อาถรรพ์ ณ บ้านไร่


     "อาถรรพ์ ณ บ้านไร่" เรื่องคุณภาพจากนักเขียนที่มีฝีมือมากคนหนึ่งที่นับถือจากพันทิปโดยคุณ Rhythm in the Air หรือ กฤตานนท์ และเป็นที่รู้จักในนาม ธี่หยด ในตำนาน ส่วนตัวชื่นชอบในการเล่าและถ้อยคําและสํานวนที่สละสลวย รวมไปถึงจิตวิญญาณแห่งนักเขียน ขอขอบคุณ  กฤตานนท์  หรือ ธี่หยด ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นสิบๆ ปีที่แล้ว (บอกอายุกันเลยทีเดียว) ในช่วงกลางๆ ฤดูหนาว ช่วงที่พืชเศรษฐกิจจำพวกอ้อยกำลังเก็บเกี่ยวป้อนโรงงาน
ใช่แล้วครับธุรกิจอย่างหนึ่งที่บ้านเคยทำ ก็คือไร่อ้อย ทำกันมาหลายชั่วอายุคน (แต่สิ้นสุดที่ยุคนี้ไปเรียบร้อย)
ช่วงนั้นทางบ้านจะเตรียมจัดหาคนงานมาเพื่อตัดอ้อยจำนวนหลายไร่ แหล่งแรงงานที่สำคัญ ก็คือพี่น้องชาวอีสานนั่นเอง
ลุง (พี่ชายพ่อ) และพ่อจะขับรถไปไกลเพื่อรับคนงาน ทุกๆ ปีก็เป็นแบบนี้

บ้านกับไร่ที่ จขกท. เติบโตมา จะอยู่คนละที่ พูดให้ชัดก็คนละตำบลเลยดีกว่า ทุกปีก็ใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ เช้าวิ่งเล่นในไร่ บ่ายๆ เย็นๆ ก็กลับเข้าเมือง แต่ด้วยสาเหตุบางประการ มีอยู่หนึ่งครั้งที่ จขกท.กับน้องชายจำต้องอยู่ในไร่ตลอดจนกว่าการเก็บเกี่ยวจะเสร็จสิ้น
และก็แจ็คพ็อตเจอเรื่องประหลาดนี้เข้าจังเบอร์

บ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ผม น้อง และลุงยอด (พี่ชายแม่ ชื่อคุ้นๆ มั้ยเอ่ย) ซึ่งแวะมาเยี่ยมและมาช่วยดูงานเป็นบางครั้ง เดินทางมาถึงไร่
สังเกตจากแปลงอ้อยที่โล่งเตียนไปมาก ก็เดาได้ไม่ยากกว่าคงทำงานกันมาแล้วหลายวัน มีคนงานชายหญิง
และเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม (ณ ตอนนั้น) เดินกันขวักไขว่ ไร่ที่เคยเงียบเหงาครึกครื้น  เสียงซาวน์แทร็กดังจอแจไปหมด
ต้องกดซับบรรยายไทย คนงานกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ลุงกับพ่อใช้บริการเป็นประจำทุกปี พวกเขาสร้างเพิงพักแบบง่ายๆ หลายหลังสำหรับอาศัยชั่วคราว

และไม่นานนัก ด้วยข้าวเหนียวกับหมูแดดเดียวที่เขาปันให้กิน ผมก็สนิทกับเขาง่ายๆ แบบนั้นล่ะ

ตกเย็นลุง (พี่ชายพ่อ) กับพ่อก็ปลีกตัวเข้าไปพักผ่อนแต่หัววัน ขณะนั้นเพิ่งจะราวๆ หกโมง ผมและน้องก็นั่งเล่นกับเหล่าคนงาน
บริเวณรอบกองไฟที่ใช้หุงหาอาหาร บรรยากาศเป็นไปอย่างครื้นเครง สนุกสนาน จนหนึ่งในนั้นพูดโพล่งขึ้นมากลางวง
ผมก็ลืมกดซับไทย เอาที่แกะได้ เขาพูดประมาณว่า “ปีนี้จะเจออะไรแบบปีก่อนมั้ยวะ”

ผมกับน้องชายงง พลางหันไปมองรอบๆ ทุกคนเงียบกริบกันหมด มีความรู้สึกว่า มีแค่สองคนเท่านั้นที่ไม่เข้าใจสิ่งที่คนงานพูดคือผมกับน้อง
จึงถามออกไปด้วยความสงสัย แต่คนงานก็ถกกันว่าจะเล่าดีหรือไม่ จนสุดท้ายมีหนึ่งคนบอกว่าอย่าไปเล่าให้เด็กมันฟังเลย เดี๋ยวจะกลัวเปล่าๆ สุดท้ายค่ำคืนนั้นก็จบลงโดยที่ผมไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไรกัน

วันต่อมาคนงานเข้าไปตัดอ้อยกันจนหมด เหลือหนุ่มวัยรุ่นกับเด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน อีก 2-3 คน ผมกับน้องก็ออกมาเล่นด้วย
และเสนอความคิดว่า เล่นซ่อนแอบกันมั้ย เด็กๆ คนอื่นตอบตกลงในทันที แต่หนุ่มวัยรุ่นสวนขึ้นมาว่าไม่เล่นอะไรที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ มันไม่ปลอดภัย ผมก็ถามว่าไม่ปลอดภัยยังไง เด็กหนุ่ม (สมมุติว่าชื่อต้น) พี่ต้นเงียบไปครู่ แล้วถาม

