"ลองมาฟังเรื่องลึกลับของผมบ้าง" ภาคจบ



"ลองมาฟังเรื่องลึกลับของผมบ้าง" ภาคจบ

      กลับมาต่อกันครับ เรื่องราวที่น่าติดตามกันมามากจากพันทิปคือเรื่องจากกระทู้ "กระทู้ผีฟีเวอร์...ลองมาฟังเรื่องลึกลับของผมบ้าง" จากนักเล่าที่มีคนตามกระทู้นี้มากที่สุดคุณ Rhythm in the Air เรื่องราวของเขาเขียนได้ออกมาดีมาก เราจึงขออนุญาตนำเรื่องนี้มานำเสนอต่อชาว ผีสยองหนองกระจาย ได้เสพงานสยองนี้กัน เรื่องนี้กำลังจะถูกนำไปตีพิมพ์อีกด้วย เนื่องจากเรื่องราวนั้นยาวมากจึงขอนำเสนอเป็น2ภาค

     เสร็จแล้วชายแก่คนดังกล่าวก็เดินดูรอบๆบ้าน (สมมุติว่าชื่อพุฒิ) เดินไปจนถึงหลังบ้าน ลุงพุฒิก็เดินวนไปวนมา
เดินเลยไปถึงแปลงผักหลังบ้าน แล้วก็ส่ายหัวน้อยๆ ลุงยักษ์กับยายถามว่ามีอะไร ลุงพุฒิบอกว่า ก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ค่อยดี
ได้กลิ่นแปลกๆกันมั้ย?

แม่ที่เดินไปด้วยก็พยามดมกลิ่น แต่ไม่ได้กลิ่นอะไร ทุกคนก็ไม่ได้กลิ่น

แล้วลุงยักษ์ก็พาลุงพุฒิเข้าไปในบ้าน ลุงพุฒิก็เดินดูโน่นนี่ไปเรื่อย และก็เดินเข้าไปห้องน้าแย้ม ไปถึงน้าแย้มก็นอนลืมตาอยู่ก่อนแล้ว
พอน้าแย้มเห็นลุงยักษ์ แม่บอกว่าเห็นน้าแย้มยิ้มแว่บนึง แวบเดียว แต่พอเหลือบไปเห็นลุงพุฒิหน้าน้าแย้มกลับบึ้งขึ้นมาทันที
ลุงพุฒิเดินเข้าไปใกล้ๆ พูดทักทายว่า ชื่อแย้มใช่มั้ยเป็นยังไงบ้าง? น้าแย้มไม่ตอบนอนจ้องหน้าลุงพุฒินิ่ง
ส่วนด้านหลัง หมอยาก็ยืนคุยกระซิบกระซาบกับลุงยักษ์อยู่ ถัดไปเป็นยายกับตา ส่วนแม่ยืนหลังสุด

ลุงพุฒิก็พูดราบเรียบแบบสุภาพต่อ
“ทุกคนเค้าเป็นห่วงนะ เนี่ยพ่อแม่เค้าก็กังวลกันอยู่ เป็นอะไรก็บอกลุง” ลุงพุฒิเอื้อมมือจะไปแตะหน้าผาก แต่น้าแย้มขยับหนี ลุงพุฒิก็พูดต่อ
“ไม่ต้องกลัว ลุงไม่ได้มาทำร้าย หนูได้ยินลุงมั้ย?” น้าแย้มก็ไม่ตอบ นอนจ้องหน้าลุงพุฒิเขม็ง

นิ่งกันไปชั่วอึดใจ ลุงพุฒิก็ถามต่อ

น้าแย้มได้ยินก็ตอบกลับไปว่า
“ลุงพูดอะไร หนูไม่รู้เรื่อง” ลุงพุฒิก็พูดต่อว่า
“ใครทางมันเถอะ นี่ก็ทำร้ายกันมามากแล้วสงสารเด็กมันนะ” แต่น้าแย้มก็ตอบเหมือนเดิม
“ลุงพูดอะไร หนูไม่รู้เรื่อง”

แต่ท่าทางที่น้าแย้มแสดงออกไม่ใช่ลักษณะของคนไม่ประสา  แต่เป็นลักษณะของการท้าทายมากกว่า
ลุงพุฒิถอนหายใจ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบตลับกลมๆขนาดเท่าเหรียญสิบ เปิดฝาออก
ด้านในเป็นสีผึ้งสีขาวๆคล้ำ ลุงพุฒิป้ายสีผึ้งด้วยนิ้วโป้ง แล้วแปะไปบนหน้าผากของน้าแย้ม

ทันทีที่น้าแย้มโดนสีผึ้งก็ไม่มีอาการกรี๊ดร้องเหมือนในละคร แต่จะมีอาการชักๆ เกร็งๆ
น้าแย้มเกร็งๆสักพักก็ร้องเบาๆ แม่ช่วยหนูด้วย หนูกลัวลุงคนนี้  ยายได้ยินก็จะเดินเข้าไปหา แต่ลุงยักษ์ดึงไว้

น้าแย้มก็เกร็งยิ่งขึ้น มือไม้งอ ก็ร้องอีกว่า แม่ช่วยหนูด้วย หนูกลัว ยายก็สะบัดมือลุงยักษ์ บอกพอแล้วๆ สงสารแย้ม
แล้วก็เดินเข้าไปลูบหน้าลูบตาบอกไม่เป็นไรแล้วๆ
ลุงยักษ์ก็หงุดหงิด บอกว่า หลบก่อนเถอะแม่ ให้ลุงพุฒิดูก่อน ยายผมก็บอกลุงยักษ์ว่า ไม่สงสารน้องเหรอ
น้องมันก็ปกติดี ไม่เห็นที่เรียกเมื่อกี้เหรอ ตาก็บอกว่าพอแล้วๆ ลุงยักษ์จะพูดต่อ แต่ลุงพุฒิยกมือบอก  ไม่เป็นไรๆ

เราออกไปคุยกันข้างนอกหน่อยนะ ลุงพุฒิกับลุงยักษ์และหมอยาก็เดินตามกันออกไปหลังบ้าน
แม่ก็เดินตามไปแอบฟังด้วย แม่ได้ยินลุงพุฒิพูดเบาๆว่า

“ไม่ดีแล้วไอ้หนุ่มเอ้ย น้องสาวเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วใช่มั้ย?” ลุงยักษ์ก็บอกว่าเป็นมาอาทิตย์กว่าแล้ว
ลุงพุฒิส่ายหน้าบอกว่า แรงนะ ไม่เคยเจอขนาดนี้ ทำไมปล่อยกันมาหลายวันแบบนี้

ลุงยักษ์ก็บ่นๆว่า ตัวเขาเองก็ไปทำงานหลายวัน กลับมาอะไรๆมันก็เลวร้ายไปหมดแล้ว ตากับยายก็ดูไม่ค่อยเชื่อ ห่วงลูกอย่างเดียว
ลุงพุฒิบอกว่าของแบบนี้คนเชื่อก็มี คนไม่เชื่อก็มาก และก็บอกว่า งานนี้ลำพังแค่ตัวลุงเองคงไม่ไหว
คงต้องให้หมอแผนปัจจุบันในตัวเมืองช่วยด้วย ถ้าทันอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้

