต่ถ้ารู้เบื้องลึกยังรักรึเปล่าก็ไม่รู้) จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง
ระหว่างรอทีอยู่ด้านล่าง เหมยก็เดินเข้ามาทักแล้วสะดุดทำน้ำหกใส่หน่อย คน (แกล้ง) ซุ่มซ่ามรีบขอโทษขอโพย
แต่มิวายพูดทิ้งท้ายว่า “ดีนะไม่ใช่น้ำกรด”
ตึง!
หลังจากทีรู้เรื่องก็โมโหมาก เพราะรู้ว่านิสัยอย่างเหมยไม่ได้แกล้งพูดเล่นแน่ วันรุ่งขึ้นโทรตามเหมยมาคุยบอกว่าอย่ามายุ่งกับเขาและแฟนอีก
หากไม่ฟังอย่าหาว่าไม่เตือนเหมยลอยหน้าตอบว่ามีอะไรไว้พูดหลังเลิกงาน เธอจะรออยู่ที่เดิม (ออฟฟิศ C)
ช่วงเย็นวันเดียวกันทีเลยชวนจั๊บไปเป็นเพื่อน อย่างน้อยก็มีพยานล่ะนะ ไปถึงประตูเปิดอยู่จึงรู้ว่าเหมยมาถึงแล้ว ทีให้จั๊บรอข้างหน้า
แล้วเข้าไปคนเดียว ออฟฟิศร้างย่อมมืดเป็นของธรรมดาเคยเข้ามาแต่ตอนกลางวันเต็มที่ก็ช่วงเย็น เหม็นอับฝุ่นและกลิ่นฉุนชื้นจำพวกเชื้อรา
ทีเรียกเหมยๆ แต่ไม่มีคนตอบ คิดว่าเหมยคงออกไปทำธุระ กำลังจะเดินออกจากทีได้ยินเสียง เอี๊ยดๆ
ดังมาจากตรงไหนสักแห่ง เริ่มผิดสังเกตจึงเรียกจั๊บตามเข้ามา หากันสักพักได้ยินเสียง ปี๊บๆ ดังมาจากมือถือที
พอหยิบขึ้นมาดูมีข้อความจากเหมยว่า
‘อยู่ในห้องแอร์’
ห้องแอร์ที่ว่าหนุ่มสาวออฟฟิศน่าจะคุ้นเคยกันดี โดยมากจะเป็นห้องปูนเปลือยกว้างพอสมควร ด้านบนมีสารพัดท่อเต็มไปหมด
ภายในมีแอร์และคอมเพรสเซอร์ตัวใหญ่ยักษ์
ทีหงุดหงิดอยู่แล้วความกำหนัดอยู่ที่ศูนย์ ไอ้จะมาเล่นจ้ำจี้ไม่มีอยู่ในสมอง เดินไปถึงห้องแอร์ เปิดประตูผึง!
ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นไม่ได้มีแค่แอร์กับคอมเพรสเซอร์ แสงจากมือถือที่วางอยู่ใต้เท้าส่องเสยร่างเหมยห้อยต่องแต่งอยู่ในนั้น...
