เวลานั้น....ใกล้มาถึง
เรียกได้ว่าเรื่องต่อไปนี้ของคุณลอยชาย หรือ LoyChinE จากพันทิป จากประสบการณ์ของเขาเองจะเป็นเรื่องที่ยาวมากและเป็นเรื่องที่มีคนสนใจอย่างมาก แถมอ่านไปแล้วยังมีข้อคิดดีๆ ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เกิดขึ้นกับ คนใกล้ตัว อาจจะไม่ใช่คนใกล้ชิดที่ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่ผมกับ พี่ คนนี้ก็ร็จักกันมาเป้นเวลานาน เราคุ้นเคยกัน พูดคุยกันอยู่เสมอๆในทุกๆเรื่อง เรารู้จักกันโดยบังเอิญผ่านคนหลายๆคน ได้มีโอกาสร่วมงานกันบ้างเมื่อก่อน เป็นงานเกี่ยวกับดนตรี เนื่องจากเราเล่นดนตรีเหมือนๆกันทำให้เราคุยกันถูกคอเป็นอย่างมาก เมื่อเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นผมก็ไปมาหาสู่พี่เขาอยู๋บ่อยๆ และที่ที่หนึ่งที่ผมชอบไปก็คือ ที่ทำงานของพี่เขา พี่เขาเป็นสมาชิกของสตูดิโอเล็กๆที่หนึ่ง ไม่ใช่แถว ม. นะครับ เป็นสิ่งที่ทำร่วมกันในหมู่เพื่อน ที่ผมชอบไปหาพี่เขา เพราะชอบไปถามไปดูพี่เขาเวลาเล่นดนตรี บ่อยครั้งที่มีนักดนตรีเก่งๆมาอัดเสียง ผมจึงมีความชอบในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ผมมักจะไปขลุกอยู่กับพี่เขาที่นั่นจนดึกดื่นทุกวัน เพราะที่นั่นก็ไม่ได้ไกลจากบ้านผมมากมายนัก อีกอย่างตอนนั้นผมก็มีที่เรียนแล้ว แม่เลยไม่ค่อยว่าอะไรเท่าไหร่ถ้าผมจะกลับดึกบ้าง หรือไปค้างที่ไหนบ้าง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกแปลกๆก็คือ ทุกครั้งเวลาที่ผมไปนั่งอยู่ที่นั่นผมจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่ง สายตาที่จับจ้องผมอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกพอสมควร และอีกนัยย์หนึ่งผมรู้สึกได้ถึง ความหวาดระแวง ในอะไรบางอย่าง ผมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่ได้ติดใจจะถามถึง หรือหาที่มาที่ไป เพราะผมก็ไม่รู้ว่า พี่เขา เชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะพูดเรื่องพวกนี้ออกไป
ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมไปยังที่ทำงานนี้ ผมจะรู้สึกถึงสายตาคู่นี้เสมอ แม้แต่ในเวลากลางวัน แม้กระทั่งตอนที่มีคนมาอัดเสียง มีเสียงดนตรีดังอึกกะทึกครึกโครม ผู้คนวุ่นวาย ก็ไม่ได้ทำให้สายตาคู่นี้หายไป ใจหนึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็น เจ้าที่ หรืออีกทีหนึ่งอาจจะเป็น ใครบางคน ที่เสียชีวิตที่นี่หรือเปล่า เพราะตึกนี้ก็เป็นตึกเก่าหลายสิบปีตั้งแต่สมัยผมยังไม่เกิด แต่พวกพี่ๆเขามาเช่าต่อ ถึงผมจะบอกว่าผมไม่ได้ติดใจอะไร แต่ก็ปฏิเสธิไม่ได้เลยว่า มันก็ค้างคาใจพอสมควร
ในวันหนึ่งผมไปนอนค้างที่ทำงาน เพราะวันนั้นแม่ไม่อยู๋บ้านไปประชุมงานที่ กทม. ผมก็เลยหอบข้าวของมาที่นี่ตั้งแต่สายๆ ขลุกตัวอยู่ที่นี่ทั้งวัน ได้พบเจอลูกค้าหลายๆคนก็ได้เพื่อนใหม่ ได้ความรู้ทางดนตรี ช่วยงานพี่เขาเล็กๆน้อยๆ จนเวลาประมาณใกล้ๆเที่ยงคืน ลูกค้าที่มาเหมาคิววันนี้ก็ยังอัดเพลงไม่เสร็จ ทำให้ทุกคนตกลงกันว่า ถ้าอยู๋ต่ออย่างนี้คงหมดแรงหลับกันหมด ไปหาอะไรมากินกันดีกว่าจะได้โต้รุ่งได้สบายๆ ผลสรุปก็คือ เราตกลงกันว่าจะตั้งวงเหล้าที่นี่เลย ตามประสาคนดนตรีนะครับ มักจะขาดอะไรพวกนี้ไม่ค่อยได้ โดยคนที่อาสาไปซื้อก็คือ พี่คนที่สนิทกับผมคนนี้ เพราะพี่เขาจะไปธุระด้วยนิดหน่อย ในสตูตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับวงของลูกค้าแล้วก็พี่ที่เป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทรถออกไปจากที่สตู สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่ร็สึกถึง สายตาคู่นั้น อีกแล้ว ผมไม่รู้สึกว่ามีใครจ้องผมอยู่ ผมพยายามมองหา เดินหา ควานหา ก็ไม่พบใครในตึกนี้เลย ไม่มีแม้แต่เจ้าที่เจ้าทาง มีก็เพียงแต่พุทธรูปที่ตั้งไว้หน้าโต๊ะทำงาน ผมก็ งงๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ผ่านไปประมาณ ครึ่ง ชม. พี่เขาก็กลับมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง พี่เขาโทรมาเรียกให้ผมลงไปช่วยถือ พอผมเปิดประตูตึกให้พี่เขา ผมก็เย็นสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนมี ใคร เดินสวนเข้ามา แล้วสายตาที่คอยจับจ้องผม ก็กลับมาอีกครั้ง
ความสงสัยเกิดขึ้นมากมายในหัวผม ซึ่งผมก็คิดว่า สายตาคู่นั้นคงไม่ใช่เจ้าทีเจ้าทางแน่ๆ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่ วิญญาณติดที่ แน่นอน เขาไม่ได้ตามผมด้วย แต่เขาอาจจะกำลังตามพี่คนนั้นอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบใดๆกลับมา พี่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย จนวันนึงเราก้คุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนคุยกันไปถึงว่าพี่เขาเป้นคนที่ไหนยังไง ก็ได้ความว่าพี่เขาเป็นคน เหนือ คุยไปคุยมาพี่เขาก็ถามผมมาตรงๆเลยว่า ผมมีอะไรรึเปล่า ผมงงกับคำถามนั้นจนผมต้องทวนคำถามนั้นกลับไป พี่เขาก็บอกว่า พี่เขาก็เคยเรียนดนตรีมา ผ่านการครอบครู พิธีต่างๆทางนาฏศิลป์มาบ้าง ทำให้พี่เขา พอจะรับรู้ได้บ้าง แล้วพี่เขาก็จับความรู้สึกบางอย่างได้เวลาอยู่ใกล้ๆผม แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก ผมก็เปิดใจคุยกันตรงๆ เพราะสนิมกันอยู๋แล้ว
พี่เขาดูไม่ตกใจเท่าไหร่ เพราะจากการได้พูดคุยกันก็ได้รู้ว่า พี่เขาเป็นคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู๋แล้ว เชื่อมากด้วย เพราะทางบ้านของพี่แกมี พิธีไหว้ผีอยู่ โดยเรียกกันว่าเป็น ผีปู่ย่า โดยในทุกๆปีจะมีวันวันหนึ่ง ที่ทุกบ้านจะต้องไปรวมกันที่ บ้านใหญ่ เพื่อไปงานนี้ โดยในงานก็จะมีการกราบไหว้ตามพิธี เอาข้าวของไปร่วมงาน ทั้งบายศรี อาหารความหวาน ผลไม้ โดยทั้งหมดนั้นจะเป็น ลูกหลาน แล้วก็จะมีญาติผู้ใหญ่คนนึงเป็น ร่าง ให้ เหมือนเป็นการทรงผี ให้มาคุยกับลูกหลาน โดยร่างนี้ผีปู่ย่าจะเลือกของเขาเอง แล้วก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเปลี่ยนร่าง นอกจากนี้เขาก็มีพิธีรีตอง กฎระเบียบอะไรต่างๆอีกพอสมควร แล้วก็จะมีการให้ลูกๆหลานๆมาขอพร ให้มาแจ้งว่า ตอนนี้ทำงานอยู๋ที่ไหน เรียนอยู่ที่ไหน โดยต้องบอกอย่างละเอียด เพราะเป็นความเชื่อว่า ท่านจะตามไปดูแลลูกหลานได้ถูกที่
ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ เป็นความรู้ใหม่ เพราะเรื่องนี้เขาก็ไม่ค่อยจะบอกใครกัน เราคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากนั้นเวลาผมไปที่สตูเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาก็ไม่รุ้สึกกลัวหรืออะไรมากนัก เพราะผมคิดว่าก็อาจจะเป็น ผีปู่ย่ามาดูแลพี่เขา แต่รับรู้ถึงอะไรบางอย่างในตัวผมได้ เลยร็สึกระแวง เพราะทางผมกับทางเขาก็ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่ล้ำเส้นของกันและกัน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติ จนวันนึงที่ผมเข้าไปหาพี่เขาช่วงบ่ายๆหลังจากเลิกเรียน เมื่อเข้าไปก็เห็นพี่เขานั่งตัดต่อเพลงที่ลูกค้ามาอัดไว้ ผมเดินเข้าไปทักทายพี่เขาตามปกติ
