ครอบครัว...ในบ้านเช่า
หูยยยยยย..... ว่ากันว่าทุกที่ย่อมมีวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่อาศัยนั้น อาจจะมีผู้อาศัยเก่าที่ยังไม่ได้ย้ายออกอาศัยร่วมกับเราด้วย วันดีคืนดีเราอาจจะเจอโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เป็นได้ เรื่องต่อไปนี้ "ครอบครัว...ในบ้านเช่า" จากคุณลอยชาย หรือ LoyChinE จากพันทิปนักเล่านักเขียนที่ฝากผลงานไว้มากมาย มีเรื่องดังกล่าวไว้ตอนต้น และขอขอบคุณเรื่องดีๆจาก คุณลอยชาย ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สวัสดีครับ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับ ‘คนรู้จัก’ ของผมซึ่งตัวผมเองก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้จนมีโอกาสพบเจอกับเรื่องราวแปลกๆในบ้านหลังนั้น เรื่องที่จะเล่าส่วนหนึ่งมาจากคำบอกเล่าและพูดคุยกันกับเจ้าตัว แล้วนำมาเขียนใหม่ด้วยคำพูดของผม และมีเรื่องราวในส่วนที่ผมได้พบเจอรวมเข้าไปด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากสาวโสดวัยทำงานคนหนึ่งผมขอเรียกเธอว่า พี่ส้ม แน่นอนว่าเป็นนามสมมตินะครับ พี่ส้มเป็นสาวโสดที่ยังไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับความรักสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนเก่งในหลายๆด้านจนสามารถสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ไม่น้อย แม้ว่าทางบ้านนั้นจะไม่อำนวยให้เธอสักเท่าไหร่
พี่ส้มหลังจากจบจากมหาวิทยาลัยได้ไม่นานก็หางานทำใกล้ๆบ้านก่อน แต่ก็ไม่หยุดความพยายามที่จะหางานใหม่ที่มั่นคงกว่าและตอบโจทย์ของเธอได้มากกว่า และในที่สุดความพยายามของเธอก็สัมฤทธิ์ผล เธอได้งานที่มีค่าตอบแทนค่อนข้างดี แต่ว่าเป็นจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่ในละแวกบ้านของเธอ
พี่ส้มได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ แม้ว่าจะเป็นจังหวัดที่ไกลจากบ้านเดิมมากนักแต่มันก็ถือว่าใหม่ สำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว พี่ส้มหาที่พักอย่างเร่งรีบโดยที่มีข้อจำกัดด้าน การเงิน เพราะฐานะทางบ้านของพี่ส้มนั้นก็ไม่ได้ถือว่าจะดีเท่าไหร่นัก มีเพียงพี่ส้มและพี่สาวอีกหนึ่งคนที่คอยช่วยกันหาเงินจุนเจือครอบครัว
ในที่สุดพี่ส้มก็หาบ้านพักได้อย่างที่ต้องการ บ้านที่หาได้นั้นเป็นบ้านทาวเฮาส์คูหาเล็กๆในเขตชุมชนหนึ่ง ซึ่งสะดวกในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน และการเดินทาง แต่ที่ถูกใจเธอมากที่สุดคงจะเป็น ค่าเช่าบ้านที่ถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับราคาทั่วๆไปตามท้องตลาด เมื่อทราบราคาแล้วเธอก็รีบตอบตกลงทันทีทั้งที่ยังไม่ได้เข้าไปดูสภาพภายในเลยสักนิด
เธอย้ายของเข้าบ้านในไม่กี่วันถัดมาเพื่อให้ทันเวลาเริ่มงานที่กระชั้นเข้ามาทุกที ทุกๆอย่างดูจะเป็นไปได้ด้วยดี หลังจากที่ทุกคนมาช่วยเธอย้ายของเข้าบ้าน จัดข้าวจัดของ จนแน่ใจแล้วว่าเธอจะอยู่ที่นี่ได้ ญาติๆจึงลากลับไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อ
ในช่วงแรกๆที่เริ่มงานนั้นเธอยังคงอยู่ในช่วงเรียนรู้งานทำให้ยังไม่มีภาระให้รับผิดชอบมากนัก เธอจึงพอมีเวลาว่างในช่วงเย็นๆให้ได้มาเดินดูรอบๆชุมชนที่เธออาศัยอยู่ หากับข้าวกับปลากินอย่างมีความสุข
เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มาอยู่ใหม่ บรรดาแม้ค้าและคนแถวนั้นต่างก็ทักทายเธอตามประสา โดยปกติแล้วเธอเป็นคนจิตใจดีและเข้ากับคนได้ง่ายทำให้ใครๆก็เริ่มรู้จักเธอ แต่เมื่อเธอบอกถึงที่อยู่อาศัยของเธอแล้วทุกคนที่ได้ยินต่างก็มีปฏิกิริยาแปลกๆไปตามๆกัน
‘อยู่บ้านนั้นไม่กลัวหรอ ไม่เจออะไรหรอ’
ประโยคเดิมๆที่เธอได้ยินทุกครั้งหลังจากที่เธอเล่าเรื่องบ้านที่เธอเช่าอยู่ และก็เป็นที่แน่นอนว่าเธออดไม่ได้ที่จะกังวล และถามหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านหลังนั้น ว่ามันมีประวัติอะไรหรือเปล่า แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมานั้นก็เป็นเพียงการบอกปัดไปของคนอื่นๆเท่านั้น อาจเป็นเพราคงจะกลัวว่าเธอจะกลัวจนอยู่ไม่ได้ หรือว่าไม่อยากพูดถึง อย่างไรก็แล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้สนิทกับผู้คนนั้นจนจะซักถามอะไรได้มากมาย
แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาได้สักระยะแล้วแต่ก็ยังไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่เธอได้ยินมาจากเพื่อนบ้านและคนในละแวกนั้นรบกวนจิตใจเธออยู่ไม่น้อยจนบางครั้งก็ทำให้เธอเผลอคิดอะไรไปเองในตอนที่อยู่คนเดียว
จนเวลาผ่านมาถึงเดือนที่สองเธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆกับบ้านหลังนี้ เพราะบางครั้งเธอเริ่มที่จะมีภาระงานมากขึ้นทำให้เธอต้องกลับดึกบ้าง บางทีก็ต้องหอบเอางานกลับมาทำต่อที่บ้านจนดึกดื่น บางคืนกว่าจะได้หลับก็ปาเข้าไปตีสองตีสาม และทุกๆครั้งที่เธอต้องนอนดึกจากการสะสางงานที่คั่งค้างเธอจะรู้สึกเหมือนกันว่า มีใครบางคนอยู่ในบ้างหลังนี้กับเธอ เธอเคยพยายามปลอบใจตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนเกินไป
และที่ดูจะทำให้เธอวิตกมากที่สุดคงจะเป็นคำทักทายจากเพื่อนบ้านในบางวันที่เธอต้องกลับดึก มีอยู่คืนหนึ่งเธอมัวทำงานจนเพลินเลยทำให้กลับมาถึงบ้านในเวลาราวๆสี่ทุ่มเห็นจะได้ เธอเดินผ่านเพื่อนบ้านที่กำลังตากผ้าอยู่หน้าบ้าน เธอยิ้มทักทายให้เหมือนปกติ แต่เพื่อนบ้านกลับตอบเธอกลับมาว่า
‘อ้าว ออกไปซื้อของมาหรอ เห็นเดินผ่านไปรอบนึงแล้ว ไหนล่ะกับข้าว’
ในตอนนั้นเธอไม่เข้าใจและได้แต่ทำหน้างงๆกลับไปเท่านั้น เพื่อนบ้านก็ดูเหมือนจะงงกับอาการของเธอเช่นกัน เธอกลับเข้าบ้านมาด้วยความกังวลที่เริ่มมากขึ้น เธอเริ่มเกิดความระแวงในการอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้จนเธอต้องเปิดไฟให้สว่าง เปิดโทรทัศน์เป็นเพื่อนเพื่อลบความเงียบให้หายไป
ความกังวลของเธอเริ่มมากขึ้นจากความรู้สึกอันเลือนรางที่ว่าเหมือนมีใครบางคนอาศัยอยู่ร่วมกับเธอ จนในคืนหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำความกังวลของเธอก็เกิดขึ้นโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆจะเที่ยงคืนแล้ว เธอนอนเอนหลังอยู่ที่โซฟาพร้อมกับพิมพ์ในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเธอ เธอเริ่มรู้สึกล้าจากการพิมพ์งานติดต่อกันหลายชั่วโมง เธอผละเอาโน๊ตบุ๊ควางไว้ข้างตัว เร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้น เปิดหารายการเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของเธอ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าสะสม จึงทำให้เธอง่วงๆ และในคอนที่เธอกำลังจะผลอยหลับไปนั้น หางตาของเธอก็มองไปเห็นเงาดำๆเงาหนึ่ง วิ่งผ่านหางตาไป เงานั้นมีรูปร่างเหมือนคน แต่ไม่สูงมากนักจิตใต้สำนึกของเธอบอกว่าน่าจะเป็นเงาของ เด็ก
ในตอนเช้าพี่ส้มสะดุ้งตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้ให้ปลุกเธอในทุกๆวัน เธอเหลือบไปดูนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบจะสายแล้ว เธอจึงรีบร้อนจัดการธุระส่วนตัวของเธอให้เสร็จและไปนั่งรอรถประจำทางที่หน้าปากซอย ในระหว่างที่นั่งรอรถอยู่นั้นเธอก็นึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนที่เธอจะหลับไป เธอจำมันได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะแน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจริง ลึกๆในใจของเธอเริ่มจะกลัว แต่ก็ยังคงให้กำลังใจตัวเองว่า อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าก็ได้จำทำให้ตาฝาดไป
เย็นวันนั้นเธอรีบกลับบ้านมาตั้งแต่หัววันโดยไม่ได้ทำงานล่วงเวลาเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา เพื่อที่ว่าเธอจะไปเดินเล่นแถวชุมชนที่เธออยู่เผื่อว่าจะไปหลอกถามเรื่องราวจากใครมาได้บ้าง แล้วยังเป็นการผ่อนคลายตัวเองจากความเครียดของกรทำงานอีกด้วย
เธอเดินไปตามถนนในซอย ลัดเลาะไปตามช่องเล็กๆผ่านตลาด เพื่อหากับข้าวมารับประทานในตอนเย็น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ถูกใจเธอสักที จนเธอเดินมาเจอร้านบะหมี่ที่มีขายอยู่ทั่วประเทศ เธอจึงเลือกที่จะเข้าไปจัดการกับมื้อเย็นของเธอที่นั่น