“น้องสองคนอยู่ที่นี่มานานรึยัง”

ผมก็ตอบไปตามประสาว่านานแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยได้มานอนที่ไร่ มาๆ ไปๆ มากกว่า พี่ต้นพยักหน้า
แล้วถามต่อว่าเคยมีใครเจออะไรแปลกๆ บ้างมั้ย ผมกับน้องมึนตึ้บเช่นเคย ก็ตอบตามความจริงว่าไม่เคย ไอ้ที่แปลกสุดก็เจอแค่งูเงี้ยวเขี้ยวขอตัวใหญ่กว่าท่อนแขนก็เท่านั้น พี่ต้นกวักมือเรียกให้พวกผมเดินอ้อมไปด้านหลังเพิงพัก และชี้นิ้วตรงไปบริเวณกลางไร่
มีต้นมะม่วงขึ้นอยู่ 1 ต้น เขาถามว่าใครเป็นคนปลูกต้นมะม่วงต้นนั้น

“ไม่รู้สิ ตั้งแต่จำความได้มันก็มีอยู่แล้ว น่าจะขึ้นมานานแล้ว” ผมตอบพี่ต้น
พี่ต้นได้ยินคำตอบจึงถามต่อ “แล้วมีใครเคยเก็บลูกมะม่วงต้นนั้นกินบ้างมั้ย”
ผมนิ่งคิดอีกครั้ง จะว่าไปต้นมะม่วงต้นนี้ไม่เคยออกลูกให้เจ้าของไร่ได้เก็บกินสักครั้งจริงๆ หลายต่อหลายปีที่เฝ้ารอ ก็ไม่เคยออกผลแม้แต่ครั้งเดียว และที่สำคัญ ขนาดของมันไม่โตขึ้นแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี สูงแค่ไหนก็สูงแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติจนต้องตกอกตกใจ
“ไม่เคยเลยพี่ต้น ทำไมเหรอ” ผมตอบพร้อมถาม

พี่ต้นพากลับมานั่งที่เพิ่งพัก และเริ่มเล่าเรื่องแปลกๆ ให้ฟัง เป็นเรื่องเดียวกับที่ค้างคาตั้งแต่เมื่อคืน
“ฟังให้ดีนะพี่ไม่ได้จะหลอกให้กลัวนะ แต่เรื่องที่จะเล่าเนี่ย พี่ได้ฟังมา ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เรื่องเป็นแบบนี้ เมื่อปีก่อน ลุงกับพ่อเราน่ะ
ก็จ้างพวกพี่มาตัดอ้อย ก็ทำกันจนเสร็จ แปลงอ้อยเตียนโล่ง ไม่มีอะไรผิดปกติจนถึงวันสุดท้ายก่อนกลับ คืนนั้นก็นั่งกินข้าว
ร้องเพลงกันเหมือนเช่นทุกวัน จนน่าจะสักประมาณสองทุ่มได้มั้ง  น้าแซมลุกขึ้นไปฉี่ไม่ไกลจากตรงนี้ เขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในความมืด”

“อะไรเหรอ” ผมถามด้วยใจระทึก
“ดวงไฟ” พี่ต้นตอบ “น้าแซมเห็นดวงไฟลอยอยู่กลางไร่ แถวๆ ต้นมะม่วงต้นนั้น” เขาพูดพลางชี้นิ้ว
“ไฟรถหรือเปล่า” ผมถามต่อ
พี่ต้นมองหน้าผม แล้วก็เด็กๆ “ตอนแรกน้าแซมก็คิดว่าเป็นไฟรถเหมือนน้องนั่นล่ะ แต่ไปๆ มาๆ เริ่มไม่แน่ใจ”
ผมทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่พี่ต้นจะพูดต่อ

“ไม่มีทางเป็นไฟรถ ก็ดวงไฟสีขาวนั่นมันลอยขนานพื้นอยู่พักเดียว ดันทะลึ่งลอยสูงขึ้นไปบนยอดมะม่วงซะงั้น”

พี่ต้นเล่าต่อว่า น้าแซมเป็นคนเห็นคนแรก เอะอะโวยวายเรียกเพื่อนๆ ที่ยังไม่หลับให้ตามไปดู แต่เมื่อกลับไปอีกครั้ง
ดวงไฟที่ว่าก็หายไป ไม่มีใครเห็นนอกจากน้าแซมคนเดียวเท่านั้น แต่แกก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าไม่ได้ตาฝาด

ช่วยไม่ได้ที่ใน ณ ตอนนั้น จขกท. ยังเป็นเด็กน้อยหน้ามนคนซื่อๆ จึงจินตนาการถึงบางอย่างที่ไม่ชวนพิสมัยเท่าไหร่
ผมคิดถึงผีจำพวกหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายๆ แบบนั้น
“กระสือรึเปล่าพี่” ผมถาม
“ไม่รู้สิ แต่ก็อย่างที่เห็น แถบนี้บ้านคนก็ตั้งห่างๆ หลัง ตรงข้ามไร่ของพ่อน้อง ก็ไม่มีเพื่อนบ้าน เป็นแปลงอ้อยเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีดวงไฟลอยไปมา ถึงจะมีคนมาส่องหากบหาเขียดจริง แต่แสงไฟก็ไม่น่าจะลอยขึ้นสูงได้ขนาดนั้น มันลอยขึ้นไปถึงยอดนะคิดดู แล้ววนเวียนอยู่สองสามรอบก็หายไปต่อหน้าต่อตา น้าแซมเขาบอกแบบนั้นน่ะนะ” พี่ต้นร่ายยาวเหยียด

