กระพรวนคู่นั้น และคืนสยองขวัญของผม



     กระพรวนคู่นั้น และคืนสยองขวัญของผม เป็นเรื่องจากคุณ กฤตานนท์ หรือ Rhythm in the Air จากพันทิปนักเขียนมืออาชีพ เรียกได้ว่างานของเขาคุณภาพมากๆ คุ้มค่าแกการอ่านไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน ต้องขอขอบคุณเรื่องดีๆจาก คุณ กฤตานนท์  ไว้ ณ ที่นี้ด้วยสำหรับเรื่องดีๆมาแบ่งปันแก่ชาวผีสยองหนองกระจาย

______________________________

"รักใดเล่าอาบอุ่นเท่ารักจากแม่"

เรื่องนี้มีอยู่ว่า...

ผมชื่อต้นครับ เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ตารางชีวิตเป็นแบบเดิมทุกวัน ตื่นเจ็ดโมงเช้า ออกจากบ้านแปดโมง ถึงออฟฟิศเก้าโมง
หมกตัวอยู่หน้าจอคอมจนถึงหกโมงเย็นก็เลิกงานกลับบ้าน ไม่มีอะไรหวือหวา ราบเรียบเป็นไม้กระดานเชียวล่ะ...
แน่นั่นเป็นเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับ ผมก็ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่ากำลังเจอเหตุการณ์พิศวงชนิดจำไม่เลือน

วันที่ ๑

จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสักสามโมงเศษ หลังค๊อฟฟี่เบรคช่วงบ่ายกำลังเคลิ้มเลย โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
คนที่โทรมาคือสามีพี่สาวผม ชื่อวี ผมแปลกใจนะ เพราะหลังจากพี่สาวผม (พี่ต๊อบ) แต่งงานกับนายคนนี้ เราก็แทบไม่ได้คุยกันอีก
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ที่บ้านผมไม่ค่อยปลื้มพี่วีสักเท่าไหร่ เพราะแกเคยแต่งงานมีครอบครัวมาก่อน ช่วงแรกผมก็ติดอคตินะ
ถึงปากบอกพ่อกับแม่ว่าอย่าไปตำหนิพี่ต๊อบเลย แต่ในใจผมก็แอบเขม่นพี่วีอยู่เหมือนกัน (เข้าตำราปากว่าตาขยิบรึเปล่าไม่รู้)
แต่นานๆ ไปผมว่าพี่วีเป็นผู้นำครอบครัวที่ใช้ได้

ตัดภาพมาที่โทรศัพท์สายนั้น... พี่วีถามว่ายุ่งรึเปล่า ผมก็ตอบไปว่าไม่ยุ่งมีอะไรให้ช่วยรึเปล่า
ตอนแรกพี่วีบอกว่าไม่มีอะไรโทรมาคุยด้วยเฉยๆ บิงโก! พี่วีโกหก!! ผมรู้จักนิสัยเขาดี ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่มีปัญหาไม่มีทางโทรมาเด็ดขาด
เขาเป็นคนค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองสูง และมองว่าบ้านผมเป็นพวกหัวโบราณ ฉะนั้นถ้าไม่มีธุระด่วนแทบไม่เคยคุยกัน

ผมถามอีกรอบมีอะไรรึเปล่า พี่วีเงียบไปพักหนึ่งแล้วบอกว่าถ้าว่างให้ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ต๊อบหน่อยเพราะเขาต้องบินไปดูงานที่พม่า
หนึ่งอาทิตย์ ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนภรรยา... ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรอก ผมรับปากทันที ถึงพี่ต๊อบจะขี้บ่นไปสักหน่อย แต่ยังไงก็พี่สาวทั้งคน
อีกอย่างเหมือนที่บอกข้างต้น รู้สึกเบื่อชีวิตรูทีนไงชอบกล เปลี่ยนตารางชีวิตบ้างก็ดี
ความคิดที่ว่านี่ล่ะพาผมไปเจอเหตุพิศวงในดงเงา

บ้านพี่วีอยู่ในโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งแถวรัตนาธิเบศร์ ผมเคยแวะเข้าไปบ้างแต่ไม่บ่อยนัก พวกเขาอยู่กันสามคน พ่อแม่ลูก
ย้ำอีกรอบว่าเท่าที่รู้พี่วีเป็นคนดี ติดแค่ที่บอกด้านบนคือผ่านการมีครอบครัวมาก่อน ดังนั้นด้วยทิฐิทำให้ผมไม่ค่อยได้คุยกับพี่ต๊อบสักเท่าไหร่
ทั้งที่เมื่อก่อนเราสนิทกันมาก ครั้งสุดท้ายที่บ้านของพี่วีก็ตอนที่ซื้อกำไลข้อเท้า (นาก) ไปรับขวัญหลานเมื่อสองสามปีก่อนล่ะมั้ง
(โดยประมาณ)

หลังเลิกงานผมกลับไปเก็บของที่บ้านและบอกพ่อกับแม่ว่าจะไปนอนเป็นเพื่อนพี่ต๊อบสักสามสี่วัน
ผมออกจากบ้านตัวเองมุ่งไปบ้านพี่ต๊อบ พอไปถึงปรากฏว่าทั้งสองคนรออยู่หน้าบ้านแล้ว พี่ต๊อบดีใจมากที่ผมแวะมาอยู่เป็นเพื่อน
ผมก็ใจอ่อนล่ะนะ ไม่เจอพี่สาวเป็นปีก็ถามสารทุกข์สุกดิบตามเรื่องตามราว สักพักพี่วีดึงผมเข้าไปใกล้แล้วกระซิบว่าฝากดูแลต๊อบหน่อย
พักนี้ต๊อบดูแปลกๆ ชอบกล กลางคืนก็ไม่ค่อยยอมนอน กว่าจะตามเข้าห้องนอนก็ตีสามตีสี่นู้น

พอพี่วีไปแล้วผมก็เดินตามพี่ต๊อบเข้าไปในบ้าน วินาทีแรกที่เท้าสัมผัสพื้นผมได้ยินเสียงดัง กรุ๊งกริ๊ง
ตอนนั้นไม่ได้เอะใจเลยว่าอีกหลายวันต่อจากนี้ คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบผมจะเจอจังๆ กับตากับตัว

ผมสังเกตดูพี่ต๊อบหน้าตาสะโหลสะเหลเหมือนคนอดนอน จึงถามว่าทำไมหน้าตาโทรมแบบนั้น ไม่ค่อยได้นอนเหรอ
พี่ต๊อบพยักหน้าบอกว่านอนไม่ค่อยหลับ แล้วแกก็เงียบไม่ยอมพูดอะไรอีก ผมเลยถามต่อว่าน้องเพลง (ลูกสาวพี่ต๊อบกับพี่วี) ไปไหน
พี่ต๊อบเล่าว่าช่วงนี้เพลงไม่สบายจึงหยุดเรียน สักพักลูกสาวเธอ หลานสาวผมก็เดินออกมา เพลงอายุราวเกือบสี่ขวบได้ (มั้ง)
ผมเห็นน้องเพลงแล้วยิ่งแปลกใจ เพลงก็ดูหน้าตาหมองคล้ำไม่แพ้แม่ของเธอเลยครับ แถมผมเผ้าก็แหว่งวิ่นยังไงพิกล
คือฝีมือช่างคนไหนขอให้บอก ผมจะตามไปด่าถึงร้าน ตัดหน้าม้าเบี้ยวๆ แหว่งๆ ให้หลานผมได้ยังไง

ความพิศวงระลอกต่อมาก็เกี่ยวกับทรงผมหลานสาวนี่ล่ะ ผมถามหลานเล่นๆ ว่าคุณแม่พาไปตัดผมร้านไหนคะ
จังหวะนั้นน้องเพลงกับพี่ต๊อบตอบพร้อมกัน แต่คำตอบดันไม่เหมือนกัน พี่สาวผมบอกว่าเธอเป็นคนตัด แต่น้องเพลงบอกว่าเพลงตัดเอง!?

