นิทาน...จากความเงียบ


     "นิทาน...จากความเงียบ" เรื่องจากคุณลอยชาย หรือ LoyChinE จากพันทิป อีกครั้งหนึ่งที่เรื่องเขาเล่ามีคนติดตามากอีกเรื่องหนึ่ง และยังมีเรื่องย่อยลงไปอีก เราจึงขอหยิบยกเรื่องนี้จากของคุณลอยชาย มาให้ทุกคนได้รับชม และขอขอบคุณ คุณลอยชาย สำหรับเรื่องดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

กริ๊ง...
กริ๊ง...
          เสียงกระดิ่งกังวานใสลอยมาตามลมเช่นทุกครั้ง แม้ว่าจะไม่เคยได้เห็นที่มาของเสียงนี้แต่ก็มักจะได้ยินอยู่เสมอทุกๆครั้งที่มานั่งที่ลานนี้ตอนดึกๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมมักจะมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว เวลาเครียดๆ หรือเหนื่อยๆ บางครั้งก็มานั่งพักใจ หามุมเงียบๆ มองน้ำมองฟ้า ปล่อยให้ความคิดมันลอยไปกับลม
          ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกที ผมเหนื่อยจากการเรียน การสอบ แล้วก็ปัญหาชีวิตมากมายที่ต้องพบเจอ คืนนั้นเป็นวันศุกร์ ผมจึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่ผมอยากนั่ง
           เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่ผู้คนบนลานเริ่มทยอยกันกลับออกไปแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่กลุ่ม ผมเริ่มเบื่อกับการนั่งอยู่เฉยๆ บวกกับยุงที่มาตอมจนสร้างความรำคาญมิใช่น้อย
         ผมเดินไปตามทางข้างๆลานสมเด็จ เลาะสระน้ำที่นิสิตมักจะมาวิ่งกันทุกเย็น ผมเดินไปเรื่อยๆ ที่นี่มืดมากเพราะไม่มีไฟตามทางเลย มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องสว่างกับแสงไฟตามตึกเรียนใกล้ๆ
ฮือ...
          ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังอยู่ไม่ไกลนัก ผมสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้ ผมทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินต่อ
ฮือ...
         เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นดังขึ้นกว่าเดิม ขนผมลุกชันไปทั่วทั้งตัว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้ผมต้องเดินไปตามเสียงนั้น ผมค่อยๆ เงี่ยหูฟังอีกครั้ง พยายามจับทิศทางที่มาของเสียง ผมเดินตามเสียงนั้นไปไม่ไกลนักก็พบเห็นเงาๆหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น
         เงาร่างนั้นนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นหญ้าโดยที่รอบข้างปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ในตอนกลางวันที่นี่อาจจะดูสวยงาม เป็นเหมือนสวนสาธารณะที่ใครๆก็มาพักผ่อน แต่ในตอนกลางคืนนั้นที่นี่ก็น่ากลัวมิใช่น้อย เงาร่างนั้นร้องไห้คร่ำครวญ พูดพึมพำในลำคอ ฟังไม่ได้ศัพท์
        ผมเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ก็รักษาระยะไม่แสดงตัวออกไป ในใจผมตอนนั้นเชื่อเต็มที่ว่า ต้องเป็นผีแน่ๆ ใครจะมานั่งร้องไห้เวลานี้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอสมควรก็เห็นว่า นั่นไม่ใช่ผี แต่เป็น รปภ. เพราะชุดที่เขาใส่อยู่ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ผีแน่นอน พอเห็นแบบนั้นผมก็ค่อยๆถอยออก เพราะรู้ตัวว่าเสียมารยาท
ตุ้บ..ตุ้บ
       พี่รปภ.ทุบพื้นอย่างแรงทั้งๆที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นก็เอาหัวโขกพื้นอีกสองสามที ผมตัดสินใจออกไปห้ามพี่เขาเพราะเขาก็โขกแรงไม่ใช่น้อยเลย
     ผมพุ่งพรวดออกไปจับตัวพี่แกไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง ทันทีที่ผมสัมผัสตัวเขา เขาก็หันมาทางผม ตาเหลือกจนแทบไม่เห็นตาดำ แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะฟุบทับผมลงมา พี่เขาตัวไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ผมพอจะประคองพี่เขาได้
     ไม่ถึงนาทีพี่เขาก็ตื่นมาคุยกับผม เขาทำหน้างงๆ เหมือนไม่รู้ตัว สะบัดหัวไปมาเหมือนจะสลัดเอาความมึนออกไปเรียกสติกลับมา
‘ผมมาทำอะไรตรงนี้’ พี่รปภ.ถามผม
     ผมทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วมองหน้าพี่เขา งงๆ เพราะผมก็ไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าไปตามที่ผมเห็น พี่เขาทำท่าตกใจมาก เราคุยกันต่อเล็กน้อย โดยสิ่งที่พี่เขาเล่าก็คือ
    ‘ ผมมาเข้าเวร แล้วกลางคืนมันน่าเบื่อ ผมก็เดินไปเดินมาแถวนี้ แล้วก็รู้สึกปวดฉี่ แต่ก็ขี้เกียดเดินไปเข้าห้องน้ำในตัวตึก แล้วก็ไม่กล้าจะห่างจากโต๊ะทำงานไกลนัก จะโดนผู้ใหญ่เขาดุเอาถ้ามีใครมาเห็น ผมจึงเดินเข้ามาแถวนี้เห็นว่ามันเป็นพุ่มไม้พุ่มหญ้า แล้วก็ดึกแล้วไม่น่ามีใครผ่านไปผ่านมา ผมก้เดินเข้ามาผมทำธุระจนเสร็จตอนที่หันหลังกลับ ผมรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้เลย’
      นั่นคือคำบอกเล่าของพี่รปภ. ผมก็อึ้งๆ จะว่าแกมาฉี่ผิดที่ผิดทางมันก็ใช่อยู่ แต่เข้ากันง่ายๆแบบนี้ก็ไม่ค่อยเจอมากนัก สุดท้ายเราไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อก็แยกย้ายกัน พี่รปภ.ก็เดินไปไหว้สมเด็จ หวังว่าจะขอบารมีท่านคุ้มครอง ก็แน่ล่ะครับ เป็นใครใครก็กลัวเป็นธรรมดา
      ผมกลับหอหลังจากนั้นทันที เพราะก็ไม่กล้าจะไปเดินเล่นต่อเท่าไหร่ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ยังคาใจผมอยู่เล็กน้อย เพราะสายตาที่มองมาที่ผมตอนนั้น มันเหมือนมีความนัยย์อะไรบางอย่าง
      หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปนั่งเล่นที่ลานดึกๆดื่นๆอีกเลย เพราะเรียนก็เยอะ งานก็เยอะ น่าจะเป็นเดือนได้ จนรอบนั้นเป็นช่วงที่ผมสอบ แล้วมันก็มีวันว่างเป็นฟันหลอ ให้ได้พักหายใจหายคอ ก็เลยไปนั่งเล่นตามระเบียบ การหมกตัวอยู่กับหนังสือติดกันนานๆก็ทำให้ปวดหัว ปวดตาอยู๋ไม่น้อย
      คราวนี้ผมไมได้นั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องบนลานเพราะอากาศมันร้อน กลางคืนกระเบื้องจะคายไอร้อนออกมาจนมันนั่งไม่สบาย ผมเดินออกมาอีกหน่อยแล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงตลิ่งริมสระที่เป็นหญ้าเตี้ยๆ นั่งมองฟ้ามองน้ำ คืนนี้ดาวสวย ท้องฟ้าปลอดโปร่งทำให้ลืมความเหนื่อยล้าไปได้ไม่น้อย
     ผมชอบที่จะออกมาข้างนอกในเวลาแบบนี้ เพราะถ้าอยู่ที่หอพัก ก็คงไม่พ้นหน้าจอโทรศัพท์ ไม่ก็จอคอม จอทีวี เพราะมันไม่มีอะไรทำ การได้ออกมาสูดอากาศบ้างก็เป็นเรื่องดี ยิ่ง มน. ไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเหมือนที่อื่นๆ ทำให้บริเวณแวดล้อมยังคงมีทุ่งนา ลำคลองอะไรให้ได้พักผ่อนหย่อยใจอยู่บ้าง เราคงไม่อยากมองถนน กลับรถสี่เหลี่ยมๆวิ่งไปวิ่งมาด้วยความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาหรอก
       คืนนี้มีลมอ่อนๆโชยมา เป็นลมเย็นๆพอให้รู้สึกสบาย อาจเพราะเป็นช่วงสอบก็เลยไม่มีใครมานั่งเล่นอยู่แถวนี้มากนัก นอกเสียจากของเซ่นไหว้ ทั้งรูปปั้นไก่ พวงมาลัยดอกไม้ ที่วางสุมกันอยู่บนโต๊ะเครื่องเซ่นหน้าสมเด็จ รวมไปถึงก้านธูปจำนวนมหาศาลจนล้นออกมานอกกระถาง ลามไปถึงพื้นดินรอบๆลาน บ่งบอกได้เป้นอย่างดีว่า เด็กนิสิตที่นี่ ศรัทธาพ่อ ขนาดไหน รวมไปถึงความน่ากลัวของข้อสอบเลยทีเดียว
กริ๊ง...
กริ๊ง...
      เสียงกังวานใสลอยมาตามลม เสียงนั้นคล้ายกับเสียงกระดิ่งที่ได้ยินทุกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป บ่งบอกว่าแหล่งที่มานั้นแตกต่างกัน เสียงนั้นฟังดูคล้าย กระพวน เสียงนั้นลอยมาตามลมจนไม่รู้ที่มาของต้นตอ สักครู่หนึ่งเสียงนั้นก็จางไป จนทิ้งไว้เพียงความเงียบเท่านั้น
      ผมปล่อยให้ตัวเองเหม่อลอยไปกับท้องฟ้าและแสงดาว จนผมเคลิ้มๆเหมือนจะหลับไป แต่ยังไม่ทันจะได้หลับ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
      กลิ่นหอมๆลอยมาตามลม เป็นกลิ่นที่หอมมาก หอมเหมือนไม้หอมอบแห้ง ผสมกับน้ำอบ ผมเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ และมันคือกลิ่นของอะไร ผมหันมองไปรอบๆ พยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น แต่ก็ไม่พบอะไร
     กลิ่นหอมจางๆลอยมาตามลม ผมจึงลองเดินไปทางที่ลมพัดมาเพราะคิดว่าคงมาจากต้นลมแน่ๆ แต่แล้วก็ไม่ใช่เลย กลิ่นนั้นไม่ได้ลอยมาตามลม กลิ่นนั้นวนอยู่รอบๆตัวผม ผมจึงหยุดเท้า เพราะเดินไปอีกเท่าไหร่ก็คงไม่พบที่มาของกลิ้น
‘ใครครับ’ ผมพอดลอยๆออกมา
ฮิ ฮิ....
     เสียงใสๆของหญิงสาวลอยมาตามลม พร้อมๆกับที่มีร่างของหญิงสาวเดินออกมาจากมุมไม้ เงาร่างนั้นผ่องสว่าง บอกว่าเธอไม่ใช่ สัมภเวสี หรือผีสางที่เลวร้าย หน้าตาของเธอสวยงามราวกับภาพวาด ชุดเครื่องแต่งกายนั้นบ่องบอกว่าเธอ มีฐานะ ไม่ใช่ชนชั้นไพร่ แต่ก็มิใช่กษัตริย์ สงสัยจะเป็นคนในวังล่ะมั้ง
      เธอยิ้มให้กับผมแต่ไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มนั้นเป้นเหมือนคำทักทายอย่างอ่อนโยน และดูคุ้นเคย เธอทำเหมือน เรารู้จักกัน เธอเดินเข้ามาใกล้ๆผม แล้วก็เดินเลยไป เธอเหลียวหลังกลับมานิดหนึ่ง พยักหน้าให้เล็กน้อย เหมือนเป็นการเรียกให้เดินกลับไป
      ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เธอคนนั้นรู้สึก ปลอดภัย ไม่น่ามีอันตราย ผมจึงเดินตามเธอไป แล้วสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นที่ข้อเท้าของเธอ มีกระพวนทองประดับอยู่ ทุกก้าวที่เธอเดินนั้นเปล่งเสียกังวานไพเราะ

        ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงพุ่มไม้มืดๆ แล้วชี้มือเข้าไปในนั้น เป้นสัญญาณให้ผมเดินเข้าไป ผมก็กล้าๆกลัวๆ เพราะมันมืด แต่ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไป พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาส่องไฟที่พื้น เดินไปนิดนึงไฟก็ดับไป เพาะแบตหมด ผมแทบจะเดินถอยหลังออกมาทันที
ฮือ....
        เสียงร้องไห้สะอื้นดังขึ้นมาในความมืด ผมหันหลังกลับไปมองทันที ภาพที่เห้นตรงหน้าคือ เงาร่างสีดำร่างหนึ่งนั่งร้องไห้คร่ำครวญ เดี๋ยวสะอื้น เดี๋ยวโวยวาย ภาพตรงหน้านั้นน่ากลัวไม่ใช่น้อย เพราะสภาพเขาก็ไม่ได้น่าดูมากนัก และเมื่อสังเกตดีๆ ผมก็รู้สึกตัวว่า ที่นี่คือบริเวณเดียวกับที่ผมเจอพี่ รปภ.
‘ช่วยด้วย...’
‘ช่วยเราด้วย...’
     จะเสียงร้องไห้ เริ่มฟังเป็นคำพูด คำพูดนั้นสะดุดใจผม ทำให้ผมสงสัย แม้ในใจจะกลัวภาพตรงหน้า ขาสองข้างเริ่มอ่อนแรงและก้าวไม่ออก เมื่อหันหลังไป ก็ไม่พบเธอคนนั้นแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ หวังจะพูดคุย
‘เห้ย!’
      ภาพตรงหน้าทำให้ผมอุทานออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ตรงหน้าภาพปรากฏภาพของชายคนนั้นที่ล้มนอนอยู่กับพื้น พร้อมกับหมาดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ยืนเหยียบเขาอยู่ หมาตัวนั้นท่าทางดุร้าย แยกเขี้ยว ส่งเสียขู่ มันคงเหมือนหมาทั่วๆไป หากไม่ใช่ว่ามันตัวใหญ่หว่าปกติ กับดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องมาด้วยความมุ่งร้าย หมารอบๆนั้นพร้อมใจกันหอนปนเห่ากันจนน่ากลัว แล้วหมาตัวนั้นก็กระโจนใส่ตัวผม ผมยกมือขึ้นมาปัด ผมรู้สึกได้ถึงความ เจ็บ ทั้งที่แขน และหลังที่ล้มลงกระแทกกับพื้น ด้วยความตกจ ผมจึงหันหลังวิ่งทันที จนมาถึงรถมอเตอร์ไซดที่จอดไว้ เมื่อหยุดมองก็พบว่า มันไม่ได้ตามมา ด้วยความกลัวปนตกใจทำให้ผมขับรถกลับทันที ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆที่แขน เมื่อก้มดูก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิด มันมีรอยเลือดเปื้อนอยู๋ ผมตกใจมากว่าผมโดนอะไร ผมเอาเสื้อเช็ดทันทีเพื่อจะดูแผล
     แต่ก็พบว่า มันไม่มีแผลอะไรเลยที่แขนของผม...