‘พี่ ทำไร เพลงใกล้เสร็จยังอยากฟัง’ ผมเดินเข้าไปพร้อมกับวางของกินลงใกล้ๆโต๊ะ
‘อืม ใกล้แล้ว’ พี่เขาตอบผมเสียงเนือยๆ ผิดวิสัยเพราะปกติพี่เขาเป้นคนร่าเริงมาก
‘เป็นไรป่าวพี่’ ผมถามด้วยความสงงสัย
‘เหมือนจะไม่สบายมั้ง ช่วงนี้นอนน้อย’ พี่เขาตอบพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
‘พักหน่อยไหมพี่ ค่อยทำต่อ ผมซื้อของกินมา’
พี่เขายอมผละจากงานมากินขนมที่ผมซื้อมาสภาพพี่เขาไม่สู้ดีเท่าไหร่ เหมือนพวกพักผ่อนน้อย ริมฝีปากแห้งดูอิดโรย หลังจากกินอะไรกันเสร็จพี่เขาก็ขอไปนอน ผมก็เลยกลับออกมาทันทีไม่อยากรบกวนพี่เขา ผ่านไปอีกวันพี่เขาก็ยังไม่หายจากอาการนี้ ยังดูระโหยโรยแรงเหมือนเดิม เหมือนคนเหนื่อยตลอดเวลา
ผมไปซื้อพวกเกลือแร่น้ำหวานอะไรมาให้แกกินแกก็ไม่ค่อยจะกิน ถามหาแต่ลาบ แต่ไข่ต้ม ไก่ต้มอะไรพวกนี้ ชอบบอกให้ผมซื้อพวกข้าวมันไก่ไปฝาก เอาแบบมีเครื่องในด้วย แล้วก็ให้ผมไปหาซื้อพวก ก้อย พวกอาหารที่มันคล้ายๆลาภที่มันสดๆมีเลือด ผมก็เรียกไม่ถูก เพราะผมไม่เคยกิน แกกินอย่างนี้อยู่เป็นอาทิตย์ แต่แกก็ไม่ได้ดูมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น จนวันนึงพี่เขาก็มาคุยกับผมในระหว่างที่เรากำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน
‘พี่เป็นอะไรวะ พี่ งง ตัวเอง’
‘นั่นดิพี่ ผมก็ งง’
‘ปกติพี่ไม่กินอะไรพวกนี้นะ แต่ช่วงนี้มันอยาก’
‘...’ ผมเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไร
‘หรือพี่จะผีเข้าวะ’
ความกังวลเริ่มมากขึ้น เพราะมันเริ่มแปลกจริงๆ แปลกจนเจ้าตัวก็รู้สึกได้ เพราะปกติพี่เขาก็เป็นคนอนามัยพอสมควรน แต่คราวนี้กับอยาก แล้วก็ชอบมากกับอาหารพวกนี้ ผมเห็นพี่แกดูไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เลยชวนพี่แกไปทำบุญ เราก็ไปทำบุญกันที่วัดใหญ่ หลังจากทำบุญเสร็จก็ไปให้พระท่านพรมน้ำมนต์ให้ แล้วพระท่านก็ผูกข้อมไม้ข้อมือให้ พี่เขาก็ดูสบายใจขึ้น แล้วเราก็แยกกลับกันที่หน้าวัด
วันรุ่งขึ้นขณะที่ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียน ผมก็เห็นไลนพี่เขาแจ้งเตือนขึ้นมาเป็นข้อความสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ผมคาใจได้พอสมควร
‘มาหาหน่อย โดดเรียนเลยได้ไหม’
ผมรู้สึกแปลกใจเล็กๆ เพราะปกติพี่เขามักจะด่าและไล่ผมไปเรียนก่อนค่อยมาหา พอเลิกเรียนผมก็รีบไปหาพี่แกเลย เมื่อเปิดประตูเข้าไปภาพที่เห็นก้คือ พี่เขานั่งกุมขมับอยู่ที่โซฟาในห้องอัด ผมเดินเข้าไปทักพี่เขาสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์แล้วถูกปลุกให้ตื่น ผมเขาเงยหน้ามามองผม ตาของพี่เขาแดงงระเรื่อ เหมือนคนอดหลับอดนอน
‘เป็นไรพี่’
‘พี่ว่ามันไม่ปกติแล้วว่ะ ทำไงดี’
‘อะไรพี่ เล่าให้ฟังก่อน’
‘เมื่อคืน พี่ทำเพลงต่อจนดึก พี่ก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวจะนอน พี่เดินขึ้นไปที่ชั้นบนเข้าห้องนอนไป พอพี่ล้มตัวลงนอนบนเตียงมันก็ยังไม่หลับทันทีหรอก พี่ได้ยินเสียงประตูห้องมันเปิด พี่ก็กกลัวๆนะ แล้วก็ง่วงมากด้วย เลยไม่เดินไปดู แล้วพี่ก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ แล้วพี่ก็รู้สึกตัวตื่นมาเพราะความอึดอัด เหมือนมีน้ำหนักกกดพี่อยู่ พี่หายใจไม่สะดวก พอพี่ลืมตาขึ้นมาพี่ก็ร้องตะโกนสุดเสียงแต่เสียงมันไม่ออกมา แล้วมันก็ขยับตัวไม่ได้ แต่ตรงหน้าพี่มีเงาของคนแก่ ตัวเล็กๆ ผอมๆ นั่งยองๆกอดเข่าอยู่บนอก พี่ตกใจมาก พยายามตะโกนโวยวาย แต่ก็ทำไม่ได้ พี่รีบหลับตา แล้วก็พยายามสวดมนต์ สวดผิดสวดถูกไม่รู้ ครู๋เดียวพี่ก็หลุดจากสภาพนั้น พี่รีบลุกลงจากเตียง พี่มองไปรอบๆห้อง ก็มองเห็นเงาร่างของคนแก่แอบมองอยู่ที่มุมประตูห้อง แล้วก็หายไป พี่กลัวมาก ไม่กล้านอนเลยเนี่ย’ พี่เขาเล่าด้วยอาการกลัว
‘พี่ไปทำอะไรใครมาป่าวเนี่ย’ ผมพยายามถามหาที่มาที่ไป
‘ไม่นะ พี่ก็อยู่แต่ที่สตู จะไปทำไรใครได้ แกช่วยไรพี่ได้ไหม’
ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง เลยบอกให้พี่เขาทำใจนิ่งๆ ภาพจับมือพี่เขาทั้งสองข้าง ค่อยๆหลับตาลงพยายามค้นหาว่า ในตัวพี่เขา มีใครคนอื่น แฝงอยู่หรือเปล่า เมื่อผมพยายามทำอะไรสักอย่าง ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่เดิม แต่คราวนี้สวายตานั้นอยู่ใกล้มากๆ เหมือนกับนั่งอยุ่ข้างหลังผมเลยทีเดียว ผมพยายามไม่สนใจแล้วตั้งสมาธิต่อไป จากสายตาที่จับจ้องมา ผมก้เริ่มรุ้สึกถึงลมหายใจที่ใกล้มากๆ ลมหายใจนั้นเย็นๆ ทำให้ขนลุกไปทั่วร่างกาย แล้ววูบนึงก็ปรากฏภาพของบ้าน ไม้ใต้ถุนสูง รอบข้างมีบ้านหลายหลัง เหมือนเป้นครัวใหญ่ ผมค่อยๆเดินขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น บ้านนั้นเป็นโถงกว้างๆโล่งๆ แต่ตามขอบกำแพงจะมีรูปขาวดำพร้อมโกฏิกระดูกตั้งเรียงรายไว้หลายต่อหลายคน แล้วจู่ๆก็มีคนแก่คนนึงโผล่มาตรงหน้าผม แล้วผลักผมออกจากบ้าน ผมลืมตาขึ้นมาทันที
‘เป็นไงบ้าง’
ผมเล่าสิ่งที่ผมเห็นให้พี่เขาฟัง พี่เขาฟังนิ่งๆแล้วพูดออกมาเบาๆว่า ‘บ้านใหญ่..’
คุยกันไปคุยกันมาผมก็แน่ใจแล้วว่าเป้น ผีปู่ย่าแน่ๆ ผมจึงบอกว่า ผมยุ่งไม่ได้ เพราะเขาก็ถือว่าเป็นญาติ เป็นผีเลี้ยง ผมก้าวก่ายไม่ได้ คงต้องกลับบ้านไปทำตามพิธีให้ถูกต้องอย่างเดียว พี่เขาก็ทำหน้าหนักใจเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านในเย็นวันนั้นทันที
ผ่านไปสองสามวันพี่เขากลับมาแล้วก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังด้วยใบหน้าแจ่มใส เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่ามีญาติๆมารออยู่ที่บ้านของตน ทุกคนมาพร้อมกันหมด พี่เขาตกใจเป็นอย่างมาก แล้วแม่พี่เขาก้เดินเข้ามาบอกว่า
‘เดี๋ยวไปบ้านใหญ่กัน พ่อใหญ่เขารู้ว่าเอ็งจะกลับมา ไปขอขมาเขาซะ’
เมื่อไปถึงบ้านใหญ่ก็มีคุณตาแก่ๆคนนึงนั่งรออยู่กลางบ้าน แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น ดดยทุกอย่างเกิดจากที่ พี่เขาไม่ได้กลับบ้านมาร่วมงานไหว้งานบุญของทางบ้านเลยหลายปีแล้ว ทำให้ผีปู่ย่าไม่พอใจ เลยไปตามกลับ พี่เขาก็ทำพิธีขอขมาต่างๆตามประเพณีของทางนั้น พี่เขาเป็นหลานชายคนโปรดด้วย เลยโดนหวงเป็นพิเศษ หลังจากได้ทำการขอขมา และสัญญาว่าจะกลับไปบ้านทุกปี พี่เขาก็เริ่มได้งานใหม่ที่ดี มีอนาคตที่ดีขึ้น แล้วก็ไม่มีปญหาเรื่องแบบนี้อีกเลย
..................................................................
ปู่ย่าตายาย ถึงตายไปแล้ว ก็ยังเป็น ญาติ อย่าได้ละเลยกันนะครับ
ในอีกมุม การกระทำแบบนี้ก็เป็นเหมือนการเลี้ยงผี เป้นการรั้งท่านทั้งหลายไว้ในภพนี้ ซึ่งท่านก็จะต้องใช้เวลานานมาก ในการไปเกิดใหม่ อย่างไรก็แล้วแต่ ขึ้นอยู๋กับประเพณีและความเชื่อครับ ไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิด ^^
ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากเป็นเรื่องราวของความเชื่อและสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้
...........................................
