' บ้านผมไม่มีคนอยู่ '
' บ้านผมไม่มีคนอยู่ ' เป็นเรื่องจากเจ้าชายนักเล่าจากพันทิปคุณ ลอยชาย ต้องขอขอบคุณสำหรับเรื่องราวหลอนๆที่ส่งต่อชาวผีสยองหนองกระจายไว้ ณ ที่นี้ด้วย ด้วยเรื่องที่กล่าวไปตอนต้น บ้านผมไม่มีคนอยู่จะเป็นอย่างไรเชิญรับชมกันเลย
เรื่องนี้อาจจะยาวสักหน่อยนะครับ อย่างไรก็ลองติดตามอ่านกันดูจบในคืนนี้แน่นอนครับ
ความอยากรู้อยากเห็นน่าจะเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยกำลังโตไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆก็ตาม เหมือนกับผมในตอนนั้นที่มีความอยากรู้อยากเห็นเต็มกระบุงพร้อมจะหยิบเอามาใช้ได้ทุกเมื่อ
เรื่องผี เป็นเรื่องหนึ่งที่ใครหลายคนคงเฝ้าสงสัยและอยากพิสูจน์ ผมและเพื่อนๆก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าพวกผมไม่เคยคิดเลยว่าโอกาสในการพิสูจน์ความลี้ลับของวิญญาณนั้นจะอยู่ใกล้ตัวพวกผมเหลือเกิน
ในช่วงมัธยมต้นผมยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดิมก่อนที่จะย้ายออกมาในช่วงใกล้จบมัธยมปลาย ในหมู่บ้านมีทั้งหมด 7 ซอยเรียงอยู่ฝั่งขวา ซ้ายมือจะเป็นทาวน์เฮ้าส์เกือบทั้งหมด มีบ้านบ้านเดี่ยวบ้างเป็นบางหลัง
ผมเกือบจะเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในหมู่บ้าน แต่ถ้านับเฉพาะ ชาวแก๊งค์ ในสมัยนั้นผมก็คือเด็กที่สุดอยู่ดีนั่นแหละโดยจะมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อายุเท่ากันเป็นเพื่อนสนิท
พี่ๆในกลุ่มอีกหลายคนมีอายุที่ห่างกันค่อนข้างมาก ที่ผมจำได้คือผมที่อยู่ประมาณม. 2 ม. 3 นั้นพี่ๆเขาอยู่ประมาณ ม.5 กันแล้ว บางคนก็เรียนมหาวิทยาลัย โตสุดก็มีการมีงานทำแล้วเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าจะมีความต่างในเรื่องของอายุแต่ความสนิทสนมของพวกเราก็มีมากไม่แพ้กลุ่มเพื่อนในวัยเดียวกันอาจเป็นเพราะพวกเราโตมาด้วยกัน รู้จักกันตั้งแต่เริ่มจำความได้ เข้าออกบ้านกันได้ตลอดเวลาเหมือนเป็นบ้านตัวเอง พ่อแม่ของพี่ๆทุกคนใจดีและยินดีต้อนรับเด็กๆเสมอ ช่างเป็นวัยเด็กที่น่าคิดถึงเสียจริง
ในหมู่บ้านจะมีร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางหมู่บ้านพอดี เป็นบ้านฝั่งทาวเฮ้าส์ไม่ได้อยู่ในซอย บ้านผมที่อยู่ในซอยต้นๆของหมู่บ้านจะต้องเดินออกมาไกลหน่อยแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย
ร้านอาหารตามสั่งที่มีความเป็นกันเองเหมือนญาติผู้ใหญ่และยังมีเคาท์เตอร์นมปั่นและของกินเล่นอีกหลายอย่างทำให้พวกผมมักจะมานั่งรวมตัวกันในช่วงเย็นของทุกๆวัน
หัวข้อการสนทนานั้นเปลี่ยนไปในแต่ละวัน และหนึ่งเรื่องที่ผมชอบฟังเป็นอย่างมากคือ เรื่องผี ในตอนนั้นผมยังไม่เหมือนตอนนี้ คือ รู้บ้างแต่ไม่หมด พอจะเห็นแต่ก็ไม่ชัด แม้จะชัดก็ไม่ค่อนเข้าใจในความหมายของมันสักเท่าไหร่ อีกอย่างชีวิตในช่วงนั้นมีอย่างอื่นให้สนใจกว่ามากทั้ง เกมส์ และ ดนตรี
ผมชอบฟังพี่ๆเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมการไป ลองผี ตามสถานที่ต่างๆในจังหวัด บางคนที่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆก็เคยขี่มอเตอร์ไซด์ไปลองผีกันเสียถึงชายขอบพิจิตร แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้า
ผมเคยรบเร้าขอให้พวกพี่ๆพาผมไปด้วยอยู่หลายครั้งแต่ด้วยความที่ผมยังอายุน้อยและอีกอย่างคือแม่ของผมนั้นค่อนข้างเป็นที่เกรงใจของคนในหมู่บ้านทำให้พวกพี่ๆมีแต่คำตอบเดิมๆกลับมาเสมอ
‘เออน่า โตแล้วเดี๋ยวพาไป’
ในความทรงจำของผมมีครั้งหนึ่งที่จำได้ดีและรู้สึก เสียดาย เป็นอย่างมากที่ไม่ได้ร่วมวงไปกับเขาด้วย เป็นอีกครั้งที่น้อยใจกับตัวเองว่า ทำไมเราไม่เกิดให้เร็วกว่านี้นะ จะได้ไปกับเขาได้
วันนั้นผมนั่งกินข้าวเย็นอยู่ใน ‘ร้านพี่น้ำ’ เหมือนอย่างปกติกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง วันนั้นไม่มีใครมาเลยมีแค่ผมสองคนซึ่งผิดปกติและมันก็น่าจะหมายถึง พวกพี่ๆต้องแอบไปทำอะไรกันมาอีกแน่ๆ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอิจฉาพวกพี่ๆคือพวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันทำให้ได้เจอกันทุกวันทั้งวันไปโรงเรียนด้วยกันกลับด้วยกัน ไปเล่นดนตรี ไปเตะบอล ส่วนผมนั้นเรียนคนละโรงเรียนด้วยเหตุผลที่ว่า แม่ไม่ยอมให้ไปเรียนที่นั่นตามพี่ๆบังคับให้ผมเข้ามาเรียนโรงเรียนในเครือมหาวิทยาลัย ขนาดทำข้อสอบแบบไม่ยอมอ่านโจทย์พอประกาศผลออกมา ผมติดเสียอย่างนั้น ทำให้ไม่มีข้ออ้างในการไปเรียนที่อื่น
ผมกับเพื่อนคิดเหมือนกันเลยตัดสินใจ รอ ผมจำได้ว่าช่วงประมาณ2 3 ทุ่มเห็นจะได้กว่าพวกพี่เขาจะกลับมา เสียงรถมอเตอร์ไซด์ประมาณ 5 6 คันได้มาจากทางหน้าหมู่บ้านทำให้พวกเรารู้ว่า พวกพี่เขากลับมาแล้ว
ทุกคนไม่ได้ขี่รถกลับเข้าบ้านแต่มาจอดรวมกันอยู่ที่หน้าร้านพี่น้ำซึ่งเป็นภาพประจำ แต่วันนั้นพอพวกพี่เขาจอดรถได้ก็รีบวิ่งกรูเข้ามาในร้านเข้าไปกอดป้าน้อยที่เป็นแม่เจ้าของร้านกันหมดแล้วร้องไห้ด้วยความกลัว
ใช้เวลาอยู่นานกว่าพวกพี่ๆจะตั้งสติได้ ป้าน้อยมานั่งปลอบจนไม่ได้ทำกับข้าวกับปลา ได้ความว่าพวกพี่ๆเขาไปลองผีกันอีกแล้วที่บ้านร้างชื่อดังในพิษณุโลก สมัยนั้นยังไม่ได้มีคนเข้าไปดูแลทำความสะอาดเหมือนในสมัยนี้ เรียกว่าน่ากลัวมาก
จากคำบอกเล่าของ พี่ต้น ที่โตสุดในกลุ่มบอกว่าเจอกันเต็มๆ เพียงก้าวขึ้นบันไดบ้านไปไม่กี่ขั้นก็มีผู้หญิงแต่งตัวโทรมๆผมเผ้ารุงรังมายืนรอรับอยู่บนขอบบันไดชั้นบนสุด พี่บอลที่ไม่กล้าเข้าไปเลยอาสาเฝ้ามอเตอร์ไซด์อยู่ข้างนอกก็ใช่ว่าจะรอด ที่รั้วกำแพงของบ้านร้างนั้นแม้ว่าจะมีต้นไม้รกครึ้มจนไม่น่าจะมีที่ว่างพอให้คนนั่ง ตรงนั้นกลับมาขาของใครบางคนห้อยลงมาแกว่งไปมาในอากาศจนพี่บอลแทบจะเป็นลม
ระหว่างทางกลับทุกคนกลัวมากแถมในตอนท้ายก่อนจะพ้นเขตของหมู่บ้านนั้นไปได้พี่ต้นก็เกือบจะรถค่ำกลางถนนเพราะผู้หญิงคนเดียวกับที่พี่ต้นเห็นตรงชั้นสองของบ้าน เธอปรากฏตัวอยู่กลางถนนแล้วกระโจนเข้าใส่หน้าของพี่ต้นอย่างจัง แม้จะไม่มีแรงปะทะแต่ด้วยความตกใจก็ทำให้รถเขวจนเกือบคว่ำ
เรื่องราวในวันนั้นน่าตื่นเต้นมากสำหรับผมและพวกพี่ๆที่เรียกได้ว่าเป็นนักเลงใจถึงในสมัยนั้นกลับกลัวตัวสั่นถึงขนาดนี้มันคงไม่ธรรมดา และนั่นเองคือสาเหตุที่ผมกับเพื่อนๆในโรงเรียนพากันไปลองบ้านผีในเวลาต่อมาซึ่งเคยเล่าไว้แล้วในกระทู้ก่อนๆนานพอสมควร
ป้าน้อยที่เป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านเข้าบ้านไปเอาน้ำมนต์ในห้องพระมาประพรมให้ทุกคนเป็นขวัญกำลังใจ เมื่อทุกคนสบายใจขึ้นแล้วก็สั่งอาหารมานั่งกินกันตามปกติ และบทสนทนาในคืนนั้นก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความกลัวที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
การไปเยือนบ้านร้างในครั้งนั้นเหมือนเป็นการเริ่มต้นอะไรบางอย่าง พวกเราคิดกันอย่างนั้น เพราะหลังจากที่ทุกคนกลับมาจากที่แห่งนั้นแล้วชีวิตของทุกคนก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย เรื่องราวแปลกๆหลายอย่างเกิดขึ้น
พี่ต้นที่เป็นแกนนำเจอตั้งแต่คืนแรกที่กลับมาจากบ้านร้าง ในช่วงกลางดึกระหว่างที่กำลังอาบน้ำพี่ต้นได้ยินเสียงเหมือนมีของแข็งตกกระทบลงบนหลังคาบ้านใกล้ๆกับห้องน้ำ เจ้าตัวบอกว่าจากเสียงและน้ำหนักน่าจะเป็น มะม่วง เพราะมันไม่ได้มีเสียงกระแทกแหลมเหมือนก้อนหิน
แต่เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ต้องสะดุ้งแทบสุดตัวเพราะนึกขึ้นได้ว่าบ้านตัวเองไม่มีต้นไม้ที่สูงพอจะเลยหลังคาบ้านได้เลย
เรื่องนี้เป็นประเด็นสนทนาในวันต่อมาตามคาด แต่เรื่องของพี่ต้นนั้นถือว่าเบาไปเลยเมื่อเทียบกับ พี่บอล ที่ไปด้วยกัน เป็นเรื่องที่แปลกพอสมควรเหมือนกันทั้งที่ในวันนั้นมีตั้งหลายคนไปด้วยกันแต่กลับมีแค่ พี่ต้น และ พี่บอล ที่ได้รับผลกระทบ
คืนแรกเช่นกันพี่บอลบอกว่าฝัน แน่ใจว่าเป็นฝันแต่ก็ยังคิดเอาเองในด้านดีว่าคงจะเป็นความกลัวที่ตกค้างอยู่ในใจมากกว่าก็ตาม
ตรงหน้าต่างในห้องนอนของพี่บอลมีภาพของใครบางคนเดินผ่านไปมาหลายครั้ง เหมือนจงใจอยากให้เห็น ในฝันนั้นค่อนข้างชัดเจนแต่ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นนอกจากเงาคนในความมืด
ในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนยังแอบมองตรงมุมทางเดินแคบๆข้างบ้านที่ติดกับห้องนอน แม้ว่าจะพอมีช่องว่างอยู่บ้างแต่ก็คนต้องให้เด็กไม่เกินสองขวบเข้าไปเดินถึงจะทำได้ แต่ในความฝันเงาร่างนั้นสูงเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งคงจะเป็นไปได้ยาก
สำหรับพี่ต้นคืนนั้นเป็นคืนเดียวที่เกิดเรื่องราวน่าประหลาดขึ้นผิดกับพี่บอลที่ไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุด ซ้ำยังเพิ่มขึ้นใหม่ในทุกๆวัน
ในช่วงกลางคืนส่วนมากพี่บอลจะชอบนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องนอนเป็นประจำ คืนนั้นเป็นเหมือนทุกคืนเวลาน่าจะรวมๆเกือบตีหนึ่งตีสอง ระหว่างที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่นั้นเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากหลังบ้าน
เสียงกรอบแกรบคล้ายคนเหยียบเดินบนสังกะสีเก่าๆ คนต่างจังหวัดอย่างพวกผมค่อนข้างคุ้นเคยกับเสียงสังกะสีพอสมควรเพียงได้ยินแว่วๆก็เข้าใจได้ว่ามันเป็นเสียงของอะไร
เสียงแกรบกราบยังดังอยู่เป็นระยะๆ บ้านพี่บอลนั้นเป็นโซนทาวน์เฮ้าส์ของหมู่บ้านซึ่งเป็นขอบหมู่บ้านพอดีหลังบ้านไปนั้นจะเป็นชุมชนเก่าในละแวกนั้น ส่วนมากยังเป็นหนองน้ำว่างๆมีบ้านชองชาวสลัมอยู่บ้างประปราย
ขโมย นั่นคือสิ่งที่พี่บอลคิดในตอนนั้น ด้วยวัยและนิสัยส่วนตัวทำให้ความกลัวมีอยู่น้อยมากกว่าความเลือดร้อนของตน พี่บอลหยิบเอาไม้กอล์ฟของพ่อที่ใส่ถุงวางไว้ในบ้านติดมือไป
เสียงนั้นดังมาจากส่วนหลังบ้านใกล้ห้องครัว เขาค่อยๆย่องไปช้าๆ เสียงนั้นยังดังอยู่แสดงว่าเจ้าของเสียงยังไม่ได้ไปไหน พี่บอลผลักประตูหลังบ้านออกอย่างแรกเงื้อเหล็กในมือเตรียมจะฟาด
ที่ตรงนั้นไม่มีอะไร มีเพียงความว่างเปล่ายามค่ำคืน แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบ มันอาจจะหลบหนีไปแล้วก็ได้ พี่บอลขยับฝีเท้าเข้าใกล้กำแพงบ้านที่มีความสูงไม่มากประมาณคางเท่านั้น เมื่อปีนดูจึงได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด
ที่ตรงนั้นโล่ง กว้าง เป็นหนองน้ำสกปรกเก่าๆ ไม่มีบ้านหรือสังกะสีอะไรเหมือนอย่างที่คิดไว้
กรอบ....
