"อัญมณีโลหิต"


     "อัญมณีโลหิต" นิยายแฟนตาซีเรื่องสั้นจากคุณ Lady Star 919 แห่งพันทิปการไล่ล่าเหล่าแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า ว่าสุดท้ายเรื่องจะลงเอยแบบไหน รับรองว่าเรื่องของคุณ Lady Star 919  ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....

มีพระราชาอยู่พระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีธิดาสี่คน ธิดาสามคนแรกได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายต่างเมือง แล้วย้ายไปอยู่กับพระสวามี

เหลือเพียงแต่ธิดาพระองค์เล็ก ทรงพระนามว่ามินตรา และยังไร้คู่ครอง เจ้าหญิงมินตราอายุได้สิบแปดปี พระราชาจึงมีความประสงค์อยากให้เจ้าหญิงมินตราได้อภิเษกสมรสกับบุรุษที่คู่ควร

ทว่า..แผนการจะหาบุรุษที่คู่ควรให้กับเจ้าหญิงมินตราต้องหยุดชะงัก เหตุเพราะบ้านเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย ประชาชนหวาดกลัวสัตว์ร้ายที่ออกมาจากป่าต้องห้าม มันออกไล่ล่าเข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก

ผู้คนเสียขวัญ วิตกกังวล บางส่วนเริ่มขนย้ายสิ่งของ ออกไปจากหมู่บ้าน อาณาจักรพลันตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เร้นแค้น และใกล้แตกสลาย

พระราชาจึงติดประกาศทั่วราชอาณาจักรว่า หากผู้ใดสามารถ สังหารสัตว์ร้ายในป่าต้องห้ามได้ ตนจะยกเจ้าหญิงมินตราให้เป็นคู่ครอง พร้อมแบ่งสมบัติครึ่งหนึ่งในท้องพระคลังให้แก่ผู้ที่สามารถสังหารสัตว์ร้ายได้สำเร็จ

สามวันก่อนข้าอ่านป้ายประกาศ ที่ติดไว้หน้าบ้าน ไม่มีอะไรให้ต้องคิดทบทวน ข้าวิ่งเข้าไปในบ้าน หยิบฉวยอาวุธทุกชนิดที่ข้ามี มีด ดาบ ธนู และแม้กระทั่งยาพิษที่ข้าปรุงขึ้นมาเอง

แน่นอนว่าสมบัติมหาศาลคือสิ่งที่ข้าต้องการ กระทั่งไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย ข้าพาร่างกายผ่ายผอม มุ่งหน้าเดินเข้าป่าต้องห้าม

ในขณะที่สหายของข้าตะโกนห้ามไม่ให้เข้าไปในป่า แต่ ช่างแมร่-ง .. ชีวิตข้าเป็นของข้า พวกเจ้าจะสนทำไม ข้าเพียงคิดในใจ หาได้ตอบสิ่งนี้ไปไม่

ข้ายกมือโบกอำลาเพื่อนพ้อง ก่อนจะควบม้าวิ่งตรงเข้าป่าต้องห้าม ด้วยหัวใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
ฆ่าสัตว์ร้ายได้ ก็ได้สมบัติ ฮึ.... มีเงินทองมากมายจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนก็ได้

ส่วนเจ้าหญิงมินตรานั่นนะหรือ เมื่อข้าได้ค่าตอบแทนตามที่พระราชาได้ประกาศไว้ ข้าจำต้องทำสิ่งที่ควรทำ คือหนีไปให้ไกล ข้าหาได้หวังครอบครองเจ้าหญิงมินตรา

ข้ามีเพียงโชเท่านั้น สตรีนางเดียวที่อยู่ในหัวใจ แม้นางจะจากไปนานแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันมอบหัวใจให้ใครอีก

ท้องฟ้ามืดมิด จันทราและดวงดาวเลือนหาย ข้านั่งอยู่บนต้นไม้ กวาดสายตามองความมืดมิดโดยรอบ ธนูในมือเตรียมพร้อมใช้งานทุกเมื่อ หากเห็นสิ่งใดก็ตามเคลื่อนเข้าใกล้
.......
......
......

เงียบ ....  สรรพสิ่งรอบกายเงียบกริบ สัตว์ราตรีหยุดส่งเสียง ลมหยุดพัด ต้นไม้ยืนนิ่งราวไร้ชีวิต
ประสาทสัมผัสทุกส่วนในตัวข้าตื่นตัวเต็มที่ ภายใต้ความเงียบในเงารัตติกาล คือสัญญาณแห่งการลั่นกลองรบ ข้อนี้ข้ารู้ดี

เสียงสวบสาบเหมือนมีบางอย่าง กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ ข้ายกคันธนูเล็งไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง

เห็นแล้ว ข้าเห็นแล้ว เงาตะคุ่มดำกำลังเยื้องย่างมาอย่างช้าๆ ช้าๆ .... แต่เอ๊ะ ...นั่นหาใช่สัตว์ร้ายไม่ ความงุนงงบังเกิดขึ้นในใจ ยังมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาในป่าต้องห้าม หรือจะเป็นพวกที่มาตามล่าสัตว์ร้ายเช่นข้า

ขอดูให้ชัดๆหน่อยเถอะว่ามันเป็นผู้ใด ข้าลดคันธนูลง แล้วเพ่งไปยังบุคคลลึกลับ ทันทีที่มันเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ที่ข้าแอบอยู่ ความตื่นตกใจที่ได้เห็นว่ามันเป็นใคร ส่งผลให้เกือบทำลูกธนูร่วงหล่น

เจ้าหญิงมินตรา..เป็นนาง นางมาทำอะไรในสถานที่อันตรายเยี่ยงนี้ ข้ารีบปีนลงจากต้นไม้อย่างเงียบกริบ สะกดรอยตามนางไป

นางหยุดเดิน ข้าหยุดเดิน นางเหลียวมองมาข้างหลัง มองซ้ายขวา ข้าแอบอยู่หลังต้นไม้ สกัดกั้นกระทั่งลมหายใจ เพื่อไม่ให้นางรับรู้ว่ามีคนตามมา

ไพล่นึกไปถึงคำบอกเล่าจากท่านปู่ ที่บอกว่า มีนักรบกลุ่มหนึ่งที่สามารถซ่อนตัวไม่ให้ใครมองเห็น แม้กระทั่งศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ก็มิอาจมองเห็นพวกเขา ท่านปู่เรียก พวกเขาว่า นินจา  ในสถานการณ์เช่นนี้ข้านึกอยากเป็นนินจาเสียจริง

นางเริ่มออกเดินอีกครั้ง

ข้าย่องตามอย่างเงียบๆ

กระท่อมไม้...นางหยุดอยู่หน้ากระท่อม นี่มันเรื่องแปลกพิสดารอะไร เหตุใดมีกระท่อมอยู่ในป่าต้องห้ามได้ ข้ารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เจ้าหญิงมินตราซ่อนความลับอะไรไว้ในป่าแห่งนี้ จะต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้

บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากกระท่อม

“ไม่มีใครตามเจ้ามานะ” เขาเอ่ยถามนาง

“ไม่มี”

“เจ้าได้สิ่งที่ข้าต้องการมาหรือไม่”