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรืออะไรนะครับ เป็นเรื่องเล่าสั้นๆ เป็นข้อคิด เป็นมุมมองนึง ที่ผมถูกสอนมา เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ตัวผมเริ่มที่จะก้าวมาทางนี้ ช่วงนั้นเพราะตัวผมยังไม่สามารถทำอะไรได้มาก ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้มากเท่าไหร่ ผมจึงแวะเวียนไปวัดอยู่บ่อยๆ ผมจะชอบไปนั่งที่วัด ไปนั่งฟังพระท่านทำวัตรบ้าง ไปนั่งนิ่งๆในวัดให้ใจมันสงบบ้าง ผมไปบ่อยมากๆ เรียกว่าเกือบจะทุกเย็นเลยทีเดียว บางครั้งถ้าไปเร็วหน่อย ก็จะไปกวาดลานวัดบ้าง จนผมก็ได้รู้จักกับหลวงตาท่านนึง ท่านเข้ามาคุยด้วย ผมได้โอกาสก็เลยถามอะไรท่านหลายๆอย่าง สนทนากับท่านได้ทั้งความรู้ทั้งมุมมองใหม่ๆอยู่เสมอๆ
และในทุกๆวันที่ผมไปที่วัดนั้น ช่วงเย็นๆผมจะเจอกับคุณยายคนนึงมาที่วัดทุกวันเช่นกันไม่เคยขาด คุณยายยังไม่แก่มากครับ ยังเดินได้คล่องตัว ทำอะไรกระฉับกระเฉงพอสมควร ยายจะนุ่งขาวมาวัดทุกวัน นอกจากจะมาทำวัตรสวดมนต์แล้วก็ยังช่วยเหลือเด็กวัดในการเก็บกวาดขยะต่างๆ ไปช่วยงานในครัวอยู๋บ่อยๆ ให้อาหารหมาแมววัดอยู่เป็นประจำ ดูเผินๆแล้วเป็นคนใจดีมากๆคนหนึ่งเลยทีเดียว ผมเจอกับคุณยายคนนี้ทุกครั้งที่ผมมา แต่ก็ไม่เคยได้ทักทายหรือทำความรู้จักแต่อย่างใด เพียงแต่เวลาที่เดินสวนกัน หรืออยู่ใกล้ๆยาย ผมจะรู้สึกแปลกๆ มันรู้สึกอึดอัด แล้วไม่ค่อยอยากเข้าใกล้เท่าไหร่ บางครั้งก็ได้กลิ่นแปลกๆจากตัวของยาย บางครั้งก็เห็นเป็นเงาดำๆวอบแวบๆอยู๋รอบๆตัวยาย แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะหาคำตอบหรืออะไร
วันนึงผมนั่งคุยกับหลวงตาอยู่ที่ร่มไม้ในวัด หลวงตาท่านรู้ในสิ่งไม่ปกติที่ผมเป็นอยู่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน ผมเลยถือโอกาสขอคำแนะนำจากท่านในหลายๆอย่าง จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ผมกับท่านมักจะมานั่งคุยกันที่ร่มไม้นี้ เรียกว่าผมมาให้ท่าน สอน จะดีกว่า ผมถามท่านในหลายๆอย่าง แล้ววันนึงผมก็ถามเรื่องนึงออกไป เป็นเรื่องที่ผมสงสัยมานานมากแล้วนั่นคือ การล้างกรรม นั้นมีอยู่จริงไหม ที่ผมมักจะเคยได้ยินจากหมอดูทั้งหลายกับคำว่า ล้างกรรม ตัดกรรม ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าสิ่งนี้สามารถทำได้จริงๆหรือ เพราะสิ่งที่เรารับรู้มาตลอดคือ เมื่อทำลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น แต่ก้สับสนอีกว่า แล้วการทำบุญนั้นสามารถไป ลบล้างกรรม ได้หรือเปล่า คำถามที่ตามมาเรื่อยๆก็คือ แล้วเราทำบุญไปเพื่ออะไร ทำแล้วได้อะไร อาจฟังดุเป็นคำถามไร้สาระ เป้นคำถามโลกแตกแต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงสงสัยเหมือนกับผม
ผมถามหลวงตาท่านไปว่า ‘เราสามารถล้างกรรมที่เราทำลงไปได้หรือเปล่า’ หลวงตาท่านหัวเราะในลำคอ แล้วก็เริ่มสอนผมอีกครั้ง คำสอนของท่านนั้นมักจะเล่าออกมาเป้น นิทานบ้าง เป้นเรื่องเล่าบ้าง บางครั้งก็หยิบเรื่องราวใกล้ๆตัวเรามาให้เราเห็นภาพ เป็นธรรมะที่เข้าใจได้ง่าย เป้นธรรมะที่เด็กมัธยมคนนึงจะสามารถเข้าใจได้ ไม่ตีความยาก หรือต้องคิดซับซ้อนเป็นปริศนาธรรมเหมือนตามหนังสือที่มีขายทั่วๆไป
กรรมนั้น หมายถึงผลของการกระทำ ไม่ว่าจะเป็น กรรมดี หรือกรรมชั่ว สิ่งเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ย่อมมีผลลัพธ์ตามมา ไม่สามารถ ลบล้าง ให้หายไปได้เลย ทางเดียวที่จะทำให้ กรรมนั้น หายไป หรือเบาบางลงได้นั่นคือ การชดใช้ หรือการ จ่ายคืนนั่นเอง ถ้าถามว่าเราทำบุญเยอะๆ เราทำบุญใหญ่ เราสร้างวัดสร้างพระ กรรมที่เรามีจะหายไปไหม ตอบได้เลยว่า ไม่ แต่บุญนั้นจะถูกทดแทนให้แก่ผู้ที่คอยทวงถามเรา แต่ก็ไม่สามารถทำให้ กรรม หายไปจนหมดได้ อย่างเช่น สมมติ ว่าเราเทียบกรรมเป็น เงิน แล้วเราเป็นหนี้กรรม อยู่ 100 บาท ต่อให้เราทำบุญมากมายเท่าไหร่ เราก็ไม่สามารถลดหนี้ให้เหลือ 0 ได้ เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ไม่มากก็น้อย เต็มที่คือ ผ่อนหนักให้เป็นเบา เช่น จากรถคว่ำเสียชีวิต อาจจะเหลือแค่โดนรถเฉี่ยวบาดเจ็บฟกช้ำเท่านั้น
ผมนั่งฟังไปเรื่อยๆก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่ก็ชอบฟังเพราะหลวงตาท่านเล่าสนุก เหมือนได้ฟังนิทาน แต่ส่วนตัวผมเป็นคนหัวดื้อ ฟังแล้วก็ชอบเถียงในใจ ท่านก็มักจะเอ็ดเอาตลอดว่า อย่าเพิ่งเถียง อย่าเพิ่งคิดว่า จริง หรือ ไม่จริง ฟังให้จบก่อน แล้วค่อยพิจารณาซ้ำ ก็ยังไม่สาย ผมนั่งฟังท่านไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ดีๆท่านก็พูดขึ้นมาว่า
‘โยม เคยเห็นยายแก่ๆ ที่มาวัดทุกวันใช่ไหม’ หลวงตาถามผมยิ้มๆ
‘เคยครับ’
‘รู้สึกอะไรไหม’
‘บางครั้งก็รู้สึกแปลกๆครับ’ ผมตอบไปตามความรู้สึกที่เคยเจอมา
‘ลองตั้งใจมองเขาดีๆอีกครั้งสิ’ หลวงตาบอกพลางมองไปยังคุณยายคนนั้น
ผมมองไปที่คุรยายคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้มองอย่างตั้งใจ อยากร็ และอยากเห็น และผมก็ได้เห็นในสิ่งที่ผมเคยรู้สึกมาตลอด ผมเห็นเด็กน้อยคนนึง ยังเป็นทารกอยู๋เลย แต่ตัวใหญ่พอสมควร เกาะอยุ่ที่หลังของยายคนนั้น แต่สภาพทารกนั้นไม่น่าดูเท่าใดนัก หน้าตาดุร้าย เหมือนคนโกรธ มีควันดำๆกระจายตัวอยู๋รอบๆ เมื่อเขารู้ว่าเรามองอยู๋ เขาก็จ้องกลับมา ความร็สึกเสียวสันหลัง คลื่นไส้ ปะทะเข้ามาทันที ผมเกือบจะอาเจียน
‘พอแล้วล่ะ’ หลวงตาลูบหัวผม แล้วความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆเบาลง
‘เขาโกรธมาก..’ ผมพูดกับหลวงตาด้วยความตกใจ ตอนนั้นคิดว่า เขาโกรธผม
‘ใช่ เขาโกรธมาก อาฆาตรุนแรงจริงๆ’
แล้วหลวงตาก็เริ่มเล่าว่า ยายคนนี้เป็นโยมอุปถากที่วัดมานานมากแล้ว ยายเป็นคนรวย มีเงินมีทอง มักจะบริจาคและเป็นเจ้าภาพนั่นนี่อยุ่เสมอ และก็มาวัดทำบุญสวดมนต์อยู่เป็นประจำ อาจดูไม่ออกเลยว่า อะไรที่เป็นสาเหตุให้ยายคนนี้ถึงเลื่อมใสในศาสนาได้ขนาดนี้ หลวงตาเล่าว่า สมัยสาวๆ คนคนนี้เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงมาก เป็นคนดื้อ คนมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยสนใจใคร แรงมาแรงกลับ ไม่ยอมคน สมัยเรียนก็มีแฟน แล้วพลาด เกิดท้องขึ้นมา และแน่นอนว่าเธอก็คงไม่ยอมให้อนาคตของเธอจบลงตรงนั้น เธอไปทำแท้ง โดยโทษเอาเสียว่า เขาเกิดมาผิดเวลาเอง ช่วยไม่ได้ เธอมีเหตุการณ์นี้อยู่สองสามครั้ง เธอก็ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด เพียงแต่หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า เราไม่พร้อม เราไม่ผิด และด้วยความเจ้าอารมณ์ของเธอ เมื่อมีคนมาสอน มาด่าว่าอะไร ก็จะตอบโต้ด้วยวาจาที่รุนแรง แม้แต่พ่อแม่ ครู อาจารย์ เธอไม่ยอมใครทั้งนั้น และแน่นอนว่า เพื่อนของเธอก็มีอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น เธอใช้ชีวิตอย่างนั้นเรื่อยมา จนโต มีงานการทำ เป็นงานที่ดี ค่าตอบแทนสูง มั่นคง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เธอ มั่นใจในตัวเองสูงขึ้นไปอีก และอีกเรื่องที่เป้นสิ่งที่เธอทำลงไปคือ เมื่อมีคนมาปรึกษา เรื่องท้อง และยังไม่พร้อม เธอก็มักจะเสนอให้ไปทำแท้งซะ ไปเอาออกซะ บางครั้งก็ถึงกับพาไปด้วยตนเอง จนวันนึงเธอก็ได้ตกลงปลงใจกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มนี้หน้าที่การงานด้อยกว่าเธอพอสมควร แต่ด้วยหน้าตา และความดีของเขา ก็ทำให้เธอมาตกหลุมรักจนได้ สองคนนี้แต่งงานสร้างครอบครัว ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี เหมือนครอบครัวทั่วๆไปที่อยู่สุขสบาย มีเงินใช้ไม่ขาดมือ จนลูกเริ่มโต ทั้งสองก็เริ่มที่จะขัดแย้งกันในมุมมองของการเลี้ยงลูก และทุกครั้งที่มีปากเสียง เธอก็มักจะหลุดคำพูดหนึ่งออกมาเสมอ เป้นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจฝ่ายชายอย่างรุนแรง ‘ไว้คุณหาเงินให้ได้เท่าฉันก่อนค่อยมาออกความคิดเห็น’ ในความเป็นผุ้ชาย ผู้นำครอบครัว คือหน้าที่ มันกลายเป็นปมลึกลงไปในใจเขา เมือ่ลูกสาวคนโตเธออยู๋ชั้น ม.ปลาย ก็ได้มีแฟน และเกิด ท้อง และแน่นอน เธอพาลูกสาวไปทำแท้งในทันทีที่รู้ โดยไม่ได้รับการยินยอมจากฝ่ายใดเลย เพราะเธอเป็นคนชอบจัดการอยู่แล้ว
ชีวิตของเธอผ่านไปเรื่อยๆ เมื่อลูกๆเรียนจบ ก็เริ่มแยกย้ายออกไปมีงานการ มีครอบครัวบ้าง โดยแวะมาเยี่ยมเยียนบ้างเป็นครั้งคราว แต่เธอก็ยังคงทะเลาะกับสามีอยู่เป็นประจำ จนสุดท้าย วันหนึ่ง สามีของเธอทนไม่ไหว จึงขอหย่า และด้วยความเจ้าอารมณ์ของเธอ เธอก็ไม่ยอมที่จะง้อใคร จนสุดท้ายทั้งสองก็หย่าร้างกัน เหตุการณ์นี้ทำให้เธอเป็นคนที่อ่อนไหวมากขึ้น อะไรนิดนึงไม่ได้ เป็นเรื่องเป็นราวซะหมด และจนแล้วจนรอด ลูกๆก็หายจากเธอไปเลย ไม่มีใครกลับมาห่วงใยดูแลเธอแต่อย่างใด แม้ว่าเธอจะมีเงินเยอะ ก็ไม่มีใครมาสนใจ มองไปหาใครก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่มี ไม่มีใครสนใจเธออีกแล้ว เธอเริ่มตกอยู่ในอาการซึมเศร้า จนวันนึงเธอเดินออกมาหน้าบ้านในตอนเช้า เห็นพระมาเดินบิณฑบาต เธอจึงหยิบเงินในกระเป๋าใส่บาตรพระท่านไป หลังจากที่ไม่เคยได้ทำเลยมานานแสนนาน ตอนพระท่านให้พร น้ำตาของเธอก็เริ่มไหลหยดลงบนพื้น พร้อมกับตัดพ้อออกมา ‘ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้’