เมื่อมาถึงที่หอ ผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำล้างตัวทันที โดยปกติแล้วถ้าผมต้องไปยุ่งกับอะไรพวกนี้มาผมจะรีบกลับมาอาบน้ำให้สะอาดทั้งตัว แล้วก็มีวิธีส่วนตัวนิดหน่อยที่มีคน สอน มานะครับ ลองเอาไปใช้กันดูก็ได้ ก็คือเราเข้าไปแล้วก็เปิดฝักบัวราดตั้งแต่หัวจนถึงเท้า แล้วก็ตั้งจิตถึงแม่คงคาให้ชำระล้างสิ่งเลวร้ายที่ตามตัว วิงวอนต่อแม่ธรณีให้รับฝากสิ่งเลวแล้วเหล่านี้กลับคืนสู่ดินไป โดนสวดอิติปิโสไปด้วย 3 จบ 7 จบก็แล้วแต่ใจ มันก็ไม่ใช่ว่าจะล้างอะไรได้หมดหรอกนะครับ พูดง่ายๆคือเป็นการ ปฐมพยาบาล อะไรประมาณนั้น ซึ่งผมก็ใช้วิธีนี้มาตลอด
      หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้วผมก็มานั่งนิ่งๆรวบรวมสติ แล้วคิดทบทวนว่าสิ่งที่เราได้เจอมาเมื่อสักครู่นั้น คืออะไร ประเด็นแรกที่คิด ก็คือ หมาดำตัวนั้น ทุกครั้งที่พบเจอกับหมาดำตัวใหญ่ และแววตาสีแดงสดอันเป็นเอกลักษณ์ของพวก ผีเลี้ยง ผีวิชา ทั้งหลายนั้น มักจะไม่ง่ายเลยที่จะ ไม่เกิดอะไรขึ้น
      คำตอบหนึ่งในใจนั้นแน่ชัดว่า เรื่องนี้มี คน เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นคนที่มีจุดประสงค์ไม่ดีสักเท่าไหร่ คำถามต่อมาก็คือ หลังจากที่มันพุ่งมาใส่ผมนั้น หมาตัวนั้นมัน หายไปไหน
      ผมนั่งคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก็ไม่ได้คำตอบอะไร ก็เลยเดินไปไหว้พระในห้อง ขอให้ท่านคุ้มครอง จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน ในตอนนี้ความตกใจได้หายไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็แต่ คำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ
      ในวันรุ่งขึ้นผมตื่นมาด้วยความร้อนของแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างมากระทบใบหน้า ผมรีบลุกจากเตียงเพราะรู้ได้ทันทีว่า สายแล้ว ไม่อย่างนั้นแดดคงไม่จ้าขนาดนี้ ผมรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว อาจเป็นเพราะนอนน้อยหรือ อย่างไรไม่ทราบ ในเช้าวันนี้ผมจึงรู้สึกปวดเมื่อเนื้อตัว จนไม่อยากจะทำอะไร
       หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินออกจากห้องมาด้วยความเร่งรีบพร้อมกับเปิดดูบนหน้าจอโทรศัพท์ ก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากเพื่อน รวมกับแจ้งเตือนของนาฬิกาปลุกที่ไม่ได้กดปิด ตอนนี้ผมสายมากแล้ว ผมจึงทำได้แค่รีบไปเรียนให้เร็วที่สุด
       ตลอดคาบเรียนในช่วงเช้านั้นผมแทบจะไม่ได้ฟังอาจารย์เลย ไม่รู้ว่าไปเพลียอะไรมาจากไหน ผมหลับทั้งชั่วโมง เพื่อนปลุกจนตื่นขึ้นมาก็หหลับอีก มันเพลียมากจริงๆ มันเมื่อย มันล้าไปทั่วทั้งตัว
      ในตอนพักกลางวันผมกับเพื่อนๆมานั่งที่โต๊ะประจำในโรงอาหารของภาควิชา ผมไม่รู้สึกหิว หรือว่าอยากกินอะไรเลยสักอย่าง ทั้งๆที่ก็ยังไม่ได้กินอะไรมาเลยตั้งแต่ตื่นนอน ผมมองไปร้านนั้นร้านนนี้ก็ไม่รู้สึกอยากกินอะไรสักอย่าง แต่ไม่กินก็ไม่ได้ จะไม่มีแรงพอไปจนเลิกเรียนตอนค่ำๆอีก
      ด้วยความที่ผมคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี จึงเดินไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำแล้วบบอกป้าว่า เอาเหมือนเดิมครับ ผมหยิบอาหารกลาสงวันมาวางไว้ที่โต๊ะ แล้วก็นั่งมองดูเขี่ยไปเขี่ยมา เพราะรู้สึกว่ามันไม่น่ากินเอาเสียเลย มันไม่มีความอยากอาหาร ผมได้แต่ดูดน้ำอัดลมในแก้วให้พอมีน้ำตาลเข้าสมองบ้าง ปล่อยให้เพื่อนจัดการกับข้าวกลางวันของผมไป
      ในช่วงบ่ายผมมีเรียนที่ตึกภาควิชา ผมเดินขึ้นไปเรียนกับเพื่อน ครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้งที่จะเจอกับ สมาชิกของตึก ที่ชอบมาเดินมองนิสิตคนนั้นคนนี้ด้วยรอยยิ้ม แต่วันนี้เขามองผมอยู่ห่างๆ เพียงแค่สบตาแล้วก็รีบหนีหายไป ผมแปลกใจเล็กๆ เพราะปกติไม่เคยเป้นแบบนี้
      ผมใช้เวลาหนึ่งวันหมดไปอย่างเนือยๆ จนลากสังขารกลับมาถึงห้องก็ล้มตัวลงบนเตียง แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ผมตื่นมากลางดึก ประมาณ5 ทุ่มก็ลุกไปอาบน้ำ โชคดีที่วันนี้ไม่มีการบ้านอะไร ผมเดินไปนั่งลงที่หน้าพระตั้งใจจะสวดมนต์
      หลังจากกราบพระสามครั้ง พอเริ่มอ้าปากสวด ปกติผมจะต้องเชิญ ท่าน เป็นอันดับแรกเพื่อมาสวดมนต์ด้วยกัน แต่วันนี้ปากมันแข็งๆยังไงไม่รู้ สวดผิดสวดถูก ยิ่งสวดไปก็ยิ่งปวดหัว มันครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนคนจะเป็นไข้ ผมอดทนสวดต่อไป ก็ไม่ได้ดีขึ้น มันเริ่มแน่นหน้าอก มันไม่สบายตัว
      ผมเริ่มเอะใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเรารึเปล่า แต่ก็ไม่อยากด่วนสรุปเป็นเรื่องพวกนี้ไปเสียหมด บางทีการที่ผมเรียนหนักแล้วเครียดติดกันนานๆ อาจจะทำให้ผมป่วยก็ได้ ผมจึงลุกจากตรงนั้นแล้วล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง
      เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ผมกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ จึงลุกเดินออกไปที่ระเบียงห้อง หวังว่าอากาศภายนอกจะทำให้ผมสดชื่นขึ้นได้บ้าง วันนั้นอากาศเย็นกำลังดี ลมที่พัดเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เสียก็แต่ท้องฟ้าที่มืดไปหมดจนมองไม่เห้นดาวหรือพระจันทร์ เสียงหมาแถวหอพักกัดกันสลับกับหอนเป็นช่วงๆ ถ้าใครผ่านไปผ่านมาก็คงจะสยองไม่ใช่น้อย
      ผมเดินกลับมาที่เตียงคราวนี้พอจะหลับลงได้ ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างมาเบียดทำให้นอนไม่สบาย เมื่อผมพยายามจะหันไปดูก็หันไม่ได้ ได้แต่มองเยื้องๆผ่านไหล่ตัวเองไป ก็เห็นว่าเป็นเงาดำๆเงาหนึ่งนอนอยู่ข้างๆผม แต่มองไม่ชัดว่า เป็นใคร
       ผมตกใจว่าใคร เข้ามาได้ยังไง ผมหลับตาพยายามสวดมนต์ ตั้งสติ ก็หลุดออกจากสภาพนั้น แล้วรีบหันไปดูให้ชัด แต่ปรากฏว่าตรงนั้นก็มีเพียง เตียงว่างๆ เหมือนเดิม ไม่ได้มีใครนอนอยู่ตรงนั้น ด้วยความไม่สบายใจ ผมจึงเดินไปเปิดไฟห้องให้สว่าง แสงไฟสาดไปทั่วห้อง ก็ไม่พบเงาร่างของใครในห้องเลยนอกจากตัวผมเอง
       วันต่อมาผมเริ่มใจไม่ดีเท่าไหร่ นี่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายอีกแล้วรึเปล่า และแม้จะถาม ท่านไป ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ในช่วงเย็นผมจึงตัดสินใจ ชวนเพื่อนไปวัด
...........

ในเย็นวันนั้น เมื่อเราไปถึงที่วัดกันผมไม่ได้บอกเพื่อนๆว่าผมเป็นอะไร แค่ชวนไปเฉยๆ เพื่อนๆผมในกลุ่มก็ชอบไปวัดกันอยู๋แล้ว ก็ไม่ได้บ่อยมาก แต่ถ้ามีใครชวนก็ไม่มีปฏิเสธิ แล้ววันมันก็อยู่ใกล้ๆกับมหาลัย ขี่รถไปไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงวัดแล้ว

          เมื่อเข้าไปในวัด วันนั้นอากาศไม่ร้อนมาก เย็นสบาย พวกเราจอดรถไว้ที่หน้าศาลาแล้วเดินไปทางกุฎิพระในตอนแรกผมร็สึกมึนๆหัวเหมือนคนหน้ามืด พอเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึก ร้อน
          ความร้อนมันแผ่นซ่านไปทั่วร่างกาย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว มันวูบๆวาบๆ บอกไม่ถูก เมื่อไปถึงที่แล้ว ตอนถวายข้าวของนั้น ความทรมานมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาอีก มันร้อนไปหมด ร้อนทั้งตัว มึนๆเบลอๆ แต่ก็แข็งใจถวายของตามที่ตั้งใจไว้
         ตอนรับพรนั้น มันรู้สึกแน่น จุกเสียด หายใจไม่ทั่วท้อง มันคลื่นไส้ อยากจะอ้วกซะตรงนั้น แต่ก็อดทนไว้ เมื่อลงมาจากกุฎิพระท่านแล้วก็เดินนำที่รองน้ำไปเทใต้ต้นไม้ ในตอนนั้นเองที่น้ำนั้นมาโดนมือ ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาทันที จากนั้นก็เย็นสันหลังวาบ
        เมื่อพวกเรากลับออกมาจากวัดแล้ว อาการผมก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่หลงเหลืออาการใดๆทิ้งไว้ในร่างกายเลย ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่า มันมีบางอย่างที่ไม่ปกติ เกิดขึ้นกับตัวผมอย่างแน่นอน
       ความกังวลใจที่มากขึ้น บวกกับความกลัวที่ค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้นในความรู้สึก แม้ว่าผมจะผ่านเรื่องราวแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะมั่นใจ หรือ คิดว่าตัวเองจะสามารถจัดการมันได้ง่ายๆ อาจเพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเป้นพื้นฐานอยู่แล้วก็ได้
         ในคืนนั้นผมแวะซื้อพวงมาลัยกลับมาที่ห้อง ทำการบ้านเคลียร์ทุกอย่างในชีวิตให้เรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าให้สะอาด เดินมานั่งลงที่หิ้งพระ จุดธูปจ จุดกำยาน วางพวงมาลัยลงบนพาน แล้วก็เริ่มสวดมนต์
          ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว ผมรู้สึกร้อน ปวดหัวปวดไปทั้งตัว แน่นหน้าอก สวดมนต์ไม่ได้ พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถฝืนได้จริงๆ
          ผมจึงหยุดสวดมนต์ จัดท่าทางให้อยู๋ในท่าขัดสมาธิ แล้วหลับตาลง ค่อยๆกำหนดลมหายใจ ทำจิตให้ว่าง ระลึกถึง พุทธคุณต่างๆที่เคยได้สั่งสมมา ความร็สึกทรมานนั้นค่อยๆทุเลาลงเล็กน้อย
         ผมทำอยู่อย่างนั้นนานพอที่ธูปจะหมดก้าน ตลอดเวลาที่นั่งสมาธินั้น ความร้อน ความเย็น มันตีกันมั่วไปหมดภายในตัว รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ แต่ ตัวรู้ ในใจนั้นบอกกับเราว่า อดทนไว้ อย่าหยุด
        หลังจากธูปหมดก้าน จนกลิ่นหอมของธูปและกำยานจางไปในอากาศ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น ในตอนนั้นสภาพของผมคือ เสื้อเปียกไปหมดด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วทั้งตัว หายใจหอบแรง เหมือนคนไปออกกำลังกายมา
        ผมลุกไปอาบน้ำอีกครั้ง เพื่อให้สบายตัว ความวิงเวียนนั้นยังไม่หายไป แต่ก็ดีขึ้นมาบ้าง น้ำเย็นๆจากฝักบัวทำให้สดชื่นขึ้นเล็กน้อย หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมานอนลงที่เตียง
      ความเหนื่อยล้าของทั้งวันได้ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ทำให้ผมหลับไปอย่างง่ายดาย เพียงแค่หัวถึงหมอน
     กลางดึกคืนนั้น ผมรู้สึกตัวเหมือนฝัน เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนคนงัวเงีย แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา พอได้สติรู้ตัวว่าตัวเอง ตื่นแล้ว ก็พยายามที่จะหลับต่อ เพราะยังคงง่วงอยู่
อือ...
อือ....
     เสียงครางทุ้มต่ำในลำคอลอยอยุ่ในความมืดของห้อง ผมสะดุ้งในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา เสียงนั้นดังอยู่อีกสองสามที ก็เงียบไป
      ครู่เดียวต่อมา เสียงครางนั้นดังขึ้นมาอีก คราวนี้เสียงนั้นดังมาจากทั่วๆห้อง ทางนั้นทีทางนี้ที จับที่มาไม่ได้ และนั่นก็ทำให้ผมแน่ใจว่า ผมไม่ได้หูฝาดไปอย่างแน่นอน เสียงนั้นยังคงลอยอยู่ในอากาศ ผมหรี่ตาขึ้นมานิดหนึ่งเพื่อมองหาที่มาของเสียง ภาพที่เห็นนั้นไม่ชัดเจน เห็นเป็นเพียงเงาดำรางๆ กระโจนไปมาในความมืด มุมนั้นทีมุมนี้ที
      ผมหลับตาลงอีกครั้ง ค่อยๆสวดมนต์ ในตอนนั้นเอง ตัวรู้ ก็ทำหน้าที่ของเขาอีกครั้ง บทสวดที่เราไม่เคยได้ยิน ภาพของตำราเล่มหนึ่งที่หนากว่าปกติหลายเท่า หน้าหนังสือที่เปิดให้อ่านได้อย่างเหมาะเจาะ ตัวรู้ทำหน้าที่ของเขา โดยที่เราไม่สามารถกำกับอะไรได้
     มนต์คาถาที่ไม่รู้จักถูกออกเสียงผ่านลำคอ และปากของผม แม้ตัวผมจะไม่รู้จัก แต่ผมก็ร็ว่า มันคุ้นเคย มันไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เรารู้ดีว่ามันคืออะไร เพียงแต่ ตอนนี้ เรายังจำไม่ได้เท่านั้นเอง
     เงาที่กระโจนไปมาในความืดนั้นค่อยๆนิ่งลง เสียงที่ลอยไปทั่วห้องเริ่มเงียบ เหลือไว้แต่เสียงครวญครางอยู๋ที่มุมหนึ่งของห้อง ผมลืมตาขึ้นมามองทั้งสองตา เพื่อให้แน่ใจว่า เราไม่ได้ฝันไป
    ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น คือเงาของผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งหลังค่อมนั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้อง เสื้อผ้านั้นเป็นสีดำ มีผ้าถุงเก่าๆ ใส่อยู่ ดวงตาสีแดงระเรื่อ ละม้ายคล้ายคลึงกับดวงตา ของหมาตัวนั้น เล็บที่ยาวสกปรกน่าเกลียด ผิวหนังแห้งเหี่ยวติดกระดูก ไม่มีกล้ามเนื้อ ผมเผ้ากระเซิง ไม่มีระเบียบทำให้เสียงครางนั้นน่าขนลุกขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
     ในขณะที่ผมทำอะไรไม่ถูกอยู๋นั้น เงาร่างนั้นก็ทำท่าเหมือนจะคลานเข้ามาหา ผมตกใจพยายามรวบรวมสติ และในตอนนั้นก็มีแสงสว่างดวงเล็กๆ วิ่งผ่านไหล่ของผม และตรงไปยังร่างนั้นทันที พร้อมๆกับเสียงใสกังวานของเด็กวัยไม่กี่ขวบ
‘ไปนะ อย่ามายุ่ง!’
กุมารน้อยสองตน จากที่บ้านเข้ามาช่วยผมไว้ ไล่เงาร่างนั้นไป จนมันหายไปนอกประตู เด็กน้อยหน้าตาน่ารักสองคนที่ผมคุ้นเคยหันมามองหน้าผม เหมือนทกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ยิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย บ่งบอกว่าพวกเขาไม่สบายใจในอะไรบางอย่าง
         ผมถามเรื่องราวจากเด็กทั้งสอง แต่เด็กทั้งสองก็ตอบอะไรไม่ได้ บอกแค่ว่ารู้สึกว่า พี่ มีอันตราย เลยมาหา ผมนึกขอบคุณในความน่ารักของพวกเขา ทั้งสองคนเดินขึ้นมานั่งบนตักผมเหมือนทุกครั้ง เขามักจะทำอย่างนี้เวลาอยากอ้อน หรืออยากเล่นด้วย
‘กลับบ้านได้แล้ว ไปดูแลแม่เถอะ’ ผมพูดกับพวกเขา
‘ระวังตัวนะ พรุ่งนี้มันจะมาอีก’
        สิ้นเสียง จบประโยคพวกเขาก็หายไปในทันที คำพูดทิ้งท้ายของทั้งสองนั้นทำให้ผม หวั่นใจไม่น้อย เพราะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เด็กทั้งสองจะมาปรากฏตัวได้ชัดเจนแบบนี้ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ปกติผมจะฝากทั้งสองให้ช่วยดูแลแม่ และเด็กทั้งสองก็ติดแม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นานๆทีจะมาหาผมบ้าง แต่คราวนี้เขามาด้วยความตั้งใจของตัวเอง นั่นก็พอจะให้คำตอบกับผมได้อย่างนึงแล้วว่า
ผมเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว...