ก็เลยสรุปกันว่าจะพาน้าแย้มเข้าโรงพยาบาลในตัวจังหวัดตอนนั้นเลย

ลุงยักษ์เลยให้ลุงยศไปอุ้มน้าแย้มขึ้นรถ และให้แม่ผมไปเตรียมของ เตรียมเสื้อผ้าจะให้ไปคอยเฝ้าไข้
พอลุงยศเข้าไปบอกยายกับน้าแย้มว่าจะพาไปโรงบาล น้าแย้มก็ร้องกรี๊ดๆ อีก บอกว่า ไม่ไปๆ ดิ้นไปมาอย่างรุนแรง ยังไงก็ไม่ไป
ดิ้นจนเสื้อขาด ยายเห็นก็ร้องไห้บอกไปนะ จะได้หาย ลุงยศก็ไม่รู้จะทำยังไง
ลุงยักษ์จึงเดินเข้ามาบอกว่า
“ ไม่ไปจะหายได้ไง แม่หลบออกไปก่อน อยากให้แย้มมันหายมั้ย ” ลุงยักษ์ก็เดินไปจับแขนให้ลุก แต่น้าแย้มก็ไม่ลุก ทั้งดิ้นทั้งสะบัด
ลุงยักษ์โมโหเลยลากน้าแย้มออกมาทั้งแบบนั้น น้าแย้มก็กรี๊ดเสียงดังลั่นบ้าน

ตากับยายก็บอกว่าทำกับน้องเบาๆสิ ก็เริ่มทะเลาะกันอีก ลุงพุฒิที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ตรงประตูหลังบ้าน แต่ไม่ได้มองมาในบ้าน
กลับมองออกไปนอกบ้าน ก็เรียกลุงยักษ์ให้ไปหา ลุงยักษ์กำลังลากน้าแย้มไปขึ้นรถ แต่ก็แทบจะไม่ไปไหน
เพราะน้าแย้มดิ้นแรงมากลุงยักษ์เลยปล่อยมือ พอลุงยักษ์ปล่อยปุ๊บ น้าแย้มก็ผลุบกลับเข้าไปในห้องนอนทันที

ส่วนลุงยักษ์ส่ายหัวเดินไปหาลุงพุฒิซึ่งยืนอยู่หลังบ้าน ลุงพุฒิบอกว่าไปหามีดพร้ามาสัก 1 เล่มได้มั้ย

ลุงยักษ์กับลุงยศหายไปตรงห้องเก็บของ กลับมาพร้อมมีดพร้าคนละเล่มก็สงสัยว่าลุงพุฒิให้เอามาทำไม
ลุงพุฒิเดินไปเดินมาตรงหลังบ้าน ปากก็พึมพัมๆเบาๆ บางทีก็เดินไปไกลถึงแปลงผัก แล้วก็วนกลับมา

ลุงยักษ์ถามว่าให้เอามีดมาทำไม  แต่ลุงพุฒิยังไม่ตอบ เดินไปหยุดตรงหน้ากอไผ่กอใหญ่ 2-3 กอหลังบ้าน
แม่ได้ยินลุงยศกระซิบกับลุงยักษ์ว่า กอที่แย้มเข้าไปคืนนั้นนี่หว่า


**ใครจำไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านช่วงนั้นได้นะครับ ที่ยายบอกให้ลุงยศอุ้มน้าแย้มออกมา
แม่เพิ่งมารู้ทีหลังว่า ที่ได้ยินลุงยศถามว่าแย้มเข้าไปทำไมในนั้น เมื่อตอนดึกวันก่อน ที่แท้มันคือในกอไผ่นั่นเอง**

ลุงพุฒิยืนจ้องกอไผ่กอใหญ่สุดอยู่สักครู่ ก็บอกว่า
“เอ๊า ลองฟันกอไผ่กอนี้ให้ดูหน่อย ข้างในมีอะไรรึเปล่า”

ลุงยศก็ดูงงๆ ถามว่าให้ฟันทำไม ด้านในมันมีอะไร ลุงพุฒิไม่ตอบอะไรยืนดูนิ่งๆ ลุงยศก็หันไปมองพี่ชายว่าจะเอายังไง
แต่ลุงยักษ์ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้าไปฟันโช๊ะสุดแรง ลำไผ่หักโค่นลงมาทันที
ลุงยศเห็นจึงเข้าไปสมทบ กระหน่ำฟันกอไผ่กอใหญ่กอนั้นไม่ยั้ง ตาก็ออกมาถามว่าทำอะไรกัน ลุงพุฒิก็เดินเข้าไปขอโทษ
บอกว่าให้รอดูสักพัก ลุงยักษ์กับลุงยศฟันกอไผ่ไปได้สักพักก็ผงะ หยุดนิ่ง

ซึ่งไม่ใช่แค่ลุง 2 คนนั้น แต่ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้กลิ่นเหม็นเน่ามากจนแทบอ้วก โชยมาจากส่วนลึกด้านใน
ลุงพุฒิยืนนิ่งๆก็พูดต่อ "เอ๊าฟันต่อไป ยังหนุ่มยังแน่นแรงหมดแล้วเหรอ? เอาอีก เข้าไปให้ถึงตรงกลางดงเลย"

ลุงยักษ์บอกให้แม่หยิบผ้าขาวม้ามา พันจมูก แล้วลงมือฟันต้นไผ่ลำใหญ่นั้นต่อ
ยิ่งเข้าไปลึก กลิ่นเหม็นเน่ายิ่งรุนแรง จนลุงยศไม่ไหวต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อน  เหลือลุงยักษ์คนเดียว

ซึ่ง ณ ตอนนั้นแม่บอกว่าลุงยักษ์คงบ้าเลือดไปแล้ว ไม่สนกลิ่นเน่าอะไรทั้งนั้น ฟันไปด่าไป ทั้งถีบทั้งฟันทั้งกระชากกอไผ่กอนั้นกระจุยไปแถบ
จนกอไผ่ด้านนึงถูกฟันจนราบไปถึงด้านใน

แม่เห็นลุงยักษ์ยืนหอบมองเข้าไปด้านในกอไผ่แล้วสบถออกมา

“นี่มันอะไรวะเนี่ย?”

ตากับหมอยาพร้อมลุงยศ เดินตามเข้าไปดูก่อน แม่จึงคว้ามือลุงยอดเดินตามเข้าไปด้วย
แม่ได้ยินเสียงลุงพุฒิเตือนว่าอย่าเข้าไปใกล้มาก

สิ่งนั้น ไม่เพียงมีกลิ่นที่ชวนให้คลื่นเหียน มองเผินๆ เหมือนใยแมงมุม แต่พอเข้าไปใกล้ๆ
ดูชัดๆก็เห็นว่าเป็นเมือกใสๆเหมือนกาวยาง ระโยงระยางห้อยซ้อนกันไปมา น้ำเหนียวๆยืดห้อยต่องแต่ง
กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว ใต้เมือกเหนียวๆ มีเศษซากอะไรบางอย่าง
แม่บอกว่าตอนแรกนึกว่าเป็นเศษใบไผ่ที่กองทับกันจนแห้งเหี่ยว

แต่พอมองดูดีๆ สิ่งนั้นมันคล้ายลำไส้หรืออวัยวะ(คนหรือสัตว์ก็ไม่รู้) ที่ถูกฉีกจนยุ่ย เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กองรวมกับเศษผ้าเก่าๆ แล้วก็ปอยผมเล็กๆ หลายปอย ดีที่อวัยวะพวกนั้นแห้งกรังไปหมดแล้ว
แม่ทนไม่ไหวเดินออกมาอาเจียน เห็นหมอยาเดินหลบมาคุยกับลุงพุฒิ ระหว่างนั้นเองลุงยศก็หยิบลำไผ่ที่เกลื่อนอยู่กับพื้นขึ้นมา 1 ลำ
แล้วเอาไปเขี่ยเมือกที่อยู่ตรงหน้า ลุงพุฒิหันมาเห็นก็บอกว่าอย่าไปถูกมัน
แต่ช้าไปแล้ว ลุงยศเขี่ยไปแล้ว

