จะกี่ชาติ... เขาจะรอ
เรื่อง "จะกี่ชาติ... เขาจะรอ" จากกระทู้พันทิปเล่าโดยเจ้าชายนักเล่าคุณ ลอยชาย หรือในนามสมาชิก LoyChinE เรื่องดังกล่าวจากชื่อแล้วก็รู้สึกได้ถึงความเศร้า จนทำให้หลายๆท่านต้องน้ำตาไหล ประกอบกับการเล่าที่ทำให้ต้องติดตามอ่านจนจบ ขอบคุณเรื่องดีๆจากคุณลอยชาย ไว้ ฌ ที่นี้ด้วย
สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะมาเล่าในวันนี้จะเรียกว่าเป็น เรื่องผี ก็ได้ หรือจะเป็นเรื่องของความเชื่อก็คงจะได้เช่นกันเพราะทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ให้คนอ่านได้กระจ่างใจ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้จะเล่าในสองแง่มุมคือส่วนที่ผม ได้ฟัง โดยมีคนเล่ามาต่อหนึ่ง และสิ่งที่ผมได้ประสบเองอีกต่อหนึ่ง
และไม่ว่าเรื่องราวต่อไปนี้จะจริงเท็จหรือน่าเชื่อถือเพียงใดสำหรับใจของท่าน ผมขออนุญาตดวงวิญญาณและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ผมอาจมีการกล่าวอ้างถึงในครั้งนี้ ด้วยเจตนาดี ก่อนจะเข้าสู่เรื่องราว ผมขอเตือนไว้อีกครั้งว่า
‘เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และหากเรื่องราวเหล่านี้ กระทบใจท่านก็ขอเพียงอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น’
....................................................................................................
เรื่องนี้ผมคงต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผมมีเวลาว่างมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมยังแวะเวียนเข้าไปในวัดอยู่บ่อยครั้ง นอกจากจะนำเงินที่คนรอบข้างฝากมาทำบุญ และเงินที่ถูกยัดเยียดมาอย่างปฏิเสธไม่ได้หลังจากเอาตัวเองเข้าไปวุ่นวายในเรื่องต่างๆ แม้จะบอกจะปากเปื่อยว่า ‘ผมไม่รับเงิน’ แต่มันก็ฟังไม่ขึ้นเสียที
ผมไม่ได้มีวัดประจำที่ไป แต่เอาสะดวกเข้าว่าใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่น แต่ช่วงนั้นก็จะมีวัดหนึ่งที่ไปบ่อยกว่าที่อื่นเนื่องจากมันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย
วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมแวะไปไม่นานแต่พอดีวันนั้นผมได้เจอกับ พี่คนหนึ่ง อายุน่าจะ 40 ปลายๆเห็นจะได้ เธอนั่งอยู่ในวิหารของวัดกับหลวงพ่ออีกท่านหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ‘เธอคงมาปฏิบัติธรรม’
เธอในชุดขาวสะอาดท่าทางเรียบร้อยนั่งขัดสมาธิให้หลวงพ่อท่านแนะนำเรื่องการทำสมาธิ ผมที่เข้ามากราบพระประธานเฉยๆก็ได้แต่เลี่ยงๆออกไปอย่างเงียบๆไม่อยากรบกวนทั้งสองคน
และหลังจากนั้นอีกหลายครั้งที่ผมได้เจอกับเธอคนนี้ แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน หลายครั้งที่เจอกันอาจทำให้เกิดความคุ้นเคยจนเริ่มยิ้มทักทายกันบ้าง
‘โยม พอจะมีเวลาไหม มานั่งนี่หน่อย’
หลวงพ่อเรียกผมให้มานั่งใกล้ๆ ผมทำตามแต่โดยดีและแน่นอนว่าหลวงพ่อท่าน รู้ และแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ เธอคนนี้
พี่ณี ผมเรียกเธออย่างนั้น เธอมาที่วัดนี้ได้นานแล้วแต่เพิ่งจะได้เจอหลวงพ่อ ท่านเป็นพระธุดงถ์ผ่านมาจำวัดจึงเมตตาสั่งสอนผู้ที่จมอยู่ในความทุกข์จนเกิดจิตเมตตาเป็นห่วงว่า หลวงจากท่านจากไป เธอคนนี้จะพ้นทุกข์หรือยัง จึงอยากทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าพิศวงของเธอคนนี้ ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องเล่าที่ผมได้รับฟังมา และรวบรวมมาเล่าในแบบของผม อาจมีการขยายความบ้างเพื่อให้เห็นภาพ แต่ทั้งหมดคงต้องยกยอดให้พี่ณีผู้เป็นครูมานานทำให้การถ่ายทอดของเธอนั้น ไม่ต่างจากผมรับรู้มันด้วยตัวเอง
เรื่องมันเริ่มจากช่วงหนึ่งของชีวิตเธอ น่าจะเกือบ20ปีเห็นจะได้ บ้านเธอนั้นเป็นครอบครัวใหญ่มีญาติหลายสายที่ใกล้ชิดกันบ้างห่างกันไปบ้าง แต่ส่วนมากจะทำอาชีพเป็นชาวไร่ชาวนาเนื่องจากที่ดินมรดกที่มากพอจะเลี้ยงชีพให้อยู่สบายได้ ทำให้คนในแวดวงญาตินั้นไม่ขวนขวายจะมองหาอาชีพอื่น นอกจากตัวพี่ณี
ด้วยความชอบพี่ณีเลือกที่จะเรียนครูแม้ว่าคนรอบข้างจะไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาเคยชินกับวิถีชีวิตของตัวเองไปเสียแล้ว เธอใช้เวลาหลายปีในการเรียนตามหลักสูตร และอีกหลายปีสำหรับการวางรากฐานอาชีพของเธอ จนในที่สุดเธอก็ได้เป็น ข้าราชการ สมใจ และในสองสามปีต่อมาเธอก็สมารถย้ายกลับมาเป็นครูที่บ้านเกิดได้
แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มจากตรงนั้น จากวันที่ตัวเองได้กลับมาอยู่ที่บ้านโดยหวังว่าจะวางรกรากอย่างถาวร เธอกลายเป็นคนเดียวในวงศ์ตระกูลที่เป็นข้าราชการ ทำให้ญาติๆที่เคยกร่นด่าหันมามองเธอย่างภูมิใจ และให้เกียรติ
เวลาผ่านไปได้ไม่นานญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้จากไปโดยทิ้งบ้านหลังเดิมไว้ให้คนข้างหลังดูแล แต่แทนที่ทุกคนจะยื้อแย่งกันอย่างในละครกลับกลายเป็นว่า ไม่มีใครอยากได้ เพราะมันเก่าแล้ว แถมยังอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งไม่มีป่าสวนเหมือนอย่างบ้านอื่นๆ เพราะบ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านสำหรับ อยู่อาศัยก่อนจะมีเงินไปซื้อที่ดินทำกินกัน
และด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ‘เธอเป็นข้าราชการ ก็เอาไปดูแลกู้ง่าย ซ่อมง่าย’ แม้ว่าเธอเองจะพยายามปฏิเสธเพราะบ้านตัวเองก็มีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจะหนีจากภาระนี้ได้จนบ้านนี้กลายเป็นบ้านของเธอ โดยที่พ่อแม่ของเธอก็เห็นด้วย
‘เอาไปเถอะลูก ตอนนี้หนูก็อยู่กับพ่อแม่ เผื่อแต่งงานออกเรือนจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อบ้านใหม่’
เหตุผลของคนเป็นพ่อแม่ก็ดูจะฟังขึ้นสำหรับเธอ ทำให้เธอรับเอาไว้ แม้ว่าบ้านหลังนี้ใครๆต่างก็เคยมาแต่ก็ใช่ว่าจะบ่อย เธอเดินทางมาที่บ้านหลังนี้ด้วยความคิดที่ว่า ‘แค่มาดูความเรียบร้อย เดี๋ยวก็กลับ’
หลายปีตั้งแต่ที่เธอไปเรียนจนมีอาชีพทำให้เธอไม่ได้มาบ้านหลังนี้เลย เจ้าของเดิมก่อนนี้ก็ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลกับไปพักบ้านของคนที่เดินทางสะดวก เวลาไปเยี่ยมจึงมักจะเป็นโรงพยาบาลมากกว่า
เธอมองบ้านตรงหน้าที่ทางเข้าไม่สะดวกสำหรับรถยนต์เท่าไหร่นัก เวลาไม่กี่ปีก็สามารถทำให้บ้านที่เธอเคยมานอนเล่นตอนเด็กๆเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ
บ้านไม้กึ่งปูนตั้งอยู่ในที่ดินกว้างๆ ที่มีเพื่อนบ้านอยู่ไกลๆ ท่าน้ำที่หาได้ยากในสมัยนี้ยังทอดยาวลงไปยังแม่น้ำสายเล็กๆที่แยกตัวมาจากสายใหญ่ บ้านโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น เรือนใหญ่ ของคนสมัยก่อนตกทอดมาสู่ลูกหลาน ไม้ผุเปื่อยไปตามกาลเวลาทำให้ต่อบูรณะกันอยู่หลายครั้ง
แต่ด้วยความเคยชินกับความคิดถึงจึงทำให้ทุกคนยังคงสภาพเดิมของบ้านไว้เสียส่วนมาก ทรงบ้านยังดูเป็นเรือนไม้ ไม้เก่ายังอยู่เกือบค่อนหลัง มีปูนมาเสริมมาเติมในบางส่วน ไม้ใหม่ถูกสอดแทรกเข้าไปแทนไม้เก่าบางส่วนที่เกินจะซ่อม เว้นเสียแต่เรือนเล็กที่เคยมีให้เห็นเค้าลางในยามเด็ก ตอนนี้กลายเป็นโรงจอดรถคอนกรีตด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เกินจะซ่อม’
เธอชื่นชมบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน พี่ณีบอกกับผมว่า เธอรู้สึกดีอยากบอกไม่ถูก เธอประทับใจ และอยากอยู่ที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เธอตัดสินใจว่าจะลองมาอาศัยอยู่สักพักหนึ่งโดยบอกกับพ่อแม่ว่าจะได้มาดูว่าควรซ่อมอะไรบ้าง แม้จริงๆแล้วเธอแค่ อยากมาอยู่ที่นี่ เท่านั้น
แล้วก็เหมือนเป็นเรื่องตลกเมื่อความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามามันเปลี่ยนไปตั้งแต่คืนแรกที่ได้มานอนที่นี่
เธอเลือกนอนในห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่สภาพดีและมีพร้อมทั้งเครื่องปรับอากาศและทีวี ส่วนตัวเธอเป็นคนชอบทำบุญจึงไม่ลืมที่จะไหว้พระก่อนนอนเป็นประจำ