อีกครั้งที่เสียงสังกะสีดังขึ้นในความมืด คราวนี้เสียงนั้นใกล้ ใกล้จนรู้สึกว่ามันดังอยู่ด้านหลังของตัวเอง ถ้าเพียงหันไปก็จะได้เห็นว่ามันเกิดจากอะไร
พี่บอลหันหลังขวับด้วยความตกใจปนความกลัวแล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตกใจเสร็จหรือคิดอะไรได้ หางตาของพี่บอลแวบเห็นเงาสีดำบางอย่างผ่านเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
ความกล้าที่เคยมีหดหายไปหมดกลายเป็นว่าขาแข็งจนก้าวไม่ออก พี่บอลใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติเหงื่อที่มือซึมจนเผลอทำไม้กอล์ฟตกลงไปบนพื้นเสียงดัง เสียงเหล็กกระทบกับปูนทำให้ตัวคนถือเองยังสะดุ้งด้วยความตกใจ
เมื่อได้สติเขาค่อยๆก้าวกลับเข้าไปในบ้านอย่างหวาดระแวง ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้พบเจอกับเงาร่างนั้น ถ้าเขาไม่ได้เพิ่งไปลองดีที่บ้านร้างมา เขาเชื่อว่าตัวเขาเองจะไม่ขี้ขลาดอย่างนี้
คืนนั้นพี่บอลกลัวจนนอนไม่หลับถึงกับต้องแอบไปเอายาแก้แพ้กับลดน้ำมูกมากินรวมกันเพื่อให้ง่วงตามความรู้ของเด็กวัยนั้น แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะหลับลงได้ด้วยฤทธิ์ยาแต่เมื่อตื่นกลับรู้สึกล้าจนน่าเป็นห่วง
ในช่วงเช้าพี่บอลถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของแม่ตามปกติ ระหว่างนั่งกินข้าวเช้าก่อนออกไปโรงเรียนเหมือนอย่างในทุกๆวันแม่ก็ถามขึ้นมาว่า
‘เมื่อคืนขึ้นมาทำอะไรลูก ดึกๆดื่นๆ เรียกก็ไม่หัน’
‘เมื่อคืน?’
‘ใช่ แม่เรียกตั้งนานก็ไม่ตอบ’
จากคำบอกเล่าของแม่ในคืนนั้นคือช่วงกลางดึกน่าจะเป็นหลังจากที่พี่บอลออกไปตามหาที่มาของเสียงสังกะสี แม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนที่กำลังจะกลับเข้าห้องนอนแม่เห็นเงาร่างหนึ่งเดินอยู่ในความมืดชั้นสอง ห้องนอนพี่บอลอยู่ชั้นหนึ่งชั้นสอจะมีแค่ห้องของพ่อกับแม่เท่านั้น
เงาร่างนั้นเดินย่างช้าๆอยู่ตรงทางเดิน แม่ส่งเสียงเรียกพี่บอลแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่แม่หันหลังกลับไปปิดไฟห้องน้ำ เงาร่างนั้นก็เดินลงบันไดไปในความมืด แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ในบ้านจะมีใครได้นอกจากลูกชายตัวดีของแม่
พี่บอลพูดตลกกลบเกลื่อนไปเพราะตัวเองก็ยังกลัวอยู่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่การจะให้แม่ต้องมากังวลด้วยนั้นก็คงจะเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงไว้ก่อน
พี่ต้นมารอทีหน้าบ้านเหมือนในทุกๆวัน กลุ่มเพื่อนๆขี่มอเตอร์ไซด์ไปโรงเรียนกันตามปกติระหว่างวันพี่บอลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆฟัง ทุกคนไม่มีคำตอบบ้างก็ว่าคิดมาก บ้างก็ว่าเป็นผลมาจากบ้านร้างหลังนั้น
ในช่วงเย็นผมได้รับ SMS จากพี่บอลว่าให้กลับมาบ้านเร็วหน่อยเจอกันที่ร้านพี่น้ำ ในช่วงนั้นผมยังไม่รู้จักไลน์ยังไม่ได้เล่นเฟสเลยการติดต่อเดียวคือการโทรหรือข้อความโทรศัพท์เท่านั้น
เลิกเรียนวันนั้นผมไม่ได้รอให้แม่มารับที่โรงเรียนเหมือนปกติเพราะอยากจะรีบกลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆในใจหวังว่าจะเป็นการชักชวนหรือยินยอมให้ผมได้ออกไปผจญภัยกับพวกพี่ๆเสียที
หลังจากลงรถมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่บ้านอยู่ถัดไปอีกสองสามหมู่บ้านแวะมาส่ง ผมก็ตรงไปที่ร้านพี่น้ำก่อนจะเข้าบ้านตัวเองเสียอีก วันนั้นเวลาน่าจะประมาณเกือบๆสี่โมงเย็นยังไม่ถึงสี่โมงดี
ผมไปถึงเป็นคนแรก เพราะยังไม่มีใครเข้ามา ร้านพี่น้ำก็ยังเตรียมไม่เสร็จไม่ได้จัดโต๊ะจัดร้านเลย ผมที่ว่างๆจึงอาสาช่วยพี่น้ำกับป้าน้อยฆ่าเวลา
‘พี่น้ำเห็นพวกพี่บอลกลับมายังครับ’
‘เอ.. น่าจะกลับมาแล้วนะพี่เห็นคนนั่งเล่นอยู่ในบ้าน แต่ไม่ได้ตั้งใจมอง’
เพียงไม่ทันจะคุยกันจบกลุ่มมอเตอร์ไซด์ของพวกพี่ๆก็เข้ามาในหมู่บ้านทันที ทุกคนยังอยู่ในชุดนักเรียนหลุดลุ่ยและทุกคนก็เหมือนกับผม พวกเรามักจะแวะมาที่ร้านนี้ก่อนเข้าบ้านเสมอๆ
ผมทักทายทุกคนด้วยความตื่นเต้นแต่สีหน้าของพี่ๆดูจะไม่คิดเช่นเดียวกับผม เพื่อทำลายความเงียบผมจึงต้องชวนพี่ๆเขาคุยให้สบายอารมณ์ขึ้นสักเล็กน้อย
‘ไปไหนมาพี่ เห็นว่าอยู่บ้าน ออกไปตอนไหนไม่เห็นเลย’
‘บ้านอะไร กรุเพิ่งมาจากโรงเรียนเนี่ย’ พี่บอลตอบ
‘อ้าว ก็พี่น้ำบอกเห็นพี่ที่บ้าน’
จากการช่วยบรรเทากลายเป็นการสุมไฟเสียมากกว่าบรรยากาศดูอึมครึมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พี่น้ำที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ต้องหันกลับมานั่งคุยกับพวกเราแทน
ในช่วงบ่ายๆมีออเดอร์จากซอยท้ายหมู่บ้านให้ไปส่งข้าว ระหว่างทางกลับพี่น้ำหันไปมองบ้านพี่บอลด้วยความเคยชินก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงม้าหินหน้าบ้าน หรือพื้นก็ไม่แน่ใจ แต่ยังยืนยันว่ามีคนอยู่ในนั้นจริงๆ
‘บ้านผมไม่มีคนอยู่’
พี่บอลยืนยันเสียงแข็งว่าที่บ้านตัวเองต้องไม่มีใครอยู่ในเวลาแบบนี้ ทั้งพ่อและแม่เป็นข้าราชการจะมาอยู่บ้านได้อย่างไร ตัวเองก็เพิ่งจะกลับมาจากโรงเรียนยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แม้ว่าพี่บอลจะยืนยันแต่พี่น้ำก็ยืนยันเช่นกันเมื่อทั้งสองคนมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด การพิสูจน์จึงเริ่มขึ้น
พวกเราเดินตรงไปยังบ้านของพี่บอลเพื่อพิสูจน์สิ่งที่คิด เพียงแค่พวกเราไปถึงรั้วบ้านของพี่บอลเท่านั้นเราก็ได้คำตอบ เพราะแม่กุญแจที่รั้วหน้าบ้านยังถูกล็อคอยู่ในสภาพเดิมก่อนออกจากบ้าน มีหรือที่คนล็อคกับมือจะจำไม่ได้
กุญแจถูกไขออกประตูเปิดกว้างเพื่อให้ทุกคนเข้าไปสำรวจในบ้านตามจุดต่างๆที่พบเจอเรื่องราวแปลกๆ มีสองคนที่เหมือนจะรู้สึกถึงความผิดปกติภายในบ้าน
หนึ่งในนั้นคือผม ทันทีที่ก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในบ้านหลังนั้น ความรู้สึกพะอืดพะอมมวนท้องก็ปรากฏกับตัวจนเผลอเอามืออุดปากกลัวว่าจะอ้วกออกมาเสียตรงนั้น กลิ่นเหม็นอับคล้ายที่ที่ไม่ถูกแสงแดดมานานไม่มีอากาศถ่ายเท
ผมรู้สึกเวียนหัวจนเหมือนกับพื้นมันไม่อยู่กับที่การทรงตัวเริ่มเป็นเรื่องยาก ดีที่มีมือหนึ่งเข้ามาประคองไม่ให้ล้มลงไป
‘ใจเย็นๆลูก ใจเย็นๆ เขาแรง เราต้องไม่กลัว’
แม้ผมจะรู้มาบ้างว่า ป้าน้อย รู้เรื่องพวกนี้พอสมควรแต่ก็ไม่คิดว่าจะมากมายขนาดนี้ ป้าพยุงผมให้เดินไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่มือของป้ามาแต่ที่ตัวความทรมานก็ทุเลาลงอย่างประหลาด
พวกเราเข้าไปสำรวจจนทั่วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร ซึ่งก็มีคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นมาว่า แล้วไอ้ที่เราว่าจะมาหา เรามาหาอะไร
ไม่มีใครตอบ เมื่อไม่มีคำตอบทุกคนก็กลับไปยังร้านของพี่น้ำ ในตอนนั้นความคิดของทุกคนเชื่อไปแล้วกว่าครึ่งว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของผีสางนางไม้อย่างแน่นอน และทุกคนก็เชื่อว่าสาเหตุมันคงมาจาก บ้านร้างหลังนั้น
พวกเราจำเป็นต้องรอ รอจนกว่าพี่น้ำจะปิดร้านเพื่อให้ป้าน้อยที่ปกติจะเป็นแม่ครัวมีเวลาว่างมานั่งคุยกับพวกเราถึงทางออกและทางแก้
เวลาราว 5 ทุ่ม พี่น้ำก็ปิดรับออเดอร์ตามปกติ ในตอนนั้นเหลือแค่ ผม พี่บอล แล้วก็พี่ต้น เท่านั้นคนอื่นๆแยกย้ายกลับบ้านกันไปหมดแล้วเพราะมันดึกพอสมควรดีที่คืนนั้นแม่ผมติดเวรไม่อย่างนั้นผมก็คงจะต้องถูกตามกลับบ้านไปด้วยอย่างแน่นอน
ป้าน้อยเป็นคนรุ่นเก่าอายุ70นิดๆ ทำให้มีความรู้ตามความเชื่อมาค่อนข้างมากบวกกับความสนใจส่วนตัวในพุทธศาสนา ป้าเลยกลายเป็นที่พึ่งของใครหลายๆคนรอบๆตัว
เราไม่ได้เล่าย้อนความกันไปอีกครั้งเพราะในคราวที่แล้วทุกคนได้เล่าไว้พอสมควรแล้ว สิ่งที่ป้าน้อยทำมีแค่การสวดมนต์เพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แม้ว่าจะมีความรู้มาก แม้ว่าจะมีสัมผัสมากกว่าคนทั่วไปแต่ก็ยังไม่สามารถจะมองเห็นหรือติดต่อกับวิญญาณใดๆได้