“ตอนนี้ข้ายังหาไม่เจอ ท่านควรอดใจรอ มิใช่ไปออกอาละวาดฆ่าคนเล่นเยี่ยงนี้ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย รังแต่จะทำให้การหาอัญมณีโลหิตสะดุดไปด้วย ข้อนี้ท่านควรรู้ไว้” นางกล่าววาจาเสียงดัง

ข้าได้ยินสิ่งที่นางพูดเต็มสองหู

‘อัญมณีโลหิต’ ข้าเคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่ามันคือเพชรที่บรรจุโลหิตของแดร็กคูล่าสายพันธุ์ต้นกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

หากเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ไปครอบครอง พวกมันจะสามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้ราวมนุษย์ทั่วไป

หากเผ่าพันธุ์มนุษย์หม่าป่าได้ไปครอบครอง พวกมันจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวง

หากไปตกอยู่กับพวกพ่อมด หมอผี อัญมณีโลหิต จะทำให้พวกมันเป็นอมตะ ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย

แล้วไอ้เจ้าตัวใหญ่นี่เป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ ข้าอยากรู้นัก แต่ที่อยากรู้ยิ่งกว่า เจ้าหญิงมินตรามาช่วยมันทำไม

“ข้าแค่สร้างความหวาดกลัวให้พวกมนุษย์หน้าโง่ คนออกไปจากเมืองเยอะๆ เจ้ายิ่งทำงานได้ง่ายขึ้นมิใช่รึ”

“ท่านมิควรออกไปเปิดเผยตัว พวกนักล่าจะแห่มาตามล่าท่านแน่ ข้าไม่อยากต่อกรกับพวกนักล่า”

“อย่ากลัวไปเลยบริซเทีย ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นในภาพนิมิต เจ้าเห็นว่าอัญมณีโลหิตอยู่ที่นี่ ไม่นานเจ้าต้องหาเจอแน่”

“ข้าเกรงว่าจะใช้ร่างนี้ได้อีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่ร่างของนางเน่าเปื่อย ข้าก็คงต้องกลับสู่ร่างเดิม ถึงเวลานั่นการเข้าออกในวังคงเป็นไปได้ยาก แต่ข้ามั่นใจเหลือเกิน อัญมณีโลหิตต้องอยู่ในปราสาทนั่นแน่”

“ข้าได้กลิ่นลมหายใจของมนุษย์” บุรุษร่างใหญ่กล่าวเสียงดัง

ข้าตกใจกลัวจนตัวสั่น ในป่าซึ่งหนาวยะเยือกเย็น เหงื่อที่หน้าผากกลับผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดในหน้าฝน และเริ่มลุกลามไปทั่วตัว

วิ่งคือทางออกเดี๋ยวที่ข้าควรทำ หรือ ควรเผชิญหน้าต่อกรกับมันดี และไม่มีเวลาให้ข้าได้คิดใคร่ครวญ

บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ พลันปรากฏกายอยู่ด้านหลังข้าแล้ว

“เจ้าแส่หาที่ตายเองนะ” น้ำเสียงเหี้ยมโหดกล่าวดังขึ้น

ข้าตวัดดาบในมือ ใส่ร่างที่อยู่ด้านหลัง ทว่ากลับฟาดฟันได้เพียงอากาศธาตุ ร่างของมันเคลื่อนกายหลบหลีกอย่างรวดเร็ว

อ๊ากกก...

ของแข็งบางอย่างฟาดเข้ากกหูข้า ก่อนที่จะถูกมันกระชากคอเสื้อลากตัวมา แล้วโยนข้าลงพื้นดินหน้ากระท่อม

“มันคงเป็นคนที่ออกมาล่าสัตว์ร้าย พ่อข้าจะมอบรางวัลให้คนที่สามารถฆ่าท่านได้”  เจ้าหญิงมินตราหันไปพูดกับบุรุษร่างใหญ่

“เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้งั้นรึ ไม่เจียมตัวเสียเลยนะเจ้าพวกมนุษย์”

“พวกแกเป็นใครกันแน่” ข้าเอ่ยถามพวกมัน

“อีกไม่นานเจ้าจะได้เห็น”

พระจันทร์เต็มดวง .... หมาป่าตัวสูงใหญ่ ยืนตะหง่านอยู่ตรงหน้าข้า มันแสยะยิ้ม ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ก่อนจะตวัดกรงเล็บแหลมคมฟันใส่ใบหน้าข้าด้วยความรุนแรง เหี้ยมโหด

ข้าเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ทรมานแสนสาหัส  และไม่นานโลกทั้งใบของข้าก็พลันมืดมิดไปตลอดกาล

“เลโอ ตื่นเถอะ เลโอ ท่านได้ยินข้าหรือไม่ ถึงเวลาที่ท่านต้องตื่นแล้วนะเลโอ”

น้ำเสียงหวานซึ้งนุ่มนวลแลอบอุ่นเช่นนี้ ข้าจดจำได้ดี นั่นเสียงโช ยอดรักของข้า

ข้าค่อยๆลืมตาตื่นด้วยความยากลำบาก เจ็บปวดเหลือเกินเพียงจะแค่พยายามขยับเปลือกตาให้ลืมขึ้น

แก้มสองข้างเหมือนมีเข็มนับพันๆเล่มทิ่มแทง หน้าอกหนักอึ้งราวโดนค้อนขนาดมหึมากระหน่ำทุบตี

ทว่าหัวใจยังเต้นอย่างมีจังหวะ หัวใจข้ายังเต้น ลมหายใจข้ายังอยู่

“ข้าตายแล้วใช่หรือไม่” ข้าเอ่ยถามนางทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เห็นโชนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหวานซึ้งยิ้มละมุน หัวใจข้าพองโต ดีใจเหลือเกินที่ได้พบนางอีกครั้ง

“ข้าคงอยู่บนสวรรค์ ข้าคิดว่าข้าควรตกนรกซะมากกว่า” ข้าหยอกเย้านาง และกุมมือนางมาแนบไว้ที่หน้าอก

“เลโอ ท่านอยู่ในที่ที่ท่านควรอยู่ ที่ที่เราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้” นางเอ่ยขึ้น

“แต่เจ้ายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับข้า โชบอกข้ามา ว่าเจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปไหน ข้ารักเจ้ามากนะ”

“ข้าก็เช่น ข้าไม่เคยไปไหน ข้าอยู่กับท่านตลอดเวลา แต่ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านตื่น ตื่นเลโอ เลโอตื่น!!!....”

