สามทุ่มสิบห้าเวลาเธอตาย
เรื่องคุณภาพจากนักเขียนมืออาชีพ กฤตานนท์ หรือ Rhythm in the Air เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ธี่หยด ในตำนาน กับเรื่องต่อไปนี้ "สามทุ่มสิบห้าเวลาเธอตาย" เหตุใดเวลาดังกล่าวถึงมีความสยองอย่างไรเชิญติดตามกันเลย
คนต้นเรื่องสมมุติว่าชื่อรุจ... รุจเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส เป็นเด็กกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียน ด้วยเหตุนี้ไม่แปลกที่จะมีเพื่อนมาก
แต่มีอยู่ 1 คนที่สนิทมากกว่าคนอื่น เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก บ้านห่างกันแค่ 2 ซอย เธอชื่อเกรน ทั้งสองคนนิสัยเหมือนกันมาก
สนุก เฮฮา ร่าเริง เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมต้น มาแยกกันเมื่อเข้าระดับอุดม เกรนเป็นเด็กหัวดี เข้าเรียนคณะเภสัชฯ
ส่วนรุจเลือกเรียนนิเทศฯ เพื่อนสนิทมีอันต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง
แม้บ้านห่างกันแค่ 2 ซอย แต่ทั้งคู่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยเป็นเวลาหลายปี รุจเคยแวะไปที่บ้านหลายครั้งแต่ไม่เจอ
แม่บอกเกรนเรียนหนักมากหลังๆ ความสัมพันธ์ค่อยๆ ห่างกันไป (บ้านเกรนอยู่กัน 3 คน มีแม่, น้าและเกรน)
หลังเรียนจบมีงานการทำตามสมควร รุจเข้าทำงานในบริษัทโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์แห่งหนึ่ง ว่างๆ ก็ผ่านไปยังบ้านเกรนอีกหลายครั้ง แต่ผิดหวัง
ไม่พบเพื่อนวัยเด็กสักครั้ง แม่เกรนบอกว่าลูกสาวซื้อคอนโด XX อยู่ใกล้ที่ทำงาน แรกๆ ก็กลับบ้านบ่อย แต่หลังๆ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน
รู้สึกทำตัวแปลกๆ แวะมาเยี่ยมแป๊บเดียวก็รีบกลับ ถ้ามีเวลาว่างๆ ฝากดูน้องหน่อย รุจจึงขอเบอร์มาจากแม่เกรน คิดว่าว่างๆ จะโทรหา
แต่ก็ลืมไปหลายวัน มานึกขึ้นได้ตอนคุยไลน์แล้วบังเอิญเห็นออโต้แอดเด้งขึ้นว่า Grain
เห็นชื่อก็คุ้นขึ้นมาทันที แต่ไม่เห็นหน้าเพราะรูปโปรไฟล์เป็นภาพดวงอาทิตย์ ก็แปลกใจเล็กน้อย
ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม จะโทรไปคงไม่เหมาะ เอาเป็นว่าไลน์ทักไปก่อนละกัน
Ruji : หวัดดี... เกรนใช่มั้ย? เรารุจนะ จำได้ป่ะ? แต่เพื่อนเก่าไม่ตอบและไม่แม้กระทั่งอ่าน...
รุจไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเพื่อนคงเข้านอนแต่หัวค่ำ ก็นอนคิดอยู่ว่าไม่เจอตั้งหลายปีเดี๋ยวนี้จะเป็นยังไงบ้างหน๋อ แต่ก่อนก็ป๊อปปูล่าน่าดู
วาเลนไทน์ที เสื้อเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์หัวใจไม่นับกุหลาบอีกเพียบ คิดไปมาเคลิ้มหลับ
มาสะดุ้งเอาตอนเช้าเมื่อมีเสียงข้อความเข้า... เป็นเกรนนั่นล่ะ
Grain : จำได้... แอดไลน์เราได้ยังไง?
ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นคงได้ด่าละ เสล่อทักมาตั้งแต่เช้า คนกำลังนอน แต่เมื่อเป็นสุภาพสตรี ดีกรีความเถื่อนต้องลดลง รุจอธิบายว่าได้ไลน์มาจากไหน
ทักทายกันอยู่สักครู่จึงแยกย้าย แต่ก่อนไปรุจเอ่ยปากชวนกินข้าว เกรนตอบว่าช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ว่าง อาทิตย์หน้าค่อยว่ากัน
หลังจากนั้นรุจก็ไปทำงานตามปกติ เอาน่า ยังไงก็เพื่อนกัน อีกอย่างแม่เค้าก็ฝากฝังให้ดูหน่อย รุจส่งข้อความไปทันที
Ruji : รอที่ XX นะ มากินข้าวกันหน่อย
Grain : วันนี้ไม่ว่าง ไว้อาทิตย์หน้า
Ruji : อาทิตย์หน้าไม่ว่าง ไปต่างจังหวัดกับที่ออฟฟิศ
Ruji : วันนี้ล่ะ รีบมานะ บัย...
หลังเลิกงานรุจไปนั่งรอที่นัดหมาย จริงๆ แค่แกล้งเท่านั้น จะมาหรือไม่ไม่มายด์ แต่สักพักเกรนก็มาถึง...
เกรนในวันนี้ต่างจากวันวานลิบลับ ไม่ใช่ว่าดูสวยจนผิดหูผิดตา แต่ตรงข้ามเธอดูโทรมจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน
ผมที่เคยยาวเรียบกลับฟูหยัก โครงหน้าถึงจะดูว่าเป็นคนสวย แต่หมองคล้ำ ดวงตาซึมโหล ไหล่ห่อ
พูดง่ายๆ คือออเจ้าดูอมทุกข์สุดๆ อยู่ในระดับเกินปกติต่างกับวัยเด็กลิบลับ
รุจถามว่าไม่สบายรึเปล่า สาวเจ้าตอบว่าไม่ พอถามว่าเครียดเรื่องงาน? ก็ปฏิเสธ จนรุจคิดว่าเพื่อนคงไม่อยากตอบเรื่องภาพลักษณ์
และเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น พอคุยๆ ไปดูเหมือนเกรนจะยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น แต่อาการนั้นคงอยู่สั้นๆ พอถึงเวลาแยกย้าย
ความอมทุกข์ปรากฏขึ้นมาอีก รุจจึงตัดสินใจถามอีกรอบ
“เกรน แกมีปัญหาอะไรเปล่าวะ? ดูเหมือนมีอะไรในใจตลอด ขืนไม่บอก เราจะไปหาแม่แกถามให้รู้เรื่อง แม่ก็บ่นๆ อยู่ว่าแกแปลกๆ”
เกรนยืนนิ่งแววตาเศร้าชอบกล “ไม่มีอะไร” เกรนตอบทำท่าเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่...
