ของขลัง...มันต้องลอง
การมีของขลังนั้นช่วยให้รู้สึกมั่นใจและเป็นที่พึ่งทางใจได้ แต่มันก็มีอีกประเด็นหนึ่งที่ด้วยความเป็นมนุษย์ย่อมอยากรู้เป็นธรรมชาติ จึงอยากลองของเป็นที่มาของคำว่า "ลองของ" ของในที่นี้มันคือเรื่องไสยศาสตร์ และเรื่องต่อไปนี้ "ของขลัง...มันต้องลอง" เรื่องของคุณลอยชาย แห่งพันทิปได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาพบเจอมากับตัว เกี่ยวกับเรื่องราวที่กล่าวไว้ตอนต้น และด้วยความเคารพจึงขอขอบคุณเรื่องราวสยองๆที่คุณลอยชาย ได้เล่าให้พวกเราได้ฟังกันอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากการที่ผมได้ไปพบเจอกับ คนคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่เป็นคนรู้จักของคนรู้จักผมอีกทีหนึ่ง พี่เขาแนะนำให้คนคนนี้มาพบกับผมเพราะว่ามีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวพี่เขาเอง
เช้าวันหยุดวันหนึ่งที่ผมควรจะได้นอนพักอยู่บนเตียง แต่ผมกลับต้องมานั่งรอใครบางคนที่ผมไม่รู้จัก ผมเหลือบมองไปบนนาฬิกาข้อมือผมตอนนี้มันบอกผมว่า เขาเลยเวลานัดมาแล้ว 2 ชั่วโมง
ผมนั่งอ่านหนังสือ เล่นนู่นเล่นนี่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มที่จะรอไม่ไหว เริ่มหงุดหงิด ผมหยิบโทรศัพท์มาโทรหาพี่คนที่แนะนำมา ว่าฝากตามให้หน่อย
เวลาผ่านไปอีกสัก 20 นาทีเห็นจะได้ ก็มีรถคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอด คนในรถเดินลงมา และตรงมาทางผมด้วยท่าทางมึนๆ เหมือนคนพึ่งตื่น
ชายหนุ่มอายุรายๆเกือบ 30 นั่งอยู่ข้างหน้าผมด้วยอาการหาวนอน ท่าทางเหมือนยังไม่สร่าง เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ชัดเจนจนคนอื่นๆใกล้ๆยังหันมามองตามตอนเขาเดินผ่าน
‘ เอ้าน้อง มีอะไรก็ว่ามา ’
ผมทำท่าไม่เข้าใจ อ้าว สรุปต้องเป็นผมหรอเนี่ยที่ต้องเล่า ผมก็ตอบกลับไปว่า พี่เป็นคนนัดผมมาไม่ใช่หรอ พี่มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ
ชายคนนั้นทำท่าทางนึกแล้วก็นึกขึ้นมาได้แล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า บอกว่ามือข้างนี้มันขยับไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน อยู่ดีๆมันก็เป็น มันอ่อนแรง บางทีมันก็ปวด เจ็บจี๊ดๆ ไปหาหมอมาแล้ว ทำกายภาพแล้วอะไรแล้วมันก็ไม่ค่อยดีขึ้น
ผมถามกลับไปว่า ไปหาหมอดีกว่า เพราะว่าผมไม่ใช่หมอ ไปรักษาตามการแพทย์เถอะ แต่ในตอนนี้ผมเริ่มได้กลิ่นแปลกๆที่ปนมากับกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
‘ โอ้ยน้อง เอ็งนี่ก็พูดแปลกๆ ถ้ามันมีแค่นั้นพี่จะดั้นด้นมาหาไหมเล่า’ โอเค... ผิดเอง
ผมก็ได้แต่ยิ้มแหะๆให้เขาไป เขาก็เล่าต่อว่า เรื่องแปลกๆมันเริ่มมาจาก ในวันหนึ่งที่เขาเริ่มรู้สึกว่า แขนมันแปลกๆ ชาๆ ไม่คล่องเนื้อคล่องตัวเหมือนปกติ เขาก็พยายามขยับ พยายามยืดเส้นยืดสาย แต่ก็ไม่ค่อยดีขึ้น ก็เลยคิดไว้ว่า พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอแล้วกันถ้ามันไม่ดีขึ้น
แต่ในคืนนั้นที่เขายังไม่ทันได้ไปหาหมอ เขาก็ฝันแปลกๆ ฝันเหมือนมีใครมาเดือนอยู่ในบ้าน เขาฝันว่าเขานอนอยู่ในห้อง แล้วมองลอดผ่านใต้บ้านประตูหน้าห้องออกไป ที่ใต้ช่องว่างนั้นมีแสดงสว่างลอดเข้ามาจากด้านนอก แล้วก็มีเงาดำๆ ผ่านไป ผ่านมา
ในตอนเช้าตื่นมาก็ยังไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก คิดว่าคงแค่ฝันไป หรือไม่ก็ดูหนังมากไป ปต่เมื่อเขาบิดขี้เกียดก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงก็พบว่า แขนของเขานั้นยังไม่ดีขึ้นเลย
เขาเลือกที่จะไปหาหมอนวด เพราะคิดแค่ว่ามันก็คงเป็นอาการเส้นยึดตามปกติของคนทำงาน เขาไปนวดคลายเส้นก็แล้ว ออกกำลังก็แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะดีขึ้น
เขาบอกว่าหลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ชัดเจน เขาเริ่มที่จะกังวลแล้วว่ามันมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา
‘ แต่พี่ไม่กลัวหรอกนะ พี่มีของดี ’
ผู้ชายตรงหน้าผมทำท่าทางภูมิใจพร้อมกับแหวกคอเสื้อให้ดูเล็กน้อย ภายใต้เสื้อนั้นมีรอกสักที่เป็นรูปอะไรไม่ชัดเจน จากนั้นก็เริ่มอวดของขลังที่ตัวเองพกติดตัวอยู่เสมอ รวมไปถึงหันหลังถกชายเสื้อขึ้นโชว์ยันต์อันใหญ่ที่บั้นเอว
ผมได้แต่ยิ้มแล้วนั่งฟังพี่เขาต่อไป พี่เขายังคงอวดสรรพคุณมากมาย ดูท่าคงจะเป็นพวกคลั่งไคร้ของขลังแน่ๆ พี่เขาเล่าไปเรื่อยว่าเคยมีเรื่องกับนักเลงอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อยตีกับใครก็ไม่เคยแพ้ เคยโดนแทง ก็มีแค่รอยแดงๆ แทงไม่เข้า
‘แล้วสรุป พี่มาหาผมทำไมครับ’
ด้วยความรำคาญ เพราะดูจะออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว เขาก็สะอึกเหมือนกับรู้ตัวว่าเขาพูดมากเกินไปแล้ว