เสียงร้องปลุกที่ดังก้องของนาง ทำให้ข้าสะดุ้งตื่นสุดตัว ดีดตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยอาการสะลึมสะลือ รู้สึกปวดศีรษะรุนแรงจนหัวแทบระเบิด ยกมือกุมศีรษะ จึงพบว่าบริเวณศีรษะและใบหน้ามีผ้าพันไว้

หันมองสิ่งต่างๆรอบตัวจึงพบว่าตนนอนอยู่บนเตียงไม้ ในกระท่อมเก่าหลังหนึ่ง ข้างตัวมีผ้าพันแผลที่ใช้แล้ววางกองไว้ และมีถ้วยยาวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เป็นยารักษาอาการบอบช้ำภายใน

นักปรุงยาอย่างข้าแค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าเป็นยาชนิดใด และสิ่งที่ข้าพอนึกออกในตอนนี้คือ คงมีใครสักคนช่วยข้าจากมนุษย์หมาป่า

“ฟื้นแล้วรึ ข้านึกว่าท่านจะนอนเป็นเจ้าชายนิทรารอให้เจ้าหญิงมาจุมพิตถึงจะฟื้นขึ้นมาเสียอีก”

บุรุษรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าอ่อนหวานคล้ายสตรี สวมใส่ชุดผ้าแพรสีม่วง บนศีรษะมีผ้าสีดำพันไว้ ด้านหลังสะพายดาบสองเล่ม ยืนเอาหลังพิงเสาไม้ และกำลังพูดอยู่กับข้า

ข้ามองดูชายแปลกหน้าด้วยความทึ่ง ใบหน้าแปลกประหลาด ขาวใสคล้ายสตรีเพศ ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่น นุ่มลึก น่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย ข้าไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน

“ข้าหลับไปนานเท่าไหร่”

“สิบวันพอดี ไม่มีขาดเกิน”

“ท่านช่วยข้าไว้ ขอบใจท่านมาก บุญคุณในครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม”

“เรื่องบุญคุณเอาไว้ก่อนเถอะ ว่าแต่ท่านอาการเป็นเยี่ยงไร พร้อมจะเดินทางไกลได้หรือไม่”

“พอไหว” ข้าตอบตามจริง

“งั้นก็ดี..พี่ชายกำลังย่างปลาอยู่หน้ากระท่อม เชิญท่านตามมา”

ข้าลุกลงจากเตียงด้วยความยากลำบาก แต่เมื่อเท้าแตะพื้นและลุกขึ้นเดิน พลันรู้สึกว่าร่างกายพร้อมลุยแล้ว จึงแกะผ้าพันแผลที่ใบหน้าและศีรษะออก

อากาศยามรุ่งเช้าหน้ากระท่อมช่างสดชื่นจริงๆ เป็นเวลาสิบวันที่ไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีที่ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า

ข้าเดินไปหาสองพี่น้องที่นั่งล้อมวงอยู่หน้ากองไฟ

“ท่านทั้งสองช่วยชีวิตข้าไว้ ขอบคุณพวกท่านมาก” ข้าค้อมศีรษะให้สองพี่น้อง

“นั่งลงเถอะ” บุรุษในชุดรัดกุมสีดำ รูปร่างสูงใหญ่กำยำ หน้าตาเข้มคมสันกว่าคนแรกที่เจอ กล่าวกับข้า

“ข้าชื่อ เลโอ พวกท่านสองคนเล่าชื่ออะไรกัน ข้าอยากจดจำชื่อผู้ที่มีพระคุณต่อข้า”

“ข้าชื่อคิรัวร์ ส่วนพี่ชายข้าชื่อจิน เราสองคนเป็นนักล่าปิศาจ มาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย พวกเราสองคนพี่น้องตามล่าปิศาจมานานมากแล้ว”

ดินแดนอาทิตย์อุทัย ดินแดนของพวกนินจานั่นเอง ข้าจดจำสิ่งที่ท่านปู่เล่าให้ฟัง คนชนเผ่านี้นับว่าเป็นนักรบที่เก่งกาจยิ่งนัก

“พวกท่านทั้งสองฆ่ามนุษย์หมาป่าตัวนั่นแล้วใช่หรือไม่” ข้าเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“มันหนีไปได้ พวกข้าไปเจอมันตอนกำลังจะง้างปากงับหอหอยท่านพอดี จินยิงธนูใส่ดวงตามัน คงเจ็บจี๊ดสะเทือนไปทั้งร่าง มันถอยร่นออกจากร่างท่าน ข้าวิ่งเข้าประชิดตัวมัน ชักดาบฟันฉับลงไปที่แขนมันอย่างจัง

เราควรเป็นฝ่ายชนะอย่างง่ายได้ แต่นั่นละ ผู้ช่วยเจ้ามนุษย์หมาป่า มันก็เก่งใช้ได้ ข้าโดนพลังชะงักงันของนางแม่มดเข้าให้ ทำให้ตัวข้าแข็งทื่อ ล้มตึงนอนลงพื้นราวต้นไม้ที่โดนโคน แล้วนางแม่มดก็ใช้มนตร์มายาพาเจ้าหมายักษ์เผ่นแน่บหายไปในความมืด”

“เจ้าประมาทมันเกินไป ข้าบอกให้เจ้ารอก่อน แต่ดันวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป ฆ่าหมาป่าไม่ได้ แถมยังถูกแม่มดเล่นงานอีก ไม่ตายก็บุญแล้ว” จินเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

“ที่จริงข้ามีสิ่งของไว้ป้องกันคาถาจากแม่มดด้วยนะ แต่ตอนนั้นข้าหารู้ไม่ว่านางเป็นแม่มด เลยไม่ได้งัดทีเด็ดออกมาใช้” คิรัวร์เล่าต่อ แล้วหันหน้ามาขยิบตาให้ข้า

“เจ้าหญิงมินตรานั่นน่ะหรือเป็นแม่มด” ข้าเอ่ยถามบ้าง

“เปล่าไม่ใช่นาง เจ้าหญิงมิตราคงตายไปแล้ว นางแม่มดยึดร่างนางมาใช้” คิรัวร์เป็นคนตอบ ส่วนจินยังคงทำหน้าที่ย่างปลาด้วยความใจเย็น และพิถีพิถัน

“ทำไมพวกท่านถึงเดินทางมาที่นี่ ไกลโขทีเดียวจากดินแดนที่พวกท่านจากมา การตามล่าปิศาจคงไม่ใช่เป้าหมายเดียวที่ท่านทั้งสองดั้นดนมาที่นี่แน่ๆ”

“ที่ท่านว่ามาก็มีส่วนถูก เราไม่ได้มาตามล่าปิศาจอย่างเดียว ยังมาที่นี่เพื่อตามหาอัญมณีโลหิต มาเพื่อตามหา และทำลายมันซะ หากอัญมณีโลหิตตกไปอยู่กับพวกชั่วช้า โลกเราคงเต็มไปด้วยความโกลาหล วุ่นวายและการเข่นฆ่า”

ครั้งนี้จินเป็นคนตอบ ก่อนจะยื่นปลาย่างสุกได้ที่แล้วมาให้ข้ากับคิรัวร์ และกล่าวต่อ

“กินซะ กินให้อิ่ม อีกเดี๋ยวเราจะต้องเดินทางกัน หากท่านไม่ต้องการไปกับพวกข้า ก็จงไปยังที่ที่ท่านอยากไป”

“ข้าไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว หากพวกปิศาจร้ายยังเพ่นพ่านเกลื่อนเมือง บ้านก็คงไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ข้าจะไปกับพวกท่าน ตามหาอัญมณีโลหิต และทำลายมัน”

“เช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่าน”


ข้าเล่าเหตุการณ์ที่ได้ยินมนุษย์หมาป่ากับแม่มดคุยกันให้สองพี่น้องฟัง พวกเราทั้งสามจึงมุ่งหน้ามายังปราสาทราชวังของพระราชา
หากนางแม่มดเห็นภาพนิมิตว่าอัญมณีโลหิตอยู่ที่นี่ก็ต้องเริ่มต้นหาจากตรงนี้เสียก่อน