ยิ้มรู้สึกว่าแสงนีออนมันหม่นลง แอร์ฉ่ำขึ้น ไม่สามารถครึกครื้นได้ในสองสามชั่วโมงต่อจากนี้ คนฟังนั่งนิ่งเป็นบื้อใบ้
ขนทั่วร่างช่างพร้อมใจตั้งตรง ถามเสียงสั่นว่าที่เล่ามาเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย ไม่ได้แกล้งรับน้องเราใช่มั้ย ถ้าแกล้งโกรธจริงๆ นะ
สาวบัญชีสี่คนพยักหน้าพร้อมกันว่า “เรื่องจริงเว้ยแก”
ยิ้มพยายามถามต่อว่าหลังจากนั้นเป็นยังไงแก้วก็บอกว่ารู้แค่นี้ พอดี๊พอดี ผจก.ฝ่ายบัญชีเข้ามาบอกว่ากุเรื่องหลอกน้องใหม่อีกแล้วนะพวกเธอ
สภากาแฟสลายโต๋ชั่วคราว แก้วกระซิบหมุบหมิบ ‘กุเกอะอาร้าย วันที่พบศพ ผจก.เผ่นกลับบ้านคนแรก’
ก่อนบอกว่าเดี๋ยวรีบทำงานให้เสร็จจะได้กลับพร้อมๆ กับชาวบ้านเค้า
ยิ้มรีบเคลียร์เอกสารเรียบร้อยประมาณสี่โมงกว่า พอว่างใช้วิธีบ้านๆ เข้า Google เสิร์ชชื่ออาคาร XXX + ฆ่าตัวตาย แต่ไม่มีข้อมูลขึ้น
ก็ไม่แปลกมันจะมีได้ยังไงคนตายเยอะแยะ หรือจริงๆ แล้วเพื่อนตัวดีรวมหัวกันแกล้ง เอาน่ะฟังหูไว้หูไม่เสียหาย
ใกล้ห้าโมงเตรียมตัวกลับบ้าน แต่วันนี้ความซวยตกบนบ่าแก้วแทน เจองานด่วนซะงั้น จึงอ้อนวอนให้ยิ้มรอเป็นเพื่อน
อาศัยช่วงรอ ยิ้มเดินไปหาป้าบัวถามข้อมูลอีกฝั่งจะได้รู้ไปเลยว่าโดนรวมหัวกันแกล้งรึเปล่า แต่ประโยคแรกที่แม่บ้านตอบกลับคือ
“เรื่องนี้เงียบไปนานแล้วนะ เพิ่งมาลือไม่กี่วันนี่เอง คนที่เจอก็น้องใหม่ที่ลาออกไปยังไงล่ะ”
ตึง! ยิ้มเค้นถามป้าบัว ป้าบอกแค่ว่าคนพูดกันแบบนั้น จริงไม่จริงไม่รู้เพราะวันต่อมาน้องคนนั้นก็ไม่มาทำงานอีกเลย
แค่โทรมาบอกฝ่ายบุคคลว่า 'หนูไม่มาแล้วนะคะ หนูกลัว'
ป้าบอกต่อไอ้เรื่องที่คนบอกว่าได้ยินเสียงแปลกๆ ช่วงหัวค่ำเป็นต้นไป เห็นคนพูดกันหลายปากแต่ตัวป้าอยู่รอปิดออฟิศไม่เคยเจอ
คิดว่าคนคงพูดกันไปเองมากกว่า ยิ้มเดินอึนๆ กลับฝ่าย แก้วบอกว่าใกล้เสร็จแล้วเตรียมตัวได้เลย น้องใหม่จึงเดินไปเข้าห้องน้ำ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเจอความพีคในพีค...