ในคืนนั้นเธอหลับไปด้วยความอ่อนล้าทั้งกายและใจ แล้วเธอก็เริ่มฝัน เธอฝันเห็นเด็กๆมาวิ่งรอบๆห้องนอน วิ่งรอบเตียงของเธอ ส่งเสียงพูดคุย วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เธอมมองเด็กๆเหล่านั้นด้วยความเอ็นดู เธอฝันอย่างนี้ติดกันหลายวัน และทุกครั้ง เด็กๆจะค่อยๆเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ จนผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์เด็กในฝันที่เธอเห็นก็ชัดเจนจนมีหน้าตา แต่หน้าตาของพวกเขานั้น น่ากลัว บ้างไม่สมประกอบ บ้างมีเลือดมีแผล ทำให้เธอเสียขวัญเป้นอย่างมาก และฝันนั้นก็ไม่ได้หยุดลง เธอเริ่มตกอยู่ในความกลัว เวลาเดินอยู่ในบ้านก็รู้สึกว่ามีใครอย๋ด้วยตลอด เธอไม่เคยรู้สึกว่าอยู่คนเดียว จนคืนหนึ่ง เธอก็ฝันอีก เธอฝันว่าเด็กๆนั้นนั่งล้อมรอบเตียงของเธออยู่ จ้องมองมาทางเธอ ด้วยสายตาที่ไม่สามารถแปลออกมาเป้นคำพูดได้ และที่อ้อมแขนของเธอ ก็มีเด็กคนนึงนอนซบเธออยู่ เมื่อเธอก้มหน้าลงมามอง สภาพนั้นน่าเกลียดน่ากลัว เด็กน้อยในอ้อมแขนพูดกับเธอว่า
‘แม่ไม่รักหนูหรอ’
เธอตกใจตื่น วิ่งลงมาด้านล่างหยิบกุญแจรถขับออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว เธอขับรถออกไปอย่างไม่มีจุดหมายจนใกล้เช้า เธอเห้นวัดอยู๋ใกล้ๆ เธอเลี้ยวรถเข้าไปทันที เธอจนรถไว้แล้วเดินลงมาข้างนอก อากาศยามเช้าช่างสดชื่น พระเณรเริ่มออกบิณฑบาตร เธอเดินอย่างไร้จุดหมาย เธอเดินไปเรื่อยๆ ดูนั่นดูนี่ เหมือนไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
‘มองหาอะไรรึโยม’ พระรูปหนึ่งทักเธอ
‘เอ่อ เปล่าค่ะ’
‘เจออะไรมา ลองเล่าให้อาตมาฟัง’ พระท่านถามออกไปราวกับรู้อยู่แล้ว
เธอเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้พระท่านฟัง ตั้งแต่ต้น เหมือนได้ระบายทุกอย่างที่อยู่ในใจของเธอออกมา เธอเล่าออกมาด้วยน้ำตานองหน้า พระท่านมองเธอด้วยความสงสาร เมื่อเธอเล่าจบ ท่านก็ให้พรแล้วเทศน์สอนเธอเป้นการปลอบใจ เมื่อบทสนทนาผ่านไปแล้วนั้นเธอก็ถามท่านไปว่า
‘ดิฉันจะเจอผีหลอกอีกรึเปล่า ดิฉันกลัวมาก ไม่กล้ากลับบ้าน’ เธอถามด้วยสายตาหวาดระแวง
‘เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหรอกโยม’
‘แล้วเขาอยู๋ที่ไหน มาได้ยังไง’
‘เขาอยู่กับโยมนั่นแหละ เขาอยู่กับโยมเสมอ ตลอดเวลา จะที่บ้าน ที่ทำงาน หรือแม้แต่เวลานี้ เขาก็อยู๋ข้างๆโยมเสมอ’
‘ดิฉันกลัวแล้วๆ ช่วยดิฉันด้วยนะคะ’ เธอร้องไห้ พร้อมก้มกราบพระท่านยกใหญ่
‘อาตมาช่วยโยมไม่ได้หรอก’ พระท่านส่ายหัว
‘แล้วใครจะช่วยดิฉันได้บ้าง ’
‘ไม่มีใครช่วยโยมได้หรอก ต่อให้เป็นเทพเทวดา ก็ช่วยไม่ได้ มีแค่ตัวโยมเองนั่นแหละ ที่จะช่วยตัวโยมได้’
‘ดิฉันต้องทำอย่างไร...’ เธออึ้งกับคำตอบนั้น
‘เมื่อรู้สึกผิด โยมจะเข้าใจ และทางนั้นจะเปิดออกเอง ลองมาอยู่วัดดูสิ สักพักหนึ่ง’
ด้วยความกลัวของเธอทำให้เธอตัดสินใจมาอยู๋ที่วัด เพราะอย่างไรก็ดีกว่าอยู๋ที่บ้านด้วยตัวคนเดียว เธออยู๋ที่วัดทำหน้าที่เหมือนกับญาติโยมคนอื่นๆ คือการทำความสะอาดจัดเตรียมอาหาร สวดมนต์ ฟังเทศน์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมบ้างตามกำลัง ในเวลานอนเธอยังคงได้ยินเสียงเด็กๆก้องอยู่ในหัว มาให้เธอพบเห็นบ้างอยู่เรื่อยๆ การที่เธอมาอยู๋วัด ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ทำให้เธอค่อยๆคิดย้อนกลับไป ตรึกตรองเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา เธอเริ่มเข้าใจ เธอเริ่มรู้สึกผิดในสิ่งที่เธอทำลงไป และเธอก็รู้ว่า เธอคงลบล้างมันไม่ได้ เธอทำได้แค่ ก้มหน้าก้มตา ชดใช้ ในสิ่งที่เธอทำลงไป และคอยสร้างบุญสร้างกุศลอุทิศให้แก่ทุกชีวิตที่เธอได้เบียดเบียน
เมื่อฟังจบผมก็อึ้งๆเล็กน้อย ปนไปด้วยยความสงสาร ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆว่า มันจะต้องทุกข์เท่าไหร่กันนะ ที่จะสามารถพลิกชีวิตของคนคนนึงจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ และสิ่งหนึ่งที่หลวงตาท่านยังย้ำก่อนจบบทสนทนานี้ ก็คือ เมื่อสร้างแล้วไม่อาจลบได้ เพราะฉะนั้น ก็หยุดสร้างเถิด
‘ว่าแต่ หลวงตาทำไมรู้ละเอียดจังครับ’
‘ก็อาตมาคือพระรูปน
เมื่อฟังจบผมก็อึ้งๆเล็กน้อย ปนไปด้วยยความสงสาร ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆว่า มันจะต้องทุกข์เท่าไหร่กันนะ ที่จะสามารถพลิกชีวิตของคนคนนึงจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ และสิ่งหนึ่งที่หลวงตาท่านยังย้ำก่อนจบบทสนทนานี้ ก็คือ เมื่อสร้างแล้วไม่อาจลบได้ เพราะฉะนั้น ก็หยุดสร้างเถิด
‘ว่าแต่ หลวงตาทำไมรู้ละเอียดจังครับ’
‘ก็อาตมาคือพระรูปนั้นนั่นแหละ’ แล้วท่านก็เดินกลับไปที่กุฏิของท่าน
..............................................................
หายไปนานเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีเพิ่งจะสอบไฟนอลเสร็จ ที่หยุดไปนี่ก็ไปอ่านหนังสือนี่แหละครับ บวกกับงานแลปที่มันเยอะไม่ลดลงเลย แหะๆ ขอโทษอีกครั้งนะครับ แล้วก็ขอขอบคุณที่ยังคง อ่าน กันอยู๋ครับผม
เรื่องที่จะเล่าวันนี้จริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องที่ตั้งใจไว้แต่แรก จริงๆจะเล่าอีกเรื่องแต่ก็ขอยกไปไว้รอบหน้านะครับ รอบนี้ขอเล่าเรื่องนี้ก่อน ที่อยู่ดีๆก็ตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ เนื่องมาจากเมื่อวานครับ สดๆร้อนๆเลย จริงๆตัวผมก็ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลยเหมือนกัน จนมีคนมาเตือนความจำ ก็เลยนึกขึ้นมาได้พอดี เนื่องมาจากว่าช่วงนี้ใกล้เปิดเทอม น้องๆมัธยมก็เริ่มที่จะทยอยเข้ามาเตรียมตัวเปิดภาคเรียนกันแล้ว แล้วหนึ่งในนั้นก็มีคนใกล้ตัวของผมเข้ามาเรียนด้วยเช่นกัน จะมาเป็นน้องใหม่ปี 1 ปีนี้ แล้วเธอก็ถามคำถามหนึ่งกับผม เป็นคำถามเกี่ยวกับ ตำนาน หรือความเชื่อที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ (ผมไม่ทราบว่าจะมีคนร็มากน้อยแค่ไหนนะครับ แต่ผมก็ได้ยินมาจากหลายๆคณะ ซึ่งตรงกัน)
ในทุกๆวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี ทางมหาลัยได้ถือว่าเป็น วันสถาปนามหาวิทยาลัย จึงมีการจัดงานใหญ่โต เป็นงานบวงสรวง องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ และที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของทั้งนิสิตและบุคลากร ในทุกๆปีจะมีการบวงสรวงอย่างเป็นทางการ มีผู้หลักผู้ใหญ่ มีผู้ดำเนินพิธีอย่างเป็นรูปแบบ มีการเตรียมงานล่วงหน้า เรียกได้ว่า ถ้าเป็นไปได้ หลายๆคนก็หาเวลาที่จะมาร่วมงานเสมอๆ จนบางครั้งหลายๆคนก็เรียกติดปากว่า งานบวงสรวงสมเด็จฯ แล้วก็มีเรื่องเล่าว่า ในทุกๆปี จะต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏให้เห็นเป็นเหมือน ปาฏิหาริย์ เท่าที่ได้ยินมาก็จะมีประมาณว่า ได้ยินเสียงกลองรบ เสียบงขบวนทัพ เสียงทหารเท้า เสียงม้า เสียงช้า เคยมีคนถ่ายภาพไว้ได้ที่เมฆเบื้องหลังพระบรมรูปขององค์สมเด็จนั้น เรียงตัวเป็นรูปร่าง คลล้ายช้างม้า ผมก็เคยได้เห็นรูปนี้กับตาเหมือนกัน บ้างก็มีคนของขึ้น มีโดนลงบ้าง บางคนก็เห็นพระบรมรูปท่าน ขยับ แล้วแต่คนแตกต่างกันไป อีกอย่างที่ผู้ร่วมงานชอบนั่นก็คือ บรรดาของบวงสรวงเซ่นไหว้นั่นเอง มีคนแย่งกันเต็มไปหมด ก็เป็นภาพที่น่ารักดีครับ
นอกจากในงานส่วนกลางวันแล้ว ก็มีความเชื่อที่ส่งต่อกันมาในหมู่นิสิต นั่นคือเรื่องเล่าที่ว่า ในคืนวันนั้น หรือคืนของวันที่ 29 นั่นเอง ถ้าเป็นไปได้ อย่านอนในหอพักภายใน อย่าไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนในบริเวณมหาวิทยาลัย เป็นไปได้ให้รีบนอน ถ้าต้องอยู๋หอในก็ให้คล้องพระ หรือหันพุทธรูปเข้าหอประตูห้อง หายันต์มาปิด ถ้ารูมเมทอยู๋ไม่ครบทุกคน ให้เอากระดาษเขียนเติดไว้หน้าห้องว่า ‘ห้องนี้คนเต็มแล้ว’ แล้วนำข้าวของไปวางไว้บนเตียงที่ว่างอยู๋ให้เต็ม เพราไม่อย่างนั้น จะโดนผีหลอก จะมีวิญญาณมาหา หนักสุดเลยถึงขั้นพูดกันว่า จะมาทำร้าย เอาชีวิต เนื่องจากวันบวงสวรวงนั้น จะมีวิญญาณออกมารับส่วนบุญกันเป็นจำนวนมาก ทำให้พบเจอได้ง่ายกว่าปกติ ความเชื่อนี้ถูกส่งต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น เพราะว่า เจอดี กันทุกปี ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยได้ พบเจอ เหมือนกัน
