คนจะตาย...ไม่ได้ตาย


      กลับมาอีกครั้งสำหรับเรื่องเล่าหลอนๆของเจ้าชายนักเล่าแห่งพันทิป กลับมาครั้งนี้ด้วยเรื่องราวสุดหลอนที่ทุกครั้งที่คุณลอยชายได้เขียน กระทู้นั้นย่อมมีคนติดตามปักหมุดเป็นจำนวนมาก และเราขอนำเสนอเรื่อง "คนจะตาย...ไม่ได้ตาย" ที่คุณลอยชายได้เล่าไว้เชิญรับชมกันเลย

     สวัสดีครับขอเกริ่นก่อนเลยว่าเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากขัดข้องประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย แล้วครั้งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องยาวอีกเรื่องนึง
           เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ช่วงไล่เลี่ยกับกระทู้แรกที่เขียน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องนี้เพราะว่าเกรงใจผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ แต่ไม่นานมานี้ได้เจอกันก็พูดคุยกันย้อนไปถึงเรื่องนี้แล้วทางนั้นก็บอกว่าไม่ว่าอะไร เขียนได้
           เรื่องมันเกิดจากความว่างของผมและเพื่อนคนนึง จึงได้คุยกันหาเรื่องเที่ยวกันว่าจะไปที่ไหนดี อยู่บ้านว่างๆมันเบื่อ คุยไปคุยมาก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปบ้านฐาติของเพื่อนที่อยู่ทางเหนือ แล้วบ้านเพื่อนนั้นไม่ได้อยู่ในเมือง จึงมีวิวสวยๆ มีธรรมชาติให้ได้ไปเที่ยวชม
            ผมกับเพื่อนเดินทางโดยรถทัวร์ ก่อนจะไปก็แวะไปไหว้พระพุทธชินราช ไหว้พระนเรศวรตามธรรมเนียมที่ทำมาตั้งแต่เด็กๆการเดินทางเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เพราะว่าไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวด้วย คนบนรถจึงไม่แออัด ไม่ต้องรีบร้อนมากนัก ตลอดข้างทางก็มีวิวทิวทัศน์ให้ได้ดื่มด่ำไปตลอดทาง เรียกได้ว่าเป็นการชาร์จแบตอย่างดี ก่อนจะกลับมาต่อสู้กับความเครียดในตัวเมือง
            เรรามาถึงท่ารถที่ตัวเมืองของจังหวัด และก็ต้องต่อรถประจำทางอีกหน่อยจึงจะไปถึงที่หมาย คนแถวนั้นพูดภาษาเหนือกันหมด ผมแค่พอฟังออกบ้าง จึงยกหน้าที่ให้เพื่อนผมเป็นคนเจรจาทั้งหมด เรานั่งรถประจำทางมาไม่ถึงชั่วโมง ก็มาถึงที่หมาย อากาศเย็นสดชื่นทำให้การนั่งรถดูไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสักเท่าไหร่
            ทีศาลาริมทางตรงหน้าตลาดนั้นมีชายอายุราวๆ 50 ปี ยืนรอพวกผมอยู่ เมื่อถามไถ่ก็รู้ว่าเป็นลุงของเพื่อนขอเรียกว่า ลุงผันนะครับ ผมไหว้ทักทายลุงผัน ลุงผันเป็นคนคุยง่าย ใจดี เรานั่งท้ายกระบะปีกไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงบ้านญาติของเพื่อนผม
            บ้านนั้นเป็นบ้านไม้ยกไต้ถุนสูง ข้างล่างถึงจะใช้ในการทำอาหาร และของจักสานทั่วๆไป แต่ก็ทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย รอบๆบ้านมีต้นไม้ใหญ่ต็มไปหมด ผมรู้สึกดีมาก และอีกอย่างที่น่าประทับใจก็คือ ในละแวกนั้นบ้านแต่ละหลังจะอยู่ค่อนข้างใกล้กัน แต่ไม่มีรั้วกั้น เพราะอยู่กันเหมือนเครือญาติมาตั้งแต่สมัยก่อน ไว้ใจกัน ช่วยกันดูแลบ้าน
            เมื่อเก็บข้าวของเส็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับเพื่อนก็ไปนั่งกินลมชมวิวกันตามที่คิดไว้แต่แรก เรานั่งคุยนั่งเล่นกันได้สักพักนึงก็ได้ยินเสียงนกร้องแปลกๆดังมาจากไกลๆ ผมคุ้นเคยกับเสียงนกนี้ และทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของมันก็มันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แม้จะไม่ช่ทุกครั้ง แต่ก็บ่อยครั้งที่เสียงร้องของมันเป็นเหมือนลางบอกเหตุบางอย่าง
            เวลาล่วงเลยไปจนบายแก่ๆ ลุงผันเดินอย่างรีบร้อนมาที่พวกผมนั่งอยู่แล้วก็บอกกับเพื่อนผมให้รีบกลับบ้าน ยายข้างบ้าน เหมือนจะไม่ไหวแล้ว
            ผมเดินตามเพื่อนมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเดินมาถึงบ้านก็เห็นว่าบ้านหลังหนึ่งที่ถัดไปจากบ้านเพื่อนผมเล็กน้อยนั้นมีคนมุงอยู่เต็มไปหมด เพื่อนบอกว่าเป็นญาติๆกันหมดนี่แหละ เห็นว่ายายแกป่วยมานาน อายุก็เยอะแล้ว สงสัยรอบนี้จะไม่ไหวจริงๆ
            เพื่อนผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน เพราะลุงผันแกเรียกให้เข้าไป ผมไม่ใช่ญาติจึงรออยู่ด้านนอก แต่ก็ใกล้จนได้ยิน และเห็นถึงสถานการณ์ข้างในว่าเป็นอย่างไรบ้าง
            ที่ด้านในมีคุณยายคนนึงนอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่คาดว่าคงจะซื้อกันมาเอง ที่รอบๆเตียงนั้นมีญาติหลากหลายช่วงอายุยืนล้อมรอบกันด้วยท่าทางเศร้าสร้อย เด็กตัวเล็กๆร้องไห้งอแง เหมือนรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
            คุณยายที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูไม่ค่อยมีแรง ญาติเรียกกันเท่าไหร่ ก็ทำได้แค่หันไปตามเสียงนั้น ไม่ได้พูดคุยหรือโต้ตอบอะไรกลับไป นับว่าเป็นภาพที่สะเทือนใจสำหรับคนนอกอย่างผมพอสมควร ผมได้แต่เฝ้ามองอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้น
            ที่ข้างๆเตียงของคุณยาย มีหญิงสูงวัยอีกคนหนึ่ง นั่งกุมมืออยู่ข้างๆ แล้วก็พูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด ผมได้ยินไม่ถนัดนัก จงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดนึงเพื่อให้ได้ยินในสิ่งที่คุณยายพํด
‘โอย ยาย จะไปแล้วเหรอ ทำไมทิ้งกันไปอย่างนั้นล่ะ ดูซิลูกหลานเสียใจร้องไห้กันหมดแล้ว ไม่สงสารเขาเหรอ บาปนะ ทำคนอื่นเสียจ อยู่ก่อนสิ อยู่ต่ออีกหน่อย อย่าพึ่งรีบไปไหน’
            ผมไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงดี การอาลัยอาวรณ์นั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และมันก็เกิดขึ้นได้กับทุกๆคน แต่บางครั้งเราก็ไม่ควรจะพูดอะไรแบบนี้ ด้วยความขัดข้องในใจ ผมจึงฟังต่ออีก
‘จะรีบไปไหน อยู่ต่อก่อนสิ ตายไปเป็นผี มันกินข้าวไม่ได้นะ มันทรมาน อยู่ให้ลูกหลานมันดูแลก่อน อย่าทำให้เขาเสียงใจสิ เป็นบาปนะ ตายไปตกนรกแน่ๆ อยู่ให้หลานมันดีใจก่อน’
            ผมทนฟังได้เท่านี้ก็เดินออกมาจนไม่ได้ยินเสียงของยายคนนั้นอีก ผมไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นแล้วจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่สำหรับผม ผมรู้สึกว่ามันไม่ดี มันทำให้เขาหนักใจ แล้วก็รู้สึกแย่ ผมนั่งรอที่ข้างนอกอย่างเงียบๆ จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มทะยอย เดินกันออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยท่าทางเศร้าๆ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีวันมันเกิดอะไรขึ้น
            และในคืนนั้นเองก็เป็นหน้าที่ของลูกหลานในระแวกบ้านต้องช่วยกันเตรียมข้าวของ เตรียมงานเตรียมสถานที่ ทำให้อะไรๆค่อนข้างวุ่นวาย เพื่อนผมก็ต้องช่วยเขาเหมือนกัน ทำให้เราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่
            ตามประเพณีของคนเหนือในบางพื้นที่จะเลือกตั้งศพไว้ที่บ้าน ซ่งผมก็ไม่ได้รู้ลึกถึงธรรมเนียบนี้เท่าไหร่นัก ผู้คนในหมู่บ้านต่างมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผมก็เหนื่อยไปกับเขาด้วยเพราะโดนจับไปอยู่ทำกับข้าวในครัวซึ่งต้องทำเป็นข้าวหม้อแกงหม้อ เผาผลาญแรงดีเหลือเกิน
            เมื่อพิธีทางศาสนาเสร็จไป แขกที่มาร่วมงานก็กลับไปจนหมด เหลือแต่ญาติๆที่บ้านใกล้กันอยู่ช่วยกันเก็บของรอบดึก ผมช่วยเพื่อนกวาดบ้าน เก็บข้าวของอยู่ๆ ก็มีคุณลุงอีกคนนึงเดินเข้ามาในบ้าน ผมจำได้ว่าเป็นญาติกับคุณยายที่เสียชีวิต และข้างหลังนั้นที่เดินตามมาติดๆกันก็เป็นชายวัยกลางคน แต่งตัวบ่งบอกถึงสถานะได้อย่างชัดเจน
            ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม ใส่ชุดขาวทั้งตัวคล้ายผู้ปฏิบัติธรรม แต่ต่างกันตรงที่ย่ามใบใหญ่ที่สะพายมา สร้อยประคำเม็ดใหญ่ ไม้เท้ารูปงู พร้อมกับกลิ่นยาเส้นที่ฉุนตลบอบอวน เขามองมาที่ผมด้วยสาตาแข็งๆ เหมือนสงสัย ผมทำเป็นไม่สนใจ แม้ว่าในใจจะนึกสงสัยเขาก็ตาม
            ญาติๆที่กำลังทำงานกันอยู่ในครัวนั้นรีบเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก ‘ปู่ใหญ่มาแล้ว’
            ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะได้รับความเคารพพอสมควรจากท่าทางและคำพูดที่ใช้คุณกัน มยืนมองอยู่ห่างๆครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็เดินไปที่หน้าโลง เอาไม้เท้าในมือชี้ไปที่โรงแล้วก็สวดอะไรบางอย่าง พร้อมๆกับที่ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็วาดไม้เท้าวนไปวนมา อยู่พักใหญ่ๆ ผมยืนดูอยู่ตลอด โดยที่ชายคนนั้นก็เหลือบตามามองผมอยู่เป็นระยะๆ
            เมื่อสวดเสร็จแล้วเขาก็เอามือล้วงเข้าไปในย่าม เอาของบางอย่างออกมาเป็นผงๆ ไม่รู้ว่าคืออะไรแล้วก็โปรยไปตรงโลง ก่อนที่ชายคนนั้นจะกลับไปเขายังคงมองมาที่ผมอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
            ผมเดินออกไปทางข้างบ้าน โดยกะว่าจะเอาขยะไปทิ้งเฉยๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตุว่าชายคนนั้นเดินเข้ามาจากข้างหลังตอนไหน เขาเดินมาใกล้ๆและพดกับผมสั้นๆก่อนที่เขาจะจากไป
‘ อย่ายุ่ง ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ’
            ผมยังไม่ได้ทันตอบอะไรเขาก็เดินไปเสียแล้ว ผมเริ่มกังวล แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านเจอเพื่อนพอดี เพื่อนก็ถามผมว่าเขาทำอะไร ผมก็บอกผมไม่รู้ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ลองไปถามญาติดู
            แล้วก็ได้ความว่าสิ่งที่เขาทำคือการ ผูกมัดดวงวิญญาณไว้ ไม่ให้ไปเกิด ให้อยู่กับบ้าน กับญาติ เพื่อไว้ดูแลคนในบ้าน ผมก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอจังๆแบบนี้สักที แต่ก็คิดได้แค่ว่า อย่าไปยุ่งเลย มันเรื่องของเขา
            คืนนั้นพวกผมต้องนอนเฝ้าศพโดยไม่ตั้งใจ เพราะว่าบ้านงานไม่มีคน เลยต้องอาศัยลูกๆหลานๆ ช่วยๆกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับนอนหน้าโลงนะครับ ก็นอนในห้อง แต่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผลัดกันไปดูความเรียบร้อย ต่อธูป
            ปกติผมเป็นคนนอนดึกมาก พอไปอยู่แบบนี้ที่คนเขานอนไวกัน ผมก็เลยนอนไม่หลับ หยิบโทรศัพท์มาเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนเวลาเลยไปดึกมาก
            ผมได้ยินเสียงแปลกๆบางอย่างลอยมาเบาๆ เมื่อตั้งใจฟังก็รู้ได้ว่าเป็นเหมือนเสียงครางในลำคอ เหมือนคนร้องไห้ แล้วก็มีเสียงเหมือนคนเดินอยู่ข้างนอกประตูห้อง ซึ่งเสียงนั้นมาจากทางที่ตั้งโลงเอาไว้
            ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าก็คงไม่มีอะไรเป็นเรื่องปกติ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้น เสียงเท้าเดินดังไปทั่วบ้านตามทางเดิน แล้วมก็ได้ยินเสียง
‘ก๊อก ก๊อก’ ดังมาจากทางห้องนอนอื่น
           เสียงเคาะนั้นดังไล่มาเรื่อยๆ พร้อมๆกับเสียงฝีเท้าที่ไล่มาตามทาง เหมือนกับว่ามันไล่ไปตามห้องทุกห้อง แล้วในที่สุดก็ดังมาถึงห้องที่ผมนอนอยู่ เสียงฝีเท้าค่อยๆใกล้เข้ามา จนฟังได้ชัดว่าเดินแบบลากเท้า เหมือนคนที่เดินไม่ถนัด
‘ก๊อก ก๊อก’
เสียงเคาะที่ดังเบาๆดังขึ้นที่หน้าประตู
‘อือ...’
เสียงครางในลำคอเหมือนคนร้องไห้แม้จะเบา แต่ก็โหยหวน
‘ ขอโทษ... ’

เสียงครางนั้นยังคงดังอยู่เบาๆเป็นเวลาสักพักหนึ่ง ผมอยู่ฟังจนสุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบหายไป ผมหลับต่อเพื่อรอให้พระอาทิตย์ขึ้น
           ในตอนเช้าผมถกปลุกตั้งแต่เช้า เพราะต้องไปช่วยกันเตรียมของ ตอนแรกญาติๆก็บอกว่าไม่ต้องหรอก ไปนอนต่อได้ เพราะเป็นแขก แต่คนทั้งบ้านทำกันหมด ให้ผมนอนหลับอยู่คนเดียว มันก็คงจะดูไม่งามเท่าไหร่
           ในตอนสายๆ ทุกคนได้มานั่งตั้งวงกินข้าวกันที่ลานหน้าบ้าน แล้วก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น
‘ เมื่อคืน ฉันว่ายายเภา แกมาว่ะ ได้ยินเสียงกุกกักๆ ทั้งคืนเลย ’
‘ ใช่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเคาะประตู ’
‘ สงสัยยายแกจะมาบอกว่าจะอยู่ดูแลลูกหลาน ’
          บทสนทนาภายในวงกับข้าวนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เหมือนดีใจที่ได้รับรู้ว่าญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งเสียไปนั้นยังไม่ไปไหน ยังคงอยู่กับพวกเขา แม้ว่าผมจะรู้สึกขัดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ผมก็คงไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้
           งานศพจัดทั้งหมดจัดไว้เพียง 3 วันเท่านั้น ตลอดเวลาที่มีพิธีศพนั้น ในทุกๆคืนผมยังคงได้ยินเสียงที่น่าขนลุกเหมือนในคืนแรกเสมอ และมันค่อยๆมากขึ้นๆ ในทุกๆคืน
          ในตอนนั้นผมพยายามจะไม่คิดอะไรมากเพราะคิดว่ามันคงเป็นปกติของคนที่เพิ่งจะตายใหม่ๆ ยังมีห่วง ยังมีอะไรที่ติดค้างในใจมากมายหลายอย่าง ก็เป็นธรรมดาที่ต้องให้เวลาเขาในการททำความเข้าใจสักหน่อย
          แล้วก็มาถึงวันสุดท้าย ก็คือวันเผา ผู้คนรอบๆหมู่บ้านมากันเต็มลานวัดไปหมด ในตอนนั้นยังไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตุมากนั้น เว้นก็เสียแต่ ตอนที่มีการสวดแหล่ครั้งสุดท้าย และมักคทายกของวัดจะทำการเล่าเรื่องประวัติ ความประทับใจของผู้ตายอะไรทำนองนี้ที่ก็น่าจะมีอยู่ทุกที่ให้ได้เห็นกัน
           ระหว่างที่มักคทายกวัดกำลังพูดไปเรื่อยๆนั้น อยู่ดีๆ เสียงไมค์ก็ช๊อตดังไปทั่ววัด แล้วไมค์ก็เงียบไป ลูกวัดก็รีบช่วยกันแก้ไข แล้วเสียงก็กลับมาใช้ได้ใหม่ พอมักคทายกกำลังจะเริ่มออกเสียง ไมค์ก็หอนดังจนแสบแก้วหู มักคทายกจึงตะโกนบอกให้เด็กเอาปลั๊กออกเลย สงสัยมีนจะพัง แต่แล้วก็ต้องตกใจกันอีกครั้ง เมื่อถอดปลั๊กออกแล้วก็จริง แต่ว่าที่ลำโพงนั้นมีเสียงทุ้มต่ำดังออกมา ผมจำได้ดี มันเป้นเสียงเดียวกันกับเสียงครางที่ได้ยินทุกคืนที่มา
           ทุกคนต่างมองหน้ากังเลิกลัก และแน่นอนว่าแทนทีจะกลายเป้นความกลัว ผู้คนก็รีบจดอายุ วดป เกิด วันตาย ที่หน้างานอย่างไว แล้วก็เม้าท์กันให้แซ่ดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทางญาติๆก็ยังดูเหมือนจะดีใจว่า ยายยังอยู่ บางคนก็ยกมือไหว้บอกว่าขอให้ช่วยดูแลลูกหลานนะ ให้บ้านเจริญๆมีเงินทอง
            แล้วงานก็ดำเนินมาถึงช่วงจุดไฟและปิดเตา ผมอยู่ช่วยงานจนสุดท้าย ก็แอบคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไร พวกมค่อยๆขนของกลับบ้านกันอย่างเงียบๆ
            บรรยากาศภายในบ้านคืนนั้นค่อนข้างเงียบ เพราะทุกคนคงเพลียจากการจัดงานตลอด3 4 วันที่ผ่านมา ทุกคนจึงเข้านอนกันแต่หัววัน คืนนั้นผมก็หลับได้อย่างสนิทไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยล้า หรือว่าทุกอย่างมันจบแล้วกันแน่
            ในตอนเช้าผมถูกเพื่อนปลุกให้ไปที่วัดด้วยในตอนเช้า ซึ่งผมไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนเพราะคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับผม แต่ว่าเพื่อนอยากให้ผมไปด้วยเพราะได้ยินว่าวันนี้ คนที่แต่งชุดขาวมาในคืนแรกนั้น จะมาด้วย
            ผมตามมาจนถึงวัด แล้วก็ปล่อยให้ญาติๆเข้าไปเก็บเถ้ากระดูกกันเพียงลำพัง ผมยืนรออยู่ห่างนิดหน่อย เพราะกลัวว่าจะเกะกะเขา
            นอกจากเศษเถ้ากระดูกที่เก็บาไว้บนผ้าขาว แล้วกอบใส่โกฎิอย่างบรรจง แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ของครอบครัว ทุกคนน้ำตาคลอไม่ต่างกัน มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดา ใครจะทนได้ ไม่มีใครชอบการจากลา ไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ทุกอย่างมันก็ต้องเป็นไป ตามเวลาของมัน