ป้าน้อยหยิบเอาใบตองมาหอเป็นกรวยเล็กๆเด็ดเอาดอกไม้ที่ปลูกไว้ตกแต่งร้านมาประดับกรวย ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะมีดอกไม้รวมกันข้าวสาวและเม็ดถั่วเขียนเป็น 5 ชนิด ทำทั้งหมด 2 อันสำหรับ พี่บอลและพี่ต้น
หน้าร้านของพี่น้ำเป็นทางสามแพร่งเหมือนกับบ้านของพี่บอลด้วยแปลนของหมู่บ้าน ทั้งสองคนมีกรวยคนละอันและธูปในมืออีก 16 ดอก ป้าน้อยอธิบายว่าการทำพิธีดังกล่าวเป็นไปเพื่อบอกกล่าวฟ้าดินถึงความสำนึกผิดและคำขอโทษของเราเสียก่อน เพื่อให้ความอาฆาตมาดร้ายนั้นเบาลงพอจะพูดคุยหรือเปิดช่องทางให้ได้แก้ไขกันบ้าง
ธูปและกรวยดอกไม้ถูกปักวางไว้ตรงโคนต้นไม้นอกบ้าน ป้าน้อยยังไม่อนุญาตให้ทั้งสองคนกลับไปต้องรอให้ธูปหมดดอกเสียก่อนจึงจะปลอดภัย ระหว่างนั้นพวกเราได้แต่นั่งคุยกันไปเรื่อยๆเพื่อรอเวลา
กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งลอยมาตามลม เสียงนั้นยังแว่วไกลห่างออกไปหลายซอย แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆจะรู้ว่าเสียงกระดิ่งนั้นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้พวกเราไปทีละนิดๆ
‘ใครมันมาขี่จักรยานเวลานี้วะ’
ด้วยความปากไวของพี่ต้นจึงเผลอทักออกไป ป้าน้อยได้แต่ยิ้มๆ แล้วช่วยเปลี่ยนเรื่องไป เสียงกระดิ่งในคืนนั้นคงเป็นเสียงเดียวกับเรื่องที่ผมเคยเล่าไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้ชื่อ ยามวิกาล เสียงกระดิ่งลาดตระเวนของน้ายามที่ยังไม่ไหนแม้จะเสียชีวิตมานานแล้ว
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เสียงกระดิ่งนั้นหายไป เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงเราก็ออกไปดูก้านธูปที่ปักไว้เพื่อจะเก็บทิ้งให้เรียบร้อย แต่ทุกคนก็ต้องใจหล่นวูบ
ทั้งสองกองมีธูปเหลือหนึ่งดอกที่ยังไม่หมด มันไม่ได้เกิดจากการจุดที่ไม่ดี เพราะก้านธูปที่ตั้งอยู่นั้น หักครึ่ง ไม่ต้องรอให้ไฟลามไปจนหมด มันหักเสียก่อน
มันคงไม่แปลกมากนักถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับกองธูปทั้งสองพร้อมๆกันและเหมือนกัน ป้าน้อยถอนหายใจด้วยความกังวลรีบบอกให้ทั้งสองคนต้องกลับไปไหว้ขอขมาเขาที่บ้านหลังนั้น โทษฐานที่ไปรบกวนเขาอย่างตั้งใจ
คืนนั้นจบลงโดยที่ไม่มีอะไรดีขึ้น เขาหรือเธอ ที่ตามมาจากบ้านหลังนั้นคงไม่ยอมปล่อยจนกว่าคนทั้งสองจะกลับไปขอโทษเขาหรือไม่ก็จนกว่าเขาจะได้เอาคืนอย่างสมใจ
พี่บอลกลับเข้าบ้านในเวลาร่วมตีหนึ่งพ่อกับแม่หลับหมดแล้ว พี่บอลเข้าห้องนอนในทันทีไม่อาบน้ำหรือทำอะไรอีก แม้อยากจะหลับก็ยากเหลือเกินที่จะหลับลงในเวลาอย่างนี้
เขาเลือกที่จะไม่เปิดไฟไม่เปิดคอมพิวเตอร์ คลุมโปงพยายามหลับตาเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาหลับง่ายขึ้น ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะร่างกายจะได้พักผ่อน
เวลาล่วงไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ พี่บอลตื่นขึ้นมาในภวังค์เคว้งคว้างเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นหรือว่าเมาก็ไม่เชิง ในสติอันเรือนรางนั้นสิ่งเดียวที่จำได้คือเสียงกระดิ่งจักรยานที่ดังระงมอยู่บริเวณหน้าบ้านอย่างน่ารำคาญ
เสียงนั้นไม่เหมือนคนขี่รถเล่นแต่เหมือนต้องการจะปลุกคนให้ตื่นเสียมากกว่า เสียงกระดิ่งดังลอยเคว้งในอากาศจนแทบจะดังอยู่ข้างหู นอกจากเสียงอันน่ารำคาญนั้นที่ปลายจมูกยังมีกลิ่นหนึ่งที่ชัดเจนและจดจำได้แทบจะในทันที
คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำอย่างพี่บอลมีหรือจะจำกลิ่นยาเส้นราคาถูกที่ตัวเองเคยแอบไปซื้อมาลองไม่ได้ ยาเส้นราคาถูกซองละไม่ถึงสิบบาทต้องมานั่งม้วนเองกว่าจะได้สูบ กลิ่นนั้นอวลอยู่ใกล้ตัว
กลิ่นที่คุ้นเคยเหมือนจะปลุกให้สติตื่นตัว พี่บอลกำลังจะหลุดจากภวังค์เข้าสู่อาการตื่นเต็มที่แต่เหมือนสตินั้นก็ขาดไปอีกครั้ง ที่ด้านหลังของเขานั้นไม่รู้ว่ามีใครอยู่หรือไม่ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าเขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักและสัมผัสของใครบางคนที่อยู่ใกล้กับตัว
แม้ไม่เห็นแต่รับรู้ได้ ใครบางคนค่อยๆก้มตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนได้ยินเสียงหายใจที่ติดขัดเหมือนคนสุขภาพไม่ดี ครั้งที่สูดหายใจเข้ามีเสียง ครืด น่าขนลุก
ความรูสึกสุดท้ายในคืนนั้นคือสัมผัสของมือหยาบกร้านแตะลงตรงหันไหล่และกกหู มือนั้นไม่ได้ออกแรงกดเพียงแต่ก้มหน้าลงมาหายใจหนักๆให้ได้ยินเท่านั้น
ในตอนเช้าพี่บอลสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเกือบ 7 โมง ความทรงจำเมื่อคืนยังคงชัดเจนในความรู้สึก แต่เมื่อตั้งตัวนั่งตรงก็รู้สึกปวดหัวแปลบตามเนื้อตัวรู้สึกคันยุบยิบร้อนๆหนาวๆสลับกันเหมือนเป็นไข้
พี่บอลออกมานั่งรอที่โต๊ะอาหารบอกกับแม่ว่าเหมือนตนจะไม่สบาย ซึ่งมันก็จริงตัวพี่บอลร้อนมีไข้รุมๆจึงได้รับอนุญาตให้หยุดเรียนหนึ่งวันพักรักษาตัวให้หายเสียก่อน
หลังจากที่พ่อกับแม่ออกไปทำงานแล้วพี่ต้นที่มารอรับไปโรงเรียนด้วยกันก็โทรมาว่า ไม่อยากไปโรงเรียน อยากจะไปจัดการขอขมาให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน พอดีกับพี่บอลที่ต้องหยุดเรียนพอดี
ทั้งสองคนเก็บตัวอยู่ในบ้านรอเวลาโรงเรียนเลิกให้เพื่อนคนอื่นๆที่ร่วมทางไปลองผีกันมาพร้อมก่อนจะไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ ในช่วงบ่ายพี่บอลกินยาเข้าไปเป็นรอบที่สองของวันแล้วนอนพักตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น
ฤทธิ์ยาทำให้ง่วง ระหว่างที่หลับอยู่นั้นเหมือนพี่บอลถูกปลุกอีกครั้ง ร่างกายหนักอึ้งเปลือกตาเหมือนก้อนหินยากที่จะลืมตื่นให้เต็มตาทำได้เพียงหรี่ตาครึ่งหนึ่งมองไปยังที่ว่างรอบๆตัวเท่านั้น
ในภวังค์นั้นพี่บอลเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆสายตา ระยะห่างแค่หนึ่งช่วงแขนเท่านั้น ถ้าเอื้อมมือไปก็คงจะถึง เงาร่างนั้นชัดเจนมากกว่าจะเรียกว่าเงา รางของชายอายุน่าจะมากพอควรผิวหนังแห้งหยาบกร้านนั่งหันหลังให้เขา
ร่างนั้นผิวคล้ำหรือจะต้องบอกว่ากรำแดดดีก็ไม่แน่ใจ ร่างนั้นไม่ได้ใส่เสื้อมีกางเกงเก่าๆขาดๆตัวเดียว ท่านั่งชันเข่าข้างเดียวนั้นยิ่งทำให้ดูน่ากลัว พี่บอลพยายามขยับตัวยกมือขึ้นมาประนม แม้จะกลัวแต่ก็ไม่กล้าที่จะหลับตา
‘ผมขอโทษๆๆๆ ผมจะรีบไปๆ’
พี่บอลจำได้แค่ว่าเขาพูดคำเดิมซ้ำๆวนไปวนมาหลายรอบเพราะความกลัว แล้วภาพมันก็ตัดไปตอนไหนไม่รู้เหมือนกัน
พี่ต้นกับเพื่อนๆมารออยู่ที่หน้าบ้านเปิดประตูเข้ามาปลุกคนที่ยังนอนหลับอยู่บนโซฟา พี่บอลหลับไปนานเหมือนกันจนเวลาเกือบ 5 โมงเย็นเห็นจะได้ อีกครั้งที่ผมไม่ได้ตามพวกพี่เขาไปด้วยได้แต่รอฟังเท่านั้น
ป้าน้อยกำชับเอาไว้ว่าต้องไปและกลับมาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตราย ข้าวของต้องเตรียมไปให้พร้อมน้ำขนมอาหารคาวหวานธูปเทียน ทุกคนลงขันกันคนละเล็กละน้อยจนได้ข้าวของมาพอสมควร
บ้านนั้นอยู่ไกลออกไปจนต้องใช้เวลาในการเดินทาง เป็นครั้งแรกที่พี่บอลได้เข้ามาในตัวบ้าน ภาพของเท้าคนตรงกำแพงยังติดตา ทุกคนเลือกตำแหน่งเดียวกับที่พี่ต้นพบเจอวิญญาณหญิงสาวในคราวที่แล้ว
ไม่มีใครเดินขึ้นไปถึงชั้นสองดี ทุกคนยืนออกันอยู่บนบันไดใช้สองมือเอื้อมไปวางถาดอาหารเท่านั้น ธูปเท่าจำนวนคนถูกแจกจ่ายและจุดปักลงบนอาหารที่นับมาพอดีคนเช่นกัน
ไม่มีคำขอขมาใดเป็นพิเศษนอกจากคำว่า ขอโทษ และสัญญาว่าหลังจากนี้จะทำบุญกรวดน้ำตามไปให้อีกครั้งเมื่อมีโอกาส
ทุกคนกลับออกมาทันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน คราวนี้ทุกคนทำตามคำแนะนำของป้าน้อยอย่างดี ส่วนสุดท้ายที่ต้องทำก็คือ
ให้ทุกคนกลับออกมาในทันทีโดยห้ามหันหลังกลับไปมองเด็ดขาดและเพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงท้าย รถมอเตอร์ไซด์ของทุกคนจึงถูกจอดหันหลังให้ตัวบ้านพร้อมจะออกตัวในทันที
พี่บอลเป็นคนซ้อนเพราะไข้ยังไม่หายดีนักแล้วด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรไม่เข้าใจรถคันที่พี่บอลนั่งกลับเป็นคันสุดท้ายที่ได้ออกตัวไปจากตรงนั้น
‘อือ...’