ผมถามอีกครั้งว่าใครตัดกันแน่ พี่ต๊อบตอบเสียงดังว่าเธอเป็นคนตัดเอง ผมก็บอกว่าเออๆ น่าจะพาไปตัดร้านนะเล่นซะแหว่งเชียว
จากนั้นผมก็ขอตัวไปอาบน้ำ ช่วงอาบน้ำผมได้ยินเสียง กรุ๊งกริ๊งๆ ลอยเข้าหูเป็นระยะ พอตั้งใจฟังเสียงจะเงียบ
แต่พอเปิดฝักบัวหรือทำกิจกรรมอื่นๆ เสียงจะแทรกๆ ซ่อนๆ ปนกับเสียงอื่นๆ คือไม่ใช่มองโลกในแง่ดีนะครับ มองในแง่ปกติชนนี่ล่ะ
มันคงเป็นกระดิ่งบ้านไหน หรืออาจเป็นกระดิ่งลมข้างบ้านก็ได้

คืนนั้นหลังกินข้าวเสร็จ พวกเราก็นั่งดูทีวีกันที่โซฟา พี่ต๊อบก็กล่อมเพลงจนหลับคาตัก ผมก็อาสาพาหลานขึ้นไปนอน
แต่พี่ต๊อบก็บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวเธอจะพาไปเอง เรานั่งคุยกันจนประมาณสี่ทุ่มก็แยกย้ายเข้านอน
ความผิดปกติอีกอย่างเกิดขึ้นตอนแยกย้ายเข้านอนนี่ล่ะครับ ผมเพิ่งรู้วันนั้นว่าบ้านพี่ต๊อบล็อคกุญแจหลายชั้นมาก
กลอน 1 แม่กุญแจ 2 โอเคบางคนอาจมองว่าที่บ้านฉันก็ล็อคแบบนี้ งั้นถามต่อแล้วหน้าต่างที่บ้านล็อคแม่กุญแจรึเปล่า?
ส่วนใหญ่แค่ลงกลอนใช่มั้ยครับ? แต่บ้านนี้มีใส่กุญแจตรงหน้าต่างด้วย

ผมก็แซวว่าล็อคกลอนขนาดนั้นพี่ติดเหล็กดัดเลยเหอะ พี่ต๊อบบอกว่าโจรขโมยเยอะแล้วไล่ผมไปนอน
เจ้าบ้านเค้าว่าแบบนั้น แขกอย่างผมก็ต้องเออออห่อหมก

ผมเข้าห้องนอน จัดเตรียมเสื้อผ้าที่ใส่วันพรุ่งนี้จากนั้นทิ้งตัวบนเตียง กดมือถือเรื่อยเปื่อย จำได้ว่าเหลือบไปดูเวลาในมือถือตอนนั้นเกือบห้าทุ่ม
จึงลุกไปปิดไฟนอน จังหวะที่ห้องมืดลงหูทำงานดีเกินไปรึเปล่าไม่รู้ล่ะ ได้ยินเสียง กรุ๊งกริ๊ง ดังอีก
ไม่ได้สนใจอะไรเลยจริงๆ ครับ เสียงลักษณะนี้มีถมถืด... มาสะดุ้งตื่นตอนประมาณเกือบตีหนึ่งเพราะรู้สึกปวดเบา
เดินออกมาข้างนอกปรากฏว่าเจอพี่ต๊อบนั่งสัปหงกอยู่ตรงห้องนั่งเล่นชั้น 2 ก็ถามว่าดึกดื่นทำไมไม่นอน พี่ต๊อบกลับบอกว่ายังไม่ง่วง!?

อ้าว โกหกไม่เนียนนิ ก็เมื่อกี้เห็นสัปหงกอยู่ พี่ต๊อบหน้าเสีย ผมรู้จักพี่สาวตัวเองดีว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้วล่ะ
ก็เค้นถามว่ามีอะไรไม่สบายใจ ทะเลาะกับพี่วีรึเปล่า พี่ต๊อบก็ส่ายหน้า สุดท้ายต้องยอมเล่นมุขไม่ถนัดบอกว่าเราพี่น้องกันนะ
มีอะไรก็บอกกันตรงๆ จะได้ช่วยแก้ไข พี่ต๊อบเงียบไปพักใหญ่แล้วพูดเบาๆ ว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ตกกลางคืนน้องเพลงจะมีอาการแปลกๆ ผมก็ถามว่าแปลกยังไง พี่ต๊อบบอกว่า "น้องเพลงชอบละเมอ"

ผมก็แย้งสิว่าเด็กกับการละเมอมันของคู่กันนะ พี่ต๊อบส่ายหัวแล้วบอกว่า ไม่ใช่กับเคสนี้ น้องเพลงละเมอเดินไปมาในบ้าน
หนักเข้าถึงขนาดเคยเดินออกไปนอกบ้านตอนกลางคืน!?

พี่ต๊อบเล่าต่อ มีอยู่คืนหนึ่งเธอนอนบนเตียง (พี่วีกับเพลงปูฟูกนอนพื้น) ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ จึงลุกขึ้นไปดู
เดินลงมาชั้นล่างในความมืดเห็นประตูหน้าบ้านเปิดอยู่ พอมองลอดม่านผ่านประตูเห็นน้องเพลงกำลังทำท่าเหมือนจะปีนรั้ว
ตกใจมากก็วิ่งไปอุ้มลูกเข้ามาในบ้านปรากฏว่าเพลงสะดุ้งตื่น มองหน้าแป๊บหนึ่งแล้วก็งัวเงียหลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมก็เริ่มปอดสิงานนี้ แต่ในฐานะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็ทำใจดีสู้เสือว่าบังเอิญละมั้ง พี่ต๊อบบอกว่าตัวเองก็คิดแบบนั้น
แต่เพื่อความปลอดภัยหลังเหตุการณ์นั้นจึงล็อคประตูทุกบาน...