ในวันต่อมาทั้งช่วงกลางวันนั้นไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเลย ก็คงจะมีแต่ตัวผมที่ยังกังวลกับคำพูดของเด็กน้อยทั้งสอง หรือนี่จะเป็น อาการลมสงบก่อนพายุจะมาเยือน ผมก็ได้แต่บ่นกับตัวเองในใจ
         ตกดึกคืนนั้นผมก็ยังนอนไม่หลับ ผมคิดว่าจะตั้งตารอเลยละกัน จะได้ไม่พลาด ไม่ตกใจ แต่แล้วความเหนื่อยล้าจากการเรียนและการทำแลป ก็ทำให้ผมทนอยู่ได้ไม่นานนัก จนผมหลับไป
         ผมสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาเหมือนโดนปลุก ผมมองไปรอบๆตัวก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จนสายตากวาดไปเจอที่นอกระเบียงห้อง ตรงประตูเลื่อนที่ทำจากกระจก ที่นอกระเบียงนั้น มีจุดแดงๆสองจุดลอยอยู๋กลางอากาศ ผมขยี้ตามองไปอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
        ภาพเงาร่างของผู้หญิงร่างผอมบาง หัวฟู เป็นเงาดำๆนั่งยองๆ มองเข้ามาจากภายนอก ดวงตาที่ลุกวาวนั้นทำให้ขนลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว ผมถอยหลังออกมานิดหนึ่งเพราะความกลัว ด้วยความงัวเงีย ผมขยี้ตาอีกหนึ่งครั้ง คราวนี้เมื่อลืมตา ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ไม่อยู่แล้ว
      แม้ว่าภาพตรงหน้าจะหายไปแล้ว แต่ความกลัวในจิตใจนั้นยังไม่หลงเหลืออยู่ ผมลงไปกราบพระที่หน้าหิ้งอีกครั้งหนึ่ง หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเหลืออะไรผมบ้างในคราวนี้ (เพราะทุกครั้งมักจะปล่อยให้เจอเอง)
     ผมกลับมานอนอีกครั้ง แม้ใจจะไม่อยากนอนแล้วแต่ร่างกายมันไม่เอื้อเลย ผมผล็อยหลับไปอีกครั้งในความมืดของห้อง
     ความเย็นที่เข้ามาสัมผัสกับผิวหนังตามร่างกาย ไอเย็นชื้นๆ ค่อยๆลามขึ้นมาจากปลายเท้า สูงขึ้น สูงขึ้น เมื่อความเย็นนั้นขึ้นมาหยุดอยู่ที่อก กลิ่นแปลกๆก็ลอยเข้ามาในจมูก กลิ่นเหม็นคาว สาปสัตว์เหมือนของเน่าๆ กลิ่นไม่พึงประสงค์นี้ทำให้ชวนอาเจียนเป็นอย่างมาก
      ยังไม่ทันจะชินกับกลิ่นที่ได้รับ สัมผัสของนิ้วเล็กๆ เหี่ยวๆ แต่เปียกชื้นนั้นก็ไล้ไปตามแก้มของผม ทำให้ขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว ความกลัวค่อยๆริ่มก่อตัวในใจผม อีกใจนึงก็แอบคิดว่า จะมีใครมาช่วยเราไหม ผมพยายามฝืนตัวเองให้ขยับ พยายามส่งเสียง แต่ก็ไม่ได้ผล ผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ ไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้เลย
     ในตอนนั้นสิ่งเดียวที่ขยับได้คือ ตา ผมลืมตามามองภาพตรงหน้า ในทันทีที่ดวงตาได้รับภาพ สมองกระประมวลผลในทันทีว่า รู้อย่างนี้ไม่ลืมตาเสียงดีกว่า
      ตรงหน้าผมปรากฏเป็นร่างหญิงชราคนหนึ่ง ผอมแห้งจนหนังติดกระดูก ผมเผ้ายาวรุงรังไร้ระเบียบ เสื้อผ้าเก่าๆที่มีแต่รอยขาดและคราบเปื้อน นิ้วเรียวๆแห้งๆ ที่ยังคงไล้ไปตามหน้าของผม ใบหน้าที่ซูบตอบจนเห็นเป็นรอยกระดูก ดวงตาที่ไร้แววของสิ่งมีชีวิต แต่มีประกายแดงๆเรืองอยู๋ข้างใน คราวนี้ไม่ใช่เงาดำๆอีกแล้ว ทุกอย่างชัดเจน เหมือนคนเป็นทุกอย่าง หญิงชราคนนั้นนั่งยองๆอยู่บนหน้าอกผม เราห่างกันไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด เธอเอียงคอมองผมอย่างสงสัย ครู๋หนึ่งก็ยิ้มออกมา เผยให้เห็นฟันสีดำที่ผุบ้าง พังบ้าง น่าเกลียดหน้ากลัว เธอค่อยๆก้มหน้าลงมาใกล้ๆ
      ด้วยความกลัวและตกใจ ผมพยายามที่จะสลัดให้ตัวเองหลุดออกจากสภาพนั้น ในตอนนั้นบอกตรงๆว่า ผมไม่มีอารมณ์จะมาคุยดีๆด้วยแล้ว แล้วอยู๋ดีๆ ผมก็นึกถึงอะไรบางอย่างออก บางอย่างที่ติดตัวเรา แต่เราจำไม่ได้ ‘ความรู้เก่าๆ’ ‘ศาสตร์เก่าๆ’ ที่ย้อนเข้ามาในหัว
     สติของผมเริ่มกลับมา ความร้อนกลุ่มก้อนเล็กๆเริ่มรวมตัวที่กลางระหว่างคิ้ว ความร้อนนั้นค่อยๆ ขยายตัวขึ้น แผ่กว้างมาถึงที่ ตา ตาของผมเริ่มร้อนขึ้น ร้อนจนเรารู้สึกได้ว่ามันร้อนจากภายใน ทุกขณะที่ความร้อนขยายตัว ความเย็นที่ร่างกายก็ค่อยๆ หายไป ผมจ้องไปที่เธอด้วยความไม่พอใจ
     หญิงชราตรงหน้าทำท่าทางตกใจ ก่อนที่เธอจะทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่าเท้ากดลงบนอกของผมอีกครั้ง คราวนี้ผมร็สึก โกรธมาก ถ้าพูดให้เข้าใจทั่วๆไปก็คือ เหมือนเวลาเราโกรธใครจนอยากจะเดินไปต่อยหน้าเขา ประมาณนั้น ในตอนนั้นเองเหมือนผมหลุดจากภวังค์นั้นร่างกายขยับได้แล้ว ผมสะบัดมือข้างถนัดออกไปพร้อมกับแหวนที่ใส่อยู่ประจำบนนิ้ว
‘หยุด!’
กระแสเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวผม ทำให้ผมต้องชะงักมือเอาไว้ พร้อมๆกับเสียงกรี๊ดเล็กแหลมของเธอคนนั้น แทงเข้ามาในหู แล้วเธอก็หายไปต่อหนน้าต่อตา
       ผมได้สติกลับมาทุกอย่าง จึงรีบเดินไปเปิดไฟในห้อง กวาดสายตามองไปรอบๆห้องก็ไม่เห้นร่องรอยของเธออีกแล้ว ผมถาม ท่าน ไปว่าทำไมถึงบอกให้ผมหยุด เพราะตอนนั้นผมก็ไม่ร็ด้วยซ้ำว่า ถ้าผมทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบที่ได้กลับมาก็เป็นเพียงประโยคสั้นๆ เช่นเคย ‘อย่าสร้างกรรม’
‘คุยกับเขาดีๆ เขายังอยู่แถวนี้ เรียกเขามา’
       ผมสะอึกกับประโยคนั้น ตามปกติแล้วสภาพนั้นเป้นใครก็คงไม่มีใครอยากจะคุยด้วย อย่าว่าแต่คุยเลย แค่เห็นก็ไม่อยากแล้ว แต่ในเมื่อมันเป็น คำสั่ง ผมก็ไม่สามารถขัดได้ ผมพูดลอยๆไปในอากาศ เรียกให้เธอมา คุยกัน
      แม้ผมจะเป็นนคนเรียกเอง แม้ผมจะเตรียมตัวรอแล้ว แต่ตอนที่เธอค่อยๆแสดงตัวออกมานั้นก็ทำเอาผมอดตกใจไม่ได้ เผลออุทานออกไปด้วย เธอนั่งอยู๋ห่างจากผมพอสมควร เมื่อภาพที่เห้นตรงหน้าชัดขึ้น จากความกลัวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสาร ผมมองเธอด้วยความเวทนา ถ้าเขายังเป็น คน ผมคงน้ำตาซึมกับสิ่งที่เห็น
      ผมถามเธอไปไม่กี่ประโยค แล้วคำตอบที่ได้รับนั้นก็ไม่เกินกว่าที่คาดไปสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้รู้สึกเซ็งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ใช่ครับ มีคนส่งเธอมา(อีกแล้ว) เมื่อผมถามว่าทำไมต้องมารบกวนผมด้วย เธอบอกว่าผมไปยุ่งกับของของนายเธอ ผมคิดแล้วคิดอีกว่าผม ไปยุ่งตอนไหน ตอนนั้นผมคิดไม่ออกเลย
      เธอคนนั้นบอกว่า ตรงที่ผมเจอหมาวิ่งใส่ ผมก็ถึงบางอ้อทันที และก็ใช่อีกเหมือนกัน หมาตัวนั้นก็คือเธอคนนี้ ถ้าคนเคยได้ยินนะครับ พวกผีกะผีปอบที่พอจะมีวิชาหน่อย มักจะชอบแปลงมาเป็นม้า เป็นหมาตาแดงตัวใหญ่ๆ ประมาณนั้น
       เธอบอกผมว่าเธอถูกสั่งให้ เฝ้า ของตรงนั้นเอาไว้อย่าให้ใครมายุ่ง ตอนนั้นผมก็ฟังเฉยๆไม่ได้สนใจอะไร เมื่อได้ความกันแล้วเธอก็บอกว่า เธอจะกลับไปที่ของเธอ แต่ถ้าเธอโดนบังคับมาอีกก็ขอให้สงสารเธอ เพราะเธอไม่มีสิทธิ์จะไปขัดขืนอะไร ในขณะที่เธอกำลังจะจากไป
‘เดี๋ยวก่อน’
กระแสเสียงหนึ่งดังก้อง คราวนี้ไม่ได้ดังอยู่ในหัว แต่เป็นหูที่ได้ยิน และเห็นได้ชัดจากอาการลนลานของเธอตรงหน้า เธอก้มหมอบลงกับพื้น พร้อมกับความหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามาในตัวผม ผมรับร็ได้ในทันทีว่า ใครมา
‘เราจะช่วย’
เธอคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็ร้องไห้โฮยกใหญ่ มีแต่ผมที่ยังนั่ง งง อยู๋ จากนั้น ท่าน ก็เริ่มหันมาสั่งความผมแทน
       ในตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลย เพียงแค่ทำตามเสียงในหัวเท่านั้น เริ่มจากจุดธูปเทียนและกำยานในห้อง แล้วก็สวดมนต์ สวดยาวด้วย และที่น่าดีใจคือ เธอคนนั้นพยายามสวดตามอยู๋ข้างหลังห่างๆ ตอนแรกๆก็ระแวงเธอ แต่จากสิ่งที่เธอทำตอนนี้ ก็ทำให้เบาใจลงไปเยอะ
        หลังจากสวดมนต์เสร็จ ผมก็เดินไปหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้กินมาเปิดออก แล้วมานั่งสวดมนต์อีกครั้งที่หน้าพระ บวกกับการบูชาครูบาอาจารย์ รวมถึง ท่าน ด้วย แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีน้ำมนต์ที่ ปู่ ให้มาอยู๋ ก็เลยมาเทผสมลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทางเธอ ผมบอกเธอว่า เราจะกรวดน้ำให้นะ
        เธอค่อยๆเดินมาตรงหน้าผม ยื่นมือออกมาแตะที่น้ำที่ผมกรวดลงไป ในตอนแรกเธอดูทรมาน แต่ก็ดูสบายขึ้นในที่สุด จนสุดท้ายเธอก็ยิ้มออกมาได้ ครู่หนึ่ง บรรยากาศหนักอึ้ง ชวนขนลุกก็ก่อตัวขึ้นภายในห้อง เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่ชินเสียที
        ชายหนุ่มร่างกำยำในกระโจงแดง ปรากฏขึ้นตรงหน้า ก้มลงแสดงความเคารพหนึ่งครั้ง ไม่ใช่เคารพผมนะครับ แต่เป็น ท่าน ที่ยังอยู่ จากนั้นก็พาเธอคนนั้นออกไป  ก่อนจากไปเธอหันมายิ้มและกล่าวคำว่า ขอบคุณ
‘เรื่องนี้ยังไม่จบ เตรียมตัวไว้’
ผมถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้ง และกำลังที่จะเริ่มโทษฟ้าโทษดินปนประชด แต่ก็ถูกดุดักทางไว้ก่อนตามระเบียบ