พี่เขาเล่าต่อว่า เรื่องราวมันดูหนักขึ้นเรื่อยๆ จากที่ฝันบ้างเป็นบางวัน หรือบางทีก็มีเงาดำๆผ่านไปผ่านมาที่หางตา บวกกับอาการที่แขนมันไม่ดีขึ้นจนต้องไปหาหมอ แล้วก็มีที่ทำให้กลัวขึ้นมาบ้างก็คือ
มีอยู่วันหนึ่ง เขาจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันหยุด เขานอนเล่นอยู่ที่บ้านในช่วงเย็นๆ จนเผลอหลับไป แล้วเขาก็ฝัน เขาฝันว่าเขานั่งเล่นอยู่ที่ลานหน้าบ้าน เขาเห็นบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมายที่หน้าบ้าน เขาเดินออกไปหยิบซองจดหมายในตู้ที่ติดไว้ตรงหน้ารั้วบ้าน
เขาหยิบจดหมายออกมาดู แล้วก็เปิดรั้วเดินเข้ามาในบ้าน พอเขาเงยหน้าก็เห็นชายแก่ในชุดขาวยืนอยู่หน้าศาลพระภูมิภายในบ้าน ในฝันนั้นเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกกลัว เหมือนๆจะคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ
‘คุณ คุณเอาใครเข้าบ้าน’ ชายแก่ตรงหน้าทักเขาด้วยเสียงแหบๆ
‘ใคร ไม่มี อยู่คนเดียว’ เขาได้ยินเสียงตัวเองตอบในความฝัน
‘นั่นไง ข้างหลังคุณนั่นไง’
ในฝันนั้นเขาหันหลังไปตามคำบอกเล่าของชายแก่ตรงหน้า ปรากฏเป็นชายสูงอายุคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นดูไม่สมประกอบ ดูดำๆเหมือนโดนไฟไหม้ ร่างนั้นเงยหน้าอ้าปากด้วยท่าทางน่ากลัว ภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้าทำให้เขาตื่นขึ้นมาทันที
เขาเล่าต่อไปว่า เขาตื่นมาด้วยอาการปวดหัว อาจเป็นเพราะนอนตอนเย็น เขาจึงคิดจะออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายข้างนอกบ้าน แล้วจะได้ไปหาอะไรกินที่ร้านค้าในหมู่บ้านด้วย
เขาออกไปเดินเล่นข้างนอก หาอะไรกินจนสบายใจแล้วก็เดินกลับมาที่บ้าน สายตาเขาเหลือบไปเห็นในตู้ไปรษณีย์ ว่ามีซองจดหมายนอนอยู่ข้างใน เขาเดินตรงไปหยิบเอาซองจดหมายในตู้ออกมา แล้วภาพในความฝันนั้นก็ผุดขึ้นมาในความคิด
เขามองดูจดหมายในมือแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นในใจพลางคิดไปว่า ถ้ามันเป็นเหมือนในฝันล่ะ จะทำยังไง เขาคิดอะไรไม่ออกจนต้อง ปลุกของดี ที่เขาว่าเขามีไว้เยอะแยะนั่น
เขาเล่าว่าเขาสวดคาถาปลุกของที่อาจารย์ให้เขามา จนรู้สึกได้ว่า ของตื่นแล้ว เขาเปิดประตูบ้านด้วยใจกล้าๆกลัวๆ
ทันทีที่รั้วถูกเลื่อนให้พ้นสายตาเขากวาดสายตาไปยังศาลพระภูมิทันที ตรงหน้าไม่ปรากฏร่างของชายแก่แบบในฝัน เขารีบเดินเข้ามาในบ้านแล้วหันหลังไปมองอีกที ก็ไม่ปรากฏภาพของชายอันน่ากลัวนั้นเช่นกัน เขาถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความโล่งใจ และเดินเข้าบ้านไป แต่เขาก็ยอมรับว่าในตอนนั้น มันก็เสียวสันหลังแปลกๆเหมือนกัน
ผ่านไปได้วันสองวัน เขาไปพบหมอตามนัด มีการลองทำกายภาพก็ยังไม่ดีขึ้น จึงลองไปฝังเข็มบ้าง เขาเริ่มกังวลใจถึงอาการแปลกๆที่มันเกิดขึ้นกับตัวเอง
พักหลังมานี้เขาเริ่มรู้สึกว่า เขาไม่ได้อยู่บ้านคนเดียว เขามักจะรู้สึกถึงใครบางคนที่เดินไปเดินมาอยู่ภาพในบ้าน บ้างก็มาเป็นเสียงฝีเท้า เดินช้าๆ ลากเท้าไปตามพื้น บางครั้งก็มีเสียงเหมือนคนเดินชนข้าวของภายในบ้าน แม้ว่าจะไม่เคยเห็นจังๆเลยสักครั้ง แต่มันก็รู้สึกได้จริงๆ ว่ามีใครมาอยู่ในบ้านเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ด้วยความไม่สบายใจ เขาจึงพยายามติดต่อไปหาอาจารย์ที่เขานับถือ แต่อาจารย์ของเขาก็ดูจะไม่ว่างเสียที เห็นว่ามีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ เขาเลยลองเปลี่ยนไปทำบุญดูบ้าง โดยเริ่มจากการตื่นมาตักบาตรในตอนเช้า
ในเช้ามืดวันนั้นเขาตื่นมาเตรียมข้าวของตักบาตร ซึ่งก็เป็นข้าวของง่ายๆตามประสายชายโสดที่อยู๋ตัวคนเดียว เขามายืนรอพระที่มักจะเดินผ่านหน้าบ้านเป็นประจำแต่เขาไม่เคยสนใจเลย
เมื่อพระเดินเข้ามาภายในซอยที่เขาอยู่ เขาก็นิมนต์พระท่านมาที่หน้าบ้าน หลังจากใส่บาตรเสร็จในตอนรับพรนั้นเขาสังเกตเห็นว่า พระท่านมีท่าทีแปลกๆ คอยเหลือบตามองมาที่เขาสลับกับบ้าน เขาหันหลังไปดูก็ไม่เจออะไร เมื่อพระท่านให้พรเสร็จก็บอกกับเขาว่า ว่างๆก็ไปทำบุญบ้างนะโยม แล้วก็เริ่มเดินผ่านบ้านเขาไปอย่างรวดเร็ว
เขางงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ทำให้ความกังวลในใจของเขาเพิ่มมากขึ้น จนเขาไม่สบายใจเอามากๆ เขาไม่รู้ว่าเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น กับอาการไม่ปกติของแขนนั้น มันเกี่ยวข้องกันรึเปล่า
ด้วยความกังวลที่มากจนเก็บไว้ไม่ได้แล้ว ในวันหยุดสุดสัปดาห์นั้น เขาจึงตัดสินใจไปขับรถไปหา อาจารย์ ที่เขามักไปขอของดีอยู่เสมอๆ โดนที่เขาไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า เพราะรู้ว่าถ้าโทรไปก็คงไม่ได้ความอะไรอยู่ดี