เป็นอันแน่ว่ามีเรื่องแน่นอน ถึงขนาดทำให้ผู้หญิงร้องไห้ได้มีอยู่ไม่กี่เรื่อง
“เกรน... อย่าบอกนะว่าแกท้อง?” เกรนส่ายหน้า
“อกหัก? รักคุด?” ก็ยังส่ายหัว เดาไปอีกหลายเรื่องก็ไม่ถูก จนเกรนหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา อยู่ๆ ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะทุ่มกว่าแล้ว
เธอเดินหายลับไปในกลุ่มคน รุจมองแผ่นหลังนั้นกำลังจะหายไป ภาพสาวน้อยแจ่มใสในวัยเด็กผุดแทนที่ เขาวิ่งตามไปจนทัน
“ป่ะ เดี๋ยวเราไปส่ง” เกรนเห็นก็พยายามปฏิเสธ แต่รุจบอกว่ามีอะไรซุกอยู่ที่คอนโดรึไงถึงไม่ให้ไป เกรนบอกไม่มีอะไรทั้งนั้น
แต่ไม่สะดวก รุจยิ้มๆ อย่างว่าง่ายตอบ “โอเชไว้คราวหน้าก็ได้” แต่ในใจคิดว่า... ฝันไปเหอะจะกลับง่ายๆ มีพิรุธขนาดนี้
เกรนแยกตัวไปอีกครั้ง รุจบ๊ายบาย จากนั้นแอบย่องตามไป ก็ผู้ใหญ่ฝากฝังมานินะ ขึ้นรถไฟตามไปติดๆ ก็แปลกใจ
นี่มันไม่ใช่ทางไปคอนโดที่แม่เกรนบอกนี่หว่า เอาล่ะสิ สงสัยงานนี้มีดราม่า
คอนโดนั้นอยู่แถว XX ย่านพลุกพล่านในเมืองกรุง เกรนตกใจมากเมื่อรุจแสดงตัวตอนกำลังเข้าอาคาร
รุจต้องอธิบายยกใหญ่ เหวี่ยงๆ ไปเรื่อย
“แกกับเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กนะเว้ย มีปัญหาอะไรอย่าบิดบังสิ ช่วยกันหาทางออก”
แต่ใบหน้าเย็นชา ดวงตาเหม่อลอยของเกรนทำให้รุจหวั่นๆ ซะงั้น เกรนตอบว่า
“ก็เพราะเป็นเพื่อนกันนะสิ ถึงไม่บอก กลับไปเหอะ... ขอร้อง”
รุจจึงบอกว่าแม่ของเกรนเป็นห่วง วานให้มาดู แล้วนี่อะไรทำไมต้องโกหกแม่ว่าอยู่แถว XX
บุคลิกของเกรนช่วงเย็นว่าแปลก ช่วงค่ำยิ่งแปลกว่า ดูเย็นชา เลื่อนลอย ไร้ชีวิตชีวา สายตาที่จ้องทำให้รุจรู้สึกแปลกๆ
“ไม่สนเว้ย ขอขึ้นไปดูหน่อย อย่างแกไม่ใช่สเปคเราหรอกไม่ต้องกลัว”
เกรนหันหลังเดินนำเข้าไปในตึก “ดูเสร็จก็รีบกลับละกัน”
ตลอดทางหลังตั้งแต่เดินผ่านล็อบบี้ไปจนเข้าลิฟต์ รุจรู้สึกใจหวิวๆ เหมือนว่าความร่าเริง ความมั่นใจ มันหายไปซะดื้อๆ
มองที่แขนทั้งสองข้าง ไรขนยิบๆ ลุกชู ใจอยากจะชวนเพื่อนคุยทำลายความเงียบ
แต่สมองดันเบลอคิดอะไรไม่ออกจนเสียงลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 15 กริ๊ง...
เกรนเดินนำไปตามทางเดินยาวสลัวจนถึงห้องหัวมุม ไขกุญแจและเปิดไฟ เมื่อเข้าไปด้านในรุจแปลกใจมาก
ไม่ใช่ว่ามีไอ้หนุ่มหน้ามนนั่งรออยู่ในห้อง แต่ที่แปลกคือทั้งห้องเป็นสีขาวโพลนไปหมด
ทั้งผนัง ตู้ เตียง โต๊ะ โซฟา ประตูล้วนเป็นสีขาว ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือมีจำนวนไฟเยอะมากๆ
ทั้งระย้าติดเพดานโคมตั้งโต๊ะ ดาวน์ไลท์ เรียงเป็นตับ สว่างจ้าไปหมด รุจถึงกับแปลกใจในรสนิยมเพื่อน
“ทำไมแกติดไฟเยอะขนาดนี้วะ ห้องก็เป็นสีขาว เวียนหัวว่ะ”
เจ้าของห้องวางกระเป๋า ก้มลงไปเปิดไฟตามหัวเตียงเพิ่มอีก “เราไม่ชอบให้มีเงา” เกรนพูดจบมีดังตี๊ดๆๆๆๆ... ตี๊ดๆๆๆๆ
มันเป็นเสียงจากนาฬิกาดิจิตัล รุจผงะตั้งแต่ยังไม่เข้าห้อง ผ่านไปไม่กี่ปี เพื่อนแปลกไปจริงๆ ไม่เข้าใจนัก
แต่ก็ทำตามที่ผู้ใหญ่ไหว้วานมา ก็เดินสำรวจบริเวณต่างๆ โมรุจ โคโกโร่ดูคร่าวๆ ก็พอรู้ว่าเกรนอยู่คนเดียว
ระหว่างนั้นก็ถามว่าถ้ากลัวทำไมไม่กลับไปอยู่บ้าน หรือหาเพื่อนมาอยู่ด้วยแชร์ค่าห้องแต่เกรนไม่ตอบ
แต่บอกว่าถ้าพอใจก็กลับไปได้แล้ว และฝากบอกแม่กับน้าด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรทั้งนั้น
รุจพยักหน้าเพราะตัวเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน เป็นเซ้นส์บางอย่าง แต่นึกไม่ออกว่าอะไรเป็นสาเหตุ รู้แต่ว่ารู้สึกเมื่อเข้ามาที่นี่
เกรนมาส่งเพื่อนถึงหน้าประตู รุจหันกลับถามตรงๆ เข้าประเด็นอีกครั้ง
“ถามจริง แกเป็นอะไรวะ เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้ เป็นโรคซึมเศร้ารึปะ... เปล่า”
เสียงรุจขาดไป เพราะสายตามองผ่านช่องว่างประมาณ 5 นิ้ว ระหว่างบานประตูกับขอบวงกบที่กำลังปิด
ทะลุห้องสตูดิโอไทป์ไปถึงระเบียงด้านนอกซึ่งมีกระจกฝ้ากั้นอยู่ รุจเห็นเงาลางๆ วนไปๆ กลับๆ จึงดันประตูไว้
แล้วผลักออกจนเกรนเซ... อิ๋บอ๋ายละไอ้เกรนเอ้ย นี่ซุกใครไว้ในห้องไม่ยอมบอก ถึงอะไรๆ จะเปลี่ยนไป
แต่แม่แกยังหัวโบราณเหมือนเดิม
“มีคนยืนแอบอยู่ตรงระเบียง เพื่อนเหรอ? รึว่าแฟน? เห้ยเมิงกะกรูเพื่อนกันนะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องปิดวะ”
รุจเริ่มขึ้น ผลักเกรนจนพ้นทางเดินตรงไปที่ระเบียง รู้สึกสงสัย คำถามเต็มหัว ชะรอยจะเป็นแฟน ทำไมไม่ออกมาทักทายให้เป็นกิจจะลักษณะ
แต่พอเลื่อนบานกระจกปรากฏว่านอกระเบียงมีแต่เสื้อผ้าเพื่อนสาวตากอยู่ รุจชะโงกจากระเบียงไปยังห้องข้างๆ เห็นว่าไกลสุดๆ
คงต้องเป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เท่านั้นล่ะถึงจะไต่ข้ามไปได้... สรุปคือตาฝาด? เห็นผ้าเป็นคน?? ใช่ไม่ใช่
หน้าแตกสิงานนี้ ขึ้นไปแล้วด้วย...