“เงียบเกินไป เงียบจนไม่น่าไว้วางใจ พวกเจ้าสองคนระวังตัวด้วย” จินเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราสามคนเดินมาถึงลานหินปูนหน้าปราสาท พลันพบว่าสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นปราสาทร้างไปแล้ว

ไม่มีเวรยามที่แน่นหนาอย่างที่ควรจะเป็น ทหารและคนที่อาศัยอยู่ในปราสาทหายไปหมดสิ้น ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว

คิรัวร์ชักดาบทั้งสองเล่มออกมาจากฝัก ข้ากำดาบในมือแน่น ทว่าจินกลับเดินเอามือไพล่หลัง มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวปราสาทโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เป็นบุรุษที่องอาจกล้าหาญยิ่ง

หากทำลายอัญมณีโลหิตได้ ข้าสาบานว่าจะติดตามสองพี่น้องไปทุกที่ ออกล่าปิศาจไปพร้อมกับพวกเขา

“ดูโน่น” จินชี้บางอย่างให้เราดู

ทหารนับสิบนอนตายจมกองเลือด

“มีคนมาหาอัญมณีโลหิตก่อนเราแล้ว ระวังตัวด้วยนะเลโอ” คิรัวร์หันมาบอกข้า

“พวกมันเป็นใคร ดูจากการฆ่าไม่ใช่พวกหมาป่าแน่” ข้าเอ่ยถาม

“พวกแวมไพร์ ป่านนี้คงรู้ว่าเราสามคนอยู่ที่นี่” จินเอ่ยขึ้น พร้อมดึงปืนสองกระบอกที่อยู่ข้างสะเอวออกมา

เดินลึกเข้าไปในตัวปราสาท ยิ่งพบศพคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหากข้าตาไม่ฝาด พระราชาก็เป็นหนึ่งในศพบนกองที่อยู่ด้านหน้าด้วย

“พวกมันมาแล้ว” จินเอ่ยขึ้น

ลมเย็นเฉียบระลอกหนึ่งพุ่งผ่านกายข้าไป

เก้าอี้ไม้ที่วางอยู่ข้างผนังล้มลง พร้อมการปรากฏตัวของแวมไพร์สามตน ชายสอง หญิงหนึ่ง พวกมันยืนหัวร่อ อย่างมีความสุข ก่อนที่หญิงสาวตนเดียวในกลุ่มจะเอ่ยขึ้นว่า

“สองพี่น้องตระกูลโซลกุ นักล่าปิศาจจากดินแดนอาทิตย์อุทัย มาไกลถึงนี่ ใช่..ข้ารู้ ข้ารู้จักพวกเจ้าทั้งสองคน” นางหยุดพูดเพียงเล็กน้อย และพูดต่ออีกครั้ง

“ข้าบิสเก็ต” นางทำทีเป็นค้อมศีรษะลงเล็กน้อยขณะที่กำลังบอกชื่อตัวเอง และพูดต่อ

“ข้าเป็นสมาชิกผู้อาวุโสสูงสุด หนึ่งในสิบสองภาคีอัลคาร่า เจ้าสองคนคงรู้จักภาคีนี้ดี พวกเรามีอยู่ทุกที่ ทั่วทุกมุมโลก ข้าได้รับมอบหมายให้ตามหาอัญมณีโลหิต ฉะนั้น พวกแกจงหลีกทางไป หรือจะสู้จนตัวตาย ข้าก็ยินดีจัดให้”

สิ้นสุดคำที่นางพูด แวมไพร์สามตน กระจายตัวพุ่งตรงมาหาเรา

คิรัวร์ดีดตัวกระโดดหลบหลีกการจู่โจมจากมันได้อย่างรวดเร็ว ดาบในมือตวัดฟาดฟันใส่มันอย่างดุเดือด ทว่าฝ่ายตรงข้ามก็รวดเร็วไม่น้อย พุ่งกายหลบคมดาบได้ทุกกระบวนท่า

จินกระหน่ำสาดกระสุนใส่บิสเก็ต แต่แวมไพร์สาวฝีมือร้ายกว่าที่คิด การหลบหลีกกระสุนปืน นางทำได้คล่องแคล่วกว่าไอ้ตัวที่รุมคิรัวร์เสียอีก
เห็นได้ชัดว่านางฝีมือเก่งกาจนัก ข้าหวังว่าจินจะสามารถต่อกรกับนางได้ มิเช่นนั้นแล้วเราสามคนคงได้กลายเป็นอาหารของพวกมันแน่

“เข้ามาเลย ไอ้หน้าขาว” คิรัวร์พุ่งทะยานแกว่งดาบฟันใส่แวมไพร์ ผมทอง รูปร่างผอม ตัวสูง หน้าตาคล้ายม้า (ใช่..ข้าคิดว่ามันหน้าเหมือนม้า) ผู้ที่กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ของคิรัวร์

ไอ้หน้าขาวหลบดาบคิรัวร์ได้อย่างเฉียดฉิว แต่ยังไม่เร็วพอที่จะพ้นรัศมีคมดาบ มันเสียนิ้วไปสามนิ้วจากการพุ่งโจมตีของคิรัวร์

สร้างความโกรธแค้นให้มันยิ่งนัก ไอ้หน้าขาว จับเก้าอี้ฟาดใส่คิรัวร์อย่างบ้าคลั่ง คิรัวร์สูญเสียการตั้งรับ จนต้องถอยร่นหนีการจู่โจม คู่ต่อสู้ยังตามมาไม่หยุด

คิรัวร์ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวหนีด้วยการไต่ผนัง ไอ้หน้าขาวกระชากเก้าอี้แบ่งเป็นสองส่วนแล้วเขวี้ยงด้านแหลมคมใส่คิรัวร์

คิรัวร์ใช้ดาบปัดป้องได้ทัน ก่อนพุ่งกายลงมาจากผนัง และเตะเชิงเทียนพุ่งใส่คู่ต่อสู้

“มีปัญญาทำได้แค่นี้เองรึ ไอ้นักล่าปิศาจ” แวมไพร์หน้าม้าแสยะยิ้ม เมื่อตนหลบอาวุธ เฉพาะกิจได้ทัน

มันเคลื่อนตัวรวดเร็วราวภูตผีปิศาจ มาปรากฏอยู่ด้านหลังคิรัวร์ แล้วใช้สันมือฟันคอคิรัวร์เข้าอย่างจัง

คิรัวร์เสียการทรงตัว มันบุกเข้ามากระหน่ำเตะหน้าท้อง แล้วเหวี้ยงกำปั้นใส่หน้าคิรัวร์เต็มแรง ทำให้เขาล้มลง พร้อมเลือดแดงฉานที่ไหลออกมาจากริมฝีปาก

เลือดแดงสด คงส่งกลิ่นหอมยั่วยวนผีดิบดูดเลือดอยู่ไม่น้อย ข้าเห็นใบหน้ามันกระสันอยากดูดเลือดคิรัวร์ยิ่งนัก

หนุ่มนักล่าปิศาจนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ค่อยๆใช้มือเช็ดเลือดที่บริเวณริมฝีปากออกอย่างใจเย็น

“ถึงทีข้าเอาจริงละนะ” คิรัวร์เอ่ยขึ้น

“ฮึ..แกรึจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้ ข้าจะดูดกินเลือดแกจนหมดตัว แล้วโยนร่างแกให้หนูแทะกิน”

“ส่วนข้าจะตัดแขน ตัดขา และตัดหัวแก ภายในเวลา...”