เขาขับรถมาที่จังหวัดใกล้เคียงจนมาถึง ตำหนัก ขออาจารย์ที่เขานับถือ เขาเล่าว่าวันนั้นคนเยอะเหมือนทุกๆวัน เขาเดินขึ้นไปบนบ้าน เมื่ออาจารย์เห็นก็กล่าวทักทาย แล้วเรียกให้ไปนั่งข้างหน้า เพราะเหมือนกับว่าพี่คนนี้เป็นลูกค้าประจำ
เขานั่งรอจนมาถึงคิวของเขา เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ชายร่างท้วมที่อยู่ในชุดขาวนั่งฟังเขาเล่าด้วยท่าทางไม่ใส่ใจพลางบ้วนน้ำหมากในปากจนเสียงดังน่ารำคาญ
‘ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ผีตายโหงทั่วๆไปนั่นแหละ เอ็งคงเผลอไปเหยียบถิ่นเขาเข้า ก็เลยตามมาขอส่วนบุญ’
‘แต่ผมก็ทำบุญบ่อยแล้วนะช่วงนี้ กรวดน้ำแผ่เมตตาบ่อยๆด้วย ทำไมเขายังไม่ไป’
‘ไอ้ผีพวกนี้มันก็ดื้อด้านแบบนี้แหละ มาเดี๋ยวจะไล่ให้ แถมของดีไปกันผีด้วย’
ชายร่างท้วมตรงหน้าเริ่มทำพิธีไล่ผี โดยเริ่มจากการทำน้ำมนต์ เอามาพรมไปทั่วทั้งตัวของเขา แล้วก็สวดมนต์อยู๋ครู่หนึ่ง หยิบเอาดินเหนียวที่เตรียมไว้มาปั้นเป็นตัวคน จากนั้นเอื้อมมือมาดึงเอาผมของพี่เขาไปใส่ไว้ในหุ่น จากนั้นทำการบริกรรมคาถาต่ออีกครู่ จนสุดท้าย ก็หักคอตุ๊กตาตัวนั้นทิ้งต่อหน้าต่อตา แล้วโยนเศษดินปั้นนั้นให้ลูกศิษย์เอาไปทิ้ง
ก่อนจะกลับ อาจารย์บอกว่าจะให้ตะกรุด มาเพื่อป้องกันตัวเอง แต่แน่นอนว่ามันต้องมี ค่าใช้จ่าย เพราะอาจารย์ไม่ได้ทำเป็น ธรรมทาน แต่มันคือ ธุรกิจ พี่เขาก็จ่ายไปตามระเบียบเพราะเตรียมตัวมาอยู่แล้วว่า ต้องเสียเงินแน่ๆ
เขาขับรถกลับบ้านด้วยความสบายใจ เพราะอาจารย์คนนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่อง ความขลัง มีคนนับหน้าถือตามากมาย แค่ผีตายโหง สัมภเวสีทั่วไป มีหรือจะมาสู้กับอาคมของหมอผีได้
ในคืนนั้นเขาโทรหาเพื่อนๆ เพื่อจัดนัดกันมาสังสรรค์ เพื่อฉลองให้กับความสบายใจในคืนนี้
คืนนั้นมีเพื่อนมาร่วมฉลองกับเขาได้เพียงแค่ สองสามคน เพราะว่าเป็นการนัดกะทันหัน พี่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก งานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนั้นเป็นไปด้วยความสนุก เมื่อเพื่อนมาเจอกัน มันก็มักจะมีแต่ความสุขจนทำให้ลืมเรื่องราวที่มันแย่ๆ
หนึ่งในเพื่อนของพี่เขาที่มาสังสรรค์ในคืนนั้น คือคนที่แนะนำให้พี่เขามาหาผม ซึ่งในตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นคนเดียวกัน
พี่เขาเล่าต่อไปว่าหลังจากฉลองกันจนพอสมควร เริ่มตึงๆกันแล้ว ก็ตกลงกันว่าพอแค่นี้ อย่ากินจนเมาเลย เพราะวันรุ่งขึ้นต่างคนก็ต่างมีธุระ
เพื่อนๆคนอื่นนอนที่ห้องนั่งเล่นตรงโซฟา และในห้องรับแขกอีกห้องหนึ่งและตัวเขานั้นขึ้นไปนอนบนห้องนอนของเขาตามปกติ เขาทิ้งตัวลงบนที่นอนด้วยความสุขที่ได้เจอเพื่อนๆ
เขาหลับไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ในคืนนั้นเอง เขาก็ฝันอีกครั้ง แต่มันก็ไม่เหมือนฝันสักทีเดียว เขาบอกว่ามันรู้สึกตัว เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่รู้ว่าตกอยู่ในภวังค์ หรือมันมึนเพราะเหล้ากันแน่ เขาบอกว่าเขาได้กลิ่นเหม็น มันเป็นกลิ่นเหม็นเค็มๆ คาวๆ เหมือนเนื้อเน่า ปนมากับกลิ่นไหม้ เรียกได้ว่า ชวนอาเจียนเป็นที่สุด
เขาพยายามหันหน้าไปทางที่ได้กลิ่น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะขยับตัวในตอนนั้น เขาค่อยๆหันหน้ามาด้วยความลำบาก จนในที่สุดเขาก็มาอยู่ในท่านอนตะแคง โดยที่แขนข้างหนึ่งยื่นอออกไปที่ข้างเตียง
แขนข้างที่ขยับไม่สะดวกของเขานั้น ตอนนั้นมันยื่นออกไปที่ข้างเตียง รู้สึกเย็บวาบๆ จนทำให้ขนลุก เขาพยายามจะดึงมือกลับเข้ามาใต้ผ้าห่ม แต่ไม่รู้ว่าด้วยอาการเมา หรือว่าอาการเดิมที่เป็นอยู่มันมากขึ้นจนทำให้เขาขยับไม่สะดวก
ในตอนที่เขากำลังดึงมือกลับมาได้ครึ่งทาง อยู่ดีๆก็มีมือหนึ่งยื่นมาตะครุบมือเขาไว้โดยไม่ได้ตั้งตัว สัมผัสที่มือนั้นเขาจำได้ดี ความรู้สึก เหนียวๆ แฉะๆ ปนกับความแข็งแห้ง ความเย็นที่สัมผัสได้ ผ่านฝ่ามือทำเอาขนลุกไปทั้งตัว
กลิ่นเหมือนที่มีค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเขาพยายามดึงมือกลับด้วยแรงทั้งหมดที่มีพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็พบเพียงความมืดภายในห้องเท่านั้น บวกกับความลำบากในการขยับตัวทำให้เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะหนีให้พ้นกับสิ่งที่เขาเจออยู่
เขาพยายามออกแรงดึงมือตัวเองกลับ แต่ก็ไม่เป็นผล เขามองกลับไปที่มือของเขาอีกครั้ง คราวนี้ที่มือเขาปรากฏเป็นภาพมือเละๆ มือหนึ่งที่มีแผลเหวอะหวะ เหมือนเน่า ซ้ำยังมีส่วนที่ไหม้ไฟจนเห็นเป็นสีดำๆ เขาตกใจมาก และเมื่อมองสูงขึ้นไปก็พบกับร่างหนึ่งนึ่งยองๆอยู่ที่พื้นข้างเตียง เข่าสูงจนถึงระดับออก ท่าทางน่ากลัว