ระหว่างที่เธอนั่งรอบะหมี่เธอก็ชวน เฮีย เจ้าของร้านคุยไปเรื่อยเปื่อย หน้าตาน่ารักๆกับอัธยาศัยที่ดีของเธอจึงทำให้เฮียยอมคุยกับเธอได้โดยง่าย เธอคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยจนวนกลับมาที่เรื่องบ้านพักของเธอ เธอยังไม่ได้บอกเฮียว่าเป็นเธอเองที่อาศัยอยู่ในนั้น บอกแต่เพียงว่าได้ยินคนเขาเมาท์กันแต่ไม่ชัดเจน
‘ อั๊วก็ไม่รู้มากหรอก อั๊วก็เพิ่งมาอยู่ได้ปีเดียวเอง แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างแหละ ไอ้บ้านเช่าที่ถัดจากนี่ไป สามสี่ซอยใช่ไหม ก็เห็นว่ามีผีนะ ถ้าจำไม่ผิด อั๊วก็เห็นว่ามีคนมาเช่าบ่อยนะ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเจ้ากันหมด เหมือนอยู่ไม่ได้ ’
คำตอบของเจ้าของร้านบะหมี่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก เธอเดินกลับบ้านด้วยคำถามมากมายในใจ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ? แล้วถ้ามันเกิดขึ้นกับเราล่ะ? เราจะทำอย่างไรดี
แล้วในระหว่างทางกลับบ้านนั้นเองเธอก็มองเห็นว่ามีร้านขายสังฆทานถัดไปอีกแยกหนึ่ง เธอรีบเดินตรงไปยังร้านสังฆทานนั้น เธอเลือกบูชาพุทธรูปองค์เล็กๆมาองค์หนึ่ง หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้ แล้วถ้ามันจริงอย่างที่เขาว่า ก็หวังว่าพระท่านจะช่วยคุ้มครองเธอจากสิ่งที่เธอกลัวได้ไม่มากก็น้อย
ในคืนนั้นเธอเปิดไฟสว่างทั้งบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ห้องเดียว โทรทัศน์ที่เปิดเป็นเพื่อนก็เร่งเสียงให้ดังกว่าปกติ เธอโทรหาเพื่อนสนิทให้คุยเป็นเพื่อนพร้อมกับเล่าเรื่องที่เธอไม่สบายใจให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็แนะนำให้เธอย้ายออกเพื่อความสบายใจ แต่เธอก็ยังลังเลใจ เพราะว่ามันก็ยังไม่ครบสัญญาที่ทำไว้กับทางเจ้าของเลย เมื่อเธอคิดไปถึงเงินประกันที่จ่ายไป ก็ตัดสินใจไม่ย้ายออก
ในคืนนั้นเธอคุยกับเพื่อนไปพลางทำงานไปพลาง ทุกๆอย่างดูเรียบร้อยดี อาจเป็นเพราะพุทธรูปที่เธอเพิ่งบูชามาก็เป็นได้ เธอคอยเหลือบตาไปมองพุทธรูปองค์เล็กๆที่วางไว้หลังโทรทัศน์อยู่ตลอด เหมือนกับกลัวว่ามันจะหายไป
เธอทำงานจนรู้สึกเพลีย จึงลุกจะไปอาบน้ำ ซึ่งห้องน้ำนั้นอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน เธอเดินไปถึงราวตากผ้าก็หยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมตัวไว้ และในตอนที่เธอเดินผ่านบันไดเพื่อจะขึ้นไปชั้นบนนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเล็กๆดังมาจากใต้บันได
‘ฮิ... ฮิ...’
เสียงเล็กๆใสๆของเด็กวัยไม่เกิน 6 7 ขวบ ดังขึ้นมาเบาๆ แต่ชัดเจน เธอตกใจมาก จึงรีบวิ่งขึ้นห้องนอนทันที จนลืมเรื่องอาบน้ำไปเสียสนิท ในคืนนั้นเธอไม่กล้านอน เธอเปิดไฟสว่างจ้า พยายามหาอะไรในโทรศัพท์เล่นเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ หรือรู้สึกถึงความเงียบ แต่แล้วความเหนื่อยล้าจากการทำงานก็มากเกินกว่าที่เธอจะทนไหว เธอจึงหลับไปในที่สุด
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอหลับไป เธอบอกว่าเธอค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก เหมือนกับได้ยินเสียงบางอย่างที่ใกล้ๆหูจนต้องตื่น เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาทีละนิด เธอมองไปข้างนอกหน้าต่างก็เห็นว่ายังมืดอยู่ และด้วยแสงสว่างจ้าจากไฟนีออนบนเพดานทำให้เธอต้องหยีตาเพื่อปรับสภาพ
เธอขยี้ตาอยู่ครู่หนึ่งจึงหันบิดพลิกตัวไปอีกข้างหนึ่งเพื่อจัดท่าทางการนอนให้สบายขึ้น แล้วเธอก็ต้องตกใจจนติแทบจะหลุดหายไปพร้อมๆกับที่ขนและเส้นผมทั่วทั้งตัวเธอลุกด้วยความกลัวอย่างจับใจ เมื่อตรงหน้าเธอปรากฏเป็นร่างจองเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุไม่น่าจะเกิน 7 ขวบนั่งยองๆเอามือสองข้างเท้าคางจนแก้มยุ้ย นั่งมองเธอด้วยความสงสัย ภาพตรงหน้านั้นอาจจะดูน่ารักถ้าหากว่าเด็กคนนั้นไม่ได้มีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆจนเป็นสีม่วงสีเขียว และตามตัวยังคงมีรอบแผลอีกหลายแผล และที่ทำให้เธอกลัวที่สุดคงจะเป็นรอยแผลตรงศีรษะที่แตกจนเห็นเป็นรอยแยกอย่างชัดเจน