พลันที่ลุงยศเขี่ยเมือกใสนั้น  น้าแย้มที่ตอนแรกนอนอยู่ในห้องลากเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปไหน โผล่พรวดมายืนตรงประตูหลังบ้าน
สีหน้าบึ้งตึง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมา ลุงพุฒิตะโกนบอกให้จับน้าแย้มกลับเข้าไปในห้อง
ลุงยอดเข้าไปจับไว้ แต่ก็เหมือนเดิมคือ สู้แรงเด็กสาวอายุไม่เกิน 15 ไม่ได้ แม่ก็เดินเข้ามาช่วย บอกว่า
“แย้มออกมาทำไมเข้าไปรอในบ้านก่อน” น้าแย้มไม่สนใจเลย ผลักแม่จนเกือบจะล้ม

ลุงยักษ์เลยเดินเข้าไปขวางจับไหล่แล้วบอกว่า
“แย้ม เข้าบ้านไปก่อน” น้าแย้มหันมามองลุงยักษ์ แต่ก็ไม่สนสะบัดมือจะเดินต่อ แต่ลุงยักษ์ไม่ปล่อย
ตบหน้าน้าแย้มเสียงดังเผี๊ยะ
"กรูบอกให้ไปรอในบ้าน" ตากับแม่ก็ตกใจ แต่น้าแย้มก็ไม่ยอมดิ้นแรงมาก จนลุงพุฒิเดินเข้ามาเอาสีผึ้งป้ายตรงหน้าผาก
หน้าแย้มก็หยุดดิ้น มีอาการเหมือนเดิมคือตาเหลือก เกร็ง แล้วลุงพุฒิก็บอกให้ลุงยักษ์กับลุงยอดพาน้าแย้มกลับเข้าไปรอในห้อง

เสร็จแล้วลุงพุฒิก็เดินเข้าไปคุยกับตา บอกว่าไอ้ของพวกเนี่ย เป็นเสนียดมาก เป็นเหมือนของอัปมงคล ที่พวกเล่นของสมัยก่อน
จงใจกัดกิน ส่วนที่เหลือก็เก็บติดตัวไว้ ลุงพุฒิอยากทำลายให้หมดไปเลย ตาก็ถามว่าจะทำยังไง
ลุงพุฒิก็บอกว่า คงต้องขอเผาทั้งกอไผ่ไปเลยจะเป็นอะไรมั้ย ตาซึ่งตอนนี้เริ่มเชื่อก็บอกว่า ถ้าคิดว่าทำแล้วมันดีขึ้นก็เอาเถอะ
แต่ลุงพุฒิบอกว่าก็ไม่มั่นใจ แต่คิดว่ายังไงก็ไม่ควรเก็บของพวกนี้ไว้

ลุงพุฒิให้ลุงยศเดินไปหยิบถุงผ้าในรถ

สักพักลุงยศก็เดินกลับมาพร้อมถุงผ้าสีขาว ลุงพุฒิล้วงเข้าไปหยิบสายสิญจน์แล้วเดินไปที่กอไผ่ เอาปลายด้านหนึ่งผูกไว้กับลำไผ่
แล้วเดิมวนอ้อมรอบกอไผ่กอนั้นหลายรอบจบแล้วก็มายืนด้านหน้าของเหล่านั้น พึมพำอยู่ครู่แล้วโยนสายสิญจน์ที่เหลือเข้าไป

ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่แล้วแดดร้อนจัด  ตาก็เอาไม้ขีดมาให้ลุงพุฒิ
ลุงพุฒิจุดไม้ขีดก้านแรก ไฟลุกพรึบขึ้นมาแล้วก็ดับพรึบทันทีราวกับมีคนเป่าลมใส่ ลุงพุฒิก็หยิบขึ้นมาอีกก้าน
ก็เป็นอาการเดิมคือยังไม่ทันจะต่อเชื้อ ไฟก็ดับอีก ลุงพุฒิก็ส่ายหัวบ่นพึมพำ ลุงยศก็ถามว่า ผีเป่ารึเปล่า
ลุงพุฒิได้แต่ยิ้มๆ ก็บอกให้หาน้ำมันก๊าดมาให้หน่อย ต้องรีบทำเวลาหน่อย ลุงยศก็ไปหยิบน้ำมันฉีดราดแถวโคนกอไผ่
ลุงพุฒิบอกว่าพอเห็นของด้านในโดนเผาแล้ว ก็ฟันต้นไผ่ที่เหลือลงมาเผาด้วย เดี๋ยวไฟลามจะคุมยาก
แต่ต้องรอให้ของพวกนั้นโดนเผาก่อนนะอย่าลืม

ลุงยักษ์กับลุงยอดก็เดินออกมาสมทบ ลุงพุฒิถามว่าแย้มเป็นยังไง ลุงยักษ์ก็บอก นอนสั่นเป็นเจ้าเข้า ยายกับน้าเย็นนั่งเฝ้าอยู่
ลุงพุฒิวานลุงยอดให้เข้ามาช่วยกัน เผื่อไฟลามไปทางอื่น ส่วนลุงยักษ์  ลุงพุฒิบอกว่า
“กลับไปนั่งด้านในนะ ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ เดี๋ยวจะตกใจ” พอลุงยักษ์เดินกลับเข้าไป ลุงพุฒิก็บอกว่า เอ๊า จุดละนะ ช่วยกันดูด้วย

ลุงพุฒิจุดไม้ขีดอีกก้าน  คราวนี้ไม่ดับ (สงสัยไม่มีลม) แล้วโยนไปตรงเศษใบไผ่แห้งที่ราดน้ำมันจนชุ่ม ไฟลุกพรึบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ลามไปจนถึงใจกลางกอไผ่ จากนั้นก็มีเสียง ฝุด ฝุด ฝุด ฝุด ดังมาจากด้านใน

แล้วตามด้วยเสียงกรี๊ดของน้าแย้ม ดังมาก

ตากับแม่ที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ตกใจ ตะโกนถามเข้าไปในบ้านว่า มีอะไร!? แย้มเป็นอะไร ยายก็ตะโกนกลับมาว่า ไม่รู้ อยู่ดีๆก็กรี๊ดขึ้นมา
ตอนนี้สลบไปแล้ว ทำยังไงดี ลุงยักษ์บอกไม่เป็นไรแม่ ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ แล้วก็ตะโกนเสียงดังถามลุงพุฒิว่าจะเอายังไงต่อล่ะลุง

ลุงพุฒิหันไปบอกลุงยอดซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
“เอ๊า หนุ่มรีบไปเตรียมข้าวของ และเตรียมรถเลย เดี๋ยวพาน้องไปโรงพยาบาลในเมืองกัน... เร็วๆนะ อย่าให้มืด”

ไฟไหม้จนโคนไผ่ดำเป็นตอตะโก และเริ่มลามขึ้นไปเรื่อยๆ เสียง ฝุด ฝุด ด้านใน ก็ค่อยๆเบาเสียงลงเรื่อย
จนได้ยินแต่เสียงไฟที่เผาไม้แทน ลุงพุฒิเลยบอกให้โค่นต้นไผ่ที่เหลือลงมาให้หมด
เห็นเหลือลุงยศอยู่คนเดียว หมอยาก็หยิบมีดมาช่วยฟัน

เสร็จแล้วก็ลากลำไผ่ ที่ลุงยักษ์กระซวกทิ้งไว้ (ไม่รับผิดชอบ) ขนมารวมกันแล้วราดน้ำมันก๊าดทยอยเผา
ลุงพุฒิบอกว่า ใครจะไปโรงพยาบาลให้เตรียมตัวเลยได้เลย จะออกเดินทางกันแล้ว
ส่วนใครที่ไม่ไปก็เฝ้ากอไผ่ที่ไฟยังลุกไหม้อยู่