ร่างของชายสูงอายุ ผอมแห้ง มีแผลเต็มตัว มีร่องรอยของการเน่า และแผลจากไฟไหม้ทำให้เขาดำไปทั้งตัว ส่วนหัวของร่างนั้นเบี้ยวผิดปกติ ร่างนั้นเงยหน้าด้วยคาเอียงๆ ปากอ้าค้าง
พี่เขาตาโตด้วยความกลัว พี่เขาบอกว่าร่างตรงหน้านั้น น่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน มันติดตาเขาจนวันนี้ เขาพยายามดิ้นให้หลุดจากตรงนั้น แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ เขาพยายามส่งเสียงร้อง แต่ก็ไม่สามารถ
ในขณะที่เขาพยายามดิ้นนั้น เงาร่างตรงหน้าก็ค่อยๆขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ กลิ่นเน่านั้นรุนแรงจนเขาทนไม่ไหว
‘ใครก็ช่วยอึงไม่ได้หรอก’
เสียงแหบพร่านั้นพูดเบาๆที่ตรงหน้าพี่เขาทำให้สติพี่เขาหลุดลอยไปไกล หลับหูหลับตาดิ้นและตะโกนโวยวาย แล้วพี่เขาก็รู้สึกตัว ตื่น
พี่เขาบอกว่าในตอนตื่นมานั้นมันยังไม่เช้าเลย เป็นช่วงประมาณเช้ามืด พี่เขาเหนื่อยมาก มีเหงื่อเต็มตัว ด้วยความกลัวพี่เขารีบเปิดไฟไปทั่วบ้าน และลงไปหาเพื่อนที่นอนอยู่ข้างล่างทันที
พอเล่ามาถึงตรงนี้โทรศัพท์พี่เขาก็ดังขึ้น เหมือนว่าจะมีธุระด่วน จึงขอตัวผมกลับก่อน พี่เขาจะให้เบอร์โทร กับวันเดือนปีเกิดผมไว้ เผื่อว่าผมจะเอาไว้ใช้ดูอะไรก่อนนัดกันครั้งถัดไป ผมเอื้อมมือไปรับไว้ตามมารยาทแม้ว่าจะไม่ได้ต้องการก็ตาม
ผมเดินไปส่งพี่เขาที่รถตามมารยาท ในตอนที่พี่เขาสตาร์ทรถถอยออกไป ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด ที่เบาะด้านข้างคนขับนั้น มีร่างผอมแห้ง เน่าเฟะ ร่างหนึ่งนั่งอยู่ ร่างนั้นมองมาที่ผม ใบหน้าที่บิดเบี้ยวทำให้ผมขนลุกไปทั่วทั้งตัว สายตาของเขาที่มองมาทางผมนั้น มันไม่ดีเอาเสียเลย รถคันสวยถอยออกจากโรงจอดรถไปพร้อมกับร่างเน่าๆนั้น
ผมยืนอยู่ครู่หนึ่งเพราะยัง งงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น จนเพื่อนผมขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดใกล้ และทักทายผมตามปกติ
‘เมื่อกี้ใครวะ ลูกค้าแงะ สองคนที่เพิ่งออกไป’
หลังจากที่พี่เขาขับรถออกไปได้สักพัก พี่คนรู้จักของผมก็โทรมาหาเพื่อถามถึงความคืบหน้าจากที่ได้คุยกับเจ้าเรื่องแล้ว ผมเป็นฝ่ายถามกลับในหลายๆเรื่อง แล้วก็มีเรื่องหนึ่งที่พี่เขาเล่าให้ผมฟัง ว่าไม่ใช่แค่พี่คนนั้นที่โดนในคืนนั้น พี่คนรู้จักของผมคนนี้ก็โดนด้วยเช่นกัน
เล่าย้อนกลับไปในคืนนั้น หลังจากที่งานเลี้ยงจบลงพี่ผมได้นอนอยู่ที่โซฟาตรงห้องนั่งเล่น เพราะตอนนั้นก็รู้สึกมึนพอสมควรจึงไม่อยากจะขยับตัวมากเท่าไหร่นัก ในตอนที่พี่หลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ พี่ก็รู้สึกตัวว่าถูกปลุกด้วยเสียงที่ไม่คุ้นเคย 'คุณ ตื่น นี่ คุณ ตื่นได้แล้ว' พี่ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเรียกนั้น ด้วยความงัวเงียสะลึมสะลือ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากโซฟาก็เห็นเป็นชายแก่หลังค่อม ยืนอยู่ที่ด้านข้างของโซฟา ในตอนนี้พี่บอกว่า คิดแค่เพียงว่าคงเป็นญาติของเพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้าน ‘คุณตาผมเป็นเพื่อนไอ้บอลมัน ขอผมนอนก่อนนะ ผมเมา ขัยรถไม่ไหวแล้ว’ พี่ตอบกลับชายแก่ตรงหน้าไปด้วยสติที่ไม่เต็มร้อย แต่ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้งก็ได้ยินประโยคจากชายแก่คนนั้นเบาๆ ‘เฮ้อ ฉันเตือนแล้วนะ’ พี่หลับต่อไปอีกนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ ก็ตื่นขึ้นมาก แต่คราวนี้ไม่ได้มีใครปลุก แต่รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ พี่ค่อยๆยันตัวขึ้นจากโซฟา เดินเซไปมาจนไปถึงห้องน้ำได้ ในตอนที่กำลังปล่อยเบาอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงสายตาที่มองมาจากด้านหลัง มันเป็นความรู้สึกเสียวสันหลังที่อธิบายไม่ถูก พี่หันหลังไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ แต่ก็พบเพียงพื้นที่ว่างเปล่าไม่ได้มีใครยืนอยู่ตรงนั้นอย่างที่รู้สึก
พี่พยุงตัวเองเดินกลับมาที่โซฟาได้ก็ทิ้งตัวลงอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่ได้หลับในทันทีเพราะรู้สึกปวดหัว จึงพยายามนวดคลึงที่ขมับเหมือนว่ามันจะช่วยอะไรได้ แล้วในตอนนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นเหมือนใครบางคนเดินผ่านไป พี่ยันตัวขึ้น เพื่อตั้งใจจะมองให้ชัดเจน เผื่อว่าจะเป็นชายแก่คนเดิม
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นร่างของคนที่เขามองหา แต่ร่างนั้นกลับไม่ได้แต่งตัวตามปกติเหมือนที่เห็นในตอนแรก ร่างนั้นยืนอยู่ตรงตีนบันไดขึ้นชั้นสอง เป็นเงาสลัวๆ เพราะบ้านก็ไม่ได้เปิดไฟครบทุกดวง