บ้านหลังนี้มีห้องพระแยกอยู่บนเรือนโดยต้องเดินผ่านโถงกลางบ้านที่มีไม้ยกสูงเล็กน้อยไว้เป็นที่นั่งกว้างๆ เธอกราบพระอย่างตั้งใจพร้อมจุดธูปถวาย ระหว่างที่เธอสวดมนต์อยู่นั้นเธอบอกว่าเธอรู้สึกได้ถึง สายตา ที่มองมายังเธอ และความรู้สึกเหมือนใครผ่านไปมาอยู่หลายครั้ง ‘สงสัยจะเป็นเจ้าของบ้านที่เพิ่งเสีย’ เธอปลอบตัวเองอย่างนั้น
แต่แล้วมันก็เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆเมื่อหลังจากที่เธอสวดมนต์เสร็จจะดับเทียนให้เรียบร้อย สายตาเธอเหลือบไปเห็นธูปที่ตนจุดถวายพระ เธอจุด 3 ดอกตามปกติและแน่ใจแล้วว่า มันติดดี จุดปักลงในกระถางและไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้มันเหลืออยู่ 2 ดอกที่แทบจะไม่ลดลงไปเลย มีแค่รอยไหม้ดำๆให้เห็น ต่างจาก อีกดอกหนึ่ง ที่เหลือไว้เพียงก้านสีแดงให้เห็น
‘ธูปดอกเดียวไว้ไหว้ผี ไหว้คนตาย’ พี่ณีบอกว่าตัวเองคิดอย่างนั้นเป็นความรู้สึกแรก เธอรีบกราบพระและเดินเข้าห้องนอนอย่างไว โดยไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่น้อยด้วยความตกใจ
การมาอยู่คนเดียวในบ้านที่เพิ่งมีเจ้าของเสียไป มันสร้างความกังวลใจให้เจ้าตัวไม่น้อย เธอบอกว่าทำไมตอนแรกถึงไม่คิดอย่างนี้นะ จนได้เข้าไปอยู่ คืนนั้น เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการจัดข้าวของ แล้วเธอก็ตื่นข้นมากลางดึก
เธอบอกกับผมว่าเธอได้ยินเสียงกุกกัก เหมือนคนเดินไปมาในบ้าน และมันไม่ใช่คนเดียว เธอลืมตามาด้วยความกลัวว่าจะมีโจรหรือใครที่ได้ข่าวการเสียของเจ้าของบ้านและจะมาขโมยเอาอะไรไป เธอแง้มประตูดูจากห้องนอนก็ไม่เห็นใคร ไม่มีแม้แต่เงา
เธอมองกวาดไปรอบๆผ่านช่องแคบของประตู แล้วเธอก็พบกับเงาร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้กับบันไดทางลงไปข้างล่างของชานบ้าน เธอแน่ใจว่า นั่นไม่ใช่โจร จากการแต่งตัว
หญิงสาวที่ยากจะบอกว่าอายุเท่าใดเพราะเห็นไม่ชัด แต่สิ่งที่แปลกคือ เธออยู่ในชุดผ้าโบราณ เป็นผ้าที่รัดไว้รอบออกกับ ผ้าถกมัดไว้คล้ายโจงกระเบน สีนั้นเป็นสีกลักจากเปลือกไม้ ที่เข้มตามธรรมชาติต่างจากที่เราเคยเห็นในละคร และมันก็ไม่ได้สวยเสมอกันมากนัก
หญิงสาวผมยาวคนนั้นยืนมองออกไปนอกตัวบ้าน เธอตกใจจึงรีบปิดประตูและกลับมานอนที่เตียงพร้อมกับคลุมโปงอย่างมิดชิด เธอพยายามหลับตาลงให้เร็วที่สุด พยายามบอกให้ตัวเองหลับ จนก่อนที่จะหลับไปก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไหนไม่รู้
‘กลับมาแล้วสินะ’
พี่ณีตื่นมาในตอนเช้าตรู่ตามนิสัยของเธอ เธอยังจำเรื่องเมื่อคืนได้ดีจึงรีบออกจากบ้านไปตักบาตร จนกลับมาถึงบ้านในยามสว่าง ก่อนที่เธอจะออกไปทำงานเธอสะดุดใจกับ เศษดิน ที่กองอยู่ตรงหน้าบันไดบนเรือน และมันก็ตรงกับตำแหน่งที่เธอเห็น หญิงสาวคนนั้น เมื่อคืน
มันดูเหมือนทุกอย่างจะเกี่ยวกันไปเสียหมด เธอมองดูที่เท้าตัวเองก็ไม่มีเศษดินติดอยู่ และแน่ใจว่าเธอไม่เคยเดินเท้าเปล่าลงไปข้างล่างแน่ๆ เธอเดินไปกราบพระก่อนจะออกไปทำงานตามนิสัยที่พ่อแม่สอนไว้ และธูป 2 ดอกนั้นยังคงตั้งตระหง่านตอกย้ำในเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความไม่สบายใจเธอจึงบอกพ่อกับแม่ว่าจะกลับไปนอนบ้านเดิม แต่พ่อแม่กลับไม่ยอมและบอกว่า จะขอมานอนด้วย อยากไปนอนบ้านนั้นเหมือนกันคิดถึงวันเก่าๆ
พี่ณีไม่เคยขัดใจพ่อแม่นอกจากเรื่องเรียน จึงจำต้องไปรับทั้งสองคนมานอนที่บ้านหลังนี้ และทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้น เธอยังได้ยินเสียง และยังคงเห็น เธอคนนั้น อยู่หลายครั้ง แต่มันดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนในคืนหนึ่ง... เธอนอนอยู่ในห้องของตัวเองแล้วเธอก็ฝัน เธอฝันเห็นตัวเองนั้นออกมาเดินอยู่ในบ้านตรงห้องโถง เธอค่อยๆเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็น เธอ นอนอยู่บนเตียงอย่างเดิม เธอตกใจ แต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา
แล้วเธอก็สังเกตเห็น ใครอีกคน ที่อยู่ในห้องของเธอ หญิงสาวคนนั้น คนที่เธอเห็นมาโดยตลอด เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ตัวเก่าของบ้าน นั่งมองกระจกอย่างพินิจ พร้อมกับหวีในมือที่ละไปตามเส้นผมยาวสลวยของเธอ
พี่ณีมองอย่างกังวลและไม่รู้จะทำอย่างไร จนเธอคนนั้นรู้ตัวหันมามองเธอ แต่ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้ม สายตานั้นแข็งกร้าว เธอลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตรงไปยัง พี่ณีที่นอนอยู่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆโน้มตัวลงเข้าไปใกล้ร่างนั้น ใกล้จนแทบจะสนิทกัน
พี่ณีสะดุ้งตื่นจากฝัน โดยพบว่าฟ้ายังไม่สว่าง เธอรีบหยิบนาฬิกามาดูก็เห็นว่าเวลาเพิ่งจะไม่เท่าไหร่เอง แต่เธอไม่กล้าจะหลับลงไปอีกแล้ว เธอจึงเดินเข้าห้องพระและคิดว่าจะรอจนกว่าแม่จะตื่นมาทำกับข้าว
...................................
เธอสวดมนต์อยู่ในนั้นนานสองนานจนฟ้าสาง เธอยังไม่เล่าอะไรให้พ่อกับแม่ฟัง เพราะกลัวว่าทั้งสองจะกังวล
หลังจากคืนนั้นเธอไม่เคยฝันแปลกอย่างนั้นอีกเลย และไม่เคยตื่นมากลางดึกอีก แต่มันมีเรื่องอื่นที่แย่กว่าจนทำให้เธอประสาทหลอน เพราะเธอมักจะตื่นมาตามเวลาของตัวเองในตอนเช้า พร้อมกับเศษดินที่เปื้อนเท้าและผ้าปูที่นอนของเธอ อีกหนึ่งอย่างคือ หวีของเธอที่เก็บไว้ในกล่องเก็บของบนโต๊ะ ไม่ว่าจะจัดวางจนแน่ใจเท่าไหร่ว่า มันอยู่ในกล่อง เมื่อตอนตื่นมันจะวางอยู่กลางโต๊ะเสมอ
ร่วมสัปดาห์ที่มันเป็นอยู่อย่างนั้น เธอเริ่มวิตกและกินไม่ได้เนื่องจากความเครียด พ่อแม่สังเกตเห็นได้ชัดจนเริ่มถามไถ่ แต่เธอก็ยังลังเลที่จะพูด จนคนเป็นแม่ทนไม่ได้จึงพูดในสิ่งที่คนเป็นลูกไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
‘หนูผีเข้าหรือเปล่าลูก’
พี่ณีตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก แม้ในตอนที่เธอกำลังเล่าให้ผมฟังนั้นเธอก็ยังฉายแววความกลัวให้ได้เห็น ในตอนแรกเธอคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด เธออาจเพียงเดินละเมอเท่านั้นแม้ว่าเธอจะไม่เคยมีอาการดังกล่าวมาก่อนเลยก็ตาม แต่ประโยคนั้นจากคนเป็นแม่ มันทำให้เธอเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
‘ทำไมถามอย่างนั้นคะ’
คนเป็นแม่มองหน้าเธออย่างอ้ำอึ้งเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไร และนั่นก็เป็นเหมือนการตอกย้ำกับคนฟังว่า มันคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
แม่บอกกับเธอว่าคืนหนึ่งแม่ลุกมาเข้าห้องน้ำในช่วงก่อนจะค่อนแจ้ง เห็นประตูห้องนอนของพี่ณีแง้มเอาไว้จงเดินเข้าไปดูกะว่าจะปิดให้กลัวยุงจะเข้า แต่พอเดินไปใกล้ๆก็เห็นตัวพี่ณีนั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง แม่ส่งเสียงถามว่าทำไมรีบแต่งตัวจัง
แต่พี่ณีไม่ตอบอะไรกลับมา ยังคงนั่งสางผมอยู่อย่างนั้น เรียกอยู่กี่ครั้งก็ไม่ตอบ จนเดินเข้าไปสะกิด แล้วมันก็แปลกเพราะคนเป็นลูกไม่ได้หันมามองแม่เลยแม้สักนิด เหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้สึก คนเป็นแม่ใจไม่ดีจึงรีบเดินไปกราบพระในห้องพระ เมื่อกลับมาดูอีกครั้งก็เห็นลูกนอนลงบนเตียงตามเดิมแล้ว
เธอเล่ามาถึงตรงนี้ก็เริ่มที่จะถอนหายใจเหมือนนึกกลัวสิ่งที่ตัวเองประสบมา หลวงพ่อยังคงนั่งฟังอยู่นิ่งๆเหมือนเคยได้ฟังมาก่อนหน้านี้แล้ว
เธอเล่าต่อไปว่าความกลัวของเธอมันค่อยๆก่อตัวขึ้น แต่มันมากจนเกินจะรับไหวหลังจากที่คืนหนึ่งสิ่งที่เป็นมันเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
เธอพยายามนอนให้หลับในยามดึกแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันก็หนักเสียจนทำให้ยากต่อการนอนในเวลานี้ แม้ว่าแม่กับพ่อจะพาพี่ณีไปทำบุญมาหลายที่หลายแห่ง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถลดความไม่สบายใจนั้นลงได้เลย เมื่อทุกคืนเธอจะยังคงได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงเหมือนของหนักๆเคลื่อนไปตามพื้น และหญิงสาวคนนั้นที่มักจะมายืนให้เห็นอยู่ตรงชานบ้าน และแน่นอนว่าเศษดินที่ติดเท้าเธอมาด้วยเช่นกัน
มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง หลังจากที่เธอคิดว่าเธอน่าจะมีอาการ ละเมอเดิน เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ บอกให้แม่กับพ่อคอยจับตาดูหากได้ยินเสียงอะไรให้ออกมาดู ตัวเธอเองก็ล๊อกห้องอย่างดี รวมถึงข้างนอกด้วยอีกชั้น แต่มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล เพราะเธอจะมีเศษดินที่ติดเท้ากลับมา และกลอนที่พ่อใส่ไว้จากข้างนอกก็มักจะร่วงไปอยู่ที่พื้นทุกครั้ง(ตรงนี้พี่ณีพูดเสริมเอาไว้ว่า เรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังใครก็ไม่เชื่อ ผีที่ไหนจะไขกลอนเป็น)
และอีกอย่างก็คือ พ่อของเธอเคยออกมานอนข้างนอกเพื่อเฝ้าเธอไว้ แต่ก็แปลกตรงที่พ่อทั้งพยายามดูทีวี อ่านหนังสือ หาอะไรมากินเล่นเพื่อไม่ให้หลับ แต่เมื่อเวลาล่วงไปกว่าครึ่งคืน พ่อจะหลับทันทีแต่มันไม่เหมือนกับหลับไปตอนที่ง่วง เหมือนภาพมันตัดไปไม่มีความทรงจำว่า หลับไปตอนไหน หลับอย่างไร ง่วงหรือเปล่า
แล้วคืนนั้นก็มาถึง คืนที่เธอตัดสินใจว่า จะไม่กลับมาเหยียบที่บ้านหลังนี้อีก เธอหลับไปอย่างยากลำบากเหมือนในทุกๆคืน และในตอนที่เธอกำลังจะหลับลงสติสุดท้ายของเธอบอกว่า เธอเห็นผู้หญิงคนนั้น นั่งอยู่ในห้องนอนใกล้ๆเธอ ใบหน้าที่ไม่เคยเห็นกลับหันมามองเธออย่างตั้งใจ
เธอหลับไปจนตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ของอีกวัน เธอสะดุ้งตื่นด้วยความกังวลว่าวันนี้จะเป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ทันทีที่เธอใช้มือยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงพี่ณีก็สัมผัสได้ถึง ความเจ็บ
ความเจ็บที่ปลายนิ้วทำให้เธอต้องรีบหันมาดู พี่ณีบอกว่าใจมันหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่มเพราะสิ่งที่เห็นคือ นิ้วของเธอเต็มไปด้วยลอยถลอก เล็บบางเล็บฉีกจนมีเลือดไหล แต่เลือดบางส่วนก็แข็งกรังไปแล้ว เธอร้องไห้น้ำตาไหลด้วยความกลัว
นานกว่าที่เธอจะตั้งสติและเดินออกไปหาพ่อกับแม่ และคงไม่ต้องบอกว่าเธอลางานและเก็บข้าวของกลับบ้านหลังเดิมไปในทันที เธอยอมที่จะเดินทางไปทำงาน แทนที่จะนอนที่นี่ต่อไป
ในวันนั้นเธอได้ไปหาหมูดูเจ้าหนึ่งซึ่งไม่เคยไปมาก่อนและไม่รู้จัก แต่คราวนี้มีเพื่อนแนะนำมาว่าคงต้องลองไปดูเผื่อว่า จะได้ความอะไรขึ้นมาบ้าง
หมอดูที่พี่ณีไปหานั้นเป็นหมอดูไพ่ยิปซีที่หาได้ทั่วไปแต่คนนี้เพื่อนแนะนำมาจึงเลือกที่จะมาในทันที เธอไม่ได้พูดคุยอะไรมากรับเปิดไพ่ด้วยความร้อนใจ
พี่ณีบอกกับผมในตอนนั้นว่า ‘พี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเขาหรอกนะ ภาษาหมอดู’ หมอดูบอกว่าไพ่มันไม่เปิด มันตีกันมั่วไปหมด เราไปทำอะไรใครเขามารเปล่า หรือว่าไปบนอะไรไม่ได้แก้
เธอบอกว่าไม่เคยทำอะไรอย่างที่ถูกถามเลย หนักสุดก็คงแค่ตีนักเรียนตามหน้าที่ ไม่ได้รุนแรงอะไร จนเธอเลือกที่จะเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านเกิดอะไรขึ้น
เมื่อฟังเสร็จหมอดูคนนั้นก็ทำหน้าหนักใจแล้วเดินหายเข้าไปในห้องพระที่อยู่ใกล้ๆ พี่ณีไม่รู้ว่าเขาทำอะไรในนั้น แต่มีกลิ่นธูปกลิ่นเทียนหอมๆโชยมาจางๆ
‘ขอบารมีพระท่านคุ้มครอง’
หมอดูพูดเหมือนรู้ว่าลกค้ามีคำถาม แล้วการเปิดไพ่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้หมอดูทำหน้าปั้นยากยิ่งกว่าเดิม เพราะไพ่ที่เปิดออกมานั้นมันไม่มั่วอีกแล้ว แต่มันกลับไม่ตรงตามที่ลูกค้าของเธอประสบมาเสียเลย
พี่ณีเพียงบอกเล่าคำทำนายของหมอดูไว้อย่างคร่าวๆ หมอดูบอกว่าไพ่ที่เปิดข้นมานั้นไม่ได้บ่งบอกเลยว่าบ้านมีปัญหา แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือ เรื่องวุ่นวายนี้มันเกิดขึ้นจาก วิญญาณ หรือว่าผีนั่นเอง
ไม่ใช่เรื่องบ้านแล้วมันเกิดจากอะไร แม้ว่าในใจของเธอจะบอกแล้วว่าสาเหตุคืออะไรแต่ก็อยากได้ยินคำยืนยันจากผู้พยากรณ์อีกที แล้วมันก็ช่อย่างนั้นจริงๆ สาเหตุทั้งหมดของเรื่องราวทั้งหมดนี้คือ ตัวพี่ณีเอง
คำพูดนั้นทำเอาคนฟังใจไม่ได้และมันก็ดูจะแย่ลง ถ้าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากการที่เธอเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น แล้วถ้าเพียงเธอย้ายออกมาอย่างถาวร หรือขายมันทิ้งไป เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงหรือไม่
คำถามที่ต้องการการเปิดไพ่อีกครั้งเพื่อหาคำตอบ เธอบอกผมว่าเธอยังจำไพ่สามใบนั้นได้ดี เพราะสีสันและรูปของมันน่ากลัว DEATH DEVIL และ HIGH PRIESTESS
พี่ณีเล่าข้ามไปยังตอนจบ เธอบอกว่าหมอดูไม่สามารถจะทำอะไรได้ในกรณีนี้เพราะคิดว่าคงจะเป็น เจ้ากรรมนายเวรกัน สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงให้ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ตามปกติ แต่กำชับว่าให้รีบสร้างบุญเข้า เพราะเวลามันมีไม่มาก
เธอกลับบ้านด้วยความไม่สบายใจที่มากกว่าเดิม แต่บ้านที่คุ้นเคยมันก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เธอเลือกที่จะมาขอนอนกับพ่อแม่ในห้องเดียวกัน ซึ่งเลือกห้องของเธอที่กว้างที่สุด
เธอเล่าว่ามันหลับสบายกว่าบ้านเก่าหลังนั้น แต่ใจมันก็ไม่ได้สงบลง จนหลับไปในที่สุด
กลางดึก แม่ของพี่ณีตื่นมาเข้าห้องน้ำ แต่เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นเงาของใครบางคนที่หน้ากระจก แม่บอกว่าตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงโดนเข้าบ้างแล้ว แต่เมื่อควานมือไปข้างๆตัวเพื่อเรียกพี่ณีกับพ่อให้ตื่น แม่ก็ใจหาย
บนเตียงนั้นมีเพียงแม่กับพ่อเท่านั้นที่นอนอยู่ ไม่มีร่างของพี่ณี แม่มองไปยังเงาร่างตรงหน้ากระจก ร่างนั้นชัดเจนเกินกว่าจะเป็นวิญญาณ แม่เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแทนเพราะไม่กล้าจะเดินไปเปิดไฟเพดานห้อง เพราะต้องเดินผ่านตรงนั้น
ไฟฉายสว่างให้เห็นลายเสื้อที่ใส่นอนจึงรู้ว่าเป็น พี่ณี แม่เรียกพี่ณีเบาๆแต่ไม่มีเสียงตอบรับ แม่ค่อยๆเดินไปใกล้ๆช้าๆ แล้วสะกิดเรียก แต่ทุกอย่างก็ยังคงนิ่ง อยู่เหมือนเดิม
แม่รีบปลุกพ่อตามมา ช่วยกันเรียก แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แม้ว่าจะเรียกดังแค่ไหน ใช้มือเขย่าตัว ก็ไร้วี่แววของการตอบรับ มีเพียงสายตาของพี่ณีที่จ้องไปยังกระจกตรงหน้าอย่างตั้งใจ
คนเป็นพ่อทนไม่ไหวที่เห็นสภาพลูกของตัวเองในตอนนั้น จึงถอดพระที่คล้องคอตัวเองอยู่แขวนให้ลูกสาวด้วยหวังว่า พุทธคุณคงจะช่วยให้ลูกหลายจากสิ่งที่เป็น
แต่แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะพี่ณีไม่ได้มีอาการกรีดร้องอย่างในละครที่เคยดู เธอหันหน้ามาหาทั้งสองคนช้าๆ มุมปากค่อยๆยิ้มอย่างช้าๆจนน่าขนลุก
‘คิดหรือว่า จะช่วยมันได้’
ประโยคสั้นๆแต่ทำเอาคนฟังถึงกับเป็นลมหมดสติไป พ่อเล่าว่าแม่เป็นลมหลังจากได้ยินอย่างนั้นส่วนพี่ณีก็ล้มลงไปเช่นกัน พ่อจึงต้องอุ้มทั้งสองคนกลับมาที่เตียง
เช้าวันรุ่งขึ้นพี่ณีต้องไปทำงานเพราะลางานมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องรอให้ถึงวันหยุดยาวที่จะมาถึง ซึ่งก็โชคดีที่มันไม่ได้นานมากนัก
แต่ในคืนเดียวกันนั้นเองมันก็เกิดเรื่องอีกจนได้ แต่คราวนี้มีเพียงพี่ณีที่รับรู้ เธอบอกกับผมว่ามันเหมือนฝัน แต่คิดว่าไม่ได้ฝัน
เธอลืมตาขึ้นมาในตอนดึก เหมือนถูกปลุก เธอมองไปรอบห้องจนสายตาสะดุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาวที่คุ้นตาแม้ไม่รู้จักกัน เธอในชุดผ้าคาดคนเดิม นั่งอยู่หน้ากระจก เธอยังคงสางผมอย่างเบามือเหมือนอย่างเคย
พี่ณีพยายามลุก แต่ก็ไม่สำเร็จ เหมือนถูกบังคับให้มองเธอคนนั้นสางผมอยู่นาน เธอก็หยุด เธอหายไปตอนไหนไม่รู้เหมือนคลาดสายตา จนพี่ณีรู้สึกถึงเงาใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆตรงขอบเตียง
พี่ณีไม่สามารถหันไปมองได้ แต่ก็แน่ใจว่าข้างๆนั้นมีใครอยู่ สัมผัสของมือที่ค่อยๆแตะลงบนหัวนั้นชัดเจน มือค่อยๆไล้ไปตามใบหน้า แปลก ที่เธอไม่ได้กลิ่นเน่ากลิ่นศพเหมือนอย่างที่เคยอ่านเจอ แต่มันเป็นกลิ่นของเสีย กลิ่นของปัสสาวะ อุจาระ แรงและชัดเจน
เธอรู้สึกพะอืดพะอมคลื่นไส้จนอยากอ้วกแต่ก็ทำไม่ได้ มือนั้นถอยออกไป แต่เป็นตัวของหญิงสาวเองที่ขยับเข้ามาใกล้
ร่างของเธอไม่ได้เน่าเฟะน่ากลัว แต่เต็มไปด้วย แผล ที่ดูน่ากลัว แผลนั้นชัดเจนว่าถูกกระทำไม่ใช่อาการเน่าของซากสัตว์ หญิงสาวค่อยๆก้มหน้ามามองเธอใกล้ๆ ทำให้เห็นใบหน้าที่บวมช้ำจากการถูกทำร้าย อย่างทารุณ
‘แล้วมรรึงจะจำได้’
พี่ณีสะดุ้งตื่นจากฝันอันน่ากลัวในทันที แต่เมื่อตื่นกลิ่นของเสียนั้นยังชัดเจนจนรู้สึกได้ พีณีวิ่งไปอ้วกในห้องน้ำในทันที
เธอบอกกับผมว่า ตอนนั้นสภาพเธอคงจะดูอิดโรยไม่น้อย เพราะคนรอบข้างต่างบอกให้เธอไปพักผ่อน ไปหาหมอ
เธอหยุดเล่าไปนิดหนึ่งเหมือนพยายามคิดว่าจะเล่าอะไรต่อไป รายละเอียดมันคงเยอะแต่เธอคงไม่อยากพูดถึง
ในทุกๆคืนเธอมันจะเจอเรื่องแปลกๆ อย่างน้อยก็หนึ่งเรื่อง ครั้งหนึ่งเธอเคยได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ เสียงนั้นโหยหวนและน่าเศร้า แปลก เธอไม่มีความรู้สึกสงสารใดๆ เธอกลับบอกว่า กลัวน่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่อีกอารมณ์หนึ่ง วูบหนึ่ง เหมือนพอใจ
เวลาผ่านมาจนถึงวันหยุดยาวที่วางแผนเอาไว้ พ่อพาเธอมายังวัดแถวบ้านเกิดที่ตัวพ่อเคยบวชอยู่ช่วงหนึ่งตอนยังหนุ่ม
พ่อเดินตรงไปยังกุฏิหลังเก่าๆหลังหนึ่งพร้อมกล่าวทักทายอย่างคุ้นเคย ที่นั่นมีหลวงตาท่านหนึ่งที่เคยสอนพ่อสมัยที่บวชอยู่ พ่อเล่าเรื่องราวต่างๆให้ท่านฟังอย่างละเอียด
หลวงตาเทศน์ให้เธอฟังเรื่องของ กรรม ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมานั่งฟังอะไรอย่างนี้ เธออยากได้ทางออกเสียมากกว่า เธอบอกต่อว่ามาเข้าใจจริงๆก็ช่วงหลังนี่เองว่า ‘ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง’
หลวงตาเทศน์อยู่นานก็สอนสมาธิให้ บอกว่าสมาธิคืออะไร และควรทำอะไร การฝึกจิต การภาวนา และการสวดมนต์ หลวงต่อย้ำว่า มันสำคัญกับโยมนะ อย่าทิ้ง จากนั้นจึงค่อยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
‘เราทำเขา เขาตามมาทวง’
หลวงตาว่าอย่างนั้น เธอยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ว่า ใคร แล้วเธอทำอะไร ถ้ามันเป็นเรื่องของชาติที่แล้ว เธอจำไม่ได้แล้ว จะให้ทำอย่างไร ต้องยอมอยู่อย่างนี้หรือ
หลวงตาใช้เวลาอีกนานกว่าจะสอนให้เธอเข้าใจ เธอข้ามประเด็นนั้นไปมาตรงเรื่องราวหลังจากนั้น เธอหมั่นปฏิบัติตามที่หลวงตาบอก เพราะเชื่อว่ามันจะเป็น ทางออกของเรื่องนี้
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง เรื่องแปลกๆยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับใจเธอที่มันแย่ลง จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปหาร่างทรงคนหนึ่ง
เขาบอกให้เธอกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง พร้อมกับยันต์ที่บูชาจากเขา เขาบอกว่าให้เอายันต์แปะตรงหน้าบ้าน แล้วผีร้านมันจะไม่กล้ามาทำร้าย
คนหมดหนทางให้ทำอะไรก็ทำหมด เธอพูดอย่างนั้น เธอกลับไปที่บ้านในตอนกลางวันของวันหนึ่ง จัดการแปะยันต์ตามที่ร่างทรงบอก แล้วรีบกลับ
เป็นดังที่ร่างทรงเขาว่า เรื่องแปลกๆเงียบหายไป ไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเธออีก เว้นเสียแต่เธอเองที่รู้สึกว่าตัวเอง อ่อนแอลง เธอเหนื่อยง่าย ป่วยง่าย และดูจะเป็นลมเอาบ่อยๆ เธอคิดเอาเองว่า คงเหนื่อย คงสะสมมานาน
แต่อาการมันก็ไม่ดีขึ้น หาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว นอนก็เยอะแล้ว จนเธอเลือกกลับไปหาร่างทรงคนเดิมอีกครั้ง คราวนี้ร่างทรงบอกให้เธอ กลับไปที่บ้านหลังนั้น
เขาขยายความให้เธอฟังว่า ยันต์ที่เธอเอาไปแปะนั้นทำให้พวกมันไม่สามารถออกจากบ้านมาทำร้ายเธอได้ มันหิวมันเลยทำให้เธอมีอาการอย่างนั้นเพราะเป็นเจ้าบ้าน ให้กลับไปจัดโต๊ะเลี้ยง เอาพระไปสวด แล้วพวกนั้นจะไปเกิดเพราะมันกลัวแล้วไม่กล้าทำร้ายแล้ว
เธอทำตามคำแนะนำนั้นแม้ว่าในใจยังคงมีข้อโต้แย้งว่า หมอดูไพ่ยิปซีตอนนั้นบอกว่า มันไม่ใช่ที่บ้าน แล้วทำไมร่างทรงถึงบอกว่า เขามาจากบ้าน
แต่เธอก็ไม่อาจจะตอบคำถามในใจเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง เธอทำตามอย่างที่ร่างทรงบอก ด้วยความกลัวและไม่เข้าใจ
เครื่องเซ่นหลากหลายรายการถูกนำมาจัดวางไว้บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าขาว เมื่อมองเผินๆมันอาจจะเหมือนกับการตั้งโต๊ะไหว้ทั่วๆไป แต่ร่างทรงกำชับว่า ให้ตั้งภายในตัวบ้าน ซึ่งตามปกติแล้วเวลาเราไหว้เราจะต้องตั้งให้พ้นชายคาหากทำการบงสรวง หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงสัมภเวสี
โต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่ตรงโถงกลางบ้านถูกเตรียมให้เสร็จก่อนเวลาสายตามคำของร่างทรง พี่ณีเลือกทำเลเอาตรงที่เธอเคย ฝันเห็นเธอคนนั้นมายืนอยู่
ธูปที่นับจำนวนเอาตามเครื่องเซ่นที่จัดวางถูกปักลงบนอาหารแต่ละชนิด ตลอดเวลาที่เธอทำอยู่นั้นเธอบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนกับมีใครหลายคนอยู่รอบๆตัวเธอ ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่มันมากกว่านั้น จนรู้สึกอดอัด
คืนนั้นเธอตัดสินใจ ลองนอนในบ้านหลังนั้นอีกครั้งหลังจากที่ทุกอย่างดูจะกลับมาสู่สภาวะปกติแล้ว แน่นอนว่า พ่อและแม่ของเธอด้วย
คืนนั้นเธอเลือกที่จะนอนคนเดียว เพราะคิดเอาว่า มันคงจบแล้วและคงจะเป็นการปลอบตัวเองทางอ้อมด้วยอีกแรง
คืนนั้นมีเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะเข้านอนในช่วงค่ำนั้นมีแมวตัวหนึ่งมาเดินวนอยู่รอบบ้าน ร้องโวยวายเหมือนต้องการจะให้คนในบ้านรู้ว่ามันอยู่ตรงนี้
พี่ณีเป็นคนรักสัตว์เดินลงไปดูก็เห็นว่ามันเป็นแมวอายุน่าจะราวๆปีหรือสองปีเดินอยู่ข้างล่าง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่ได้ผอมโซอย่างแมวจรจัด ‘คงหลงมา’ นั่นคือสิ่งที่เธอคิด
เธออุ้มเอามันขึ้นมาบนบ้านคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยไปถามหาเจ้าของ เธอหาข้าวหาปลาให้มันกินแต่มันไม่ยอมกิน มันนั่งมอง
ชามข้าวของมันอย่างไม่สนใจ แต่มันเดินตามเธอไม่ยอมห่าง
พ่อกับแม่ของเธอไม่สบายใจนักเพราะแมวตัวนี้มีลักษณะที่คนโบราณเชื่อว่ามันไม่ปกติ แมวสีดำสนิทตาสีเหลืองเข้ม และตัวใหญ่ อีกทั้งเขี้ยวที่ดูยาวและคมกว่าแมวที่เคยเจอมา พ่อบอกให้เธอเอามันไปปล่อยไว้ที่เดิมแต่เธอก็ไม่ยอม เพราะสงสารมัน
มันตามเธอเข้าไปนอนด้วยในห้องซึ่งเธอก็ยอมให้มันนอนด้วยเพราะมันดูสะอาดไม่สกปรก เธอจับมันนอนอยู่บนเตียงข้างๆเธอ
เธอนอนเล่นกับมันพร้อมอ่านหนังสือนิยายเพื่อคลายเครียด เธอค่อยๆง่วงจนหลับไปในที่สุดระหว่างที่เพิ่งหลับได้ไม่นานความรู้สึกลางๆที่เธอพอจะจำได้คือ เธอนอนอยู่ข้างๆใครบางคน
พ่อกับแม่ของพี่ณีหลับไปก่อนแล้วตามนิสัยของคนอายุมากที่มักจะนอนเร็ว แต่อยู่ดีๆทั้งสองคนก็ตื่นเพราะได้ยินเสียงกุกกักอยู่นอกห้องนอน เสียงมันเหมือนกับมีใครเดินไปเดินมาอยู่ที่ห้องโถงของบ้าน
ด้วยความกังวลทั้งสองคนจึงรีบเดินตรงมาที่ประตูห้องแต่ก็กลัวว่าจะเป็นโจรเช่นกัน เลยหยิบเอาไม้เท้าที่ใช้ค้ำยันเวลาเดินในบางเวลากระชับไว้ในมือ แต่ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปทั้งสองคนก็ได้ยินเสียง
เสียงข่วนประตูไม้ด้วยเล็บเล็กของมันดังครืดอยู่หน้าห้องพร้อมกับเสียงร้องที่ชวนขนลุกในเวลานี้ เสียงแหบห้าวของแมวตัวผู้ดังจนน่ารำคาญ แล้วทั้งสองคนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า มันนอนอยู่กับพี่ณี แล้วออกมาได้อย่างไร
พ่อรีบเปิดประตูออกไปดูก็เห็นแมวตัวเดิมมันนั่งอยู่ที่หน้าประตูจ้องมองทั้งสองคนไม่วางตา ส่งเสียงร้องน่าขนลุก แต่ที่ทำให้ทั้งสองคนขนลุกชันไปทั้งตัวนั้นคือ ผ้ายันต์ที่ตอนนี้ขาดวิ่นเหลือแค่บางส่วนใต้ตัวมัน