เงียบไปสักพักคราวนี้พี่ผมหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม แกเล่าเสียงหวาดๆ ว่าหลายวันต่อมาคืนนั้นพี่วีไม่อยู่บ้าน เลยเข้านอนกันแต่หัวค่ำ
ระหว่างหลับก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกตอนประมาณสักสี่ทุ่ม สิ่งแรกที่ทำคือหันไปหาลูก ปรากฏว่าน้องเพลงหายไปอีกแล้ว
รีบลงมาชั้นล่าง ประตูยังล็อคแน่น แต่มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ ตกใจมากเดินหาทั้งในบ้าน นอกบ้านไม่เจอ
โทรหาสามีจบ กำลังโทรแจ้งความจู่ๆ รปภ. ที่ประจำอยู่ป้อมยามใกล้ๆ ซอย ก็ปั่นจักรยานมาที่บ้าน และบอกพี่ต๊อบว่า
กำลังตรวจหมู่บ้าน จู่ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งหรืออะไรสักอย่าง พร้อมกับเสียงเหล็กเสียดสีดังเอี๊ยดๆ
เลยปั่นไปตามต้นเสียง เจอเด็กคนหนึ่งนั่งเล่นชิงช้าอยู่คนเดียวตอน 4 ทุ่ม พอเข้าไปใกล้ๆ เห็นว่าเป็นน้องเพลง
เลยถามว่ามาเล่นอะไรดึกๆ แม่ไปไหน แต่น้องเพลงไม่ตอบ ถามอะไรก็ไม่ตอบ เขาเลยขี่จักรยานมาตามพี่ต๊อบให้ไปรับลูกหน่อย

พอถึงคำว่ากระดิ่ง ขนแขนพร้อมใจลุกพรึ่บ

พี่ต๊อบตาม รปภ. ออกไปถึงสนามเด็กเล่นก็เจอน้องเพลงนั่งเล่นชิงช้าอยู่จริงๆ น้องเพลงไกวชิงช้า เอี๊ยดอ๊าด คนเดียว
คือถ้าเป็นกลางวันก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลางคืนนะ ถึงจะไม่ดึกมากและสนามเด็กเล่นไม่ไกลจากบ้าน แต่มันผิดวิสัยเด็กมากถึงมากที่สุด
ที่สำคัญ เด็กตัวแค่นั้นก็ให้ความกระจ่างอะไรไม่ได้เลย

เย้ย นึกภาพแล้วขนลุก!

ตอนที่ได้ฟังยอมรับว่าใจหวิวๆ ครับ ผมถามว่าพาไปหาหมอรึยัง พี่ต๊อบบอกว่าไปหาแล้วหมออาจเป็นโรคละเมอเดิน
แต่เจริญวัยขึ้นอาการจะดีขึ้น สรุปคืนนั้นผมนั่งคุยกับพี่ต๊อบจนเกือบเช้าและได้รู้ว่าสารพัดกุญแจไม่ใช่กันคนนอกเข้ามา
แต่กันคนในออกไปต่างหาก

วันที่ ๒

ผมนั่งคิดถึงเรื่องที่พี่ต๊อบเล่าให้ฟังทั้งวัน จึงตัดสินใจโทรหาพี่วี แต่พี่วีกลับบอกว่าพี่ต๊อบวิตกจริต หลังๆ เอาแต่นั่งดูหนัง ดูซีรี่ส์จนดึกดื่น
และบอกว่ากลัวลูกเดินหายไปอีก พี่วีจึงตัดสินใจใส่กลอนเพิ่มทั้งประตูหน้าต่าง แต่พี่ต๊อบก็ยังนั่งเฝ้าลูกจนถึงตีสองตีสามทุกคืนค่อยเข้านอน
ห้ามหลายครั้งแต่พี่ต๊อบก็ไม่ฟัง แกเป็นห่วงลูกมาก

ผมก็พยายามคิดว่าไม่มีอะไรๆ แต่ในใจอุตริคิดถึงหนังผีจำพวก Conjuring, Insidious ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเป็นความคิดที่ถูกรึเปล่า
แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เปล่าครับผมไม่ได้ไปตามหานักไล่ผีแบบสองสามีภรรยาวอร์เรนหรอก ผมลางานครึ่งวัน
แวะไปซื้อกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเองง่ายๆ ได้แบบลดราคามา 4 ตัว

พอมีความรู้เรื่องระบบอยู่บ้าง กลับไปถึงบ้านก็หามุมดีๆ ในบ้านตัวหนึ่ง นอกบ้านตัวหนึ่ง แต่มือใหม่ติดได้แค่ 1-2 ตัวก็มืดพอดี
ผมหาจังหวะเข้าไปคุยกับน้องเพลง แล้วถามว่าเดินละเมอออกไปนอกบ้านรู้ตัวรึเปล่า น้องเพลงบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย
และด้วยความที่อายุยังน้อย สมาธิสั้น เหมือนคุยกันคนละภาษา ผมไม่ได้อะไรเลยจากการคุยครั้งนั้น

เอาจริงๆ คือช่วงที่ตะวันยังไม่ลับฟ้ารู้สึกตื่นเต้นนะครับ เหมือนตัวเองเป็นนักสืบที่กำลังค้นหาความจริงอะไรทำนองนั้น
แต่พอราตรีมาเยือนความตื่นเต้นกลายเป็นกลัวไปซะงั้น ละแวกบ้านพี่ต๊อบก็นอนเร็วกันเหลือเกิน แค่ 2 ทุ่มเข้าบ้านปิดไฟกันหมด
ผมเข้าไปคุยกับพี่ต๊อบบอกว่าไม่ต้องคิดมากและบอกให้รีบเข้านอน เดี๋ยวผมจะดูผ่านแอพเอง หลังจากทุกคนเข้าห้องนอน
ผมก็นั่งเล่นมือถือดูกล้องไปเรื่อยๆ จนเริ่มง่วงแล้วก็หลับไป ความน่ากลัวก็ต่อเนื่องที่ตรงนี้…

ตอนนั้นไม่รู้กี่โมง แต่หูแว่วได้ยินเสียง กรุ๊งกริ๊งๆ ไม่ได้ดังครั้งสองครั้งแต่ดังรัวๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าดัง ตึกๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล
มันอยู่ในบ้านนี่ล่ะ! หูได้ยินทุกอย่างชัดมาก แต่ความรู้สึกอื่นทื่อไปหมดอาการเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นภาพเบลอๆ มืดๆ รอบห้อง
พยายามลุกจากที่นอน แต่ตัวหนักไปหมด ยิ่งฝืนยิ่งง่วงคล้ายผีอำ ขืนได้ไม่นานก็วูบไป แต่ก่อนวูบรู้สึกร้าวจี๊ดดดตรงซี่โครง...

รุ่งเช้าตื่นมาสิ่งแรกที่รู้สึกคือเจ็บชายโครงครับ ก็คิดว่านอนผิดท่า ลงไปเจอพี่ต๊อบกับน้องเพลง
พี่ต๊อบบอกว่าเมื่อคืนนอนหลับสบายที่สุดในรอบปี เราก็ดีใจล่ะนะ พี่สาวเลิกจิตตก ผมอาบน้ำ กินข้าว เตรียมตัวออกไปทำงาน
แต่ก่อนออกจากบ้านหูดันได้ยินเสียงเหมือนเด็กหัวเราะเบาๆ ข้างหู ฮิๆๆ ไม่ฝาดแน่นอน ได้ยินจริงๆ

ผมหันขวับไปมองเด็กคนเดียวที่อยู่ใกล้ตัว น้องเพลงยืนจ้องหน้าผมนิ่งๆ

วันที่ ๓

วันนั้นงานผมยุ่งมากเพราะเมื่อวานลากลับก่อน กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็บ่ายแก่ พอมีเวลาว่างผมเลยดูกล้องวงจรปิดผ่านมือถือ
เห็นพี่ต๊อบเดินถือตะกร้าไปหลังบ้าน คงกำลังไปซักผ้า ผมก็เลยทำงานต่อ สักพักหางตาเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
พอมองในวีดีโอเห็นน้องเพลงเดินผ่านกล้องแล้วปีนขึ้นไปยืนหมิ่นๆ ตรงขอบโต๊ะกินข้าว ผมร้อง เฮ้ย! กลัวโต๊ะคว่ำ
รีบโทรหาพี่ต๊อบทันที แต่ต๊อบน่าจะไม่ได้เอามือถือไป เบอร์บ้านอะไรก็ไม่รู้