“แล้วยังไงล่ะพี่ สรุปก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรงั้นเหรอ” ผมเริ่มรู้สึกกลัว
“ก็ไม่รู้น่ะสิ ประจวบกับเช้าวันต่อมา งานเสร็จก็เลยยกโขยงกลับกันจนหมด ก็เพิ่งได้กลับมาอีกก็วันนี้ ที่จริงพี่ก็ลืมไปแล้วนะ แต่เมื่อคืนน้าแซมดันโพล่งขึ้นมาซะงั้น ขนลุกเลยเนี่ย” พี่ต้นนิ่งก่อนพูดต่อ
“แต่ที่แน่ๆ มันมีบางอย่างแปลกๆ แบบที่ไม่ต้องรอน้าแซมเล่า จะดูมั้ยล่ะ” พี่ต้นถาม
ผมกับน้อง พร้อมเด็กๆ ที่เหลือทุกคนพยักหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง
“งั้นตามมา” พี่ต้นบอก พร้อมกับเดินไปหยิบมีดเล็กๆ ติดตัวมาด้วย

อ้อยแถวนี้ถูกตัดและขนส่งไปโรงงานหลายรอบแล้ว บริเวณบ้านจนถึงต้นมะม่วงจึงเป็นแปลงดินโล่งๆ
พวกเรากึ่งเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะไปตามแนวคันดิน เศษใบอ้อยแห้งเกลื่อนเต็มพื้น ไม่นานก็มาถึงใต้ต้นมะม่วงต้นนั้น
ผมจำได้ว่าเคยมาปีนเล่นบ่อยๆ กิ่งก้านของไม้ผลต้นนี้ แผ่ออกไปค่อนข้างจะกว้าง แทนที่จะพุ่งสูงขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ให้เงาร่มได้ดี
ใบที่หนาแน่น บังแสงแดดจนเกือบหมด นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทั้งที่ไม่ออกผลให้กิน แต่ทำไมไม่ถูกโค่นไปทำฟืน

จากที่ไม่เคยคิดอะไร แต่ในตอนนี้ เมื่อมายืนอยู่ข้างใต้ ก็เกิดความรู้สึกเย็นวาบแปลกๆ เหมือนกัน

พี่ต้นเดินวนเวียนรอบต้นมะม่วงอยู่สักครู่ ชี้ให้ดูแล้วเล่าว่า น้าแซมเห็นดวงไฟลอยเอื่อยๆ อยู่ตรงนี้ ก่อนที่จะทะยานขึ้นไป
ผมจ้องมองสูงฝ่าใบไม้จำนวนมหาศาลเบื้องบน แทบไม่มีแสงแดดลอดลงมา
“สงสัยเพราะใบหนารึเปล่าพี่ เลยไม่เคยออกลูกให้กินเลย”
“ก็ไม่รู้สิ ต้นมะม่วงที่ไม่เคยออกลูกเลยก็มีเยอะนะ แต่กับต้นนี้บอกไม่ถูก ลองดูเอาเองนะ” พี่ต้นตอบ

ผมทำหน้าสงสัย พี่ต้นไม่รอช้า เดินเข้าไปใกล้ๆ ยกมีดขึ้นมากรีดผิวลำต้นทันที และน่าพิศวง ยางไม้ที่ไหลเยิ้มออกมาแทนที่จะเป็นสีใสๆ
หรือขาวขุ่น กลับเป็นยางเหนียวๆ สีแดงคล้ำไหลเยิ้มออกมาแทน

ผมถามทันทีที่พี่ต้นใช้นิ้วป้ายของเหลวนั้นมาขยี้ด้วยปลายนิ้ว
“ทำไมยางมะม่วงมันสีแดงแบบนั้นล่ะ” พี่ต้นส่ายหัว แล้วบอกว่า “ไม่รู้เหมือน ปีที่แล้วมาลองกรีดดู มันก็แดงแบบนี้ล่ะ ปีนี้กลับมาคิดว่าอาจจะเป็นความผิดปกติอะไรรึเปล่า แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ ยางมันยังเป็นสีแดงแจ๋อยู่ดี”

สายลมพัดจนใบมะม่วงกระทบกัน เกิดเป็นเสียงเบาๆ ดังรอบทิศ ผมรู้สึกแปลกๆ เด็กคนอื่นก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน น้องชายที่มาด้วยกันเข้ามาชวนให้กลับบ้าน ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะความรู้สึกที่มีต่อต้นไม้ต้นนี้เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยมาปีนเล่นอย่างสนุกสนาน นอนเล่นอย่างสบายใจ
กลับกลายเป็นความกลัวซึ่งแทรกเข้ามาแทนที่ซะงั้น

ตัดฉับกระชับฉับไว...
ช่วงเย็นพ่อกับลุงไปทำธุระ ทิ้งผม, น้องชาย และลุงยอดไว้ที่บ้านในไร่ ผมมีโอกาสเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ยินให้ลุงยอดฟังจนหมด
เมื่อฟังจบ เขายิ้มให้และบอกสั้นๆ ว่า ไม่มีอะไร... เรื่องไม่เป็นเรื่อง