‘พี่สาวเป็นใครคะ ทำไมมานอนในห้องหนู’
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆตรงหน้าถามเธอด้วยน้ำเสียงใสๆ เธอหลับหูหลับตากรี๊ดอย่างสุดชีวิต เธอไม่รู้ว่าเธอกรี๊ดอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ จนเธอได้สติกลับมา เธอค่อยๆเอามือที่ปิดหน้าอยู่ออกจึงพบว่าเด็กตรงหน้าเธอนั้นได้หายไปแล้ว เธอรีบลุกจากเตียงวิ่งไปหยิบเอากระเป๋าและใส่ข้าวของที่ต้องใช้ทำงาน แล้ววิ่งออกจากบ้านไปในทันที
พี่ส้มบอกว่าในตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาสักตี4 ตี 5 ได้เพราะเริ่มมีคนกวาดถนนมาทำงานแล้ว รถประจำทางก็เริ่มวิ่งเธอโบกรถคันที่มาถึงเป็นคันแรกโดยไม่ได้สนใจเลยว่ารถคันนั้นจะพาเธอไปลงที่ป้านไหน ขอเพียงเธอพ้นจากตรงนี้ไปได้ก่อนกพอ เพราะเหตุการณ์ในคืนนี้ไม่ใช่เงาดำๆที่เธอเห็นหางตาอีกแล้ว แต่มันชัดเจนจนเหมือนจริงเกินไป
เธอมาถึงที่ทำงานตั้งแต่เช้าโดยยังไม่มีใครมาถึงเลย เธอเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวในห้องที่ทำงานจัดไว้ให้ จนมีรุ่นพี่เข้ามาทำงานตามเวลาปกติ เธอรีบวิ่งเข้าไปหาพี่ๆที่ทำงานและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง คนฟังดูตกใจไปตามๆกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี และเธอก็เพิ่งจะมาทำงานได้ไม่นานนัก ยังไม่สนิทพอที่จะไปค้างบ้านใคร หรือใครที่จะมาค้างเป็นเพื่อนเธอ
‘งั้นไปนิมนต์พระมาไล่ผีไหม แล้วไปฉลองกันจะได้ลืม พี่เลี้ยงเอง’
พี่คนหนึ่งในแผนกเสนอความคิดขึ้นมาซึ่งทุกๆคนก็ดูจะเห็นด้วย เพราะน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ตัวพี่ส้มเองก็เห็นด้วยเช่นกัน มันคงเป็นความคิดที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว ในวันนั้นทั้งวันพี่ๆไม่ได้มอบหมายงานให้เธอทำมากนัก เนื่องจากต้องการให้เธอพักผ่อนและสงบจิตสงบใจให้ได้เสียก่อน
เมื่อถึงเวลาเลิกงานพี่คนที่เสนอความคิดขึ้นมานั้นรับผิดชอบความคิดโดยที่เป็นคนขับรถยนต์ส่วนตัวพาเธอไปนิมนต์พระถึงที่วัด และขับมาส่งถึงที่หน้าบ้านเช่าของเธอ
หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ไปตามที่ต่างๆทั่วบ้าน หลวงพ่อบอกว่าที่นี่เป็นบ้านเก่า ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีวิญญาณสัมภเวสีหลงเข้ามาบ้าน ไม่ต้องกังวล หลวงพ่อแผ่เมตตาให้เขาแล้ว เขาคงจะไม่มาทำร้ายโยมหรอก เพราะหลวงพ่อก็ไม่รู้สึกถึงวิญญาณร้าย หรือใครที่พอจะคิดร้ายกับผู้อยู่อาศัยเลย
ในคืนนั้นเธอได้ไปฉลองกับพี่ๆที่ทำงานเพื่อนให้ลืมเรื่องราวร้ายๆที่เกิดขึ้น พี่ๆที่ทำงานนั้นก็เป็นคนดีทั้งปลอบใจและให้กำลังใจ พยายามพูดคุยสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้น เพื่อให้เธอกลับมาเป็นปกติให้ได้เร็วที่สุด
เธอฉลองกับพี่ๆจนเกินไปหน่อย ทำให้เธอเมาและไม่สามารถนั่งรถกลับมาเองได้ แต่พี่คนเดิมที่เป็นคนเสนอความคิดก็ยังคงรับผิดชอบจนถึงที่สุด พี่เขาขับรถมาส่งถึงที่บ้านเช่าของเธออีกครั้ง
พี่ส้มก้าวลงจากรถด้วยอาการเมาจนเซไปมา พี่เขาพยายามจะเข้ามาประคองแต่พี่ส้มก็ดื้อไม่ให้เข้ามาช่วย จนในที่สุดพี่ส้มก็ประคองตัวเองจนเข้ามาในตัวบ้านได้ เธอเปิดไฟที่ห้องนั่งเล่น และทิ้งตัวลงบนโซฟาทันที และหลับไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดที่เธอดื่มเข้าไปในคืนนี้
ตอนไหนไม่รู้ที่เธอรู้สึกเหมือนมีมือมาแตะที่ตัวเธอแล้วเขย่าเบาๆ แต่ด้วยความเมาที่มีมากจนเธอไม่สามารถลุกขึ้นมาตอบรับหรือคิดอะไรได้ เธอจึงทำได้แค่ปรือตาขึ้นมามองเท่านั้นในสายตาเธอนั้นปรากฏเป็นเงาดำๆร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ มือนั้นยังคงเขย่าตัวเธอต่อ
‘ทำไมหนูไม่ขึ้นไปนอนดีๆลูก ขึ้นไปนอนที่ห้องดีๆสิ’
เธอได้ยินเพียงแค่นั้นแต่ไม่สามารถจะประคองสติของตัวเองเอาไว้ได้อีก สติของเธอตัดขาดไปที่ตรงนั้น และไม่รับรู้อะไรอีก
.........................................................................................