ในวันนั้นเมื่อปีที่แล้ว ช่วงนั้นยังเป็นช่วงปิดเทอมอยู่ ช่วงปิดเทอมปี 1 ขึ้น ปี 2 ในวันนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเล่าเหล่านี้เลย รู้แต่เพียงว่า วันนี้มีงานบวงสรวงสมเด็จ ผมจึงตั้งใจที่จะไปร่วม แต่เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้เปิดเทอมสำหรับนิสิตใหม่ พี่ๆอย่างพวกผมจึงต้อง เตรียมค่ายรับน้อง มันวุ่นวายมาก ผมเชื่อว่าทุกคนที่เคยผ่านมาน่าจะเข้าใจนะครับ อดหลับอดนอนกันขนาดไหน แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดี ด้วยงานที่วุ่นวาย ยังไม่แล้วไม่เรื่อง ผมจึงไม่สามารถไปร่วมงานได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเกรงใจเพื่อนที่ล่วงหน้าไปทำงานที่ตึกก่อนแล้ว ผมจึงแวะเข้าไปแค่แปปเดียว ผมจอดรถที่ริมถนนฝั่งโรงพยาบาล เดินข้ามสะพานตรงลานพระเทพมาเรื่อยจนถึงลานสมเด็จ ผมถอดรองเท้าเดินขึ้นไปบนลาน คนก็เยอะพอสมควรครับ ส่วนมากจะเป็นบุคลากรเสียมากกว่า งานก็ใหญ่โตดีครับ มีข้าวของหลายอย่าง ผมไม่ได้ใส่ใจมากนัก ผมพนมมือไหว้ แล้วก็กล่าวคำสรรเสริญท่านด้วยตัวเองไม่ได้รอให้เป็นไปตามพิธีเพราะตัวเองไม่มีเวลา เมื่อกล่าวคำเสร็จผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหู เสียงนั้นเป็นเสียงของ โหม่งอันใหญ่ๆ เหมือนเวลาที่เขาเอาไว้เปิดงาน แล้วตามมาด้วยเสียงเดินเท้าของคนจำนวนมาก เมื่อเงยหน้ามองไปรอบๆบริเวณ ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมขนลุก แล้วก็น้ำตารื้น อย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนจะร้องไห้ ในความรู้สึกนั้นมันแฝงไปด้วย ความคิดถึง ซึ่งผมก็ไม่สามารถอธิบายได้
รอบบริเวณลานสมเด็จยาวไปถึงสนามหญ้านั้น ปรากฏเงาร่างของ ทหาร หลายชีวิต นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่มีเสื้อผ้า มีเพียงจงกระเบน บ้างก็สมบูรณ์ครบ บ้างก็มีบาดแผล ที่หน้าแถวของทหารเหล่านั้น มีนายทหารในชุดรบหลายคนนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าขบวนเช่นกัน มีช้าง ม้า ที่หมอบอยู่ใกล้ๆ ทุกคนล้วนสำรวมกริยามารยาท บ่งบอกถึงความ เคารพ ครู่เดียว เหล่าทหารนั้นยกมือจรดหัวถวายบังคมสุดแขน ผมรู้ทันทีว่าสิ่งที่ผมควร มอง อยู่ที่ไหน ผมมองไปยังลานตรงหน้าที่มีพระบรมรูปประทับอยู่ สิ่งที่ผมเห็นคือ ภาพของพระบรมรูปเดิมที่ชินตา แต่ตอนนี้กลับมีสีสัน ทั้งสีของเครื่องแต่งกาย และสีผิว เบื้องล่างมีคู่ชายหญิงยืนอยู่ ร่างหนึ่งเป็นหญิงงามผิวขาวนวลร่างบาง อีกหนึ่งคือชายร่างบางผิวขาวเหลือง อยู๋ในชุดรบที่สูงศักดิ์ สองร่างนั้นหันมามองปรายตามาที่ผมแล้วยิ้มเล็กน้อย ผมก้มหัวให้ทั้งสองร่างโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับ น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ความรู้สึกนั้น ชัดเจน และมากมาย แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมามอง ทุกๆอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ พร้อมกับที่เพื่อนโทรมาตามพอดี ผมเดินกลับไปทางเดิม ตอนนี้ผมไม่เห็นทหารเหล่านั้นแล้ว แต่ตลอดทางที่เดินผ่าน ก็สัมผัสได้ว่า พวกเขายังอยู่ เพราะมันไม่เหมือนที่โล่ง มันดูแออัด และมีบรรยากาศแปลกๆ ผมขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับไปที่ตึกด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
เมื่อผมกลับมาถึงที่ตึกก็เดินกลับเข้าไปช่วยเพื่อนทำงาน ตาของผมยังไม่หายแดงจากการร้องไห้เมื่อสักครู่ จนเพื่อนทักว่าเป็นอะไร ไปทำอะไรมา ทะเลาะกับแฟนมาหรืออะไร ผมก็อ้างๆไปว่า แสบควันธูป ไปร่วมงานบวงสรวงมา แล้วตอนนั้นเองที่ผมก็ได้ฟัง เรื่องเล่า ของคืนวันบวงสรวง อีกครั้ง ผมเคยได้ยินมาหลายครั้ง แต่ไม่ได้ใส่ใจจะจำ หรือซักรายละเอียดอะไรมากนัก แต่คราวนี้เพื่อนผมดูจะอยากเล่ามากๆ ผมก็เลยปล่อยให้มันเล่า พอมันเริ่มเล่า ก็มีอีกหลายคนที่เคยได้ยินมาเหมือนกัน ในจำนวนนั้นก็มีทั้งคนที่เคยเจอและไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้ เนื่องจากเรื่องเล่านี้มาจากหลายเสียง ผมจึงคิดว่า ก็คงเป็นความจริงที่จะมีคนเจอบ่อยๆ เพราะว่าไม่แปลกเลยที่จะเจอได้ง่ายในวันนี้ เพราะเวลาบวงสรวง เราก็มักจะอุทิศไปถึงบริวารทั้งหลายของท่าน นอกจากเขา จะมารับส่วนบุญแล้ว เขายังมาแสดงความเคารพ ต่อพ่อหลวงของเขา คนที่เขาถวายชีวิตไว้แทบเท้าของท่าน ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เราอยู๋ทำงานกันจนดึกดื่น เพื่อนหลายคนขอตัวกลับก่อน เพราะกลัวเรื่องเล่าที่เคยได้ยินมา เหลือพวกผมอยู่ไม่กี่คนพวกหนึ่งคือไม่กลัว อีกพวกอยากลอง และพวกสุดท้ายมันพูดแบบนี้ ‘อยู่กับอึงมานาน อุชินละ’ ผมไม่รู้ว่ามันชมรึด่า ตอนดึกๆพวกผมหิวกัน ผมเลยบอกว่าจะออกไปซื้อขนมมาให้ ผมไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ผมมาซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อหน้าหอใน เพราะขี้เกียจออกไปข้างนอก ดึกๆแบบนี้พี่รปภ.ชอบให้เซ็นชื่อเข้าออก ผมจอดรถซื้อขนมกัน เมื่อซื้อเสร็จผมบอกกับเพื่อนว่า ‘อยากเข้าไปดูหอใน’ เพราะผมไม่เคยอยู๋ รุ่นผมเป็นรุ่นที่หอในไม่พอ จึงต้องออกมาอยู่หอข้างนอก แต่ก็ยังเป็นเครือมหาลัย ใช้กฎเดียวกัน ผมจึงขอให้เพื่อนพาเดินเข้าไปดูหน่อย เพื่อนมันอยู๋หอในอยู๋แล้ว ก็เลยพาผมเข้าไปดู ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆ ข้างในก็กว้างดีครับ ผมเดินไปเรื่อยๆ ก็สังเกตว่าไม่มีห้องไหนเปิดไฟเลย สงสัยจะกลัวกันตามเรื่องเล่า ผมเดินไปเรื่อยๆ เพื่อนผมก็ชวนกลับ เพราะมันนึกถึงเรื่องเล่านั้น ผมก็ไม่ยอมกลับ ให้มันพาเดินขึ้นไปดูข้างบน ก็มีให้เห็นจริงๆครับ มียันบ้าง มีกระดาษเขียนไว้บ้าง ว่าห้องนี้เต็ม ผมเดินดูไปรอบๆ ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่า มีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆนี้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะรู้ว่าเพื่อนกลัวมาก เราเดินลงมาถึงชั้นล่างขณะที่เรากำลังจะเดินออกจากหอพักนั้น ก็มีลมเย็นๆวูบหนึ่งพัดผ่านมา พร้อมๆกับเสียงหนึ่งที่ลอยมาตามลม
‘เราน่ารังเกียจหรือ...ทำไมถึงรังเกียจเรา
เราแค่มาไหว้พ่อ...พ่อหลวงของเรา
เราทำเพื่อแผ่นดิน...เราตายที่นี่
เราน่ารังเกียจหรือ....’
ลมเย็นนั้นผ่านไปพร้อมกับความเศร้าที่ลอยมากับลม สำหรับตัวผมผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพียงแต่ว่า คนตายพูดไม่ได้ คนที่ยังอยู๋จึงตความกันไปเองต่างๆนาๆ และด้วยความที่เขาเป็น ผี จึงมองในแง่ลบไว้ก่อน น่าสงสารเขานะครับ เขาไม่มีปากพูดได้แบบเรา ไม่มีให้เขียนหนังสือ วิธีการของพวกเขาจึงต่างออกไป อย่าไปกลัวพวกเขาเลย ถ้าเขาเป็นผีร้าย เป็นคนไม่ดี เขาคงไม่ยอมทิ้งชีวิตไว้ให้แผ่นดินหรอก.... จริงไหมครับ
.........................................
บ่อยครั้งที่คนเรามักวาดฝัน... และคิดเอาไว้ว่า ชีวิตเราต้องเป็นอย่างโน้น ต้องเป็นอย่างนี้ เราอยากทำอันนั้น เราอยากได้อันนี้ แต่ก็บ่อยครั้งที่เหตุการณ์เหล่านั้นมักไม่เป็นไปตามสิ่งที่เรา คิดเอาไว้ และบ่อยครั้งเช่นกันที่ บางอย่าง ก็เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว เราไม่เคยคิด ไม่เคยแม้แต่จะอยากให้มันเกิดขึ้น
ผมคิดว่าคนทุกคนล้วนอยากพบแต่ สิ่งดีๆ ความสะดวกสบาย ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน ไม่ต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำ นั่นคือสิ่งที่คนทั่วๆไปคิด และแน่นอนว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง มันก็คงดีไม่ใช่น้อย แต่ทุกคนก็ตระหนักแล้วว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรที่เราสามารถ ควบคุมได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราไม่สามารถกำหนดได้ว่า มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และเราก็ไม่สามารถห้ามให้อะไรไม่เกิดได้
ตั้งแต่ช่วงม.ปลายมานั้น ผมก็มักจะติดเพื่อนและตามเพื่อนไปในที่ต่างๆ ทั้งเที่ยว ทั้งเรียน และหนึ่งในนั้นก็คือพวกสำนักดูดวงทั้งหลาย ผมมักจะเป็นคนฟังมากกว่า เพราะไม่กล้าดู อีกอย่างคือเป็นคนที่หมอดูชอบไล่ แล้วไม่ยอมดูให้เสมอๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมโดนทักว่า จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อถามกลับไปหมอดูก็ไม่คุยกับผมแล้ว ผมก็ได้แต่ งงๆ ทุกครั้ง แต่จะให้ไปเสียตังค์นั่งดูเลยก็ไม่กล้า เพราะกลัว
ครั้งหนึ่งผมตามเพื่อนไปดูดวงเหมือนหลายๆครั้ง เพื่อนผมก็ดูกันอย่างเมามัน เพราะมีทั้ง ชาย หญิง และตุ๊ดไปด้วย เมื่อขาเมาท์มารวมตัว บวกกับพวกบ้าดวง ตลาดสดจึงบังเกิด ผมก็ได้แต่นั่งเบื่อๆ รอว่าเมื่อไหร่จะดูกันเสร็จ เด็กม.ปลายจะมีอะไรให้ถามมากมายนอกจาก เรื่องเรียนต่อ พ่อแม่ ความรักเพื่อนฝูง กับอะไรไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย ผมนั่งฟังเพื่อนๆมีเบื่อบ้างขำบ้าง จนอยู๋ดีๆ หมอดูคนนั้นก็มองมาทางผม แล้วจ้องอย่างตั้งใจ เพื่อนๆผมก็หลบทางให้ แล้วกวักมือ ให้ไปใกล้ๆ เหมือนจะชวนดูดวงว่างั้นเถอะ ผมก็เลยเข้าไปนั่งใกล้ๆ ประโยคแรกที่โดนทักเล่นเอาผม งง เลย
‘รู้ตัวรึยังล่ะ’
ผมงงๆ กับคำถามนั้น ผมยังไม่ทันที่จะถามอะไรกลับไปเพื่อนผมก็ถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน
‘เพื่อนหนูเป็นตุ๊ดหรอคะ’
เท่านั้นแหละครับ ฮาครืนกันทั้งบ้าน ผมก็ได้แต่กุมขมับ ขนาดแม่หมอมาดขรึมๆ ยังหลุดขำเลย ผมก็อดฮาในความกวนส้นของเพื่อนผมไม่ได้เหมือนกัน ยิงมุขได้ถูกจังหวะจริงๆ แล้วแม่หมอก็เริ่มทักต่อ
‘รู้รึยัง ว่าเอ็งเป็นใคร’
ผมก็งงๆกับคำถามนั้นได้แต่นั่งเงียบๆมองหน้าแม่หมออยู๋อย่างนั้น แม่หมอถอนหายใจยาวๆ แล้วก็ส่ายหัว แล้วก็พูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
‘วันนึงเอ็งจะเป็นที่รู้จัก วันนึงเอ็งจะได้ช่วยคน’
...................................