ในแสงสลัวนั้น เงาร่างผอมบางค่อยๆขยับตัวเหมือนพยายามจะเดินขึ้นบันไดไป แต่ว่าก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเล พี่คิดอยากจะไปช่วย แต่ลำพังตัวเองแค่จะทรงตัวก็ลำบากแล้ว แต่ด้วยความที่พี่ลืมตาได้สักพักแล้ว สายตาเริ่มชินกับความมืดจึงทำให้เห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้น
จากคำพูดที่พี่เล่าให้ฟัง พี่บอกเอาไว้ว่าในตอนนั้นเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ไม่แน่ใจเรื่องเสื้อผ้า หรืออะไร เพราะมันสลัวๆ แต่ก็พอจะเห็นถึงลักษณะรูปร่างได้ว่าเป็นคนผอม แต่ที่มันดูไม่ปกติก็คือ ส่วนหัวที่มันเอียงๆ เหมือนคนคอหัก แต่มันก็ไม่ได้ชัดมากนัก ในตอนนั้นพี่ได้แต่ตกใจ จึงรีบนอนลงไปอย่างเดิม เอาหมอนที่เคยหนุนมาคลุมหัวตัวเองไว้ และด้วยฤทธิ์สุราจึงทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัว มาตื่นอีกทีก็ตอนที่โดนเพื่อนปลุกในตอนเช้า
ผมเริ่มโยงเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน มันดูสอดคล้อง และตรงกัน แต่มันยังมีสิ่งที่ขาดหายไป ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องราวครั้งนี้
แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้จนกว่า ทางนั้น จะติดต่อผมกลับมาอีกครั้ง ผมก็ได้แต่วางเรื่องนี้ไว้ในความสงสัยเท่านั้น
ไม่นานเกินรอ ในวันรุ่งขึ้นนั้น พี่คนเดิม โทรมาหาผมด้วยเสียงที่ฟังดูไม่สบายใจนัก ผมถามเอาความก็ยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟัง คอยแต่คะยั้นคะยอให้ผมออกไปพบเขาโดยเร็วที่สุด
ผมโทรหาพี่ที่เป็นคนรู้จัก เพื่อให้พี่เขามารับผมไปพบกับเจ้าเรื่อง ด้วยความห่วงเพื่อนพี่เขาจึงไม่ปฏิเสธใดๆ และรีบขัยรถมารับผมอย่างรวดเร็ว
ผมสองคนนั่งมาในรถส่วนตัวของพี่ โดยที่พี่เขาเป็นคนขับโดยมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดพบกันในวันนี้
เรามาถึงสถานที่นัดแล้วซึ่งเป็นร้านกาแฟที่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาสักพักหนึ่ง ร้านนี้ค่อนข้างเงียบ แต่ก็ทราบภายหลังว่าเป็นร้านของคนรู้จักกับเจ้าเรื่อง จึงมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร
‘ทำไมต้องนัดออกมาข้างนอกซะไกลเลยวะ พวกอุไปหาที่บ้านก็ได้นี่หว่า’ พี่ผมทักทายเจ้าเรื่องที่ตอนนี้กำลังนั่งจิบกาแฟด้วยท่าทางไม่สู้ดีนัก
‘ถ้าบ้านมันอยู่ได้อุก็ไม่ถ่อสังขารมาถึงที่นี่หรอก’ เจ้าเรื่องตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
เรานั่งคุยกับเจ้าเรื่องอยู่ครู่หนึ่งจนเขาเริ่มสบายใจขึ้นจึงยอมเล่าเรื่องราวให้ฟัง เจ้าเรื่องเล่าว่าเมื่อคืนที่กลับไปที่บ้าน ด้วยความกังวลใจหลายๆอย่างจึงไปบูชาพระมา เอามาตั้งไว้ที่หัวเตียง เพราะคิดว่าผีสางจะได้ไม่มายุ่ง
ในคืนนั้นกว่าจะหลับตาลงได้ก็ปาไปตี 2 จนในตอนที่หลับไปนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย และรับร็ได้ถึงน้ำหนักที่กดลงมาบนตัว แต่ยังไม่สามารถลืมตาได้ถนัดนัก
เขาพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาเพื่อดูว่ามันมี อะไร อยู่บนตัวเขาหรือไม่ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาได้ก็พบกับร่างผอมแห้งเน่าเฟะที่นั่งกอดเข่าอยู่บนตัวของเขา สองฝ่าเท้าที่ทิ้งน้ำหนักกดลงมาบนหน้าอก รู้สึกได้ถึงแรงจิกของปลายนิ้ว ใบหน้าอันบิดเบี้ยวพยายามจ้องมองมาที่เขา เขาพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในตอนนั้น
เขาพยายามออกแรง พยายามสวดมนต์เท่าที่นึกได้ ถูกบ้างผิดบ้าง ในตอนนั้นไม่เหลือแล้วซึ่งสติใดๆ มีเพียงความกลัวกับใบหน้าอันน่าขนลุกที่อยู่ตรงหน้า
ความพยายามของเขาไม่มีผลใดๆ ร่างนั้นยังคงจ้องมาที่เขาอย่างตั้งใจ กลิ่นเหม็นเน่า เหม็นไหม้ค่อยๆคลุ้งไปทั่วห้อง และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่นอนอยู่แทบจะกลั้นอาเจียนเอาไว้ไม่ได้
ร่างนั้นค่อยๆก้มหน้าลงมาหาเขา ทีละนิดทีละนิดพร้อมๆกับแรงกดที่มาขึ้นจนทำให้เขาหายใจลำบาก ความกลัวของเขาเพิ่มสูงขึ้น และยิ่งพยายามดิ้นให้มากกว่า เดิม เขาเริ่มขยับตัวได้บ้าง จึงเอามือขึ้นมาปัดป้อง แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ
ร่างตรงนั้นก้มมาจนเกือบจะติดกับหน้าของเขาอีกครั้ง ลมหายใจที่มีแต่กลิ่นเน่าชวนอาเจียนทำให้คนที่นอนอยู่ต้องกลั้นหายใจ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวมีน้ำหนองไหลหยดลงมาบนใบหน้าเขาทำให้เขากลัวจนแทบสิ้นสติ
‘ใครก็ช่วยอึงไม่ได้หรอก’ ร่างตรงหน้าพูดกับคนที่นอนอยู่ด้วยท่าทางไม่พอใจ
‘อุไปทำอะไรอึง ทำไมต้องมารังควาญกันด้วย’ คนที่นอนอยู่ได้แต่โวยวายโต้กลับไป
‘เอาของอุคืนมา!’