            เมื่อปิดโกฎิแล้วผมสังเหตุเห็นว่าที่ห่อผ้าขาวนั้นยังมีกระดูกบางชิ้นวางอยู่ ชายคนเดิมในคืนนั้นเดินเข้ามาใกล้ และจัดการเรียงกระดูกเป็นรูปร่างคน ผมเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนแต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ชายคนนั้นทำไม้ทำมือเหมือนเขียนอะไรบางอย่างในอากาศ ปากก็สวดไปพร้อมๆกัน จากนั้นใช้สายสิญจน์ที่เตรียมมาพันห่อกระดูกเหล่านั้นไว้ ลักษณะคล้ายตุ๊กตา การม้วนพันนั้นบรรจงและมีแบบแผน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นผมจึงนึกขึ้นได้ทันทีว่าสิ่งที่ผมเห็นมันเหมือนกับอะไร ผมเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันคือ พยนต์
            พยนต์ มักใช้เป็นตัวแทนของสิ่งของบางอย่างที่ผู้ทำนั้นใส่ใจเป็นอย่างมาก มีการฝังงจิตของผู้ทำลงไปในนั้นด้วย และจะถือว่าสิ่งนั้น มีชีวิต แต่พยนต์มักถูกเอาไปใช้ในทาง ไสย มากกว่า โดยใช้จิตผูกมัด โดยมีสื่อกลางของ ใคร ที่เราต้องการ
            ผผมตกใจมากเมื่อเห็นพยนต์ เพราะผมไม่เคยเจอพยนต์ในด้านดีเลยสักครั้ง ผมจึงพยายามจ้องไปที่กลุ่มคนนั้น ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรต่อ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ชายคนนั้นก็มอบพยนต์ไว้ให้กับญาติๆ แล้วตัวเองก็เดินจากไป โดยที่ยังคงหันมามองผมด้วยหางตาเหมือนเคย
            เมื่อกลับมาถึงบ้าน โกฎินั้นภูกจัดวางไว้บนหิ้งอย่างสวยงามพร้อมกับรูป และพยนต์ ผมรู้สึกไม่ดีเลยกับพยนต์นี้ และก็ไม่เคยเจอใหครเอาพยนต์มาไว้ในบ้านแบบนี้
            ในคืนนั้นผมนอนไม่หลับ ด้วยความกังวล บวกกับความกกลัวลึกๆในใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองคิดมากเกินไปรึเปล่า แต่ก็ไม่สามารถสลัดความคิดนั้นออกไปได้เลย ผมพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ไม่สำเร็จ หาอะไรดูหาเพลงฟังจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่หลับ เลยหันไปหาเพื่อนที่ยังนั่งเล่นเกมอยู่ ชวนกันคุยไปเรื่อยๆ
‘ กรี๊ดดดดดด ’
            ผมกับเพื่อนสะดุ้งสุดดตัวรีบวิ่งออกจากห้องไปทางที่มีเสียงกรี๊ด เมื่อไปถึงก็พบว่าคนอื่นๆก็ตื่นเหมือนกัน คนที่กรี๊ดนั้น คือคุณยายคนที่ผมเจอมานั่งคุยกับยายเภาที่เสียชีวิต
            ท่าทางตื่นตระหยกของยายคนนี้ ดูแล้วน่าจะไม่ใช่อะไรเล็กๆ ยายนั่งร้องไห้โวยวาย เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง มือก็ยกไหว้ท่วมหัว ญาติๆค่อยๆเข้าไปปลอบ เมื่อยายใจเย็นลงก็ได้ความว่า ยายฝัน แต่ไม่รู้ว่าฝันรึเปล่า เพราะมันเหมือนจริง ยายฝันวา ยายเภาที่เสียไป มาคร่อมแกตอนหลับ แล้วก็บีบคอแกอย่างแรง ยายเภาบีบคอไปด้วยร้องไห้ไปด้วย ครวญครางน่าขนลุก แต่ยายแกยืนยันว่า มันเหมือนจริงมาก เหมือนจะตายจริงๆ จนต้องร้องให้คนช่วย ท่าทางของยายก็ดูจะไม่ได้โกหก
‘ เอ้ายาย กินน้ำก่อนๆ ใจเย็นๆ ’
            เมื่อยายใจเย็นลงลุกจากเตียงไปรับน้ำ ก็ทำให้ทุกคนต้องต้องตกใจ เหมือนใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เพราะที่คอของยาย มือรอยมือแดงๆ เป็นจ้ำ อยู่รอบคอ

หลังจากที่ทุกคนสังเกตุเห็นรอยแดงนั้น จึงรีบเข้าไปขอดูชัดๆ เมื่อมองอย่างตั้งใจแล้วก็ยังคงแน่ใจว่า มันมีลักษณะคล้ายมือจริงๆ ทุกคนเริ่มวิตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คนที่เป็นมากที่สุดคงจะเป็นตัวยายเอง ตอนนี้ได้แต่ตัวสั่น โวยวายกลัวอย่างเต็มที่
            ทุกคนเริ่มที่จะปรึกษากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันดูแปลกๆนะ ไม่น่าใช่เรื่องปกติ เวลาวิญญาณนตายมาเยี่ยม ต่างคนก็ต่างออกความคิดเห็นกันไปต่างๆนา บ้างก็ว่ายายเภาแกเฮี้ยน ยังไม่ถึงเวลาตาย ไม่อยากตาย หรือว่าใครไปลบหลู่อะไรแก ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น
             เพื่อนหันมากระซิบและคุยกับผม ว่ามันเกิดอะไรขึ้นซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงแล้วนั้นมันคืออะไร แต่ที่แน่ใจคือ วิญญาณของยายเภาน่าจะยังติดค้างใจอะไรอยู่ จนทำให้ออกมาอาละวาดแบบนี้
             ช่วงสายๆทุกคนในบ้านพากันไปทำบุญ โดยทำกับข้าวกับปลาไปชุดใหญ่ สังฑทานมากมาย เพื่อที่ว่าวิญญาณของยายเภาจะได้ไปสู่สุขคติ มีความสุขกับอาหาร และสิ่งของที่พวกเขาตั้งใจเอาไปถวายพระ
             บรรรยากาศการทำบุญนั้นเป็นไปด้วยความอึดอัดและหดหู่ คงต้องบอกว่าเหตุผลในการทำบุญนั้นไม่ใช่เพราะความรักความห่วงใย แต่เป็นความกลัวเสียมากกว่า
             ด้วยความไม่สบายใจของยายคนที่โดน จึงขอน้ำมนต์ของหลวงพ่อติดตัวกลับมาที่บ้านด้วย เมื่อมาถึงก็จัดแจงทั้งราดทั้งพรมไปทั่วบ้าน ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ยายกำลังทำอยู่มันจะช่วยให้ยายสบายใจขึ้นตรงไหน แล้วนั่นก็ญาติยายนะ
             ในคืนนั้นทุกคนไม่เป็นตานอนสักเท่าไหร่ เพราะกลัวว่ายายเภาจะมาอีก แต่สุดท้ายทุกคนก็หลับไปในที่สุด ผมกับเพื่อนยังคงนั่งเล่นเกมส์คุยกันไปเพลินๆ จนเพื่อนผมไม่ไหวแล้วก็ชวนนอน ผมก็ตกลง แต่ขอออกไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว
             ผมเดินออกมาจากห้องนอน ทั่วทั้งบ้านถูกเปิดไฟไว้สว่างทุกดวง ผมเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงห้องน้ำ ซึ่งอยู่ค่อนไปทางหลังบ้าน ผมได้ยินเสียงหมาเห่า แล้วก็เสียงไก่ที่บ้านใกล้ๆกันเลี้ยงไว้ ผมกลัวว่าจะเป็นโจรรึเปล่า จึงรีบเดินไปเรียกเพื่อนในห้องนอน เราสองคนไปปลุกลุงผันให้ไปดูด้วยกัน
             เราสามคนเดินออกจากบ้าน พร้อมกับไม้ในมือ เผื่อว่าถ้าใช่จริงๆ ก็คงต้องป้องกันตัวเองบ้าง ลุงผันเป็นคนเดินนำหน้า ไปตามทางเรื่อยๆ เราเดินมาจนถึงเล้าไก่ ลุงผันสาดไฟฉายในมือไปทางที่เห็นเงาตะคุ่มๆ ผมกับเพื่อนเตรียมง้างไม้ในมือ แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ตกใจมากกว่า
             ที่ตรงหน้าผมแทนที่จะเป็นโจรกลับเป็นร่างของยายคนนั้น ยายถือไก่ไว้ในมือ กำไว้แน่น ไม่รู้ว่าตั้งใจจะทำอะไร แต่สภาพแกในตอนนั้นมันน่าขนลุก ผมมองดูแกก็เสียวสันหลังวาบ ดวงตาของแกเบิกโพลง และเหลือกจนไม่เห็นตาดำ เพื่อนผมมืออ่อนทำไม้ในมือตก เสียงดัง ทุกคนสะดุ้งตกใจ แล้วยายแกก็วิ่งหายไป
             เราวิ่งตามไปทันทีแต่ก็ไม่พบยายแกเลย ไม่รู้ว่าหายไปไหน ลุงผันไปปลุกคนอื่นๆให้มาช่วยกันหารอบๆบริเวณบ้าน แต่ก็ไม่พบ จนต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
             และในที่สุด ก็เจอยาย คนที่เจอบอกว่า เจอแกนอนหลับอยู่ในกระท่อมตรงปลายนา ซึ่งค่อนข้างไกลจากบ้านพอสมควร ททุกคนไปตามที่คนนั้นบอก ก็พบยายอยู่ในนั้นจริงๆ ลุงผันเข้าไปปลุกยาย โดยในมืออีกข้างก็กำพระแน่น
             ยายตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย และดูตกใจมากว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จากการพูดคุยและสอบถาม ยายแกไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ใช่จำไม่ได้ แต่ไม่รู้อะไรเลย แกจำได้แค่ว่าแกหลับไปในห้องแค่นั้น แล้วตื่นมาก็ตอนนี้ อย่างที่เห็น
             ม่ายายจะยืนยันอย่างนั้น แต่ผมสามคนก็มั่นใจแน่ๆว่าไม่ได้ตาฝาด แล้วยิ่งยายแกไม่รู้ด้วยว่ามาถึงนี่ได้ยังไง ทุกคนเริ่มคุยกันอย่างจริงจังว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจะเป็นเพราะความเฮี้ยนของยายเภาจริงๆ
‘ ให้เพื่อมผมช่วยไหม ผมว่ามันช่วยได้นะ ’
เพื่อนผมอยู่ดีๆก็พูดโพล่งขึ้นมากางวงสนทนาของญาติๆ โดยที่ไม่ได้ปรึกษาผมเลย ผมก็ตกใจ ทุกคนก็ตกใจ เพื่อนผมยังคงพยายามพูดต่อว่า ผมน่าจะพอช่วยเหลืออะไรในเรื่องนี้ได้ แต่ญาติๆก็ไม่ค่อยสนใจจะฟังเท่าไหร่ ก็ด้วยเหตุผลเดิมๆ ผมเป็นเด็ก โดยเฉพาะตัวยายคนนั้นเอง