แมวดำตัวใหญ่นั่งทับเศษยันต์ไว้เหมือนของเล่น มันส่งเสียงร้องไม่หยุดจนพ่อขยับเอาไม้ในมือทำท่าจะฟาดจนมันสะดุ้ง มันกระโดดตะปบยันต์เล่นด้วยความสนุก ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคิดไปเองหรือเปล่า แต่เสียงร้องของมันในวันนั้น เหมือนเสียงคน
พอได้สติทั้งสองคนก็รีบเดินหนีให้ห่างจากแมวตัวนั้นตรงไปยังห้องนอนของลูกสาว แล้วทั้งสองคนก็ใจหายอีกครั้งเมื่อลูกสาวไม่ได้อยู่ในห้อง
ทั้งสองคนตะโกนเรียกอย่างสุดเสียงเดินหาไปทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ ไฟถูกเปิดจนสว่างทั่วบ้านแต่ไม่พบใคร แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาระหว่างเสียงของทั้งสองคน เสียงแมวตัวนั้น
เสียงแหบพร่าน่าขนลุกของมันยังดังอยู่ แต่คราวนี้มันดังมาจากนอกบ้าน เสียงนั้นดังมากเหมือน จะเรียก
ทั้งสองคนรู้อยู่แล้วว่ามัน ไม่ปกติ จึงเลือกที่จะเดินตามเสียงนั้นไป หวังว่าที่ปลายเสียงนั้นจะมีคนที่กำลังตามหา
ไฟฉายในมือส่องไปตามทางที่เป็นที่ดินมีต้นไม้ปกคลุม จากทิศทางของเสียงนั้นมันดังมาจาก โรงรถ พ่อคิดอย่างนั้น ทั้งสองคนเดินต่อไปก็เจอแมวตัวเดิม ตอนนี้มันนั่งรออยู่ด้านหน้า มันหยุดร้องแล้ว ทำให้ได้ยินเสียงอื่นแทรกเข้ามาอีกครั้ง
เสียงครวญในลำคอเหมือนคนคราง เสียงของความทรมาน เหมือนร้องไห้ แต่เพราะเศร้าหรือเจ็บปวด ก็ไม่อาจแน่ใจ แต่ที่แน่ใจคือ นั่นไม่ใช่เสียงของลูกสาวแน่ๆ พ่อกำพระในมือนั่นอธิษฐานจิตถึงครูบาอาจารย์ให้คุ้มครอง
ทั้งสองกลั้นใจเดินตรงเข้าไปในโรงรถมือๆที่ตอนนี้ไม่มีรถจอดนอกจากเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ กับลังเก็บของไม่ได้ใช้สุมๆกันอยู่
แสงจากไฟฉายสาดไปทั่วจนไปกระทบกับร่างหนึ่งของใครบางคน สีเสื้อนั้นจำได้แม่นว่าเป็น พี่ณี ทั้งสองรีบเดินตรงเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินตั้งแต่แรกคือ เสียงเหมือนอะไรครืดไปตามพื้น หรือของแข็งสักอย่าง แต่เสียงนั้นเบาแต่ก็เพียงพอที่จะได้ยินในคือที่เงียบสงัดเช่นนี้
พี่ณีที่ตอนนี้มีอาการแปลกกว่าทกครั้งที่เคย เธอนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นขยับร่างกายไปมาเหมือนทำอะไรอยู่แต่เห็นไม่ชัด แต่เมื่อพ่อส่องไฟฉายไปยังที่ตรงหน้า ก็ใจหล่นวูบเหมือนจะขาดใจ เธอใช้นิ้วมือตะกุยครูดไปตามพื้นอย่างแรงเหมือนไม่รับรู้ถึงความเจ็บ รอยเลือดหยดเป็นทางให้เห็น สองมือนั้นขยับรวดเร็วจนคนเห็นเสียวสันหลัง
พ่อเข้าไปดึงแขนลูกไว้ให้หยุด แต่มันไม่มีผลเธอยังคงใช้นิ้วมือของเธอขุดลงไปยังพื้นเหมือนพยายามจะขุดเอาอะไรขึ้นมา พ่อออกแรงเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถจะสู้แรงนั้นไว้ สองแขนของพ่อล็อกตัวพี่ณีออกมาแต่มือทั้งสองไม่มีทีท่าจะขยับจากพื้นตรงนั้นเลย
ตอนนี้แม่ขาอ่อนลงไปนั่งกับพื้นแล้วได้แต่ร้องไห้ พ่อพยายามยื้อหยุดพี่ณี แต่เหมือนแรงที่ใช้ในการขุดนั้นมากขึ้น เพราะแผลที่มือเริ่มจะหนักขึ้น พ่อพยายามเอาพระที่ตัวเองคล้องอยู่ใส่คอลูก แต่แรงที่ยื้อหยุดกันนั้นก็ลำบากเหลือเกิน
คนเป็นแม่ที่ตอนนี้เริ่มจะทนไม่ไหวกับสิ่งที่เห็นด้วยความรักความห่วงใยที่มีจึงกลั้นใจเอาแรงเท่าที่มีลุกขึ้นเดินแล้เดินตรงไปหาลูก เอาชายผ้าถุงที่ใส่นอนคลุมหัวลูกทั้งๆที่ตัวเองก็ยังหลับตาไม่กล้ามอง
แล้วมันก็ได้ผล เธอค่อยๆสงบลงทีละนิดๆจนหยุดมือลงในที่สุดเหลือไว้เพียงเสียงครวญครางที่ดังอยู่ในลำคอ พ่อรีบอุ้มเอาร่างของพี่ณีที่ตอนนี้สงบลงแต่ยังไม่ได้หมดสติไป
สายตาที่เห็นได้คือตาดำของเธอเบิกกว้างกว่าปกติ จ้องไปตรงหน้าอย่างไม่ขยับเขยื้อน แม้จะเอาไฟฉายมาส่องก็ไม่มีปฏิกริยาตอบรับ อีกทั้งยังไม่มีการหยีตาหรือหลับตาแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงบนบ้าน แม่รีบทำแผลให้ลูกด้วยน้ำตา มือที่เพิ่งจะหายดีตอนนี้มีแผลอีกแล้วและคราวนี้มันก็มากเสียจนน่ากลัว เล็บบางนิ้วฉีก หลุดออกไปเหลือไว้แต่เนื้อแดงๆกับเลือดที่หยด ทั้งสองคนคิดว่าให้เธอได้สติดีกว่าจะพาไปทำแผลที่โรงพยาบาลกลัวว่าพาไปตอนนี้ แล้วเกิดอาการอีก คงจะไม่ดี
พี่ณีอยุ๋ในสภาวะลอยๆไม่ได้สติอยู่อย่างนั้น พูดไม่ได้ยินเรียกไม่หัน แล้วก็ส่งเสียงครวญคราง พระที่คล้องคออยู่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ทั้งสองคนทำได้แค่ รอ ให้เธอคืนสติกลับมา
เวลาล่วงเลยไปจนใกล้เช้า เธอก็ค่อยๆสงบลงแล้ว หลับไป ในช่วงพระบิณฑบาต หลังจากพาลูกกลับเขาที่นอนตามเดิมแล้ว แม่ก็รีบไปจัดแจงเตรียมของใส่บาตรในทันที ส่วนคนเป็นพ่อคว้ารถขับออกไปจากบ้านตั้งแต่ตอนที่แม่ยังเตรียมของไม่เสร็จ
พี่ณีเล่ามาถึงตรงนี้ก็เริ่มจะน้ำตาคลอด้วยความรูสึกผิดที่ทำให้พ่อกับแม่ลำบาก หลวงพ่อท่านปลอบใจว่า มันเป็นหน้าที่ของเขา รักของเขาบริสุทธิ์ และเต็มใจ
เธอเริ่มเล่าต่อ พีณีตื่นมาเพราะเสียงพระสวดให้พรในตอนเช้า เธอบอกว่าระบมเจ็บไปหมดทั้งตัว และแน่นอนว่าที่มือของเธอมันเจ็บกว่าที่อื่น เธอมองดูผ้าพันแผลที่บรรจงพันเอาไว้อย่างดี เธอรีบเดินออกไปนอกห้องเพื่อมองหาพ่อกับแม่
พอดีกับที่แม่เดินข้นบ้านมา พอเห็นลูกก็รีบเข้าไปกอดด้วยความเป็นห่วง แม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังจนหมด รอให้พ่อที่หายออกไปยังไม่กลับมา
จนช่วงสายเกือบ8โมง พ่อก็กลับมาถึงบ้านพอเห็นลูกก็รีบพาไปโรงพยาบาลทำแผลที่มือในทันที แม่ถามว่าพ่อไปไหนมาพ่อตอบแค่สั้นๆว่า ไปหาช่าง
เมื่อทำแผลเสร็จแล้วกลับมาที่บ้าน ที่ตรงโรงจอดรถนั้นมีช่างกลุ่มหนึ่งกับรถกระบะคันเก่าๆมารออยู่ พ่อบอกว่า พ่อจะทุบ จะขุดให้หมด ข้างใต้มันต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ แม่บอกว่าทำเกินไปหรือเปล่า แต่คำตอบของพ่อกลับมีน้ำหนักจนเถียงไม่ออก ถ้ามันไม่มีอะไรมันจะมาให้ณีขุดทำไม
ระหว่างวันที่ช่างเริ่มทำการทุบการขุดตรงบริเวณที่พ่อบอกเอาไว้ให้นั้นทั้งบ้านก็เลือกที่จะออกไปข้างนอกกันเพื่อความสบายใจ พ่อเลือกที่จะพาทุกคนกลับไปที่วัดเดิมเพื่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลวงตาที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วยิ้มให้ พร้อมกับแผ่เมตตาให้กับคนทั้งสาม หลวงตาท่านว่า มันหนีเขาไม่พ้นจริงๆ เขารอมานาน รอมาไม่รู้เท่าไหร่ จนเขาเองก็ลืมไปแล้ว
‘หนูทำอะไรไหวหรือคะ หลวงตาบอกได้ไหม’
หลวงตาส่ายหัว มันยังไม่ใช่เวลาของโยม ตอนนี้เขายังไม่ยอมให้โยมรู้อะไร โยมควรจะทำบุญภาวนาขออโหสิกรรมกับเขาเสีย เมื่อเขาใจอ่อน โยมจะได้รู้เอง
หลวงตาอุทิศบุญให้กับ ใครก็แล้วแต่ ที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ แต่กิจของสงฆ์คงจะเข้าไปยุ่งกับกรรมใครคงไม่ได้ แม้จะเป็นมหาเทวะก็ตาม
บ่ายแก่ๆทั้งสามคนกลับมาที่บ้านหลังเดิมเพราะหลวงตาบอกไว้ว่า นอนที่นั่นแหละ จะหนีไปไหนก็ไม่พ้นหรอก อยู่ที่นั่นให้เขาบอก ว่าเขาต้องการอะไร คืนนี้อาตมาจะเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
พ่อเดินไปตรงโรงรถก็เห็นคนงานล้อมลงเถียงอะไรกันเสียงดัง พอคนงานเห็นพ่อก็รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วเรียกให้ตามไปดู ที่ตรงนั้น ตรงโรงรถเก่า ตอนนี้ถูกทุบหมดแล้ว แล้วถูกขุดลึกลงไปอีกมาก เพราะคำสั่งที่ว่า ไม่เจออะไร ให้ขุดต่อจนกว่าจะเจอ
หลุมลึกประมาณสองช่วงตัวคน ที่ก้นหลุมนั้นมีสิ่งของวางอยู่ลักษณะคล้าย หีบ คนงานพนันกันอย่างสนุกปากว่า ต้องเป็นของเก่าขายได้ราคา ดีไม่ดีจะเจอเงินทองเสียอีก
พ่อบอกให้ขุดยกขึ้นมาแล้วจะได้รู้กันว่าเป็นอะไร หัวหน้าคนงานยังแซวพ่อว่า ขอแบ่งสักนิดหนึ่งค่าเหนื่อย พ่อไม่ได้ตอบเพราะความกังวลใจที่มี และพ่อก็ไม่กล้าเปิดด้วยถือวิสาสะ จึงไปเรียกพี่ณีมาดูว่า อยากจะให้ทำอย่างไรต่อ
เธอเดินมาที่โรงรถอย่างกล้าๆกลัวๆ แล้วพอเธอเห็นหีบใบนั้นก็ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างไร้สาเหตุเธอบอกว่า ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่มันไม่มีแรงเลย พ่อเดินเข้ามาพยุงเธอไปใกล้ๆ จริงๆพ่อก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หากพี่ณีไม่ได้บอกไว้เองว่า ‘หนูอยากให้เรื่องมันจบ จะอะไรก็คงต้องเจอ’