ร่างนั้นตะคอกใส่คนที่นอนอยู่อย่างสุดเสียง จนทำให้คนที่นอนอยู่สติหลุดลอยสลบไปด้วยความกลัว เขาไม่รับรู้ถึงอะไรอีก
เขาตื่นมาในตอนเช้า พบว่าตัวเองยังนอนอยู่ที่เดิมในชุดเดิม จึงได้รู้ตัวว่า ฝันไป แต่ว่าฝันนั้นมันเหมือนจริงเสียเหลือเกิน ด้วยความไม่สบายใจจึงคิดว่าจะติดต่อผมกลับมาในช่วงบ่ายๆ และนัดเจออีกครั้ง แต่เขาก็ต้องเปลี่ยนใจในทันที เมื่อตอนที่เขาถอดเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำนั้น ภาพที่สะท้อนบนกระจกตรงอ่างล้างหน้าทำให้เขาเข่าอ่อนจนต้องลงไปนั่งกับพื้น
แผ่นอกขาวๆของเขาปรากฏรอยแดงอยู่ที่ตรงกลางอก เมื่อมองดีจะเห็นได้ว่ามันเป็นรอยเหมือนกับรอยเท้า เพราะมีส่วนที่เป็นเหมือนนิ้วเท้าและเมื่อโยงเข้ากับความฝันเมื่อคืนแล้วมันก็อดคิดไม่ได้ว่า มันจะเกี่ยวข้องกัน
เขารีบอาบน้ำแต่งตัว และกดโทรศัพท์โทรหาผมในทันทีจนมาเจอกันในตอนนี้ ท่าทางของเขากลัวมาก ดูสติไม่ค่อยอยู่กับตัว และดูแล้วคืนนี้คงจะไม่กลับไปนอนบ้านแน่ๆ
พี่เขาขอให้ผมช่วย แต่ในตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าจะต้องช่วยอย่างไร ผมเลยขออนุญาตเอามือพี่ของเขามาจับ แล้วตั้งสติ เผื่อว่าจะได้รับรู้อะไรบ้าง
ในครั้งนี้ผมไม่ได้เห็นนิมิตหรือภาพใดๆ แต่ผมกลับต้องเป็นฝ่ายตกใจแทนเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันเย็นเยียบเหนียวๆแฉะๆบนฝ่ามือ กลิ่นเน่าที่ลอยเข้ามาเตะจมูกอย่างรุนแรง
ผมลืมตาขึ้นมาดูก็พบกับร่างอันน่าสยดสยองของชายร่างผอมมีแผลเหวอะหวะน้ำหนองไหลย้อยเป็นทาง รอยไหม้ไฟทั่วทั้งตัวทำให้น่าขนลุก และที่แย่ที่สุดคือปากที่อ้ากว้างผิดปกติเหมือนกรามบนและล่างหลุดออกจากกัน คอที่บิดเบี้ยวไปไม่ได้ตั้งตรง
ผมได้แต่จ้องไปยังร่างตรงหน้าโดยที่พูดไม่ออก ร่างตรงหน้าฉายแววไม่พอใจที่ผม เข้ามายุ่ง ผมถามเขาด้วยความสุภาพ ‘เขาทำอะไรให้คุณหรือครับ’
‘มันเอาของอุไป หัวขโมย มันเป็นไอ้หัวขโมย!’
ร่างตรงหน้าตะคอกใส่ผมอย่างสุดเสียงจนทำให้ผมขนลุกชันไปทั่วทั้งตัวจนเผลอหยีตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ไม่พบร่างตรงหน้าแล้ว
ผมสงบใจให้เย็นลงสักนิดแล้วพูดคุยกับชายตรงหน้าต่อ ‘พี่เคยไปขโมยของใครมาไหมครับ’ ชายตรงหน้าทำท่านึกอยู่พักนึงก็นึกไม่ออก เพราะต่อให้เขาเป็นนักเลงหรือว่าชอบของขลังยังไงก็ไม่แย่ถึงขนาดจะไปขโมยของใคร ในขณะที่เหมือนจะไม่ได้ความอะไรจากคนคนนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้
‘ถ้าคนเป็น พี่ไม่เคย แต่ถ้าคนตายละก็พี่เคยอยู่นะ’
‘เล่ามาสิครับ’
‘พี่เคยไปขโมยเงินปากผีมาจากศพ’
‘มันเป็นมายังไงครับ เล่าให้ฟังหน่อย’ ผมถามกลับไปเพราะน่าจะเจอต้นตอของเรื่องแล้ว
‘ เรื่องมันเริ่มมาจากสมัยหนุ่มๆ ตอนนั้นพี่ก็เป็นคนบ้าของขลังแบบนี้นี่แหละ ใครว่าที่ไหนดีพี่ก็ไปหมด เงินเรามีเราก็ไม่เดือดร้อน สรรหา ไม่สนใจอะไร จนไปเจอกับอาจารย์คนปัจจุบันนี่แหละ ได้ของดีมาเยอะมาก พี่ก็นับถือเขามากเลยนะ เพราะของที่ได้มามันก็ดีจริงแหละ แคล้วคลาด มีเรื่องมีราวก็รอดตลอด จนมีอยู่วันนึงพี่ได้ไปสักมา เป็นยันต์แบบหนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่า ยันต์นี้มีฤทธิ์ด้านคงกระพัน แคล้วคลาด แต่ที่มากที่สุกจะเป็นเรื่อง กันผี กันคุณไสย ผีตายโหง เจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหนที่ว่าแน่ ก็แพ้หมด
ซึ่งก่อนที่จะไปสักยันต์นี้มาก็มีพิธีรีตองนิดหน่อย ให้เตรียมตัวอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ต้องเตรียมของเหมือนกัน ซึ่งก็หลายวันอยู่
จนมาถึงวันนัดพี่ก็ไปตามนัด พี่นั่งทนเจ็บให้อาจารย์สักอยู่หลายชั่วโมง เสร็จแล้วก็มีการปลุกของ ซึ่งพี่ก็รู้สึกได้นะ เวลาของมันขึ้นอะไรแบบนี้ ก็มีอาการไปตามวิชาเขานั่นแหละ
ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่พี่จะไหว้ครูหลังรับวิชา เขาก็บอกกับพี่ว่า ‘ถ้าอยากให้ของมันขลังจริง มันต้องมีวิธีสุดท้าย’ พี่ก็ถามไปด้วยความอยากรู้ บวกกับความอยากได้ของดี ซึ่งมันก็คงเป็นนิสัยของพวกบ้าของขลังทุกคน
‘เอ็งต้องไปขโมยเงินปากผีมา ต้องเป็นผีตายโหงด้วย ถ้าทำได้แสดงว่าเอ็ง ผ่าน ของมันจะถึงจริงๆ’
ตอนแรกที่ได้ยินพี่ก็กล้าๆกลัวๆ เพราะก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่ไอ้ความอยากได้ของขลังมันก็มีไม่น้อย จนสุดท้ายพี่ก็ตัดสินใจ ตกลง ว่าจะทำ
ในคืนนั้นพี่ก็มาที่บ้านอาจารย์ เพราะได้ข่าวว่ามีศพตายโหงจากอถบัติเหตุเข้ามาพอดี อาจารย์ไม่ได้ไปกับพี่ด้วยแต่ว่าให้ลุฏษย์ตามมาเป็นเพื่อน โดยก่อนที่จะไปนั้น อาจารย์ได้ยื่นซองผ้าให้พี่ซองหนึ่ง บอกว่ามันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