ออฟฟิศช่วงหัวค่ำเงียบแสนเงียบ ไฟกว่าครึ่งปิดเรียบร้อย ยิ้มเดินเข้าห้องน้ำหญิง ด้านในมีห้องแยกอีก 2 ห้อง
นั่งทำธุระส่วนตัวอยู่ครู่เดียวได้ยินเสียงแบบเดิมแว่วมาอีก เอี๊ยดๆ รอบนี้แทรกปูนมาเลยจ่ะ คนได้ยินสะดุ้งเฮือกเพราะห้องน้ำ
ผนังมันติดกับออฟฟิศตรงข้าม คุณพระ.... เลือกผิดห้องแล้ว พอตั้งใจฟังเสียงก็เงียบไป พอล่ะ... สาระแนพอละ ไปดีกว่า
ยิ้มกดชักโครก ครืด แต่พอเสียงน้ำไหลลงท่อจนหยดสุดท้าย ดันตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อประตูห้องน้ำหญิงเด้งเปิดออก แอ๊ดดด
หือ!? น้องใหม่กำลังแต่งตัวชะงักนิ่ง เมื่อมีเสียงคนก้าวเข้ามาในห้องน้ำหญิงดัง ต๊อกแต๊กๆ
เงาทอดเข้ามาตรงช่องว่างระหว่างพื้นถึงขอบประตูล่าง เดินมาหยุดตรงห้องที่ยิ้มเข้าอยู่ เห็นปลายรองเท้าสีดำแพล่มเข้ามานิดหนึ่ง
เลยถามออกไปว่า “แก้วเหรอ” เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ เงานั้นยังยืนหันหน้าเข้าหาประตู ไรขนสมัครสมานลุกพรึ่บทันที
“ไม่เล่นแบบนี้นะแก” ยิ้มตะโกนแต่ไม่มีคนตอบอีก ตัดใจผลักประตูออกไปดู จังหวะนั้นเหมือนกับที่เคยก่อนหน้าหลายๆ ครั้ง
คือช่วงเส้นยาแดงผ่าแปดที่ตัดสินว่ามีหรือไม่อะไรสิ่งนั้นก็ผลุบหายไป คราวนี้เงานั้นหายเข้าไปในห้องน้ำอีกห้องปิดประตูดังปึง
คิดในใจใครอ่ะ? พนักงานที่ยังไม่กลับเหรอ? เพิ่งทำงานไม่กี่วันจะทักก็เกรงใจ เอาเป็นว่ารีบล้างมือแล้วกลับบ้านดีกว่า
ยิ้มล้างมือด้วยสบู่เหลวแว่บเดียวจริงๆ หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างส่ายไปมา ค่อยๆ ลอบมองขึ้นไป
พอเห็นเต็มสองตาตกใจแทบหมดลม... ภาพสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ ห้องหนึ่งคือห้องที่ยิ้มเพิ่งเดินออกมา
แต่อีกห้องสิดันมีอะไรแปลกๆ ห้อยอยู่ เป็นผ้าสีน้ำเงินลักษณะเหมือนผ้าที่เอาไว้คลุมโต๊ะสมัยก่อนเนื้อมันๆ เลื่อมๆ
ม้วนเป็นปล้องบิดจนเป็นเกลียวแน่น แล่บทิ้งตัวลงมาจากฝ้า ห้อยรั้งเหมือนมีอะไรหนักๆ ถ่วงผ้าจนตึงเปรี๊ยะ วินาทีต่อมาก็เริ่มไกวคล้ายลูกตุ้ม
เสียดสีดัง เอี๊ยดๆ พร้อมเสียงอึกอักๆ คล้ายคนกำลังหมดลมไม่ก็จมน้ำ
ยิ้มร้องลั่น กรี๊ดดดดด! วิ่งพรวดเดียวออกมาจากห้องน้ำ เจอแก้วและป้าบัววิ่งเข้ามาพอดี ถามว่าเป็นอะไร ยิ้มใจเต้นตึกตักบอกว่ามีใครไม่รู้อยู่ในห้องน้ำหญิง หันไปจ้องหน้าป้าบัวถามว่ายังเหลือใครอีกรึเปล่า ป้าบัวตอบว่าเหลือกันแค่สามคนนี่ล่ะ เดินไล่ดูทุกห้องเสร็จแล้วจึงเดินไปลงกลอน
ไม่มีใครเข้า-ออกได้แน่ๆ... พูดแบบนี้ก็งานงอกสิป้า! แก้วถามต่อว่าเห็นอะไร