‘ โอย เด็กอย่างเอ็งมันจะมารู้เรื่องมาทำอะไรได้ ถ้าชั้นเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำยังไง โอย ไม่เอาหรอก กลับบ้านไปเลยไป ’
             น้ำเสียงยายแกตอนนั้นไม่ชวนฟังเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าผมอารมณ์เสียมาก ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีใครเชื่อ แต่ไม่เห็นจะต้องพูดกันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเลย
             สุดท้ายก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนผม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็น่าหวั่นใจจนเกินไป จนไม่สามารถนิ่งนอนใจโดยไม่ทำอะไรเลยได้ ทุกคนจึ้งตัดสินใจไปหา ชายคนนั้น คนที่เชิญมาทำพิธีต่างๆ ที่ทุกคนเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก
             ผมร่วมทางไปกับเขาด้วยแม้ว่ายายคนนั้นแกจะบ่นตลอดทางไม่หยุด ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะผมเพียงแค่อยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
             เมื่อไปถึงที่บ้านของชายคนนั้นก็เป็นไปตามคาด เขาเปิดบ้านเป็นตำหนักอย่างชัดเจน มีคนมากมายมานั่งรอต่อคิวกันเพื่อเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขา เราก็เหมือนกัน ต้องรอต่อคิว โดยตลอดเวลาที่ยืนรอนั้น มีอะไรหลายอย่างที่แสดงให้ผมรู้ว่า เขาไม่ยินดีต้องรับผมเลย
             เมื่อถึงคิวของพวกเรา เราได้เข้าไปนั่งที่กลางตำหนักโดยมีเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ขัดเงาสวยงาม ผมนั่งมองนิ่งๆ เขาให้ยายคนนั้นไปนั่งที่ตรงหน้าเขาพอดี
‘ เอ้าไปยังไงมายังไงเนี่ย ให้ผีมันสิงได้ ’
เขาพูดขึ้นมาโดยที่ยังไม่ได้มีใครเล่าอะไรให้ฟัง ทำให้คนรอบๆตกใจและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ยายแกเร่มเล่าเรื่องให้ฟังตั้งแต่คืนที่แกโดนผียายเภามาบีบคอ
‘ อืม วิญญาณไม่สงบ สงสัยจะห่วงญาติ แล้วก็หิว ’
‘ แล้วที่ทำบุญไปให้ไม่ได้เลยหรอคะ ’
บทสนทนานั้นไม่ยาวมากแต่ก็วนไปวนมา จนสุดท้ายชายคนนั้นก็เลือกที่จะขอติดต่อสื่อสารกัวิญญาณดวงนั้นโดยตรง โดยเริ่มจุดเทียนสีขาวเล่มใหญ่ วางลงงบนขอบขันต์น้ำมนต์ ปากก็สวดมนต์พึมพัม
             ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาก็เป็น ของจริง ไม่ใช่ปาหี่หลอกคนแต่สิ่งที่ผมยังไม่รู้คือ เขาใช้มันอย่างไร สักครู่หนึ่งยายคนนั้นก็เริ่มที่จะมีอาการแปลกๆ เริ่มครางในลำคอ เริ่มร้องไห้ จากสะอื้น กลายเป็นร้องไห้อย่างหนัก และเริ่มที่จะอาละวาด จนญาติๆ และลูกศิษย์ต้องมารุมช่วยกันจับไม่ให้แกดิ้น
‘ จะเอาอะไร มาสิงเขาทำไม ตายไปแล้วนี่ ’
ชายคนนั้นพูดเสียงดังพลางเดินเข้ามาใกล้ ยายคนนั้นกรีดร้องทันที และพยายามขยับหนี แต่ก็โดนคนรอบตัวกดเอาไว้
‘ จะกลัวทำไม จะเอาอะไร ’
สิ่งที่ได้กลับมามีแต่เสียงกรี๊ดและพยายามขัดขืนโดยไม่ได้มีการสื่อสารใดๆ
‘ พูดกันไม่รู้เรื่องมันก็ต้องใช้ไม้แข็ง ’
ชายคนนั้นเดินไปที่ขันน้ำมตักมาส่ววหนึ่ง อมเข้าปากแล้วก้พ่นใส่ทั้งตัวของยายคนนั้น ยายกระตุกเกร็งและกรีดร้องสุดเสียงด้วยความทรมาน แล้วก็สลบไป
             ชายคนนั้นกลับมานั่งที่เก้าอี้และนั่งหลับตาสักครู่หนึ่งก็พูดออกมาว่า นั่งทางในคุยให้แล้ว เขาบอกว่าเขาหิว เขาไม่ได้รับบุญที่ทำให้เลย ต้องตั้งศาลให้เขาอยู่ เขาห่วง อยากอยู่ดูแลลูกหลาน
             ญาติๆดูท่าจะโล่งอกเมื่อสิ่งที่คาใจถูกปลดออก แล้วก็กลายเป็นว่ามาตกลงกันว่าเรื่องตั้งศาลจะทำยังไง สุดท้ายก็คือ ชายยคนนี้ ผมเรียกเขาว่า พ่อหมอ แล้วกันนะครับ พ่อหมอจะจัดแจงให้ทุกอย่าง ทั้งตัวศาล ทั้งพิธี สามารถทำได้เลยวันพรุ่งนี้ ทุกคนดูดีใจมากว่าทุกอย่างมันจะสงบลงแล้ว แต่คงมีแค่ผมที่คิดว่า มันยังไม่จบแน่ๆ
             ในวันรุ่งขึ้นพ่อหมอมาในตอนสายๆ จัดแจงตั้งศาลทำพิธีทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ซึ่งในตอนเช้าผมถูกกันไม่ให้เข้าไปยุ่ง เพราะยายคนนั้นบอกว่า มันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว ผมไม่ควรยุ่ง ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็ให้เพื่อนพาไปเที่ยวในเมืองทั้งวัน
             ผมกลับมาถึงบ้านในตอนค่ำๆ ผมเดินผ่านศาลที่ถูกตั้งใหม่ ศาลนั้นสวยดี แต่ผมงงว่า นี่ก็มืดค่ำแล้ว ทำไมยังมีเครื่องเซ่นวางไว้อยู่อีก และถ้ามองดีๆก็จะรู้ว่ามันไม่เหมือนเครื่องเซ่นที่วางทิ้งไว้แต่เช้าเลย มันเหมือนเพิ่งถูกทำใหม่ไม่นานนี้
             แต่ผมก็คิดว่ามันคงเป็นธรรมเนียมหรืออะไรแถวนี้ล่ะมั้ง ไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินผ่านเข้าไปเฉยๆ ไม่ได้ถามไถ่อะไรจากเพื่อน
             จนดึกๆที่ผมออกมาเข้าห้องน้ำ ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง มันชวนให้คลื่นไส้และขนลุกเป็นอย่างมาก ผมเดินไปดูตรงที่ผมรู้สึกติดใจ แน่นอนว่ามันคือศาลที่ถูกตั้งใหม่
             ผมมองลอดผ่านมุ้งลวดตรงหน้าต่างข้างบ้านออกไป ข้างนอกนั้นไม่ค่อยมีไฟทำให้เห็นได้ไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็พอจะมองออกว่า ที่ศาลนั้นมีเงาตะคุ่มๆ ของคนสองคนอยู่ตรงศาล และสิ่งที่เห็นบอกผมได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ปกติ เพราะเงาร่างทั้งสองนั้นไม่ได้นั่งอยู่หรือยืนอยู่กับพื้น ทั้งสองเงาร่างนั้นนั่งยองๆอยู่บนขอบศาลพระภูมิ ทำท่าจกกินเครื่องเซ่นอย่างมูมมาม น่าเกลียด
             ผมตกใจกับสิ่งที่เห็นอย่างมาก เพราะสภาพร่างกายเขามันน่าเกลียด ร่างกายที่ผอมซูบจนหนังติดกระดูก ผมเผ้าไม่ยาวมากแต่ดูสกปรก เล็บยาว สีดำสกปรก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งจนดูไม่ออก อีกคนก็ไม่ต่างกัน แต่แย่กว่าตรงที่มีแผลแวะว่ะ มีน้ำหนอง มันเป็นภาพที่ชวนให้คลื่นไส้เหลือเกิน
             ด้วยความตกใจ ผมจึงคิดที่จะไล่พวกเขา และก็เหมือนว่าพวกเขาจะรับรู้ได้ ว่ามีใครบางคนเห็นเขาแล้ว เขาทั้งสองหันมาทางผมด้วยหน้าตาที่ไม่น่ามอง แล้วกระโดดลงจากศาลวิ่งหายไปในเงามืด
             ภาพที่เห็นนั้นยังคงติดตาผมอยู่ ผมเข้ามาเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ตกใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปบอกใครอะไรยังไงเราจึงปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น จนถึงเช้า
             ผมตื่นมาในตอนเช้า ออกมาที่หน้าบ้านพร้อมกับเพื่อน เห็นลุงผันนั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน จ้องไปยังศาลใหม่ที่เพิ่งตั้งเสร็จเมื่อวาน เมื่อแกสังเกตเห็นผมสองคนแกก็กวักมือเรียกผมสองคนให้เข้าไปหา
‘ เมื่อคืนเอ็งสองคนเห็นอะไรแปลกไหมที่ศาล ’
‘ ลุงเจออะไรหรอครับ ’ เพื่อนผมถาม
‘ ลุงเห็นผีตายโหงมันมากินเครื่องเซ่นกันสองคน ’
             ผมสองคนตกใจมาก เพราะมันน่าจะเป็นอย่างเดียวกับที่ผมเห็น ผมถามลุงว่าลุงรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ผีตายโหง ลุงบอกว่าลุงออกมาเข้าห้องน้ำพอดี เห็นเงาตะคุ่มๆที่ศาล เลยเดินเข้ามาดูใกล้ๆ พอมาดูใกล้ๆก็ได้เห็นใบหน้าของพวกมัน แม้ว่ามันจะไม่ครบ น่ากลัว แต่ลุงจำได้ไม่ผิดแน่ มันเป็นคนที่เคยตายไปสมัยลุงเด็กๆ เป็นอุบัติเหตุนานแล้ว แต่ลุงยังจำหน้าได้ไม่ผิดแน่ๆ
             ผมได้ยินแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ลุงหันมาถามผมกับเพื่อนว่า ผมทำอะไรได้ เนื่องจากตอนนั้นที่เพื่อนผมเสนอทางออกให้ เพื่อนก็เล่าทุกอย่างให้ลุงฟัง ลุงก็ดูจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่มันก็แปลกจริงๆอย่างที่ว่า
             ลุงบอกกับผมว่า เราคงต้องลองทำอะไรกันด้วยตัวเองแล้วล่ะ
........................