ผมกดเข้าไปดูในแอพอีกครั้ง น้องเพลงก็ยังยืนก้มหน้านิ่งๆ (นิ่งแบบไม่ขยับตัว) อยู่บนโต๊ะ ก็เลยโทรรัวๆ สลับดูแอพ
ตอนนั้นด้วยความสูงจากตำแหน่งที่น้องยืนทำให้ผมเห็นอะไรบางอย่างรัดแน่นอยู่เหนือเท้าน้องเพลง...
กำไลข้อเท้าคู่หนึ่งพร้อมกระพรวน

ยอมรับว่ายังไม่มีลูก ไม่รู้เขาถอดกำไลข้อเท้ากันตอนกี่ขวบ เดาว่าเต็มที่ก็คงไม่เกิน 2 ขวบ (มั้ง) แต่น้องเพลงใกล้ๆ แตะสี่ขวบแล้วนะ
ยังใส่กำไลอยู่เหรอ? แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยใส่?? หรือเพิ่งหยิบมาใส่??? ณ ตอนนั้นคำถามเต็มหัวไปหมด
แต่ความรู้สึกเป็นห่วงหลานมีมากกว่า กลัวตกโต๊ะ แต่สักพักหนึ่งเพลงก็ก้าวลงจากโต๊ะไล่ๆ กับที่พี่ต๊อบก็เข้ามาในบ้าน

เห้ย! บุคลิกน้องเพลงเป็นเด็กเรียบร้อยนะ ตั้งแต่รู้จักมาไม่เคยแสดงกริยาแก่นๆ สักครั้ง

อึดใจต่อมาพี่ต๊อบก็โทรหาถามว่ามามีธุระอะไรโทรมาหลายรอบ ตอนนั้นเกือบพรั่งพรูทุกอย่างที่เห็น
แต่คุณเอ้ย กลัวพี่สาวกังวลจึงยั้งปากไว้ก่อน บอกแค่ว่าเห็นเพลงปีนขึ้นไปบนโต๊ะ ดูๆ ลูกหน่อย พี่ต๊อบบอกโอเคๆ แล้ววางสายไป
ผมยังพยายามมองโลกในแง่ดี แต่ความคิดที่ว่าเสียง กรุ๊งกริ๊ง ที่ได้ยินมาสองวันอาจไม่ใช่เสียงกระดิ่งลมก็ผุดในหัว

เมื่อกลับไปถึงบ้านผมเหลือบข้อเท้าหลานสาวก่อนเลย ปรากฏว่าเพลงไม่ได้สวมกำไล
ผมหาจังหวะถามหลานว่าวันนี้ได้หยิบกำไลมาใส่รึเปล่า คำตอบของเด็กน้อยทำให้ผมงง เธอปฏิเสธว่าเปล่า...
อ้าวชักไม่เข้าท่าแล้วสิ หรือผมตาฝาด (วะ)

ตัดมาช่วงค่ำ พอผมมาอยู่ด้วยพี่ต๊อบดูอุ่นใจและนอนเร็วขึ้น คืนนั้นพี่ต๊อบบอกให้ผมปิดบ้านให้เรียบร้อย เธอพาเพลงขึ้นนอน
พอผมได้ยินเสียงพี่ต๊อบปิดประตูห้องปุ๊บ ก็เดินออกมาจะล็อคประตูรั้วพร้อมชะเง้อมองเพื่อนบ้านในซอยเดียวกันซะหน่อย
เห็นบ้านเยื้องหลังฝั่งตรงข้ามกำลังถอยรถเข้าบ้าน เสร็จแล้วก็เดินมาปิดประตูรั้วเหมือนกัน ผมก็ทักว่าสวัสดีครับ เลิกงานดะ... ดึก
คือยังพูดไม่จบประโยคเลย แต่พี่เขาไม่ตอบ ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ เหมือนแหงนดูอะไรสักอย่างแล้วพี่เขาก็รีบซอยเท้าเข้าบ้านเฉย...

พอพี่คนนั้นเข้าไปแล้ว ความเงียบกริบก็มาเยือน ผมเปิดรั้วออกมายืนตรงกลางถนน เหลียวด้านหลัง ด้านหน้า
ให้ตายเถอะปิดบ้านเงียบเชียบกันทุกหลังเลยนะ ตอนนั้นเสียงลมเสียดใบไม้ได้ฟีลลัดดาแลนด์สุดๆ ครับคุณผู้ชม
ยืนต่อไม่ไหวเข้าบ้านดีกว่า จังหวะนั้นหันกลับจะเดินเข้าบ้านตาเหลือบขึ้นไปมองชั้นสอง เห็นผ้าม่านในห้องๆ หนึ่งแหวกออกสักคืบ
แต่พอผมจ้องมันก็ปิดลงเหมือนเดิม ขนนี่วาบยันต้นคอ เพราะห้องนั้นเป็นเปล่าที่ไม่มีคนใช้

ล็อครั้วเสร็จรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องพี่ต๊อบ เคาะบอกว่าพรุ่งนี้ปลุกเช้าๆ หน่อยนะ แล้วแกล้งถามว่าไปเข้าห้องน้ำมารึเปล่าปิดก๊อกไม่สนิท
พี่ต๊อบบอกไม่ได้ออกไปไหนเลย กำลังกล่อมลูกแล้วผมก็มาเคาะประตูนี่ล่ะ ถามว่ามีอะไรรึเปล่า
อ้าว... ไม่ตลกแล้วสิ แล้วเมื่อกี้ใครเปิดม่าน เพราะทั้งบ้านอยู่กันแค่สามคน ต๊อบ ต้น เพลง

แต่ยังครับ ยังกัดฟันบอกว่าไม่มีอะไร แต่อื่นใดขอไปหิ้งพระก่อน คว้าพระบูชามาหนึ่งองค์ แล้วค่อยๆ ย่องไปห้องเจ้าปัญหา
ใจเต้นตึกตักขณะเอื้อมมือผลักประตูเข้าไป ไม่ผิดจากที่คิด ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์ฯ สักชิ้น มีแค่ผ้าม่านเท่านั้น
และที่สำคัญหน้าต่างทุกบานปิดสนิท แล้วม่านพลิกพลิ้วได้ยังไง!?