เกรนดึงเพื่อนกลับเข้าห้อง เลื่อนหน้าต่าง รูดม่านปิดฉึบ พูดเย็นชาเหมือนเดิม
“ก็บอกว่าอยู่คนเดียว แกตาฝาดแล้วล่ะ” เกรนบอกเบาๆ เอื้อมมือเปิดสวิทซ์ไฟตรงระเบียงอีกดวง
“เออๆ โทษที สงสัยตาฝาด งั้นเราไปก่อนนะ” รุจตั้งใจจะกลับจริงๆ ล่ะคราวนี้ ใจหวิวๆ พิกล
ถ้าหูไม่ดันไปได้ยินอะไรสักอย่างก็คงเผ่นแล้ว เสียงบางอย่างดังมาจากหลังม่าน... นอกระเบียง
ลักษณะเหมือนมีใครเอามือชื้นๆ หนืดๆ ถูกระจกเสียงดัง เอี๊ยดดดดด
เกรนนิ่งเงียบไป รุจก็เช่นกันแต่หนักกว่าคือขนตั้งแต่แขนจรดคอลุกพรึ่บแบบไม่ปี่มีขลุ่ย โฟกัสอะไรไม่ได้นอกจากผ้าม่าน
รุจรวบรวมความกล้าคว้าม่านเพื่อเปิดดูว่ามีอะไรกันแน่ แต่เกรนเอื้อมมือมาจับไว้ก่อนพร้อมตะโกนเสียงดัง
“อย่าเปิด!” หน้าที่เคยเรียบเฉยเริ่มซีด
รุจก็ไม่แพ้กัน เชี่ยตะโกนซะดังตกใจหมด เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เริ่มระแวง เค้นถามว่าทำไมไม่ให้เปิด
มีอะไรกันแน่ แต่ก่อนจะได้คำตอบก็ตกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาดิจิตัลดัง ตี๊ดๆๆๆๆ... ตี๊ดๆๆๆๆ
รุจซึ่งหงุดหงิดจึงบอกไปว่า ปิดนาฬิกาบ้านั่นสักทีได้มั้ย (วะ) เกรนเดินไปกดปิดสวิทช์อีกครั้ง แล้วรีบไล่เพื่อนกลับบ้าน...
แต่รุจก็ไม่ยอม
“เกรน... มีอะไรกันแน่วะ” รุจถามหน้าตาตื่น เกรนเหลือบไปมองนาฬิกาอีกครั้ง ตัวเลขเหลี่ยมแหลมสีฟ้าบอกเวลา 21.07 น.
เกรนนิ่งไปพักจึงฉุดมือเพื่อนชายเข้ามาในห้อง ปิดประตูล็อคกลอนแล้วบอกว่า
“โทรไปบอกที่บ้านว่าค้างบ้านเพื่อน” รุจได้ยินก็งง เกรนจึงย้ำอีกครั้งบอกให้โทรเร็วๆ
หนักเข้าจึงบอกว่าถ้าไม่โทรจะโทรให้นะ รุจจำใจโทรไป อยู่ๆ เกิดพิสวาสอะไรตรูขึ้นมาเนี่ย เมื่อกี้ไล่ยิกๆ
จากนั้นเกรนวิ่งไปเปิดไฟทุกดวงในห้อง เท่านั้นยังพิลึกไม่พอเธอปิดตู้เสื้อผ้า เอาผ้าคลุมทีวี
จากนั้นหันมาชี้นิ้วบอกว่าเอาโทรศัพท์คว่ำหน้าลงบนโต๊ะ??
“เราเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว ออกมาจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง นั่งนิ่งๆ ห้ามเปิดทีวี ห้ามเปิดผ้าม่าน ห้ามเล่นโทรศัพท์ห้ามทุกอย่าง
นั่งรอนิ่งๆ บนเตียง” เกรนเข้าห้องน้ำทิ้งให้รุจนั่งอึ้งหน้าร้อนผ่าวลืมความรู้สึกระแวงก่อนหน้าไปหมด คิดลึกไปไหนต่อไหน
สัปดนเสร็จสรรพ... เฮ้ยน้องเว้ยน้อย
ระหว่างกำลังฟุ้งซ่าน รุจได้ยินเสียงไลน์เข้าซ้อนๆ 2-3 ครั้ง ติ้งๆๆ จึงหยิบมือถือขึ้นมาดู...
น่าแปลกที่มีเสียงข้อความจากไลน์เข้า แต่จอยังดำอยู่ เสี้ยววินาทีก่อนนิ้วโป้งกดปุ่มโฮมให้เปิด (นึกภาพไอโฟน)
ตอนที่หน้าจอยังดำอยู่ รุจมองเงาสะท้อนตัวเองในโทรศัพท์ แทนที่จะเห็นเงาตัวเองเพียงคนเดียว
ดันมีผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหลัง เอียงคอไปมาซ้าย-ขวา ช้าๆ (เหมือนตุ๊กตาที่เค้าชอบตั้งไว้หน้ารถให้มันส่ายหัวไปมา แต่ช้ากว่า)
ขนที่เคยนอนนิ่งไปเมื่อก่อนหน้า ลุกพรึ่บ หนาววาบ หน้าชาขึ้นมาทันที
รุจหันกลับไปมอง แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่าว่างเปล่า พอกลับมามองในจอมือถือก็ไม่เห็นใคร สงสัยเพื่อนบิ้วมากจนตาฝาด
รุจวางโทรศัพท์ เผ่นดีกว่า บอกเพื่อนซะหน่อย ระหว่างที่กำลังตะโกนถามเพื่อนว่าเสร็จรึยัง
รุจได้ยินเสียง เอี๊ยดดดด ดังมาจากนอกระเบียงอีกครั้ง...