ในวันต่อมา ผมไปเรียนตามปกติ แต่ก็ยังกังวลอยู่ว่าจะยังต้องทำอะไรไปมากกว่านี้อีก แต่ตั้งแต่เธอคนนั้นจากไปผมก็เบาตัว สบายตัวขึ้นเยอะมากๆ และแน่นอนว่าผมก็พยายามทบบวนอีกครั้งว่า ผมเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเมื่อไหร่ จนทำให้ตัวเองเดือดร้อนแบบนี้
          คิดทบทวนมาจนบ่ายก็ยังไม่ได้คำตอบ ผมเรียนจนเวลาล่วงมาจนเย็น ผมไปว่ายน้ำกับเพื่อนเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น เมื่อกลับถึงหอก็ทำให้เหนื่อยล้าจนหลับไปตั้งแตหัวค่ำ
         ในฝัน... ผมฝันว่าผมเดินเล่นอยู่บนถนนทางดินสายหนึ่ง เดินไปเรื่อยๆ ตามดินแดง จากนั้นทิวทัศน์ก็เปลี่ยนเป็นป่าเขาที่รกครึ้มไปด้วยแมกไม้เขียวขจี เมื่อเดินไปอีกนิดก็ได้ยินเสียงแว่วมาของ น้ำ
         สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างชำนาญทาง แม้ว่าสมองนั้นจะนึกอะไรไม่ออกเลย มีเพียงความรู้สึก คุ้นเคย และวางใจ ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าน้ำตกแห่งหนึ่ง น้ำตกนั้นสูงใหญ่ ตรพกานตา เมื่อมองลงไปเบื้องล่างที่เป็นธารน้ำลึกก็ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม จนรู้สึก เกรงใจ
        เมื่อมองไปยังน้ำตกให้ดีๆก็พบว่าที่หลังม่านน้ำตกนั้นมีโพรงขนาดใหญ่ เป็นถ้ำตั้งอยู่ ลึกเข้าไปในถ้ำนั้นมืดสนิทมองไม่เห็นทิวทัศน์ภายในแม้แต่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในใจ
‘เข้าไป’
สองเท้าก้าวออกไปตามความรู้สึกที่ชัดเจน เมื่อร่างกายเคลื่อนตัวผ่านม่านน้ำตก ความรู้สึกสดชื่น สบายกายสบายใจก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
        แม้จะมองไม่เห้นทางข้างหน้า แต่ร่างกายยังคงก้าวเดินไปอย่างมั่นใจว่า ที่นี่ไม่มีอันตราย เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่ง พื้นหินชื้นๆ ในถ้พเริ่มเปลี่ยนจากสีตระไคร่เป็นสีเขียวมรกต ส่องแสงแวววาว เมื่อมองไปตรงหน้าอีกครั้งก็พบกับเง่าร่างของงูใหญ่ตั้งตระหง่านอยู๋กลางถ้ำ เศียรทั้งเจ็ดนั้นให้ความรู้สึก กลัว และยำเกรง
       ดวงตาสิบสี่ดวงที่ทอประกายสีชาดสุกสกาว ผิวร่างกายที่ส่องประกายมรกรกตช่างงดงามเกินจะจินตนาการ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆก็พบว่า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเป็นเพียง อาสนะ ที่สร้างจากวัตถุธาตุที่ไม่เคยพบเห็นเท่านั้นเอง
      เมื่อไล่มองต่ำลงมาที่ลำตัว ลงมาจนถึงช่วงตัวที่ขดเป็นแท่นนั่งให้กับ ใครบางคน ใครบางคนบนนั้น ให้ความรู้สึกที่แปลกปประหลาด บรรยากาศที่คนนนั้นสร้างขึ้นให้สัมผัสของความเกรี้ยวกราด และ โทสะ แต่ภายในความรุนแรงนั้นก็ยังมีกระแสเย็นของความเมตตา และตบะจากการบำเพ็ญเพียร
       ชายชราที่ร่างกายดูกำยำเหมือนคนหนุ่มนั้นค่อยๆลืมตาขึ้น แววตานั้นดุดันน่าเกรงขาม โถงถ้ำค่อยๆสว่างขึ้น ด้วยแสงสีเขียวมรกตที่ส่องสว่างออกมาจากตัวถ้ำ แต่แหล่งกำเนิดแสงที่สว่างที่สุด คงเป็นร่างของชายชราผุ้นั้น
       ร่างกายของผมย่อตัวลงทำความเคารพด้วยความเคยชิน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ได้โอกาสที่จะเพ่งมองชายผู้นั้นอย่างตั้งใจ ชายชราผู้มีผิวพรรณผ่องใส ราวกับไข่มุก เครื่องนุ่งห่มทอประกายสีมรกต ขลิบด้วยสีทองสุกสว่าง ราวกับนั่นคือ เกล็ด ไม่ใช่สิ่งทอแต่อย่างใด แววตาที่ดุดันสีแดงชาด ขัดกับรอยยิ้มแสนอบอุ่นและดูใจดี ชฎาที่ประดับและตกแต่งด้วยเพชรนินจินดามากมายหลากหลายสี และรูปร่างของ เศียรพญานาคที่บรรจงทำอย่างวิจิตร
       ชายชราผู้นั้นเผยรอยยิ้มด้วยความเมตตา แล้วยื่นมือขวาออกมา เมื่อแบมือออกเผยให้เห็นพลอยเม็ดหนึ่งวางอยู่กลางฝ่ามือ พลอยเม็ดนั้นสีแดงสุกสกาวราวกับดวงตาของอาสนะอันสูงศักดิ์ พลอยเม็ดนั้นส่องแสงวาบ แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดไป
       ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทบทวนเรื่องราวในความฝันให้แน่ใจ เมื่อเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูก็พบว่าเป้นเวลากว่า 5 ทุ่มแล้ว ผมเดินออกจากห้องด้วยความหิว ผมขี่มอเตอร์ไซด์ไปรอบๆ ม. วนไปวนมาก็ไม่รู้จะกินอะไรดี ผมจอดรถไว้ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วเดินเลาะไปตามถนนเรื่อยๆ เผื่อว่าจะมีร้านไหนเข้าตาบ้าง
      เดินมาจนเกือบจะสุดทางผมก็ยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย จนตัดสินใจเลือกกินร้านอาหารตามสั่ง เอาง่ายๆ แค่ให้มันหายหิว แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านขายดอกไม้ เกิดความอยากได้ขึ้นมาในทันที
      ผมเดินไปหยิบพวงมาลัยมลิและดอกบัวมากำหนึ่ง แล้วขี่รถกลับหอไปพร้อมกับข้าวกล่องและดอกไม้ เมื่อไปถึงห้องก็จัดการกับข้าวนั้นจนอิ่ม อาบน้ำอาบท่า แล้วก็เตรียมตัวมาสวดมนต์ โดยไม่ลืมที่จะหยิบดอกไม้ที่แช่ไว้ในตู้เย็นมาถวายพระด้วย
     ผมสวดมนต์ตามปกติ จนถึงเวลาทำสมาธิ ผมทำสมาธิเหมือนทุกๆครั้ง เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง จิตเริ่มเข้าสู่สมาธิ ดิ่งลงสู่ห้วงของความเงียบ เหลือเพียงเสียงวิ้งๆอยู่ในหูเทานั้น จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท เมื่อจิตเป็นสมฺ เมื่อสติเราละเอียดขึ้น ก็เปิดการเปิดเครื่องรับ ให้ตรงกับ เครื่องส่ง
‘ไปยังสถานที่เดิม ไปอีกครั้ง ไปช่วยเขา เอาน้ำมนต์ไปด้วย’
ประโยคสั้นๆที่ก้องอยู่ในสติสัมปชัญญะ ผมรับรู้และเข้าใจในความหมายนั้น แม้จะยังไม่รู้ว่า ต้องไปเจอกับอะไร แต่ ตัวรู้ ก็ทำหน้าที่ของเขา
      เรารู้ว่า เราต้องทำอะไร ต้องเตรียมอะไร ผมเดินไปหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้กินมาเปิดขวดวางไว้ที่หน้าพระ เดินออกไปที่นอกระเบียงห้องเด็ดใบจากต้น ธรณีสาร มากำหนึ่ง ใส่ลงไปในขวดน้ำ จากนั้นหยิบผงธูปผงกำยานที่เก็บสะสมไว้ ใส่ลงไป สายตาเหลือบไปเห็นน้ำมนต์ที่ได้มาจากปู่ใส่ลงไปผสมเพิ่ม และของอย่างสุดท้าย เหรียบพญานาคที่ได้มาโดนบังเอิญ เป็นเหรียญเก่าซึ่งได้มาโดยบังเอิญ
         เมื่อส่วนผสมทุกอย่างถูกใส่ลงไปในขวดน้ำหมดแล้ว สิ่งที่ทำต่อมาคือการสวดมนต์ ผมหลับตาสวดมนต์ไปสักพัก ลิ้นก็เริ่มพันกัน มึนๆหนักหัว เป้นสัญญาณของการแทรกแซงจากเบื้องสูง ผมปล่อยทุกอย่างเป็นไปอย่างไม่มีการฝืนใดๆ
         ครู่หนึ่งผมตื่นขึ้นจากภวังค์ พร้อมกับ คำสั่งต่อไป ภายในหัว ผมออกเดินทางไปยังที่นั่นในทันที ท่ามกลางความมืดของท้องฟ้า ไม่มีแสงจันทร์ หรือแสงดาวใดๆนำทาง มีเพียงแสงไฟสลัวๆตามตึกแถวที่ยังสว่างอยู่
         ผมจอดรถในมุมที่ไม่มีคนเท่าไหร่ แล้วค่อยๆแอบเดิไปในความมืดเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น แต่ความมืดนั้นก็สร้างอุปสรรคให้ผมมิใช่น้อย ผมค่อยๆเดินไปตามทางเดิน
กริ๊ง....
เสียงกระพรวนข้อเท้าลอยมาตามลม เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็พบกับเธอคนเดิม คราวนี้เธอหันมายิ้มให้ผมอย่างใจดี แล้วหันหลังเดินนำผมไป แสงสว่างอ่อนๆจากตัวเธอทำให้รอบข้างมองชัดขึ้นมาบ้าง
       ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงที่เดิม ที่ที่เกิดเรื่องราวนั้นขึ้น ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อจะนำสิ่งที่อยู่ใต้ดินนี้ขึ้นมา ผมลองใช้มือขุดดู แต่ความแข็งของดินเป็นอุปสรรคอย่างมาก
       ผมมองไปที่ขวดน้ำในมือ ตัดสินใจ เปิดขวดแล้วราดน้ำลงไปบนดิน น้ำจากขวดค่อยๆไหลซึมลงไปในดิน แล้วดินก็ค่อยๆอ่อนลง แล้วไหลลงมาต่ำตามความลาดชันของพื้นที่ เมื่อน้ำไหลไปหมดแล้วก็เผยให้เห็นของที่ถูกฝันอยู่ตรนั้น
       หุ่นขี้ผึ้งขนาดใหหญ่พอประมาณ ถูกบรรจงวางไว้ในกรอบดิน ล้อมรอบด้วยเศษผ้าสีขาวๆ มีคราบน้ำเหลืองน้ำหนอง พร้อมๆกับอักขระลวดลายประหลาดอ่านไม่ออก ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ความโกรธภายในใจเริ่มก่อตัวขึ้น
‘จัดการมันซะ’ กระแสเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท กระแสเสียงที่ดุดันรุนแรง กระแสเสียงของคนที่เด็กนิสิตในมหาวิทยาลัยเรียกว่า พ่อ
       มือข้างถนัดที่สวมแหวนอยู่ถูกฟาดลงไปในดินนั้นอย่างแรงโดยไม่กลัวว่าจะเจ็บแม้แต่น้อย ทันทีที่กำปั้นสัมผัสกับตัวหุ่นขี้ผึ้ง ลมวูบหนึ่งก็ปะทะเข้าที่หน้าอย่างแรงพร้อมกับกลิ่นเหมือนของเดรัจฉานวิชาที่น่ารังเกียจ ผมกดมือค้างไว้อย่างนั้นครู่หนึ่งพร้อมกับบทสวดบทหนึ่งที่ผมท่องออกมาอย่างชำนาญ แต่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สิ้นเสียงจากลำคอ ตุ๊กตาตัวนั้นก็แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
‘อือ.... อือ....’
เสียงครวญครางของคนจำนวนมากดังอยู่รอบๆตัวผม จากนั้นเริ่มค่อยๆฟังชัดเป็นศัพท์ เสียงนั้นเริ่มกลายเป็นคำพูด เมื่อมองไปรอบๆก็พบว่าตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมรอบผมอยู่
        เงาร่างของทหารไทยโบราณหลายสิบคนยืมล้อมรอบผมอยู่ ทุกคนดูเจ็บปวด และอ่อนแรง ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็ทำให้หงุดหงิดไม่น้อย มีใครบางคนพยายามที่จะ จับวิญญาณ ของทหารเหล่านี้ ไปเลี้ยง ไปเป็นทาสรับใช้ ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นพวกมีวิชา
        ผมสะดุ้งรู้สึกตัวได้ว่า เขาพวกนั้น ไม่ไปไหน เขาไม่มีทางไป แล้วผมจจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้พวกเขาพ้นจากสภาพนี้ ผมไม่เคยนำทางใครแบบนี้เสียที
‘มาทางนี้’
เสียงอันหนักแน่นดังก้องไปทั่วบริเวณ ที่มาของเสียงนั้นประทับอยู่บนแท่นอันทรงศักดิ์ ร่างกายกำยำ พร้อมชุดรบที่บ่งบอกถึงวรรณะกษัตริย์ โลหะที่ถูกชุบสีดำสนิทแวววาว ลวดลายสีทองอร่ามงดงามและน่าเกรงขาม
      เงาร่างขอทหารเหล่านั้น หันไปมองด้วยความดีใจ และรีบวิ่งไปทางต้นเสียงนั้นทันที เมื่อไปถึง เหล่าทหารทั้งหลายก้มตัวลงกราบ พร้อมกับร่ำไห้ด้วยความดีใจ เงาร่างเหล่านั้นค่อยๆหายไป พร้อมกับคำตรัสสั้นๆของเจ้าของเสียงอันน่าเกรงขาม
‘คนของเรา เราจะรับฝากไว้เอง จนกว่าจะถึงเวลาของพวกเขา’
      ผมกราบท่านหนึ่งครั้ง แล้วหันกลับมาจ้องมองเศษซากอันน่ารังเกียจบนพื้นดิน ผมโยนไฟแช๊กลงไปในหลุมนั้นอย่างแรงจนเกิดเป็นไฟลุกไหม้อยู่ภายใน โดยที่เปลวไฟนั้นไม่ลามออกมาข้างนอกแต่อย่างใด ไฟในนั้นโหมแรง สงเสียงให้ได้ยิน กลิ่นเหม็นเน่าเหม็นไหม้ลอยขึ้นมาในอากาศ จดทุกอย่างมอดไหม้เหลือเพียงเถ้าตอตะโกสีดำๆ ผมเอาดินรอบๆกลบ แล้วเดินไปกรอกน้ำใส่ขวดมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนค่อยๆเทลงไป
‘ขอแม่ธรณีช่วยรับฝากสิ่งเลวร้าย อาถรรพ์อวิชชาต่างๆให้จมลงสู่ดิน ขอแม่คงคาชำระล้างปัดเป่าผืนดินให้สะอาด ขอท่านทั้งหลายจงนำทางวิญญาณที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พบ แสงสว่าง เบื้องหน้าด้วยเถิด’
..............................................................................
จบแล้วครับ

สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ขอเกริ่นและย้ำไว้อีกสักครั้งหนึ่งก่อนว่า เรื่องราวทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่อยู่บนความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และเสพย์สื่อ เนื้อหาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการ หลอกลวง มอมเมา หรือว่าแสวงหาผลประโยชน์ใดๆจากตรงนี้ ประโยชน์เดียวที่ผมหวังไว้ก็คือ ระลอกน้ำเล็กๆบนผิวน้ำนี้ จะสะกิดใจใครได้บ้าง ก็เท่านั้น
           เรื่องนี้เป็นเรื่องล่าสุดที่เกิดขึ้นกับตัวผมและคนรอบข้าง ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมบอกว่า ผมจะไปออกค่าย สัก 2 3 วัน นั่นแหละครับ เรื่องราวมันเกิดตั้งแต่ตอนนั้น ค่ายที่ผมไปจัดกันนั้น เป็นค่ายที่เปิดโอกาสให้กับโรงเรียนด้อยโอกาสตามที่ห่างไกล โครงการนี้สืบต่อกันมาทุกๆปี โดยปีนี้ ชั้นปีของผมได้รับมอบหมายให้เป็น แม่งานหลัก
            โดยที่เรื่องนี้จะต้องเท้าความไปตั้งแต่ก่อนจะตกลงเลือกสถานที่กัน โดยการเลือกสถานที่นั้น พวกผมจะเป้นคนหาข้อมูล วิธีการติดต่อกับโรงเรียนนั้นๆ และนำมาเสนอให้อาจารย์ที่ภาควิชาเป้นคนตัดสินใจในการเลือกสถานที่ เมื่อได้สถานที่มาแล้วนั้นเราก็จะเริ่มดำเนินการ วางแผนกัน
            ในวันที่ต้องส่งคนดูสถานที่ล่วงหน้าก่อน เพื่อครวจสอบดูว่าที่นั่น ขาดเหลืออะไรบ้าง เราจะไปทำอะไรได้บ้าง ความพร้อมที่เราจะไปพักกัน เพราะต้องนอนค้างแล้วก็มีน้องๆปี 1 ปี 2 ที่เราต้องดูแลอีก ในวันที่ไปสำรวจสถานที่นั้น ตัวผมติดเรียนจึงไม่สามารถไปด้วยได้ พี่เจ้าหน้าที่ที่ภาคก็มาคะยั้นคะยอให้ผมไปด้วย เพราะพี่เขาก็ไม่มั่นใจ พื้นที่แถวนั้นก็มีประวัติมีเรื่องเล่ากันมานาน
            จนสุดท้ายผมไม่สามารถขาดเรียนได้ และทีมงานคนอื่นๆก็ไม่สามารถเลื่อนวันได้เลยเช่นกัน ผมจึงไม่ได้เดินทางไปด้วยในครั้งนั้น ผ่านไป 2 3 วัน เมื่อทุกคนว่างตรงกันแล้วพวกเราก็เริ่มที่จะมาประชุมหารือกันว่า เราจะต้องทำอะไรกันบ้าง โดยปกติแล้วคนที่เข้าประชุมก็จะมีคนที่มีหน้าที่หลักๆอยู่ประมาณ 10กว่าคน ผมคือหนึ่งนั้น
           ผมได้รับหน้าที่ให้เป็น พ่อครัว เพราะไม่มีใครทำกับข้าวได้เลยนอกจากผม แต่ก็มีคนมาขอร่วมเป็นฝ่ายครัวอยู่หลายคน เราคุยกันไปมาเรื่องการจัดกิจกรรม จนมาถึงส่วนของ ฐานกิจกรรม เพื่อนที่ไปสำรวจสถานที่มาวาดรูปร่างแผนผังของโรงเรียนนั้นอย่างคร่าวๆ เท่าที่ตัวเองจำได้
          ทุกคนช่วยกันคิดช่วยกันวางแผนว่าจะเอากิจกรรมอะไรลงตรงไหนอย่างไร ในตอนนั้นผมก็ร่วมด้วยช่วยเพื่อนในการคิดแต่ เมื่อมองไปยังแผนที่ที่เพื่อนวาดให้นั้นผมก็รู้สึก สะกิดใจแปลกๆ เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่เพื่อนไม่ได้วาด อะไรบางอย่างที่ชวนให้ไม่สบายใจ
‘ตรงแถวๆนี้มันเป็นอะไรหรอ จำได้ไหม’ ผมถามเพื่อนพร้อมกับชี้ลงไปบนกระดานไวท์บอร์ด
‘ไม่แน่ใจอะ จำไม่ได้ มันห่างจากโรงเรียน เลยไม่ได้สนใจ’
          คำตอบของเพื่อนไม่ได้ทำให้ผมสงสัยน้อยลงเลย ผมยังนั่งมองไปยังแผนผังนั้นด้วยความรู้สึกว่า ‘มันต้องมีอะไรสักอย่าง’ ผมค่อยๆมอง ลองนึกดูว่าจะเป็นอะไรได้บ้าง สงสัยว่าผมจะหน้านิ่วคิ้วขมวดจนเกินไป ทำให้เพื่อนคนนึงในห้องนั้นถามขึ้นมา
‘มันมีอะไรรึเปล่า ทำไมถึงดูติดใจขนาดนั้น?’
            ผมตอบเพื่อนไปว่า ผมไม่รู้ รู้แต่ว่ามันคาใจแปลกๆ ผมยืมปากกาไวท์บอร์ดจากเพื่อน แล้ววงกลมลงไปตรงบริเวณที่ผม สนใจ บริเวณที่ผมวงลงไปนั้นจะมีหลักๆอยู่สามที่คือ หน้าโรงเรียน ห่างจากตัวโรงเรียนพอสมควร หลังโรงเรียน แล้วก็บริเวณรั้วโรงเรียนเป็นที่สุดท้าย ผมเรียกให้เพื่อที่ได้ไปสำรวจพื้นที่มาก่อนดูอีกครั้ง
            คำตอบจากเพื่อนของผมก็ยังคงเหมือนเดิมคือ จำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ความรู้สึกในใจก็ยังชัดเจนไม่หายไป จะว่าคิดมากไปเอง มันก็แปลกๆ
‘ลองเปิด google earth สิ’ เพื่อนของผมอีกคนนึงพูดขึ้นมา
            ผมบอกให้เพื่อนคนนั้นเปิดดูให้หน่อย เพราะผมไม่เคยใช้ (ตอนนี้ใช้เป็นแล้ว ไปส่องที่นั่นที่นี่สนุกดีครับ เหมือนได้ไปเที่ยวเลย) เพื่อนผมเปิดปผนที่จากมุมสูงให้ดูก่อน ซึ่งมันก็มองได้ไม่ชัดเท่าไหร่เลย มบอกเพื่อนว่า ซูมเข้าไปเยอะๆเลย จนสุดท้ายเพื่อนก็เปิดแบบ street view ให้ดู
           โชคดีที่บริเวณตรงนั้นมีภาพ street view ให้ดู เพราะบางพื้นที่ก็ไม่มี ผมเลื่อนดูไปเรื่อยๆ ตอนแรกๆเพื่อนก็มารุมกันดูเพราะอยากเห็นสถานที่ที่เราจะไปกัน จะได้เอามาช่วยคิดตัดสินใจในการจัดกิจกรรม
          เมื่อเพื่อนๆได้สิ่งที่ต้องการหมดแล้วก็เหลือแค่ผมที่ยังคงใช้ปลายนิ้วลากไปมาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อเลื่อนไปดูตำแหน่งที่ผม สนใจ ผมเลื่อนไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่ที่ผมสนใจ และวงไว้บนกระดาน
         ผมตกใจเล็กๆแต่ก็เงียบๆไว้ก่อน เพราะคิดในแง่ดีว่ามันอาจจะ ไม่มีอะไรก็ได้ ตอนนั้นผมไม่ทันได้สนใจว่ามีเพื่อนนั่งอยู่ข้างๆแล้วดูหน้าจอไปพร้อมๆกับผมด้วย จนผมได้ยินเสียงเพื่อนอุทานออกมาว่า
‘ช.ห. แล้ว’
         คงไม่แปลกที่เพื่อนผมจะอุทานอย่างนั้นออกมา เพราะภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์แสนแพงนั้นคือ ภาพของ เมรุเผาศพเก่าๆ ที่เหมือนไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ รอบข้างมีต้นไม้พงหญ้า รกครึ้ม และถัดไปอีกหน่อยเป็น ป่าโกฎิใส่กระดูกเรียงรายกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ
           ไม่แปลกที่เพื่อนคนที่ไปสำรวจสถานที่มาจะไม่ได้สนใจ เพราะสถานที่ตรงนี้อยู่ห่างจากตัวโรงเรียนพอสมควร แต่เพราะหน้าโรงเรียนเป็นสนามหญ้ากว้างมากๆ ทำให้พื้นที่ตรงนั้นก็คือเป็น ที่ติดโรงเรียนเหมือนกัน ผมยังนั่งมองรูปนั้นอยู่แต่เพื่อนผมคงตกใจและคิดไปไกลมากแล้ว
‘มริง เปลี่ยนที่ทันป่าววะ’
            เมื่อเพื่อนผมหลุดปากออกมาอย่างนั้นก็ทำให้ทุกคนในห้องชมรมนั้นเงียบ และพร้อมใจกันเดินมารุมดูภาพที่ผมดูอยู่ ทุกคนเห็นตรงกันว่า ไม่น่าไว้ใจ เพราะโครงการนี้ก็มีประวัติมาทุกปี ไม่ว่าจัดมากี่ปี่ต่อกี่ปี ก็ต้องเจอดี มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอด ย้อนไปสมัยก่อนรุ่นผมสองสามรุ่น เห็นเล่ากันว่าหนักถึงขั้น มาเข้า มาสิงคนในค่ายกันเลยทีเดียว
           เพื่อนถามผมว่า เป็นไงมั่ง ไหวไหม มีอะไรไหม ผมก็บอกว่าตอนนี้ไม่รู้เลย เพราะทางนั้นเข้าไม่ยอมคุยด้วยเลย ซึ่งมันก็แปลกๆแล้ว เพื่อนๆผมเจอเรื่องราวแบบนี้กับผมมาเยอะก็คงพอจะเดาได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ เพื่อความสบายใจของทุกคน ประธานโครงการนั้นก็คือเพื่อนผมนั่นแหละ จึงอาสาไปคุยกับ พี่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโครงการนี้ เผื่อจะเปลี่ยนสถานที่ได้บ้าง
           ผมโดนลากมาด้วยตามระเบียบเพื่อเป็นเหตุปละผลในการมาคุย ซึ่งมันก็ดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ แม้ว่าพวกผมจะเรียน คณะวิทยาศาสตร์ที่ใช้ชีวิตและตรรกะอยู๋บนนความจริง เหตุและผล การพิสูจน์ต่างๆ แต่ก็ปฏิเสธิไม่ได้ว่า เรื่องราวพวกนี้มักเกิดขึ้นกับพวกผมบ่อยๆ
          เพื่อนผมเดินเข้าไปคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ ดีที่พี่คนนี้สนิทกับพวกผมอยู่ก่อนแล้วทำให้การเจรจาง่ายขึ้น เมื่อเพื่อนผมเล่าให้พี่เขาฟังถึงความไม่สบายใจที่มี พี่เขาก็ทำท่าตกใจเล็กๆ แล้วเดินไปปิดประตูห้องทำงาน แล้วก้คุยกับพวกผมว่า
‘พี่ว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไร เพราะวันที่พี่ไปสำรวจสถานที่พี่รู้สึกไม่ดีกับที่นี่มากๆ มันขนลุกยังไงก็ไม่รู้ พี่เสนอไปแล้วว่าให้เปลี่ยน แต่ก็โดนปฏิเสธิมา เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาหาสถานที่ไปมากกว่านี้’
            คำตอบของพี่เขาชัดเจนคือ เปลี่ยนไม่ได้ ผมมองหน้ากับเพื่อนแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน พี่เจ้าหน้าที่คนนี้ก็เป็นคนเข้าวัดทำบุญสม่ำเสมอ พื้นฐานมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมและผ่านมาบ้าง ทำให้พอจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของพื้นที่ในวันที่ไปสำรวจ พี่เขาบอกแค่เพียงว่า คงเปลียนไม่ได้หรอก แต่ขาดเหลืออะไรให้รีบมาบอกจะช่วยเต็มที่ ถ้าต้องใช้ข้าวของเครื่องเซ่นหรืออะไรก็จะช่วยเหลือ
          ผมเดินกลับมาที่ห้องประชุม แล้วก็บอกกับเพื่อนๆว่า ผมจะลองหาทางทำอะไรสักอย่างดูละกัน เพราะตอนนี้ก็ไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง
...................

ผมกับเพื่อนๆนั่งกันอยู่ในห้องชมรมด้วยความกังวลเล็กน้อย ผมก็พูดอ้อมๆกลบเกลื่อนไปเพื่อไม่ให้เพื่อนต้องกังวลใจอะไรกันมากนัก ผมไล่ให้เพื่อนไปคิดงานกันต่อ ส่วนผมก็รับเรื่องนี้มาจัดการเองคนเดียว
         ระหว่างที่เพื่อนๆนั่งคุยงานกันต่อไปนั้น ผมเดินออกมาข้างนอกห้อง เพื่อมาหาที่เงียบๆ เพราะอยาก ลอง ที่จะคุยกับทางนู้นดู เผื่ออะไรๆจะง่ายขึ้นมาบ้าง
       ผมหลับตาแล้วนึกถึงภาพสถานที่ที่เห็นนั้นจากรูปภาพ ภาพค่อยๆชัดขึ้นๆ พร้อมๆกับความรู้สึกเหมือนทุกๆครั้งที่ผม ทำอะไรสักอย่าง สมาธิเกิดขึ้น แวดล้อมรอบข้างเริ่มเงียบไปจากโสตประสาท ครู่หนึ่งก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏให้เห็นในความคิด ร่างนั้นใหญ่โต นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง คาดว่าน่าจะทำมาจากหิน
‘ท่านต้องการอะไรบ้าง เพื่อเป็นการขออณุญาติ’
ผมถามออกไปด้วยความนอบน้อม เพราะไม่รู้เลยว่า ร่างที่ปรากฏอยู่นั้น เป็นใคร
‘กลับไปเถอะ เราไม่อยากสนทนาด้วย’
         เมื่อสิ้นสุดประโยคผมก็ถูกผลักออกมาจากตรงนั้น และไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ความกังวลใจของผมเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ โดนปฏิเสธิ
         ในคืนนั้นผมนอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร ผมจึงหลับตานอน เผื่อว่าวันรุ่งขึ้น อะไรๆมันจะพอมีทางออกมากกว่านี้
         ในวันต่อมา อยู่ดีๆก็มีเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องที่ไม่คาดคิด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่หนักหนาพอสมควร เป็นเรื่องของ พ่อเพื่อน รวมไปถึงที่บ้าน ที่อยู๋ดีๆก็เสียญาติติดๆกันไปหลายคน แล้วพ่อก็ประสบอุบัติเหตุหนัก ถึงขั้นจะต้องผ่าตัดกันหลายที่ ตัวผมทราบข่าวมาก่อนบ้างแล้ว แต่ไม่ได้รับรายละเอียดอะไรจนเพื่อนมาปรึกษา ก็ทำให้ผม ตกใจไม่น้อย
         ผมขออณูญาติเพื่อน แล้วเอื้อมมือไปจับที่มือของเธอ บอกเธอว่า ขออณุญาตินะ เพราะว่าผมไม่รู้จักญาติที่บ้านเธอเลย รูปก็ไม่มี สถานที่ก็ไกลจึงต้องอาศัยผ่านคนสนิท
        ผมค่อยๆหลับตาลงแล้วมองหา บ้าน และครอบครัวนั้นผ่านตัวของเธอ ในตอนที่ผมกำลัง มอง อยู่นั้นเธอก็บอกว่ารู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันทีเหมือนจะอ้วก ผมก็ไม่ได้สนใจแล้ว มองต่อไป ครู่หนึ่งผมก็รู้ถึงสาเหตุในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่มันก็หนักเกินไป ผมไม่กล้าที่จะจัดการด้วยตัวเอง เพราะมันก็ชีวิตคนคนนึง ผมจึงตัดสินใจชวนเธอไปหาปู่
       เหมือนเป็นจังหวะพอดี ผมกับเพื่อนๆไปกันหลายคน เพราะเป้นห่วงเพื่อนผญคนนี้ เธอเป็นคนดีน่ารัก เลยมีเพื่อนเป็นห่วงเป็นใยกันเยอะ
       หลังจากที่ปรึกษาปู่เรื่องของเธอเสร็จแล้ว ผมก็ได้โอกาสเหมาะพอดีที่จะถามปู่บ้าง ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ปู่ฟัง รวมถึงเอารูปสถานที่ให้ดู ทันทีที่ปู่เห็นรูป ปู่ก็ทำตาโตแล้วเกาหัว
‘ปู่เคยไปมาแล้วที่ แรง!’
            ผมและเพื่อนๆตกใจกันไปตามๆกัน เพราะทุกคนก็ต้องไป ปุ่หันมาหาเพื่อนผญคนนั้นแล้วบอกว่า เอ็งห้ามไป ไปแล้วหนักแน่ แค่นี้ก็ดวงตกจะแย่อยู่แล้ว แต่ดีที่เธอไม่ได้จะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะต้องรีบกลับบ้านไปดูแลพ่อ พวกผมคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็ได้ความว่า
           ที่ตรงนั้นแรงมาก เขาอยู่มานาน แล้วก็ไม่ชอบสุงสิงกับใคร การจะคุยคงเป้นเรื่องยาก ผมจึงถามว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงกันดี เพราะยังไงก็ต้องไป เลี่ยงไม่ได้จริงๆ
‘เดี๋ยวปู่ไปคุยให้’
ปู่ออกปากแบบนั้นทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมา แต่ก็ได้เพียงครู่เดียว เพราะเมื่อคิดดูดีๆแล้ว การที่จะให้ปู่ไปนั้นมันก็ไม่สะดวกสักเท่าไหร่ เพราะปู่ก็อายุเยอะแล้ว ให้ขับรถไกลๆก็เป็นห่วงถึงปู่จะดูแข็งแรงผิดจากคนอายุเท่านี้ทั่วๆไปก็เถอะ(แข็งแรงจนผมงง ในตอนรู้จักกันใหม่ๆ) แล้วอีกประเด็นสำคัญเลยก็คือ ถ้าปู่ไป อาจารย์ทั้งหลายก็อาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะผมเรียนอยู่คณะวิทย์ อาจารย์ก็ดอกเตอร์ทั้งนั้น การจะคุยเรื่องพวกนี้มันก็เป้นเรื่องยาก
           คุยไปคุยมา ปู่บอกว่าปู่จะไปเอง ไปก่อนวันนึงแล้วกลับเอง พวกผมไม่ต้องไป พวกผมเกือบสิบคนตอบพรร้อมกันอย่างไม่ต้องนัดหมาย ไม่เอาครับ! จะให้ปู่ไปกลับเองคนเดียวแบบนี้น่าเกลียดตาย เป็นเด็กแต่ต้องให้ผู้ใหญ่มาลำบอก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า พวกผมจะทำกันเอง โดยเอาผมเป็นแกนนำ แต่ตัวผมก็ต้องเตรียมพร้อมสักหน่อย
          เมื่อได้ข้สรุปแล้วก็ลากลับ ม. ทันทีเพราะมันก็เริ่มมืดแล้ว พวกผมมานั่งจดรายการว่าต้องใช้อะไรบ้าง ส่วนนึงมาจากที่ปู่บอก อีกส่วนหนึ่งมาจาก ท่าน บอก
          ในวันรุ่งขึ้นผมไปเรียนกันตามปกติ ผมนั่งเล่นกันอยู่หน้าห้องแลปเพราะทำแลปเสร็จแล้ว อยู่ดีๆก็มีเพื่อนเดินมาหาผม แล้วบอกว่า มีอ.เรียกไปหา ผมก็ งงๆ พยายามนึกว่าเราไปทำอะไรผิดพลาดไปรึเปล่า
          เมื่อไปถึงแล้ว ความที่ได้มานั้นก็ทำเอาผมตกใจเล็กๆ นั่นคือ อาจารย์กำชับว่า ให้ทำอะไรให้มันถูกมันต้อง ต้องทำอะไร ต้องทำอย่างไร ทำเลย ไม่ต้องสนใจใคร เอาความปลอดภัยไว้ก่อน  ผมรับปากแล้วก็กลับมาอย่าง งงๆ
          ในวันต่อมาผมนั่งอยู่หน้าตึกในเวลาเย็นๆ อาจารย์อีกคนที่รู้จักกันกำลังจะกลับบ้าน ก็แวะมาคุยมาถามว่า เรื่องเจ้าที่เป็นอย่างไรบ้าง ต้องทำอะไรยังไงไหม ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็บอกนะ เอาให้มันเรียบร้อย
           ผมเริ่มกังวลใจนิดๆแล้วว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าเนี่ย เพราะมีหลายต่อหลายคนเป็นกังวล ผมจึงมานั่งสำรวจอีกทีว่ายังขาดเหลืออะไรหรือไม่ เพราะรถจะออกพรุ่งนี้เช้าแล้ว
          ใกล้ๆค่ำผมขับรถอยู่ตามปกติ ก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากคนใกล้ชิด เป็นการพูดคุยถามไถ่กันตามปราแม้ว่าจะอยู๋ที่เดียวกันแต่ก็ไม่ได้เจอกันเลย พี่เขา ก็โทรมาชวนไปหาอะไรกินกันตามปกติ แต่ผมก็ต้องฏิเสธไป เพราะว่าต้องเตรียมตัวจะไปค่ายในวันรุ่งขึ้น พี่เขาก็วางสายไป
           ครู่เดียวไม่เกินนาที พี่เขาก็โทรกลับมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ปนความไม่สบายใจนิดๆ
‘แกไปรอบนี้ พกข้าวของไปให้ครบๆหน่อยนะ เอาออพชั่นเยอะๆ มันไม่สบายใจยังไงไม่รู้ว่ะ’
ผมได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไปแปปหนึ่ง เพราะพี่คนนี้ก็ช่วยเหลือกันมาก็หลายเรื่อง เรื่องพวกนี้ก็ช่วยเหลือกันมา และทุกครั้งที่พี่คนนี้เกิดสังหรณ์อะไรขึ้นมา หรือไม่สบายใจอะไรขึ้นมา ก็ไม่เคยที่จะพลาดเลยสักครั้ง
           ในคืนนั้น ด้วยความไม่สบายใจของผมเอง ผมจึงนดกับเพื่อนที่สนิทกันทุกคน ว่าให้ไปเจอกันที่ลานสมเด็จ เพราะปกติจะไปไหว้กันตลอดเวลาจะออกไปทำอะไรนอก ม แต่คราวนี้มันฉุกละหุกมาก อะไรๆก็ดูเร่งรีบไปซะหมด เพื่อนจึงลืมส่วนนี้ไป
           จากที่เรานัดกันไม่กี่คน ไปๆมาๆก็ได้มาเกือบทั้งชั้นปี ทุกคนเจอมาเยอะ ทุกคนรู้งานดี ทุกคนมาพร้อมกัน และพกธูปพกพวงมาลัยกันมาคนละชิ้นสองชิ้น เหมือนรู้ว่าต้องทำอะไรกันบ้าง
           ผมจุดธูป แล้วมานั่งนิ่งๆมองพระรูปของท่านอยู่ครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกใจเรายังไม่นิ่งพอที่จะไหว้ จะขออะไรตอนนี้ ไหว้ไปตอนนี้ก็เหมือนไหว้ส่งๆ ไม่ให้เกียรติท่าน ผมนั่งหลับตานิ่งๆ ทำใจให้สบาย ทิ้งเรื่องราวทุกอย่างไปก่อน เอาหน้าที่ตรงหน้านี้ก่อน สิ่งที่ต้องทำก่อน
           ผมสัการะท่านอย่างตั้งใจพร้อมกับขอให้ท่านคุ้มครอง ให้ทุกคนที่จะเดินทางไปนั้น ปลอดภัย ในตอนที่ผมจรดธูปขึ้นหัวนั้นก็ได้ยินเสียงก้องกังวานอยู๋ในหัว
‘เราจะช่วย แต่ก็ต้องอย่าประมาทนะ’
ผมอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกังวลอยู่ ตอนออกมาจากลาน แฟนผมเอารูปให้ดูตอนที่ผมกำลังไหว้อยู่ ก็มีอะไรแปลกๆนิดหน่อย ตรงที่ รอบๆนั้นไม่มีควันธูปเลย ปกติควันจะฟุ้งไปทั่วบริเวณ แต่ควันธูปจำนวนมากนั้น วนอยู่รอบๆตัวผมเป็นก้อนๆ
            แล้วเช้าวันเดินทางก็มาถึง ผมไปรอบหลัง เป็นรอบสาย 9 โมง เพราะรอบแรกรถเต็มแล้ว อีกอย่างผมก็ต้องหาซื้อเครื่องเซ่นพวกกับข้าวขนมไทยในตอนเช้าด้วย แล้วก็มีปัญหาตั้งแต่ยังไม่ได้ไปเลยครับ ผมให้เพื่อนเอาหมูไปก่อน เพื่อให้ไปต้มทำเครื่องเซ่น เพราะมันใช้เวลา ให้ผมไปต้มเองมันจะไม่ทันไหว้ แต่ปรากฏว่าเพื่อนก็ลืมครับ ลืมเอาหมูไปด้วย ลืมทุกอย่างที่ต้องใช้ไหว้ บางอย่างนี่ถึงขั้นลืมซื้อ
             เป็นหน้าที่ผมกับเพื่อนอีกคนที่ต้องวนรถหารอบๆ ม. ซึ่งในเวลาเช้าๆแบบนี้ก็ไม่ค่อยจะมีร้านอะไรเปิดเท่าไหร่ด้วย แต่สุดท้ายก็หามาได้จนครบทุกอย่าง เสียเวลาไปไม่ใช่น้อยดีที่รถเขารอผม เพราะรอบหลังมีกันแค่ไม่กี่คน ส่วนมากเป็นหน่วยครัว และหน่วยผี(คือเพื่อนกลุ่มผมมักจะโดนลากเข้าไปยุ่งกับผีๆสางๆอยู่เสมอๆ เลยโดยเรียกเหมารวมว่าหน่วยผี 55)
             ผมไม่ได้หลับไปตลอดทางการเดินทางนั้นเพราะคิดอยู่เสมอว่าต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมพอสมควร เมื่อไปถึง สิ่งแรกที่เห็นทำเอาผมหนาวสันหลังวาบ ในรูปที่เห็นจากโทรศัพท์นั้นมันมีเมรุเก่าๆอยู่แต่รูปนั้นประมานปีกว่าแล้ว พอมาเห็นของจริง มันเก่ากว่านั้นอีก แล้วที่น่ากลัวกว่าก็คือ ข้างๆเมรุเก่านั้น มีร่างผอมแห้ง หนังติดกระดูก มือเท้าใหญ่ผิดปกติ ร่างกายสูงโปร่งๆ นั่งกอดเข่าอยู่ใกล้ๆ ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นทำเอาผมใจคอไม่ดี ก็ได้แต่หวังว่า มันจะห่างจาก โรงเรียนที่เราไปกัน
             ไม่ถึงหนึ่งนาทีความหวังของผมก็พังทลายลงในพริบตา เพราะห่างออกมาจากตัวเมรุไม่ถึงนาที ก็เลี้ยวเข้าโรงเรียนเลย มองจากโรงเรียนมาก็เห็นเมรุ
‘มันมีอะไรใช่ไหม ไม่ต้องบอกกรุนะ มิงเงียบไว้เลย’
เพื่อนผมดักคอผมไว้ก่อนเลย เพราะมันขี้กลัว