ค่ำนั้นเราทุกคนไม่ห่วงเรื่องอาหารการกิน เพราะสามารถฝากท้องกับเหล่าคนงานที่แสนใจดีได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
คนงานก่อไฟอย่างเรียบง่ายแต่ก็รวดเร็ว ไม่ช้าไฟสองกองก็ลุกสว่างโชติช่วง แต่น่าเสียดาย ที่เมนูวันนี้
พวกเราทั้งสามคนไม่สามารถกัดฟันร่วมกินได้ เพราะฟูลคอร์สของเหล่าคนงานเป็นงูอะไรก็ไม่รู้ ตัวทั้งใหญ่ทั้งยาว
พวกเขาลอกเกร็ดและหนังอย่างชำนาญ ดึงออกมาเป็นแผ่น ลักษณะคล้ายคราบ เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่แห้งกรอบเป็นแผ่นๆ แต่เป็นหนังสดๆ เลือดไหลรินออกมาเป็นลิ่มๆ งูตัวยาวถูกนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ แปลสภาพเป็นผัดเผ็ดอะไรสักอย่างที่ชวนเปิบสำหรับเหล่าคนงาน
แต่ชวนแหวะสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยแบบเราๆ

ผมคิดในใจ.... โอ้วว น่าสงสารจริง แม่สาวน้อย

ผมกับน้องกินได้แค่ข้าวเหนียวเปล่าๆ จิ้มกับน้ำตาลทราย มองดูคนงานสังสรรค์กันอย่างสนุก ไร่ที่เคยเงียบเหงาดูครึกครื้นเหลือเกิน
เสียงร้องรำทำเพลงดังไปทั่ว ผ่านไปสักพัก มีผู้ชายคนหนึ่งถามพี่ต้นว่าตอนสายๆ ไปทำอะไรที่ต้นมะม่วง พี่ต้นอึ้งไปเล็กน้อย
อ้อมแอ้มไม่เต็มปากว่าพาพวกผมไปดูอะไรบางอย่าง เขาโดนตำหนิว่าไปบอกเด็กแบบนั้นได้อย่างไร ผมจึงรีบบอกว่า อยากรู้
และเป็นคนขอให้พี่ต้นเล่าให้ฟัง

ขณะนั้นเริ่มโพล้เพล้ ตะวันตกดินไปร่วมชั่วโมง วงสันทนาการที่เคยสนุกสนานดูกร่อยลงเล็กน้อย ผู้ชายวัยกลางคนๆ หนึ่งที่ชื่อแซมพูดต่อว่า
“เอาเหอะ ไม่ต้องไปโทษต้นมันหรอกน่า บอกเด็กๆ เอาไว้บ้างก็ดี จะได้ระวังตัว อย่างน้อยตอนกลางค่ำกลางคืน จะได้ไม่กล้าออกไปวิ่งเล่นไหน ผีเพ่ออาจจะไม่มีจริง แต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอน่ะเต็มไร่เลยนะขอบอก”

ผมมองดูซากหนังงูที่ห้อยต่องแต่ง ภาวนาว่าตัวที่ยังมีชีวิต แลบลิ้นแผล่บๆ อวดศักดาว่าข้าคืองู จงลี้ไปให้ไกลในเวลานี้
ถ้าไม่อยากมีสภาพเหมือนเพื่อนของมันที่เหลือแค่ซากห้อยอยู่บนไม้รวก

เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ผมจึงถามไปตามประสาเด็กที่อยากรู้อยากเห็น “น้าเป็นคนเห็นดวงไฟนั้นเหรอ”
น้าแซมหันมามองหน้าผมสักพัก ก่อนคีบเนื้องูแสนอร่อยเข้าปาก “ก็เออสิวะ ยังกับผีกระสือ แต่ไอ้พวกนี้หาว่าน้าโกหก”
จากนั้นมีน้าอีกคนที่เป็นหญิง (สมมุติชื่อนวลนะครับ) น้านวลก็ตำหนิว่าอย่าพูดแบบนั้น เดี๋ยวเด็กจะกลัวเอา
น้าแซมก็ตอบกลับไม่ยี่หระเท่าไหร่ “ก็อย่างที่บอกไง เตือนๆ กันไว้ ถึงจะเป็นเด็ก ก็มีสิทธิ์รู้นะ”
น้านวลถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก ส่วนผมรู้สึกขนลุกขึ้นมา จึงเขยิบเข้าไปใกล้กองไฟอิงไออุ่นสักนิด สักพักน้องชายผม รวมถึงเด็กๆ
ก็เริ่มง่วง จึงแยกย้ายกันไปนอน แต่ผมและลุงยอดยังไม่ง่วง จึงนั่งคุยอยู่กับพี่ๆ คนงานต่อ

พวกเราคุยเรื่อยเปื่อยสัพเพเพระ รวมถึงเรื่องผีๆ ด้วย น้าแซมเล่าว่า ทางภาคอีสาน ไม่ค่อยกลัวผีกระสือเท่าไหร่
อยากจะเห็นด้วยซ้ำ ว่าแท้จริงรูปร่างเป็นเหมือนที่เคยเห็นในทีวีหรือได้ยินในวิทยุรึเปล่า คือมีหัว มีเครื่องใน ลอยได้กลางอากาศ
ยังบอกต่ออีกว่า พี่น้องชาวอีสานหวาดกลัวผีปอบมากกว่า

ผมคิดในใจ ผีปอบเหรอ เหมือนจะเคยได้ยินแม่เล่าให้ฟัง จึงหันไปมองผู้ชายคนข้างๆ ลุงยอดนั่งเงียบไม่พูดไม่จา