คือถ้าเป็นละครผู้ชมคงลุ้นว่าอย่าเปิดๆ แต่ชีวิตจริงคนเรามีความอยากรู้เป็นนิสัย รุจก็เป็นหนึ่งในนั้น
กลัวนะ แต่ก็ข้องใจมาตั้งแต่เมื่อกี้ล่ะ ก้าวช้าๆ ไปถึงม่าน เปิดพรึ่บ!
ภาพสโลว์โมชั่นที่ปรากฏทำเอาชายอกสามศอกแทบลมจับ รุจเห็นร่างๆ หนึ่งเป็นผู้หญิงคล้ายสวมชุดนอน
กระโดดมาจากไหนไม่รู้ น่าจะเป็นห้องบนๆ ลอยร่วงผ่านไปต่อหน้าต่อตา ชนิดฟูลเอชดีไม่มีฝาดแน่ๆ
รุจร้องลั่น “เฮ้ย!” เสียงดังจนเกรนรีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ยังไม่ได้สวมกางเกง มีแค่เสื้อชายยาวๆคลุม
“เฮ้ยเกรนมีคนโดดตึก!” รุจตะโกนถลาออกไปเกาะระเบียง ไม่ต่ำกว่าชั้น 15 ความหวังว่าจะรอดคือศูนย์ดีๆ นี่เอง
แต่นั่นล่ะ พอกวาดสายตาไปถึงพื้นล่าง ถึงรู้ว่าบางอย่างผิดปกติ... ผิดปกติมากๆ เมื่อไม่เห็นใครร่างใครสักคน
“อะไรวะ เราเห็นคนกระโดดลงไปจริงๆ นะเว้ย ร้อยเปอร์เซ็น”
ไม่ฝาดแน่ๆ รุจคิด แหงนมองล่างมองบน ซ้ายขวา แต่ไม่มีเงาใครสักคน ใจเต้นตึกๆ ด้วยความตกใจ...
ก็ควรตกใจมั้ยล่ะ? คนร่วงไปต่อหน้าแล้วหายไปซะงั้น หันกลับไปหวังจะอธิบาย กลับเผชิญสีหน้าเย็นชาของเพื่อนสาว
พร้อมกับมือที่ยื่นออกมา รุจคิดถึงหนังไทยสักเรื่องที่ชอบหักมุมไปมาชื่อ 4 แพร่ง 5 แพร่งอะไรสักอย่าง...
หรือว่าตั้งแต่เย็น กรูอยู่กับผีวะ!!?
กำลังจะถีบ แต่มือเกรนก็มาถึงตัวก่อน ไม่ได้บีบที่คอแต่ปิดที่ตา
“ห้ามลืมตาแล้วเดินตามเข้ามาในห้อง” เกรนพูดเบาๆ และดึงเพื่อนให้ตามเข้าไป แล้วผลักรุจลงบนโซฟาบอกให้รอแป๊บ
จะเข้าไปใส่เสื้อผ้าก่อน เมื่อออกมาอีกครั้งนั่งลงตรงหน้าเพื่อนสมัยเด็ก และเริ่มเล่าในสิ่งแปลกสุดเท่าที่รุจเคยได้ยิน
เกรนถามว่าเห็นคนตกตึกไปใช่มั้ย รุจพยักหน้า
“เงาที่เห็น น่าจะเป็นผู้หญิงชื่อแพร เธอตายไปนานแล้ว เราเองนั่นล่ะมีส่วนทำให้เธอตาย”
รุจได้ยินก็เหว๋อรับทาน อะไรวะ ไม่มีคำนำเกริ่นเลยรึ วาจาพิกลพิการ ฟังไม่รู้ความ โผล่มาเป็นเนื้อเรื่องเลยจะเข้าใจมั้ยเนี่ย?
แต่จะไม่เชื่อเลยก็ทำใจยากอยู่ เพราะเพิ่งเห็นแบบฟูลเอชดีไปแหมบๆ
เกรนเล่าว่าเมื่อปีก่อน มีรุ่นพี่สมัยเรียนชื่อต้องเข้ามาจีบ บอกว่าโสดเลยตกลงคบกัน มารู้ทีหลังว่าเขามีแฟนแต่เลิกกันแล้ว
ชื่อแพร เคยเจออยู่ 3-4 ครั้ง ครั้งแรกๆ มาขอให้เลิกกับพี่ต้อง แต่เกรนก็ไม่เลิก ช่วงหลังๆ เธอจึงมักมาดักยืนรอหน้าที่ทำงานตอนเย็นๆ
โดยจะยืนจ้องหน้านิ่งๆ เกรนกลัวมากจึงไปคุยกับพี่ต้อง ไม่รู้ว่าไปเคลียร์กันอีท่าไหนแต่แพรก็หายไป มารู้ตอนหลังว่าตายไปแล้ว
"เธอกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ตำรวจบอกว่าเสียชีวิตประมาณสามทุ่มสิบห้า..."
รุจหันขวับไปมองนาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบสามทุ่มกว่า (เวลาเดียวกับตอนนี้เลย ระวังนะ)
แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เกรนจึงเล่าต่อ หลังจากนั้นมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ มักเห็นเงาคนแปลกๆ อยู่ตามมุมมืดๆ ทึบแสง
เช่น ใต้เตียง เงามืดหลังประตู หรือนอกหน้าต่าง ในที่สุดมีอยู่คืนหนึ่งนอนดูทีวี สักสามทุ่มกว่าช่วงคั่นโฆษณา
ทีวีจะมืดไปแป๊บหนึ่ง เห็นเงาผู้หญิงยืนสะท้อนอยู่ในทีวี คิดว่าตาฝาด แต่คืนนั้นทั้งคืนแทบไม่ได้นอน
ได้ยินเสียงแปลกๆ ตลอด ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงเหมือนคนเอามือไปลูบไปถูที่ต่างๆ
มาอีกครั้งตอนอยู่คอนโดเก่าที่แม่เกรนคิดว่ายังอยู่ที่นั่น คืนนั้นพี่ต้องแวะมา นั่งคุยกันอยู่พี่ต้องได้ยินเสียงเอี๊ยดๆ ตรงกระจก
(แบบเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า) ช่วงกลางคืนสามทุ่มกว่า พอเดินไปใกล้ๆ ก็เห็นใครไม่รู้กระโดดลงมาจากห้องชั้นบน
เหมือนที่รุจเห็นเมื่อกี้นั่นล่ะ
เออะ... รุจกลืนน้ำลายลงคอ
เกรนไม่สบายใจจึงปรึกษาพี่ต้องพากันไปหาพระ ท่านก็ไม่แนะนำอะไรมาก บอกให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายบ่อยๆ อย่าให้ขาด
ทุกวันยิ่งดี แต่ไม่บอกอะไรอีกเลย บอกแค่ว่าที่เหลือก็แล้วแต่บุญกรรม แต่แนะนำได้ว่าให้ไปใครคนหนึ่งแทน
เป็นคนทรง ขากลับแวะไปหาคนทรงคนนั้น ทันทีที่เห็นเขาบอกว่ามีวิญญาณผู้หญิงคนหนึ่งตามอยู่ วนเวียนอยู่รอบตัว เธอแค้นมาก
มักปรากฏในอีกมิติ และย้ำนักหนาว่าระวังตัวให้ดี มันก่ะเอาถึงตาย
จากนั้นแนะนำต่อว่า วิญญาณดวงนี้เขาอยากจะถูกเจอ จะพยายามปรากฏให้เห็น แต่ก็เฉพาะในมิติที่ทำได้
และสุดท้ายบอกอีกว่า หากเห็นวิญญาณดวงนี้กับตาครบ 3 ครั้ง อาจถึงตาย ถึงตอนนี้คงต้องขึ้นอยู่กับบุญกรรมแล้ว
ช่วยอะไรไม่ได้ ที่เหลือก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปมากๆ อาจผ่อนหนักเป็นเบา
เออะ... รุจอ้าปากค้างอีกรอบ
รุจพยายามบอกว่าหมอดูคู่หมอเดา เชื่อไม่ได้ เกรนจึงเล่าต่อว่าตอนแรกก็คิดยังงั้นพี่ต้องก็ไม่เชื่อ ปรากฏว่า 2-3 วันต่อมา
พี่เขาเริ่มมีอาการผิดปกติ เพ้อว่าเห็นแพรสะท้อนตามที่ต่างๆ เช่น ทีวี กระจกทุกชนิด แม้กระทั่งมือถือ!? ไม่กี่วันต่อจากนั้น
พี่ต้องก็เสียชีวิตที่คอนโด หัวใจวาย...
งงมากเพราะปกติไม่เคยมีอาการ ที่บ้านพี่ต้องก็แปลกใจ สุดท้ายจึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังมันก็หาว่าบ้าบ้าง
แซวกลับว่าสมน้ำหน้าอยากไปแย่งแฟนชาวบ้าน บางคนเชื่อและกลัวมากจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ก็มี
จากสาวป๊อปปูล่า กลายเป็นคนไม่มีเพื่อน อยู่ตัวคนเดียว เกรนพูดจบก็ฟุบหน้ากับฝ่ามือ รุจอึ้งทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
สักพักเกรนเล่าต่อว่า จากนั้นก็ย้ายที่อยู่อีกครั้งหวังว่าจะไม่เจออะไรแบบนี้อีก คืนแรกที่ย้ายเข้าไปอยู่คอนโดก่อนหน้าที่นี่
นึกว่าจะไม่เจออะไร ปรากฏว่าอาบน้ำเสร็จสองทุ่ม ทำนู้นทำนี่ถึงสามทุ่มเศษเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
เห็นเงาแพรชะโงกหัวเกือบชนกันอยู่ตรงหน้า คราวนี้แน่นอนเลยว่าเป็นเรื่องจริง เกรนเพิ่งรู้ว่าตลอดวันจะไม่มีสิ่งปกติ
ยกเว้นหลังสามทุ่มสิบห้าอันเป็นเวลาเสียชีวิตของแพร...
สุดท้ายย้ายมาอยู่ที่นี่ ติดไฟสว่างๆ ทั้งห้องมันซะเลย ไม่อยากให้มีเงา...
เฉพาะช่วงกลางคืนของอะไรที่ทำให้เกิดเงาสะท้อนเกรนหาอะไรไปปิดจนหมด กระจกห้องน้ำก็ถอดออก
กระจกบานเลื่อนก็ติดฟิล์มฝ้ากับผ้าม่าน แม้กระทั่งหลังสามทุ่มโทรศัพท์ก็ไม่เล่น ขอเปลี่ยนเวลาทำงาน
เพื่อจะได้กลับเร็วขึ้นเผื่อฉุกเฉินจะได้ไม่ดึก จะลาออกก็ไม่ได้ เพราะต้องผ่อนคอนโดที่ซื้อไว้ เพื่อนที่ทำงานก็หาว่าใช้เส้น
มีลับลมคมในอะไรกับหัวหน้ารึเปล่า ทุกวันนี้เครียดแสนเครียด อยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดก็สงสารแม่
อีกอย่าง ที่ทนอยู่ก็เพราะคนทรงบอกว่าวิญญาณนั้นจะไปสู่ภพอื่นเมื่อครบรอบ 1 ปีที่เธอเสียชีวิต
หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาอย่าให้ขาด เกรนก็ทำเกือบทุกวัน นี่ก็ผ่านมา 11 เดือนกับอีก 25 วันแล้ว
นี่คงเป็นสาเหตุที่เด็กสาวมีแววสวยจัด กลับมาเป็นคนท่าทางอมโรคเช่นทุกวันนี้ เกือบ 1 ปีที่ผ่านมาใครจะรู้ว่าเธอเจออะไรมาบ้าง
เกรนยิ้มแห้งๆ เหมือนคนไม่มีจิตใจดูๆ ไปก็หลอนชอบกล
“ชีวิตกลางวันเราก็ปกตินะ แต่กลางคืนหลังสามทุ่มสิบห้าเป็นต้นไปจะไม่ดูละคร ไม่เล่นมือถือ เข้านอนแต่หัวค่ำ
เพราะแบบนี้ไงเราถึงไม่อยากบอกแก และไม่อยากให้ขึ้นมาบนห้องตอนกลางคืน”….
อพิโธ่! แล้วทำไมออเจ้าไม่บอกพี่กงๆ !? รุจคิดในใจ แต่ก็รู้ล่ะว่าถึงเกรนเล่าให้ฟังก็คงไม่เชื่ออยู่ดี ถ้าไม่เห็นด้วยตา
และตอนนี้จะบอกว่าสงสารเพื่อนก็สงสาร แต่หากเรื่องที่เกรนพูดเป็นความจริง มีอย่างอื่นที่ต้องกังวลกว่า
“แกบอกว่าหากเห็นวิญญาณผู้หญิงคนนั้นครบสามครั้งจะซวยเช็ดใช่มั้ย?” รุจถามหวาดๆ
เกรนพยักหน้าแล้วบอกว่าตัวเองเห็นมาแล้ว 2 ครั้ง พอเกรนเห็นเพื่อนเงียบไปเริ่มผิดสังเกตจึงถามว่าเป็นอะไร
รุจค่อยๆ ชู 2 นิ้ว ไม่ใช่หมายถึงสู้ๆ แต่บอกว่าเห็น 2 ครั้งแล้ว หนึ่งคือในกระจก สองคือในโทรศัพท์
ซวยเช็ด!!