ผมปิดประตู รีบวิ่งกลับมาห้อง แล้วไม่รู้เป็นโรคอะไร นั่งเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่เคยถูกผีสิง ดูคลิปต่างๆ
สลับดูแอพกล้องวงจรปิดโหมดกลางคืน มันก็ยิ่งทำให้กลัวขึ้น ถ่างตาอยู่นานกว่าจะหลับ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนได้ยินเสียง กรุ๊งกริ๊งๆ
เหมือนมีคนวิ่งในบ้านอีกแล้ว ความรู้สึกสุดท้ายที่จำได้คือนอนตะแคง หันหน้าเข้าผนังด้านใน หันหลังให้ประตูห้อง
ไม่รู้ว่าจัดระเบียบการนอนถูกหรือผิด ผมยินเสียงเปิดประตู แอ๊ดดด  หางตาเห็นแสงส้มๆ ทาบผนัง
ตามด้วยเงาคนและเสียงกระดิ่ง คือถ้าตัดใจหันกลับไปมันดูต้องเห็นอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ไม่กล้าครับ
นอนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า สุดท้ายเกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดดตรงชายโครงตำแหน่งเดิมเป๊ะ แล้วก็วูบไป

รุ่งเช้าตื่นขึ้น ยังรู้สึกร้าวตรงชายโครง ลุกไปล้างหน้าล้างตา เดินลงมาข้างล่างเจอโน๊ตลายมือพี่ต๊อบเขียนไว้ว่า

"พาเพลงไปใส่บาตร ก่อนไปทำงานปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยนะน้องรัก"

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาหน้าบ้าน มองรอบตัวอยากรู้ว่ามีใครแขวนกระดงกระดิ่งอะไรไว้ให้เป็นหนึ่งในความน่าจะเป็นรึเปล่า แต่ก็ไม่มี

วันที่ ๔

วันนั้นเป็นวันศุกร์ ตลอดทั้งวันผมไม่เป็นอันทำงาน ไล่ดูภาพย้อนหลังเหตุการณ์ผ่านมือถือ ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะ
แต่ไม่ต้องอาศัยสัมผัสพิเศษหรอก ผมเชื่อสิ่งที่ตาเห็นมากกว่า สรุปว่าตัดใจซื้อ Ip camera อีกหนึ่งตัว
คิดในใจพรุ่งนี้วันเสาร์ คืนนี้กุจะถ่างตาจ้องยันแจ้งเลยคอยดู (ตอนนั้นยังกลางวันอยู่ไงครับ ความกล้ามาเต็ม)
มาถึงจุดนี้ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรอีก ตอนเย็นกลับถึงบ้าน ผมเดินเข้าไปคุยกับพี่ต๊อบตรงๆ
ว่าขอตั้งกล้องในห้องพี่ 1 คืน พี่ต๊อบก็แปลกใจ เกิดอะไรขึ้นทำไมมาตั้งกล้องในห้อง ก็เลี่ยงๆ ไปว่าอย่าเพิ่งถาม
ขอไปนอนแป๊บหนึ่ง สักทุ่มครึ่งช่วยปลุกด้วย มีรีพอร์ตต้องส่ง (จริงๆ ไม่มี แค่นอนเอาแรง)

พี่ต๊อบมาปลุกตอนประมาณเกือบ 2 ทุ่ม ผมลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมานั่งประจำที่ อารมณ์เหมือน ล่าท้าผี
กางโต๊ะญี่ปุ่น ตั้งมือถือ เปิดคอมนั่งทำอะไรจุ๊กจิ๊กฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนสักประมาณเที่ยงคืนเริ่มรู้สึกว่า นี่กุบ้าไปคนเดียวเปล่าวะเนี่ย
จริงๆ อาจไม่มีอะไร เลยเอนหลังสักครู่ แปลกมากช่วงเคลิ้มๆ เสียงนั้นมันมาอีกแล้ว กรุ๊งกริ๊งๆ
ผมเด้งตัวขึ้น ไม่ฝัน ไม่ฝาด มีเสียงจริงๆ เพ่งแอพในโทรศัพท์ ไม่มีอะไรผิดปกติจึงสลับไปแอพ ip camera…
ภาพขาวดำที่แสดงบนจอทำให้ขนลุกซู่ บนเตียงนอนยับยู่มีพี่ต๊อบนอนอยู่คนเดียว

ระหว่างกำลังอึ้ง เสียง กรุ๊งกริ๊งๆ ดังอีกหนพร้อมเสียงลงส้นเหมือนคนวิ่งใกล้เข้ามาห้องที่ผมนอน
แล้วก็ได้ยินเสียง ฮิๆๆ อยู่ตรงหน้าห้อง ตาจ้องค้างไปที่ประตู กลัวว่าใครจะเปิดเข้ามา
ในใจก็คิด อย่านะโว้ยๆ ความกล้าตอนกลางวันหายไปหมด

ไม่นานมีเสียงฝีเท้าเดินลงบันได ตึกๆ... กรุ๊งกริ๊ง... ตึกๆ... กรุ๊งกริ๊ง สลับเป็นจังหวะ ผมนั่งอึ้งจนเสียงหายนั่นล่ะ
เพิ่งนึกได้ว่าต้องดูกล้องวงจรปิด ภาพขาวดำทึมๆ ที่เห็นทำเอาแทบหยุดหายใจ น้องเพลงเดินวนไปมาในบ้าน!?

ตอนนั้นสมองทำงานหนักมาก ลง ไม่ลง ลง ไม่ลง สุดท้ายความห่วง+ความอยากรู้ ทำให้ตัดสินใจเดินตามหลานลงไปชั้นล่าง
แต่ผมไม่ซื่อบื้อเหมือนในละครนะ ไฟมีกี่ดวงผมเปิดหมด แล้วเดินลงบันไดช้าๆ แต่สวิทช์ไฟชั้นล่างเจ้ากรรมมันดันอยู่ห่างจากบันไดนี่สิ
ผมจ้องในความมืดเห็นเงาตะคุ่มนั่งอยู่บนโซฟา ใจอยากตะโกนดังๆ ให้ตื่นไปทั้งซอยแต่เสียงออกมาเบ๊าเบา

“นะ... น้องเพลง” แต่ไม่มีคนตอบ ลองอีกครั้งดังขึ้นนิด “น้อง... พะ... เพลง” ไม่มีคนขาน

ไอ้กลัวน่ะกลัวอยู่แล้ว กลั้นใจค่อยๆ ย่องไปที่สวิทช์กดเปิด พรึ่บ! พอไฟสว่างก็เป็นน้องเพลงนั่นล่ะนั่งอยู่บนโซฟา
ตรงข้อเท้ามีกำไลสีเงินพร้อมกระพรวนคู่หนึ่งส่งเสียง กริ๊งๆ เบาๆ ตอนนั้นไม่ได้เอะใจเรื่องสีของกำไลแม้แต่น้อย
พอมีไฟฟ้าความกลัวก็หายไปนิดหนึ่ง ผมเดินเข้าไปใกล้หลานแล้วถาม

“เพลง ลงมานั่งอะไรตรงนี้ ทำไมไม่นอน?”
น้องเพลงตอบกลับสั้นๆ “ฉันเหงา” แล้วน้องก็ฟุบลงบนโซฟา

ขนบริเวณต้นแขนถึงหลังคอตั้งเด่ทุกเส้น ฉันเหงา? คืออะไร!!? น้องไม่เคยแทนตัวแบบนี้

ไม่รอช้าตะโกนเรียกพี่ต๊อบทันที ผมได้ยินเสียงพี่ต๊อบแว่วหาลูก จึงตะโกนบอกอีกรอบว่าเพลงอยู่ข้างล่าง พี่สาวผมวิ่งหน้าตาตื่นลงมา
ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงต้องยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง และก็ถามกลับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหลานกันแน่
พี่ต๊อบถอนหายใจ เล่าว่านอกจากที่เพลงเคยเดินออกไปนอกบ้าน มีอีกเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น สักอาทิตย์ก่อนเพลงหายไปจากเตียง
พอพี่ต๊อบลุกขึ้นมาเห็นลูกสาวยืนอยู่หน้ากระจกและกำลังตัดผมตัวเอง คือเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดมันไม่ควรเป็นการกระทำของเด็ก
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ด้วยความเป็นห่วงลูก พี่ต๊อบเลยไม่ยอมนอนนั่งเฝ้าลูกทุกคืน ผมก็ทั้งกลัวทั้งโมโหก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ
เล่าให้พี่วีฟังรึยัง พี่ต๊อบก็บอกว่าเล่าแล้ว แต่เขาบอกว่าเหลวไหล