ในเย็นวันนั้นเราตกลงกันว่าเราจะแอบทำด้วยตัวเอง เพราะว่าอะไรๆมันดูแปลกๆ และไม่ดีขึ้น ส่วนคนอื่นก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนผมพูด อาจเพราะผมเป็นเด็กนั่นแหละ แต่ว่าลุงผันค่อนข้างสนิทกับเพื่อนผมมาก รู้สริสัยใจคอเพื่อนผมดีว่า ไม่ใช่คนโกหก หรือ ล้อเล่นกับเรื่องใหญ่ๆแบบนี้
               ในตอนกลางคืน เวลาประมาณตี 1 เราสามคนต้องรอให้ทุกคนในบ้านหลับก่อน ในตอนนั้นผมก็ยังไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่พวกเรากำลังจะทำนั้นมันถูกต้องไหม หรือว่ามันจะมันตรายอะไรเกิดขึ้นกับพวกผมหรือเปล่า
               ผมขอให้ลุงผันแอบเอาพยนต์นั้นมาให้ผม พร้อมกับรูปของยายเภา ในตอนแรกลุงผันดูจะไม่เห็นด้วย แต่หลังจากช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลงงกับสิ่งที่ผมเสนอ
              เราย้ายมาอยู่ที่โรงรถถัดออกไปจากบ้าน ถึงจะเรียกว่าโรงรถแต่ก็เป็นที่โปร่ง ไม่ได้มิชิด หรือมีกำแพงอะไร ผมหยิบเอาโต๊ะไม้เล็กๆตั้งไว้กับพื้น วางพยนต์ และกรอบรูปไว้บนโต๊ะ มีเทียนและธูปเตรียมไว้พร้อม ทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับสิ่งที่ผมคิดและวางแผนไว้ แต่ยังขาดองค์ประกอบสุดท้าย คือสิ่งไว้ป้องกันตัวผมสามคนเผื่อในกรณีที่เกิดอะไรไม่คาดคิด
              ผมหันไปหาลุงผัน เพื่อขอสิ่งที่ผมขอร้องลุงผันให้เตรียมไว้ให้ผมตั้งแต่ช่วงกลางวันนั่นคือ ใบธรณีสาร ลุงผันบ่นอุบว่าหายากมาก แถวนี้ไม่มีใครเขาปลูกไว้ ผมไหว้ขอบคุณลุงผันและรับมาใส่ลงในขันน้ำที่เตรียมไว้ก่อนหน้า ช่วงบ่ายผมให้เพื่อนขับรถพาผมไปที่วัดใกล้ๆนี้ เพื่อไปขอน้ำมนต์ผงธูปและก้านธูปมา ผมนำมาผสมกับน้ำและทำน้ำมนต์ผสมกับใบธรณีสารอีกครั้ง ถ้าใครที่พอมีความรู้ด้านนี้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำมนต์สำหรับงานมงคล หรือให้พรใดๆ แต่เป็นสิ่งที่ไว้ใช้ ปัดเป่า และชำระล้างอาถรรพ์ อวิชชาทั้งหลาย รวมไปถึงป้องกันไม่ให้สิ่งของเหล่านี้เข้ามายุ่งกับเราได้
              ผมราดน้ำมนต้อมรอบเราสามคนเป็นวงกลม ถ้าในหนังเราคงจะคุ้นตากับวงสายสิญน์ อันนี้ก็คล้ายๆกันครับ เพียงแต่ไม่ได้ใช้วิชาทาง ไสย แต่อาศัยพุทธคุณ และเทวศาสตร์เฉยๆ
              ผมจุดเทียนและธูปปักลงในกระถางหน้าพยนต์และกรอบรูปที่เตรียมไว้ ผมให้ลุงผันเป้นคนเรียกชื่อยายเภา เพราะว่าแกเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับวิญญาณดวงนี้ จะสื่อสารได้ดีกว่าคนนอกอย่างผม ระหว่างที่ลุงผันเรียกยายเภาไปเรื่อยๆ ผมก็พยายามเชิญวิญญาณดวงนั้นให้ออกมาพูดคุยกับเราด้วย โดยอาศัยสิ่งที่มีอยู่กับตัวเป็นสื่อกลาง ไม่บ่อยนักที่ผมจะเป็นฝ่ายเรียกพวกเขาออกมาเอง เพราะว่ามันเสี่ยง ในหลายๆความหมาย
               เวลาผ่านไปได้ไม่นานหมาที่นอนอยู่แถวๆบ้านก็เริ่มหอน เหมือนเป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างกำลังมา เสียงหอนนั้นโหยหวนจนทำให้คนฟังขนลุกไปตามๆกัน คืนเดือนมืด อย่างนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นอีกหลายเท่า
‘ฮือ....’  มีเสียงครางในลำคอคล้ายเสียงร้องห้ายดังแว่วมาในอากาศ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงนี้ และแน่นอนว่า อีกสองคนก็เช่นกัน
               เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้น แต่ยังไม่สามารถจับที่มาของเสียงได้ เสียงนั้นลอยแว่วอยู่ในอากาศราวกับบดังมาจากรอบทิศทาง เสียงใบไม้สีกันจากแรงลม ผสมกับเสียงหมาหอนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ทำให้สามคนที่นั่งอยู่ในความมืดตอนนี้ใจไม่ดี และกลัวอย่างจับใจ
               ในที่สุดเสียงครางนั้นก็ชัดเจน เสียงนั้นดังมาจากตรงหน้าเราสามคน ห่างจากที่เราอยู่ไปไม่ถึงสองช่วงแขน ทั้งสามคนมองหน้ากัน เป็นสัญญาณว่าสิ่งที่ได้ยินนั้น ตรงกัน แต่ในตอนนี้คงมีผมเพียงคนเดียวที่เห็นต้นตอของเสียงร้องนั้น
‘ คุณยาย ออกมาให้ชัดๆได้ไหม ให้เราได้คุยกัน ’
               ที่ตรงหน้าปรากฏเป็นเงาร่างสีดำมัวๆ รูปร่างคล้ายคน ชัดบ้างจางบ้าง สลับกันไป นี่คือคำบอกเล่าจากลุงผัน และเพื่อนผมในสิ่งที่เห็น แต่ผมนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนถึงสภาพอันน่าเวทนาของวิญญาณดวงนี้ ร่างกายที่ซูบผอมกว่าตอนมีชีวิต ดวงตาโปนออกมา เล็บที่ยาวสีเหลืองเข้มไม่น่ามอง เงาร่างนั้นฟุบอยู่กับพื้นด้วยท่าทางทรมาน
‘คุณยายต้องการอะไร ทำไมต้องมาทำร้ายคนอื่น’
‘ฉันไม่ได้ทำ... มันบังคับ... มันบังคับ...’ วิญญาณดวงนั้นร้องตอบด้วยท่าทางที่ทรมาน และก็ร้องครวญครางอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด  ผมคิดว่าเราคงทำได้เท่านี้ เพราะผมสงสารในท่าทีที่ดูทรมานของเขา ผมจึงปล่อยให้เขาหายไป ไม่ต้องทนติดต่อกับพวกผมแล้ว
                  เราสามคนมองหน้ากัน ผมยังครุ่นคิดในสิ่งที่ยายเภาบอกผม ผมเล่าให้ลุงผันกับเพื่อนฟัง ลุงผันดูเป็นกังวลและไม่สบายใจ
‘ชิ่ว ไปๆ อย่ามากวน’
                  เพื่อนผมหันไปส่งเสียงไล่ไก่ที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ พยายามจะเดินเข้ามาหา ปากจิกเขี่ยก้านธูปที่ผมโรยไว้ คาบๆวางๆ เอาเท้าเขี่ยอยู่อย่างนั้น
‘ยังไม่ไปอีก ไป’ เพื่อนผมไล่ไก่เสียงดัง เพราะกลัวว่าถ้าก้านธูปหายจะเจออะไรที่ไม่ดี แต่คนที่ดูจะแปลกใจมากกว่าคือลุงผัน ลุงผันบอกว่ามันแปลกๆ นะ บ้านเราไม่มีไก่แบบนี้
                 ผมหันไปดูไก่ที่ลุงผันพูดถึง ไก่ตัวนั้นเป็นไก่ตัวเตี้ยๆกลมๆ คล้ายไก่แจ้ แต่ตัวใหญ่กว่าหน่อย สีขาวล้วนทั้งตัว และยิ่งถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า ตามันสีแดงทั้งสองข้าง ผมตกใจ จึงหันไปคว้าเอาขันน้ำมนต์ที่เตรียมไว้ เอามือจุ่มและสะบัดไปทางนั้น
                 ไก่ตกใจ และกระโดดถอยไป และพยายามจะเดินเข้ามาอีก ตอนนี้ลุงผันรู้แล้วว่ามันคืออะไร เพราะคนเก่าคนแก่น่าจะมีความรู้เรื่องพวกนี้บ้าง และน่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง เว้นแต่เพื่อนผมที่ไม่รู้อะไร ได้แต่กลัวเพราะท่าทีของผมและลุงผันนั้นชัดเจนว่า มันไม่ใช่ปกติ

‘มาทำไม’ ผมถามด้วยเสียงแข็งเพื่อทำให้มันรู้ว่า เราไม่ได้กลัวมัน
‘กะต๊าก กะต๊าก’ ไก่ตัวนั้นส่งเสียงร้อง
‘ไม่ต้องมาทำเป็นร้อง’ ผมตวาดออกไป
‘ฮิ ฮิ’