เมื่อเข้ามาในโรงเรียนความรู้สึกใหม่ๆก็เข้ามาแทน ความหนาวเย็นแปลกๆ เสียวสันหลังเป็นวูบๆ แล้วก็ความรู้สึกจากสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่ผม ผมทำใจนิ่งๆ บอกตัวเองว่า หนักแน่นเข้าไว้ เพราะเราต้องดูแลคนอื่น
            เมื่อรถจอดเทียบท่าที่โรงอาหาร เมื่อทุกอย่างมาพร้อม คนพร้อม สงครามก็เริ่มขึ้นในทันที พวกผมมาถึงนี่ช้ากว่าที่คิด เป้นเวลาประมาณ10โมงกว่าๆแล้ว อาหารกลางวันก็ต้องทำ เครื่องเซ่นก็ต้องเตรียม ทุกคนรู้งานครับ หน่วยครัวก็ทำครัวไป หน่วยผีก็วุ่นวายกับเครื่องเซ่นไป มีผมทีวิ่งไปวิ่งมาสองฝั่ง เพื่อนถงกับให้วอร์ผมไว้ตัวนึงเลยทีเดียว มาเล่าตอนนี้เหมือนขำนะครับ แต่ ณ ตอนนั้นนี่ ขำไม่ออกเลย
            เครื่องเซ่นเสร็จทันเวลาแบบเฉียดฉิวให้ไม่เกินเวลาเพล กับข้าวข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อย พร้อมกับหน่วยผีทุกคนที่นั่งหมดแรงอยู่ข้างๆโต๊ะนั้น ผมเดินไปตรงงนั้นเริ่มจุดธูป เริ่มจากจุด 3 ดอกไว้พระก่อน นำไปปักที่หน้าพุทธรูปของโรงเรียน
             ผมอธิษฐานจิต บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา ว่ามาทำอะไร เรามาสร้างประโยชน์ ไม่ได้มารบกวนอะไร ตอนนั้นแดดร้อนมาก ร้อนจนแสบผิว แต่ทันทีที่ปักธูปลงบนเครื่องเซ่นทั้งหมด ฟ้าก็ครึ้มขึ้นมาทันที แต่มันแปลกตรงที่มันครึ้มแค่ทั่วๆโรงเรียน ที่อื่นยังคงแดดเปรี้ยงเหมือนเดิม
           เพื่อนๆมองหน้าผมตาโต ผมบอกว่าไม่เป็นไร ปล่อยเขา ค่อยมาเก็บ ผมปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนเกือบๆ บ่าย จึงเรียกเพื่อนๆมาช่วยกันเก็บ และอีกครั้งที่เพื่อนผมคว้าแขนกันไว้อย่างไว เมื่อผมถอนธูปออก แสงแดดก็ค่อยๆกลับมาสาดส่องลงมาที่โรงเรียน
          ผมเก้บทุกอย่างใส่ถุงรวมกัน แยกขยะทิ้งไปนะครับ  เอาแต่กับข้าใส่ถุงมา พร้อมกับหน่วยกล้าตาย 3 คนและจอบหนึ่งเล่ม เดินไปหน้าโรงเรียนหาที่ฝัง ผมชี้ให้เพื่อนว่าแถวๆนี้แหละ ขุดเลย
ฉึก!
ทันทีที่งัดจอบออกมาเพื่อนผมก็ร้อง เห้ย ด้วยความตกใจ เมื่อมองไปที่พื้น ผมเองก็ตกใจ เพราะไปจังเข้ากังรังปลวกเต็มๆ แถมยังเป็นปลวกแดงอีกต่างห่าง
           ผมบอกเพื่อนรีบกลบ แล้วเราก็เดินหาทำเลต่อไป เดินห่างออกมา 3 เสาไฟ ขุดใหม่ ก็ปรากฏว่า เป็นรังปลวกอีกเช่นกัน ผมกับเพื่อนมองหน้ากัน งงๆ เพื่อนผมเดินไปขุดตรงนั้นที ตรงนี้ที ห่างกันไกลพอสมควร แทบจะคนละฝั่งโรงเรียน ปรากฏว่า ทุกที่ที่ขุด เป็นสิบครั้ง เจอปลวกทุกที่ ราวกับว่า ที่ดินนี้ทั้งผืน มีปลวกหมด
          ผมนั่งลงเอามือแตะที่พื้นแล้วถาม พวกเขา ว่าจะให้เราทำยังไง ขุดไปก็กลัวทำร้ายพวกเธอ เทกับข้าวไปก็กลัวพวกเธอจะจมน้ำแกง จะให้ทำอย่างไร แล้วก็มีคำตอบกลับมาให้ผม
‘ทางนี้’
เสียงหนึ่งเรียกให้ผมเดินไปหา ผมเดินไปตามเสียงนั้นโดยให้เพื่อนรอ ไม่ต้องตามมา ผมเดินไปตามเสียงเรียกมาจนถึงหลังโรงเรียน หลังโรงเรียนนี้เป็นป่าหมดเลย เป็นแนวเขาลงไปด้านล่าง ผมเดินไปตามเสียงก็เจอที่มาของเสียง
           จอมปลวกใหญ่ สูงเกือบเท่าอก แต่ยาวมาก ยาวไปตามแนวดิน ลึกเข้าไปในป่า ผมมองจอมปลอกตรงหน้าด้วยความ กลัวเล็กๆแล้วก็รู้สึกได้ว่า ผมโดนล้อม ผมหยิบธูปในกระเป่าออกมาจุดไหว้เขาก่อน แล้วก็บอกกล่าว อีกครั้งหนึ่ง
           ชายแก่ท่าทางใจดีเดินออกมาจากจอมปลวกนั้น คุณตาตัวเล็ก หลังค่อมๆ หนวดเครายาว สีขาวโพลน ท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยแข็งแรง แต่แววตานั้นดุดัน และทรงพลังไม่น้อย คุณตาบอกว่าคุณตาเข้าใจแล้ว ไม่ว่าอะไร อณูญาติ แต่ว่าตาเป็น เจ้าป่าเจ้าเขา ที่นี่ยังมี คนอื่น อีกเยอะ ระวังไว้ดีๆ
         ผมเดินออกมาหาเพื่อน บอกให้เพื่อนขุดใหม่อีกครั้ง ที่เดิมนี่แหละ ไม่ต้องไปไหนแล้ว เพื่อนผมก็ไม่ยอมขุดกลัวเจอปลวกอีก ผมบอกว่าเอาน่า ขุดเลย จนเพื่อนผมยอม
‘ถ้ากรุเป็นอะไร ช่วยกรุด้วยนะ’
ฉึก!
         เพื่อนผมมองหน้ากัน ผมยิ้มให้เพื่อนๆ คราวนี้ไม่มีปลวกแล้วครับ ไม่มีแม้แต่ตัวเดียวจุดขุดได้หลุมเบ้อเร่อก็ไม่เจอปลวก เพื่อมผม งงๆ แต่ก็ไม่ถามอะไรผมเพิ่มเติม ผมเทกับข้าวลงในหลุม แล้วกลบอย่างดี กรวดน้ำลงตรงนั้น แล้วเรียก ให้พวกที่อยู่ ข้างล่าง พวกที่ขึ้นมากินไม่ถึง มารับไป แล้วอย่าได้มา ก่อกวนกัน