คนงานที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ยังแซวไม่หยุดปาก จะรวยแล้วขาอ่อนเชียว อย่าลืมแบ่งผมนะ ถ้าลงข่าวก็บอกด้วยว่าผมขุดจะได้มีงานเพิ่มขึ้น พ่อหันไปต่อว่าอย่างรำคาญใจ
เธอนั่งมองหีบใบนั้นด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เธอแน่ใจว่าเธอไม่รู้จักหีบใบนี้ แต่ทำไมความรู้สึกของเธอถึงอยากจะเปิดมันออกดูโดยเร็ว แต่เมื่อมาคิดดูดีๆแล้วคงต้องบอกว่า เหมือนมีใครบอกให้เปิดเสียมากกว่า
พ่อถามเธอว่าจะเปิดไหม เธอพยักหน้าตอบ เธอเอื้อมมือไปจับกลอนเหล็กแบบโบราณที่เป็นสีดำทั้งอัน ขยับดูแล้วมันยังคงแน่นหนาอยู่เหมือนเดิม พ่อบอกให้ช่างเอาชะแลงมาช่วยงัด แต่พอช่างเดินมาใกล้ๆ กลอนมันก็หลุดออกจากกันเป็นสองชิ้นเองเสียแล้ว
เธอมองของในมืออย่างไม่เข้าใจ ช่างบอกว่า ‘เก่าขนาดนี้สนิมกินพังหมดแล้ว’ แต่ตัวเธอเองนั้นแน่ใจว่าครั้งแรกที่เธอจับ มันยังแข็งแรงและแน่นหนา
เธอกลั้นใจเปิดฝาออกดูด้วยความกังวล กลิ่นอับภายในตีเข้าที่หน้าจนรู้สึกคลื่นไส้ เธอเปิดฝาให้กว้างจนสุดเพื่อระบายกลิ่นอับนั้น ข้างในมีผ้าผืนหนึ่งพับไว้วางปิดอย่างมิดชิด
ผ้าผืนเก่าๆถูกหยิบออกเห็นของที่ถูกเก็บไว้ข้างใน กล่องไม้เนื้อแข็งที่ยังพอเหลือสภาพให้เห็น ในนั้นมีเครื่องประดับหลายชิ้น ทำจากไม้บ้าง เงินบ้าง ทองบ้าง และแน่นอนว่าคนงานต่างตาโตกับสิ่งที่เห็น แต่สิ่งที่พี่ณีสนใจกลับไม่ใช่เครื่องประดับเหล่านั้น
กระดาษเนื้อหยาบแข็งใบหนึ่งถูกเก็บไว้ในกล่องไม้อย่างดี เธอไม่รู้ว่าวัสดุนั้นคืออะไร แต่มันดูทนกว่าที่ตาเห็นเธอหยิบมันออกมาดูความรู้สึกเมื่อตอนจับนั้นเป็นความทรมานที่เธอรู้สึกได้ในทุกครั้งที่เธอฝันเห็น เธอคนนั้น
เมื่อพลิกดูจะเห็นภาพวาดของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดสวยงามดูมีฐานะต่างจากที่เธอเห็นในฝันนั้นว่าเธอแต่งตัวธรรมดา
เธอในใจว่าเธอไม่เคยเห็นและไม่รู้จักกับคนในภาพวาดนี้ แต่สิ่งที่มันชัดเจนอยู่ในความรู้สึกคือ ต้องใช่เธอคนนั้น แม้ว่าการแต่งตัวจะไม่ใช่ แต่เธอแน่ใจอย่างยิ่งว่านี่คือหญิงสาวคนนั้น คนที่ทำให้เธอต้องเจอเรื่องเลวร้ายเหล่านี้
พ่อเถียงกับคนงานอยู่นานที่จะขอแบ่งเครื่องประดับสักชิ้น แต่พ่อไม่ยอมจนสุดท้ายต้องเพิ่มค่าจ้างให้เป็นสองเท่าถึงจะเลิกรบกวนทั้งสามคนในวันนั้น
ข้าวของในหีบนั้นถูกหยิบออกมาดูทุกชิ้น และเก็บเข้าไว้ตามเดิม เว้นแต่รูปวาดใบนั้นที่เธอยังคงมองมันอย่างคุ้นเคย ความรู้สึกของเธอแปลก มันปะปนกันไปอย่างน่าประหลาด
รัก ผูกพัน แต่คั่งแค้นระคนเกลียด
ในคืนนั้นเธอไม่กล้านอนเหมือนอย่างเคยแม้ว่าจะมีพ่อกับแม่มานอนด้วยก็ตาม ห้องนั้นไม่ได้ใหญ่พอจะให้ทั้งสามคนนอนได้อย่างสบาย พ่อกับแม่จึงนอนกันที่พื้นทางเดิน
โดยก่อนนอนเธอขอร้องให้พ่อกับแม่ มัดเธอไว้ เถียงกันอยู่นานเพราะทั้งสองคนไม่ยอมทำ แต่ลูกก็อ้อนวอนอย่างสุดตัวด้วยความกลัว ‘หนูไม่อยากเจ็บอีกแล้ว มัดหนูไว้เถอะ’
พ่อฝืนใจเอาเชือกมามัดข้อเท้าลูกไว้กับขาเตียง โดยในครั้งแรกมัดไว้หลวมๆเพราะกลัวลูกเจ็บแต่ลูกยังกำชับต่อว่า สงสารหนูเถอะพ่อ เชือกมัดมันไม่เจ็บเท่าหรอกเชื่อหนูสิ คนเป็นพ่อจำใจดึงปมให้แน่นจนมีรอยยุบลงไปตามผิวของลูกสาว
คืนนั้นเธอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่แน่นอนว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางที่จะหลับลงได้เลย ทั้งสองคนเฝ้ามองลูกสาวอย่างสงสาร และสวดมนต์วนไปวนมาอยู่ตลอดคืน
ค่อนคืนผ่านไป ลูกสาวเริ่มส่งเสียงแปลกๆเหมือนทุกๆครั้ง เสียงครวญในลำคอที่เหมือนจะบอกว่าตน ทรมาน ทั้งสองคนพยายามเรียกให้ลูกตื่น แต่มันก็ไม่ได้อะไร
ลูกสาวลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาแข็งกร้าวและพยายามจะลุกเดินออกจากเตียง โดยที่ไม่ได้สนใจเชือกที่มัดอยู่แม้แต่น้อย เธอออกแรงครั้งแล้วครั้งเล่าจนเห็นว่าข้อเท้าของเธอเริ่มแดงและมีรอยเลือดซิบๆ คนเป็นแม่ทันไม่ไหวเข้าไปแก้มัดให้ลูก พ่อก็ดูจะไม่ห้ามเพราะรู้สกเช่นเดียวกัน
เธอเดินออกไปนอกห้อง แต่คราวนี้เธอไม่ได้ลงไปข้างล่างเหมือนอย่างทุกทีแต่เธอเดินตรงไปยังห้องพระที่ เอาของทั้งหมดวางไว้
เธอเดินตรงเข้าไปในห้องพระเหมือนรู้ว่าของที่เธอตามหา อยู่ตรงนี้ เธอหยิบเอารูปใบนั้นมาถือไว้ในมือ เพ่งมองอย่างพินิจ ท่านั่งของเธอเรียบร้อย ดูงดงามไม่ใช่จริตของชนชั้นล่าง
คนเป็นแม่คลานเข้าไปกราบร่างของลูกสาว เธอไม่ได้เคารพหรืออะไร แต่เพียงขอความเมตตาจากใครบางคนที่อยู่ในร่างของลูกสาว
‘ฉันขอเถอะ อยากได้อะไรบอกเรา อย่าทำร้ายกันเลย’ แม่ขอร้องทั้งน้ำตา
‘มันทำกรรุ จะเอาคืน’
ไม่ว่าจะถามไถ่อีกกี่ครั้งก็มีเพียงคำตอบเดิมๆไม่ได้มากไปกว่านี้ แล้วไม่นาน พี่ณีก็ล้มลงหลับไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
พี่ณีตื่นมาในตอนเช้าเพราะกับ ความฝันที่จำได้อย่างชัดเจน พ่อกับแม่เล่าให้เธอฟ้งว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่เธอไม่รับรู้ เธอจำได้เพียงว่าเธอ ฝัน
เธอเห็นตัวเองแต่งตัวประหลาด ชุดผ้าโบราณเครื่องประดับสวยงาม เธอเดินอยู่ในห้องมืดๆที่ไม่รู้จัก แต่กลับไม่กลัว ที่ตรงมุมนั้นมีร่างหนึ่งนั่งทรุดอยู่กับพื้น แม้ไม่มีแสงแต่มองเห็น
พื้นที่เปรอะเปื้อนด้วยของเสีย รอยเลือดเป็นทางตามพื้นและกำแพงจากการตะเกียกตะกายหนีออกจากที่ตรงนั้น หญิงสาวหน้าตาสะสวยแต่ตอนนี้บวมช้ำด้วยรอยทำร้าย สองมือสองเท้ามีโซ่ตรวนล่ามเอาไว้อย่างแน่นหนาจนเห็นรอยแผลลกตรงข้อเท้า ซ้ำยังมือที่ไม่เหลือเค้าเดิมจากการใช้เล็บตะเกียกตะกายไปตามพื้น
หญิงคนนั้นมองเธออย่างโกรธแค้น และเธอไม่มีวันลืมใบหน้านั้น ใบหน้าของคนที่เธอมักฝันเห็นในทุกๆคืน เธอเดินเข้าไปใกล้ทั้งที่ใจกลัว แต่ห้ามไม่ได้ หญิงสาวคนนั้นคลานลงที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในฝันนั้นเธอใช้เท้าเหยียบลงบนใบหน้าที่บวมช้ำอย่างสุขใจ
มืออันน่ากลัวนั้นจับเท้าของพี่ณีเอาไว้แน่น แน่นเหมือนจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดหายไป แรงนั้นมากขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามดึงออกแต่ก็ยังไม่พ้นจนที่สุดความเจ็บก็วิ่งแล่นผ่านมาจากเท้า เล็กที่ฉีกออกจนแหลมคมจิกลงบนเนื้อเธอเต็มแรง
เธอถีบคนตรงหน้าจนมือหลุดออก และเธอก็ตื่นมาครั้งหนึ่งในตอนที่ยังมืดอยู่ เธอเห็นพ่อกับแม่นั่งร้องไห้อยู่ในห้อง แต่เธอเรียกไม่ได้ ตรงหน้านั้นมีร่างของหญิงสาวคนเดิมนั่งจ้องมองเธออยู่แค่เอื้อม มือนั้นไล้ไปตามใบหน้า และกดน้ำหนักลงตรงคอ
ร่างที่มีแต่รอยบอบช้ำน้ำมองหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย กลิ่นลมหายใจเน่าเหม็นชวนอ้วก ปนกับกลิ่นของเสียนั้นรุนแรง เธอได้แต่ภาวนาว่า ฉันขอโทษ ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่มีวี่แววว่าจะมีการละเว้นใดๆ มีเพียงความทรมานกับลมหายใจที่ติดขัดเท่านั้นที่ชัดเจนขึ้น แต่แล้วก็มีแสงสว่างแสงหนึ่งสว่างขึ้นใกล้ๆกับตัวเธอ พี่ณีบอกว่ากระแสนั้นอบอุ่น และเย็นสบาย
เธอมองไม่เห็น เพียงแต่ได้ยินเท่านั้น ‘อาตมาขอบิณฑบาตสักครั้ง หญิงคนนี้ยังมีบุญอยู่พอจะมีหนทางให้เขารอด อาตมาขอให้โยมวางเสีย กรรมเก่าก็มากพอแล้ว อย่าสร้างกรรมใหม่เลย’
หญิงสาวตรงหน้าเหมือนเข้าใจ เธอคลายน้ำหนักที่มือออกแล้วถอยลงไปนั่งกับพื้น ก้มลงกราบแสงสว่างตรงหน้าก่อนจะหายไปในอากาศ ‘เมื่อตื่นแล้วจงมาหาอาตมา’
นั่นคือความฝันที่พี่ณีเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง
ในเวลาสายทั้งสามคนมาถึงวัดเดิมเพื่อมาพบหลวงตา หลวงตาห่มจีวรรออยู่ก่อนแล้ว สังฆทานที่บรรจงจัดมาถูกถวายและกรวดน้ำให้กับ เธอคนนั้น เพียงคนเดียว พี่ณีบอกว่า ‘พี่ไม่เห็น แต่พี่รู้ว่าเธออยู่ที่นั่นกับพี่’
หลวงตาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โยมจำได้แล้วใช่ไหม เธอพยักหน้า หลวงตาถอนใจว่ามันยากเหลือการที่จะโปรดทั้งคนและวิญญาณในครั้งนี้ กฎแห่งกรรมนั้นเกินกว่าจะล่วงเข้าไปเหยียบ แต่อย่างน้อยโยมก็สร้างบุญไว้มากจึงพอมีทางอยู่