                   เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นมาจากบริเวณนั้น น้ำเสียงฟังได้ชัดเจนว่าเป็นผู้หญิง ไก่ตรงหน้าค่อยๆหายไปต่อหน้าต่อตา เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่ดูท่าจะชอบใจเป็นอย่างมาก เสียงหัวเราะนั้นดังไปทั่วบริเวณ ทางนั้นที ทางนี้ที เหมือนต้องการจะทำให้กลัวหรือเล่นสนุกไม่แน่ใจ
                  ผมได้แต่ทำใจให้นิ่งเข้าไว้ เพื่อไม่ให้กลัวมัน ผีแบบนี้เราจะกลัวมันไม่ได้ มันจะได้ใจ ลุงผันรู้ดีว่ามันคือ ผีกะ ปกติแล้วมันจะไม่มีฤทธิ์มากขนาดนี้เว้นเสียแต่ว่า มันจะเป็น ผีเลี้ยง
                  ผมรวบรวมสติ และติดต่อกับ ท่าน เพื่อขอยืมความรู้และสิ่งต่างๆเพื่อนำมาใช้ แต่ในขณะที่ผมกำลังตั้งสมาธิอยู่นั้น ก็มีเสียงจานชามหรือกะละมังสักอย่างร่วงลงพื้นเสียงดัง ทำให้เพื่อนผมตกใจ สะดุ้งสุดตัว ขาพ้นออกไปนอกวงน้ำมนต์ที่ได้ทำไว้
‘ช่วยด้วยย ใครจับขาไม่รู้’ เพื่อนผมร้องโวยวาย น้ำตานองหน้า เมื่อผมหันมาก็เห็นเพื่อนผมนั่งยืดขาข้างหนึ่งออกไปนอกวงกลมที่วาดไว้ ร้องไห้เสียงดัง บอกว่ามีมือจับขาๆ แต่ลุงผันกับเพื่อนผมมองไม่เห็น
                   ในสายตาของผมตอนนี้คือ ร่างของหญิงสาวหน้าตาดี เรียกว่าสวยได้เลย ผมดำขลับ ยาวลากพื้น นอนคว่ำอยู่กับพื้น สองมือเอื้อมมาจับขาเพื่อนผมเอาไว้ ปากก็หัวเราะชอบใจไม่หยุด
‘โอ๊ย เจ็บ’ เพื่อนผมร้องออกมาทันทีที่ผมเห็นว่า ผีสาวตนนั้นเริ่มเอาเล็บจิกลงไปบนขาเพื่อนผม ตอนนี้มันหันมามองหน้าผมหัวเราะอย่างสะใจ ปากที่กว้างกว่าปกติ ตอนนี้ยิ้มร่าเหมือนท้าทาย ผมกำลังจะไล่มันไป แต่มีคนที่เรวกว่าผม
                   ด้วยความห่วงหลาน ลุงผันหยิบเอาเขี้ยวเสือที่ห้อยคอไว้ตลอดมากำไว้ในมือ ฟาดลงไปตรงขาของเพื่อนผม ลุงผันมองไม่เห็นหรอก แต่ห่วงหลาน มันยอมปล่อยมือ แล้วหายไป เพื่อนผมรีบหดขาเข้ามากอดลุงผันแน่น ร้องไห้ด้วยความกลัว ทีขามีรอยแดงๆเล็กน้อย
                   แต่ผมรู้ว่ามันยังไม่ไปไหนมันยังอยู่แถวนี้ มันไม่ยอมเราง่ายๆหรอก เสียหัวเราะนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วบริเวณ ลอยอยู่ในอากาศ ตอนนี้ผมพร้อมที่จะสู้กับมันแล้วเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้มันยุ่งยาก ก็คือ เพื่อนของผมเอง ยิ่งเพื่อนผมกลัวมากเท่าไหร่ ยิ่งร้องไห้โวยวายเท่าไหร่ ก็เหมือนมันจะยิ่งชอบใจ ลุงผันพยายามปลอบบอกให้เพื่อนเงียบๆ อย่ากลัวมัน มันจะเอาเราได้
                    ถ้าตามความเชื่อคนโบราณเขาบอกว่าถ้าเจอ ผีกะ ปลอมมาเป็น ม้า เป้นหมา เป็นไก่ ถ้าขี่รถอยู่ให้ขับชนไปเลย ถ้าเดินผ่านให้ถอดรองเท้าปา ไม่ก็ตะโกนด่ามันเสียงดังๆ มันจะไป นั่นคือ ทำให้มันรู้ว่า เราไม่กลัวมัน ปกติแล้วผีกะมันทำอะไรไม่ได้มาก ทำได้แค่มาให้เห็นให้กลัว นอกจากจะมีคนเลี้ยงเท่านั้น มันจะมีฤทธิ์
                    แต่ในตอนนี้เพื่อนผมคงไม่มีสติฟังอะไรอีกแล้ว ได้แต่ร้องโวยวาย เสียงหัวเราะค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ผมยื่นขันต์น้ำมนต์ให้ลุงผันถือไว้ กำชับแกไว้ว่าถ้าผมยื่นมือไปทางไหนให้สาดไปทันที ให้หมดขันเลย เสียงหัวเราะยังดังอยู๋ แต่อยู่ดีๆมันก็เงียบไป
                    ตอนนี้รอบบริเวณเงียบสงัด เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นฝันไป ผมกำมือไว้แน่น กระชับแหวนที่ใส่ติดตัวอยู่เป็นประจำให้เข้าที่ ในใจยังคงสวดมนต์ และบทบูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์ไปพร้อมๆกัน
‘กรี๊ดดดดดดดดดด’
                  อยู่ดีๆร่างของหญิงสาวคนนั้นก็โผล่มาข้างหลัวเพื่อนผม แล้วกรีดร้องใส่เสียงดังเหมือนต้องการให้เพื่อนผมเป็นบ้าไปตรงนั้น ผมยื่นมือออกไปจับแขนของเธอไว้ ลุงผันรู้งานสาดน้ำมนต์ใส่ในทันที ร่างของหญิงสาวนั้นกรีดร้องสุดเสียงด้วยความทรมาน จริงๆไมม่อยากทำแบบนี้ แต่ว่าคงคุยกันไม่รู้เรื่อง
                   ผีสาวถอยไปนั่งกุมหน้าตัวเองอย่างทรมาน สายตาจ้องมาที่ผมด้วยความอาฆาต เหมือนจะเอากันให้ตายไปข้าง ผมได้แต่จ้องมันไว้ไม่วางตา ไม่รู้ว่าถ้าเผลอมันจะทำอะไรเราอีก
                   มันค่อยๆหายไปตรงนั้น พร้อมกับเสียงร้องที่หายไปพร้อมกับมัน ผมยังนั่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่า มันไปแล้วจริงๆ ตอนนี้ลุงผันง่วนอยู่กับการปลอบเพื่อนผมที่ตอนนี้ขวัญเสียอย่างหนัก
                   สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ เราโวยวายเสียงดังขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครในบ้านตื่นมาดูเราเลย  ผมพยุงเพื่อนกลับเข้าไปในบ้าน ลุงผันจัดการเก็บโต๊ะเก็บพยนต์และรูป ลุงผันบอกว่าเช้านี้ต้องเอาให้รู้เรื่อง ลุงจะคุยกับญาติคนอื่นเอง ขอให้ผมไปคิดหาวิธีมาให้เต็มที่
                   ในตอนเช้า ลุงผันเล่าเรื่องทุกอย่างให้ญาติฟัง ทุกคนดูไม่ต่อต้านอะไรแล้วอาจเพราะสงสารเพื่อนผมที่ตอนนี้ยังนอนไข้ขึ้นตัวสั่นอยู่ในห้อง เว้นเสียแต่ยายคนเดิม ที่ยังบ่นไม่เลิก ผมได้แต่ทำใจให้ช่างมัน
                   สิ่งที่ผมคิดได้จากเหตุการณ์เมื่อคืนก็คือ ปกติแล้วบ้านนี้มีเจ้าที่ ทำไมผีกะมันถึงเข้ามาในบ้านได้ง่ายดายขนาดนี้ มันแปลกเกินไป สิ่งเดียวที่สมเหตุสมผลก็คงจะเป็น
‘ถ้ามันไม่ได้มาจากข้างนอก แต่มันอยู่ในบ้านมาตั้งแต่แรกล่ะ’

ในตอนแรกยังมีญาติบางคนเสนอว่าให้ไปหาพ่อปู่อีกครั้ง อาจจะเกิดความผิดพลาดอะไรก็ได้ ให้เขาช่วยแก้ แต่ลุงผันยังคงคัดค้านละตั้งใจว่าจะหาทางออกกันเองอีกสักครั้ง
                  ในวันนั้นลุงผันอณุญาต ให้ผมทำได้ทุกอย่างที่ผมอยากทำ แกจะออกหน้ารับเองทุกอย่าง ในตอนแรกก็ยังคงเกร็งๆเพราะว่าไม่ใช่บ้านตัวเอง แต่ก็คงไม่มีทางเลือกมาเท่าไหร่
                   ที่แรกที่ผมต้องการสำรวจให้แน่ใจก็คือ ศาลพระภูมิของบ้าน ผมให้ลุงผันนำทางไป สภาพที่เห็นนั้นเป็นศาลที่ค่อนข้างเก่าน่าจะไม่ได้รับการดูแลสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ผมไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของ พระภูมิได้เลยทั้งๆที่ในตอนแรกผมยังพอจะรู้สึกถึงได้บ้างแม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก
                   เมื่อสำรวจดูรอบๆศาลก็พบว่ามีรอยร้าวบ้างตามกาลเวลา ซึ่งนั่นก็ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ แต่แล้วก็มีเรื่องให้หนักใจเพิ่มขึ้นอีก
                  ภายในศาลพระภูมินั้นเมื่อมองเข้าไปด้านในก็พบว่า รูปปันของพระภูมิที่อยู่ด้านในนั้น หัก ไม่ใช่แค่มีรอยร้าวตามกาลเวลาแต่ว่าหักครึ่งแยกจากกันเป็นสองชิ้น