เวลาในตอนนั้นราวสองทุ่ม บรรดาคนงานยังคงคุยไปกินไปอย่างสนุกสนาน ส่วนผมเริ่มง่วงนอน ผมมองไปที่ซากหนังงูอีกครั้ง
ขนาดของมันคงไม่เล็กกว่าท่อนแขน ถ้าเป็นงูเห่า หรือจงอาง แล้วโดนมันกัดเข้า คงไม่แคล้วได้ไปเฝ้ายมบาลเป็นแน่
ระหว่างนั้นเองความง่วง สลึมสลือก็หายไปในทันที เมื่อไกลออกไปหลังซากงู ผมเห็นอะไรบางอย่างลอยอยู่
เป็นดวงไฟสีขาวนวล

ผมลุกพรวดอย่างรวดเร็วจนลุงยอดสะดุ้ง ผมจ้องลุงยอดสลับกับน้าแซม แล้วชี้นิ้วตรงไปยังทิศทางที่คาดว่าต้นมะม่วงแฝงอยู่ในความมืด
ลุงยอด น้าแซม พี่ต้น รวมถึงคนงานที่เหลือประมาณ 5-6 คน หันขวับทันที ไม่ไกลจากต้นมะม่วงเท่าไหร่ ดวงไฟสีขาวเคลื่อนที่ช้าๆ

แสงที่ว่าถึงจะเป็นสีขาว แต่ไม่สว่าง ดูหม่นๆ หมองๆ ยังไงชอบกล

คนงานมากกว่าครึ่งผงะไป ส่วนน้าแซมคงตะลึงอยู่ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็คว้าท่อนฟืนมาจากกองไฟตรงหน้า แล้วบอกทุกคนที่ยังอยู่
“นั่นไง gu บอกแล้วไม่เชื่อ เห็นรึยัง”
เสียงพูดคุยดังระงมขึ้นมาทันที มีการพูดคุยว่าจะเอายังไง บ้างก็บอกให้เข้าไปดู บ้างก็บอกให้แยกย้ายเข้านอนไม่ดีกว่าเหรอ
ผมขนลุกซู่ ทั้งที่นั่งติดกับกองไฟ

“คนเยอะแยะ เข้าไปดูกันให้หมดนี่ล่ะ หยิบไฟติดไม้ติดมือกันด้วย” ลุงยอดพูดก่อนคว้าท่อนฟืนขึ้นมาโบก
คนงานที่เหลือต่างหยิบท่อนฟืนไปคนละท่อน แล้วเดินไปคว้ามีดตัดอ้อยคมกริบติดมือไปทุกคน ลุงยอดบอกให้สุมไฟทิ้งไว้
และอย่าโวยวาย เดี๋ยวพวกผู้หญิงกับเด็กๆ รู้จะแตกตื่นกันไปใหญ่
น้าแซมเดินนำทุกคนข้ามแปลงอ้อย ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นดินโล่ง ตรงไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างไปราวร้อยเมตร เมื่อมีคนมาก
ความฮึกเหิมก็มากตาม ความหวาดกลัวกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็น (หมายถึงคนงานนะครับ ไม่ใช่จขกข. >< )
“หายไปแล้วน้าแซม” พี่ต้นบอกเมื่อกลุ่มคนเดินมาถึงใต้ต้นมะม่วง เงาดำทะมึนของมันดูใหญ่ขึ้นไปสักสองเท่าจากเมื่อตอนกลางวันเห็นจะได้
คนงานทุกคนเดินรอบต้นไม้ กวัดแกว่งท่อนไฟในมือ หาสิ่งต้องสงสัย ส่วนลุงยอดกับผมยืนลุ้นอยู่
และต้องลุ้นยิ่งขึ้นเมื่อมีหนึ่งในคนงานปีนขึ้นไปบนต้นมะม่วงอย่างคล่องแคล่วและบ้าบิ่น

ท่ามกลางการลุ้นระทึก ในที่สุดผู้ชายที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ก็ส่งเสียงขึ้น
“บนนี้ไม่มีอะไร” คนงานคนนั้นตอบ ก่อนเดินไต่ไปตามกิ่งไม้จากส่วนที่ติดลำต้นไปจนถึงปลายกิ่งก่อนกระโดดลงพื้นเสียงดัง ตุ๊บ
เหล่าคนงานจับกลุ่มคุยกันด้วยความสงสัยอีกครั้ง ในตอนนั้นเองลุงยอดก็พูดเสียงแผ่วเบาลอดไรฟันออกมา

“นั่นมันอะไรวะ” แล้วชี้ไปยังทิศทางที่พวกเราจากมา... เขาชี้กลับไปที่บ้าน

ผมรวมถึงคนงานทุกคนหันขวับไปมองทันที ในตอนนั้นคนงานคนอื่นๆ ไม่น่าจะเห็นเพราะได้ยินเสียงพูดวะ “ไหนวะๆ”
และกว่าที่สายตาผมจะจับจ้องสิ่งนั้นได้ มันก็ทะยานหายลับสายตาไป ลองจินตนาการตามดูนะครับ

สิ่งนั้นดูคล้ายผ้าขาวขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็ก ราวๆ ผ้าปูเตียง 3 ฟุตโดยประมาณ ในความมืดนั้นมีแสงเรืองรองในตัวเอง
คล้ายดวงไฟที่เห็นก่อนหน้านี้ มันลอยพริ้วไปตามสายลม แต่ที่น่าพิศวงคือ ผ้าขาวเรืองแสงผืนนั้น โค-ตะ-ระ ลอยผิดธรรมชาติค้านกฏฟิสิกส์
คือมันปลิวไปตามแรงลมก็จริง แต่แล้วก็หยุดอยู่กับที่ค้างอยู่กลางอากาศ ประเดี๋ยวเดียวก็เคลื่อนที่อีก เริ่มจากลอยสูงๆ ต่ำๆ
อยู่บริเวณกองไฟ จากนั้นก็เคลื่อนที่เร็วขึ้นพุ่งตรงไปที่ตัวบ้าน และกางเกาะติดอยู่ที่ประตู