คล้ายเสียงครางในลำคอแว่วมาจากด้านหลังด้วยความตกใจจึงเผลอหันหลังกลับอย่างลืมตัว สายตามองกวาดและสะดุดกับภาพของครอบครัวหนึ่งที่มายืนส่งหรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ
หญิงสาวอายุน่าจะสามสิบกว่าๆข้างกันนั้นมีผู้ชายอักคนอายุไล่เลี่ยกัน เธออุ้มเด็กตัวเล็กๆไว้ในอ้อมแขนในมือของชายหนุ่มมีเด็กน้อยอีกคนยืนจับมือกันท่าทางน่ารักหากไม่ติดว่าพวกเขาอยู่ในสภาพที่จมไปด้วยเลย
ตามเนื้อตัวมีบาดแผลแม้จะมองแค่แวบเดียวก็จำได้ รางรัดที่คอของฝ่ายชาย รอยมีดที่คอของฝ่ายหญิงใบหน้าของเด็กน้อยที่บวมช้ำเหมือนถูกทบตี พวกเขาออกมายืนมอง ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก เหมือนกับจะพูดว่า
‘ไปให้ไกล แล้วอย่ากลับมาอีก’
ตลอดทางพี่บอลนั่งซุกหลังเพื่อนอย่างเงียบๆไม่กล้าเล่าสิ่งที่เห็นให้ใครฟังเพราะกลัวว่าเพื่อนๆจะว่าเอาได้ที่เขาหลังหลังกลับไปมองขัดคำแนะนำของป้าน้อย
ทุกคนกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยพร้อมๆกับไข้ที่ลดลงจนเกือบจะหายดี ทุกคนมารวมกันที่ร้านพี่น้ำเพื่อรายงานทุกอย่างให้ป้าน้อยฟังที่สำคัญคือทุกคนอยากจะฉลองให้กับความโล่งใจในครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงอาหารตามสั่งคนละจานเท่านั้นก็สนุกสนานไม่แพ้วงเหล้าทีเดียว
ผมตามมาในช่วงค่ำๆทันที่จะได้นั่งกินข้าวกับพวกพี่ๆเขาพอดี ระหว่างที่กินข้าวกันอยู่พี่บอลก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ว่า คืนนี้ไม่ได้กลับบ้านมีคนฝากเวรด่วนปฏิเสธไม่ได้ทำให้ต้องนอนเฝ้าสำนักงานหนึ่งคืน เพิ่งกลับไปเอาเสื้อผ้ามาแล้วเมื่อเย็นล๊อคบ้านไว้เรียบร้อย แม่ห่วงอาการป่วยของพี่บอลมากกว่าแต่ก็ต้องทำงาน พี่บอลเลยตัดสินใจว่าจะไปนอนบ้านพี่ต้นที่อยู่ถัดไปไม่กี่ซอย แม่จะได้สบายใจว่ามีเพื่อนในยามฉุกเฉิน
เมื่อทางสะดวกพี่บอลจึงนั่งเล่นอยู่ที่ร้านต่อจนร้านปิดเพราะความสนุก ก่อนจะกลับบ้านพี่บอลรีบวิ่งกลับเข้ามาในร้านทันที ตรงทางสามแพร่งหน้าร้านนั้นจะมีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดไว้เป็นประจำเป็นรถของคนมาอยู่ใหม่ในซอยที่เป็นบ้านเช่า ปกติก็จะเปลี่ยนหน้ากันมาเรื่อยๆ รายนี้ก็เพิ่งจะมาเช่นกัน
รถรุ่นใหม่จอดอยู่ตรงฟุตบาทฝั่งตรงข้ามร้าน ด้วยความอยากรู้จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่กลายเป็นว่าในรถนั้นมีคนนั่งอยู่ พี่บอลขาอ่อนแทบจะล้มลงบนถนนปูนเพราะคนที่นั่งในรถนั้น ไม่มีหัว
ที่นั่งข้างคนขับนั้นมีร่างของชายหรือหญิงไม่แน่ใจนั่งอยู่ เนื้อตัวมีแผลเต็มไปหมดและตั้งแต่ส่วนคอขึ้นไปมีแต่ความว่างเปล่า เพียงเท่านั้นก็ต้องวิ่งก่อนจะได้มองอะไรให้ดีๆแล้ว
ป้าน้อยที่เห็นท่าไม่ดีจึงเอาพระเครื่องให้พี่บอลชิ้นหนึ่งพกติดตัวบอกว่าเมื่อสบายใจขึ้นแล้วค่อยเอามาคืน มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่จะพบเจอวิญญาณติดๆกันหลังไปทำเรื่องไม่ดีมา
ในช่วงกลางคืนเมื่อไปนอนเล่นที่บ้านพี่ต้นแล้วทั้งสองคนก็เลยเล่นเกมกันไปยาวๆ สักประมาณเที่ยงคืน พี่เบียร์ ที่อยู่ซอยต้นๆเหมือนกันผมมีปัญหาเรื่องคอมพิวเตอร์อยากจะให้พี่บอลช่วยดูให้หน่อย
พี่บอลบอกให้ยกคอมมาให้ที่บ้านพี่ต้นเลยกำลังเล่นเกมกันอยู่พอดี ไม่นานพี่เบียร์ก็โทรกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
‘ไม่ลงมาเปิดสักทีวะ กรุตะโกนเรียกตั้งนาน’
‘ไหนวะ พวกกรุก็อยู่หน้าบ้านเนี่ยไม่เห็นมีใคร’
‘ก็กรุอยู่หน้าบ้านยิ้มเนี่ย แล้วบอกอยู่บ้านไอ้ต้นนะ’
‘ก็กรุอยู่บ้านไอ้ต้นเนี่ย นั่งอยู่ข้างๆกรุเลย’
‘กวนตรีนละ กรุเห็นคนนั่งอยู่ตรงห้องนั่งเล่นตรงทีวีบ้านยิ้มเนี่ย’
‘เห้ย... บ้านกรุไม่มีคนอยู่’
พี่บอลโยนโทรศัพท์ให้พี่ต้นคุยแทนส่วนตัวเองรีบกดโทรศัพท์บ้านไปหาพ่อกับแม่เผื่อว่าจะเป็นทั้งสองคนที่กลับมาเร็วกว่าที่บอกไว้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคำตอบคืออะไร พ่อกับแม่ไม่ได้กลับมาบ้าน ทุกคนยังอยู่ที่สำนักงาน แล้วใครกันที่อยู่ในบ้านนั้น
ไม่ทันได้หันไปพูดอะไรกันพี่เบียร์ก็มาถึงหน้าบ้านพี่ต้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางตื่นกลัวพอสมควร ทุกคนเข้ามารวมกันตรงห้องนั่งเล่นส่วนหน้าของบ้านที่เป็นที่วางคอมพิวเตอร์
‘เห้ยไอ้บอล เราไปดูกันหน่อยไหมวะ เผื่อใครงัดบ้านยิ้ม’
‘ไม่ต้องไปหรอก เชื่อกรุ’
พี่เบียร์ขัดขึ้นมาท่าทางจริงจังทุกคนไม่ถามต่อเพราะรู้ว่าเขาจะเล่าเอง สาเหตุที่ทำให้พี่เบียร์ตรงมายังบ้านพี่ต้นคือ หลังจากที่ส่งเสียงเรียกพักใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนในบ้านจะสนใจ รถยนต์ของพ่อกับแม่ก็ไม่อยู่แต่พอจะเปิดรั้วเข้าไปก็เห็นว่ามันคล้องแม่กุญแจไว้ เลยโทรหาพี่บอล
ระหว่างที่คุยโทรศัพท์นั้นพี่เบียร์ก็พยายามชะเง้อมองภายในบ้านให้คนข้างในสังเกตเพราะคิดว่าเพื่อนแกล้ง แต่กลายเป็นว่าเงาของคนในบ้านนั้นไม่ได้สนใจเขาเลย เงานั้นนั่งนิ่งๆเหมือนเหม่อลอย และเมื่อเพ่งดูดีๆก็ได้เห็นว่าในนั้น ไม่ได้มีคนเดียว
น่าจะประมาณสามหรือสี่คน มีคนเดินอยู่ทั่วๆบ้านทั้งข้างนอกและข้างใน สิ่งที่ทำให้แน่ใจว่านั่นไม่ใช่คนก็คือ ถนนในหมู่บ้านผมนั้นมีไฟถนนตลอดทางสว่างมากไม่มีทางที่แสงไฟจะไม่สะท้อนให้เห็นรูปร่างหน้าตาของคนที่มาเดินเพ่นพ่านอยู่นอกบ้าน
ร่างพวกนั้นหม่นเหมือนไม่มีสีเหมือนมีหมอกสีดำจางๆปกคลุมพวกเขาทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เพียงเท่านั้นพี่เบียร์ก็ตัดสินใจบิดรถมาท้ายหมู่บ้านที่เป็นบ้านของพี่ต้นทันที
หรือว่าเขาจะยังไม่หายโกรธเราที่ไปยุ่งกับบ้านร้างของเขา? นั่นคือสิ่งที่พี่เบียร์คิดแต่พอคิดดูให้ดีอีกทีทำไมถึงมีแต่พี่บอลที่พบเจอเรื่องราวแปลกๆ ทำไมถึงเกิดขึ้นกับบ้านของพี่บอลเพียงคนเดียว
ถ้ามันใช่อย่างที่คิดจริงๆ ถ้ามาจากบ้านร้างหลังนั้นจริงๆคืนนี้ เขาทั้งสามคนคงจะต้องได้เจอดีบ้าง เลยกลายเป็นว่าวันนั้นทั้งสามคนตัดสินใจนอนรวมกันที่บ้านของพี่ต้น
ตลอดทั้งคืนทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี ทุกคนหลับสบายไม่มีใครพบเจออะไรใดๆทั้งสิ้น พี่บอลตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ หน้าจอโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่าเป็นแม่ที่โทรมา เมื่อดูจากนาฬิกาก็คิดว่าคงได้เวลาที่แม่กับพ่อออกเวรพอดี
พี่บอลขี่มอเตอร์ไซด์กลับมาที่บ้านแล้วก็พบว่าแม่กำลังถูบริเวณห้องนั่งเล่นอยู่
‘อ้าวแม่ มาถึงก็เอาเลยหรอ’
‘ก็บอลนั่นแหละใส่รองเท้าเข้ามาในบ้านใช่ไหม ดินเต็มบ้านไปหมดแล้วเนี่ย’
พี่บนขนลุกวาบไปทั้งตัว เจ้าตัวแน่ใจว่าไม่ใช่เขาก่อนออกจากบ้านก็ตรวจดูดีแล้วว่าเรียบร้อยดีเพราะกลัวว่าแม่จะกลับมาบ่นอย่างในตอนนี้ แม่ไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไรเพราะมันมีหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องเป็นฝีมือของลูกชายเธอแน่ๆ
รอยดินที่เปื้อนอยู่ในบ้านนั้นมันตกเป็นทางตรงจากประตูหน้าบ้านไปยังห้องนอนของพี่บอลซึ่งอยู่ชั้นล่าง หากใครมาเห็นก็ต้องคิดอยู่แล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าของห้อง พี่บอลเงียบไม่กล้าพูดอะไรเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะร้ายแรงหรือไม่ ถ้าบอกแม่ไปว่าไปบ้านร้างมาก็คงจะโดนบ่นอีก
วันนั้นพี่บอลไปโรงเรียนตามปกติความสนุกสนานในโรงเรียนช่วยลบเรื่องราวแย่ๆในใจไปได้บ้างแต่ก็กลายเป็นว่าพี่บอลเริ่มเห็นเงาดำตามหลือบมุมของโรงเรียนอยู่หลายครั้ง บางครั้งเห็นเป็นรูปร่างเป็นคนชัดเจนก็มี เหมือนกับว่าเหตุการณ์ในบ้านร้างทำให้สัมผัสพิเศษของเจ้าตัวค่อยๆตื่นขึ้นมา
ในช่วงเย็นวันนั้นพี่บอลไม่ได้ออกมากินข้าวที่ร้านพี่น้ำแต่ตามออกมานั่งกินขนมในช่วงค่ำๆแทน หน้าตาเคร่งเครียดจนเริ่มดูหมองน่าเป็นห่วงทีเดียว
เมื่อกลับมาถึงบ้านได้ไม่นานพ่อกับแม่ก็กลับมาถึงพร้อมเรียกให้พี่บอลมานั่งคุยกันสักหน่อย ตอนแรกก็คิดไปว่าอาจจะจับได้เรื่องที่แอบสูบบุหรี่แต่จริงๆแล้วเปล่าเลย เรื่องที่พ่อกับแม่พูดมันมากกว่านั้น
‘เมื่อบ่ายป้าเขาแวะมาที่บ้านเรา เพิ่งไปเที่ยวมาเลยเอาของมาฝาก’
‘แล้วฝากใครไว้ พ่อกับแม่ไปทำงานนี่นา บอลก็ไปเรียน’
‘เขาว่าบ้านเรามีคนสวน’
‘คนสวน!?’