                  ตามความเชื่อของคนโบราณเจ้าที่เจ้าทางนั้นสำคัญ ต้องดูแลกันดีๆ แล้วจะให้คุณ ถ้าพระภูมิเกิดปัญหาคนในบ้านก็จะพบปัญหาตามไปด้วย เพราะไม่มีใครช่วยคุ้มครอง
                  ผมบอกให้ลุงผันหยิบออกมา ก็ชัดเจนว่ามันหักจริงๆ ไม่สามารถต่อได้เลย ในตอนนี้อะไรๆมันเริ่มแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพักเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วรีบเดินไปยังที่ต่อไปที่ผมรู้สึกติดใจ
                  ศาลใหม่ที่ตั้งให้ยายเภา เมื่อไปถึงศาลนั้นใหม่เพราะเพิ่งจะตั้ง เมื่อเดินดูรอบๆ ก็ยังไม่พบอะไรที่ผิดแปลกไปจากการตั้งศาลปกติ แต่ในที่สุดก็เจอสิ่งที่ผิดปกติ ถ้าไม่สังเกตุให้ดีจะไม่รู้เลยว่า ที่ฐานของศาลนั้นมันไม่ติดพื้น แต่เมื่อลองขยับดูก็พบว่ามันไม่ขยับ บางคนอาจจะปล่อยมันผ่านไป เพราะไม่ได้ทำให้ดูไม่มั่นคงจนอาจพัง แต่ในอีกความหมายถ้ามันเป็นไปอย่างที่ผมคิด ข้างใต้นั้นมันจะต้องมี บางอย่างอยู่
                  ผมขอให้ลุงผันช่วยกันยก แต่มันก็หนักพอควร ลุงจึงไปเรียกญาติอีกคนมาช่วยยก เมื่อขยับออกเล็กน้อยก็พบกับสิ่งที่ผมคาดเอาไว้ล่วงหน้า
                  ที่ใต้ศาลพระภูมินั้นมีเหรียญเก่าๆวางอยู่สองเหรียญ แต่ที่น่าขนลุกคือเหรียญนั้นมันเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดแห้งๆ ผมเดินไปเด็ดเอาใบไม้มาจับเอาเหรียญนั้นขึ้นมา ทันทีที่สัมผัสกับเหรียญมันก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียน คลื่นไส้ จนทำให้มึนหัว
                   ผมเอาเหรียญนั้นใส่ไว้ในแก้ว แช่ไว้ในน้ำมนต์ เพื่อให้อาถรรพ์ของมันเบาลงบ้าง แต่ที่ทำให้คนอื่นๆตกใจก็คือ แม้ว่าจะแช่ไว้ในน้ำมนต์จนเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว น้ำมนต์นั้นยังใสอยู่ คราบเลือดที่เกาะอยู่นั้นไม่หลุดลอกออกมาแม้แต่เล็กน้อย
..................

ตอนนี้เราทุกคนมานั่งอยู่ในบ้าน โดยมีญาติๆทั้งหมดนั่งล้อมวงกัน มีแก้วน้ำมนต์ที่มีเหรียญแช่ไว้วางอยู่ตรงกลาง ตอนนี้ญาติๆเริ่มฟังผมมากขึ้น ไม่ค่อยบ่นค่อยว่าอะไรแล้ว อาจเป็นเพราะสิ่งต่างๆที่เกิดอยู่รอบๆตัว บวกกับสิ่งยยืนยันจากปากของลุงผันที่เข้าข้างผมเต็มที่
                   ลุงผันเล่าให้ฟังว่าลุงเห็นอะไรที่ศาลในคืนนั้น โดยมีการกล่าวถึงเจ้าของดวงวิญญาณนั้นว่าเป็นใครมาจากไหน ซึ่งทุกคนก็ดูจะรู้จักกันทุกคน ซึ่งมันทำให้ทุกคนค่อนข้างเชื่อใจผมมากขึ้น
                   ญาติๆถามผมว่า หากิญญาณสองดวงที่พบเจอในคืนนั้นเป็นเรื่องจริง และเป็นคนที่เรารู้จักกันจริงๆ จะทำอย่างไร ผมเสนอวิธีให้ทุกๆคนฟัง ทุกคนเห็นด้วย เพราะนอกจากจะส่งเขาทั้งสองคนไปตามทางได้แล้ว เราน่าจะได้ความจริงอะไรบางอย่างด้วย
                   ผมขอลุงผันหาพุทธรูปขนาดพอเหมาะๆ มาให้หน่อย จากนั้นโยงสายสิญจน์ จากพุทธรูปมาพันไว้ที่แก้วน้ำนั้น จุดธูปปักลงในกระถางที่ตรงหน้าถ้วย แล้วเริ่มทำการเริ่มถอนวิชาที่ใช้สะกดเอาไว้
                   หลังจากที่จบบทสวด คราวเลือดบนเหรียญก็ค่อยๆหลุดออกจนทำให้น้ำมนต์นั้นกลายเป็นสีแดงระเรื่อ คนในบ้านดูแปลกใจอย่างมากและเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ผม
‘อือ...’
ญาติคนหนึ่งในบ้านส่งเสียงแปลกๆออกมา ผมหันไปทางญาติคนนั้น เพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมบอกให้ลุงผันไปนั่งประองญาติคนนั้นหน่อย
‘ มารึยัง พูดได้ไหม ’ ผมถามใครบางคนที่อยู่ในร่างของชายคนนั้น
‘ อือ.. ’ ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ผมจึงกันไปหาลุงผัน ถามว่ามีใครที่พอจะจำชื่อของคนที่ลุงผันบอกได้ไหม เพราะว่าถ้าใช่เขาสองคนตามที่ลุงผันบอกจริงๆนั้น จะช่วยได้มากเลย
                    ยายคนที่ชอบบ่นผมนั้นเป็นคนเดียวที่จำชื่อของสองคนนั้นได้ เพราะเหตุการณ์มันก็นานแล้ว ลุงผันก็ยังเด็กๆ เลยจำได้แค่ลางๆ แต่ก็ไม่ได้ไกลจากบ้านกันเท่าไหร่ ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไม่รู้จักกันเลยจำหน้าได้
‘ หนึ่ง เอ้ย หรือว่าไอ้สอง ใช่พวกเอ็งรึเปล่า ’ ยายส่งเสียงเรียกถาม ร่างนั้นเงียบไป ผมบอกให้ยายลองเรียกอีกครั้ง คราวนี้ให้พยายามนึกถึงหน้าเขา หรือบอกชื่อพ่อแม่เขาดูด้วยอีกครั้ง
                    ยายเรียกชื่ออีกครั้งพร้อมถามว่า เอ็งใช่ลูกของยายบัวไหม แม่เอ็งชื่อบัวรึเปล่า แล้วร่างของญาติคนนั้นจากที่เงียบอยู่ตอนนี้ เริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมา
‘ หนึ่ง... หนึ่งเองครับ ’ ร่างนั้นร้องไห้ออกมาเสียงดัง ทุกคนในบ้านตกใจเป็นอย่างมาก และตอนนี้ทุกคนขยับมาอยู่ใกล้กันหมด ปล่อยให้ลุงผันนั่งประคองร่างของญาติคนนั้นเพียงลำพัง
‘ เกิดอะไรขึ้น คุยกับเราได้ไหม ’ ผมถามเขาด้วยความสุภาพ
‘ ฮือ...’ ใครบางคนในร่างนั้นยังคงเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
                        ผมปลอบเขาอยู่สักครู่หนึง และถามว่าเขาอยากได้อะไรไหม เราจะทำไปให้ จะส่งเขาไปตามทางแน่นอน เขาเหมือนจะฟังผมมากขึ้น หันมามองหน้าผม
‘ หิว... ’ วิญญาณดวงนั้นพูดผ่านญาติของเพื่อนผม
                    คนในบ้านรีบร้อนวิ่งเข้าไปในครัวแล้วหาอาหารราดข้าวใส่จานมาให้ ร่างของญาติคนนั้นกินอย่างตะกละ เหมือนอดทนหิวมานาน ทำให้คนที่อยู่รอบๆบริเวณรู้สึกสงสารและเวทนาไปตามๆกัน
‘ ขอให้น้องผมด้วยได้ไหม ’ ร่างนั้นขอร้อง
                    อาหารอีกจานถูกนำมาวางไว้ข้างๆกัน ร่างนั้นเริ่มกินต่ออีกจานด้วยท่าทางหิวโหยไม่ต่างไปจากครั้งแรก คนในบ้านรู้สึกสงสารอย่างจับใจ เพราะว่าถ้าใช่คนที่เราคิดกันจริงๆ เขาก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนบ้างที่คุ้นเคยกันมาก่อน
                        อาหารทั้งสองจานถูกกินจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว แต่ร่างนั้นยังคงทำท่าทางเหมือนมองหาอาหารเพิ่มอีก
‘ เอาอีกไหม อิ่มรึยัง ’ ยายถามด้วยความสงสาร ตอนนี้ดวงตาของยายเริ่มมีน้ำตาคลอ และมีสีแดงระเรื่อ คงเป็นเพราะเคยรู้จักกันมาก่อน
‘ หิว... ’     ยายรีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อจะหาอะไรมาให้กินอีก แต่ผมห้ามไว้ก่อนเพราะสภาพแบบนั้นไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางอิ่ม เพราะเขาไม่ได้หิวเพราะอาการทางกาย แต่มันเป็นจิตสุดท้ายของเขาที่ยังจดจำ บวกกับสิ่งที่ต้องพบเจอหลังความตาย