สิ้นคำพูดของนักล่าปิศาจ ร่างของเขาพลันเลือนหายไปจากสายตาข้า รวดเร็วเหลือเกิน เคลื่อนตัวได้เร็วจนข้ามองไม่ทัน
ข้าเห็นเพียงประกายดาบที่เปล่งแสงออกมาเพียงสองครั้ง จากนั้นทุกอย่างก็เลือนหายไป ทั้งคิรัวร์และไอ้หน้าม้า พวกเขาทั้งสองควรอยู่ตรงนั้น แต่ไฉนข้ากลับมองไม่เห็น

มีเพียงคลื่นลมร้อนแรงบางอย่างที่แผ่พุ่งอออกมาจากจุดที่ทั้งสองควรอยู่ รัศมีความร้อนคุกคามปกคลุมรอบห้องค่อยๆร้อนแรงขึ้น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสะท้อนก้อง และเงียบสงบลงพร้อมการปรากฎตัวของคิรัวร์

“หนึ่งนาที”

นั่นคือคำพูดแรกที่คิรัวร์เอ่ยขึ้น และเสียบดาบกลับเข้าฝักดังเดิม

ภาพที่เกิดขึ้นพลันปรากฏต่อสายตาข้าอีกครั้ง แวมไพร์ตนนั้นถูกตัดแขนขาและศีรษะตามที่คิรัวร์ว่าไว้ไม่มีผิด เศษชิ้นส่วนร่างกายมันกระจัดกระจายน่าสยดสยองจนข้าต้องเบือนหน้าหนี

“ท่านทำแบบไหนได้ยังไง อยู่ดีๆก็หายไปราวกับล่องหนได้ ข้ามองไม่เห็นท่านเลย” ข้าเอ่ยถาม

“ลับสุดยอด บอกท่านมิได้” คิรัวร์ขยิบตาให้ข้า และพูดต่อ

“แต่ก็ไม่ร้ายเท่าท่าน ที่ฆ่าแวมไพร์ได้อย่างง่ายได้ นี่ข้าสู้กับมันเหงื่อแตกท่วมตัว แต่ท่านยังไม่ได้ออกแรงด้วยซ้ำ ไฉนเจ้านั่นถูกท่านจัดการเสียแล้ว”

“ถ้าให้ข้าสู้กับมันแบบที่ท่านสู้ ข้าคงโดนมันเล่นงานและคงตายไปแล้วแน่ๆ ข้าอ่อนด้อยฝีมือการต่อสู้นัก จำต้องเล่นด้วยกล”

“ท่านทำยังไง”

ข้าเล่าสิ่งที่ข้าจัดการกับแวมไพร์ผิวสีให้คิรัวร์ฟัง

ข้ามีลูกดอกด้านในบรรจุน้ำมนต์ กระเทียม และตัวยาอีกหลายชนิด ที่ข้าเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง มันเป็นยาที่ใช้หยุดแวมไพร์ไว้เท่านั้น แต่ไม่สามารถฆ่ามันได้ แค่หยุดการเคลื่อนไหวไว้เพียงชั่วครู่

ในระหว่างที่มันกำลังวิ่งตรงมาหาข้า ลูกดอกขนาดเท่านิ้วมือห้าลูกที่อยู่ในมือ ข้ารีบกระหน่ำซัดใส่มันทันที

ข้ายังไม่เคยใช้ตัวยานี้กับแวมไพร์ตนใดมาก่อน และไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้

แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลองดู ลูกดอกห้าลูกกระจายพุ่งปักบริเวณหน้าอก หน้าท้องและแขนของมัน

แวมไพรส์ตนนั้นหยุดนิ่ง ใบหน้ามันเหยเกบ่งบอกถึงอาการปวดแสบ ปวดร้อน คงเป็นเพราะน้ำมนต์หรือไม่ก็กระเทียมที่กำลังเล่นงานมัน ทว่าเพียงไม่นานมันเริ่มขยับเท้าก้าวเดิน ข้าไม่รอให้มันเคลื่อนไหวตัวได้อีก

ข้ารีบวิ่งไปแล้วรีบใช้ดาบบั่นศีรษะมันทันที หากช้ากว่านี้ข้าคงหมดทางต่อกรกับมันแน่

เห็นได้ชัดว่าตัวยายังไม่สมบูรณ์ ยาไม่สามารถหยุดแวมไพร์ไว้ได้นานพอ และถ้าหากใช้กับพวกแวมไพร์ที่มีพลังสูง ยาตัวนี้คงใช้ไม่ได้ผลแน่ ไอ้ตัวที่ถูกข้าเล่นงาน เป็นแค่ลูกสมุนกระจอกๆเท่านั้นเอง

ข้าคงต้องคิดค้นสูตรยาขึ้นมาใหม่เสียแล้ว อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรืออาจเป็นปี ทว่าตอนนี้ข้าไม่มีตัวยาใดๆติดตัวอีกแล้ว ต่อไปคงต้องสู้กับแวมไพร์แบบตัวต่อตัว ถ้าไม่ตายอย่างอนาจ ก็คงเป็นอาหารของมันแน่ๆ

ข้าภาวนาว่าทางที่ดีขออย่าได้เจอกับพวกผีดิบดูดเลือดอีกเลย

“จินกับบิสเก็ตหายไปไหน” คิรัวร์เอ่ยถาม

ข้ามั่วแต่ยืนดูคิรัวร์กับไอหน้าม้าสู้กันจนไม่ทันมองว่าจินหายไปจากห้องนี้แล้ว

“ข้าไม่รู้ ไม่ทันเห็น”

ปัง..

เสียงปืนดังขึ้น และตามด้วยเสียงดังโครมครามเหมือนข้าวของกำลังถูกพังทลาย คิรัวร์และข้าวิ่งไปตามทิศทางที่ยินเสียง

ข้าวิ่งผ่านห้องสามห้อง ทุกห้องล้วนมีศพคนตายเกลื่อน ไอ้พวกนี้มันโหดเหี้ยมยิ่งนัก ฆ่าคนเล่นราวผักปลา สักวันข้าจะเก่งเหมือนคิรัวร์แล้วจะตามฆ่าพวกแกทุกตัว

ห้องโถงใหญ่ คือจุดที่ข้าเจอจินกับบิสเก็ต ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน รังสีเข่นฆ่าคุมคามแผ่ปกคลุมเต็มห้อง

สภาพห้องพังระเนระนาด ผนังหลายจุดเกิดรอยแตกร้าว โต๊ะเก้าอี้แตกหักกระจุยกระจายกลายเป็นเพียงเศษไม้ไร้ค่า

จินเก็บปืนเข้าที่เดิม และดึงดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา จินมีดาบเพียงเล่มเดียว รูปทรงของดาบคล้ายของคิรัวร์ แต่ต่างกันที่ดาบของจินมีขนาดใหญ่กว่า

“คิรัวร์ อัญมณีโลหิตอยู่บนนั้น ข้าจะสกัดนางไว้ เจ้าไปเอาลงมา” จินชี้นิ้วขึ้นฟ้า ทว่าสายตายังจับจ้องอยู่ที่บิสเก็ต

ข้ามองตาม เห็นเพชรสีเลือดขนาดเท่าไข่ไก่ ฝังแน่นอยู่ที่เพดานอิฐ อยู่ตรงจุดเดียวที่มีโคมไฟระย้าห้อยลงมา