ช่วงบ่ายวันนี้ป้าแท้ๆของพี่บอลแวะเอาของฝากมาให้โดยไม่ได้บอกล่วงหน้ากะว่าจะฝากข้างบ้านไหว้เหมือนทุกทีเพราะก็ค่อนข้างคุ้นเคยกันแต่กลายเป็นว่าวันนั้นมีคนนั่งอยู่ตรงม้าหินหน้าบ้านตรงที่เป็นสวนหย่อมเล็กๆ
ด้วยความเข้าใจไปเองของคุณป้าจึงคิดว่าเป็นคนที่จ้างมาทำสวนเลยฝากของไว้แต่ก็แปลกที่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ลุกมารับของสักทีบ้านก็ไม่มาไขเปิดให้จนรู้สึกหงุดหงิดเลยแขวนของไว้ที่รั้วพร้อมบ่นไปว่าจะมารายงานแม่ของพี่บอลที่ทำงานไม่ดีไม่มีมารยาท
ท่าทางของคนเล่าดูไม่มีเค้าความหลอกลวงหรืออำเล่นเสียด้วยเพราะน้ำเสียงนั้นหงุดหงิดจริง แม้ว่าแม่จะปฏิเสธก็กลายเป็นว่าเข้าข้างไปแทนเสียนี่
กลางวันแสกๆใครจะคิดว่ามีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น ในตอนนั้นคงเป็นจังหวะที่ดีทำให้พี่บอลหลุดปากออกไปว่ารอยดินรอยเท้านั้นน่ะไม่ใช่ของพี่บอล แต่มันอาจจะเป็น ผี เพราะก่อนหน้านี้เบียร์มันก็เจอเหมือนกัน พี่บอลเล่าแค่บางส่วนยังไม่ได้เล่าในส่วนที่เกิดขึ้นเฉพาะกับตัวเองให้แม่กับพ่อฟัง
แม้ว่าพ่อจะพยายามพูดกลบเกลื่อนแต่ทุกคนก็เริ่มมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นในใจ ช่วงกลางคืนแม่ของพี่บอลสวดมนต์ไหว้พระแล้วเผลอหลุดปากไปด้วยความขาดสติว่า
‘ผีสางที่ไหนมันมาก่อกวนขออย่าให้มันเป็นสุขเลย’
หลังจากหลุดปากไปแม่ก็คิดได้ทันทีว่าไม่ควรเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น แม่รีบกราบพระขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่พี่บอลที่นั่งเล่นคอมอยู่ในห้องก็เริ่มกลัวห้องนอนตัวเองจนต้องเปิดไฟให้สว่างไว้ทุกดวงแม้กระทั่งไฟข้างบ้านหลังบ้านก็ไม่เว้น
คืนนั้นคนที่ซวยไม่ใช่พี่บอลแต่เป็นแม่ ตอนที่ลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึกแล้วกำลังจะกลับเข้าห้องนอนตรงระเบียงบันไดลงไปชั้นล่างจะเป็นระเบียงไม้เป็นช่องๆทำให้มองลอดได้ ตรงช่องว่างนั้นติดกับพื้นชั้นสองมีจุดแดงๆเล็กๆเหมือนกับไฟจากธูปไฟฟ้า แม่บอกอย่างนั้น
ด้วยความงัวเงียบวกกับอายุที่มากทำให้ต้องเพ่งสายตาในการมองกว่าจะเห็นชัด และเมื่อเห็นได้ชัดไฟดวงแดงๆนั้นไม่ใช่หลอดไฟหรือปลั๊กสามตาอย่างที่คิด มันเป็นหัวคน ใบหน้าของคนขนาดใหญ่กว่าช่องว่างระหว่างซี่ไม้มองจ้องมาที่แม่อย่างไม่พอใจ คางของเขาวางพอดีกับพื้นชั้นสองนั่นหมายความว่าเขาอาจจะยืนอยู่ตรังขั้นบันได แต่เมื่อคิดดีแล้วก็จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนสูงเกินสองเมตรในบ้านหลังนี้
แม่วิ่งกลับเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็ว และมันก็กลายเป็นว่าแม่สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงเหมือนเรื่องเมื่อสักครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น แต่ทำไมฝันนั้นจึงแจ่มชัดและเหมือนจริงได้ขนาดนั้น
แม่ล้มตัวลงหลับตัวด้วยความอ่อนเพลียจากอาการสะดุ้งตื่น ในช่วงค่อนแจ้งแม่บอกอย่างนั้นเพราะว่าได้ยินเสียงไก่จากชุมชนหลังบ้านขันให้สัญญาณตามธรรมชาติ
หลังจากรู้สึกตัวเต็มที่ก็ตั้งใจว่าจะลุกแต่กลายเป็นว่างร่างกายไม่ยอมขยับตาม สติที่ดีครบถ้วนทำให้สามารถคิดวิเคราะห์ได้ทุกอย่างและสมองก็ดันไปโยงเอาความฝันอันน่ากลัวนั้นกลับเข้ามาในความทรงจำ และในแทบจะทันทีเมื่อสายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้
ที่ข้างเตียงถัดไปไม่ไกลมีเงาร่างหนึ่งนั่งตะคุ่มอยู่ เงาร่างนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชายไม่ใส่เสื้อผ้า เขานั่งชันเข่าข้างหนึ่งในมือเหมือนถืออะไรบางอย่างไว้ เขาหันมามองแม่ด้วยสีหน้าอย่างไรไม่อาจทราบได้ เมื่อเห็นดังนั้นแม่ก็กรีดร้องอย่างสุดเสียงในความคิด แต่มันคงไม่มีเสียงใดลอดออกมา พ่อที่นอนอยู่ข้างๆยังเงียบอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใด
แม่หลับหูหลับตากรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไร้ประโยชน์กลิ่นยาเส้นโชยมาเตะจมูกจนทำให้เวียนหัว ใช้เวลาอยู่นานสองนานแม่ก็สามารถหลุดจากสภาพนั้นได้ ในตอนที่หลุดออกมาแม่ไม่ได้สะดุ้งตื่นอีก เพราะแม่ตื่นอยู่แล้ว นั่นคือสิ่งยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความฝันและเธอก็ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน
พ่อถูกปลุกให้ตื่นเพื่อให้มาอยู่เป็นเพื่อนและเพื่อจะช่วยกันหาทางออก พ่อรอจนฟ้าสางก่อนจึงลงไปข้างล่างกับแม่ เช้าวันนั้นไม่มีกับข้าวรอไว้เหมือนในทุกๆวันเพราะไม่มีใครมาลงครัวในช่วงค่อนแจ้ง
คนที่เข้าไปปลุกพี่บอลคือพ่อ และเมื่อเข้าไปก็ถึงกับขนลุกวาบไปทั้งตัว เพราะรอบๆห้องของพี่บอลมีเศษดินกับคราบสกปรกกระจายเต็มไปหมด และทั้งหมดนั้นมีรูปร่างคล้ายกับรอยเท้า นอกจากบนพื้นแล้วถ้าสังเกตให้ดีๆจะพบว่ามีรอยที่ว่านี้อยู่ตามผนังห้องเช่นกัน
รอยนั้นกระจัดกระจายไปทั่วชัดบ้างจางบ้าง พอพี่บอลตื่นก็ถึงกับสะดุ้งเพราะมีรอยหนึ่งอยู่ใกล้กับหัวนอนของเขาพอดี
วันนั้นทั้งวันไม่มีใครไปทำงานและไปเรียน ทุกคนช่วยกันขัดคราบที่ว่านั้นออกและสำรวจไปทั่วๆบ้านก็ได้เห็นว่ามีรอยเท้านี้อยู่เต็มไปหมด อย่างตรงหลังบ้านที่ไม่ค่อยได้ใช้งานจนมีฝุ่นเขรอะก็มีร่องรอยของสิ่งที่ว่านี้อยู่ และในห้องนอนของพี่บอลนั้นมีรอยหนึ่งที่ขัดอย่างไรก็ไม่ออกจนทิ้งรอยไว้จางๆอย่างเลี่ยงไม่ได้
ช่วงบ่ายหลังจากทำความสะอาดเสร็จทั้งบ้านพากันไปหาหลวงพ่อที่ตัวเองนับถือปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งที่หลวงพ่อแนะนำคือการทำบุญบ้าน ทำบุญเจ้าที่ พอพูดถึงเจ้าที่คนทั้งบ้านก็สะดุ้งอีกครั้งเพราะที่บ้านนั้นมีศาลพระภูมิอยู่แต่ไม่เคยมีใครสนใจใยดีเลย อาจเพราะเอาไปตั้งไว้ตรงข้างบ้านที่ไม่ใช่บริเวณใช้งาน
เมื่อออกจากวัดมาแล้วจึงไปเตรียมข้าวของเพื่อจะจัดชุดถวายเป็นการสักการะและขอขมาในวันรุ่งขึ้นที่เป็นวันหยุดพอดี ข้าวของทั้งหมดมีหลายอย่างตั้งแต่หัวหมู เป็ด ไก่ ไข ขนมหวาน เรียกได้ว่าเป็นชุดใหญ่จนเกินจำเป็นทีเดียว
‘แม่ได้กลิ่นยาเส้น หรือท่านอยากจะได้ด้วย’
แม่เสนอความคิดและทุกๆคนก็เห็นด้วยพี่บอลยังไม่เคยบอกว่าตัวเองก็เคยได้กลิ่นยาเส้นนี้เช่นกัน ข้าวของทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะอาหารในวันรุ่งขึ้นพ่อได้ไปเชิญป้าน้อยที่เคารพกันว่าเป็นผู้ใหญ่แถวๆนั้นให้มาช่วยดูช่วยจัดข้าวของเพื่อความถูกต้อง
เหมือนทุกคนจะเดินมาถูกทางเพราะคืนนั้นทุกคนนอนหลับสบายไม่มีใครมารบกวนอีก
ในตอนเช้าทุกคนตื่นขึ้นมาพร้อมๆกันด้วยนาฬิกาปลุกเพื่อจัดเตรียมข้าวของให้ทันเวลาที่เป็นฤกษ์ดี พี่บอลที่อยู่ชั้นล่างเมื่อเปิดประตูมาก็ต้องรีบปิดจมูกเพราะได้กลิ่นเหม็นเน่าคาวคลุ้งไปทั่วบ้าน
พี่บอลยังไม่หาสาเหตุของกลิ่นนั้นแต่รีบกลับเข้าห้องกดโทรศัพท์หาแม่ให้ลงมาดูพร้อมๆกัน เสียงก้าวเท้าลงบันไดของพ่อกับแม่เป็นสัญญาณให้พี่บอลออกจากห้องมา
เมื่อเปิดไฟเพดานดูแม่ก็เป็นลมพับไปกลางอากาศ พ่อกับพี่บอลต้องช่วงกันอุ้มแม่ไปนอนไว้ที่โซฟาก่อนจะได้มาดูมาเคลียข้าวของที่ตอนนี้กระจัดกระจายไปหมด
หัวหมูต้ม หมูต้ม เป็ด ไก่ และข้าวของที่เป็นเนื้อสัตว์เกือบทั้งหมดส่งกลิ่นเหมือนคาวคลุ้งพร้อมกับสีเขียวๆม่วงๆช้ำขึ้นทั่วทั้งชิ้น บางชิ้นถึงกับมีแมลงวันตอบน่าสะอิดสะเอียน
เนื้อสัตว์ที่เตรียมมาเน่าทั้งหมด อย่าว่าแต่เอาไปไหว้เลยแค่วางไว้ให้ได้กลิ่นก็เกินจะทนแล้ว ทั้งสองคนกลั้นหายใจหอบเอาอาหารเหล่านั้นไปทิ้งที่ถังขยะนอกบ้าน พี่บอลที่ทนไม่ไหวถึงกับต้องวิ่งไปอ้วก ประตูทุกบาน หน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกระบายอากาศเพื่อไล่กลิ่นเน่าเหล่านั้น
นอกจากเนื้อสัตว์ที่เน่าและร่วงกระจัดกระจายอยู่บนพื้นแล้วยังมีอีกอย่างหนึ่งที่กระจัดกระจายไปทั่ว ซองยาเส้นแบบโบราณที่กลิ่นใกล้เคียงกับความทรงจำของแม่ตอนนั้นมันหกกระจายเต็มพื้นไปหมดเหมือนมีคนมาฉีกทึ้งให้มันร่วงลงมา