พี่ส้มตื่นข้นมาในตอนสายของวันต่อมา เธอลุกขึ้นมาบิดซ้ายขวาไล่เอาความเมื่อล้าให้หายไป แต่อาการเมาตกค้างจากเมื่อคืนยังคงอยู่ทำให้เธอปวดหัวเป็นอย่างมาก
เธอค่อยๆเรียบเรียงความคิดและความทรงจำจากเมื่อคืน แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ ถึงเสียงและสัมผัสของมือที่มาแตะตัวเธอเรียกให้เธอไปนอนในห้อง เพียงเท่านั้นเธอก็ขนลุวาบไปทั่วทั้งตัว จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเธออาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังนี้
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอจึงรีบคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนสนิททันที เธอเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังอีกครั้ง โขคดีที่เพื่อนของเธอตัดสินใจจะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ หลังจากที่วางสายไปแล้วเธอยังไม่กล้าที่จะอยู่ในบ้านนี้เพียงลำพัง เธอหยิบเอาข้าวของแล้ววออกไปจากบ้านทันที
เธอนั่งรอเพื่อนของเธออยู่ที่ร้านกาแฟในห้างใกล้ๆนั้น เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อนสนิทของเธอก็มาถึง ทั้งสองคนยังไม่กล้าที่จะกลับเข้าไปที่บ้านนั้นเท่าไหร่ สุดท้ายทั้งสองคนจึงตัดสินใจไปหาที่พึ่งทางใจที่พอจะช่วยให้ความรู้สึกของพี่ส้มดีขึ้น
พี่ส้มและเพื่อนกลับมาที่บ้านพร้อมกับ ร่างทรง ที่มีคนแนะนำมาให้อีกที เธอเชิญเขามาเพื่อ ปัดรังควาน หรือทำพิธีอะไรก็ได้ที่จะทำให้เธอไม่ถูกรบกวนอีก
ชายสูงอายุในชุดขาวเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่มีทีท่าจะหวาดกลัวแม้ว่าจะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดมาก่อนแล้ว ชายแก่เดินเข้าไปก็หยุดดมองที่ใต้บันไดของบ้านเช่า
‘อิหนู ออกมานี่มา มาคุยกับตาหน่อย’ ชายแก่พูดคนเดียวในอากาศ
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ชายแก่แสดงออกนั้นมาจากการที่เขา มองเห็น ใครบางคนที่อยู่ ณ ตรงนั้นจริงๆ หรือเพียงแค่ทำไปตามเรื่องราวที่พี่ส้มเล่าให้เขาฟัง อย่างไรก็ตามชายแก่ยังคงไม่หยุดเดินสำรวจไปทั่วบ้าน รวมไปถึงชั้นสองของบ้านด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เดินสำรวจจนทั่วแล้ว เขาเดินมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เรียกให้หญิงสาวทั้งสองเข้ามาฟังเรื่องราวทั้งหมดไปพร้อมๆกัน จากคำบอกเล่าของชายแก่ได้ความว่า ในบ้านหลังนี้มีวิญญาณอาศัยอยู่จริง ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน แต่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ด้วยผลกรรมและการตายที่ผิดธรรมชาติทำให้วิญญาณ ทั้งสองดวง นั้นไม่สงบสุข เขาเพียงแค่ใช้ชีวิตในแบบที่เขาเคยใช้มาเท่านั้น เพียงแต่เราเองที่เป็น ผู้มาใหม่ สำหรับบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องทำการขับไล่ใดๆ
ชายแก่คนนี้ไม่ใช่คนแรกที่บอกกับเธอว่า บ้านนี้มีใครคนอื่นอาศัยอยู่ และพวกเขาไม่ใช่สิ่งไม่ดี และเมื่อเธอมานั่งทบทวนดีๆแล้วนั้นก็พบว่าทุกครั้งที่เธอต้อง เจอ กับพวกเขานั้นก็ไม่ได้มีครั้งใดเลยที่พวกเขามีท่าทีจะทำร้าย หรือเรียกร้องอะไรจากเธอ เธอจึงวางใจลงได้ในระดับหนึ่ง
เธอส่งชายแก่คนนั้นกลับด้วยความขอบคุณ กลับที่เขาจะกลับไปเขาได้มอบยันต์ให้กับเธอไว้ติดตัว เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหรือว่าสัมผัสถึงพวกเขาได้อีก สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นอีกมาก