“ไม่รู้อ่ะ แต่เหมือนคนกำลังผูกคอ” ขนแขนแสตนอัพโดยพร้อมเพรียง
ป้าบัวอาสาขอเข้าไปดู คือจริงๆ ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ แต่อยากดูให้เห็นจะๆ ไปเลย ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป แต่น่าแปลก
ห้องน้ำทั้งสองห้องว่างเปล่า ป้าบัวเลยบอกว่าตาฝาดแล้วมั้ง ฟังคนเล่าเรื่องสยองจนเห็นภาพหลอนรึเปล่า
แกปิดประตูอย่างเดิม บ่นร่ำๆ ว่ากลัวกันไปเองทั้งนั้น อยู่มาตั้งนานไม่เห็นเคยเจออะไรสักที กำลังเดินเข้าไปสมทบสองสาว
ยังไม่ทันจะก้าวดันมีเสียงกดชักโครกดังมาจากด้านในตามด้วยเสียง เอี๊ยดๆ
สามสาวเหลือกตาอ้าปากค้าง ไม่ต้องตั้งกระทู้พันทิปให้เสียเวลา มติเป็นเอกฉันท์ว่า ‘เผ่นสิคะ รออะไรล่ะ’
เตลิดแยกย้ายกันไปเก็บของด่วนจี้ ป้าบัวรีบเปิดไฟทุกดวงสว่างโร่ ก่ะจะเปิดยันเช้านั่นล่ะ ใครจะว่าเปลืองมาเก็บตังค์ที่นี่เลย
อย่างน้อยก็หารสามล่ะ (วะ) รอจนสองสาวออกมา ปิดประตูล็อคกลอน วิ่งไปกดลิฟท์ก็ไม่ยอมมาจนผิดสังเกต
อย่างที่ทราบว่าช่วงค่ำลิฟท์จะมาค่อนข้างไว เพราะไม่ค่อยมีคนใช้แล้ว นี่รออยู่หลายนาทีมันก็ไม่มาราวกับรู้ว่ามีคนร้อนใจรอเธออยู่ตรงนี้
ตอนแรกคิดว่าอยู่กันสามคนยังไงก็ยังไหว แต่พอได้ยินเสียง ต๊อกแต๊กๆ ดังมาจากออฟฟิศ C ไอ้ที่คิดผิดหมด
รีบวิ่งลงบันไดหนีไฟไปรอลิฟท์ชั้น 11 แทน แต่เสียงคนเดินดังก้องอยู่เหมือนกำลังลงบันไดหนีไฟมาเหมือนกัน
เวรแล้วไง ลิฟท์ก็ไม่มาสักที สุดท้ายตัดสินใจว่า 'วิ่งลงบันไดหนีไฟอีกฝั่งจนถึงชั้นล่างนั่นล่ะ'
พอเข้ามาอยู่ในโถงแคบๆ เสียงยิ่งก้องกว่าเดิม แต่ไม่มีใครสนใจฟังแล้วจ้า ควบเป็นม้าเซ็กเธาว์ 10 ชั้นใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที
ลงมายืนหอบด้านล่าง เสียงยิ้มเริ่มแข็งว่า มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกอีกรึเปล่า แก้วก็บอกว่าไม่รู้ ที่รู้ก็บอกไปหมดแล้ว
รู้แค่เหมยตายในออฟฟิศ C ก็เท่านั้น ถ้าอยากรู้รายละเอียดให้ไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์
ซึ่งบังเอิญว่าหนึ่งในนั้นกำลังยืนซื้อกาแฟอยู่ค๊อฟฟี่ช็อป
"นั่นไงๆ เจอตัวพอดี พวกเราไปถามจั๊บให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า" แก้วว่า
เดินเข้าไปในร้านล้อมหน้าล้อมหลัง จั๊บก็งง แต่พอแก้วพูดถึงเรื่องการตายของเหมย หน้าหล่อๆ ก็ซีดไปเหมือนกัน
จั๊บเล่าให้ฟังว่า วันนั้นหลังจากพบศพเหมยในห้องแอร์ออฟฟิศ C เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง
สองหนุ่มได้ยินก็เสียวหลังวาบ... เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง แล้วใครเป็นคนส่งแมสเสจมา (วะ)