อาตมาได้คุยกับเขาแล้ว เขาบอกว่าเขาจะยอมให้โยมได้ไถ่คืน แต่มีข้อแม้ว่า โยมต้องอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น อย่าย้าย นานเท่าไหร่ไม่รู้ และทุกวันโกน เขาจะมา แต่เขารับปากว่าจะไม่ทำร้ายเหมือนที่ผ่านมา แต่เขาจะมาตาม สัญญากรรมนั้น
และโยมต้อง ปฏิบัติ ให้จิตผ่องใส หมั่นทำบุญ และอุทิศให้เขาอย่างสม่ำเสมอ หนักจะเป็นเบา และสุดท้าย โยมต้องหาของมาคืนเขา ของที่เขารักมาก แต่เขาบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เพราะมันเป็นกรรมของโยม ต้องรู้เอง
หนูจะรู้ได้อย่างไร แล้วจะไปหาจากไหน เธอถามด้วยความร้อนใจ หลวงพ่อบอกว่ามันสุดแล้วแต่กรรมจริงๆ เขายอมไว้เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว อาตมาไม่ใช่ผู้วิเศษ ลบล้างกรรมใครไม่ได้ จะสงสารแต่โยมไม่เห็นใจที่เขาโดนทำร้าย นั่นก็ไม่ได้ ทางสายกลางนั่นคือสิ่งที่ควรเดิน มีเกิดมีดับ ไปตามวันและเวลา
เธอรับปากว่าจะทำตามอย่างที่หลวงตาบอก โดยไม่ลืมอ้อนวอนท่านไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ‘หนูคงได้มาหาท่านบ่อยๆหลังจากนี้ ขอหลวงตาเมตตาหนูด้วย’ หลวงตายิ้มอย่างอ่อนใจ
ไม่ได้หรอกยอม อย่างที่อาตาบอก มันสุดแล้วแต่กรรม วันนี้อาตมาช่วยได้เท่านี้ แต่วันหน้าหากโยมทำให้เขาใจอ่อนลงได้ เขาจะพาโยมไปเอง เขาจะยอมให้ยอมหลุดจากเขาเอง แต่นั่นจะไม่ใช่อาตมาอีกแล้ว
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดว่าทำไม พี่ณี ถึงเริ่มปฏิบัติ และเข้าวัดอย่างสม่ำเสมอ หลายปีที่เธอเพียรพยายามไม่เคยขาด นอกจากบุญที่สร้างแล้ว ธรรมที่ได้เรียนรู้ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้วาง และเข้าใจถึงการทวงถามจากความอาฆาตนี้ ในทุกๆวันโกน เธอคนนั้นจะมา และแฝงอยู่ในกายเธอ ให้กินไม่ได้ นอนไม่ปกติ บ้างก็มีรอยฟกช้ำ รอยขีดข่วนจากมือของตัวเอง โดยที่ไม่มีใครเคยเห็นช่วงที่มันเกิด แม้ว่าจะนอนเฝ้าก็ตาม
เมื่อฟังแล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไม หลวงพ่อถึงเรียกให้ผมฟัง มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ คำที่ผมได้ยินจนชินหู และเหมือนเป็นการบอกตัวเองว่า เราปฏิเสธไม่ได้ เสียแล้ว
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเล่าบ้างว่า ผมเป็นอย่างไร พี่ณีฟังนิ่งๆ ไม่ตกใจหรือประหลาดใจ เพราะเรื่องของเธอนั้นน่าประหลาดกว่าเยอะ และหลวงพ่อก็ขอให้ผมไปที่บ้านหลังนั้น โดยให้ไปในวันโกน วันที่เธอจะมา
ผ่านไปหลายวันจนถึงวันนัด ผมมารออยู่ก่อนเพราะอยากสนทนากับหลวงพ่อท่าน หลายอย่างที่ท่านสอน หลายอย่างที่ท่านเตือน และมันก็เหมือนจะจำเป็นจริงๆ กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น จนถึงเวลาที่พี่ณีจะมารับ
รถยนต์คันใหญ่ขับเข้ามาจอดพร้อมกับคนทั้งสามคน ผมกล่าวทักทายทั้งสามคนอย่างเขินๆ ดีที่พ่อกับแม่ของพี่ณีใจดีคุยง่าย ทั้งสองคนเข้ามากอดผมขอบคุณยกใหญ่ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ผมไม่รู้เลยว่าคืนนั้นมันจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่เอาติดตัวไปตอนนั้นเรียกได้ว่าก็แทบจะครบทุกอย่างที่มีเก็บไว้ ‘เผื่อเอาไว้’ นั่นคือคติประจำใจของผม แต่ก็มักจะโดนเอ็ดเอาว่า ‘เอาไปเท่าที่จำเป็น’ คำพูดประจำของ ท่าน
เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งมันต้องเดินทางไกลพอควร ระหว่างทางจึงได้พูดคุยกันบ้าง บ้านหลังนั้นตอนนี้ไม่เหมือนเดิม มีร่องลอยขุดไปเสียทั่วโดยเฉพาะ โรงรถ ตอนนี้ทุบออกจนหมด ทิ้งซากปูนเอาไว้เกะกะ คงเพราะต้องการหาของนั้นอย่างที่หลวงตาบอก แต่มันก็ไม่เคยเจอ
ผมเดินไปตรงที่เป็นโรงรถโดยมีพ่อตามมา ‘พอขุดก็เจอ มันเป็นเรือนเก่าอย่างที่เขาว่า แต่มารู้ทีหลัง ใต้เรือนมันเป็นคุก อยู่ลึก ถัดไปอีกหน่อย คงจริงอย่างที่เขาฝัน’ คนเป็นพ่อเล่าด้วยท่าทางอ่อนใจ
ผมหยิบเอาน้ำมนต์เทลงไปรอบๆที่ดิน อีกครั้งที่ รู้ ว่าต้องทำอย่างไรโดยไม่ต้องเรียนหรือถูกสอน เพียงแค่ รู้ เท่านั้นว่าต้องทำอะไร แต่เมื่อภายหลังก็ต้องมาเรียนรู้อีกว่าสิ่งที่ทำตอนนั้นคืออะไร
ผมขอข้าวสารในบ้านมาประมาณหนึ่งโปรยไปทั่วบริเวณบ้าน พร้อมบอกให้พ่อหุงข้าวสาวหม้อใหญ่ โรยตามหลังผมมา โรยให้ทั่ว อย่าให้มีช่องว่าง
ห้องพระของบ้านที่ตอนนี้สว่างไสวด้วยไฟหลายดวง ผมบอกให้พี่ณีไปไหว้พระ กรวดน้ำให้สัมภเวสีเหล่านั้นที่รออยู่ เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่ เธอคนนั้น แต่ยังมีวิญญาณอีกหลายดวงห้อมล้อมจนน่าอึดอัด
เวลาล่วงเลยไปจนดึก แต่เธอคนนั้นก็ยังไม่มาเสียที ทั้งสามคนดูแปลกใจ ผมกราบพระและขอให้ ท่าน เปิดทางให้เธอเข้ามาเถิด โดยก่อนหน้านี้พี่ณีถามผมว่า เธอต้องทำอะไรไหม ผมนึกขึ้นได้ในตอนนั้น โดยให้เธอจุดธูป 16 ดอกบอกกล่าว ทั้ง 3 ภพ
‘หากข้าพเจ้า.... ถึงเวลาที่จะหลุดจากบ่วงแห่งกรรม หากเวลาแห่งการชดใช้นั้นมาถึงแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงปรากฏและทวงความเป็นธรรมจากตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมจะชดใช้กรรมนั้นด้วยใจอันบริสุทธิ์ ให้มันจบลงแต่เพียงชาตินี้’
*** คำเตือนนะครับ กรุณาอ่านอย่างตั้งใจ ห้ามนำคำพูดเหล่านี้ไปใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนั่นมันจะหมายถึงเราบอกให้เจ้ากรรมเขามาทวง ซึ่งมันหนักเกินไปสำหรับคนทั่วไป แต่ในกรณีนี้พี่ณีปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่ง เธอรู้และเข้าใจว่า มันหนักหนาและน่ากลัว แต่นั่นคือความเต็มใจที่จะชดใช้ แต่สำหรับคนที่ยังมีชีวิต ปกติ ขอห้ามไว้ตรงนี้อีกครั้งครับ ที่พิมพ์ให้อ่าน เพราะอยากให้รู้ไว้เพียงเท่านั้น ****
ไม่นานเกินรอเธอคนนั้นก็มา และคราวนี้เธอไม่มีอาการรุนแรงเหมือนอย่างทีได้เล่าไป ผมพยายามพูดคุยกับเธอ แต่แล้วก็ไม่ได้ความ ผมจุดธูปหนึ่งดอกปักลงตรงหนักเธอ เพื่อเป็นสื่อ ชื่อนั้น ลืมไปแล้ว สิ่งที่ผมได้คำตอบ
ตามมานานเท่าไหร่.... ไม่รู้ ลืมไปแล้ว
กี่ชาติ.... ไม่รู้ รู้แต่รอ
ไม่ผิดคนใช่ไหม... ไม่มีวัน จำได้ แค้น แค้น แค้น
ปล่อยเขาได้ไหม ถึงเวลาหรือยัง.... เธอไม่ตอบแต่พยักหน้า
พ่อกับแม่ดีใจกอดกันอย่างมีความสุข และเมื่อมาถึงสิ่งที่พี่ณีต้องตามหา ของที่เธอพรากไป ผมถามว่ามันคืออะไร แต่แล้วก็ไม่ได้ความ เธอตอบไม่ได้ ผมขอให้เธอถอยไปก่อน คงต้องคุยกับพี่ณี
ผมให้พี่ณีทำสมาธิแล้วบอกกับเธอว่า ให้ตามจิตตนไป ไม่ว่าเห็นอะไรจงจำ และมาบอกผม ผมขอบารมีของ ท่าน ให้ช่วยนำทางจิตทั้งสองดวงนั้น เพื่อปลดบ่วงที่มัดแน่นหนาเหลือเกิน
ผมไม่ได้เห็นในสิ่งที่พี่ณีเห็น แต่เราสามคนคือผม พ่อ และ แม่ เห็นพี่ณีน้ำตาไหลออกมาอย่างกะทันหัน เธอสะอื้นรุนแรงเหมือนเสียใจ เธอคลายจากสมาธิ แล้วกราบพระด้วยเสียงสะอื้น
เธอหันมาบอกกับผมว่าเธอรู้แล้วว่า อะไรที่เธอพรากไป เธอใช้เวลาต่ออีกหน่อยก่อนจะสงบสติอารมณ์ได้ ลูก นั่นคือคำตอบ
พี่ณีร้องไห้ด้วยความเสียใจ เมื่อรู้ว่าตนเป็นคนเริ่ม ก็ไม่กล้าจะกล่าวโทษใครอื่นอีก แต่แล้วเธอก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาไป เธอกลับมาแฝงอยู่ในตัวพี่ณี
ผมถามย้ำว่าใช่สิ่งที่พี่ณีรับรู้หรือไม่ เธอพยักหน้าช้าๆ แล้วเริ่มส่งเสียงครวญอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แปลกออกไป สองมือนั้นทำท่าเหมือนประคองบางอย่าง เสียงนั้นเศร้า และหวานจับใจ เพลงกล่อมเด็กที่ผมไม่เคยได้ยิน อาจเพราะรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น น้ำตาผมไหลตาม
แต่แล้วความเศร้าก็เปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด เธอเริ่มเอามือของพี่ณีข่วนลงไปบนพื้น อย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ผมคว้ามือเอาไว้ แต่สู้แรงไม่ไหว พ่อกับแม่ก็เช่นกัน เธอส่งเสียงแข็งออกมาทั้งที่ยังกัดฟัน
เอามา เอามา เอาคืนมา!