พี่กับเด็กลูกศิษย์ของอาจารย์เดินกันมาสองคนที่ป่าช้าท้ายหมู่บ้าน ซึ่งไม่ได้ใช้มานานแล้ว แต่เหมือนกับว่าเป็นความเชื่อของคนแถวนี้ว่า ศพที่ตายไม่ดีมากๆ จะไม่เอาไว้ที่วัด ในคืนแรก เพราะกลัวเรื่องของความเฮี้ยน
วันนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์ค่อนข้างสว่าง การเดินทางจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก เราสองคนค่อยๆเดินไปตามทางเพราะไม่ได้มาดูไว้ก่อน เดินไปก็มองซ้ายมองขวาไป ด้วยความกลัว กลัวทั้งคน กลัวทั้งผี เพราะถ้าคนมาเจอ ความซวยบังเกิดแน่ๆ
เราเดินมาเรื่อยๆ ก็เห็นของคล้ายๆโลงตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ต้นไม้นั้นต้นใหญ่มาก มีผ้าเหลืองผูกไว้รอบต้น มีพวกศาลเก่า พวกกระทง ตุ๊กตาอะไรพวกนี้เต็มไปหมด
เราเดินเข้าไปใกล้ๆโลง พอลองขยับๆดูก็พบว่าโลงมันถูกตอกติดไปหมดแล้ว เรามองหน้ากันเราก็ไม่รู้ว่ามันใช่โลงนี้ไหม ที่อาจารย์เขาพูดถึง
ลูกศิษย์มันเตรียมพร้อมมา มันหยิบเอาค้อนในถุงย่ามออกมา แล้วยื่นให้พี่งัด มันบอกว่ามันไม่มีของ พี่ต้องทำเอง พี่ก็กลัว ไม่กล้าทำ จะหันหลังกลับก็หลายที แต่มันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
พี่ค่อยๆใช้ด้ายแบนของค้อนเซาะไปตามขอบ ออกแรงงัดทีละนิด เพราะมือไม้มันก็อ่อนไปซะเฉยๆ
พอฝาโลงหลุดออกจากตัวโลง แล้วกลิ่นคาวเลือดคาวหนองมันก็พุ่งออกมาพร้อมๆกัน พี่ทนไม่ไหวจนต้องวิ่งไปอาเจียร
พออาเจียรจนหมดแล้วก็กลั้นใจเดินกลับมาที่โลง คราวนี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับพี่แล้ว ว่าจะไปต่อ หรือหยุดไว้แค่นี้
พี่ยังไม่ทันจะทำใจได้ ไอ้ลูกศิษย์ที่ตามมาด้วยมันก็ผลักเอาฝาโลงเปิดไปกองไว้กับพื้นโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจพี่แม้แต่น้อย
พอโลงเปิดออกจึงแสดงให้เห็นศพในโลง ตอนนั้นมันไม่สว่างขนาดจะเห็นได้ชัด แต่ก็พอจะเห็นลางๆ มันผ่านมาหลายปีแล้วพี่ก็ลืม แต่พอลองมานึกดีๆแล้ว มันเหมือนกับที่พี่ฝันเลย
ศพน่าตาน่ากลัว มีแต่แผลเหวอะหวะเต็มตัว จากที่ได้ยินมาเหมือน คุณตา คนนี้จะถูกรถใหญ่ชนเอา ตรงบริเวณหน้าหัก บิดไปออีกทาง ตรงแถวๆแก้มฉีกเป็นแผล
พี่ยืนดูอยู่อย่างนั้นยังไม่กล้าทำอะไรสักที จนเด็กมันโวยวายว่ามันอยากกลับแล้วให้พี่รีบๆทำให้เสร็จเสียที นอกจากจะกลัวแล้วยังเสี่ยงคนมาเห็นอีก
พี่ยกมือไหว้ ‘ผมไม่ได้มาลบหลู่นะครับ อย่าโกรธผมเลย’ ตอนนั้นพี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพูดไปแบบนั้น ทั้งๆที่ไอ้ที่พี่ทำน่ะ ยิ่งกว่าลบหลู่ซะอีก
พี่เดินไปแถวๆหัวของศพ ค่อยๆเอามือเอื้อมไปแตะที่หน้าศพ ตอนนั้นมันเย็นมาก สัมผัสแบบ เย็นเฉียบ แห้งๆ ขนลุกไปทั่วทั้งตัว
พี่ค่อยๆเอามือขยับๆไปตรงปาก ค่อยๆ เอานิ้วใส่เข้าไป ตอนนั้นในปากมีอะไรบ้างไม่รู้ รู้แต่ว่ามันเหนียวไปหมด
พี่พยายามใช้นิ้วควานหาอะไรก็ได้ที่มันเป็น เงิน แล้วนิ้วพี่ก็ไปเจอกับของแข็งเย็นๆ คิดว่าเป็นเหรียญ จึงใช้นิ้วหยิบออกมา
ในมือพี่ตอนนั้นมีเรียญสิบอยู่ในมือ มีคราบเลือดคราบหนองติดมาด้วย พี่แทบจะปล่อยมันลงจากมือ แต่เด็กมันก็บอกพี่ว่าให้ทำตามที่อาจารย์บอก
พี่แกะซองผ้าที่ได้รับมา ในนั้นมีใบไม้อยู่ใบหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นใบอะไร บนใบมีรอยการเขียนอักขระไว้ และในซองยังมีกระปุกเล็กๆ พอเปิดออกดูก็เห็นว่าเป็นดินสอพอง
พี่ทำตามที่อาจารย์บอกมา เอาดินสอพองทาที่หน้าผากของศพ จากนั้นเอาใบไม้ที่ลงอักขระแปะลงไป ท่องคาถาที่ให้มา แต่ตอนนี้พี่จำไม่ได้แล้ว พอเสร็จก็รีบเอาฝาโลงมาปิด ตอกตะปูกลับให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากเสร็จเรื่องราวในคืนนั้นพี่ก็กลับมาที่บ้านและใช้ชีวิตตามปกติ บอกตรงๆว่าในตอนนั้นไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นกับพี่เลย ไมฝัน ไม่มีใครตาม ไม่ดวงตก ไม่อุบัติเหตุ ไม่อะไรทั้งนั้น จนทำให้พี่ลืมๆเรื่องนี้ไปแล้ว
เมื่อเล่าจบผมก็สอบถามว่ายังจำวัดที่ไปทำเรื่องเอาไว้ได้ไหม เขาก็บอกว่าจำได้ เราจึงขับรถออกไปในทันที
เรามาถึงวัดในช่วงบ่ายแก่ๆ เราไปขอพบท่านเจ้าอาวาสเพื่อที่จะไปเล่าให้ท่านฟังว่า ทำอะไรเอาไว้
แต่ปรากฏว่าท่านไม่อยู่ แต่ด้วยความไม่สบายใจของพี่เขา จึงขอที่จะรออยู่ที่วัดจนกว่าท่านจะกลับจากกิจนิมนต์
จ้าอาวาสกลับมาถึงวัดในเวลาเย็นๆ ซึ่งก็เป็นช่วงทำวัตรเย็นพอดี หลวงพ่อเรืยกให้เจ้าเรื่องเข้าไปทำวัตรด้วย แล้วบอกให้พวกผมไปหาอะไรทำฆ่าเวลา ค่ำๆค่อยกลับมา
พวกผมกลับมาในตอนค่ำ ตรงไปยังกุฏิของเจ้าอาวาส ซึ่งในนั้นมีเจ้าเรื่องนั่งอยู่ก่อนแล้ว