วันรุ่งขึ้นทีเข้ามาคุยบอกว่ารู้จักนิสัยเหมยดี คนอย่างเหมยไม่มีวันฆ่าตัวตายล้านเปอร์เซ็น มันต้องมีอะไรแน่ๆ
หรือว่าจะเกี่ยวกับเจ้าที่ที่จั๊บเคยบอก จั๊บกับทีไล่ถามจนไปเจอ รปภ.สูงวัยคนหนึ่ง แกก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน
บอกแค่ว่าตั้งแต่ตอนสร้างตึก มีคนงานฆ่าตัวตายในห้องนั้นมากกว่า 1 คน จนกลัวกันไปทั่ว แรกๆ บอกว่าสงสัยวิญญาณ
คนเสียชีวิตเฮี้ยนจัดจึงทำให้ห้องนั้นเกิดแต่เรื่องตลอดเวลา ใครมาเช่าอยู่ได้ไม่นานก็ต้องออก จนเจ้าของเชิญซินแสมาดู
ทันทีที่มาถึงซินแสคนนั้นบอกว่า ห้องชุดนี้เจ้าที่แรงมาก อย่าคิดทำอะไรส่งๆ เดชๆ เด็ดขาด ภัยจะถึงตัวเอาง่ายๆ
ทางที่ดีให้ปิดตายไว้อย่าให้ใครเข้าเท่านี้ก็ไม่น่ามีปัญหา สำคัญคืออย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาด
แต่ทีกับเหมยกล้าเข้าไป...
หลังจากนั้นจึงเริ่มมีเรื่องเกิดขึ้นเป็นประจำ ใครที่เลิกงานดึกๆ มักเจออะไรแปลกๆ ตลอด จนในที่สุดบริษัท A ทนไม่ไหวต้องย้ายออก
ชั้น 12 จึงเหลือแค่ 2 บริษัทที่ยังเช่าอยู่ คนที่เจอหนักสุดคือที พอแฟนรู้เรื่องก็ขอเลิก ส่วนตัวมันบอกว่าได้ยินเสียง
แปลกๆ จนแทบเป็นบ้า เอี๊ยดๆ อยู่ได้ทุกวัน หรือบางทีเดินอยู่คนเดียวกลับรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามตลอด
หน้าตาหมองคล้ำ จึงไปปรึกษากับพระอาจารย์ที่นับถือท่านบอกว่าให้ลาออกจากที่ทำงานเสีย ขืนอยู่ต่อไปได้ตายแน่นอน
ในที่สุดทีก็ลาออก หลังจากนั้นเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ส่วนจั๊บเองก็กำลังหางานใหม่ถ้าได้คงลาออกเหมือนกัน
ให้ใช้ชีวิตหวาดระแวงแบบนี้คงไม่ไหว สุดท้ายก่อนแยกกันจั๊บบอกทั้งสามคนว่า ถ้ามีโอกาสก็หาที่ทำงานใหม่ซะ
เพราะมีคนบอกมาว่าเหมยจะไม่ใช่ศพสุดท้าย
ยิ้มได้รับคำตอบสำหรับเสียงปริศนาที่คาใจแล้ว แต่สำหรับเรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นไม่ใช่หน้าที่เธอค้นหาคำตอบ
ใครหาญกล้าอยากท้าทายก็ปล่อยเขาไป วันรุ่งขึ้นจึงตัดใจยื่นใบลาออกเหมือนกับน้องใหม่สองคนก่อนหน้า
หลังจากนั้นแก้วก็ลาออกตามไปติดๆ สุดท้ายสิ่งที่ยิ้ม พิมพ์ใจกับเพื่อนๆ เจอ เป็นความจริงไม่คงมีแต่เจ้าตัวที่รู้
หรือบางทีอาจเป็นอย่างที่อัลบัส ดัมเบิ้ลดอร์พูดไว้ก็ได้นะครับ
“ร่างที่ตายแล้วไม่มีอะไรน่ากลัว และความมืดก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเหมือนกัน ความไม่รู้จักต่างหากที่เรากลัว”
ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ
Post a Comment