                         ผมเอามือของเขาขึ้นมาจับตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา และขอให้เขาเดินไปทิศทางที่ควรจะเป็น คนที่นั่งมองอยู่ตอนนี้ก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน ทุกคนพนมมือขึ้นพร้อมกันตั้งใจอุทิศความนึกคิดดีๆและความห่วงใย ให้แก่ชายสองคนนี้
‘ อิ่ม... อิ่มแล้ว.. ’ เขายิ้มออกมาได้แล้ว
‘ ก่อนที่เธอจะไป เราขอถามอะไรเธอหน่อย ’ ร่างนั้นพยักหน้าเป้นเชิงตอบรับ
‘ คนที่จับเธอมาใช่ .... รึเปล่า ’ ร่างนั้นตอบรับด้วยการพยักหน้า
‘ ผีกะตัวนั้นอยู่ที่ไหน ’

ร่างของชายคนนั้นหันไปที่ที่หนึ่งในบ้านและชี้ไปที่นั่น ทุกคนในบ้านตกใจมาก และทำใจเหมือนไม่อยากเชื่อ ผมก็คิดไว้บ้างแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าจะใช่จริงๆ ชายตรงหน้ายิ้มให้ผม เหมือนแทนคำบอกลา แล้วค่อยๆล้มลงไป ดีที่ลุงผันนั่งอยู่ใกล้ๆจึงประคองไว้ได้
                     ผมหันไปมองหน้าลุงผัน เพราะสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปมันไม่ใช่เรื่องที่น่าทำสักเท่าไหร่ ลุงผันถามทุกคนรอบๆ ในตอนแรกก็ไม่มีใครตอบ แต่ว่าสุดท้ายทุกคนก็ยอม เพราะเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นนั้นมันก็ไม่น่าวางใจเสียทีเดียว
                    ลุงผันเดินไปหยิบเอา พยนต์ ของยายเภาลงมาจากหิ้ง เอามาวางไว้บนพานที่กลางห้อง ผมหยิบเอาพยนต์มาถึงก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ และสิ่งที่ไม่ทันสังเกตุในตอนแรก สายสิญจน์ที่พันพยนต์เอาไว้นั้นมันดูเก่าๆ ไม่เหมือนกับของใหม่ และเมื่อสังเกตุดูอีกครั้งจะเห็นว่ามีรอยคล้ายคราบเลือดกรังๆ แม้จะเล็กแต่ก็ยังพอมองเห็น
                    ผมพยายามใช้มือแกะสายสอิญจนี่พันพยนต์ออก แต่ก็ยังแกะไม่ออก ผมลองสวดเอาบทถอนวิชามาใช้ดูแต่ก็ยังไม่สามารถแกะออกมาได้ ผมให้ลุงผันเอากรรไกรมาตัดก็ไม่ขาด  ผมจึงลองวิธีที่ไม่ได้ใช้มานานและไม่อยากใช้มากเท่าไหร่
                   ผมหยิบเอากรรไกรจากลุงผันมาจิ้มที่ปลายนิ้วให้พอมีเลือดซึมออกมา บีบจนมันไหลออกมาเป็นหยด หยดลงบนพยนต์ ตอนที่เลือดหยดลงบนนั้น ก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นอย่างไม่รู้ที่มา แต่ลุงผันจำได้อย่างแม่นยำว่ามันเป็นเสียงเดียวกับเมื่อคืน
                 ผมยังปล่อยให้เลือดหยดลงออยู่อย่างนั้น ข้าวของในบ้านตกหล่นจนเกิดเสียงดัง ประตูหน้าต่างปิดเองจนทำให้คนในห้องตกใจ และเริ่มหวาดกลัว
                  แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเอง ยายคนเดิม อยู่ดีๆก็มีท่าทีทรมาน จับคอตัวเองเหมือนหายใจไม่ออก พยายามร้องให้คนช่วยแต่ก็ยังทรมานอยู่ ผมใช้นิ้วที่เปื้อนเลือดนั้นเขียนยันต์ลงไปบนพยนต์ ยายเริ่มดูทรมานมากขึ้น แต่ผมก็ยังคงตั้งใจจะทำลายวิชชาที่อยู่ตรงหน้าก่อน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีสาเหตุมาจากหุ่นตรงหน้านี้
                   ผมสวดบทเดิมอีกครั้ง คราวนี้เมื่อจบบท ทุกคนได้ยินเสียงกรี๊ดดังก้องอยู่ภายในบ้าน แต่ไม่รู้ที่มา ยายดูหายจากอาการนั้นแล้ว และพยนต์ตรงหน้าตอนนี้ สายสิญจน์ได้ขาดไปแล้วเป็นแนวยาวตามตัวหุ่น ทำให้เห็นเถ้ากระดูกที่อยู่ข้างใน
                   ในตอนนี้ผีกะตนนั้นคงกลับไปหาเจ้าของของมันแล้ว อาคมต่างๆที่ใช้มัดไว้ก็หายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเศษซากกระดูก และวิญญาณของยายเภาที่ยังคิดติดบ่วงอยู่ ณ ที่ตรงนี้
                    ผมแกะเอาสายสิญจน์นั้นออกและให้ลุงผันจัดการเผามันโดยทันที เถ้ากระดูกตรงหน้าถูกบรรจุกลับลงไปในโกฎิอีกครั้ง และในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหู
‘ ขอฉันคุยกับญาติหน่อยได้ไหม ’
                     ผมตอบกลับไปว่าจะคุยก็ได้แต่อย่าทำให้ใครเดือดร้อน และในตอนนั้น ยายคนเดิมก็มีอาการแปลกๆ แล้วก็นั่งนิ่งสงบ จนเริ่มสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
‘ ฉันทำให้พวกแกทุกข์จริงๆหรือ ’ ยายเภาร้องถามญาติทุกคนผ่านยายคนนั้น
                     ทุกคนเริ่มอึกอักและตกใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่สุกท้ายทุกคนก็เข้าใจว่า อะไรเป็นอะไร ทุกคนได้สร้างบ่วงให้ยายเภา ผูกยายเภาไว้กับโลกนี้ ซ้ำยังเปิดช่องให้หมอผีมันมาฉวยเอาประโยชน์ได้ ทำให้ทั้งคนเป็นและคนตายต้องทรมาน บ่วงนั้นมัดยายเภาเอาไว้แน่น วิญญาณที่ติดบ่วง และถูกเสริมด้วยอวิชชาจึงมีฤทธิ์ขึ้นมาและพยายามจะติดต่อกับผู้คน แต่วิธีการนั้นอาจไม่เหหมาะสมสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับคนที่ทำให้ วิญญาณดวงนี้เกิดขุ่นข้องหมองใจมากที่สุดในตอนก่อนตาย มันจึงเปลี่ยนเป็น ความอาฆาต เหมือนตัวเองถูกทำร้าย และกักขังไว้
                      ทุกคนในบ้านรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะยายคนนั้น คนที่พยายามพูดรั้งยายเภาไว้ในตอนยังมีชีวิต ยายรู้สึกผิดมาก ทำการขอขมารูปศพของยายเภาหลายต่อหลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แม้ว่าตอนนี้ยายเภาจะพ้นจากอวิชชาเหล่านั้นไปแล้ว แต่บ่วงที่ถูกสร้างยังไม่หายไป กรรมใหม่ที่ก่อขึ้นหลังความตาย ทำให้คนกลัว คนบาดเจ็บ เบียดเบียนชีวิตคนเป็น สิ่งเหล่านี้ยังคงมัดยายเภาไว้ที่พบนี้ ไม่ได้ไปผุดไปเกิด และไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ที่ยายเภาจะหลุดพ้นจากบ่วงที่ถูกสร้างขึ้นนี้ได้
................................................................................
                           เรื่องราวในวันนั้นจบลงแค่นั้น แต่ในตอนที่ผมจะกลับบ้าน ลุงผันมาส่งผมขึ้นรถ ตอนที่รอรถอยู่นั้น ชายคนนั้น เดินมานั่งที่ข้างๆผมตรงศาลาท่ารถ ชายคนนั้นนั่งนิ่งไม่พูดอะไร แต่ก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้มาดี เขานั่งเอาไม้เท้าเคาะพื้นเป็นจังหวะ อยู่ครู่หนึ่งก็ที่จะลุกขึ้นและเดินจากไป
‘ ไปแล้วไม่ต้องกลับมา ถ้ายังอยากตายดี คราวหน้าอุไม่ปล่อยอึงแน่ ’
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่มองเขาเดินจนลับสายตาไปเงียบๆ พร้อมกับผีกะตนนั้นที่เกาะไหล่เขามาและจ้องผมด้วยความอาฆาต
และแน่นอนว่า มันไม่ใช่ครั้งเดียวที่ผมต้องมาพัวพันกับเรื่องราวของ ชายคนนี้
...................................................................................

ลอยชาย.

ไม่มีความคิดเห็น