สรุปคือ ตา, ลุงยศ, น้าเย็น รออยู่ที่บ้าน
ส่วนลุงพุฒิ, ยาย, หมอยา, ลุงยักษ์, ลุงยอด แม่จะพาน้าแย้มเข้าโรงพยาบาลในตัวจังหวัด
ลุงพุฒิเลยเร่งทุกคนบอกให้รีบขึ้นรถ แม่วิ่งเข้าไปหยิบเสื้อมาแค่ตัวเดียว ยายก็เก็บของใช้ที่เท่าจำเป็น

เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปหาน้าแย้ม

น้าแย้มยังนอนหลับอยู่ ไม่เหมือนคนป่วย ไม่มีอาการเกร็ง ยายบอกให้ลุงยอดเข้าไปอุ้มน้อง
ลุงยอดถามว่าคงไม่ดิ้นอีกนะ ลุงพุฒิก็บอกว่าไม่ดิ้นแล้ว สงบแล้ว แต่ระวังไว้ก็ดี ลุงยอดก็สงสัย ระวังอะไร
แล้วจึงเข้าไปอุ้มน้าแย้ม น้าแย้มก็นอนนิ่งให้อุ้ม ไม่ดิ้นเหมือนตอนแรก
แต่เรื่องแปลกก็ยังไม่จบ

แม่จำแม่นว่ายืนอยู่ตรงนั้น ดูเหตุการณ์แปลกๆนั้นด้วยความประหลาดใจ

ลุงยอดซึ่งเป็นวัยรุ่น ร่างกายค่อนข้างจะบึกบึนสมส่วน เพราะทำงานในสวน ในไร่มาตั้งแต่ยังเล็ก
กลับอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆไม่ขึ้น ยกขึ้นมาได้แค่นิดเดียว ก็ต้องวาง ทุกคนก็งงบอกว่าลุงยอดเล่นอะไร คนกำลังรีบๆ
ลุงยอดก็เข้าไปลองอีกที ก็เหมือนเดิม ยกขึ้นมาได้นิดเดียวก็ต้องวาง ลุงยอดบ่น

“อะไรเนี่ย ทำไมตัวหนักแบบนี้วะเนี่ย?” ทุกคนก็งงๆ

ลุงยักษ์จึงเดินแทรกเข้ามาบอก ยิ้มหลบไป กรูเอง แล้วก็เข้าไปอุ้ม ก็ปรากฏว่า อาการเดียวกันคือยกไม่ขึ้น ทุกคนแปลกใจกันหมด
ตัวคนยกเองก็งงมาก ลุงพุฒิเลยบอกว่า อย่าเพิ่งสงสัย ช่วยกันอุ้มไปก่อน บ่ายมากแล้ว เดินทางค่ำๆ มันไม่ดี
ลุงยักษ์กับลุงยอดจึงช่วยกันอุ้มน้าแย้มไปขึ้นรถอย่างทุลักทุเล

ตากับคนที่เหลือก็เดินออกมาส่ง ตาบอกกับลุงพุฒิว่า
ฝากลูกฉันด้วยนะ ลุงพุฒิบอกว่าจะช่วยดูเต็มที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นมากแค่ไหน ต้องให้คุณหมอในโรงพยาบาลช่วยดูอีกที

เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปสมทบกับคนที่จะเดินทางไปด้วย ลุงพุฒิลูบหัวแม่ ถามว่า จะไปด้วยเหรอ?
แม่ตอบว่า จะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ (ยาย) กับน้อง ลุงพุฒิยิ้ม แล้วบอกกับคนในกลุ่มว่า
“ขอคนจิตแข็งๆหน่อยเป็นคนขับนะ” ทุกคนก็มีเหว๋อเล็กน้อย แน่นอนงานนี้โชเฟอร์คือลุงยักษ์นั่นเอง

รถกระบะสมัยก่อนไม่หรูหราโอ่อ่าเหมือนทุกวันนี้ ไม่มีแคป ไม่มีตอน คนที่นั่งด้านหน้า 4 คน มีลุงยักษ์, ยาย, น้าแย้มและลุงพุฒิ
ต้องเบียดอัดกันเป็นปลากระป๋อง ที่เหลือก็ขึ้นกระบะหลัง
ประมาณเกือบ 5 โมง ลุงยักษ์ก็ขับรถออกมาจากไร่ โดยมีตากับน้าเย็น ยืนมองรถหายไปกับฝุ่น (ส่วนลุงยศ เฝ้ากอไผ่ที่เผาอยู่)

ทางไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัดค่อนข้างจะไกลมาก ปกติตอนกลางวันใช้เวลาราว 2-3 ชม. กว่าจะไปถึงแต่ช่วงเย็นคงนานกว่าอีกหน่อย
ประกอบกับถนนในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ 80-90% เป็นถนนลูกรังแดง ถนนดิน  เท่านั้นไม่พอยังมีหลุมมีหล่มตลอดทาง
และสาเหตุบางข้อที่ทำให้เดินทางได้ไม่เร็วเท่าที่ควร หนึ่งคือช่วงที่รถกระแทกกับหลุม น้าแย้มซึ่งหลับอยู่ จะร้องโอ้ยขึ้นมา
ยายก็จะบอกให้ลุงยักษ์ขับดีๆหน่อย อีกข้อคือ กระจกรถซึ่งร้าวอยู่ลุงยักษ์มองทางไม่ถนัด แวนซ์มากไม่ได้ (><)
จึงสรุปกันว่าจะเข้าไปเปลี่ยนรถที่บ้านญาติ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่ของตาก่อน

พอเข้าไปถึงลุงยักษ์กับลุงยอดก็เข้าไปคุยกับญาติขอยืมรถ จะพาแย้มไปโรงพยาบาล ญาติก็ถามว่ารถไปชนอะไรมา
ลุงยักษ์ก็ว่า เดี๋ยวค่อยเล่า ตอนนี้รีบอยู่ แต่ญาติก็ถามอีกว่า
“รู้จักป้า xx ที่อยู่แถวๆบ้านยักษ์มั้ย? ที่อยู่คนเดียวน่ะ แกตายแล้วนะ เมื่อวาน  มีคนมาบอก เนี่ยว่าจะไปงานศพแกหน่อย?

ลุงยักษ์หันขวับดูท่าทางไม่ค่อยพอใจ
“อีแก่โรคจิตนั่นน่ะนะ? ตาย ha ไปก็ดีแล้ว” คือแม่บอกว่าลุงยักษ์เคืองมาก ที่ปล่อยคนแปลกหน้าเข้าบ้าน
ทั้งที่หมอยาก็บอกแล้วว่าห้ามคนแปลกหน้าเข้าบ้าน ถ้าวันนั้นวันที่หญิงแก่คนนี้มา แล้วลุงยักษ์อยู่ด้วย
หญิงแก่คนนั้นคงโดนตบหัวทิ่มกลับบ้านแทบไม่ทัน คงไม่ได้ยืนแสยะยิ้มแบบนั้น แล้วเรื่องอาจจะไม่แย่แบบนี้

ทั้งหมดก็ย้ายมาขึ้นรถอีกคัน
ตอนออกมาจากบ้านญาติ ฟ้าก็เริ่มสีม่วงๆแดงๆ แล้ว ลุงพุฒิก็ถอนหายใจเบาๆ บอกขับระวังๆด้วยนะ ดูทางให้ดี
ลุงยักษ์ก็ขับ ไม่ช้าไม่เร็ว หันซ้าย หันขวาตลอด และชำเลืองดูกระจกหลังเป็นระยะ ทางที่รถวิ่งผ่านมาแทบจะมองไม่เห็นอะไร
ไม่ใช่เพราะมืด แต่เพราะฝุ่นสีแดงจากถนนลูกรังลอยปิดถนนเต็มไปหมด
คนที่นั่งกระบะหลัง ถึงไม่โดนฝุ่นเต็มๆ แต่ก็ต้องหาผ้ามาปิดหน้าปิดตา