ถึงตรงนี้ผมแน่ใจว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นเจ้าสิ่งนั้น เสียงคนงานพูดคุยกันดัง พยายามเค้นถามลุงยอดว่าเห็นอะไรกันแน่
ส่วนผม (ที่ยังเป็นเด็กกระเปี๊ยก) อยู่ในอาการสับสนและหวาดกลัว แข้งขาสั่น ขนลุกซู่แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กว่าที่ผมจะคิดได้ว่าน้องชายนอนอยู่ในบ้านคนเดียว ก็ตอนที่ลุงยอดวิ่งควบประดุจม้าทะยานออกเป็นคนแรก

น้าแซมกับพี่ต้น และคนงานที่เหลือวิ่งตามออกไปเป็นพรวนทั้งที่ไม่รู้อะไร เหลือผมรั้งท้ายอยู่ใต้ร่มเงาต้นมะม่วงที่มืดครึมต้นนั้น
ช่วงที่กำลังก้าวเท้าออกไปนั่นเอง ดันมีเสียง ตุ๊บ! ดังมาจากด้านหลัง เหมือนเสียงก่อนหน้าที่คนงานกระโดดลงมาบนพื้น
หัวใจดวงน้อยๆ หล่นไปที่ตาตุ่ม ไม่กล้าหันกลับไป อาการขาแข็งคงเป็นแบบนี้นี่เอง คือใจอยากจะวิ่ง แต่ขามันก้าวไม่ออก
แต่อย่างไรก็ตาม ความกลัวอยู่เหนือตะคริว ผมสาวเท้าสุดกำลังแป๊บเดียววิ่งขึ้นมาตีคู่กับลุงยอดซะงั้น

เมื่อใกล้ถึงตัวบ้าน ช่วงที่มีเพิงและต้นไม้บังสายตาเพียงครู่เดียว สิ่งที่ผมเห็นว่าคลุมอยู่ที่ประตูเมื่อสักครู่ก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง
มันไหลไปตามผนัง ก่อนผลุบหายไปในความมืด ผมมองหน้าลุงยอด แต่เขาไม่สนใจเลย คนอื่นจะว่าไงไม่รู้ แต่ ณ เมื่อช่วงเวลานั้น
ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าเป็นผีแน่ๆ ถ้าไม่ใช่ผี เอาขี้มาปาหน้าเลย (ประโยคหลังมาเติมเอาตอนโตนะครับ)

ลุงยอดชะงักอยู่หน้าประตูบ้านอยู่สักครู่ ตัวเขาเองก็คงกลัวๆ กล้าๆ ต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนผลักประตูเข้าไป
ผมตามหลังไปติดๆ ใจหนึ่งก็ห่วงน้อง แต่อีกใจก็กลัวผี พวกเราปรี่เข้าไปในห้อง บนเตียงนอน น้องชายยังคงหลับสนิทเป็นปกติ

พี่ต้นกับน้าแซมเดินตามเข้ามาในบ้าน ตรวจทุกซอกทุกมุม ไฟทุกดวงถูกเปิดจนสว่างโร่ ด้านนอกคนงานที่เหลือเดินตรวจรอบบ้าน
แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย หลังจากคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ พวกเรากลับไปนั่งคุยกันที่รอบกองไฟอีกครั้ง และก่อเพิ่มอีกสองกอง พยายามใส่ฟืนโหมไฟให้สว่างโชติช่วงที่สุด คนงานพยายามคะยั้นคะยอถามลุงยอดว่าเห็นอะไร ดวงไฟสีขาวใช่มั้ย แต่ลุงยอดเลี่ยงที่จะตอบ
แค่พยักหน้า เมื่อเห็นดังนั้น น้าแซมซึ่งเก็บกดมาข้ามปีจึงพูดว่า
“เมื่อตะกี้เห็นกันแล้วใช่มั้ย gu บอกแล้วว่าที่นี่มันมีอะไรแปลกๆ ทีนี้เชื่อกันรึยัง”

คนงานจับกลุ่มพากันซุบซิบเซ็งแซ่โดยมีน้าแซมเป็นจุดศูนย์กลาง ด้วยแรงยุของเพื่อนๆ น้าแซมคิดที่จะเดินตามหาเจ้าดวงไฟสีขาวในคืนนั้น
แต่ลุงยอดพูดขึ้นมาว่าให้แยกย้ายกันนอนจะดีกว่า และหากไม่จำเป็นอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ซึ่งผมก็คิดอยู่ว่าคงเป็นไปได้ยาก
อย่างแรก คนงานส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างที่สอง ลุงยอดไม่ใช่นายจ้างโดยตรงของพวกเขา

พี่ๆ คนงานยืนคุยกันอยู่อีกพัก ปรึกษาหารือว่าจะเอายังไง แต่เมื่อเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเมื่อสัก 20-30 นาทีก่อนเริ่มอ่อนแรงลง
ในความมืดและหนาวเหน็บ ความฮึกเหิมของพี่ๆ คนงานก็พลอยลดลงไปด้วย จากที่เคยคิดว่าจะลุยตามหาดวงไฟปริศนา
กลับกลายเป็นว่า เพิงพัก 2 หลังที่ใช้เป็นที่หลับนอน ว่างลง 1 หลังในคืนนั้นไปโดยปริยาย

เนื่องจากสุดท้ายแล้ว คนงานทุกคนเข้าไปนอนอัดในเพิงพักหลังเดียวกันซะอย่างนั้น...

ลุงยอดกับผมเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เขาโอบไหล่ผมแต่ไม่พูดอะไร ผมจึงชิงพูดในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
“เมื่อกี้ลุงเห็นผ้าขาวๆ ลอยไปลอยมารึเปล่า”
เขาหยุดเดินก่อนหันมามอง “ผ้าขาวอะไรเหรอ” ลุงยอดตอบสีหน้าฉงน

คำตอบที่ได้รับ ทำให้รู้ว่า กลายผมคนเดียวหรือไรที่เห็นเจ้าสิ่งนั้น  เพราะคนงานตั้งหลายคนก็ไม่มีใครเห็น
แล้วนี่คนที่คิดว่าน่าจะเห็นเหมือนกันก็กลับไม่รู้เรื่อง ก็ได้แต่คิดในใจว่าคงจะตาฝาดไปจริงๆ นั่นล่ะ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้สบายใจ
แต่อย่างไรก็ตาม เด็กน้อยก็ยังมีเรื่องสงสัยให้ต้องตั้งคำถามอีก
“แล้วลุงไม่กลัวผีบ้างเหรอ? ดูไม่ค่อยตกใจเหมือนคนอื่นๆ เลย”

ใต้แสงนีออน ลุงยอดยิ้มแหงๆ  “ก็กลัวเหมือนกันนั่นละ เพียงแต่เคยเจอเรื่องอื่นที่มันน่ากลัวกว่านี้ก็เท่านั้น”

ณ ตอนนั้นผมก็ไม่ทราบว่าลุงยอดหมายถึงเรื่องอะไร แต่ตอนนี้รู้แล้ว
พ่อแม่พี่น้อง ลุงป้าน้าอาที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะทราบเช่นเดียวกันใช่มั้ยครับ?

เช้าวันต่อมาคนงานทั้งหมดทยอยออกไปทำงานกันแต่เช้าตรู่ เพราะนี่จะวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนา
ผมกับน้องชาย ก็ออกมาเล่นกับเด็กๆ เช่นเคย โดยมีลุงยอดตามติดตลอด ด้วยความที่ยังตัวกระเปี๊ยกบาทาเท่าฝาหอย
เรื่องหลอนๆ ที่ประสบมาเมื่อคืนก็ลืมไปจนหมด เราวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนลุงยอดต้องคอยปรามว่าเล่นอะไรก็ให้ระมัดระวัง
แต่นานๆ จะมีเพื่อนให้เล่น ก็ต้องเต็มที่กันหน่อย พวกเราเล่นวิ่งไล่จับ โดยไม่ฟังเสียงเตือนของลุงยอดแม้แต่น้อย

แต่ยิ่งผมวิ่งไกลออกมาจากบ้านเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกเหมือนใกล้อะไรบางอย่างเข้าไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเย็นสันหลังวาบค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
เมื่ออีกไม่กี่เมตร ผมจะเข้าสู่ร่มเงาของต้นมะม่วงต้นนั้น...

แสงแดดร้อนๆ ในตอนกลางวันช่วยลบความหวาดกลัวไปได้แม้ผมจะยืนอยู่ตัวคนเดียว มีเพียงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กที่เหลือ
รวมถึงน้องชายดังอยู่ไกลๆ อันที่จริงตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี เตรียมหันหลังวิ่งกลับบ้าน แต่มีบางอย่างที่เพิ่งนึกขึ้นได้
และเที่ยงวันนี่ล่ะ เป็นเวลาเหมาะสุดที่จะหาคำตอบ

ผมใจสั่น แต่ก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปช้าๆ

เมื่อเข้ามาอยู่ใต้ต้นไม้ ความรู้สึกเย็นวาบก็บังเกิด แต่ก็ไม่คิดว่าผิดปกติอะไร เมื่อตะกี้วิ่งเล่นอยู่กลางแดดนี่น่า พอมาอยู่ในร่มไม้
ก็ต้องเย็นเป็นธรรมดา แต่ก็นั่นล่ะ อะไรแปลกๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ผมต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะเจอคำตอบที่ค้นหาแล้ว

ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย มีผลมะม่วงลูกเบ้อเร่อตกอยู่...

ช่วงแรกๆ มีพิมพ์ไว้แล้วครับ เลยลงรัวๆ ได้หน่อย หลังๆ ต้องด้น

สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าไม่มีใครแกล้ง ก็คงเป็นต้นกำเนิดส่ง ตุ๊บ เมื่อคืนนั้นเอง ผลมะม่วงตกอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่ไม่เคยออกผลมาเป็นสิบๆ ปี
ก็อาจเป็นไปได้ที่โดนแขวะบ่อยๆ เข้ามันเลยออกลูกโชว์ซะเลย ผลมะม่วงสุกหล่นลงมากระแทกกับพื้นดินจนมีรอยปริแตก
ถ้าย้อนไปสัก 2-3 วันก่อน ผมคงจะเดินเข้าไปลอกเปลือกออก แล้วบรรจงแทะอย่างสุภาพ จากนั้นกลับเข้าเมืองเมื่อไหร่ ก็ไปแง้วๆ
ไถตังค์พ่อซื้อลอตเตอรี่... มะม่วงกลมๆ...ก็ศูนย์ละกัน หล่นมาหนึ่งลูกก็เลขหนึ่ง จัดไป ศูนย์หนึ่ง