เกรนหน้าซีด บอกว่าห้ามทำไมไม่เชื่อ คราวนี้จะทำยังไง ใครจะรู้ว่าบางทีวิญญาณแพรอาจจะตามรุจไปอีกคน
มันอาจตามไปที่บ้าน ที่ทำงาน ไปทุกที่ เท่านั้นไม่พอหากคนอื่นเห็นต่อจะเป็นยังไง
รุจนิ่งคิดเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จะตัดใจมองเงาสะท้อนในกระจกก็ไม่กล้า เกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็แย่สิ
ที่สำคัญจะเอาครอบครัวมาเสี่ยงก็ไม่ได้ ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเพื่อนวัยเด็กซะอย่างนั้นบอกได้คำเดียวว่า... ซวยเช็ด!!
สุดท้ายหวยออกที่ว่า อีก 5 วันที่เหลือจะย้ายมาอยู่กับเกรนที่คอนโดแห่งนี้
เกรนจำใจรับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่อย่างเสียมิได้ และบอกว่ารุจต้องตามทำที่บอกอย่างเคร่งครัด
ไม่อย่างนั้นอาจจะพาให้ซวยกันหมดจนถึงพ่อแม่พี่น้อง หลังจากนั้นทั้งสองคนก็นั่งจ้องหน้ากันเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
ห้องสีขาวสว่างจ้า ดูน่ากลัวขึ้นมาซะอย่างนั้น
และคืนนั้นทำให้รุจรู้ว่าเพราะอะไรเกรนถึงมีสภาพแบบนั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็มานอน
เตียงก็เล็กนิดเดียว นอนได้คนเดียว รุจจึงหอบผ้าห่มนอนบนพื้น พลิกไปพลิกมา มองเห็นพื้นใต้ตู้ดำๆ
สายตาไม่เห็นอะไรหรอก แต่ความรู้สึกมันบอกว่ามีใครนอนขดอยู่ใต้ตู้แล้วมองจ้องกลับ
เชี่ย... นอนพื้นไม่ไหวแล้ววุ้ย รุจลุกขึ้นมาสวดมนต์ กราบหมอน ขึ้นไปนอนบนโซฟาแคบๆ
ตลอดทั้งคืนรุจแทบไม่ได้หลับเลย พอกำลังเคลิ้มๆ ได้ยินเสียงเอี๊ยดดด ดังมาจากระเบียง เอามือปิดหู
เสียงไกลๆ ไม่ได้ยิน ได้ยินเสียงใกล้เข้ามาอีก เหมือนใครเอาเล็บขูดกับปูนเสียงดัง แซกกกก
ครั้นพอหลับตา ใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในความมืด สะดุ้งตื่นทุกที
ไฟก็แยงตา มีเสียงตลอดคืน สรุปคืนแรกรุจไม่ได้นอนเลยสักงีบ...
รุ่งขึ้นรุจกลับไปบ้าน บอกว่าจะไปทำงานต่างจังหวัดสักสัปดาห์ ก่อนหอบผ้าผ่อนไปออฟฟิศ ตลอดทั้งวันรุจกระวนกระวายใจ
เฝ้ามองนาฬิกาตลอดว่าเมื่อไหร่จะเลิกงาน พอ 6 โมงปุ๊บรีบเด้งออกจากที่ทำงาน
พอเดินไปตามถนนรู้เลยว่าหากสามทุ่มยังไม่ถึงบ้านคงไม่มีทางเลี่ยงเงาสะท้อนตามที่ต่างๆ ได้แน่ มันมีอยู่รอบตัว
วันแรกกว่าจะเดินทางมาถึงคอนโดก็ปาไปเกือบ 2 ทุ่ม รุจรีบขึ้นห้องแทบไม่ทัน
เมื่อกลับมาถึงต้องปฏิบัติตามที่เกรนบอกทุกอย่าง ต้องรีบอาบน้ำ คุยธุระให้เสร็จ จากนั้นมานั่งกินข้าวเงียบๆ กันสองคน
ใต้แสงไฟสว่างโร่จนอึดอัด บางทีก็คุยกันถึงเรื่องสมัยเด็ก คุยถึงอนาคต ดูทีวีบ้าง พอกำลังสนุก
เสียงนาฬิกาเตือนตอน 2 ทุ่มดังขึ้น อารมณ์สนุกหายวับไปกับตา และพอสามทุ่มนั่นหมายถึงต้องเข้านอน
(อย่างที่เกริ่นในตอนแรกอารมณ์คล้ายๆ เรื่อง I Am Legend)
รุจต้องช่วยปิดกระจก ปิดม่าน คว่ำมือถือไว้ห่างๆ ตัว แม้จะอยู่กับสาว (ที่เคย) สวย
แต่ไม่มีอารมณ์ราคะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความกลัว กลัวว่าคืนนี้จะเจออะไรหรือไม่
ก่อนนอนรุจเหลือบตาไปมองนาฬิกาดิจิตอล เป็นเวลา 21.15 น.
4 วันผ่านไป เพื่อนที่ทำงานเริ่มทักว่าทำไมหน้าตาดูหมองๆ รุจมองตัวเองในกระจกแทบไม่อยากเชื่อ ขอบตาคล้ำ หน้าโทรม
แค่ 4 วันเองนะเมิง รุจบอกตัวเองในกระจก เพราะจ้องได้แค่กลางวัน กลางคืนไม่กล้า กลัวมีคนมายืนข้างๆ
ขณะกำลังเครียดไลน์ก็เด้งขึ้นมา
Grain : ทนหน่อยนะแก อีกวันเดียว
Ruji : เออ แม่มเครียดจะแย่
Ruji : ต้องมาพะวง
Ruji : กับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงไม่จริง
Ruji : จะลองของ ก็ไม่กล้า
Ruji : หวังว่าคืนนี้ทุกอย่างจบอย่างที่แกบอกนะเว้ย
รุจพิมพ์ไลน์ตอบ (ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบพิมพ์สั้นๆ หลายๆ ข้อความ แทนที่ยาวๆ ทีเดียว)
วันนั้นรุจออกจากออฟฟิศตั้งแต่ 5 โมง รีบเผ่นกลับห้อง แต่เกรนก็ยังกลับมาก่อนอยู่ดี ทั้งสองซื้อของกินมาฉลอง
ความกังวลตลอดอาทิตย์กำลังจบลง ส่วนเกรนหนักกว่าเกือบปี นั่งคุยกันอยู่สักพัก รุจจึงบอกว่าจะไปซื้อของกินมาเพิ่ม
หันไปมองนาฬิกา 20.09 น.เหลือเป็นชั่วโมงถมถืด รอแป๊บ คว้าเงินไป 200.- รีบลงไปซื้อที่ 7/11 เบียร์สักป๋องละกัน
เพื่อความปลอดภัย ซื้อเสร็จก็รีบกลับขึ้นห้องทันที เรื่องไรจะลีลา ต้องเซฟตัวเองไว้ก่อนอีกวันเดียว
เข้าลิฟท์กดปั๊บ ชั้น 15 ลิฟท์ขึ้นช้าๆ 1...2.. 3... 9 แล้วมันก็ค้างที่เลข 9 ในลิฟท์ก็มืดพรึ่บ!