เจ้าเรื่องบอกว่าได้เล่าทุกอย่างให้หลวงพ่อฟังหมดแล้ว หลวงพ่อทำท่าหนักใจ แต่ยังไม่พูดอะไรเพราะรอให้ทุกคนมาครบๆก่อน
หลวงพ่อเดินไปปิดประตูบางบาน คงจะไม่อยากให้ใครมาเห็น หลวงพ่อหันไปกราบพระ สวดมนต์อยู่ครู่หนึ่ง
‘บาปหนอ กรรมหนอ จองเวรกันไม่สิ้นสุด’
หลวงพ่อหันมาด้วยท่าทางเหนื่อยใจ แล้วบอกกับพวกผมว่า หลวงพ่อรู้นานแล้วว่ามากันทำไม เพราะในตอนนั้นชาวบ้านเขาก็โวยวานกันว่ามีใครมาทำไม่ดีกับศพ แต่ทางเราก็ไม่รู้ว่าจะตามตัวยังไง
นี่ก็ผ่านมาหลายปี จนชาวบ้านเขาก็ลืมๆกันไปแล้ว อาตมาก็เคยพยายามติดต่อกับผู้ตายแต่ก็ไม่สำเร็จ สงสัยเป็นเพราะ เขาไปตามโยมนั่นแหละ
พอมาถึงตรงนี้เจ้าเรื่องดูมีความกลัวเป็นอย่างมาก แล้วอยู่ดีๆเขาก็ร้องไห้ออกมา บอกว่ารู้สึกกลัว เหมือนมีใครจ้อง พร้อมๆกับที่ประตูกุฏิเลื่อนออกเอง
‘ปล่อยเขาได้ไหม เขากลัวแล้ว’
หลวงพ่อมองไปทางประตู ผมจึงหันไปตามก็เห็นชายแก่ที่เต็มไปด้วยแผลท่าทางน่าเกลียดน่ากลัวยืนอยู่
หลวงพ่อพยายามเทศน์ พยายามสอน แต่ก็เหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย แล้วอยู่ดีๆร่างของชายแก่ก็หายไป แต่กลับเป็นตัวเจ้าเรื่องเองที่ร้องออกมาด้วยความทรมาน
เจ้าเรื่องตอนนี้ดินไปมามือพยายามปัดอะไรบางอย่างแถวๆคอ เหมือนหายใจไม่ออก หลวงพ่อหลับตาพยายามสวดมนต์หรือแผ่เมตตาผมก็ไม่มั่นใจ ผมพยายามเข้าไปช่วยแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้
‘ปล่อยเขาเถอะโยม เราจะให้เขาชดใช้ให้’
แม้ว่าหลวงพ่อจะพูดอย่างนั้นแต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผลใดๆ จนสุดท้ายหลวงพ่อจึงหยิบเอาก้านมะยมมาพรมน้ำมนต์ลงไปที่ตัวเจ้าเรื่อง แล้วพี่เขาก็ค่อยๆสงบลง และสลบไป
ระหว่างที่รอพี่เขารู้สึกตัวหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังว่า ศพนั้นน่ะ เขาเป็นคนแก่ยากไร้ ไม่มีเงินมีทอง มีลูกหลายก็ลำบากกันไปหมด ตายก็ตายไม่ดี ตอนนั้นเงินจะทำศพยังไม่มีเลย ชาวบ้านเขาก็ช่วยๆกัน ไอ้เงินปากผีนั่นน่ะมันก็คงเป็นเงินสำคัญของเขาแหละ 5 บาท 10 บาท ของคนที่เขาไม่มีมันก็เยอะนะ
‘แล้วทำไมรอดมาได้ตั้งหลายปีล่ะครับ’ ผมถามหลวงพ่อด้วยความสงสัย
‘ก็ต้องบอกว่า ของมันดีจริง กันเขามาได้ตั้งหลายปี แต่ใครจะไปรู้ล่ะ วันดีคืนดีของมันเสื่อมขึ้นมา เขาก็ตามมาทวงแบบนี้แหละ นี่ก็กะจะเอาตายเลย’
เราคุยกันถึงทางออกได้สักพักหนึ่ง พี่เขาก็ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมา ทันทีที่รู้สึกตัวพี่เขาก็รีบวิ่งไปนั่งตรงอาสนะของหลวงพ่อ เกาะขาท่านไว้แน่น ตัวสั่นด้วยความกลัว
‘พอได้แล้วไหมโยม ดูสภาพเขาสิ น่าสมเพชขนาดไหน’
หลวงพ่อคุยกับวิญญาณของชายแก่ที่ตอนนี้นั่งยองๆกอดเข่าอยู๋หน้ากุฏิ สภาพของเขาแย่ลงมาก คงจะเป็นเพราะที่เข้ามาอาละวาดในกุฏิด้วยความโกรธ หลวงพ่อสวดมนต์ แผ่เมตตาและเทศน์อยู่ครู่ใหญ่
‘โยมอยากได้อะไรจากเขา’
‘ผมตายไม่ได้ ผมไปไหนไม่ได้ ผมไม่ได้บุญที่ญาติจัดงานศพให้ ผมไม่ได้ฟังสวดศพ’ หลวงพ่อบอกเล่าคำพูดของชายแก่ให้ทุกคนฟัง แต่ผมได้ยินไปพร้อมๆกับท่านก่อนแล้วจึงรู้ว่า เนื้อความนั้นตรงกัน
‘แล้วจะให้ทำอย่างไร มันก็ผ่านมานานแล้ว จะให้จัดงานใหม่มันคงไม่ได้’ หลวงพ่อพยายามเจรจาหาทางออก
‘ผมไปไหนไม่ได้ ผมแค้น ผมแค้น ผมแค้นมัน’ น้ำเสียงของเขาเริมแข็งขึ้นมาอีกที
หลวงพ่อพนมือขึ้น เทศน์โปรดวิญญาณนั้นอีกครั้ง จนเขาค่อยๆเลือนหายไป
‘เขาไปแล้วหรือครับ’ ผมถามท่าน
‘เปล่าหรอก เขาแค่อ่อนแรงจนเกิดจะปรากฏตัวให้เห็นน่ะ’
เราหันมาที่เจ้าเรื่องหลวงพ่อบอกว่าทางออกมันมีทางเดียว โยมทำโยมก็ต้องรับ โยมก็ต้องแก้ด้วยตัวโยมเอง นั่นคือในวันพรุ่งนี้ จะต้องไปขอขมาเขาที่รูปศพตรงกำแพงวัด อย่างถูกต้อง ซึ่งหลวงพ่อจะไปจัดการให้ด้วย อย่างที่สองคือ โยมต้องบวชให้เขา นานเท่าไหร่อาตมาไม่รู้ จนกว่าเขาจะพอใจ
ทุกๆอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเจ้าเรื่องก็ตัดสินใจที่จะบวช แต่หน้าที่ชองพวกผมจบลงในคืนนั้น ที่เหลือหลวงพ่อท่านรับเป็นธุระให้ โดยหลังจากนั้นมาก็ได้ยินมาว่าระหว่างที่เขาบวช ชายแก่คนนั้นมาเฝ้าทุกคืนทั้งตอนตื่นและตอนนอน เล่นเอาเกือบประสาทเสีย ดีที่หลวงพ่อท่านช่วยดูแล หลังจากศึกพี่เขาก็เอาของขลังทั้งหมด ทั้งกุมาร ทั้งข้าวชองหลายอย่างมาให้หลวงพ่อ ส่งวิญญาณ ให้ไปเกิด และพี่เขาก็ไม่เข้าไปยุ่งกับของพวกนี้อีกเลย
............................................
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันครับ
ลอยชาย
จากพันทิป ของขลัง...มันต้องลอง
เรื่องโดย LoyChinE FB ลอยชาย
Post a Comment