ขับออกมาจากบ้านญาติได้สักพัก ฟ้าก็เริ่มมืด ฝุ่นสีแดงจากถนนลูกรัง มองเห็นเป็นสีขาวฟุ้งๆไปแทน
ลุงยักษ์ขับไปตามทาง ด้านหน้ารถ แม่เห็นลุงยักษ์พูดกับลุงพุฒิบ้างเป็นบางครั้ง  ยายก็ลูบหัวน้าแย้มที่หลับอยู่

ส่วนกระบะหลังลุงยอดก็คุยกับหมอยาเบาๆว่า ปกติไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่คืนที่เจอเงาคนใส่เสื้อดำตอนกลางคืนวันนั้น หลอนมาก
ไม่คิดว่าจะมีจริง ก็ไม่รู้ว่า ไปแล้วเจอคนโดนยิงนอนอยู่ กับไม่เจออะไรเลย แบบไหนจะน่ากลัวว่ากัน
หมอยาก็บอกว่า คงถึงคราวซวยจริงๆ เจอทั้งหญิงแก่คนนั้น กับอีกคนพร้อมกัน หมอยานิ่งไปครู่แล้วบอกว่า
“หรือจะเป็นคนเดียวกัน?”

แม่ก็บอกหมอยาว่าผู้หญิงชุดดำคืนนั้นต้องเป็นคนเดียวกับที่เจอวันนั้นแน่ๆ แล้วแม่ก็เล่าให้หมอยาฟังอีกคนว่าไปเจออะไรมา
หมอยาก็บอกว่าคงไม่ใช่หรอกมั้ง วันนั้นที่เจอเป็นชาวบ้านแถวนั้นรึเปล่า เห็นมีคนไปแก้บนใต้ต้นไม้นั้นเยอะนะ
ตอนนั้นแม่ก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนหลังคงพอรู้ว่า ผู้ใหญ่เค้าก็ไม่อยากพูดให้แม่กลัว

รอบข้างก็มืดหมดแล้ว ไฟจากบ้านคน ก็นานมากกว่าจะเห็นลิบๆสักดวง
แม่เกาะขอบกระบะมองผ่านห้องคนขับไปทางกระจกหน้า ระหว่างนั้นก็สะดุ้ง เพราะไฟหน้ารถส่องไปเจอเงาๆนึง ยืนอยู่ข้างทาง
แม่ก็เงียบคิดว่าเป็นคงเป็นชาวบ้านแถวนั้นเพิ่งกลับจากไร่ แต่พอรถแล่นไปได้อีกครู่เดียว
แม่ก็เห็นมีคนยืนอยู่ข้างทางอีกตรงมุมเดิม แม่เข้าไปจับเข่าลุงยอด ลุงยอดบอกให้ไปนั่งที่เดิม ฝุ่นมันเยอะ แต่แม่ดูตื่นๆบอกว่า

“เมื่อกี้ เห็นคนยืนอยู่ข้างทาง พี่เห็นมั้ย?” ลุงยอดก็แหล่ไปมองหมอยาแว่บนึง แล้วบอกว่า ตาฝาดมั้ง กลัวผีขึ้นสมองแล้ว
แต่แม่บอกว่า “เห็น 2 ครั้งแล้วนะ”
หมอยาบอกว่า ไม่มีอะไร แล้วบอกแม่ให้นั่งหลับไปเลย อีกนานกว่าจะเข้าตัวจังหวัด
แม่ก็ไม่กล้ามองไปทางหน้ารถ หันมานั่งจ้องหน้าลุงยอดกับหมอยาแทน แล้วแม่ก็เห็นว่าลุงยอดก็ทำตาโต รีบก้มหน้า
แล้วลุงยอดก็กระซิบไปทางหมอยาว่า

“เออ......เห็นจริงๆด้วยว่ะลุง” หมอยาหันซ้าย หันขวาแล้วทำเสียง จุ๊ๆ
“ อย่าไปทัก เห็นอะไรแปลกๆ อย่าทัก  ไม่ต้องไปสนใจ ร้องเพลงอะไรไปก็ได้”

ลุงยอดกระซิบถามว่า แล้วไอ้คนขับไม่เห็นเหรอ? หมอยาบอกว่า
“คนขับมันใจนักเลง ไม่ค่อยกลัวอะไร ประมาณว่าจิตมันแข็ง ถ้าของไม่แรงมาก มันก็ไม่เห็นอะไรหรอก
ก็อย่างที่คนไม่เคยเห็น มันก็ไม่เคยพบเคยเจอสักที ส่วนไอ้พวกที่เห็น ก็เจออยู่นั่นล่ะ จริงๆพวกเอ็งก็ไม่ได้ขวัญอ่อนนะ
แต่พอมาเจอเรื่องแบบนี้ นั่นล่ะ จิตใจก็เลยไม่ค่อยมั่นคง เห็นอะไรก็หลอนหูหลอนตาไปหมด หมอยาพูดจบ แม่ถามคำเดียว

“แล้วลุงเห็นมั้ย?” หมอยานิ่งๆ ไม่ตอบอะไร

ผ่านไปสัก ชม. ลุงยอดก็ยังล่อกแล่กฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อยไม่มองไปข้างทางอีกเลย
ผ่านทางโค้ง รถเลี้ยวไปเจอ วัดทุ่ง xx ทางขวามือ ลุงยอดก็บอกว่าถึงตรงนี้ อีกสักครึ่ง ชม. ก็ออกถนนใหญ่แล้ว แม่ก็โล่งอก

ผ่านวัดไปเป็นไร่อ้อยทั้ง 2 ข้างทาง ยาวเหยียด ต้นอ้อยสูงยิ้มวทัศน์ด้านข้างจนหมด ถนนก็เลี้ยวไปมา ไม่มีบ้านคน ไม่เห็นแสงไฟเลย
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดัง ปึง! ดังจากข้างรถ เหมือนมีใครเอาอะไรมาปาใส่รถ ทั้ง 3 คนที่นั่งด้านหลังก็มองหน้ากันนิ่ง
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงดังปึงมาจากอีกข้าง ลุงยักษ์ก็เลยชะโงกหน้ามาถามว่าเล่นอะไรกัน? ลุงยอดก็บอกเปล่า ไม่ได้ทำอะไรเลย
ลุงยักษ์ก็หันไปขับรถต่อ แต่แม่เห็นลุงยอดนั่งแทะเล็บแล้ว ส่วนหมอยาก็ดูกระสับกระส่าย

ขับไปมาตามทางได้สักพัก เจอทางโค้ง 2-3 โค้ง รถก็เลี้ยว แล้วทุกคนในรถก็นิ่งกันหมด ไม่เว้นแม้แต่ลุงยักษ์ที่ทำหน้าเลิ่กลัก
เพราะทางขวามือ เป็นวัดทุ่ง xx

ลุงยอดเห็นก็ชะโงกไปคุยกับลุงยักษ์ว่า หลงทางรึไง ขับวนมาที่เดิมเนี่ย ลุงยักษ์ก็บอกว่า
“ไม่รู้ว่ะ แต่มันจะหลงได้ไงวะ ไม่มีทางแยกเลยนะ ตรงอย่างเดียว ปกติเข้าเมืองก็ขับเส้นนี้ตลอด?”
แล้วลุงยักษ์ก็ชะลอรถ แต่แม่เห็นลุงพุฒิโบกมือไม่ให้หยุดรถ

ลุงยักษ์คุยกับลุงพุฒิครู่นึง ลุงยักษ์ก็ตะโกนมาด้านหลังว่า
“เห้ย ลุงพุฒิบอกว่า ถ้าเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรอย่าทักกันนะ” ลุงยอดก็เลยพูดสวนกลับไปว่า
“ก็เมื่อกี้ยิ้มนั่นแหละทัก” (ลุงสามคนก็อายุไม่ต่างกันมาก)