บริเวณที่อัญมณีโลหิตซ่อนอยู่เกิดรอยแตกร้าวหลายจุด คงเป็นเพราะผลของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในห้อง จนเผยให้อัญมณีโลหิตที่ซ่อนอยู่ใต้เพดานแน่ๆ

“ข้าจะไปเอาลงมา” คิรัวร์รับคำ

“พวกแกอย่าหวังว่าจะได้ไป” บิสเก็ตตะโกนก้อง

“ก็ลองเข้ามาเอาดูสิ” จินท้า

บิสเก็ตกระโดดกายพุ่งปราดเดียวเกือบถึงจุดที่อัญมณีโลหิตซ่อนอยู่ ทว่าจินไล่ตามมาคว้าเท้านางไว้ แล้วจับร่างนางเหวี้ยงไปอีกทางหนึ่ง

ร่างแวมไพร์สาวลอยละลิ่วเกือบชนผนัง นางเอี้ยวตัวหมุนกลับ แยกเขี้ยวแหลมคมข่มขู่ ก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นจับโต๊ะไม้ที่อยู่ใกล้มือ ยกขึ้นจากพื้นแล้วโยนใส่จิน

จินกระโดดหลบ แล้วพุ่งกายเข้าหาคู่ต่อสู้ ตวัดดาบฟันใส่แวมไพร์สาว นางเคลื่อนกายหลบซ้ายขวา ได้อย่างดายและรวดเร็ว หมุนตัวเตะข้อมือจิน
รองเท้าที่ซ่อนมีดไว้ เฉือนข้อมือจินจนเกิดบาดแผล

ทว่าบาดแผลเพียงเท่านี้ ไม่สามารถหยุดนักล่าปิศาจได้ จินเคลื่อนตัวพุ่งเข้าหาบิสเก็ต ดาบในมือกวาดแกว่งคุกคามใส่แวมไพร์สาวอย่างดุดัน

บิสเก็ตยังสามารถหลบคมดาบได้อย่างง่ายได้เช่นเคย เสียงหัวร่อของแวมไพร์สาวดังแสบแก้วหู

“แกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ฮ่า ฮ่า”

บิสเก็ตหัวเราะเยาะการจู่โจมของจินที่ดูจะไร้ความหมาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงตัวนางได้เลย

นางดึงแส้ออกมาจากตรงไหน ข้ามิอาจทราบได้ นางสะบัดแส้ฟาดใส่แขนจินเต็มแรงจนแขนเสื้อขาด ข้าเห็นเลือดซึมออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อ
ฝีมือนางร้ายกาจมิใช่น้อย

“เลโอ อัญมณีติดที่เพดานแน่นเกินไป ข้าดึงไม่ออก ข้าจะใช้มีดงัดมันออกมา หากมันตกไปข้างล่างเจ้ารับไว้นะ”

คิรัวร์ซึ่งตอนนี้ขึ้นไปเกาะอยู่ที่โคมไฟระย้า ตะโกนบอกข้าที่ข้างล่าง

“ข้ารอรับอยู่”

บิสเก็ตกับจินยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด ข้าเห็นบิสเก็ตมองดูอัญมณีโลหิตอยู่เป็นระยะ นางคงรอจังหวะให้อัญมณีร่วงลงมาแล้วหวังมาช่วงชิงไปแน่ๆ ข้าจะไม่ให้นางเอาได้ง่ายๆเด็ดขาด ฝันไปเถอะนางผีดิบ

“ใกล้จะหลุดออกแล้ว” คิรัวร์ร้องบอก

ข้าเตรียมท่าตั้งรับ ไม่นานอัญมณีสีเลือดก็หล่นลงมา ข้ากำมันไว้เต็มสองมือ รู้สึกถึงไออุ่นแผ่กระจายเต็มสองมือ

บิสเก็ตกระโดดปราดเข้ามาล็อคคอข้า ข้าไหวตัวทัน รีบโยนอัญมณีโลหิตไปให้คิรัวร์

“แก!!!...” บิสเก็ตส่งเสียงขู่ นางคงโกรธแค้นอยู่ไม่น้อย ที่ไม่สามารถเข้าถึงอัญมณีโลหิตได้ง่ายๆ

นางฝังเขี้ยวลงคอหอยข้า รวดเร็วจนตั้งตัวรับไม่ทัน ข้าส่งเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวด รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง ลมหายใจเริ่มติดขัด ดวงตาพร่ามัวใกล้จะปิดเต็มที

ทว่าเสียงกรีดร้องของนางปลุกข้าให้กลับมามีสติอีกครั้ง

ข้ามองดูแวมไพร์สาวที่มีเลือดเปื้อนเต็มปาก นางถอยห่างจากตัวข้า เพราะโดนดาบจินปักเข้ากลางหลัง แล้วร่างข้าพลันล้มลง หายใจรวยรินและชักกระตุกอยู่หลายครั้ง

“คิรัวร์ ดูเลโอด้วย ข้าจะตามนางไป”

ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นก่อนหมดสติ คือบิสเก็ตกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง และจินกระโดดตามไป

200 ปีต่อมา

“อ้าว..ยัยแป้ง แกยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ นี่เกือบจะสองทุ่มแล้วนะ กะจะทำงานเอาตำแหน่งพนักงานดีเด่นหรือไงย่ะ”

วาวเพื่อนร่วมงานเดินมาหยุดอยู่โต๊ะทำงานของเพื่อนสาว คนที่ตนเพิ่งเอ่ยถามไปเมื่อครู่

“อีกเดียวเดี๋ยวน่า เราใกล้จะเขียนจบแล้ว ว่าแต่แกเถอะ ยังไม่ถึงบ้านอีก”

แป้งวางมือจากแป้นพิมพ์แล้วหันหน้ามาคุยกับวาว

“ฉันไปทานข้าวกับพี่ดลมา บังเอิญลืมเอกสารไว้ที่ออฟฟิศเลยแวะกลับมาเอาน่ะ”

วาวยื่นหน้าก้มลงไปอ่าน บทความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แป้งพิมพ์ค้างไว้ และพูดเสียงดังทันทีที่เห็นว่าเพื่อนกำลังเขียนเกี่ยวกับอะไร

“แกกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับอะไรเนี่ย นักล่าปิศาจเหรอ นิตยสารอ่านดี จะลงบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้วเหรอแก  ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย บอกอจะเปลี่ยนแนวจากสาระรอบตัวมาเป็น แนวภูตผีปิศาจหรือไง”

“ภูตผีปิศาจก็เป็นเรื่องสาระรอบตัวได้เหมือนกันนะแก บอกออยากให้ฉันลองเขียนบทความดู แล้วส่งให้บอกออ่าน ถ้าเข้าท่าอาจได้ตีพิมพ์ในเดือนหน้า”

“ฉันว่าดูงมงายซะมากกว่า”

“แต่ฉันว่าไม่ใช่เรื่องงมงายนะ ฉันไปอ่านเจอบันทึกเล่มหนึ่งที่อยู่ห้องสมุด เค้าเขียนเล่าถึงนักล่าปิศาจสองพี่น้องตระกูลโซกุ  ที่ออกล่าแวมไพร์ มนุษย์ป่าหมา พวกพ่อมดหมอผีที่โดนอวิชาเล่นงานจนกลายมาเป็นสัตว์ร้ายในคราบคน พวกมันโหดร้ายป่าเถื่อน คลั่งไคล้การเข่นฆ่า นักล่าปิศาจต้องออกมาปราบพวกมันไว้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเราอย่างทุกวันนี้แน่ๆ”  แป้งเล่า