ในคืนนั้นเธอกับเพื่อนไม่ได้ออกไปไหน เพียงแต่ออกไปซื้อหาข้าวของมาทำกับข้าวทานกันเองที่บ้าน เป็นโอกาสดีที่จะได้พูดคุยรำลึกความหลังกันไปในตัว เธอรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมากที่ยอมมาอยู่เป็นเพื่อนในวันที่มีเรื่องแย่ๆแบบนี้
หญิงสาวสองคนพูดคุยกันจนดึกดื่น และหลับไปด้วยความสบายใจของทั้งสองคน
หลังจากนั้นอีกหลายวันพี่ส้มก็ไม่เจอเหตุการณ์แปลกๆอะไร หรือว่าสัมผัสถึงอะไรได้เลย เธอสบายใจขึ้นมากจนในวันหนึ่งขณะที่กำลังสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน เธอเผลอคิดไปว่า ‘ถ้าอยู่กันแล้วไม่มีปัญหา ก็อยู่ด้วยกันได้นะ’ ในตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงแค่ว่า มันคงโอเค
แล้วเรื่องราวแปลกๆมันก็วนกลับเข้าในชีวิตเธออีกครั้ง เมื่อเธอเริ่มสังเกตว่าหลังๆ สุขภาพของเธอมันดูย่ำแย่ลง ไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน เวลาเข้าวัดบางครั้งก็รู้สึกเพลียอย่างไม่ทราบสาเหตุ บางทีก็ร้อนๆหนาวๆรู้สึกไม่สบายตัว แต่เธอก็คิดไปว่าคงเป็นแดด หรือไม่ก็ตัวเธอเองที่พักผ่อนน้อย
แต่เรื่องราวต่างๆมันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อวันหนึ่งเธอเดินไปหาอะไรทานตามปกติ แต่วันนั้นเธอกลับได้รับน้ำเปล่าที่มาเสิร์ฟ สองแก้วบ้าง สามแก้วบ้าง และเป็นอย่างนั้นอยู่หลายครั้ง ทั้งเธอมาคนเดียวอยู่ตลอด
ความกังวลใจเริ่มก่อต่อขึ้นในใจของเธออีกครั้ง แต่เธอก็ยังคงทำใจดีสู้เสืออยู่ในสภาพนั้นต่อไปอีก แล้วเรื่องราวต่างๆมันก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอเริมพักผ่อนได้น้อยลง เพราะถูกกวนจาก พวกเขาเหล่านั้น แม้ว่าคราวนี้เธอจะไม่ได้เห็นจะๆ หรือมาปรากฏตัวให้เห็น แต่บ่อยครั้งที่หางตาของเธอจะปรากฏเงาดำแว้บไปแว้บมา จนบางครั้งก็ทำให้เธอหลอน ในทุกๆคืนจะมีเสียงข้าวของตกหรือขยับ โดยส่วนมากจะดังมาจากในห้องครัว
เธอเริ่มจิตตกอีกครั้ง คราวนี้เธอเริ่มเหนื่อยและท้อกับเรื่องราวที่มันรบกวนชีวิตประจำวันของเธอ ร่างกายที่ยังคงอ่อนแอลงเรื่อยๆ บวกกับเวลาพักผ่อนที่ถูกรบกวนไป ยิ่งทำให้เธอดูอิดโรยจนคนรอบข้างเริ่มทักถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเธอ
เป็นโชคดีที่มันเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวพอดี เธอจึงตัดสินใจลางานก่อนหนึ่งวันเพื่อนเดินทางไปพักผ่อนที่บ้านเกิด เธอหอบเอาเรื่องราวทุกอย่างคิดว่าจะไปทิ้งไว้ที่นั่น เติมพลังใจกลับมาใหม่ เพราะคงไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่สามารถทำให้เธอสบายใจได้เท่าที่บ้าน
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านคนในบ้านดีใจที่ได้เจอเธอ และพยายามทำอาหารอร่อยๆให้เธอทานทุกมื้อ แต่เธอยังไม่ได้เล่าเพิ่มเติมในส่วนของเรื่องราวหลังจากนั้น เธอยังเก็บมันไว้เงียบๆ เพื่อความสบายใจของคนที่บ้าน
ในเช้าวันที่สามของวันหยุดยาว เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ด้วยความสดใสเมื่อลงมายังชั้นล่างจึงเห็นว่าแม่นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะทนอาหารซึ่งมันก็ดูเป็นเรื่องปกติเพราะแม่จะตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวใส่บาตรอยู่แล้ว แต่วันนี้พี่ส้มสังเกตเห็นว่ากับข้าวที่แม่ทำไว้ยังถูกวางเอาไว้ในถาดใบเดิมที่แม่ใช้ใส่บาตรเป็นประจำ
‘พระยังไม่มาหรอแม่’
‘พระมาแล้ว แต่แม่ไม่ได้ออกไปใส่บาตร’
เธอสงสัยในคำตอบของแม่จึงรีบเดินมานั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามกับแม่ของเธอ สีหน้าของแม่ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ทำให้คนเป็นลูกรู้ได้ทันทีว่า มันต้องมีเรื่องบางอย่างกวนใจแม่อยู่แน่ๆ เธอถามแม่ออกไปตรงๆ แม่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเล่าออกมา