ผมชี้ให้พี่ต๊อบดูกำไลตรงข้อเท้าเพลง ถามว่าใช่ที่ผมเคยซื้อรับขวัญหลานรึเปล่า พี่ต๊อบตอบว่าไม่ใช่ ของผมเป็นกำไลนาก
และพี่ต๊อบถอดเก็บไว้ตั้งนานแล้ว แต่กำไลเงินคู่นี้เธอจำไม่ได้ว่าใครให้มา

ผมเลยบอกว่ามันแหม่งๆ แล้วนะ ตั้งแต่คืนแรกจนถึงคืนนี้ได้ยินเสียงกระพรวนดังทุกคืน ทางที่ดีถอดกำไลคู่นี้เอาไปเก็บไว้ดีกว่า
พี่ต๊อบก็ทำตาม พอถอดกำไรออก ตรงข้อเท้าเพลงเป็นจ้ำแดงมากเห็นแล้วก็สงสารหลาน จากนั้นผมช่วยอุ้มเพลงขึ้นไปส่งบนห้อง
แล้วบอกว่าคืนนี้จะนอนเป็นเพื่อน นั่งคุยกันสักพักบอกว่าพรุ่งนี้จะลองพาไปหาหลวงพ่อที่นับถือกันอยู่รดน้ำมนต์ให้สักหน่อย
ทำบุญบ้านสักหน่อย เสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันเข้านอน

คืนนั้นก่อนหลับผมเกิดอาการแบบเดิมอีก ขณะครึ่งหลับครึ่งตื่นรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงท้องน้อยใต้ชายโครง

รุ่งขึ้นเป็นวันหยุด กว่าจะตื่นก็เก้าโมง ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ลงมาชั้นล่าง เข้าไปคุยกับพี่และหลาน ทุกอย่างกลับมาปกติ
เพลงดูร่าเริงขึ้น ยิ้มได้ เล่นได้ ก็เลยตกลงกันว่าเปลี่ยนบรรยากาศไปกินข้าวนอกบ้านบ้างดีกว่า ผมอาบน้ำเสร็จก็มานั่งรอพี่ต๊อบอยู่ข้างล่าง
ระหว่างนั้นก็กดเข้าไปดูแอพเหมือนเดิม ดูบันทึกกล้องวงจรปิดจบก็มาดู ip camera ไล่ดูผ่านๆ ไปจนวีดีโอบอกเวลาประมาณตีสามเศษ
ภาพที่บันทึกไว้ทำเอาโทรศัพท์ในทือแทบร่วง

ในภาพนั้น ผมเห็นพี่ต๊อบกับเพลงนอนด้วยกันบนเตียง ผมนอนพื้น ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดที่ตั้งกล้องไว้
เพราะมันทำให้เราเห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเห็น จู่ๆ มีเงาดำๆ สัณฐานคล้ายคนโผล่เข้ามาในเฟรม เงานั้นเดินวนไปวนมาสักพักก็มาหยุดอยู่ข้างผม
ภาพเห็นไม่ค่อยชัดแต่สังเกตจากท่าทาง เงานั้นเหมือนยกขาขึ้นแล้วกระทืบลงมาที่ชายโครงของผม

นั่งอึ้งอยู่นานมาก เมื่อได้สติจึงตะโกนเรียก “พี่ต๊อบ!” พร้อมกับวิ่งตามขึ้นไปข้างบน เจอพี่ต๊อบกำลังแต่งตัวให้เพลงอยู่
ผมบอกว่าเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ จะพาไปค้างบ้านแม่ พี่ต๊อบก็ถามว่ามีอะไร ผมก็อึกอักๆ พี่ต๊อบก็เสียงดังขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมเลยสวนไปว่า “อยู่ไม่ได้แล้วเว้ย!” แล้วยื่นมือถือให้ดูคลิปที่ว่า หน้าแกซีดนะ แต่นิ่งเกินคาด พยักหน้ารับทราบ
แล้วก็เก็บของใช้ตัวเองและของลูก

ระหว่างนั้นผมเลยถามว่า กำไลคู่นั้นอยู่ไหน? พี่ต๊อบบอกว่าอยู่ในลิ้นชัก ผมไปรื้อๆ ค้นๆ ลิ้นชักทุกซอกทุกมุม
แต่กำไลเงินพร้อมกระพรวนคู่นั้นอันตรธานไปแล้ว

ช่างมัน เอาแค่แน่ใจว่าไม่ใส่อยู่ในข้อเท้าหลานเป็นพอ ผมพาพี่ต๊อบกับเพลงออกจากบ้านประมาณสิบโมง
ตัดสินใจแน่วแน่จะไม่มานอนบ้านนี้อีก พอถึงบ้านพ่อกับแม่ซึ่งยังเคืองพี่ต๊อบอยู่ เห็นพี่ต๊อบมาก็แปลกใจ ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังจนหมด
ฝั่งพ่อบอกเหมือนพี่วีคือ เหลวไหล เปิดกล้องให้ดูก็บอกเห็นไม่ชัด แต่ฝั่งแม่ดูเหมือนให้ราคาเรื่องเล่าผมอยู่บ้าง ก็ปลอบลูกสาว
พี่ต๊อบที่ว่าใจหิน เก็บอาการทุกอย่างไว้มิด ก็ปล่อยโฮคาอกแม่เลย

จนโพล้เพล้วันเดียวกัน พี่วีก็โทรเข้าเครื่องพี่ต๊อบ ถามว่าอยู่ไหน พี่ต๊อบบอกอยู่บ้านแม่แล้วถามสามีกลับว่าอยู่ไหน
พี่วีบอกกลับถึงไทยแล้วตอนนี้จอดรถอยู่หน้าบ้าน พี่ต๊อบก็บอกให้แวะมาที่บ้านพ่อกับแม่ มีเรื่องจะคุยด้วย ปลายสายก็เงียบไป
ตอนแรกพี่ต๊อบคิดว่าพี่วียังเคืองครอบครัวเธออยู่ ไม่อยากแวะมา แต่อึดใจเดียวพี่วีก็พูดว่า

“ทำไมไม่พาหลานไปเที่ยวบ้านคุณตาคุณยายด้วยล่ะ”

หือ! อะไรนะ!? คนฟังฉงน

พี่วีจึงพูดเปรยๆ เดี๋ยวขอเข้าบ้านก่อน ต้นอยู่ในบ้านใช่มั้ย? พี่ต๊อบก็รีบบอกว่าผมก็นั่งอยู่ข้างๆ นี่ล่ะ พี่วีได้ยินก็โมโหพูดเสียงดังว่า
“ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยแล้วทิ้งลูกอยู่บ้านคนเดียวได้ยังไง”

อะไรนะ? ผมรีบคว้าโทรศัพท์จากมือพี่สาวแล้วบอกให้พี่วีรีบมาที่นี่โดยเร็วที่สุด พี่วีบอกว่าไม่อยากไปจะอยู่เป็นเพื่อนลูกที่บ้าน
ผมจึงตะโกนไปว่า “อย่าเข้าไปในบ้าน อะไรก็ตามที่พี่เห็นไม่ใช่เพลงหรอก เพราะลูกพี่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้!”