“นิทานหลอกเด็กชัดๆ” วาวโต้กลับ

“ก็แล้วแต่แกจะคิด ถึงอย่างไรฉันก็จะค้นคว้าเรื่องราวของสองพี่สองโซลกุให้ได้มากที่สุด แล้วจะเขียนบทความถึงพวกเขา แกรออ่านแล้วกัน”

“ย่ะ แม่สาวนักล่าปิศาจ ฉันจะรออ่าน ส่วนตอนนี้ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน พี่ดลรออยู่ และแกก็ควรกลับบ้านได้แล้วนะ”

“จ้า..อีกแป๊บเดียว ขออีกสิบนาที อยากเอนหลังแล้วเหมือนกัน”

“งั้นฉันไปก่อนนะ บ๊ายบาย” วาวโบกมือลาเพื่อนก่อนจะเดินจากห้องไป

แป้งบิดขี้เกียจซ้ายขวา หญิงสาวเหลียวมองเวลาที่หน้าจอ สองทุ่มตรง

“ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ ค่อยไปเขียนต่อที่บ้านดีกว่า” หล่อนพึมพำกับตัวเอง แล้วปิดคอมพิวเตอร์ เก็บโทรศัพท์ ปากกา สมุดและหนังสืออีกสองเล่มยัดลงเป้


“กลับแล้วหรือครับคุณแป้ง วันนี้กลับช้านะครับ” ยามหน้าออฟฟิศเอ่ยทักหญิงสาวทันทีที่หล่อนเดินมาถึงประตูทางออก

“เรียกแป้งเฉยๆก็ได้ค่ะ น้าแสน ไม่ต้องมีคุณก็ได้ วันนี้แป้งมีงานให้ต้องเคลียร์หลายอย่างค่ะ เลยอยู่ดึกหน่อย”

“ครับ เดินทางกลับบ้านดีๆนะครับ”

“ค่ะ แป้งไปนะคะ”

หญิงสาวยกมือไหว้น้ายาม ก่อนจะเดินออกมารอรถแท็กซี่ที่ริมฟุตบาธ

รถแท็กซี่หายากกว่าที่หล่อนคิดไว้ ยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะวิ่งผ่านมาสักคัน และพอหญิงสาวระบุจุดหมายที่ต้องการลง คนขับก็ปฏิเสธไม่รับหล่อนขึ้นรถ สามคันผ่านไปแป้งยังหารถกลับบ้านไม่ได้

หญิงสาวล้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสามทุ่มครึ่ง หล่อนเริ่มกังวล ถ้าคืนนี้หารถแท็กซี่กลับที่บ้านไม่ได้ มีหวังได้นอนที่ออฟฟิศแน่ๆ ไม่เอา..แค่คิดก็ไม่อยากนอนแล้ว หญิงสาวโอดโอยในใจ

แต่ความหวังยังมี เมื่อรถแท็กซี่คันหนึ่งตีไฟเลี้ยวชะลอรถมาจอดตรงหน้าหญิงสาว

แป้งบอกจุดหมายที่ต้องการลง และแท็กซี่คันนี้ก็รับหล่อนขึ้นมา

รถราบนท้องถนนแล่นได้คล่องตัว รถจึงวิ่งได้เร็ว แป้งรู้สึกใจชื่นขึ้นมาหน่อยถ้าเป็นแบบนี้คงถึงบ้านเร็วกว่าที่คิดไว้

หล่อนเผลอหลับไปหลายตื่น และพอตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่บนถนนสายเปลี่ยว ไม่มีรถคันอื่นแล่นสวนผ่านมาเลย

“พี่พาหนูมาทางไหนคะ” แป้งเอ่ยถามคนขับ

“ทางลัด”

“จอดรถเดี๋ยวนี้นะ” แป้งตะโกนเสียงดัง หัวใจเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว หล่อนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบขวดสเปรย์พริกไทยมากำไว้ หากคนขับคิดทำไม่ดีไม่ร้าย หญิงสาวก็พร้อมฉีดสเปรย์ใส่หน้ามันทันที

รถหยุดแล่น คนขับหันหน้ามามองผู้โดยสาร

หล่อนแทบกรีดร้องเมื่อเห็นใบหน้าคนขับ ขาวซีด ดวงตาแดงก่ำ เขี้ยวสองข้างยาวเฟื้อย

“คืนนี้แกต้องเป็นอาหารของฉัน”

หญิงสาวฉีดสเปรย์พริกไทยใส่หน้ามัน แล้วรีบเปิดประตูวิ่งหนีออกมา

“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ มีใครอยู่แถวนี้ไหมคะ ช่วยด้วยค่ะ”

แป้งวิ่งพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไร้สัญญาณตอบรับ

“แกจะหนีไปไหน” คนขับวิ่งมาประชิดตัวหญิงสาว แล้วผลักร่างหล่อนให้ล้มลง

แป้งกรีดร้องเสียงหลง ตะเกียดตะกายคลานหนี มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ดึงผมหญิงสาวเพื่อจับให้เงยหน้าขึ้น

“แกเป็นแวมไพร์ ทะไม..ทำไมยังมีพวกแกเหลืออยู่ พวกแกน่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว” แป้งพูดกับมัน

“งั้น ฉันจะบอกอะไรให้แกรู้ ก่อนที่แกจะกลายมาเป็นอาหารของฉัน”

แป้งอาศัยช่วงจังหวะที่มันพูด ใช้มีดพกที่ตนแอบดึงออกมาจากกระเป๋าแทงลงไปที่ขาของมัน

แล้วรีบลุกวิ่งหนีทันทีที่มันปล่อยมือจากผม แต่ก็ช้าไปมามันวิ่งตามทัน และชกหน้าท้องหล่อนไปหนึ่งที

หญิงสาวล้มลงนอนตัวงออยู่บนพื้น

“ที่จริงฉันตั้งใจจะเก็บแกไว้ เลี้ยงดูแก คอยดูดเลือดแกไปทีละนิดทีละน้อย แต่แกทำฉันเจ็บ คืนนี้ฉันไม่เอาแกไว้แน่”

มันเดินย่างสามขุมเข้าหาหล่อน หมายจะดูดเลือดหล่อนให้หมดตัว

“ถอยออกมาจากตัวเธอ ถ้าแกยังไม่อยากตาย” น้ำเสียงทุ้มทรงพลังเอ่ยขึ้นเสียงดัง

คนขับรถหันไปมองตามทิศทางที่ได้ยินเสียง เห็นบุรุษชุดดำ ด้านหลังสะพายดาบสองเล่ม ยืนตะหง่านอยู่ถนนอีกฝั่งหนึ่ง

“นักล่าปิศาจ” มันเอ่ยขึ้น

แป้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันลุกวาว พยายามชะเง้อคอเหลียวมองชายชุดดำเพื่อจะได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ

“อยากตายก็เข้ามาสู้กับข้า หรือแกจะกลับไปบอกนายแก ให้ทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไปเผารังนายแกให้สิ้นซาก” ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ฉันไม่ได้อยู่สังกัดใครโว้ย อยากสู้กับพวกนักล่ามานานแล้ว”