ในตอนเช้ามืด แม่ตื่นมาทำกับข้าวตามปกติ แม่เตรียมข้าวของทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว แม่เดินมาที่หน้าต่างชะโงกหน้ามองออกไปเพื่อจะดูว่าพระมารึยัง แต่กลายเป็นว่าที่รั้วหน้าบ้านมีเงาดำๆเป็นรูปร่างของผู้หญิงกับเด็กยืนจูงมือกันอยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นแม่ก็คิดไปว่าอาจจะเป็นคนเก็บขยะที่ผ่านมาแถวนี้ๆ เพราะนานๆก็จะมีมาบ้าง
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงแม่ยื่นหน้าออกไปอีกครั้งก็เห็นว่าสองคนนั้นยังอยู่ที่เดิม และที่มันไม่ปกติก็คือเงาร่างทั้งสองนั้นยังอยู่ในตำแหน่งเดิมและท่าทางเหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนไม่มีการขยับเขยื้อนซึ่งมันผิดธรรมชาติของคนปกติ แม่เริ่มรู้สึกกลัว แม่รอจนพระอาทิตย์เริ่มทอแสงให้เห็นเงร่างนั้นก็ค่อยๆจางหายไป พร้อมๆกับที่พระท่านมาถึงพอดี แต่แม่ก็ไม่กล้ออกไปใส่บาตรแล้ว
‘ส้ม พาใครกลับมาด้วยรึเปล่าลูก’
แทนที่เธอจะได้สบายใจเมื่อกลับมาพักผ่อนที่บ้านก็กลายเป็นว่า เธอดันเอาความไม่สบายใจมาเพิ่มให้กับคนที่บ้านอีก ตลอดวันหยุดเธอไม่ออกไปไหนเลย และในทุกๆเช้าแม่จะเห็นเงาของสองคนนั้นอยู่เสมอ จนแม่เริ่มใจไม่ดี ในวันก่อนที่พี่ส้มจะกลับมาทำงานต่อ แม่จึงพาเธอไปทำบุญที่วัดเพื่อความสบายใจของทั้งสองคน
หลังจากที่เธอกลับมายังบ้านเช่าหลังเดิมแล้ว เธอก็พบว่าความรู้สึกที่บอกกับเธอว่า พวกเขายังอยู่ นั้นมันชัดเจนมากขึ้น มากเสียจนเธอเริ่มกลัวบ้านของตัวเอง พร้อมๆกับที่แม่ของเธอโทรมาหาในวันสองวันหลังจากนั้น แม่บอกว่าหลังจากที่ส้มกลับไปแล้วแม่ก็ไม่ได้เห็นเงาดำนั้นอีก แม่จึงบอกให้ส้มระวังตัวให้มาก ถ้าย้ายได้ก็ย้ายเถอะ มันไม่น่าไว้ใจเลย
ประกอบกับในตอนนั้นเป็นวันที่ผมผ่านไปเที่ยวในจังหวัดนั้นพอดี พี่ส้มจึงโทรมาหาผมแล้วเล่าเรื่องราวให้ผมฟัง ด้วยความเป็นห่วงเพราะเราก็รู้จักกันมานาน ผมจึงแวะไปหาเธอที่บ้าน และนอนค้างที่บ้านหลังนั้นคืนหนึ่งเพื่อให้เธอได้สบายใจ
ในตอนหัวค่ำเราคุยกันหลายเรื่อง แน่นอนว่ามีเรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก เธอเล่ารายละเอียดให้ผมฟัง และตลอดเวลาที่เราคุยกันอยู่ ผมก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนที่กำลัง ฟัง สิ่งที่เราคุยกันอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามหลบอยู่ตามซอก หลืบของบ้านก็ตาม
ในคืนนั้นผมนอนที่โซฟาด้านล่าง ปล่อยให้พี่ส้มนอนในห้องคนเดียว ซึ่งในตอนค่ำนั้นผมก็แนะนำให้พี่ส้มย้ายออก เพราะการที่มีอะไรพวกนี้รบกวนอยู่เรื่อยๆนั้นมันไม่ดีกับคนเป็นเอาเสียเลย ตัวพี่ส้มเองก็เริ่มที่จะเห็นด้วย ความเสียดายเงินประกันเริ่มกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้วสำหรับเธอในตอนนี้ และในตอนที่ผมกำลังจะนอน ผมก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆ ของู้หญิงคนหนึ่งหลบอยู่ที่มุมห้องครัว โดยชะโงกหัวออกมามองผมเท่านั้น ไม่ได้ออกมาให้เห็นเต็มๆตัว แต่สายตาที่มองมานั้นค่อนข้างน่ากลัว เหมือนต้องการให้รู้ว่า เขาไม่พอใจที่เรามาในวันนี้
ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้จนสะดุ้งตื่นอย่างแรงเมื่อได้ยินเสียงพี่ส้มตะโกนเรียกที่ข้างๆหู ผมหันไปมองพี่ส้มที่ตอนนี้กอดแขนผมและสั่นด้วยความกลัว ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่ส้มดูเหมือนจะยังไม่มีสติเล่าอะไรให้ฟัง ผมพาพี่ส้มเดินออกมานอกบ้าน เดินไปตามแสงไฟถนนจนมาถึงที่หน้าเซเว่น ปล่อยให้พี่ส้มสงบสติอารมณ์สักพักหนึ่ง