ระหว่างที่ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไรดีป้าน้อยก็เดินเข้ามาในบ้านตามเวลาที่นัดแนะกันไว้ กลิ่นเน่าที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้ป้าน้อยต้องย่นจมูกก่อนจะกล่าวทักทายคนในบ้าน
ของไหว้ไม่เหลือแล้วเพราะเน่าไปหมด เหลือแค่ผลไม้กับขนมหวานบางอย่างไว้ให้ใช้เท่านั้น ด้วยความห่วงใยป้าน้อยจึงอาสาทำกับข้าวมาร่วมไหว้ด้วยตัวเองแทน
พิธีไหว้เป็นไปอย่างง่ายๆคือการจัดโต๊ะตั้งมีการสวดมนต์และถวายของตามลำดับทุกอย่างเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยมีแม่ที่ลุกมาร่วมด้วยไม่ไหวได้แต่นั่งพนมมืออยู่ตรงโซฟาที่เดิม
ในวันนั้นเช่นกันพ่อได้ไปนิมนต์พระท่านมาประพรมน้ำมนต์ให้ถ้วนทั่วตัวบ้านปัดรังควานสิ่งไม่ได้ให้หลุดรอดหายไป แม้ว่าจะยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์นั้นแต่คนทั้งบ้านก็สบายใจขึ้น
ก่อนจากกันหลวงพ่อได้มอบรูปหล่อองค์เล็กๆที่เป็นรูปยักษ์ถือกระบองให้กับพ่อ บอกว่าเอาไปวางไว้ที่หิ้งพระ บ้านจะสงบขึ้น ท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นนายผี
คืนนั้นเป็นเหมือนกับคืนวัดใจว่าสิ่งที่ได้ทำไปทั้งหมดนั้นจะเกิดผลหรือยัง พ่ออัญเชิญท่านไปวางไว้ตรงหิ้งพระชั้นสองของบ้าน พ่อกับแม่หลับได้อย่างปกติสุขไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอันใดเกิดขึ้นกับคนทั้งสอง แต่ไม่ใช่กับลูกชายของบ้านนี้
พี่บอลที่พยายามข่มตาหลับมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงยังตื่นอยู่ ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีภาพ ไม่มีอะไรที่เคยพบเจอเกิดขึ้น เหมือนทุกอย่างผ่านพ้น นอกเสียงจากว่าตอนนี้เขาหนาว หนาวจนผิดปกติ ตัวสั่นร่างกายไม่มีแรง รู้สึกคอแห้ง และแสบจมูก
อาการนั้นทรมานมากจะเรียกใครก็ไม่มีแรงจะหยิบโทรศัพท์ก็ไม่มีแรง ทำได้แค่ทนอยู่อย่างนั้น ใช้เวลาอยู่นานกว่าพี่บอลจะหลับไปในอาการที่แปลกประหลาด
หลังจากหลับไปพี่บอลก็ฝันอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นมันได้อย่างชัดเจน ที่กลางบ้านที่ตรงห้องนั่งเล่นมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ชายสูงอายุแม้ผมจะขาวแต่ร่างกายดูกำยำแข็งแรงผิดกับใบหน้า ขาข้างขวาตั้งชันเอาแขนเท้า ในมือสองข้างมีห่อยาเส้นที่ส่งงกลิ่นแรง
ฝันนั้นเลือนรางหายไปเป็นเพียงความฝัน พี่บอลตื่นเหมือนถูกปลุกร่างกายแข็งเกร็งขยับไม่ได้ รู้สึกได้เพียงน้ำหนักที่กดลงบนหน้าอกของตัวเอง แม้เปลือกตาจะหนักแต่ก็พอจะขยับไหว สองตาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าคือเงาร่างสีขุ่นๆมัวๆของใครบางคนนั่งกอดเข่าท่วมหัวอยู่บนหน้าอกของเขา
พี่บอลไม่ได้เห็นใบหน้านั้นรู้แต่ว่าเขามองมา ร่างผอมแห้งนั้นทิ้งน้ำหนักลงบนหน้าอกก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือแห้งๆมาจับที่ใบหน้า กลิ่นอับกลิ่นเหงื่อสกปรกรุนแรงเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันทำให้เวียนหัวและอยากเบือนหน้าหนี
สองมือที่จับอยู่บริเวณขมับค่อยๆออกแรงและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เงาร่างนั้นเริ่มส่งเสียงแต่ไม่ใช่คำพูดเป็นเสียงไอไอหนักอย่างรุนแรงเหมือนคนเป็นโรค เสียงไอโขลกนั้นกระเทือนไปทั่วทั้งร่างเรียกได้ว่าถ้าเป็นคนคงต้องส่งโรงพยาบาลกันยกใหญ่
เขายังไอ ไอต่อไปไม่หยุด เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง พี่บอลที่กลัวจนแทบเสียสิพยายามรวบรวมความกล้าถามใครคนนั้นออกไป
‘จะเอาอะไรๆๆ’
‘โลง...’
เสียงนั้นแหบแห้งจนฟังแทบไม่รู้เรื่องผสมกับเสียงไอยิ่งทำให้ฟังยากขึ้นไปอีก พี่บอลดิ้นหลุดจากสภาพนั้นได้ในที่สุด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เงานั้นไม่ได้หายไปไหน มันยังนั่งมองเขาอยู่ที่มุมห้อง
ที่มุมห้องจะมีซอกเล็กๆข้างตู้เสื้อผ้า มันไปนั่งคุดคู้หลบอยู่ตรงนั้นเหมือนกลัว หรืออะไรก็ไม่เข้าใจพี่บอลที่ตอนนี้ตัวแข็งจากความกลัวเริ่มเวียนหัวจนทนไม่ไหว มันคงจะเป็นอาการกลัวมากเกินจนเป็นลมพี่บอลว่าไว้อย่างนั้น
พี่บอลตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านไปโรงเรียนทันทีไม่ยอมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเสียก่อน จนตอนที่กลับมาบ้านในตอนเย็นก็ต้องประหลาดใจเพราะมีรถยนต์ไม่รู้จักมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน
เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันหมดแล้วคนที่มาใหม่คือเพื่อนของแม่ที่พาลูกกับหลานมาเที่ยวแถวๆนี้เลยขอแวะมาพักด้วยคืนหนึ่ง ในช่วงเย็นจึงเป็นหน้าที่ต้องพาไปกินข้าวกันข้างนอกบ้าน
ผู้ที่มาใหม่มีสามคนคือ แม่ ลูก แล้วก็หลายตัวน้อยอายุประมาณสามขวบ พอที่จะพูดรู้เรื่องบ้างแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสนุกสนาน
ในช่วงกลางคืนทั้งสามคนพักในห้องนอนสำหรับแขกตรงชั้นหนึ่งใกล้กับห้องนอนของพี่บอล คืนนั้นพี่บอลเล่นเกมกับเพื่อนๆยาวมากไปหน่อยจนเวลาเลยไปประมาณตี 3
ในตอนที่กำลังจำปิดคอมไปนอนพี่บอลได้ยินเสียงของเด็กผู้ชายหัวเราะเหมือนกับกำลังเล่นอะไรสักอย่าง ในตอนนั้นมีเพียงความรำคาญเท่านั้นไม่คิดว่าเด็กวัยขนาดนี้จะยังไม่รู้เวล่ำเวลาที่ควรจะนอนไม่รบกวนคนอื่น
หลังจากปิดไฟนอนได้สักพักเสียงของหลายขายยังคงไม่หยุดสร้างความรำคาญให้คนที่ไม่ชอบเด็กอย่างเขาได้ดีนัก จนในที่สุดพี่บอลก็ทนไม่ไหวเปิดประตูห้องออกไปกะว่าจะเตือนแม่ลูกคู่นี้สักหน่อยนี่มันก็จะเช้าอยู่แล้ว
ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยความรวดเร็วแต่กลายเป็นว่าภายในบ้านมืดสนิทไม่มีไฟสักดวงเปิดทิ้งไว้มีเพียงแสงไฟจากถนนลอดผ่านเข้ามาบางส่วนเท่านั้น ท่ามกลางความมืดอย่างนี้ใครที่ไหนจะออกมานั่งเล่นได้บ้าง เขาคิดอย่างนั้น นั่นคงหมายถึงแม่ลูกทั้งสองต้องอยู่ในห้องนอนแขกเป็นแน่
พี่บอลเดินออกมาจากห้องนิดหนึ่งจะเห็นบานประตูของห้องนอนแขก ประตูนั้นแง้มอยู่เป็นที่มาให้เสียงลอดออกมารบกวนเขาถึงในห้องนอนเป็นแน่ แต่ด้วยความเกรงใจที่ยังพอมีอยู่บ้างจึงใช้วิธีแอบมองผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่เพื่อดูลาดเลาก่อน
ภายในห้องนอนนั้นเงียบสนิทไฟทุกดวงดับไม่มีดวงใดถูกใช้งานบนเตียงนั้นมีร่างของเพื่อนแม่และลูกสาวนอนหลับอยู่อย่างสงบมีเพียงเด็กน้อยเท่านั้นที่หายไปจากห้องนอน
ไม่ทันไรเสียงหัวเราะของเด็กชายก็ดังขึ้นอีก มันดังมาจากห้องนั่งเล่นตรงที่มีโทรทัศน์ เขารีบเดินไปดูเด็กน้อยกลัวว่าออกมาเล่นคนเดียวจะเกิดอันตรายหรือไปทำลายข้าวของภายในบ้านแทน
เป็นเวลาชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเดินมาที่ห้องนั่งเล่นทำให้สายตาของเขาปรับเข้ากับความมืดได้พอสมควร เมื่อเดินมาถึงตรงบันไดยกสูงจากพื้นห้องนั่งเล่นสองก้าว ก็เห็นเด็กน้อยวิ่งวนไปมาอยู่ที่กลางห้อง
ท่ามกลางความมืดนั้นมีเพียงเด็กชายวิ่งวนเป็นวงกลมล้มรอบอากาศที่ว่างเปล่าถ้าไม่ได้ตั้งสติมาก่อนก็คงเป็นภาพที่น่าขนลุกพอสมควร
เด็กน้อยยังวิ่งเล่นอยู่ไม่ได้สนใจคนที่ยืนมองอยู่อย่างเขา พี่บอลยังคงคิดในแง่ดีปลอบใจตัวเองอยู่หน่อยๆว่า เด็กวัยนี้มักมีเพื่อนในจินตนาการ
‘น้องบอส น้องบอสทำอะไร’
เขาพยายามส่งเสียงเรียกแต่ก็ไม่มีท่าทีตอบรับจากเด็กน้อยที่ตอนนี้ยังวิ่งเล่นอยู่เหมือนเดิม
‘น้องบอส ดึกแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว’
‘เดี๋ยวก่อน ยังเล่นอยู่เลย’
เสียงเด็กชายตอบกลับมาแต่ยังไม่หันมาสนใจคนที่ถาม
‘เล่นอะไรเนี่ย ดึกแล้วไปนอน’
คนไม่ชอบเด็กอย่างเขาจะทนความดื้อของเด็กได้สักเท่าไหร่เชียว
‘เดี๋ยวไปนอนครับ เล่นกับลุงก่อน’
ประโยคที่ตอบกลับมานั้นทำเอาคนฟังเสียวสันหลังวาบขนลุกซู่ไปทั่วตั้งแต่แขนยังหัว แม้เด็กวัยนี้จะซนมากแต่เรื่องโกหกก็คงยังไม่มีมากนัก ซ้ำยังมีเรื่องราวประหลาดๆเกิดขึ้นมากมายช่วงหลังมานี้ ใจของพี่บอลเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว
‘ลุงไหน...’