“แต่พี่เห็นคนอยู่ในบ้านจริงๆ ขอเข้าไปดูก่อน”

แล้วพี่วีก็วางสายไป... เห้ย! จะบอกว่าอย่าเพิ่งริเป็นนักสืบเอาตอนค่ำๆ มีคนเคยทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไอ้หมอนั่น
เผ่นแน่บมาอยู่บ้านพ่อกับแม่ พวกเราก็โทรหาพี่วี แต่ไม่มีคนรับสาย เมื่อนั้นความร้อนใจก็มาเยี่ยม พี่ต๊อบชวนผมให้รีบกลับบ้าน
พวกเราฝากน้องเพลงไว้กับคุณตาคุณยายแล้วบึ่งไปหาพี่วีทันที ขึ้นรถปุ๊บผมเปิดแอพแล้วให้พี่ต๊อบช่วยถือโทรศัพท์
อารมณ์ขณะนั้นเหมือนดู Paranormal activity+คดี Elisa lam แต่พอเป็นเหตุการณ์ใกล้ตัวความสะพรึงก็คูณสิบเข้าไป

เหตุการณ์ในกล้องวงจรปิด
กล้องหน้าบ้านรับภาพพี่วีเปิดรั้วแล้วเดินไปหยุดตรงประตูกระจก มองเข้าไปด้านใน ล้วงกุญแจออกมาจะไขเข้าไปในบ้าน
อยู่ๆ พี่วีก็ตกใจกับอะไรสักอย่าง ผงะถอยหลัง ทำกุญแจตกพื้น แกชะงักชะเง้ออยู่แถวๆ นั้นแล้วเดินไปหยิบเสียมเล็กๆ
ที่วางอยู่ข้างกระถางต้นไม้ ก้มเก็บกุญแจ แล้วไขประตู

ผมร้อง เห้ยๆ อย่านะๆ แล้วบอกให้พี่ต๊อบโทรย้ำไปอีก แต่พี่วีก็ไม่รับสาย สงสัยทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถ ผมบอกโทรเข้าบ้านเลย
พี่ต๊อบบอกว่าไม่มีเบอร์บ้านซะงั้น จังหวะเดียวกันพี่วีที่กำลังลับกล้องตัวแรกก็ถอยออกมาอีกเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง
แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปในบ้านอีกรอบ

ผมบอกให้สลับไปดูกล้องอีกตัวที่อยู่ในบ้าน (นึกภาพกล้องโหมดกลางคืน) เนื่องจากทุกครั้งที่ออกจากบ้านพี่ต๊อบจะสับเบรกเกอร์บางจุดตลอด
ถึงเปิดสวิทช์ไฟมันก็ไม่ติด พวกเราเห็นพี่วีย่องๆ หันซ้ายหันขวา ทันใดนั้นจังหวะมันต้องหลุดสบถคำหยาบจริงๆ เมื่อผมเห็นเงาดำๆ
คล้ายกับอะไรสักอย่างที่เหยียบท้องผมเมื่อคืนโผล่อยู่ด้านหลังพี่วี เทียบขนาดตัวแล้วเหมือนเด็กกับผู้ใหญ่
แต่พี่วีไม่เห็นนะ เดินมุ่งไปส่วนครัว อาจไปสับเบรกเกอร์หรือเพราะเห็นอะไรเข้าก็ไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ พี่วีไม่รู้ว่ามีเงาดำเดินตามอยู่ข้างหลัง

ช่วงเวลาที่พีวีหายไปจากกล้องแค่แป๊บเดียว แต่มันก็ทำให้ผมกับพี่ต๊อบหัวใจจะวาย คือถ้าไม่ใช่ครอบครัว
ผมไม่มีทางไปเหยียบไปบ้านหลังนั้นตอนกลางคืนแน่ เลยบอกว่ามีเบอร์ข้างบ้านมั้ย สรุปพี่วีมี แต่พี่ต๊อบไม่มี
ฉะนั้นเหลือสองช้อยส์สุดท้าย 1. โทรแจ้งตำรวจ 2. บึ่งไปบ้านพี่วีให้เร็วที่สุด

ด้วยเหตุผลหลายๆ ข้อ พวกเราจำใจเลือกช้อยส์ที่ 2

คืนวันที่ ๕

ภาพจากกล้อง ไฟในบ้านสว่างขึ้น พี่วีก็ออกจากครัวย้อนผ่านหน้ากล้องแล้วเดินขึ้นบันได องศากล้องรับภาพได้แค่นั้น
สักพักพี่วีก็พรวดพราดลงมา ยึกยักๆ แล้วเดินขึ้นไปอีกรอบ พี่วีเจออะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆ ผมกับพี่ต๊อบจะไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนชั้นสอง
ยกเว้นพี่วีเดินเข้าไปห้องนอนเท่านั้น เพราะในห้องยังมี ip camera เหลืออีกตัว

ผมทำความเร็วเพื่อไปถึงบ้านพี่วีให้เร็วที่สุด ส่วนพี่ต๊อบนั่งไล่ดูกล้องทีละตัว กล้องหน้าบ้านไม่มีอะไรผิดปกติ พอดูกล้องชั้นล่าง
หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ไฟมันติดๆ ดับๆ และในที่สุดมันก็ดับ... บอกทีว่าบังเอิญ

ผมให้พี่ต๊อบเปิดสลับดูแค่กล้องในบ้านกับในห้องนอนก็พอ ปากก็ถามพี่สาวว่ามีอะไรไม่ได้เล่าให้ผมฟังรึเปล่าเนี่ย
ทำไมมันเฮี้ยนเกินเบอร์ขนาดนี้ พี่ต๊อบบอกเสียงสั่นว่า "พี่วีเลิกกับบ้านนู้นไม่ดีเท่าไหร่"
อ้าว? ไม่ดีที่ว่าคืออะไรล่ะ แต่พี่ต๊อบไม่ตอบ ด้วยความโมโหเลยกระแทกเสียงใส่พี่สาวอีกรอบ พี่ต๊อบก็ยังไม่ตอบ ผมเลยหันไปมอง
เห็นพี่ต๊อบจ้องโทรศัพท์เขม็ง

ภาพที่ปรากฏในโทรศัพท์คือพี่วีเปิดไฟแล้วประตูเข้าไปในห้องนอน มือยังกำเสียมพร้อมหวดอะไรก็ตามที่โผล่ออกมา ผมสังเกตจากท่าทาง
ในหัวพี่วีไม่ได้คิดถึงอะไรที่พิศวงเกินไปกว่าขโมย แกเดินตรวจในห้องทุกซอกทุกมุม ไปหยุดตรงโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งใกล้กล้องมาก
พี่วีหยิบของชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลิกดู... กำไลพร้อมกระพรวน

เห้ย! กำไลไปอยู่ตรงนั้นได้ไง (วะ) เพิ่งหาตอนก่อนออกจากบ้าน ไม่เจอทั้งบนโต๊ะและในลิ้นชัก แต่ที่เห็นมันวางหราเตะตาอยู่บนโต๊ะ
พี่วีหยิบกำไลไปนั่งบนเตียง ชูขึ้นดู ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเขาเก็บกำไลคู่นั้นใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ ตอนนั้นนึกว่าไฟในห้องดับอีก
แต่ความจริงพวกเราเพิ่งเสียตัวช่วยชั่วคราว แบตมือถือที่ยื้อมานานหมดซะแล้ว