หลังจากจัดการเรื่องเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของงตัวเอง ผมสบายใจแล้วในระดับหนึ่ง เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรน่ากลัวเกิดขึ้นเท่าไหร่นัก
              วันนั้นทั้งวันก็เป็นไปอย่างราบรื่น วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศเย็นสบาย ความสดชื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากๆ เพราะอาศัยอยู่ในชุมชนเมือง เพื่อนทุกๆคนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า ไม่อยากกลับเลย ที่นี่น่าอยู่
            กิจกรรมดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงเวลาเย็น เป็นเวลาเลิกเรียนตามปกติ ซึ่งเราก็ได้รับอนุญาตให้จัดกิจกรรมแค่เท่าเวลานั้น เพราะเป็นเด็กเล็กด้วย ผู้ปกครองก็จะมารอรับกลับบ้าน พวกผมมีความสุขที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ แม้ว่าชาวบ้านแถวนั้นจะไม่ได้ดูร่ำรวยอะไร รอบๆบริเวณนั้นไม่มีบ้านใหญ่ๆโตๆสวยๆแบบในเมืองเลย เด็กๆก็ไม่ได้มีของใช้แพงๆ มากมาย แต่สิ่งที่มีอย่างเหลือเฟือคือ รอยยิ้ม ที่นี่มีแต่รอยยิ้ม ทุกคนยิ้มให้กัน
           ผู้ปกครอองของเด็กๆยิ้มให้พวกผมอย่างใจด บางคนถึงขนาดเข้ามาคุยมาทักทาย สอบถามว่ามาจากไหนกัน เห็นคุณครูที่โรงเรียนเขาว่าเรามาสอนหนังสือ มาแจกของ พวกคุณลุงคุณป้าดูดีใจมาก พวกเขาบอกว่าพวกเด็กๆแถวนี้ไม่ค่อยได้เจออะไรหรอก ได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี
          แม้ว่าเด็กๆจะไม่มีของเล่นแพงๆ โทรศัพท์หรูๆ แต่งตัวมอมแมมบ้าง แต่ทุกคนก็น่ารักนิสัยดี มีน้ำใจ เชื่อฟังทุกอย่าง ภาพที่ประทับใจมากที่สุดคงเป็นภาพของเด็กคนนึงที่เมื่อเสร็จกิจกรรมหมดแล้วรีบวิ่งไปหาผู้ปกครอง คิดว่าน่าจะเป็น พ่อ คุณลุงยืนรอลูกอยู่ข้างๆพวกผมเพราะพึ่งจะคุยกันเสร็จเมื่อกี้นี่เอง เด็กน้อยในอ้อมกอดของพ่อนั้นกำลังอวดของในมืออย่างภูมิใจ เล่าว่าเขาได้มันมาจากการตอบคำถามจากพี่ๆ เด็กน้อยโฆษณาสรรพคุณของสิ่งที่อยู๋ในมืออย่างมีความสุข รอยยิ้มนั้นช่างใสสะอาด คุณลุงหันมาทางพวกผมแล้วพูดว่า ขอบคุณนะ เด็กน้อยคนนั้นยังคงคุยโม้ไปตลอดทางที่พ่อจูงมือเดิน แม้ว่าในมือนั้นจะเป็นเพียง กล่องดินสอเหล็ก เท่านั้นเอง
         สำหรับเรามันคงเป็นแค่ของที่เราซื้อหาได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับเขา คงเป็นของล้ำค่ามากกว่าอะไรในตอนนี้ ภาพตรงหน้านั้นเติมเต็มความสุขในหัวใจของ ผู้ให้ อย่างเต็มที่ มันน่าดูกว่าการที่เด็กๆเอาโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆมาอวดกันหลายเท่า เพื่อนผมถึงกับต้องปาดน้ำตา แล้วทุกคนก็ได้ เติมพลังจนเต็มที่ รีบวิ่งไปทำงานของตัวเองต่อ
        สักพักงานในวันนี้ก็หมดลง กิจกรรมทุกอย่างเป็นไปตามเป้าแล้ว เพื่อนผมพาน้องๆปี 1 ปี 2 ไปยังจุดชมวิวใกล้ๆนี้ เพราะได้ข่าวมาว่ามันสวยมาก สาวๆเขาก็อยากจะไปถ่ายรูปที่ระลึกกัน ผมกับเพื่อน 2 3 คนไม่อยากไป เพราะมันต้องเดินไป เลยขี้เกียจ ขอพักเล่นอยู่ที่นี่จะดีกว่า
       ผมเตรียมอาหารเย็นเสร็จหมดแล้ว ก็เลยชวนเพื่อนๆไปหาอะไรมานั่งกินเล่นนั่งดื่มกัน เพราะอากาศมันดีเสียเหลือเกิน มากสุดเท่าที่จะหาได้แถวๆนั้นก็เป็นร้านขายของชำ ที่มีผักสวนครัวง่ายๆ เนื้อหมู ไข่ แล้วก็ขนมถุงที่น่าจะผ่านเวลามานานมาก มีขนมเก่าๆที่กินสมัยเด็กๆแต่ไม่เห็นนานแล้ว สุดท้ายก็ต้องซื้อของสดมาทำอะไรกินเล่นกันเอง
       เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ เพื่อนๆที่ไปเที่ยวชมวิวกันมาก็เดินกลับมาถึงที่โรงเรียนแล้ว เป็นความรู้สึกที่แปลกๆดีครับ ปนตลกเล็กๆ เพราะที่นั่นไม่มีไฟถนนเลย มืดคือมืดสนิท ดีที่ยังพอมีแสงดาวแสงจันทร์ให้พอสว่าง แต่บางคนที่ไม่เคยมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ก็ไม่ชินกัน สาวๆบางคนก็ดูลำบากลำบนกันไปหมด แอบตลกนิดๆ
       พวกผมนั่งเล่นกันไปเรื่อยๆ จนเริ่มดึก ผมได้ยินเสียงแปลกๆแว่วมาในหู เป็นเสียงเหมือนคนครางในลำคอ อือ... อือ...
แต่มันก็ฟังไม่ได้ศัพท์เลย แต่ในใจก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
‘ไมอยู่ดีๆขนลุกวะ เย็นวาบเลย’
อยู่ดีๆเพื่อนของผมก็พูดขึ้นมากลางวงพร้อมๆกับที่ผมได้ยินเสียง เพื่อนๆทั้งกลุ่มหันหน้ามามองผมโดยพร้อมเพรียงกัน ผมยิ้มแหยๆ เพื่อนๆก็พร้อมใจกันยกข้าวของทุกอย่างกลับห้องพักในทันที
‘ไปต่อห้องนอนละกัน!’
          ผมย้ายมานั่งกินกันต่อที่ห้องพักซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะได้กินเท่าไหร่ แค่จิบๆไม่ให้เพื่อนมันด่า เพราะต้องตื่นเช้าไปทำอาหาร ในระหว่างที่นั่งกินกันอยู่นั้นเอง
‘พี่ๆคะ นอนกันรึยังคะ’
เสียงหวานๆของรุ่นน้องมาเคาะประตูห้องพัก เพื่อนๆผมรีบลุกกันใหญ่ เพื่อไปเปิดประตู
‘ว่าไงครับ มีอะไรหรอ ให้พี่ช่วยอะไร’ เพื่อนผมยิ้มหวานอย่างหน้าม่อ
‘คือ ห้องนอนของพวกหนูมีมดค่ะ มดมาจากไหนไม่รู้ ตัวใหญ่มากเลย เดินไปทั่วห้องเลย นอนไม่ได้’
            พวกผมเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็จำเป็นต้องเดินไปดูห้องนอนน้องๆ เพราะเป็นรุ่นพี่ อากาศก็หนาวมาก ผมเดินห่มผ้าไปเลย ทางก็ไกลพอสมควร
            พอไปถึงก็เลยเปิดประตูเข้าไปดู เพื่อนๆผมก็พบกับมดจำนวนมากตามที่น้องๆบอก เพื่อนๆกำลังพยายามปัดไล่มดที่วิ่งไปมาบนพื้น แต่สายตาของผมนั้นไปหยุดอยู่อีกที่หนึ่ง ที่ประตูห้องน้ำ คือห้องพักนี้เป้นห้องเรียน แล้วก็จะมีห้องน้ำในตัว
            ที่มุมประตูห้องน้ำนั้น มีเงาดำๆเงาหนึ่งแอบอยู่ ผมยังคงจ้องอยู่ตรงนั้น ว่า เขา จะทำอะไรต่อไป เงาร่างนั้นไม่ทำอะไรนอกจาก มอง
            เมื่อเขาขยับออกมาจากเงามืดตรงนั้นก็ทำให้เห็นสภาพของเขา เธอโผล่มาแค่ส่วนบนเหมือนคนชะโงกออกมา ผู้หญิงหน้าตาแปลกๆ ตาโตผิดปกติ ปากสีแดงจัด แต่ผิวนั้นขาวซีด ผมเที่ยาวรุงรัง และหยักศก ใบหน้านั้น ยื่นออกมาและจ้องมองอย่างสงสัย มองไล่ไปทีละคนในห้อง ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ไม่อยากคุยกับเธอ
‘ให้น้องย้ายห้องไปเลยไหม ง่ายดี’
เพื่อนหันมามองหน้าผมแล้วเห็นผมนิ่งๆ ก็เลยไม่ถามต่อ บอกให้น้องๆย้ายห้องทันที น้องๆก็ยินดีเต็มที่ เพราะผู้หญิงก็คงไม่ถูกโรคกับแมลงอยู่แล้ว
             น้องๆขนของออกมาจากห้องเสร็จแล้ว แต่ก็หาห้องให้น้องเพิ่มไม่ได้ ไอ้พวกที่บอกให้น้องย้ายห้องเลยต้องรับผิดชอบ โดยการให้น้องย้ายมานอนห้องที่พวกผมนอน แล้วพวกผมก็ต้องหาห้องนอนกันใหม่เอง
             ตอนแรกจะไปนอนห้องเดิมของน้อง ก็เลยเดินเข้าไปดูกันอีกที ก็ยังคงมีมดอยู่ ผมไม่รู้ว่ามดมันมาตอมอะไร แต่ปกตก็คงไม่มีมดหรอกมั้ง เพราะมันก็เป็นห้องเรียน ไม่อย่างนั้นเด็กๆจะเรียนกันได้ยังไง
             เพื่อนยังคงตกลงกันว่า ทำอย่างไรดี ผมเดินเข้าไปในห้อง พร้อมกับลากเพื่อนไปด้วยเพราะใจก็แอบหวั่นๆ เข้าไปครั้งนี้ไม่พบเธอคนนั้นแล้ว แต่มดยังคงวิ่งไปวิ่งมาเต็มไปหมด ผมก้มตัวลงเอามือแตะที่พื้น คิดในใจ
‘ขอใช้ห้องหน่อยนะ เรามาพัก เรามาทำประโยชน์ เราไม่ได้มารบกวนพวกเธอ’
             เพื่อนผมงงๆ ว่าผมทำอะไร แล้วมดที่วิ่งๆอยู่นั้นก็ค่อยๆพากันวิ่งกลับลงไปตามซอกไม้กระดานนั้น จนเหลือเพียงไม่กี่ตัว ก็พอที่จะนอนได้ เพื่อนๆเดินตามเข้ามาดู เมื่อเห็นว่ามดหายไปแล้ว แต่ก็ยังลังเลใจไม่อยากนอน ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่า
‘เราไปนอนห้องข้างๆละกัน เก่ากว่าหน่อย แต่ก็ดีกว่า... มั้ง’
             สุดท้ายพวกผมก็ย้ายมานอนกันอีกห้องนึงที่ติดๆกัน พวกผมจัดการวางข้าวของแล้วจัดที่นอนของตัวเอง คินนั้นหนาวมาก แล้วก็เพิ่งจะเห็น แบบนั้น มา ก็เลยไม่อาบน้ำ เตรียมนอนก่อนใครเพื่อน
           เพื่อนผมกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำผมเลยบอกมันว่า เสร็จแล้วปิดประตูห้องน้ำด้วยนะ เพื่อนหันมามองหน้าผม งงๆ แล้วมันก้วิ่งมานอนทันที ไม่เข้าแล้วห้องน้ำ ทุกคนก็มองผมโดยพร้อมพรียงกัน สงสัยจะอยู่ด้วยกันมานานเกินไป ไม่ต้องพูดมากมันก็เดาใจผมได้
            มันรีบวิ่งมาเลยยังไม่ทันปิดประตูห้องน้ำ ผมก็บอกว่าให้มันปิด มันก็ไล่ผมไป ผมก็ไม่ไปเพราะแอบกลัว สุดท้ายก็ต้องแพ็คกันไปปิดประตู แต่พอปิดไปแล้วก็ได้ร้ว่า ประตูมันไม่มีกลอน ทำได้แค่งับๆเอาไว้
          พวกผมนอนกันไปในคืนนั้น อากาศที่เย็นสบาย ทำให้หลับได้ไม่ยาก แต่ก็ต้องเปิดพัดลมไว้ไล่ยุง ผมหลับไปแล้วแต่ก็ร็สึกตัวขึ้นมากลางดึกเพราะอากาศหนาว ผมลืมตามาสะลึมสะลือมองไปข้างๆ กะจะยืมผ้าห่อมเพื่อนมาห่มอีกสักชั้น แต่สายตามันก็เหลือบไปทางห้องน้ำ ก็สะดุ้งขนลุกทั้งตัว เพราะภาพที่เห็น
        ภาพของผู้หญิงหน้าตาประหลาดๆคนนั้นแอบมองชะโงกหัวออกมาจากห้องน้ำ ผมพยายามหลับตาทำเป็นไม่เห็นเขา ถึงผมจะเยอะมาเยอะ แต่สภาพเธอมันน่าขนลุกจริงๆ ผมหยีๆตามองเธอด้วยความระแวง
      ถ้าคนเราระแวงอะไรหรือกลัวอะไร เรามักจะมองไปทางนั้นนึกออกใช่ไหมครับ ผมแอบมองเธอ แล้วเธอก็ค่อยๆเดินออกมาจากประตู แล้วก็เดินไปดูเพื่อนผมทีละคน มีคนนึงเธอย่อตัวลงนั่งยองๆ มองอย่างสงสัยแล้วเอามือ ลูบไปที่แก้มเบาๆ จากนั้นก็ย้ายไปเรื่อยๆ จนมาถึงใกล้ๆตัวผม เธอหยุดชะงักห่างไปจากตัวผมพอสมควรแล้วมองเลยตัวผมไปยังหัวนอน
      ที่หัวนอนผมเป็นถุงผ้าที่ติดตัวประจำ ในนั้นมีของอะไรหลายอย่างรวมไปถึง สิ่งที่เรามีไว้ป้องกันตัว และเป้นเครื่องมือในการจัดการเรื่องพวกนี้ เธอ เหมือนจะเดินมาใกล้ๆ แล้วก็ถอยไปอีก อยู่ 2 3 ครั้ง แล้วเธอก็หายไป สักพักใหญ่ๆผมจึงหลับลงได้
      ผมตื่นมาด้วยเสียงปลุกของเพื่อน เพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือของผมมันดังจนเพื่อนรำคาญ แต่ผมก็ไม่ยอมตื่น พวกผมตื่นมาในตอนเช้ามืดประมาณตี4 ตี5 อากาศจึงเย็นมาก
‘หนาวชห. ปิดพัดลมดิ๊’ ผมบอกเพื่อน
เพื่อนคนที่จะไปอาบน้ำก็เดินไปปิดให้ แล้วก็เข้าห้องน้ำไป เพราะต้องรอต่อคิวอาบน้ำ ผมเลยหลับต่อ
      ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความหนาว คราวนี้ผมลุกขึ้นมานั่งเลย เห็นเพื่อนๆในห้องกำลังนั่งกินขนมกันอยู่ ผมจึงบ่นไป
‘โคตรหนาว เปิดพัดลมอีกทำไมเนี่ย’
เพื่อนๆผมหันมาบอกว่า ไม่มีใครเปิดนนะ เพราะทุกคนก็หนาว แล้วไม่ได้เดินไปมุมนั้นด้วย ผมก็ งงๆ เพื่อนผมที่ออกมาจาก้องน้ำพอดีก็เดินมาทางผม
‘หนาวจะตายชัก เปิดพัดลมทำไม’
‘...’ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
‘เดี๋ยวนะ กรุเป้นคนปิดเองนี่นา มิงเปิดใหม่หรอ’
          ผมส่ายหัวอย่างไว เพื่อนๆในห้องเริ่มงงๆ แล้วขยับเข้ามาใกล้ๆกัน แล้วพวกผมก็ต้อง งง กว่า คือ พัดลมมันหมุนจริง แต่สวิตซ์มันไม่ได้กด มันเป็นเบอร์ 0 ผมเดินไปชักปลั๊กออก แต่มันก็ไม่หยุดหมุน หมุนติ้วเหมือนเราเปิด เบอร์ 3 ผมมองหน้ากันแล้วก็ย้ายตัวเองออกไปอาบน้ำที่ห้องอื่นในทันที
ในตอนนั้นไม่ได้คิดหรอกครับ ว่าพัดลมอาจจะเสียหรืออะไร แต่ชักปลั๊กขนาดนั้นยังไม่หยุดนี่ก็หน้าระแวงนะครับ 55
.....................................