กระป๋องเบียร์หล่นจากมือดัง แก๊ง ซวยเช็ด! รุจหน้าเสีย... เชี่ย!! มาค้างอะไรวันนี้วะ!?
แถมลงมาตัวเปล่าอีกต่างหากโทรศัพท์ก็ไม่มี นาฬิกาก็ถอดไว้ด้านบน นี่มันกี่โมงกี่ยามเนี่ย มืดก็มืด
มือก็กดปุ่มรัวยิกๆ ตะโกนใส่โฟนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา รุจตะโกนเสียงดังจนเหนื่อยลิฟท์ก็ยังนิ่ง
ไม่มีสัญญาณความช่วยเหลือ รู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวกอีกต่างหาก
ในความมืด รุจนั่งลงค่อยๆ คิด ตอนลงมาซื้อของกี่โมง (วะ) น่าจะประมาณ 20.10 น. ไปกลับ 7/11 ไม่เกิน 15 นาที
รวมเป็นเท่าไหร่ (วะ) โอ้ย คิดไม่ออก ตีไปสองทุ่มครึ่งละกัน แสดงว่าตอนนี้ประมาณไม่เกิน 20.40 น.
เหลือครึ่งชั่วโมงก็สามทุ่มสิบห้านี่หว่า!? ไม่น่าลงมาเลย ซวยแล้วมั้ยล่ะ ทำยังไงดีวะลองงัดประตูดีมั้ย ไม่ได้ๆ เหมือนเคยอ่านจากในพันทิป
ว่าติดลิฟท์ห้ามงัดเอง ให้รอความช่วยเหลือ แต่ที่แน่ๆ ประตูลิฟท์กับผนังด้านหลังเป็นสแตนเลสเงาวับเชียวนะ (เมิง)
ในความกระสับกระส่ายถึงแม้รุจจะบอกตัวเองว่าต้องรอด ถึงกับนั่งนับเลขเป็นวินาที นับไปได้ 900 กว่า วิฯ จึงนั่งลงที่พื้นก้มหน้าซุกเข่า
เผื่อเหลือเผื่อขาด นับผิดไปงานจะเข้า แต่ความเป็นจริงมันน่ากลัวกว่าเยอะ เพราะทั้งมืด อยู่ตัวคนเดียว ติดต่อใครก็ไม่ได้
และไม่แน่ อาจจะมีใครบางคนยืนส่ายศีรษะไปมาอยู่ใกล้ๆ แค่คืบ 2 คืบก็ได้
คิดแง่ลบจบ ใจก็เต้นดังกว่ากลองสะบัดชัย...
ตัดฉับไปอีกฝั่ง... ย้อนกลับไปเมื่อ 20.40 น. เกรนซึ่งนั่งรอในห้องเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เมื่อเพื่อนยังไม่กลับขึ้นมาสักที
แค่ไปซื้อของทำไมเหลวไหลแบบนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องล้อเล่นรึไง ผ่านมาได้ 3-4 วันพอไม่เจออะไรคงย่ามใจสินะ
ระหว่างรอจึงทำหน้าที่อย่างเคย คลุมทีวี ปิดกระจก ปิดม่าน
และยิ่งร้อนรนขึ้นเมื่อเวลา 20.50 น. ท่าไม่ดีแล้วล่ะความรู้สึกมันบอก เกรนรีบออกมาจากห้อง หันซ้าย – ขวาอยู่นาน
เพื่อนตัวดีก็ไม่โผล่สักที จะลงลิฟท์ไปตามข้างล่างปรากฏว่าค้างทั้งสองตัว ตัวหนึ่งค้างที่ชั้น 9 อีกตัวชั้น 12A
รุจอยู่ตัวไหน หรือว่ายังอยู่ 7/11 ไม่ช่วยไม่พอ มาเป็นภาระอีกอีตานี่ เกรนวิ่งกลับไปโทรเข้าฝ่ายอาคารบอกว่าลิฟท์ค้าง
ทางนั้นก็แจ้งมาว่าทราบเรื่องแล้ว เมื่อเกรนถามว่าเห็นผู้ชายลักษณะท่าทางแบบนี้ในลิฟท์มั้ย จนท. บอกว่าจากกล้อง
เห็นรุจในอยู่ลิฟท์ที่ค้างอยู่ชั้น 9 และบอกต่อว่า ช่างกำลังเดินทางมา น่าจะถึงภายในครึ่งชั่วโมง
เกรนหันไปมองนาฬิกา ตอนนั้น 20.58 น. รอช่างไม่ทันแล้ว...
เกรนรีบวิ่งออกไปจากห้อง...
ตัดมาฝั่งรุจ ขนทั่วร่างกลับมาลุกอีกครั้งหลังจากไม่ลุกมาหลายวัน เป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างอยู่ใกล้ๆ เริ่มจากได้ยินเสียง
เหมือนใครเอาเล็บขูดไปรอบลิฟท์ เสียงดัง ครืดด... ครืดด...
ช่างเหรอ? ช่างมาเหรอ? ไม่ใช่ชัวร์ ความรู้สึกบอกว่าไม่ใช่ช่าง เสียงไม่ได้ดังมาจากข้างนอก มันดังอยู่ข้างในนี้ล่ะ!?
แล้วอะไรเสียล่ะ ตอนขึ้นก็ขึ้นมาคนเดียว แสดงว่า...