พี่ส้มบอกว่าพี่ส้มหลับอยู่ แล้วพี่ส้มก็ฝันว่าตัวเองกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง เธอได้ยินเสียงเล็กๆใสๆที่เคยได้ยินมาแล้วก่อนหน้านี้ พี่ส้มกลั้นใจหันไปตามเสียงนั้นเพราะภาพเก่ายังคงชัดเจนอยู่ เธอมองไปตามต้นเสียงพบว่าเด็กผู้หญิงคนเดิมในสภาพไม่น่าดูเช่นเดิมนั้นมองมายังเธอ แต่ว่าเธอนั้นเหมือนพยายามซ่อนตัวอยู่ในซอกระหว่างกำแพงและตู้เสื้อผ้า เด็กน้อยกอดเข่าตัวเองแน่น ตัวสั่นเทา สายตาที่มองมายังเธอเหมือนสื่อความหมาย
‘พี่สาว หนูกลัว แม่น่ากลัว’
เสียงเล็กๆของเด็กพูดขาดเป็นคำๆได้ยินไม่ชัดเจนนัก เด็กคนนั้นพูดซ้ำๆอยู่อย่างนั้น แต่ด้วยสภาพอันไม่น่ามองของเธอทำให้คนฟังกลัวจนไม่อยากรับรู้อะไร และในตอนนั้นเองที่เธอรู้สกถึงน้ำหนักที่กระแทกลงมาบนตัวเธอ มือคู่หนึ่งจับลำคอของเธอให้หันมาทางเดียวกับเจ้าของมือ
ร่างของหญิงวัย40ปีคร่อมตัวเธอด้วยใบหน้าที่บวมอืด ลิ้นจุกปาก สองมือนั้นลงน้ำหนักกดลงบนลำคอของเธอ ร่างนั้นโวยวายพ่นประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนเสียสติ น้ำหนักที่กดลงมายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆจนเธอเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก เธอพยายามดิ้น แต่ก็ไม่เป็นผล แล้วในฝันนั้นเธอก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่มียันต์เก็บไว้อยู่ฟาดไปยังเงาร่างนั้น เงาร่างนั้นหายไปครู่หนึ่ง เธอตื่นขึ้นจากฝันและทันทีที่ตั้งสติได้ก็รีบวิ่งลงมาด้านล่าง โดนที่มีเสียงแหบแห้งตะโกนไล่หลังมาด้วยประโยคเดียวกับในฝัน
‘จะไปไหน จะไม่อยู่ที่นี่แล้วหรอ ไม่ได้นะ ต้องอยู่ด้วยกันสิ ต้องอยู่ด้วยกัน!’
ผมได้ฟังอย่างนั้นก็ทำได้เพียงลูบไหลปลอบใจเธอ เมื่อเธอได้สติกลับมาก็เริ่มสำรวจตัวเองพบว่าที่คอของเธอมีรอยแดงคล้ายโดนบางอย่างออกแรงกดทับปรากฏอยู่ตรงลำคอ เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้งเหมือนเด็กๆ เธอคงจะกลัวมาก ผมถามเธอว่าอยากให้ผมเข้าไปจัดการอะไรไหม เธอส่ายหัวอย่างเดียว บอกว่าไม่อยากกลับเข้าที่นั่นอีกแล้ว แล้วก็ไม่อยากอยู่คนเดียวด้วย เราสองคนจึงนั่งอยู่ที่หน้าเซเว่นจนเช้า
ในเช้าวันต่อมาเธอโทรหารุ่นพี่ที่ทำงานเพื่อขอลางาน และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พี่ๆสองสามคนมาหาเธอในเวลาไม่นาน เราพากันเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บข้าวของออกมาก่อน ในตอนนี้พี่ส้มไม่อยากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้แล้วแม้สักวินาทีเดียว
ผมแยกกับพี่ส้มที่หน้าบ้าน เพราะพี่ส้มจะไปพักที่บ้านของรุ่นพี่ก่อน ก่อนที่ผมจะเดินออกไปผมก็มองเห็นร่างของผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่ในบ้านผ่านประตูบ้าน ในมือถือแขนของเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้แน่น เด็กน้อยร้องไห้ด้วยท่าทางทรมาน แต่คนเป็นแม่ดูจะไม่ใส่ใจแต่อย่างใด ผมทำได้แค่รู้สึกสงสารเท่านั้น
หลังจากนั้นผมได้ข่าวว่าพี่ส้มคืนบ้านเช่าให้เจ้าของโดยไม่เอาค่าสัญญาใดๆ แต่วิญญาณทั้งสองนั้นยังคงตามเฝ้าพี่ส้มอยู่จนแม่ของพี่ส้มต้องเรียกกลับบ้านไปให้พระทางนั้นช่วยจัดการให้ พี่ส้มหาที่พักใหม่ที่ไกลจากย่านเดิมมาก แม้ว่าจะแพงกว่าแต่เธอก็เต็มใจที่จะจ่าย เพราะเรื่องในวันนั้นทำให้เธอฝังใจกับบ้านหลังนั้นอย่างไม่มีวันลืม
......................................
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ขอบคุณครับ
ลอยชาย.
Post a Comment