หลังจากเรื่องนั้น ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ไม่รู้เพราะงานมันเยอะ หรือว่าเพราะความชินกันแน่ ที่ทำให้ทุกคนเลิกใส่ใจเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นเพราะเราเจอกันมาบ่อยแล้วก็ได้
         ตอลดทั้งวันผมก็ง่วนอยู่กับการทำกับข้าวในครัว มีออกมาช่วยเพื่อนบ้างเป้นบางครั้ง แต่สิ่งที่รบกวนใจผมอยู่ตลอดเวลานั่นก็คือ อาการปวดหัวเบาๆ และมีคลื่นไส้อยากอาเจียนเป็นช่วงๆ และที่หนักที่สุดคือ เสียงครวญครางที่มันลอยมาตามลม เหมือนใครบางคนพยายามจะสื่อสารอะไร แต่มันก็ฟังไม่ได้ศัพท์
        เวลาล่วงเลยไปจนเย็น ผมก็ไม่สามารถจับใจความอะไรได้เลย แต่อาการคลื่นไส้นั้นค่อยๆเบาลงจนแทบไม่เหลือเลย เย็นวันนี้พวกผมมีคิวจะไปเที่ยวกัน เป็นที่ใกล้ๆนี่เอง เป็นน้ำตก
       รถที่พวกผมนั่งไปนั้นเป็นรถคอกหมูคัยเดียว ก็ตามระเบียบครับ ผญได้นั่งข้างในมีที่นั่ง ส่วนพวกผมนั้นก็ต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคา ตอนแรกก็กลัวๆครับ เพราะไม่เคย แต่ก็น่าสนุกดี
       รถเคลื่อนตัวออกจากโรงเรียนได้ไม่เท่าไหร่ ก็มาถึงส่วนที่เป็นทางบนเขา มีทั้งลงทั้งขึ้น อากาศบริสุทธิ์ ลมเย็นๆที่ตีใส่หน้า แสงแดดอ่อนๆ วิวทิวทัศน์ที่มีแต่สีเขียวสะอาดตา ทำให้หัวใจชุ่มชื่น ผมไม่รู้ว่าทุกคนรู้ตัหรือเปล่า แต่ทุกคนมองไปยังภาพเบื้องหน้า และยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นี่คงเป็นของขวัญจากธรรมชาติ... ธรรมชาติที่เราเอาแต่ทำลายเรื่อยมา
        ผมและเพื่อนๆปล่อยให้ตัวเองซึมซับภาพเหล่านั้นอย่างเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสมาเห็นอะไรแบบนี้อีกรึเปล่า แม้ว่าที่ประเทศไทยจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งธรรมชาติมากมาย แต่ส่วนมากก็จะมี สิ่งปลูกสร้างมาบิดเบือนความสวยงามเหล่านั้นไป ธรรมชาติ ที่ยังคงเป็นธรรมชาตินั้น เหลือน้อยเต็มที
         จากถนนใหญ่ลาดยาง รถค่อยๆเคลื่อนตัวสู่ถนนที่เป็นดินลูกรัง ยิ่งเข้าไปลึก ก็ยิ่งเจอธรรมชาติอันสวยงาม การเดินทางนั้นไม่ลำบากมาก แต่ก็เอาเรื่องอยู่ ทุกชีวิตบนหลังคานั้น ระทึกกันเป็นที่สุด เหวี่ยงซ้ายบ้างขวาบ้าง บางครั้งขึ้นเขา แทบจะโดนเทลงไปที่ท้ายรถ
          เมื่อผ่านเส้นทางทั้งหมดมาแล้วก็พบกับเส้นทางเล็กๆ ที่นำทางไปสู่น้ำตกที่เราตั้งใจไว้ รถค่อยๆเลี้ยวไปตามทาง ควมชื้นของอากาศที่เพิ่มขึ้นบอกเราว่า เราใกล้ถึงแล้ว
‘สวัสดี’
เสียงหนึ่งลอยมาตามลม ผมมองไปยังทิศทางของเสียง ที่หน้ารถไกลๆนั้น ปรากฏเงาร่างของชายหญิงคู่หนึ่งยินอยู่ไกลๆ เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นได้ชัดถึงลักษณะ
         ชายหนุ่มรูปร่างกำยำผิวขาง จนเกือบจะซีด สูงโปร่งมวยผมไว้เป็นจุก แม้ว่าชายคนนั้นจะยิ้มอย่างใจดี แต่ใบหน้าและแววตาที่แดงสุกสกาวนั้นก็ฉายแววของความเจ้าอารมณ์ออกมาเช่นกัน ข้างๆกันนั้นมีหญฺงสาวรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่อย่างเรียบร้อยในท่าทางสำรวม ผิวนั้นขาวนวล ผมดำสนิทแวววาว แต่ประกายตานั้นไม่ต่างจากชายคนรักของเธอ
          ชายหญิงผู้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเขียวมรกตแวววาวประดับด้วยเครื่องทองนั้น ค่อยๆหายไปจากสายตา เป็นการบ่งบอกว่า เขาแค่มาทักทายเฉยๆ
         เรามาถึงที่น้ำตกแห่งนี้แล้วทุกคนแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย โดยนัดเวลารวมกัน ผมกับเพื่อนๆเดินเล่นไปตามชั้นต่างๆของน้ำตก จนไปถึงชั้นหนึ่งของน้ำตก ซึ่งก็ลึกพอสมควร ที่ตรงนั้นเป็นหน้าผา มีน้ำตกสายใหญ่ทอดตัวลงมา แต่เบื้องล่างนั้นเป็นหินก้อนใหญ่ๆ ทางการทำไว้แค่ระเบียงทางเดิน ไม่สามารถจะลงไปเล่นน้ำในนั้นได้เลย ผมมองไปเบื้องล่างก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ ความหวั่นเกรงในใจ ความลึก ความกลัว อา... ใช่แล้ว นี่คือที่ของ เขาทั้งสอง
          พวกเราเดินลึกลงไปเรื่อยๆตามทางที่เขามีให้ จนสุดทางที่ทางการทำไว้ จากนั้นเป้นทางดินที่อันตรายพอสมควร เพราะว่าฝนพึ่งจะตกไปทำหดินแถวนั้นลื่นมาก รวมไปถึงก้อนหินด้วย
‘หนู อย่าไปไกลมากนะ ทางการเขาพึ่งเข้ามาดูแล ยังทำไม่หมดเลย มันอันตราย ฝนพึ่งตกด้วย’
ผมนึกถึงคำพูดของลุงคนที่เจอหน้าทางเข้า น่าจะเป็นชาวบ้านแถวนั้นมาดูแล
          แต่ด้วยความสนุก และความตื่นเต้น ทำให้ผมกับเพื่อนๆยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดนึงที่ทางเริ่มไม่ค่อยมีให้เห็นต้องลัดเลาะไปตามยอดหิน ซึ่งมันก็ลื่นมากๆ ทั้งจะไคร่ ทั้งน้ำ และที่ตรงนั้นก็เงียบ เงียบมากๆ เงียบจนขนลุก ต้นไม้รอบๆตัวก็มีแต่ต้นใหญ่ๆ มองลงไปไม่เห็นปลายทาง
‘ก ว่า กลับเหอะ มันน่ากลัวยังไงไม่รู้’ เพื่อนคนนึงพูดขึ้นมาเพราะมันเป็นคนเดินนำหน้าสุด
         ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดนั้น พวกเราหันหลังกลับ และในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมายังพวกเรา มันเป็นความรู้สึกเหมือนมี ใคร กำลังมองพวกเราอยู่ ผมเปลี่ยนมาเดินรั้งท้าย เพราะต้องการที่จะรู้ว่า ใครที่กำลังมองเราอยู่
        นอกจากความรู้สึกจากสายตาคู่นั้นแล้ว ก็ยังมีกลิ่นสาป ปนคาวลอยมาตามลม กลิ่นนั้นลอยมาจากด้านหลัง ตอนแรกผมคิดว่าเป็นกลิ่นตะไคร่น้ำหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันปนมากับกลิ่นสาปสัตว์จึงทำให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
        เดินมาได้สักพักหนึ่งความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนขึ้น ความรู้สึกเหมือนมีใครกำลังเดินตามพวกเราอยู่ ผมหันไปมองในครั้งแรกก็ไม่เจออะไร แต่ความรู้สึกก็บอกผมว่า ตรงหน้านี้ มีอะไรบางอย่างอยู่ แน่นอน ผมหันหลังกลับแล้วเดินต่อไปอีกหน่อย ก็ยังคงรู้สึกไดด้ถึงใครบางคนที่เดินตามมา
        ผม คิดในใจ ว่า ‘มีอะไรก็ออกมาคุยกัน ไม่ได้มาร้าย แค่มาเที่ยว’ ผมหันหลังกลับไปอีกที คราวนี้ก็ได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น ร่างสูงใหญ่ ผมแห้ง ผมเผ้ารุงรังจนปกปิดหน้าตาไปหมด ผมไม่รู้ว่าเขาคือ ใคร หรือเป็นอะไร แต่รู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้มาร้าย ในความรู้สึกนั้นผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง ความกลัว
      ผมไม่แน่ใจว่าเขากลัวอะไร เพราะเราก็ไม่ได้มาร้าย ไม่ได้ทำอะไรที่จะเป็นพิษเป็นภัยต่อ เขาผมมองไปที่เขา เขาก็มองมาที่ผม แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ว่าแววตานั้น น่าสงสาร
‘กลัวอะไร เราไม่ได้มาทำอะไรไม่ดี เราแค่มาเที่ยวเท่านั้น’
‘เรากลัว...’ เสียงนั้นลอยมาตามลม ระคนกับความรู้สึกหดหู่
‘กลัว? กลัวอะไร?’
‘เรากลัว... เรากลัว..มนุษย์’ ถ้อยคำนั้นตะกุกตะกัก
‘.....’ ผมเงียบและรอฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไป
‘มนุษย์...ฆ่า... มนุษย์...เผาป่า ....ตัดต้นไม้’
‘….’
‘เพื่อน... เพื่อนเรา...ตาย เพื่อนเรา... ไม่มีบ้าน’
          หลังจากจบประโยคเขาก็ผายมือออกให้เห็นเบื้องหลังเขานั้น มีสัตว์มากมาย หลายชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ป่าที่ไม่ค่อยได้พบเห้นมากนัก ใช่ครับ... ทั้งหมดนั้นไม่มีชีวิต แววตาทุกคู่นั้นเต็มไปด้วย คำถาม ว่าทำไมถึงต้องทำกับเขาแบบนี้?
         ผมรู้สึกสลด และหดหู่เป็นอย่างมาก ในฐานะที่ผมก็เป็น มนุษย์คนหนึ่ง ผมละอายต่อสิ่งที่เจออยู่ แม้ผมจะไม่ได้สร้างมันขึ้นมา แต่ก็ปฏิเสธิได้ไม่เต็มปากว่า เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ผมทำอะไรให้พวกเขาไม่ได้เลย ผมเป็นเพียงแค่คนคนนึง ที่ไม่มีอำนาจอะไร สิ่งที่ผมคิดว่าผม จะให้พวกเขาได้นั้น มีแค่สองอย่างเท่าที่ผมคิดออก
        ผมยกมือขึ้นพนมไว้ที่กลางอก หลับตาแล้วตั้งใจด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก สัพเพ สัตตา... นั่นคือสิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้น ผมทำได้แค่นั้นจริงๆ ผมทำได้แค่นี้ และอีกอย่างที่ผมคิดได้คือ ผมจะ บอกเล่า เรื่องราวนี้ออกไป ส่งต่อไป แม้คนเดียวก็ยังดี มันคงจะมีประโยชน์บ้าง ผมรับปากพวกเขา คำสุดท้ายที่ผมกล่าวกับเขา ก่อนพวกเขาจะหายไป... ขอโทษ
        เรากลับออกมาจากน้ำตกนั้นในเวลาใกล้พลบค่ำ ยังพอให้เห็นแสงอาทิตย์อยู่ แสงอาทิตย์ที่จวนเจียนจะลับขอบฟ้าไปนั้น ช่างสวยงามเหลือเกิน แล้วคำถามก็ผุดขึ้นในใจ... ‘ความสวยงามนี้จะถูกทำลายไปด้วยหรือเปล่านะ?’
        เมื่อเรากลับมาถึงค่ายพักนั้น เราก็มาทานอาหารเย็นรวมกันพร้อมกับการประชุมงานไปในตัว เพราะวันรุ่งขึ้นเราก็จะต้องกลับกันแล้ว ต้องเคลีย์ข้าวของให้หมด ไม่เหลือขยะ หรือเศษซากอะไรไว้ให้เป็นภาระของโรงเรียนนี้ หลังจากประชุมงานกันเสร็จแล้วเราก็แยกย้ายกันไปนอนพักตามห้องพักของทุกคน
        คืนนั้นอากาศดีมากๆ เย็นสบาย มีลมโชยตลอดเวลา ฝนที่พึ่งตกลงมายิ่งทำให้อากาศเย็นขึ้นไปอีก ท้องฟ้าสีดำสนิท ที่ถูกตบแตกด้วยดวงหาวระยิบระยับ ช่างเป็นความสบายใจที่หาไม่ได้ในเมืองอันแสนวุ่นวายจริงๆ และแน่นอนว่า เมื่อบรรยากาศพร้อม งานไม่มี เพื่อนครบ ก็ต้องมีวงสังสรรค์กันตามประสาวัยรุ่นผู้ชาย

ผมก็ร่วมในวงนั้นด้วย แต่ก็ไม่ได้ดื่มมากมายเพราะกลัวจะไม่ตื่นเอาในตอนเช้า คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่นี่แล้ว พวกเพื่อนๆจึงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน แต่ความเหนื่อยล้าของสองวันที่ผ่านมาคงสะสมอยู่มาก เลยทำให้ไม่สามารถจะอยู่กันได้ดึกมากนัก
       พวกเรานอนพักในห้องพักห้องเดิม อาจจะมีการขยับเข้ามานอนกันใกล้มากขึ้นสักเล็กน้อย เราหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนผมค่อยๆรู้สึกตัวได้ถึงเสียงเสียงหนึ่งที่ดังอยู่ข้างๆหู
‘ตื่น... ตื่น...’
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงเรียกนั้น ผมกวาดสายตามองไปรอบๆตัว พร้อมกับความหนาวเย็นที่กระทบผิวหนังจนขนลุกไปหมด เพื่อนทุกคนยังคงหลับอยู่ มีเพียงเงาร่างหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูทางออกของห้องเรียน
       ร่างของหญิงสาวหน้าตาประหลาดคนนั้น ยืนอยู่หน้าประตูทางออก โดยจ้องมายังผมโดยตรง ผมลุกขึ้นมาขนาดนี้แล้ว จะทำเนียนไปว่าไม่เห็นเธอ ก็ตงจะไม่ทันเสียแล้ว
      ผมข่มความกลัวไว้แล้วนั่งมองเธอเงียบๆ เธอมองผมอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันออกไปนอกประตูห้อง จากนั้นเธอค่อยๆก้าวเดินออกไปที่นอกประตู พร้อมกับหันมามองผมเล็กน้อย ราวกับจะบอกให้ ตามเธอไป
     ผมเดินตามเธอออกมานอกประตู ผมเดินห่างจากเธอพอสมควร เพราะเธอก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย ผมเดินออกมานอกตัวอาคารจนมาถึงสนามฟุตบอล
      ภาพตรงหน้านั้น ทำเอาผมขนลุกจนเข่าอ่อนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ภาพของเงาร่างดำๆ จำนวนมาก มากจนนับไม่ถ้วน ค่อยๆเดินข้ามฝั่งถนนมา จนมาถึงปลายสนามบอล เงาร่างเหล่านั้นยังไม่หยุด ยังคงก้าวเดินต่อมาเรื่อยๆ ผ่านสนามบอลมา
     ผมตัวแข็งจนไม่สามารถก้าวออกไปได้ ผมเริ่มจะไม่ค่อยมีสติแล้ว ในขณะนั้นเองความอบอุ่นก็ค่อยๆเกิดขึ้นจากหัวลงไปสู่เท้า จนผมรู้สึกสบายตัว และสงบใจได้อย่างประหลาด
‘คุย กับพวกเขาสิ’ กระแสเสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวของผม
     ผมรวบรวมความกล้าเดินไปยังที่หน้าหอพระของโรงเรียน แล้ววนั่งลงที่พื้นตรงนั้นกลางสนามหญ้า รอจนเงาร่างเหล่านั้นเดินมาจนใกล้ ใกล้พอที่ผมจะเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน
     และในที่สุด พวกเขาก็หยุด ผมมองไปปรอบๆบริเวณ เงาร่างพวกนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้เห้นถึงรายละเอียด เสื้อผ้า หน้าตา และสภาพของแต่ละคนนั้น แตกต่างกันออกไป บ้างสมบูรณ์ บ้างพิการ บ้างน่ามอง บ้างก็เละเทะ ชุดเสื้อผ้าที่มีแต่แต่ โบราณจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ และแน่นอนว่า เกือบทั้งหมดนั้น เป็นชุดทหาร
     ผมนึกขึ้นได้ในทันทีว่า ที่แห่งนี้ สถานที่นี้ เป้นสนามรบมาหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่โบราณ คงไม่แปลกที่ พวกเขา จะยังคงตกค้างอยู่ ณ ที่นี้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึก และนึกกขึ้นมาได้ก็คือ ผมลืมพวกเขา
        ในขณะทีผมไหว้เจ้าที่เจ้าทางในวันแรกนั้น ผมเอาแต่ตั้งใจจดจ่อ อยู่กับเจ้าที่เจ้าทาง เพราะกลัวว่าจะมีใครได้รับอันตราย จนไม่สามารถ รับฟัง พวกเขาได้เลย ผมลืมไปว่า ระดับชั้นนั้นก็มีส่วน การที่เรามอบเครื่องเซ่นแก่ เจ้าที่ ผีป่าผีเขานั้น หากเราไม่ได้เอ่ย ถึงผู้อื่น พวกเขาก็จะไม่ได้รับในสิ่งนี้
        พวกเขาคงมาทวงถาม ในความสะเพร่าที่ผมละเลยไป เขาพยายามจะคุยกับผมตลอด แต่ผมก็มัววุ่นวายอยู่กัยบอย่างอื่น จนไม่ได้ยินพวกเขาเลย ผมรู้สึกผิดขึ้นในใจ ความกลัวนั้นหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความสงสาร และความรู้สึกผิด พวกเขาให้ผมได้เห็น เห็นในสิ่งที่พวกเขา ผ่านมา
        ภาพของสงคราม การแย่งชิง บาดเจ็บล้มตาย ความกลัว ความอดอยาก ภาพต่างๆมากมายไหลเข้ามาในหัวของผม น้ำตาที่กลั้นไว้ เริ่มเหนือการควบคุมจนผมกลั้นไว้ไม่อยู่ แกครั้งที่ผมได้ตระหนักว่า พื้นดินที่เราเหยียบอยู่ มันแลกมาด้วยอะไร ผมนั่งมองเรื่องราวพวกนั้นอยู๋นานสองนาน รับรู้ความรู้สึกของพวกเขา
        เพียงครู่หนึ่งภาพเหล่านั้นก็หยุดลง เหลือให้เห็นพวกเงาร่างของ พวกเขาที่ยังคงอยู่ตรงหน้า ผมพยายามคิดว่า ผมจะทำอะไรให้พวกเขาได้บ้าง ผมเริ่มที่จะ แผ่ส่วนกุศลออกไป หวังว่ามันจะนำทางพวกเขาได้
‘ไม่ได้หรอก เขายังติดบ่วงอยู่ ไปไหนไม่ได้ จนกว่าวันนึง ที่บุญเขามากพอ เขาถึงจะไป ’ กระแสเสียงนั้นชัดเจนในทุกถ้อยคำ
        ผมมองพวกเขาอย่างเงียบๆ พร้อมกับเฝ้าถามว่า ผมจะทำอะไรได้บ้าง จนก่อนที่พวกเขาจะจากไป ผมไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร หรือมากจากตรงไหน มันเป็นเพียงคำถามสั้นๆเท่านั้น
‘ลูกหลานเรา... มีบ้านใช่ไหม’
เป็นคำถามเพียงไม่กี่คำ แต่เสียดแทงได้เจ็บเป็นที่สุด ผมกัดฟันตอบพวกเขาไปว่า ‘ครับ ทางนี้สุขสบายดี’
       พวกเขาค่อยๆ หันหลังและเดินจากไป พร้อมกับคำพูดหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้ผม เป็นเหมือนคำขอ ปนความหวัง และผมก็มั่นใจว่ามันจะเป็นไปอย่างนั้น ผผมจะทำ และผมจะ บอกต่อ
‘อย่าลืมเรา’
.............................................................
จบแล้วครับ

จากพันทิป นิทาน...จากความเงียบ
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น