เธอไม่เหลือสติจะพูดคุยอีกแล้ว และไม่รู้ด้วยว่า ลูก ที่เธอบอกนั้นอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร แต่ถ้าเธอรออย่างนี้ แสดงว่า ลูกเธอต้องติดอยู่ที่นี่เช่นกัน ผมเดินเอาธูปไปจุดหนึ่งดอกปักลงกลางดินข้างล่างบ้าน ขอให้ใครก็ตามที่รู้ หรือตัว ลูก เองมาบอกทีว่าเขาอยู่ที่ไหน
ตูม!
เสียงของชิ้นใหญ่หล่นลงตรงคลองเล็กๆหลังบ้านออกไป แต่แปลกที่มันดังชัดเจนเหมือนอยู่ใกล้ ผมวิ่งขึ้นมาบนบ้านดูพี่ณี เธอเหมือนกระตุกและได้ยินเสียงนั้น เธอวิ่งไปตามเสียงที่ได้ยิน เราต้องรีบวิ่งตามไปในทันที ไฟฉายในมือส่องไปตามทางที่พี่ณีวิ่งไป
เธอหยุดลงที่ตรงใต้ต้นไม้ใกล้กับคลอง เธอยืนนิ่งเหมือนไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ ธูปอีกดอกหนึ่งปักลงตรงดินเพื่อขอเปิดทางให้แก่ดวงวิญญาณ เธอในร่างของพี่ณี เดินไปยังโคนต้นไม้นั้น
เธอทรุดตัวลงแล้วใช้มือขุด ขุด และขุดต่อไป พ่อวิ่งไปหยิบเอาจอบมาช่วยขุด แต่แล้วก็เหมือนจะไม่สามารถทำได้ เพราะครั้งนี้ ทุกคนเห็นเธอคนนั้น ยืนขวางเอาไว้ เธอกันเราออกจากพี่ณี ไม่ให้เข้าไปยุ่ง สายตานั้นดุร้าย สภาพที่เห็นช่างน่ากลัว แผลเหวอะหวะฟกช้ำนั้น น่าเกลียด ใบหน้าบวมช้ำไร้เค้าโครงความงามอย่างในรูปวาด
หลุมนั้นลึก ใช้เวลาขุดอยู่นานเป็นชั่วโมง คงไม่ต้องบอกว่าสภาพมือนั้นน่ากลัวขนาดไหน ผมขนลุกกับแผลเหวอะหวะตามนิ้วที่เต็มไปด้วยดินโคลน
กึก!
เสียงกระทบกันของของแข็ง เธอหยุดแล้วก็เจอว่ามันเป็นกล่องไม้เนื้อแข็งขนาดประมาณเท่ากับลังเบียร์สัก6ลังต่อกัน เธอขุดต่อไปอีกจนในที่สุดก็เห็นภายในตรงส่วนที่ผุพัง
กะโหลกเล็กๆถูกใส่ไว้ในนั้น และยังมีเศษกระดูกอื่นอีกหลายชิ้น ตามเศษนั้นมีเครื่องประดับโบราณวางอยู่ แต่ที่น่าขนลุกคือตรงหน้าผากนั้นมีรูอยู่ ทางไสยนั้นถือวันเป็นการสะกดที่รุนแรงอย่างหนึ่ง ดวงวิญญาณจะไม่รับรู้วันคืน และไม่สามารถไปเกิดได้
เธอในร่างพี่ณีหอบเอาสิ่งที่เห็นนั้นมากอดแล้วร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ร้องไม่หยุด ร้องจนเสียงแหบแล้วร่างนั้นก็หมดสติไป
นานสองนานเธอก็ไม่ตื่นขึ้นมา พวกเราทำได้แค่ รอ ให้ฟ้าสาง เท้านั้น
เมื่อรุ่งเช้ามาถึงผมบอกให้พ่อไปนิมนต์หลวงพ่อมาที่นี่จะดีกว่า มันคงสิ้นสุดแล้วจริงๆ หลวงพ่อมาถึงด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ใช่ด้วยความดีใจ แต่เป็นเมตตา
หลวงพ่อเดินไปหาพี่ณีที่ยังคงหลับอยู่ ‘ตื่นเถิด’ หลวงพ่อพูดเบาๆ
พี่ณีตื่นขึ้นมาในทันทีและ กราบลงตรงเท้าของท่าน เธอ ในร่างนั้นยังไม่ไปไหน เธอยังร้องไห้ครวญครางต่อ หลวงพ่อปล่อยให้เธอเงียบลงก่อนจึงพูดต่อ ‘ส่งเขาไปเกิดดีกว่าไหม’
เธอพยักหน้ารับแบมือเอากะโหลกให้หลวงพ่อดู แต่คราวนี้มันเป็นเพียงเศษกระดูกเล็กๆเท่านั้น ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ แต่ทั้งสามคนยืนยันได้ว่าที่เห็นตอนนั้นเป็นกะโหลกแน่ๆ
หลวงพ่อแตะลงไปบนเศษซากนั้น ‘ขอพุทธคุณจงปลดปล่อยเด็กน้อยจากอวิชชาทั้งปวง’
เงาร่างจางๆของเด็กคนหนึ่งคล้ายปรากฏให้เห็น พร้อมกับที่พี่ณีค่อยได้สติคืนมาวูบหนึ่ง เราเห็นเธอกับลูกได้เจอกันแล้ว แต่ความต่างนั้นมีมากเกินไป
ปล่อยเถิด ลูกเจ้าต้องไปแล้ว แต่เจ้าไปไม่ได้ หลวงพ่อเปรย
เด็กน้อยค่อยจางไปพร้อมกับพี่ณีที่เธอเบียดอีกครั้ง หลวงพ่อถามว่าอยากส่งลูกไหมเธอพยักหน้า แล้วหลวงพ่อก็บอกให้พ่อขนทุกอย่างไปใส่ไว้ในหลุมตรงเรือนเล็กนั้นทั้งหมด
ข้าวของทุกชิ้น หีบใบนั้น กระดูกที่เจอ ทั้งหมดถูกใส่ลงไปในหลุมนั้น หลวงพ่อล้อมสายสิญจน์และเริ่มสวดส่งวิญญาณให้เด็กน้อย ก่อนที่ไฟจะถูกจุด เธอหันมายังผม นั่งลงกับพื้นและขอกับใครบางคนที่ผมรู้ดีว่า ไม่ใช่ผม แต่เธอมองเหนือขึ้นไป ผ่านเลยผมไป
‘โปรดรับลูก ไปด้วย’ เธอพยายามพูด หากแต่จิตที่ดำมืดเช่นนี้ยากต่อการเจรจา
‘เด็กน้อยไร้ความผิด เราจะรับ’
เธอคงได้ยินเสียงนั้นพร้อมๆกับผม เธอหันกลับไปยังหลุมตรงหน้า ไฟถูกจุดเป็นสัญญาณแห่งการสิ้นสุดพันธะนั้น
เธอถอยออกไปเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่หลวงพ่อยังเรียกให้มาคุยกันต่อเหมือนกับที่ผมต้องการจะพูด
โยมรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่จุดจบ พี่ณีรับคำ คราวนี้บ่วงหนึ่งหลุดไป แต่สิ่งที่โยมกระทำไม่ได้หายไป เขาจะยังคงเป็นเจ้ากรรมของโยม และจะทวงถามจนกว่าวันหนึ่ง โยมจะไม่หายใจ แต่หลังจากนี้ก็สุดแล้วแต่เขา คงไม่เป็นอย่างเดิมอีก แต่โยมต้องปฏิบัติต่อไปเช่นเคย กรรมอย่างไรก็คือกรรม
พี่ณีมองแผลในมือตัวเองที่ตอนนี้ผมมองและขนลุก เพราะมันดูเจ็บมาก เธอเปรยเบาๆก่อนจะกราบหลวงพ่อ ‘แผลเท่านี้มันเท่ากับที่เราทำกับเธอหรือยังนะ’
เรื่องราวมันจบลงที่ตรงนั้น หลวงพ่อท่านออกธุดงค์จากไปในไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อถามถึงหลวงตาที่พี่ณีเล่า ท่านก็ออกธุดงค์ไปแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น ‘ท่านคงต้องไปโปรดคนเขลาอย่างพี่อีกหลายคน’ พี่ณีบอกกับผม
พี่ณีอยู่ในศีลและปฏิบัติเท่าที่ตัวเองจะทำได้ เธอทำงานตามหน้าที่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย และเมื่อไหร่ที่เธอ หมดภาระและหน้าที่ เธอจะหันหน้าเข้าผ้าขาวและไม่กลับออกมายังโลกภายนอกอีก นั่นคือสิ่งที่เธอบอกกับผมก่อนเราจะตัดการติดต่อกันไป
..........................................................................................................................................................
บุญใดที่เราได้ทำมา เราขออุทิศให้เธอและผู้เกี่ยวข้องในเรื่องราว และขออนุโมทนาที่เธออนุญาตให้เราได้ เล่า เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ขอเธอจงสู่สุขคติในเร็ววัน ขอแสงแห่งธรรมจงนำเธอสู่ความสุขนิรันดร์ นั้นเทอญ
............................................................................................
...................................................................
เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ไม่ต้องเชื่อ หากไม่เชื่อ ขอเพียงอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ขอบคุณครับ
.................................................................................................................................................................
Post a Comment