รุจกัดฟันเอามือปิดหู หลับตาซุกเข่า แม้จะปิดเกือบทุกโสตประสาท แต่หูรุจก็ยังได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ไม่ใช่เสียงขูดขีดอะไรแล้ว แต่เป็นเสียงเย็นๆ ดังก้องในหู
"เธอ... เธอ... ดูนี่สิ"
คราวนี้ขนทั้งตัวลุกซู่ ผมยังดูเหมือนจะตั้งได้ รุจขุดทุกบทสวดเท่าที่จำได้ในชีวิต ปนกันมั่วไปหมด แต่ที่จำได้ว่าพูดถูก
คือสัญญาว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ อย่าทำร้ายกันเลย เวลาแค่ไม่กี่นาทีดูเหมือนนานนนนนนนน
สักครู่หลังจากนั้นจึงมีความรู้สึกว่าไฟติด ลิฟท์เคลื่อนที่อีกครั้ง รุจไม่กล้ามองไปรอบๆ ตัว มองแค่พื้น
จนประตูลิฟต์เปิดเสียงดัง กริ๊ง จึงได้ยินเสียงเกรนดังว่า
“อย่าลืมตา” รุจได้ยินแทบอยากกระโดดกอดเพื่อน เกรนเอื้อมมือมาจับแล้วจูงรุจออกจากลิฟท์
ทั้งสองเดินต้วมเตี้ยมช้าๆ รุจถามว่ากี่โมง เกรนตอบว่าสามทุ่มแล้ว รุจเล่าเรื่องที่เจอในลิฟท์ให้เกรนฟัง
เกรนบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว...
เนื่องจากไม่แน่ใจว่าลิฟท์ใช้ได้ปกติหรือไม่ ทั้งสองจึงเลือกเดินขึ้นบันไดแทน เลี้ยวไปมาตามทางถึงห้อง
เปิดประตูพากันเข้าไป รุจถามว่าเอามือออกได้รึยัง เกรนบอกว่าอย่าพึ่งเดี๋ยวต้องไปปิดม่านให้เรียบร้อย
ให้รุจค่อยๆ เดิมตามมาช้าๆ จะพาไปนั่งรอที่เตียงก่อน รุจก้าวตามไป 1 ก้าว 2 ก้าว กำลังจะก้าวที่ 3
ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่น
“หยุด!” รุจชะงักเท้ากึก ทำไมเพื่อนต้องตะโกน แต่ที่แปลกคือเสียงดังมาจากด้านหลัง!?
“ถอยกลับมา!” เสียงเกรนดังอีกครั้ง
อะไรวะ รุจนึกในใจได้ แค่นี้ทำไมต้องตะโกนวะ อยู่กัน 2 คน เดี๋ยวข้างห้องก็ด่าเอาหรอก แต่พอคิดแค่นั้นก็หงายหลังล้มลง
ก้นกระแทกพื้นปูน เมื่อลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นคือท้องฟ้ากับดวงดาว? ข้างๆ กันเกรนนอนหอบอยู่ เมื่อลุกขึ้นนั่งก็แทบเป็นลม
เมื่อมองไปรอบตัวปรากฏว่าตนเองกับเกรนนั่งอยู่บนดาดฟ้า ห่างจากขอบตึกแค่ก้าวเดียว
รุจหน้าซีดหันไปถาม
“อะไรวะเนี่ย!? แกพาเราขึ้นมาทำอะไรบนนี้?”
เกรนหอบอยู่นาน แล้วสวนกลับ “เราไม่ได้พามา แกเดินขึ้นมาเอง!”
รุจยิ่งหน้าเสีย คืออะไร... เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ก็เมื่อกี้เกรนนำทางมานี่หว่า หรือว่า?
แล้วก็แทบจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที หรือว่าคนที่จูงเขาขึ้นมาไม่ใช่เกรน แต่เป็นคนอื่น...!!? เชี่ย จริงเหรอเนี่ย
รุจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น บอกว่าเกรนไปรับถึงลิฟท์ เดินๆ ไปสักพักบอกว่าขึ้นบันได
เพราะลิฟท์เสียก็เดินตามมา ที่แท้เดินขึ้นบันไดมาบนดาดฟ้า...
เกรนเล่าบ้าง พอออกมาจากห้องก็วิ่งไปรอลิฟต์ชั้น 9 แต่อยู่ๆ มันก็เคลื่อนขึ้นไปชั้นบนสุด ก็รีบวิ่งตามขึ้นมา
ขึ้นมาถึงไม่เจอใคร แต่ได้ยินเสียงเปิดประตูดาดฟ้า จึงรีบวิ่งตามขึ้นมา และเห็นรุจกำลังเดินไปขอบตึก
รุจได้ยินก็พูดอะไรไม่ออกใจเต้นตึกตัก คิดในใจ มันก่ะเอาตายจริงๆ ต้องพูดว่าจวนเจียนสุดๆ
หากเกรนมาช้ากว่านี้อีกวินาทีเดียว คงเดินพลัดตกตึกแน่ๆ
นั่งนิ่งอยู่นานถึงถามว่ากี่โมง เกรนตอบว่าสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ไม่รู้กี่นาทีจะเอายังไง รุจถามกลับว่าตอนมามายังไง
เกรนบอกว่าตกใจเลยมองแต่พื้นตลอด รุจคิดแป๊บจึงบอกว่า
“นั่งมันบนนี้ถึงเช้าเลยล่ะกัน”
ทั้งสองก็นั่งพิงกันบนดาดฟ้า เมื่อตื่นมาอีกครั้งแสงแดดก็สว่างจ้าพอดี ทั้งสองแต่งตัวเสร็จก็ว่าจะไปหาคนทรง
แต่เกรนชวนรุจไปที่หนึ่งก่อน ฝ่ายนิติฯ ขอเข้าไปดูกล้องวงจรปิด ขอดูภาพเหตุการณ์เมื่อคืนช่วง 21.15 น.
ทุกคนดูภาพก็ได้แต่ขนลุก เพราะในกล้องวีดีโอหลังจากลิฟท์ทำงาน รุจเดินออกมาจากลิฟท์คนเดียว
มือข้างหนึ่งปิดที่ตา แต่อีกข้างยื่นไปข้างหน้า เหมือนมีคนฉุดให้เดิน รุจพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้นทั้งสองตรงดิ่งไปหาคนทรงทันที เมื่อเข้าไปถึงคนทรงคนนั้นยิ้มให้และบอกว่าเขาไปแล้ว ทั้งสองคนได้ยินก็ดีใจ
โดยเฉพาะเกรน หนึ่งปีแห่งความกลัว 365 วันแห่งความสะพรึงสิ้นสุดลงซะที
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่พบเหตุการณ์แปลกๆ อีกเลย เกรนย้ายออกจากคอนโดนั้น ส่วนคอนโด XX ที่ซื้อไว้ก็ขายต่อไป
แล้วกลับไปอยู่กับแม่และน้า แม้รุจจะไม่พอใจนักเพราะเหตุการณ์สุดท้ายเกือบทำเอาชีวิตไม่รอด
แต่ก็เลือกที่จะไม่จองเวรกัน หากมีโอกาสเขากับเกรนก็มักจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แพรอยู่เสมอ...
เรื่องก็จบลงที่ตรงนี้ ขอบคุณที่ติดตาม ฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับ
Post a Comment