“งั้นเตรียมตัวไปลงนรกได้เลย”

ชายชุดดำเคลื่อนตัวพลิ้วไหวราวสายลม เข้ามาประชิดตัวคนขับรถเพียงชั่วพริบตา เขาสะบัดดาบเพียงครั้งเดียวก็ตัดศีรษะมันขาดได้อย่างง่ายดาย

“คุณไม่เป็นไรนะ” ชายชุดดำหันมาพูดกับแป้งเมื่อเก็บดาบเข้าฝัก หญิงสาวนั่งตัวสั่นเทา

“ไม่เป็นค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะคะ”

แป้งลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับชายชุดดำ

“เขาบอกว่าคุณเป็นนักล่าปิศาจ”

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”

“คิดว่าคุณเป็น แล้วคุณรู้จักนักล่าปิศาจ สองพี่น้องตระกูลโซกุไหมคะ”  แป้งยิงคำถามทันทีที่ควบคุมอารมณ์หวาดกลัวของตัวเองได้

ชายชุดดำไม่ตอบคำถาม และเดินจากไป หญิงสาววิ่งตามมาติดๆ

“ถ้าคุณรู้จัก ช่วยเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ฉันกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลโซลกุ ข้อมูลในบันทึกก็มีไม่มาก หากคุณรู้ช่วยบอกหน่อยนะคะ”

“ผมไม่รู้”

“งั้นคุณชื่ออไรคะ”

“บอกไม่ได้”

“ฉันชื่อแป้งค่ะ”

“ผมไม่ได้อยากรู้ชื่อคุณ”

“รู้ไว้หน่อยก็ดีนะคะ เผื่อครั้งหน้าเราเจอกัน คุณจะได้เรียกฉันถูกไง”

ชายชุดดำชำเลืองมองหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีห่างออกมาแล้วกระโดดปราดเดียวขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน

“ฉันรู้ว่า คุณต้องรู้อะไรเกี่ยวกับสองพี่น้องตระกูลโซลกุแน่ๆ ฉันจะตามหาคุณและขอให้คุณเล่าให้เรื่องราวของสองพี่น้องให้ฟัง เราต้องได้เจอกันอีกแน่”

หญิงสาวยืนตะโกนก้องขึ้นไปจุดที่ชายชุดดำยืนอยู่ สิ้นคำพูดหญิงสาว ชายชุดดำพลันจากไปอย่างไร้ร่องรอย


.............................................



ข้าชื่อเลโอ เป็นนักล่าปิศาจ ข้ามีชีวิตเป็นอมตะ ชีวิตอมตะที่บิสเก็ตยัดเยียดมาให้ การมีชีวิตยืนยาวและเฝ้าดูคนที่รักจากไปทีละคน ทีละคน เป็นสิ่งที่ข้ามิปรารถนา

ข้าอยากตาย..แต่ก็มิอาจจะตายได้ตามความต้องการ

ข้าจำต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสานต่องานของอาจารย์จินและคิรัวร์

อดีตกาล ยาวนานมาแล้ว ข้าติดตามจินและคิรัวร์สองพี่น้องตระกูลโซกุไปทุกที่ เราสามคนออกล่าปิศาจ ทำงานรวมกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันบนเส้นทางที่มีแต่อันตรายรอบด้าน

เราทำลายอัญมณีโลหิตจนสิ้นซาก ทว่า..ก็มิอาจหยุดยั้งความชั่วร้ายของเหล่าปิศาจได้หมดสิ้น

จินและคิรัวร์สอนวิชาการต่อสู้ให้ข้าทุกรูปแบบ ฝึกฝน สั่งสอน และคอยควบคุมข้ายามที่ข้าหิวกระหายเลือด

ใช่แล้ว...ข้ากลายเป็นแวมไพร์ อสูรกายผีดิบ เผ่าพันธุ์ที่ข้าต้องการให้พวกมันสูญพันธุ์ ทว่าข้ากลับกลายเป็นสิ่งที่ข้าเกลียดชัง

จินสอนให้ข้าฝึกควบคุมความหิวกระหาย และคอยหาเลือดสัตว์มาให้ข้าดื่ม สอนให้ข้าใช้พลังที่แข็งแกร่งของแวมไพร์มาสู้กับพวกมัน

ข้าเรียนรู้ ฝีกฝน วันแล้ว วันเล่า นานนับเดือน นานนับปี จนข้ารู้ว่าข้าพร้อมที่จะสู้กับพวกมัน

เราสามคนบุกไปทำลายภาคีอัลคาร่าจนย่อยยัยแตกสลายไปในที่สุด ข้าสังหารบิสเก็ตด้วยมือของข้าเอง

ทว่า..แม้ภาคีนี้จะแตกสลายไป ไม่กี่ปีต่อมาแวมไพร์กลุ่มใหม่ก็ก่อตัวขึ้น พวกมันรวมตัวกันอย่างเงียบๆ และติดต่อรวมมือกับมนุษย์หมาป่า ระดมกำลังคนเป็นฝ่ายออกไล่ล่าพวกนักล่าปิศาจที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก

จินถูกฆ่าในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่การตายของจินไม่สูญเปล่า เพราะจินเองก็สามารถฆ่าผู้นำของมันได้เช่นกัน

พวกมันถอยร่นหนีไปเมื่อผู้นำถูกสังหาร และหยุดการเคลื่อนไหวนานหลายปี

และเมื่อพวกมันกลับมาอีกครั้ง กองกำลังทหารของฝ่ายทางการก็เตรียมพร้อมรับมือ การต่อสู้ระหว่างคนกับแวมไพร์จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างมีคนล้มตายเป็นจำนานมาก ไม่มีฝ่ายใดชนะ มีแต่ความเสียหาย และบอบช้ำ

ฝ่ายแวมไพร์ได้ผู้นำคนใหม่ ผู้นำที่ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้หรือทำให้ใครล้มตายอีก จึงได้เดินทางมาตกลงกับทางการให้ยุติการสู้กัน และมาเพื่อทำสัญญาสงบศึก

วันเวลาผ่านไปคิรัวร์แก่ตัวลง แต่ข้ายังมีสภาพร่างกายเหมือนเดิม ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอเขา ข้ารู้แล้วว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของคิรัวร์
คิรัวร์มอบดาบคู่ให้แก่ข้า และบอกให้ข้าสานต่องานที่ทำ หากพวกมันผิดสัญญา

โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไป ข้าใช้ชิวิตเยี่ยงชาวโลกแสนธรรมดา ไปเรียนหนังสือ เรียนจบหางานทำ ข้าทำงานเป็นทนายความ กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นครูในโรงเรียนมัธยม

กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นคนขับแท็กซี่ กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นนักโบราณคดี กาลเปลี่ยนไปข้าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ข้ายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกอย่างยาวนาน เฝ้าดูคนที่ข้ารู้จักตายไปทีละคน ทีละคน แสนทรมานและเจ็บปวด

แต่ข้าก็ยังต้องอยู่เพื่อล่าพวกปิศาจที่ผิดสัญญา และนับวันพวกมันกลุ่มนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ....ค่ำคืนที่เงียบสงบของข้ากลายมาเป็นคืนล่าอีกครั้ง


ไม่มีความคิดเห็น