ช่างมัน ตอนนี้อยู่หน้าโครงการ ยอมรับแบบแมนๆ ว่ากลัว คนอ่านอาจกำลังลุ้น แต่คนประสบเหตุกำลังขวัญเสีย
จึงบอกพี่ต๊อบว่าจะรับ รปภ.ไปด้วย แต่ห้ามพี่ต๊อบพูดให้เขาฟังเด็ดขาดว่าเกิดอะไรขึ้น เผื่อเหลือเผื่อขาดต้องขายบ้านมันจะมีปัญหาตามมา
อีกอย่างถึงพี่ รปภ.จะดูเป็นคนดีแต่ก็ยากการันตีว่าเขาจะไม่เอาไปพูดต่อ เกิดรู้กันทั้งหมู่บ้าน คนที่เสียก็คือพี่ต๊อบกับครอบครัวนั่นล่ะ

รปภ. ก็ดูงงๆ นะ จู่ๆ มีรถมารับถึงป้อม ผมเลี้ยวรถไปจอดต่อรถพี่วี... บ้านทั้งหลังมืดสนิท ฟีลลัดดาแลนด์ชัดๆ

พอเปิดรั้วปั๊บ เสียงดังรับเจ้าบ้านทันที กรุ๊งกริ๊งๆ ใช้คำว่าผลักเลยล่ะ ผมผลักพี่ รปภ. เดินนำ แล้ววานให้เดินวนรอบบ้าน
ส่วนผมกับพี่ต๊อบเข้าไปด้านใน พี่ต๊อบตะโกนเรียกพี่วีส่วนผมไปสับเบรกเกอร์อีกรอบไฟก็ติดเหมือนเดิม
พวกเราเดินขึ้นชั้นสอง ปากก็เรียก "พี่วีๆ" เมื่อไม่มีคนตอบก็รีบดิ่งไปห้องเจ้าปัญหาทันที

เข้าไปเจอพี่วีนอนอยู่บนเตียง เรียกอยู่นานกว่าจะตื่น แกสะดุ้งขึ้นมาสีหน้าเลิ่กลั่กแล้วบอกพี่ต๊อบว่า

"พี่เห็นน้องปัน"

ปันไหน? อนุมานเอาง่ายๆ ต้องเกี่ยวข้องกับพี่วีแน่

พวกเราลงมาคุยกันข้างล่าง พี่วีเริ่มเล่าว่า ก่อนจะแต่งงานกับพี่ต๊อบเคยอยู่กินกับผู้หญิงคนหนึ่งและมีลูกสาวชื่อปัน
พี่วีไม่อยากวิจารณ์ครอบครัวเก่า แต่เอาที่จับใจความได้เด็กผู้หญิงชื่อปันเป็นเด็กน่ารักบุคลิกคล้ายๆ น้องเพลง
แต่อุปนิสัยเด็กเล็กขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ฝั่งพี่วีเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ฝ่ายภรรยาเก่าก็เป็นคนแรงๆ ปากไว
สรุปคือทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อยมาก ในที่สุดก็จับเข่าคุยว่าคงไปด้วยกันไม่รอด

การแยกทางกันที่คิดว่าส่งผลดีกับผู้ใหญ่แต่ส่งผลร้ายต่อเด็กน้อย ตลอดเกือบสองปีกว่าผ้าขาวบางผืนหนึ่งเปรอะไปด้วยคราบไคล
ที่ยากจะซักออก น้องปันกลายเป็นเด็กก้าวร้าวเจ้าอารมณ์ หลังแยกทางกันภรรยาเก่าขอลูกไปเลี้ยงเอง พี่วีก็จ่ายค่าเลี้ยงดูตามสมควร
แรกๆ ไปหาบ่อย หลังๆ ก็แทบไม่ได้พบกัน

ปัญหาคือช่วงที่พี่วีเลิกกับครอบครัวเก่าและเริ่มคบหาพี่ต๊อบมันคาบเกี่ยวกันมาก ผมคิดว่าพอได้คำตอบ
ทำไมพี่ต๊อบดูอึดอัดทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างปกติจนไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ภรรยาเก่าพี่วีโทรมาบอกว่า
น้องปันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต พี่วีจึงไปช่วยงานศพ หลังจบงานภรรยามอบกำไลเงินคู่ที่น้องปันเคยใส่ตอนเล็กๆ ให้เป็นที่ระลึก
พี่วีนำกำไลนั้นมาเก็บไว้ที่บ้าน

ตัดมาตอนพี่วีกลับจากต่างประเทศ พอถึงบ้าน เห็นเงายืนอยู่บนชั้น 2 ก็รีบเข้าไปดู ได้ยินเสียงคนเดินในบ้านพร้อมเสียงกระพรวน
เดินดูจนทั่วไม่เจออะไร แต่ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อเข้าไปในห้องนอน เห็นกำไลเงินวางอยู่เลยหยิบขึ้นมาดู
สักพักเผลอหลับก็ฝันเห็นน้องปันนั่งอยู่ข้างๆ น้องปันบอกว่าเหงา พี่วีหันมองจ้องหน้าผมเหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ก็เลือกจะไม่พูด

ทุกย่างลงล็อคพอดี ผมไม่อยากคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ชั่ววูบหนึ่งยอมรับว่าเกิดความคิดชั่วๆ มันอาจไม่ใช่เหตุบังเอิญ
แต่ก็ลบความคิดนั้นทัน ยังไงสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า 'แม่' แม้เหนื่อยยาก ดุ ด่า ว่า หวด หรือกระทั่งเป็นซิงเกิ้ลมัม
แต่ความรักและเสียสละที่มีให้ลูกคือของจริง ไม่มีวันเปลี่ยน

วันรุ่งขึ้น พวกเราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้น้องปัน พร้อมนำกำไลคู่นั้นไปทำพิธีทางศาสนาแล้วนำไปฝัง
ขออโหสิกรรมทุกอย่างที่ล่วงเกินกันมา หลังจากนั้นก็ไม่เกิดเหตุการณ์แปลกๆ อีก

หลายเดือนผ่านไป ผมแวะไปที่บ้านพี่วีอีกครั้ง อยู่ๆ เขาก็ลากผมออกมานอกบ้าน แล้วเล่าถึงวันที่พี่วีฝันว่าเจอน้องปัน
ในฝันน้องปันบอกว่าไม่ค่อยชอบผม อ้าว? ผมก็งงสิ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้จักกัน พี่วีเล่าต่อว่า ในฝันปันบอกว่าชอบให้เพลงสวมกำไลเงิน
แต่เพลงมักบอกว่าชอบกำไลนากมากกว่า (อย่าบอกนะว่ากระทืบอาเพราะเหตุนี้!?)

หลังจากนั้นผมหาโอกาสเหมาะๆ ตอนที่หลานกำลังอารมณ์ดี เข้าไปคุยกับน้องเพลงชวนคุยไปเรื่อยก่อนจะถามตรงๆ
ว่าเคยเห็นเด็กผู้หญิงในบ้านหลังนี้รึเปล่า เพลงยิ้มให้แล้วตอบว่า

“เคยค่ะอาต้น”


เรื่องราวก็จบลงที่ตรงนี้ขอบคุณที่ติดตามครับ มีโอกาสคงได้พบกันใหม่
สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น