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายต่อหลายครั้งที่ผมมักจะถูก ทัก อยู่บ่อยๆ ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยที่ตอนนั้นตัวเราไม่ได้เชื่อ หรือใส่ใจอะไรมากมายนัก อาจจะเชื่อในส่วนที่บอกว่า ‘มีใครบางคนอยู่ด้วย’ ‘จะเห็นไอ้ที่คนอื่นเขาไม่เห็นกัน’ ในส่วนนี้เชื่อครับ เพราะมันคือ เรื่องจริง ที่มันเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจในที่มาที่ไป หรือจุดประสงค์สักเท่าไหร่ เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า คงมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ผม เห็น คงไม่ใช่ว่าเห็นโดยไร้ความหมาย ให้เห็นไปอย่างนั้นเอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ใครต่อใครก็คงเห็นได้ไปหมด
นอกจากทักแบบนี้ ก็มีทักอีกแบบที่ชวนเอาคิดมากอยู่เหมือนกัน นั่นคือ ผมเคยโดนทักว่า ‘ชะตาขาด’ ‘ไม่รอด’ ‘อายุสั้น’ ‘ตายโหง’ หรือแม้แต่โดนทักว่า ‘ชะตาขาดไปแล้วนี่ เราตายไปแล้ว’ ตอนนั้นก็คิดมากครับ กลัว เพราะมันก็มีแต่คำแรงๆทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เรื่องดีสักเรื่อง ถึงใจมันจะไม่ได้เชื่อทั้งหมดแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดมากใช่ไหมครับ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เก็บไว้ในใจ แล้วก็ระวังตัวมากขึ้น ทำบุญให้บ่อยขึ้น เพราะหวังว่า จะไม่ต้องเจออะไรแบบที่เขาบอกมา
เวลาผ่านไปจนวันนึงที่เป็นวันไหว้ครูของบ้านปู่ ตอนนั้นผมกับปู่ยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมากมายนัก ผมก็เป็นเหมือนแขกคนนึงที่ไปร่วมงานเหมือนกับคนอื่นๆ จนถึงช่วงใกล้ๆเสร็จงาน มีพี่คนนึงอายุประมาณ30กว่าๆแล้ว เข้ามาทักทาย มาพูดคุยกับแม่ผม พี่เขาก็เป็น ร่าง เหมือนกัน แต่ออกไปทางรักษา บวกกับวิชาอาคม แม่ผมปรึกษาพี่เขาเรื่องอาการปวดที่แขน ขา และเอว เป็นอาการปวดที่ติดตัวแม่มานานมากๆแล้ว แม่บอกว่าเป็นมาตั้งแต่สาวๆ ไม่ได้เป็นทุกวันแต่ก็บ่อย พี่คนนั้นให้แม่ผมนั่งเหยียดขาที่พื้น แล้วพี่เขาก็เริ่มเดินวนรอบๆตัวแม่ เหมือนมองหาอะไรสักอย่าง จากนั้นพี่เขาก็เดินไป จุดธูปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาของปู่ ยกธูปจรดขึ้นเหนือหัว แล้วเดินหันหลังกลับมา คำพูดคำจาของพี่เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ แต่แววตานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่หลงเหลือแววตาของคนอารมดี ขี้เล่น บวกกับผมที่ปวดหัวตึ้บขึ้นมาทันที นั่นเป็นตัวยืนยันอีกอย่างนึงว่า มีใครบางคน ที่ผมทานบารมีท่านไม่ไหว ลงมาอยู่ตรงนี้
พี่เขาล้วงมือไปในกระเป๋าสะพาย แล้วหยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง ขมุบขมิบปากเล็กน้อย แล้วเป่าลงไปที่มวนบุหรี่ จากนั้นก็จุด แล้วสูบเข้าปอดไปช้าๆ จากนั้นก็เอาบุหรี่วนรอบๆตัวแม่ของผม แล้วเป่าควันที่เพื่องสูบเข้าไปเมื่อสักครู่ออกมา แต่ควันนั้นเยอะมาก เยอะกว่าควันปกติจากคนสูบบุหรี่ทั่วๆไป ผมมองดูอยู๋อย่างนั้นด้วยความสงสัย
‘เอ้า เห็นสักที’ พี่เขาพูดขึ้นมาลอยๆ
เมื่อมองไปที่ตัวของแม่ สิ่งที่ผมเห็นคือ ตามแขนขา ของแม่มีผื่นแดงๆปรากฏขึ้นมาจนเห็นได้ชัด มันชัดมาก ตัดกับสีผิวของแม่ผมอย่างชัดเจน ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น พี่เขาเดินมาใกกล้ๆแม่ผม เอานิ้วชี้ไปที่บริเวณผื่นนั้น แต่ไม่ได้แตะต้องโดนตัว จากนั้นก็พ่นควันบุหรี่ใส่อีกครั้งหนึ่ง เปล่าไล่ขากต้นแขนไปที่มือ ต้นขาไปที่เท้า แล้วผื่นแดงเหล่านั้นก็จางหายไป
หลังจากเสร็จแล้ว พี่เขาบอกแม่ผมว่า เป็นผีตายโหง พวกผีไร้ญาติที่มาเกาะขอส่วนบุญ เพราะแม่เป้นคนทำบุญเยอะ แล้วชอบไปสงสาร ไปอุทิศให้คนอื่นไปทั่ว พอดวงตกเขาก็เลยเกาะมาด้วย ตอนนี้ไปแล้ว แต่ให้แม่ไปตักบาตรให้เขาอีกสักที แล้วก็เป็นเรื่องที่แปลกครับ เพราะหลังจากนั้นแม่ก็ไม่มีอาการปวดเมื่อยอีกเลย
เมื่อเสร็จธุระของแม่แล้ว พี่เขาก็หันมามองที่ผม มองเหมือนสงสัย เหมือนอยากพูด อยากคุยอะไรสักอย่าง ในที่สุดพี่เขาก็เข้ามาทักผม ถามชื่อ ถามที่เรียน เหมือนวนไปเรื่องอื่น จนสุดท้ายก็กลับมาเข้าประเด็น
‘ทำไมถึงมางานนี้’
เป็นคำถามที่ดูเรียบง่าย แต่ตอบยากมาก และแน่นอนว่า ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปเลย
‘เขาให้มาใช่ไหม เชื่อรึเปล่าเรื่องแบบนี้’
เป็นอีกคำถามที่ตอบยาก ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ มองหน้าพี่เขา หวังว่าพี่เขาจะเข้าใจผม มากกว่าตัวผมเอง เพราะตอนนั้น ผมไม่มีคำตอบให้พี่เขาจริงๆ
‘รู้รึยัง ว่าเขาเป็นใคร’
‘ยังครับ’
คราวนี้ผมตอบกลับไป เพราะไม่รู้จริงๆ ในใจนั้นเหมือนมันตื่นเต้น เหมือนเจอสิ่งที่ตามหา เหมือนเรารู้ว่า พี่คนนี้ สามารถตอบโจทย์ในใจของผมได้
พี่เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมองหน้าผมแล้วบอกว่า ถ้าจะให้บอก ก็บอกได้นะ แต่ตเขาไม่ให้บอก บอกว่าอยากให้เรารู้เองก่อน รับเขาได้แล้ว มารอนานแล้ว ใกล้เวลาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน
‘ไม่ทันอะไรครับ’
‘ตอนนี้ยังไม่ต้องรู้หรอก ถึงเวลาจะได้รู้เอง’
พร้อมกันนั้นปู่ก็เดินเข้ามาสมทบเหมือนสังเกตเห็นว่าคุยอะไรกันอยู่
‘คิดว่าไง’ ปู่ถามพี่เขาพลางชี้มาทางผม
‘ไม่ใช่เล็กๆครับ เอาเรื่องเลย เจ้าตัวก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว อันตราย’
‘อันตรายอะไรครับ’ พอได้ยินคำนี้ ผมก็ใจไม่ดีเลยถามออกไป
‘แกจะเดินไม่ได้’ ปู่ตอบกลับมาในทันที
....................