‘นี่ไงๆ มีลุงคนป่วย กับลุงสูบบุหรี่’
แม้ว่าจะยังพูดได้ไม่ชัดมากแต่เขาก็พอจะจับใจความนั้นได้อย่างชัดเจน ใจที่เต้นไม่เป็นส่ำตอนนี้เหมือนแทบจะหยุดเต้นลงไปเสียดื้อๆ เสียงแมวข้างบ้านที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เขาผละสายตาไปจากตรงนั้น
เพียงเสี้ยววินาทีที่หันกลับมารอบๆตัวเด็กน้อยก็มีเงาร่างของชายสองคนนั่งอยู่กลางบ้าน ทั้งสองร่างนั้นพี่บอลเคยพบมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาจำมันได้ติดตา
วูบเดียวเงาร่างนั้นก็หายไปพี่บอลรวบรวมความกล้าไปอุ้มน้องบอสมาไว้ในอ้อมกอดแล้วยัดกลับเข้าไปในห้องนอนแขกอย่างรวดเร็วพร้อมกลับปิดประตูใส่อย่างแรก ส่วนตัวเขาเองกลับเข้ามานอนในห้องเปิดไฟสว่างเปิดคอมเปิดเพลงกลบความเงียบ
วันรุ่งขึ้นพี่บอลส่งข้อความมาหาพวกเราทุกคนที่ว่างพอจะมานอนค้างกับพี่เขาได้เพราะพ่อกับแม่ต้องกลับไปเข้าเวรที่สำนักงานอีกแล้ว ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าช่วงนี้บ้านนั้นเกิดอะไรขึ้นที่สำคัญคือ พี่บอลต้องการที่จะจบปัญหาเหล่านี้เสียที
จากความกลัวค่อยๆเปลี่ยนเป็นความโกรธ ชีวิตอันสงบสุขของเขาหายไปไหน ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องราวอะไรอย่างนี้ คืนนั้นเรารวมคนกันได้ทั้งหมด 5 คน คือ ผม พี่ต้น พี่บอล พี่เบียร์ และพี่ตั้ม
พี่ต้นยังไม่บอกเราว่าจะทำอะไรแต่กำชับว่าคืนนี้จะต้องนอนดึกและขอให้ทุกคนช่วยเหลือให้ความร่วมมือกับเขาทุกอย่าง อย่าทิ้งเขาไว้คนเดียว
หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จทุกคนกลับไปเก็บของมารวมตัวกันในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม พี่บอลยังไม่บอกว่าจะทำอะไรเพียงแต่บอกว่ายังไม่ถึงเวลา พวกเราเล่นเกมกันคุยกันไปจนเวลาประมาณเที่ยงคืน หมู่บ้านผมนั้นค่อนข้างใหญ่ทำให้เสียงของแต่ละบ้านไม่ค่อยดังถึงกัน เที่ยงคืนก็เงียบกริบไม่เหลือวี่แววของสิ่งมีชีวิต
พี่ต้นหยิบเอากระดาษแผ่นใหญ่ออกมาวางไว้ตรงกลางวงเพื่อนๆ ในนั้นมีตัวอักษรภาษาไทยและเลขเขียนรวมกันไว้ในช่องแบบตาราง ที่ตรงกลางมีคำสองคำใหญ่เขียนเอาไว้ว่า ใช่ และ ไม่ใช่ ตรงมุมกระดาษด้านล่างมีเขียนว่าวัดและออก
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นกระดานผีถ้วยแก้วของจริง พี่บอลบอกว่าไปแอบขโมยมาจากโต๊ะอาจารย์ในโรงเรียนที่ยึดพวกเด็กๆมาเก็บไว้ ได้ยินเด็กมันบอกกันว่าเสียดายเขาเลยจำชื่ออาจารย์แล้วเข้าไปหยิบมา
ด้วยความคิดที่ว่า อยากได้อะไรก็มาบอก ทำให้ความเลือดร้อนมีกำลังเหนือสติปัญญาและเหตุผลในตอนนั้นบอกตามตรงว่าผมก็ค่อนข้างตื่นเต้นและตัวเองก็ยังไม่สามารถพูดคุกับพวกเขาได้มากนัก ผมเตรียมจะเข้าไปร่วมวงด้วยแต่ก็ถูกห้ามไว้ด้วยเหตุผลว่า ผมยังเด็กเกินไป
การเล่นผีถ้วยแก้วต้องใช้คนอย่างน้อย 4 คน นั่งสี่มุมล้อมรอบกระดานเอาไว้ภาชนะที่ใช้เป็นแก้วแป๊กเล็กๆที่ชอบเอามาทำเหล้าป๊อกกัน โดยบางความเชื่อบอกว่าให้ไปเอามาจากศาลหรือพวกที่ใช่เซ่นงานศพจะขลังกว่า แม้รู้ว่าไม่ควรแต่ทุกคนก็อยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกิน
ธูปถูกจุดหนึ่งดอกเป็นสัญญาณเรียกสัมภเวสีปักไว้ข้างๆวงผู้เล่น แก้วจะวางในแนวคว่ำเอาปากลงโดยลนควันธูปไว้ข้างในก่อนจะวางลงบนกระดาน
การเล่นนี้จะมีคาถาเพื่อเรียกดวงวิญญาณอยู่โดยต้องผลัดกันท่องคนละคำวนซ้ายไปจนกว่าจะครบคำ ปลายนิ้ว แตะ ไว้ที่ก้นแก้วเบาๆ แต่เพียงยังไม่ทันจบบทคาถาที่ว่านั่นแก้วก็เริ่มขยับไปมาราวกับจะบอกถึงการมาของใครบางคน
พี่บอลที่เป็นเจ้าของบ้านจะต้องเป็นคนเอ่ยถามในคำถามแรกเพื่อตรวจสอบว่าใช่ดวงวิญญาณที่มีความสัมพันธ์กับเขาจริงหรือไม่
‘ชื่ออะไร’
ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้แก้วเพียงขยับไปมาเท่านั้น
‘อยู่ในบ้านหลังนี้ใช่ไหม’
แก้วค่อยๆเลื่อนไปตามกระดาษสากๆที่ตอนนี้เหมือนไม่มีแรงเสียดทานแม้สักนิดนอย่างกับว่ามีคนเอาน้ำมันมาฉาบไว้ แก้วขยับไปหยุดตรงคำว่า ใช่
ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่ต้องนัดหมาย ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดอยู่ก่อนแล้วว่ามันไม่น่าจะใช่บ้านร้างที่ไปลองผีกันมา เพราะมันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนบ้านนี้เท่านั้น
‘จะเอาอะไร’
แก้วขยับไปมาไม่มีได้วนไปยังคำใดในกระดานนั้นเลย
‘ถามว่าจะเอาอะไร!’
ความกลัวปนความโกรธมันก็กลายเป็นความบ้าได้พี่บอลตะคอกเสียงดัง แม้จะดูไม่ดีแต่มันก็ได้ผลแก้วค่อยๆขยับไปตามตัวอักษรทีละตัวๆ ป – ล่ – อ – ย
ปล่อย ปล่อยอะไรหรือว่าจะหมายถึงให้ปล่อยแก้วแต่ในกฎบอกว่าห้ามปล่อยจนกว่าจะท่องคาถาส่งผีกลับ ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
‘ปล่อยอะไร ปล่อยแก้วหรอ’
แก้วเลื่อนไปตามกระดานไปหยุดอยู่ที่คำว่า ไม่ใช่
‘จะให้ปล่อยอะไร’
แก้วขยับอีกครั้งคราวนี้รวดเร็วและรุนแรงกว่าทุกครั้ง ป – ล่ – อ – ย – ก – อู
ทุกคนหน้าซีดเพราะคำตอบที่ได้นั้นดูน่ากลัวและไม่มีใครเข้าใจ แก้วยังขยับไปมาอยู่ในกระดาน มันแค่ขยับไปมาไม่ได้วนเป็นวงกลมอย่างในหนังในละคร
ทุกคนไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อไปแล้วเพราะกลัว จึงตัดสินใจที่จะส่งวิญญาณกลับโดยการท่องคาถา วิธีท่องใช้วิธีเดิมคือการท่องวนสลับกันไปแต่คราวนี้ให้วนขวาถ้าวิญญาณถอยไปแล้วแก้วจะไม่ขยับอีก
แต่ก่อนที่จะปล่อยวิญญาณกลับไปพี่ต้นเกิดความสงสัยขึ้นมาจนเป็นคนถามเอง
‘มีอะไรอยากบอกอีกไหม’
แก้วขยับไปตามตัวสะกดจนเป็นคำ โ – ร – ง – เ – รี – ย – น
โรงเรียน? ไม่มีใครเข้าใจถึงสิ่งที่มันพยายามจะบอกแต่ทุกคนก็กลัวเกินกว่าจะถามอะไรต่อไปแล้วตัดสินใจส่งมันกลับในทันที
สามรอบที่ท่องคาถาวนไปมาก็ไม่มีท่าทางว่ามันจะยอมไปแก้วยังขยับวนไปมาตามกระดาน ทุกคนเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัวพี่ๆหันมามองผมเหมือนจะถามว่าทำอย่างไรดี พี่ๆรู้ดีว่าผม ไม่ปกติ แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดจะเป็นที่พึ่งอะไรได้ในตอนนั้น
ผมได้แต่หลับตาพนมมือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ขอให้วิญญาณกลับไปยังที่ที่ควรอยู่ ทันทีที่ลืมตาภาพที่เห็นนั้นเป็นสิ่งยืนยันในข้อสงสัยกับตัวผมเองมานานแสนนาน
ผมเคยคิดว่าผีมันจะไปอยู่ในแก้วจริงๆหรือ คำตอบที่ผมได้รับผ่านสายตาในวันนั้นคือภาพของวิญญาณสองดวงที่พี่บอลเคยเล่าให้ฟัง ร่างหนึ่งกำยำไม่ใส่เสื้อ อีกร่างผอมแห้งตามตัวมีตุ่มเต็มไปหมดเหมือนคนป่วยเป็นโรคร้ายแรง ทั้งสองนั่งยองๆอยู่ข้างๆพี่บอล
ร่างหนึ่งซ้ายร่างหนึ่งขวาสองมือของวิญญาณนั้นกุมอยู่ที่ข้อมือของพี่บอล ภาพนั้นยังติดตาผมมาจนทุกวันนี้ไม่คิดเลยว่าความสงสัยในวัยเด็กจะมีทางออกแบบนี้
‘ไปๆ ออกไป ไปเถอะ’
พี่บอลเริ่มกลัวจนคุมสติตัวเองไม่อยู่ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว แต่ภาพที่ผมเห็นคือวิญญาณนั้นพยายามจะแฝงเข้าไปในร่างของพี่ชายผมคนนี้มากกว่า มันพยายามขยับเข้าใกล้ทีละนิดบวกกับอาการสั่นที่มีมากจนนิ้วเกือบจะหลุดจากแก้ว
‘เห้ย นิ้วๆๆๆ’
พี่ต้นตะโกนด้วยความตกใจทุกคนใช้อีกมือที่เหลือกดมือพี่บอลไว้ไม่ให้หลุดออก
‘ไปๆๆๆ จะเอาอะไรให้หมดเลยไปเถอะ กลัวแล้ว’
สิ้นเสียงโวยวายอันขาดสติของพี่บอลแก้วก็เริ่มสั่นอีกครั้งคราวนี้มันสั่นมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านจนในที่สุดมันก็ แตก! แก้วใบเล็กแตกคามือพี่ๆทั้งสี่คนแต่คนที่แย่ที่สุดคงจะเป็นพี่บอล
ในตอนที่แก้วแตกลงนั้นพี่คนอื่นๆชัดมือออกด้วยความตกใจแต่พี่บอลที่ไม่มีสติอยู่นั้นเผลอออกแรงกดลงไปบนแก้ว ส่วนคมของเศษแก้วบาดลึกเข้าไปที่นิ้วชี้จนเลือดนองไปบนพื้นอย่างน่ากลัว เลือดไหลเป็นน้ำเหมือนจะโดนเส้นเลือดเข้าสักที่
ทุกคนตื่นตูมกับภาพตรงหน้าคว้าเอาเสื้อคลุมใกล้มือมาพันแผลไว้อย่างมักง่ายแล้วรีบโวยวายให้คนเอารถออกในทันที ผมที่เดิมตามหลังถูกพี่เบียร์ถามว่าแล้วอย่างนี้ถือว่าเล่นจบไหม ผมก็ไม่มีคำตอบตามจริงให้กับพี่เขาแต่ก็เชื่อว่ามันคงจบลงแล้วในคืนนี้ พวกเขาได้สิ่งที่ต้องการตามคำของพี่บอลแล้ว
เมื่อหันหลังกลับไปที่กระดานกระดาษนั้นเงาร่างของวิญญาณทั้งสองนั่งยองๆอยู่ในท่าเดิม พวกมันก้มลงทำท่าเหมือนจะดื่มกินเอาเลือดที่นองอยู่บนพื้นอย่างตะกละตะกราม
พี่บอลถูกส่งเข้าไปทำแผลในห้องฉุกเฉินพวกเราที่นั่งรออยู่ข้างนอกคุยกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี ตอนนั้นผมได้แต่บอกว่าผมทำอะไรไม่ได้เลย ได้แค่เห็น แต่คิดว่าคงต้องส่งเขาไปเกิดไม่ก็ทำให้เขาหายไป