และก็น่าแปลก รถขับฝ่าเข้าดงอ้อยเหมือนเดิม เส้นทางเดิม แต่วิ่งไปได้สักพัก ก็วิ่งมาตัดถนนใหญ่ ท่ามกลางความโล่งใจปนสงสัย
แม้จะเป็นถนนใหญ่ แต่เวลาทุ่มกว่าสองทุ่ม ก็เงียบไม่ต่างกัน แต่ดีตรงที่ยังพอมีไฟจากข้างทาง ทำให้บรรยากาศไม่อึมครึมมาก
พอขึ้นถนนใหญ่ได้ ลุงยักษ์ก็จัดเต็ม เหยียบด้วยความเร็ว แต่แม่ก็เห็นลุงพุฒิเหมือนบอกให้อย่าเร็วมาก

รถขับไปได้อีกพัก เป็นช่วงถนนที่ไม่มีแสงไฟ ถนนด้านหน้าก็มืดไปหมด ลุงยักษ์ขับรถตรงไป อยู่ๆก็มีไฟสูงเปิดใส่หน้ารถอย่างกระชั้นชิด ลุงยักษ์หักหลบหวุดหวิด แล้วก็ได้ยินเสียงด่าตามหลังไปว่า แม่มขับรถภาษาอะไรวะไม่เปิดไฟ แต่หมอยากลับบอกว่า อีนี่มันเล่นไม่เลิก


ถึงจบกระทู้นี้ไปไม่ได้อะไร แต่ได้เพิ่มทักษะการพิมพ์จาก 1 นาที 5 คำ เป็น 1 นาที 6 คำก็ยังดี

รถขับผ่านมาถึง ศาลเจ้าพ่อ xx แม่และทุกคนในรถก็ยกมือไหว้ แม่อธิษฐานว่า ขอให้แย้มหายป่วยด้วยเถิด จะเอาผลไม้มาถวาย
หลังจากนั้นจะด้วยเหตุบังเอิญรึเปล่าก็ไม่ทราบ รถก็ขับผ่านไปถึงตัวจังหวัดแบบไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกเลย
แม่เห็นยายพนมมือตลอดทาง และลูบหัวน้าแย้มไม่หยุด...

**หลังจากนี้เป็นเรื่องทางเทคกะนิคนะครับ ฟังมาแบบไหน ก็เล่าไปแบบนั้น มันจะเหลือเชื่อ ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์
หรือผิดจริตทางการแพทย์ก็คงต้องขอโทษด้วยครับ**

ประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ  ก็มาถึงจุดหมาย  เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด  ที่ถือว่าดีที่สุดเมื่อ 30-40 ปีก่อน
ชื่อโรงพยาบาลตั้งตามชื่อคนใหญ่คนโตก่อนที่แม่จะเกิดเสียอีก
มีบุรุษพยาบาลมารับตัวน้าแย้ม ก็แปลกที่สามารถอุ้มขึ้นรถเข็นได้ง่ายๆ จนลุงยักษ์กับลุงยอดมองหน้ากันแบบงงๆ
ลุงยักษ์หยิบบุหรี่มายืนสูบแก้เครียด คงคิดว่าเจอเรื่องแปลกมาเยอะจนไม่อยากจะตกใจแล้ว

แล้วทุกคนก็เดินตามกันเข้าไปในตัวอาคาร หมอยากับลุงพุฒิเดินอยู่หลังสุด แม่ได้ยินคุยกันประมาณว่า โชคดีนะ ที่มาทันเวลา
แต่ลุงพุฒิยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร

หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจเบื้องต้น น้าแย้มก็ถูกแยกไปตรวจร่างกายต่อ  ราว 3 ทุ่มกว่าก็ย้ายมารวมกันที่ห้องผู้ป่วย
อาการน้าแย้มดูแปลกจนพยาบาลก็งงๆ เพราะดูไม่เหมือนคนป่วย มีแค่บางครั้งที่บ่นเบาๆว่าเจ็บท้อง ยายก็คอยปลอบว่า ไม่เป็นอะไรแล้ว
หมอตรวจแล้ว พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว ระหว่างที่พยาบาลตรวจและสอบถามอาการ

ลุงพุฒิซึ่งยืนอยู่ข้างๆเตียงก็บอกว่าเดี๋ยวจะลงไปไหว้ศาลพระภูมิด้านล่างสักหน่อย
พอลุงพุฒิออกไป ลุงยักษ์ก็เดินออกไปบ้าง บอกว่าจะไปสุบบุหรี่ข้างนอกสักม้วน ถ้าหมอมาให้รีบไปตาม ลุงยอดกับหมอยาจึงตามออกไปด้วย เหลือแม่ ยาย พยาบาลและน้าแย้มซึ่งนอนอยู่

ผ่านไปชั่วครู่พยาบาลก็เดินออกไปจากห้อง สวนกับลุงยอดที่เดินเข้ามา ลุงยอดถามยายว่า พยาบาลว่าไงบ้าง ยายก็เล่าว่า
พยาบาลก็ถามนู่น นี่ นั่น ก็ยังไม่สรุปว่าแย้มเป็นอะไร แต่คิดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบรึเปล่า แล้วลุงยอดก็หันมาบอกแม่ว่า

“เออ พี่ยักษ์เรียก ยืนรออยู่ตรงระเบียงด้านนอก” แม่ก็เดินออกไป ทิ้งให้ลุงยอดอยู่เป็นเพื่อนแม่
แม่เดินเปิดประตูมาตรงระเบียง ลมพัดเย็นมาก เห็นลุงยักษ์ยืนม้วนใบจาก  (สงสัยบุหรี่หมด) ส่วนหมอยาก็กำลังสูบยาเส้นอยู่ข้างๆ
ลุงยักษ์จุดไฟที่ใบยา สูดเข้าหนึ่งครั้งแล้วพ่นควันออกมา แล้วถามแม่ว่า

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ วันนั้นไปเจออะไรกันมา เอาให้ละเอียดนะ”

แม่ก็เล่าเรื่องในวันนั้นทั้งหมดให้ลุงยักษ์ฟัง คร่าวๆคือกลับจากโรงเรียน ผ่านศาลร้างใต้ต้นไม้ เจอผู้หญิงคนนึงยืนอยู่
ไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกับที่ลุงยักษ์ยิงคืนนั้นรึเปล่า แต่ก็คล้ายๆ

โดยมีหมอยายืนฟังข้างๆ จนแม่เล่าจบ หมอยาซึ่งนิ่งมานานก็พูดขึ้นมาว่า
“คงไม่ใช่คราวซวยแล้วมั้ง นี่มันตั้งใจเลย”  ลุงยักษ์ก็ถามหมอยาว่าหมายความว่ายังไง

หมอยาเลยบอกว่า ปกติเรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเกิดได้ง่ายๆ ไม่งั้นคนก็คงเจอผีกันทุกวัน มันเป็นที่ดวงหรือคราวเคราะห์
และสิ่งสำคัญมากๆคืออยู่ที่ตัวคนๆนั้นด้วยว่ามีสภาพร่างกาย และจิตใจเป็นยังไง ซึ่งจากที่ฟัง แม่เล่ามา หมอยาบอกว่า
มีความเป็นไปได้ที่มันรู้เลยมาดักรอ

เพราะวันนั้น เห็นบอกว่า น้าแย้มไม่สบาย ทั้งร่างกายและจิตใจคงจะอ่อนแออยู่ แถมยังเป็นเด็กด้วย
ก็อาจจะเป็นช่องให้สิ่งพวกนี้มันรังควานได้ง่าย หมอยาพูดต่อว่า ศาลร้างตรงใต้ต้นไม้นั่นก็เหมือนกัน