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นผมก็ อึ้งไปในทันที ถามว่าใจนึงผมเชื่อในทันทีเลยหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้ บวกกับเรื่องแบบนี้ เป็นใครได้ยินก็คงไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น ผมยืนมอง งงๆ อยู่อย่างนั้น ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรกลับไป คนทั้งสองก็หันไปพูดคุยกับแม่ของผมแทน
‘เอายังไง เขาเร่งแล้วนะ’
แม่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะในตอนนั้นแม่ก็คงไม่ร็จะพูดอะไรเหมือนกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย พี่คนนั้นยังคงมองมาที่ผม แล้วก็ขอดูมือผม โดยให้ผมยื่นมือออกไปหา ผมก็ยื่นไปให้อย่าง งงๆ
พี่เขาเอานิ้วชี้มาที่เส้นลายมือของผมทำท่าพินิจพิจารณา ลากปลายนิ้วไปตามเส้นเส้นนึง ซึ่งผมก็ไม่รู้ถึงความหมายของมัน แล้วพี่เขาก็เปลี่ยนเป็นเอาฝ่ามือทั้งฝ่ามือทาบลงมาที่มือผม แล้วหลับตา ทันทีที่พี่เขาหลับตาลง ผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ผมรู้สึกเบลอๆ ตัวชาๆ แต่ยังพอรับรู้อะไรได้อยู่ พี่เขาขมุบขมิบที่ปาก เหมือนพูดอะไรบางอย่าง เดี๊ยวพยักหน้า เดี๋ยวส่ายหน้า สักครู่หนึ่งพี่เขาก็ถอนมือออก อาการมึนๆเบลอๆเบาลงแล้ว พี่เขาหันไปคุยกับปู่
‘ไม่ไหว ไม่ยอมเลย ต่อรองไมได้’ พี่เขาส่ายหัวแล้วก็เดินจากไป ก่อนที่จะเดินไปพี่เขาหันมามองผมเล็กน้อยแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ
ปู่บอกให้ผมกับแม่กลับไปได้แล้ว จบงานแล้ว ผมเดินตามแม่ไปที่รถ อาการเบลอๆหายไปหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าร่างกายผมจะกลับสู่สภาพปกติ ตอนนี้ผมร็สึก ร้อน ร้อนไปทั้งตัว มันร้อนจากข้างใน ผมเร่งแอร์ในรถเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยอะไร ลมหายใจที่ออกมาทางจมูกก็ร้อนมาก มันร้อนไปทั่วตัว ร้อนวูบๆ เหมือนมันเคลื่อนไปมา ตรงนั้นทีตรงนี้ที หายใจติดขัด ใจเต้นแรง ผมถามแม่ว่าผมเป็นอะไร แม่ก็ไม่สามารถตอบผมได้ แม่ลองเอามือมาจับมาแตะที่ตัวผมก็ตกใจกับความร้อนที่มี ด้วยความร้อนใจ แม่จึงแวะไปที่คลินิกทันที ผมไปรอตรวจอยู่ครู๋เดียว อาการต่างๆค่อยๆดีขึ้น เมื่อหมอตรวจ หมอก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรนะ ให้ผมอมปรอท เอาไปหนีบที่รักแร้ วัดทั้งสองรอบอุณหภูมิก็อยู๋ในระดับปกติ วัดความดันก็ปกติ ทั้งๆที่ผมก็ยังรู้สึกร้อนอยู่ หมอเลยให้มาแค่วิตามินซี กับพาราเฉยๆ พอออกมาจากคลินิก ผมก็ร้อนรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาอีก คราวนี้มีอาการปวดหัวร่วมด้วย เมื่อกลับถึงบ้านผมก็หมดสภาพในทันที เมื่อล้มตัวลงบนเตียง ก็หลับไปทันที ตอนนั้นประมาณบ่ายๆ ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในช่วงสายๆของอีกวัน
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนในวันนึงผมก็มานั่งคิดทบทวนกับตัวเองดูในหลายๆเรื่อง หลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นภายในเวลาสั้นๆ เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ทำให้ชีวิตของผมมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นึกถึงคำพูดของหลายๆคนที่ผ่านเข้ามา ทั้งสอน ทั้งเตือน ทั้งชี้แนะหลายอย่าง อย่างเช่นเรื่องที่บอกว่า ผมจะเดินไม่ได้ ใช่ครับ สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ถึงมันจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่มันก็เกิดขึ้น คำเตือนจากหลายๆคนที่บอกว่า ถึงเวลาแล้ว หนีไม่พ้นหรอก มันก็เกิดขึ้นจริงๆ ผมพยายามหนีอย่างสุดชีวิต ปฏิเสธอย่างสุดโต่ง และสุกท้าย ผมก็หนีเรื่องราวนี้ไม่พ้น ยิ่งหนีเหมือนยิ่งเข้าใกล้ๆ ยิ่งไม่สนใจเหมือนยิ่งพบเจอ หลายต่อหลายครั้งที่ผมถูกบังคับด้วย ความบังเอิญ ให้ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็มีใครคนนึงเคยบอกผมว่า โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ บางอย่างถูกเขียนไว้แล้ว เพียงแค่รอการแต่งเติมเท่านั้น อาจพูดได้ว่า ทุกๆเรื่องที่โดนทักมานั้น ไม่เคยผิดพลาดเลย ทุกๆอย่าง เกิดขึ้นจริงๆ ชีวิตวุ่นวาย สับสน กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างก็เล่นเอาเหนื่อยจริงๆ แต่พอเราตั้งหลักได้แล้ว อะไรๆก็ง่ายขึ้นเยอะ จากความกลัว ความกังวล จนเริ่มเฉย แล้วก็เริ่มมีเรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามาอีกในหลายๆมุม ทั้งเรื่องน่ากลัว หรือเรื่องที่ได้ช่วยเหลือทั้งคนและไม่คน มันก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติของผมไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับที่ สัญญาเก่า เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมาเนิ่นนาน นานเท่าไหร่ไม่รู้ เริ่มย้อนกลับมา คำสัญญาต่างๆที่เคยให้ไว้ เริ่มกลับมาทวงถาม คำถามหลายๆอย่างในใจเริ่ม หมดไป กลายเป็นความเข้าใจ ในสิ่งที่ตัวเองควรทำ สิ่งที่เราหลีกหนีไม่ได้แล้วเมื่อใจเราเปิดรับ เมื่อเราไม่ต่อต้าน เราก็เริ่มรับรู้อะไรต่างๆมากขึ้น มากขึ้น จากสิ่งเล็กน้อย จนเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้มันเกิด อยากให้สิ่งที่ผมได้รับร็นั้น ผิดพลาด หรือเป็นเพียงการ คิดไปเอง แต่ในใจลึกๆมันก็คัดค้าน เพราะทุกอย่างที่มีคนบอก ทุกอย่างที่เราได้ยินมานั้น มันไม่เคยพลาดเลย
เคยมีคนบอกว่า วันนึงจะถึงเวลา... วันนี้มันก็มาถึงแล้ว วันนึงจะได้ช่วยคน... มันก็เกิดขึ้นแล้ว
วันนึงจะมีคนร็จัก... ตอนนี้ก็มีแล้ว แล้วอย่างอื่นล่ะ สิ่งที่ผมได้ร็มา มันจะมาเมื่อไหร่ สิ่งที่หลายๆคนพยายามเตือน ทั้งผ่านตัวหนังสือ ผ่านสื่อต่างๆมากมาย ไม่ใช่แค่ ผม แต่มีบุคคลอีกหลายๆท่านที่พยายาม เตือน พยายาม บอก เพราะพวกเขาก็รับรู้ในสิ่งเดียวกันนี้ แต่สุดท้ายก็โดนมองว่าเป็นเพียงแค่ คนบ้า เป็นพวกปาหี่ลวงโลก พอพูดแล้วเกิดก็ยกย่องนับถือ เมื่อพูดแล้วไม่เกิด ก็ด่าทอ ประณามเขา แทนที่จะร็สึก โชคดี ที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น
ทุกๆอย่างๆค่อยๆทยอยเกิดขึ้นตามลำดับ... เมื่อถึงเวลาของมัน ตอนนี้ผู้ที่มีสิทธิ์ทวงถามมากที่สุด คงจะเป็น เจ้ากรรมนายเวร ตอนนี้เป็นช่วงของพวกเขาจริงๆ ที่เบาๆ ก็จะหนักขึ้น ไอ้ที่มันแค่สะดุดก็จะติดขัด อย่ามัวหลงระเริงไปกับวัตถุนะครับ อย่าลืมทำบุญบ้าง หันกลับมามองบ้าง เพราะถ้าสายไป ก็คงไม่ทัน และอีกไม่นาน เจ้าหนี้รายใหญ่ของพวกเราก็ใกล้จะมาถึงแล้ว...
‘ถ้าธรรมชาติทวงถามบ้าง ก็อย่าได้โอดครวญ’
ประโยคนี้ยังดังก้องในหัวผมอยู๋เสมอๆ.
..................................
คราวนี้อาจจะอ่านแล้ว งงๆ แปลกๆ หรือบางทีอาจทำให้ใครหลายๆคน หงุดหงิดได้
สิ่งที่ผมจะเขียนวันนี้คงไม่ใช่การ เล่าเรื่อง เหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมาแต่คงจะเป็นการ พูดคุย เสียมากกว่า เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมอยากจะ บอก อะไรหลายๆอย่างกับทุกๆคนที่เข้ามาอ่าน จะมากหรือน้อยก็ตาม แต่ในทุกๆครั้งมันก็มี ข้อจำกัด ในการบอกเล่าอยู่มากเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะ กฎเกณฑ์ ที่ผมมีอยู่เพียงอย่างเดียว แต่บ่อยครั้งที่ บางอย่าง มันมากเกินไป มันเกินกว่าที่จะบอกเล่า หรือมันละเอียดอ่อนต่อ ความคิด ความเชื่อ ของใครหลายๆคน แม้ทุกครั้งที่ผ่านมาผมจะ พยายาม เขียนให้ดู ซอฟท์ที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องราวเหล่านี้ได้ ถ้าใครที่อ่านมาตลอดจะรู้ว่า ผมไม่ได้อยาก ดัง หรือมีชื่อเสียง หรือแม้แต่แสวงหาเงินทองอะไร เพราะทุกวันนี้ผมก็ไม่เคยบอกว่า ผมเป็นใคร และแน่นอนว่าผมก้ไม่ได้อยากสร้างศัตรู หรือทำร้ายใครด้วยเช่นกัน
...................
คุณเคยมีวันว่างๆ...หรือวันที่สบายๆชีวิตไม่ต้องเร่งรีบหรือแข่งขันอะไรกับใครบ้างไหม วันที่คุณจะสามารถ มองสิ่งรอบๆตัวเหมือนอย่างที่คุณไม่เคยสนใจมันมาก่อน ธรรมชาติของ คน มักจะยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้ง เราคือศูนย์กลาง เรามีสิทธิ์ เราสามารถ ว่าแต่... ใครกำหนด
บนโลกใบนี้มีอะไรเยอะแยะมากมาย...ทั้ง คน ดิน หิน ป่า ต้นไม้ แม่น้ำลำธาร สัตว์ทั้งหลาย
ทุกอย่างล้วนเป็นเพียง... ผู้อาศัย
แน่นอนว่า... คน ด้วยเช่นกัน
แม้จะต่างภาษา...ต่างสายพันธ์ ต่างสถานะ แต่ทุกอย่างล้วนมี ชีวิต และจิตใจ
ทำไมเราถึงแบ่งแยกว่า... เราเหนือกว่า เราเป็นเจ้าของ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เรา มีสิทธิ์ ในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรากลายเป็น เจ้าของ ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้
ทั้งที่เราก็เป็นเพียง...ผู้อาศัยเหมือนๆกัน
โลกใบนี้เราไม่ได้สร้าง... เราไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
เราทำลาย... มากกว่าดูแลเสียด้วยซ้ำ
เราไม่เคยคิดว่า เราผิด ในวันที่เราหาประโยชน์จาก ธรรมชาติ
ทำไมถึงมองว่าเป้น สิทธิ์ของเรา... ทำไมไม่ลองคิดดูบ่างว่า นั่นคือน้ำใจจากพวกเขา
เพราะเขาไม่มีชีวิตงั้นหรอ... ใครบอกว่าเขาไม่มี
ถ้าเราลองมามองย้อนดูอีกที... มนุษย์ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก ธรรมชาติ
มนุษย์ไม่สามารถอยู๋รอดได้...
แต่ถ้าธรรมชาติขาดมนุษย์ไป... แทนที่เขาจะตาย เขากลับจะงอกงามยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
มนุษย์คิดว่า มนุษย์สามารถนำทุกอย่างมาใช้ได้ ราวกับว่าเป็นของตน แต่ไม่เคยนึก ขอบคุณ ในสิ่งที่ตัวเองได้รับ
กลับมองว่า ทำอย่างไรที่ เรา จะได้ประโยชน์ที่ มากขึ้น
เรากินหมู ไก่ ปลา หรือสัตว์ ใดๆก็ตาม เราไม่เคยคิดว่ามันผิด หรือ บาป
เพราะมองพวกเขาเป็นเพียง อาหาร ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เขาเกิดมาเพื่อให้เรากิน
ทำไมเราถึงคิดอย่างนั้น....