พวกเราตกลงกันว่าจะนำของที่ใช้ในพิธีทั้งหมดนั้นไปเผาไม่ให้เหลืออะไรเก็บไว้แล้วคงจะเล่าเรื่องราวตรงๆให้กับพ่อและแม่ของพี่บอลฟังจะโดนว่าก็คงต้องยอมแล้วถ้ามันจะเลยเถิดไปไกลขนาดนี้
เราหลังจากทำแผลหมอให้เกลือแร่กับยาบำรุงเลือดมากินหมอบอกว่ามันบาดลึกมากดีที่ไม่โดนพวกเส้นเอ็นไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นผ่าตัดใหญ่ทันทีมันแต่เลือดก็ไม่น่าออกเยอะขนาดนี้ได้พวกเราก็อ้างๆหมอไปว่ากระจกที่บ้านแตกแล้วไปซ่อมกันมา
พอกลับมาถึงบ้านพี่บอลมีท่าทีอิดโรยเป็นอย่างมากพวกเราเลยไปเรียนป้าน้อยให้มาเปิดบ้านฝากพี่บอลไว้ที่นั่น พวกเราเข้ามาเก็บกวาดข้าวของทั้งหมดในห้องนั่งเล่น
ผมไม่เห็นวี่แววของวิญญาณทั้งสองคนอีก บรรยากาศในบ้านก็เริ่มเบาบางลงไม่อึดอัดเหมือนในครั้งแรก เราหอบทุกอย่างใส่ถุงพลาสติกเช็ดเลือดที่นองอยู่บนพื้นให้สะอาด ผ้าที่ใช้เช็ดเราก็เอาไปเผาเช่นกัน
เราใส่มันลงในปี๊บราดน้ำมนเผามันตรงสนามท้ายหมู่บ้านพอดีกับที่พระอาทิตย์ขึ้นเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้ใส่บาตรกัน
หลังจากจัดการข้าวของทั้งหมดเสร็จแล้วเราขอให้ป้าน้อยทำอาหารให้พวกเราคนละถุงเพื่อใส่บาตรจากนั้นก็กรวดน้ำให้ใครก็ตามที่เราได้ล่วงเกิน ทั้งที่บ้านร้างและบ้านพี่บอล
ช่วงเช้าๆถัดมาไม่นานพ่อกับแม่ของพี่บอลก็กลับมาที่บ้าน เราตัดสินใจเข้าไปเล่าทุกอย่างให้ฟังตั้งแต่ต้นแน่นอนว่าพวกเราโดนด่ายับเยินแต่ก็ต้องยอมรับเพราะเราสร้างเอง จะมีก็แต่ผมที่ไม่ได้ร่วมในขบวนการนั้นจึงถูกละเว้นไว้บ้างแต่ก็โดนบ่นว่าอย่าเอาอย่าง
หลังจากถูกเทศน์อยู่นานวันนั้นทุกคนถูกพาไปอาบน้ำมนต์ที่วัดใกล้เคียงพร้อมกับปรึกษาหารือพระเพื่อหาทางออก หลวงพ่อบอกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะไป ส่งไปเกิดไม่ได้เขาอาฆาตอะไรบางอย่าง อาตมาคุยไม่ได้เหมือนมีกำแพงมากั้นเอาไว้ไม่รู้ว่าคืออะไร
ทางแก้ในวันนั้นคือการนำรูปปั้นยักษ์ตัวเล็กๆมาวางไว้ตามขอบรั้วของบ้านเพื่อ กด ไม่ให้พวกมันออกมาอาละวาดอีก นอกจากนี้ยังเชิญพระพุทธรูปมาตั้งไว้บนหิ้งพระใหม่เพื่อสิริมงคลของบ้านอีกด้วย
หลังจากเสร็จเรื่องราวทั้งหมดแล้วหลวงพ่อก็ขอนั่งคุยด้วยอีกสักหน่อยถึงเหตุที่เกิดขึ้น หลวงพ่อเคยมาที่บ้านนี้หลายครั้งก็พอจะรู้สึกได้ว่าบ้านนี้มีอะไรอยู่แต่ก็ไม่ได้มากมายจนเป็นอันตราย ไม่น่าจะเป็นเรื่องปกติที่อยู่ดีๆพวกเขาจะมีกำลังออกมาทำร้ายใครได้
พ่อกับแม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายท่านโดยมีพวกเราคอยขยายความ หลวงพ่อถอนหายใจด้วยความเอือมระอา หลวงพ่อไขข้อสงสัยพวกเราไว้ว่า
ไม่มีใครตามมาจากไหนทั้งนั้น เขาอยู่ที่นี่อยู่มานานแล้วเพียงแต่ว่ามีคนในบ้านไปเอาดินคนตายเข้ามาในบ้าน คำว่าดินคนตายสะดุดหูพวกเรามากเพราะเราไม่ได้ไปป่าช้าที่ไหนมาเลย คำอธิบายคือ สถานที่ที่เราไปลองผีกันนั้นที่นั่นเป็นเหมือนแดนมรณะที่ดินที่เต็มไปด้วยความทรมานและความอาฆาต ดินนั้นหมายถึงดินที่ติดรองเท้ากลับมาที่บ้านเมื่อเรามาเหยียบบ้านเลยทำให้อาถรรพ์ของดินผืนนั้นส่งเสริมให้วิญญาณร้ายมีกำลังขึ้นมาโดยกะทันหัน
เมื่อย้อนเรื่องราวกลับไปก็พบว่าบ้านร้างนั้นมีเหตุฆาตกรรมฆ่ายกครัวเพื่อปล้อนชิงทรัพย์ไม่ใช่การตายตามธรรมชาติทั่วไป นั่นยิ่งเป็นตัวเร่งที่ดีเสียยิ่งกว่าอะไร นี่เป็นหนึ่งในที่มาว่าทำไมคนโบราณจึงชอบให้ล้างเท้าก่อนเหยียบเข้าบ้าน ความเชื่อนี้ยังสืบต่อมาจนปัจจุบันแต่ก็มีเปลี่ยนแปลงไปบ้านเช่น ถ้าไปงานศพกลับมาให้ล้างมือล้างเท้าก่อนจะเข้าบ้าน บ้านโบราณจึงชอบมีบ่อน้ำเล็กๆไว้ล้างเท้าก่อนขึ้นบันไดโดยบอกว่า บ้านจะได้ไม่เลอะ เป็นภูมิปัญญาที่แฝงไว้อย่างแยบยล
ต่อมาคือคำว่า โรงเรียนที่ยังคาใจพวกเราอยู่มันดูไม่สมเหตุสมผลไม่เกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่เลย ถ้าหากในคืนนั้นสิ่งที่พี่บอลได้ยินนั้นไม่ใช่ โลง แต่เป็น โรง มันก็ดูเข้าทีอยู่ เราจึงหันไปมองหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ส่ายหัวไม่มีคำตอบให้เช่นกัน ก่อนกลับหลวงพ่อเดินมาเขกหัวผมเบาๆพร้อมเอ็ด ‘เอ็งจำไว้ให้มันดี’
3 ปี ผ่านไป
เวลาผ่านไปจนพวกเราลืมเลือนเรื่องราวนี้ไปบางส่วนแล้ว บ้านพี่บอลก็มีโครงการจะต่อเติมบ้านเพื่อจะทำบุญบ้านรับขวัญเจ้าตัวเล็กคนใหม่ของบ้าน บ้านทั้งหลังถูกรื้อออกหมดกลายเป็นที่ดินเปล่าๆ
พ่อพี่บอลอยากจะมีห้องเก็บของใต้ดินเพื่อให้ในบ้านมีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นนายช่างจึงต้องขุดดินลงไปลึกพอสมควรแล้วมันก็ แจ็คพ็อต!
ที่ใต้บ้านนั้นมีแผ่นสังกะสีแผ่นใหญ่ทับกันอยู่แต่เห็นแค่บางส่วนเท่านั้นพ่อพี่บอลที่เห็นดังนั้นจึงเพิ่มเงินแล้วให้พวกเขาขุดขึ้นมาให้หมด เมื่อขุดขึ้นมาหมดทุกคนก็ถึงกับหน้าซีด ใต้สังกะสีสี่ห้าแผ่นนั้นเป็นเหมือนกับซากบ้านเล็กๆที่สร้างไว้อยู่ชั่วคราว ในนั้นมีเสื้อผ้าเก่าๆที่เปื่อยยุ่ยสลายไปตามดินเหลือไว้แค่บางส่วน แล้วเมื่อขุดลงไปอีกก็เจอกับกล่องปูนเล็กๆ
กล่องปูนขนาดกว้างยาวประมาณครึ่งฟุต แม้ไม่เห็นข้างในแต่มันดูน่าสงสัยเหลือเกิน นายช่างขออนุญาตไปเชิญพ่อเฒ่าที่เขานับถือมาช่วยดูเพราะเชื่อว่ามันต้องไม่ปกติแน่ๆ
พ่อเฒ่าที่ว่านั้นอายุประมาณ80เห็นจะได้วันที่มาก็นั่งรถเข็นมาร่างกายคงจะไม่ค่อยดีแล้ว เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้ขุดเอาข้าวของทุกอย่างออกมากองรวมกันไว้ด้านนอก
สิ่งที่ขุดเจอมี สังกะสี เสื้อผ้า อุปกรณ์ก่อสร้างพวกเกรียงเหล็ก จอบ กล่องปูน วิทยุเก่าๆ
ที่กล่องปูนนั้นอยู่ในสภาพดีพอสมควร พ่อเฒ่าสั่งให้ทุบออก ไม่มีใครกล้าทุบแต่ พ่อพี่บอลจึงต้องเป็นคนทุบเสียเองและในนั้นก็บรรจุของที่ไม่น่าเป็นไปได้เอาไว้
มันคือเถ้ากระดูกของใครบางคนและในนั้นมียันต์เก่าๆถูกเก็บไว้ด้วย มันถูกฝังอยู่ในปูนอย่างจงใจ คงเป็นการสะกดวิญญาณของเจ้าของกระดูกนั้นไว้ทั้ง ‘สองกล่อง’
พ่อเฒ่าพิจารณาทุกคนเห็นตรงกันว่าคงเป็นคนงานก่อสร้าง แต่สร้างอะไรกันบ้านหลังนี้อยู่กันมานานวันที่มาซื้อที่สร้างบ้านก็ไม่เห็นจะมีอะไรรอบๆนี้ไม่มีที่ก่อนสร้างอะไร
‘คงเป็นพวกสร้างโรงเรียนล่ะมั้ง’
‘โรงเรียน!’
พี่บอลที่จำได้แม่นขึ้นใจถึงคำตอบในคืนนั้น โรงเรียน พ่อเฒ่าเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนย้อนไปสมัยแกยังรุ่นๆ ข้างหมู่บ้านนี้มีโรงเรียนเป็นโรงเรียนขนนาดกลางแกก็เป็นคนก่อสร้างเหมือนกันก่อนจะหันมาจับด้านรับเหมา
โรงเรียนนั้นตั้งอยู่ก่อนที่จะมีหมู่บ้านของผมเสียอีก เขาคงจะเป็นคนงานในวันนั้นที่ตายหรือป่วยตัวจากการใช้งานที่หนักและไม่มีสวัสดิการ ตำรวจอะไรก็ไม่ได้เข้าถึงเหมือนในสมัยนี้คนงานตายไปเงียบๆ บางครั้งก็เป็นต่างด้าวที่แอบเข้ามาทำงาน ป่วยก็ไปรักษาไม่ได้
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ทั้งสองคนก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อเฒ่า พ่อเฒ่าจึงอาสารับข้าวของทั้งหมดไปจัดการเองด้วยความเห็นใจ พ่อเฒ่าเป็นคนมีวิชาคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเท่าไหร่นัก
บ้านหลังนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีเรื่องราวความวุ่นวายใดเกิดขึ้นอีก
ผมกลับมาบ้านถามแม่ถึงเรื่องราวของ โรงเรียน แม่บอกว่าใช่มันมีจริงๆ มันตั้งอยู่ติดกับหมู่บ้านของเรา ถ้ามันไม่เจ๊งไปเสียก่อนแม่บอกว่าผมก็ต้องเรียนโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน
เรื่องราวในวันนั้นยังคงติดตรึงในความทรงจำของพวกเราทุกคนและเป็นเหตุให้พวกเรา เพลาๆ การไปลองดีอยู่นานโข แต่ก็ไม่ถึงกับเลิกไปอย่างเด็ดขาด
วันเวลาผ่านไปผมเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อมานึกถึงตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจและรู้สึกได้ว่า หมู่บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่นั้นมีเรื่องราวแปลกๆมากมาย อย่างในกระทู้ ยามวิกาล เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และมานั่งนึกดีๆก็พบว่ามีอีกหลายเรื่องทีเดียว ผมจะหาโอกาสเล่าให้ฟังในครั้งต่อๆไปนะครับ
หลายครั้งเราก็ได้คำตอบว่า เรื่องบางเรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ จริงๆแล้วมันเหมือนถูกจัดฉากเสียมากกว่า วันหนึ่งผมก็คงต้องกลับไปที่นั่น เพื่อจัดการเรื่องราวที่วุ่นวายให้มันจบลง
ลอยชาย.
.................................................................
Post a Comment