เห็นคนกราบไหว้กันมาก ใช่ศาลที่สร้างไว้ให้เจ้าที่เจ้าทางอาศัยอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ เคยผ่านไปตอนกลางโผล้เผล้เหมือนกัน มองไป
ไม่ให้ความรู้สึกอุ่นใจ หรือน่ากราบไหว้เล้ย ดูน่ากลัวซะมากกว่า

ลุงยักษ์ถามต่อว่า แล้วลุงพุฒิเล่าอะไรให้ฟังบ้าง หมอยาบอกว่า ลุงพุฒิเขาไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังหรอก ถ้าไม่จำเป็น
จากนั้นลุงยอดก็เดินออกมาตาม บอกหมอเวรเข้ามาดูอาการแล้ว ต้องรอผลตรวจอีกที ลุงยักษ์จะเอายังไง

ลุงยักษ์ถามหมอยาว่าจะกลับบ้านมั้ย เดี๋ยวขับไปส่ง หมอยาก็บอกว่าถึงมือหมอแล้ว อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้ายักษ์จะไปส่ง
ก็กลับเลยดีกว่า ลุงยักษ์เลยให้ลุงยอดอยู่เป็นเพื่อนแม่กับยาย ส่วนตัวเองจะชับรถไปส่งหมอยา และก็จะลงไปถามลุงพุฒิด้วยว่าจะเอายังไง

(เรื่องหลังจากบรรทัดนี้ ลุงยักษ์มาเล่าให้ฟังตอนหลัง)

ลุงยักษ์เล่าว่า ลงไปเจอลุงพุฒินั่งอยู่หน้าศาลพระภูมิ ใจจริงก็อยากให้ลุงพุฒิอยู่ด้วย แต่ก็เกรงใจ ไปส่งที่บ้านดีกว่า
ลุงพุฒิบอกว่า ถึงตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะที่ทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว
ที่เหลือต้องให้ทางคุณหมอดูแล และก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของน้าแย้ม

ลุงยักษ์ถามขำๆว่า ขากลับมันดึกกว่าเดิม จะเจออะไรแบบตอนขามามั้ย? ลุงพุฒิตอบ สีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจว่า

“พวกเราน่ะคงไม่เจอหรอก มันถ่วงแข้งถ่วงขาเราจนพอใจแล้ว แต่...” ลุงพุฒิก็หยุดพูดแค่นั้น

กลางดึกคืนนั้นในห้องผู้ป่วย ยายกับลุงยอดหลับไปแล้ว ส่วนแม่ยืนดูวิวตรงหน้าต่าง มองไปเห็นรั้วโรงพยาบาล
ถัดไปเป็นถนน

อาจเป็นเพราะไม่ชินที่ จึงนอนไม่หลับ มาสะดุ้งตอนได้ยินเสียงน้าแย้มเรียกเบาๆ แม่หันกลับไปมองก็ยังกลัวๆ
กลัวว่าคนที่เรียกจะเป็นตัวน้าแย้มหรือเป็นสิ่งอื่นที่คนอื่นพูดๆกันอยู่ว่าอยู่ในตัวน้าแย้ม

น้าแย้มเรียกแม่เบาๆ เรียบๆ อยู่ 2-3 ครั้ง ถึงจะไม่คุ้นหู แต่แม่ก็ไม่รู้สึกกลัว เพราะมีความรู้สึกว่าคนที่เรียก
เป็นน้องสาวตัวเองที่ไม่ได้คุยมาหลายวันแน่นอน น้าแย้มบอกแม่ว่าขอกินน้ำหน่อย หิวน้ำมาก

แม่หยิบน้ำมาป้อนน้องสาวตัวเอง น้าแย้มสำลักเล็กน้อย พอดื่มน้ำเสร็จ น้าแย้มก็ถามต่อ
“ที่นี่ที่ไหน ทำไมมานอนตรงนี้? จำได้ว่าไม่สบายนอนอยู่บ้าน” แม่ก็บอกว่า

“อยู่โรงพยาบาล แย้มไม่สบายมาก แม่ (ยาย) เลยพามาหาหมอ” แม่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง น้าแย้มบอกปวดท้องนิดหน่อย
แล้วน้าแย้มก็พูดว่า

"คิดถึงจัง เหมือนไม่ได้เจอกันนานมาก" แม่ถึงกับน้ำตาซึม แต่ก็พูดติดตลกไปว่า

“รู้ป่ะ มีแต่คนบอกว่าแย้มโดนผีสิง” น้าแย้มก็ทำหน้างง

พอแม่จะพูดต่อ ยายก็ลุกขึ้นมาพอดี บอกว่าอย่าไปหลอกน้องสิ
แล้วยายก็เข้าไปถามว่าเป็นยังไงบ้าง น้าแย้มก็บอกว่ารู้สึกปวดๆท้อง แต่ก็ไม่มาก อยากกลับบ้าน
ยายก็บอกว่า รอดูอาการพรุ่งนี้ก่อน  ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านกันนะลูก แล้วสักพักน้าแย้มก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

แม่ก็นอนมองหน้าน้องสาวจนหลับไปเช่นกัน

วันรุ่งขึ้นผลตรวจร่างกายก็ยังไม่มา ลุงยอดออกไปหาอะไรมาให้ยายกิน แม่เลยขอลงมาเดินเล่นด้านล่างอาคาร
ยายบอกว่าอย่าไปเล่นไกล แม่เจอคนแปลกหน้า ทั้งคนป่วย และญาติคนป่วยมากมาย แต่ก็ไม่รู้จะไปคุยไปเล่นกับใคร

เดินจนเบื่อกำลังเดินกลับขึ้นห้อง ก็เจอแมวดำตัวนึง เดินมาพันแข้งพันขา แม่เลยนั่งเล่นกับแมว จนคิดว่า อยากให้น้าแย้มหายไวๆ
จะได้กลับไปเล่นพร้อมหน้าพร้อมตากันอีก จนลุงยอดกลับมาจึงเดินขึ้นห้องไปด้วยกัน

ช่วงบ่ายลุงยักษ์กับตามาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับน้าแย้มมาก เพราะน้าแย้มนอนหลับอยู่
ตากับลุงยักษ์ก็ไปคุยกับหมอว่าสรุปเป็นอะไรยังไง
แต่หมอก็บอกว่าต้องรอแพทย์เฉพาะทาง อีกอย่างอาการของน้าแย้มก็ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว

ช่วงเย็นๆ จึงทยอยกลับกัน เหลือแค่ยายกับแม่ 2 คน
และช่วงกลางดึกคืนนั้นเอง เหตุการณ์ประหลาดก็วนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

แม่ฝันว่าเห็นน้าแย้มนั่งร้องไห้ แม่ก็เข้าไปถามว่าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม น้าแย้มกำลังพูด
แต่แม่ก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงประหลาดเย็นเยียบนั้นอีกครั้ง

ธี่.......................หยด
ธี่.......................หยด
ธี่.......................หยด

ณ ตอนนั้น แม่สะดุ้งตื่น แต่อาการเหมือนโดนผีอำ คือเห็นทุกอย่าง รอบข้าง แต่พูดไม่ได้ นอนเกร็งนิ่ง แม่มองไป

ภาพเลือนลางที่เห็นคือน้าแย้มนั่งโยกตัวไปมา พึมพัมๆ ทำเสียงประหลาด นั่งยืดขายาวอยู่บนเตียง
บนตัวน้าแย้มมีแมวสีดำตัวนั้นนั่งคร่อมอยู่ พอพูดวลี แปลกๆนั่นจบ น้าแย้มก็หันมามองหน้าแม่แล้ว ยิ้ม….