ผมไม่ได้บอกว่า...เราต้องไม่กิน เพราะมันก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตเราเหมือนกัน เพื่อความอยู่รอด
แต่อยากให้เรา คิด สักนิดหนึ่งว่า... เราเอาชีวิตเขามา เราก็น่าจะขอบคุณเขาบ้าง
ใครก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น...เพียงแต่เขาไม่มีทางสู้กับเรา กิน เท่าที่จำเป็น หรือเพียงพอ
แต่ทุกวันนี้ดูแล้วจะห่างจากคำว่า จำเป็น หรือเพียงพอ ไปไกลมาก
ลองมองอีกอย่างนะครับ ในมุมกลับกัน
เรากินเขา เราไม่ผิด เราไม่บาป
แต่ถ้ามีเหตุการณ์ที่ คน ถูกสัตว์ ทำร้าย หรือกินบ้าง เรากับจะมองว่าเป้นเรื่องที่ โหดร้าย เอามากๆ
จริงไหมครับ...
ทำไมเราไม่มองอะไรให้เป็นกลางบ้าง ทุกๆอย่างนั้นเท่าเทียมกัน เราคือ เพื่อนร่วมโลก เป็นผู้อาศัยของโลกใบนี้เช่นเดียวกัน
ง่ายที่สุดก็คงจะเป็น พระ... ถ้าเป็นสายปฏิบัติที่เคร่งจริงๆ ก็จะเห็นได้ว่ามีข้อกำหนดในการละเว้น ชีวิต และไม่ทานทุกอย่างที่มาจาก สัตว์ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราเห็นแล้วว่า ถึงเราไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน เราก็ไม่ตาย เทศกาลกินเจนั่นก็เป็นอีกหนึ่งแนวทาง
เรายังมี อารมณ์ มีความรู้สึก มีความคิด
แล้วทำไมเราถึงคิดว่า พวกเขา จะไม่มีสิ่งเหล่านี้ ทำไมเขาจะโกรธบ้างไม่ได้ ไม่พอใจบ้างไม่ได้ แค้นบ้างไม่ได้
ทำไมเขาจะทวงเราบ้างไม่ได้ ทำไมเขาจะต้องเป็นฝ่าย ให้อยู่ตลอด ทำไมเราถึงมองว่าการทวงถามจาก ธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ โหดร้าย แต่เราไม่เคยมองเลยว่าเราทำอะไรทีมัน โหดร้าย ต่อพวกเขาไปมากน้อยเท่าไหร่
ทุกคนมี กรรม เป็นที่ตั้ง มีบุญเป็นตัวเสริม การไหว้พระสวดมนต์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คุณ หลุดพ้น หรือไม่ต้องเจอเรื่องราวร้ายๆ แต่นั่นคือส่วนนึงที่ทำให้คุณมี สติ แล้วหันกลับมามองดูเรื่องราวในสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ถ้าคุณเข้าใจในบทสวดมนต์ ในนั้นมีความหมาย การทำบุญ หมายถึงการฝึกให้คุณเป็นผู้ให้ บ้าง นอกจากจะเป็นผู้รับแต่เพียงอย่างเดียว
ทำไมคนที่รับรู้เรื่องราวเหตุการณ์เหล่านี้ถึงไม่มาบอกให้ชัดเจนว่า วันไหน เมื่อไหร่ ยังไง ที่ไหน?
ผู้คนเหล่านั้นก็คงยอากถามกลับว่า... บอกไปแล้วยังไง ได้อะไรขึ้นมา
บอกไปก็โดนด่า โดนโจมตี มีสักกี่คนที่จะ ฟัง และไตร่ตรอง
ทำไมเราถึงต้องอยากรู้ วัน และเวลา หรือสถานี่...
ทำไมเราไม่เตรียมพร้อมในทุกๆวัน...มีสติอยู่ทุกลมหายใจ ไม่ประมาท ต่อให้เหตุการณ์เกิดขึ้นตรงหน้า ก็ยังพอจะ คิด หาทางออกได้บ้าง
หรือแม้แต่ถ้าบอกไป แล้วจะทำอะไรได้ ห้ามได้หรือ หยุดได้หรือ ?
ในเมื่อถ้ามันจะเกิด ก็ต้องเกิด เร็วช้า หนักเบา ก็ไม่ต่างกัน
ถ้าเราจะถูก ทวง เราก็จะถูกผลกรรมพัดพาไปยังสถานที่นั้นๆที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น
หรือแม้แต่ถ้าเราอยู๋ ณ ที่ตรงนั้น เราก็จะถูก พัดพาให้ออกไปจากตรงนั้น ด้วยผลบุญที่เราสร้าง
ไม่เคยบอกว่า บุญ ล้างกรรมได้
ไม่เคยบอกว่า ความดี จะ ลบ ความชั่วได้
ไม่เคยบอกว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่ต้องชดใช้
เพียงแค่ อย่าสร้างเพิ่ม ก็เพียงพอ
.........
เรื่องที่จะพูดในวันนี้ไม่บอกทุกคนก็คงรู้ว่าเป็น เรื่องอะไร ใช่ครับ เรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ไม่ได้จะมาเกาะกระแสหรือว่าอะไรนะครับ แค่อยากมาพูดคุยด้วยเฉยๆ เมื่อคืนผมกำลังทำงานอยู่ที่ภาควิชากับเพื่อนๆ แล้วก็ได้ยินเพื่อนคุยกันบอกว่ามีข่าววางระเบิด แล้วอาจารย์ที่มาดูการเตรียมงานก็เดินเข้มาคุยกับผมแล้วก็เล่าข่าวให้ผมฟังพร้อมกับนำรูปภาพข่าวมาให้ดูด้วย ตกใจมากๆครับ เพราะเคยแต่ได้ยินข่าวของต่างประเทศ ไม่ก็ภาคใต้ ซึ่งมันก็มีบ่อยอยู่แล้ว แต่นี่คือใจกลางเมืองหลวง ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆแบบนี้เลย ผู้เสียชีวิตก็ไม่ใช่น้อยๆ ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ มีคนบาดเจ็บก็หลายคน เป็นภาพที่ไม่น่าดูเลย อย่างที่ผมเคยพูดไปในหลายๆครั้งสิ่งที่ น่ากลัวที่สุด คือ มนุษย์ เพราะมนุษย์ทำได้ทุกอย่าง ทั้งทำร้ายผู้อื่น หรือทำร้ายกันเอง ผมไม่แน่ใจว่าผมเคยพูดไปในกระทู้ไหนนะครับ เหมือนจะเคยเกริ่นๆหรือพูดอ้อมๆไปนี่แหละ ว่าเรื่องราวที่จะมาถึง ไม่ใช่แค่มาจาก ธรรมชาติ แต่ส่วนนึงเกิดจาก มนุษย์ด้วยกันเอง คนจะขาดสติ เราจะได้เห็นข่าววคนตายกันไม่เว้นวันจนเป็นเรื่องธรรมดา คนจะฆ่ากันเป็นว่าเล่น ข้าวยากหมากแพง โรคที่เคยคิดว่า หายไปแล้ว จะกลับมาอีก ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกว่า เวลานั้น...ใกล้มาถึง ถ้าเรามองในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ ชีวิตเราไม่แน่นอนเลย จะตายวันตายพรุ่งเราก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำอะไรก็ทำซะนะครับ อย่าคิดว่า เดี๋ยวก่อน ไว้ก่อน ถ้ามันสายไปก็คงไม่มีโอกาส ดูแลตัวเอง คนรอบข้างให้ดี
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงเป็นแค่ จุดเริ่มต้น และมันคงจะตามมาอีกในไม่ช้า ช่วงนี้อยากให้ทุกคนตั้งสติกันไว้นะครับ อย่าสติแตก เอาแต่กลัว กลัวได้ แต่พิจารณาหน่อยนึง อย่าตื่นตูม เพราะจะมีคนอาศัยช่องนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน มีกลุ่มคนหลายคนที่ไม่ได้สลดไปกับเหตุการณ์นี้ แต่จะเอาเหตุการณ์นี้สร้างประโยชน์ให้ตนเสียมากกว่า เพราะ ความกลัว เป็นสิ่งที่ ชักจูงได้ง่ายที่สุด ไม่วาจะเป็น ลัทธิ หรือ พวกกลุ่มทั้งหลายที่ออกมาว่าทฤษฎีต่างๆนาๆ หรือ แม้แต่อาจจะมีคนตั้งตนขึ้นมาเป็น ผู้นำศาสนา แล้วอ้างว่าจะสารมารถคุ้มครองให้ทุกคนผ่านพ้นเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ เพียงแค่คุณต้องทำตามเขา ผมอยากให้ทุกคน มีสติ ไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ ให้ดี ไม่มีใครสามารถ พาคุณ ให้พ้นเรื่องราวต่างๆไปได้ แต่คุณต้องเป้นคนพาตัวคุณนั้นผ่านมันไปเอง คนอื่นทำได้แค่ เตือน หรือ แนะนำ ชีวิตคุณ อยู่กับคุณ มือของคุณ บุญกรรม เป็นของคุณ อย่าหลงไปตามเสียงเป่าหูของใครต่อใคร นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเตือน และอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าผู้ที่ทำจะเป็นใครก็ตาม หรือมีจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนและเป็นสิ่งที่เขาต้องการนั้นก็คือ การสร้างความหวาดกลัวให้แก่ สังคม และผู้คน ผมอยากให้ทุกคน หยุดแชร์ ภาพผู้ตายผ่านสื่อโซเชียล เพราะนั่นจะเป็นการ ส่งต่อ ความกลัวออกไปในโลกกว้าง ทั้งภายในและภายนอก ใครที่เห็นรูปก็จะเริ่มกลัว และกังวล เชื่อสิครับ แค่การแชร์มันไม่ใช่ เรื่องเล็กๆ อย่างที่คุณคิดหรอก บางนที่เห็นอาจจะแค่ตกใจ แต่บางคนอาจจะกลัวจนไม่กล้าออกจากบ้าน ถ้าสร้างฐานความกลัวให้แก่ผู้คนได้ การจะดำเนินการอะไรต่อนั้น ก็ง่ายขึ้นเช่นกัน อีกอย่างคือ เป็นการให้เกียรติแก่ผู้ตายด้วย เพราะสภาพศพนั้นไม่ได้น่ามองสักเท่าไหร่ การแชร์สภาพนั้นๆออกไป ผู้ตายก็คงไม่รู้สึกดีเช่นกัน ถ้าเป้นคุณเอง คุณก็คงไม่อยากให้ใครเห้นคุณในสภาพนั้นเหมือนกัน จริงไหมครับ
ขอให้ทุกคนปลอดภัยครับ...
........................
หลายคนคงมีคำถามว่าทำไม ท่านาทั้งหลาย ถึงปล่อยให้เหตุการณ์แย่ๆเหล่านี้เกิดขึ้น ทั้งๆที่ท่านก็นาจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ทั้ง ธรรมชาติและ น้ำมือมนุษย์ .... คำตอบก็คงมีแค่ว่า เพราะ มนุษย์นั้นเตือนแล้วไม่ฟัง...เราได้รับการเตือนหลายต่อหลายครั้ง... แต่ไม่เคย ฉุกคิด.... ถ้าไม่เคยเจ็บบ้าง ก็จะไม่รู้ว่า ความเจ็บเป็นอย่างไร ...ถ้าไม่เคยเจอ ก็คงไม่ได้เรียนรู้... เหมือนเราเลี้ยงลูก ถ้าไม่ตีเสียบ้าง... ก็คงจะไม่ไหว
.............
จากพันทิป เวลานั้น....ใกล้มาถึง
เรื่องโดย LoyChinE FB ลอยชาย
Post a Comment