แม่รู้ทันทีว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่น้าแย้มแน่ แม่กลัวจนอยากจะกรีดร้องแค่ไหน แต่ก็ไม่มีเสียง ขยับไม่ได้
ได้แต่เหลือกตาไปมา แล้วน้าแย้ม (ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตัวน้าแย้มเองรึเปล่า) ก็พูด เรียบๆ แบบไร้ความรู้สึกว่า

“กรูไปล่ะนะ”

หลังจากพูดจบ น้าแย้มก็ทิ้งตัวหงายหลัง ลงบนเตียงเหมือนคนไม่มีสติ
ส่วนแมวดำที่นั่งอยู่บนตัวน้าแย้มก็พุ่งไปที่หน้าต่าง แล้วก็กระโดดหายลับตาไป ณ ตอนนั้นแม่ก็เหมือนหลุดจากอาการโดนอำ
ลุกเข้าไปเขย่าตัวน้าแย้ม แต่น้าแย้มยังคงหลับ แต่ที่ทำให้แม่ตกใจ คือที่มุมปากน้าแย้มมีเลือดไหลเยิ้มออกมา...

แม่ร้องเรียกยาย ยายตกใจลุกขึ้นมาเห็นอาการลูกสาวปุ๊บก็ร้องลั่น แล้วรีบวิ่งไปตามหมอ
ส่วนแม่ยืนตัวสั่น อ่อนแรง...เรียกน้องเบาๆ แย้ม.........แย้ม  แต่ไม่มีเสียงตอบรับ

แม่โซเซ ไปที่หน้าต่างที่แมวดำตัวนั้นกระโดดลงไป มองไปรอบๆก็ไม่เห็นอะไร นอกจากความมืดมิด
สายตาแม่มองกวาด ไปถึงรั้วโรงพยาบาลด้านหน้า ไฟจากถนนทำให้แม่เห็นบางสิ่ง

แม่หน้าซีด... ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อสีดำ ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น

อันนี้เป็นสรุปส่งท้ายนะครับ

- น้าแย้มเสียชีวิต งานศพน้าแย้มจัดขึ้นง่ายๆที่บ้านในไร่ มีญาติมาร่วมงานไม่มาก ลือกันไปไกลว่า
  แย้มถูกปอบกินบางคนกลัวเรื่องนี้มาก จนไม่กล้ามางาน

- ศาลไม้เก่าข้างทางที่ไม่รู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ แต่ลงท้ายจาก “ศาลไม้” ก็กลายเป็น “เศษไม้”
   เพราะลุงยักษ์กับลุงยศ  ไปพังจนเสียหายแล้วเผาทิ้ง

- แม่บอก ลุงยักษ์เล่าว่า แพทย์ที่ผ่าพิสูจน์ก็ยังสงสัย เพราะอวัยวะด้านในของน้าแย้มฉีกขาดรุนแรงหลายจุด แต่อยู่มาได้ไงยังไงหลายวัน

- ธี่หยด จริงๆมันคืออะไร ผมไม่ทราบครับ คนเล่าก็ไม่ทราบ

- ผู้หญิงคนนั้น...ไม่ทราบข้อมูลนะครับ แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีคนบอกว่าเคยเห็นครับ



ที่เหลือก็ใช้วิจารณญาณกันเองนะครับ ขออภัยทุกท่านที่ลงช้าจนอาจจะทำให้ขัดใจ
และขออนุญาตด้านล่าง ส่วนตัวล้วนๆ คันมืออยากพิมพ์มานาน

จะอะไรกันครับ? คุณเสียเวลาคลิกเข้ามาเพียงไม่กี่วิฯ ผิดหวัง ก็เป็นซะขนาดนี้ กระทู้ผมมีอิทธิพลกับชีวิตคุณขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผมไม่สะดวกก็บอกอยู่ ต้องบอกอีกกี่รอบ (อ่อ รอบสุดท้ายแล้วลืมไป ยิ้ม เพราะมันจบแล้ว) ผมมีงานส่วนตัวและส่วนรวมครับ
อย่าใช้บรรทัดฐานตัวเองตัดสินคนอื่นสิครับ
พิมพ์ได้เท่าไหร่ก็เอามาลง ไม่ว่างพิมพ์เป็น 10ๆ หน้า ก๊กปล่อย กั๊กปล่อยนะครับ

แล้วสมมุติถึงว่างจริง แล้วไงครับ ผมไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอครับชีวิตนี้ ต้องพิมพ์รายงานก่อน อย่างอื่นไว้ทีหลัง?

แล้วคห. ที่บอกว่าก็เห็นผมว่างอ่านคอมเม้นท์ ตอบคอมเม้นท์ รบกวนไปไล่อ่านดูใหม่นะครับ ผมตอบแค่ช่วงแรกๆ ที่กระทู้ยังเงียบๆ
และใช้สิทธิ์พาดพุง เฉพาะ คห.ที่มันมีประเด็น ที่เหลือไม่เคยตอบครับ ไม่เคยกดให้ใคร หลังไมค์ก็ไม่เคยตอบใคร (ขอโทษด้วยครับ)

และสุดท้ายจริงๆ ถ้าเห็นใจกัน ทั้งกองเชียร์ กองแช่ง พอเถอะครับ สงสัยอะไรตอบได้จะตอบ แต่อย่ามาตีกันเลยครับ

ขอบคุณที่ (ทน)  ตามอ่านกันจนจบนะครับ และก็ขอบคุณตัวเองด้วยที่ (ทน) พิมพ์จนจบ

ขออนุญาตตอบเฉพาะบาง คห.ที่น่าสนใจนะครับ

1. ธี่...หยด มันคืออะไรกันแน่?
    ตอบ ไม่ทราบครับ เรื่องมาผ่านมาหลายสิบปี คนเล่ายังไม่รู้เลยว่าเป็นเสียงอะไร ผมจะไปรู้ได้ยังไงครับ ยิ้ม

2. แมว(เหมียว) ตอนใกล้จบคืออะไรกันแน่
    ตอบ สั้นๆ ตามที่ผมคิดเอง มันคงเป็น"พาหนะ" มั้งครับ แมวโดดออกเป็น ก็ไปเจอ "คนนั้น" อยู่ข้างนอก

3. เรื่องเกิดที่จังหวัดไหน และหลายๆคนในเรื่องตอนนี้เป็นยังไง
    ตอบ เรื่องสถานที่ อย่าเดาต่อเลยครับ ขออนุญาตไม่ตอบ แต่บอกได้ว่าบางคนเสียชีวิตไปแล้ว

4. ผู้หญิงคนนั้น กับยายแก่เกี่ยวข้องกันมั้ย?
    ตอบ เอาตามที่ผมมโนเอง ไม่มีใครบอก คิดว่าคนที่อยู่ในร่างยายแก่ ก็น่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น อาจจะอยู่มานานพอมาเจอคนใหม่ก็ออก
    และจริงๆ ผมก็แทรกไว้เรื่อยๆ โดยใช้ "รอยยิ้ม" เป็นสื่อว่าเกี่ยวเนื่องกัน แต่อาจจะคิดมากเกิน ไม่มีใครสังเกตุ

5. หญิงชุดดำเป็นพวกเล่นของหรือไม่
    ตอบ ไม่ทราบครับ เอาตามที่ผมมโน (อีกแล้วเรอะ) คิดว่าจุดเริ่มเรื่องจริงๆ คือหญิงแก่คนนั้นเป็นพวกเล่นของ เล่นมากจนของเข้าตัว
    ของที่ว่าก็อาจจะเป็นผู้หญิงคนนั้น... สรุปแบบคิดเองคือ ถึงรูปร่างภายนอกจะไม่เหมือนกัน แต่คิดว่าเนื้อในคือคนๆเดียวกัน
    หญิงแก่คนนั้น ก็อาจจะเป็น "พาหนะ" แบบเจ้าแมวเหมียวตัวนั้นก็ได้มั้งครับ


ไม่มีความคิดเห็น