แต่เผอิญเท่าที่จำได้ มันไม่เคยออกผลให้กินสักครั้ง อาจเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้มาอยู่รึเปล่าก็ไม่ทราบ ดังนั้นความคิดที่จะก้มเก็บมากิน
จึงไม่มีในสมอง ผมวิ่งเข้าไปแล้วเตะมะม่วงผลนั้นกระเด็นไปไกลไม่รู้ทิศทาง จากนั้นโกยแนบกลับบ้านไม่หันกลับไปมอง
ผมนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ลุงยอดฟัง แต่ท่าทางของผู้ใหญ่ที่ไม่อยากให้เรากลัวก็พูดในทำนองเดิมๆ ว่าไม่มีอะไร
แต่ถ้าอยากรู้ว่ามันเคยออกผลให้กินรึเปล่า ก็ให้ไปถามพ่อผมเอาเอง

ช่วงเย็นๆ คนงานเริ่มทยอยกลับเข้ามา ผมตรงดิ่งไปเล่าเรื่องผลมะม่วงให้พี่ต้นฟัง เขาดูสนอกสนใจเป็นพิเศษ แล้วกระซิบบอกว่า
เมื่อตอนเข้าไปทำงาน ได้คุยเรื่องนี้กับเพื่อนๆ แล้วก็น้าแซม ทั้งหมดลงความเห็นกันว่า ไหนๆ พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว คืนนี้ไม่นงไม่นอนมันล่ะ
นั่งกันยันเช้าไปเลย เตรียมเหล้ายาไว้พร้อมโต้รุ่ง จะเฝ้าดูเลยว่าสรุปมันมีอะไรไม่ชอบมาพากลรึเปล่า

ราตรีที่หนาวยะเยือกกลับมาเยือนอีกรอบ ค่ำนี้พ่อกับลุง (พี่ชายพ่อ) กลับเข้ามาในไร่ หลังจากเคลียร์ค่าใช้จ่ายจบ ก็พาน้องชายผมเข้านอน
เพราะพรุ่งนี้ต้องไปส่งเหล่าพี่ๆ คนงานแต่เช้า พวกเราต้องปิดปากเงียบ ไม่เล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับลุงฟัง
เพราะแน่ใจว่าจุดจบของการโพล่งเรื่องนี้ออกไปจะเป็นอย่างไร

จากเมื่อวานมีกองไฟสองกอง วันนี้คูณสองเข้าไป กองไฟสามกองเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน กั้นระหว่างเพิงกับแปลงดิน
อีกกองเป็นที่ทำอาหาร น้านวลและคนงานอื่นๆ ก็ดูสงสัย แต่ไม่มีใครบอกอะไร คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกแค่ว่าอากาศหนาว
ก่อไฟเยอะๆ ช่วยให้อุ่นก็เท่านั้น เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ เป็นระยะ พอไฟอ่อนคนงานก็เติมเรื่อยๆ ไม่ยอมให้มอด
ผมคิดในใจ หลังเกิดเรื่องนี้ ถ้าพวกเขาอยู่กันอีกสักสัปดาห์ ต้นไม้ในไร่คงหายเกลี้ยงเป็นแน่

พี่ต้น, น้าแซมและคนงานชายล้วนอีก 3 รวมผมกับลุงยอดนับได้ 7ชีวิต นั่งรออะไรบางอย่างอยู่ข้างกองไฟ...

เหล้าสองขวดวางอยู่ข้างกองไฟ อีกขวดแจกจ่ายให้ซดกันคนละหน้ากากจิงโจ้ (คนละเป๊ก) พวกเราพยายามหาเรื่องที่มันจรรโลงใจคุยกัน
ไม่ว่าจะเป็นเมนูพิสดารต่างๆ บ้างก็เล่าเรื่องฮาๆ ของแต่ละคน แต่สุดท้ายก็มาจบลงที่เรื่องสยองขวัญเหมือนเดิม
แต่ในค่ำคืนนั้น เรื่องเล่าของใครก็ไม่ทำให้อินเท่าของลุงยอด เพราะหลังจากเหล้าเข้าปากไปจนกรึ่มๆ ได้ที่
จากเป็นคนพูดน้อย ก็พูดเก่งขึ้นเยอะ พอดีกับที่กำลังเจอเรื่องดวงไฟลี้ลับ ลุงยอดก็เลยเล่าวีรกรรมสุดคลาสสิคของพี่ชายจอมห้าวให้ฟัง
(มีโอกาสจะเล่าให้ฟังครับ สั้นมากแต่สนุก)

เวลาผ่านไปวงเหล้ายังคงครึกครื้น แต่ผมเริ่มง่วงขึ้นมาตะหงิดๆ ลุงยอดเลยไล่ให้ไปนอน แต่ก่อนที่จะไป
หนึ่งในคนงานก็เอะอะบอกว่าเห็นดวงไฟอยู่แถวต้นมะม่วง (อีกแล้ว) ผมก็ตาสว่างจ้องฝ่าไปในความมืด จนสายตาเริ่มชิน
พยายามเพ่งอยู่นานก็ไม่เห็นอะไร หรือเพราะกองไฟมันสว่างเกินไปหรือยังไง

เหล่าคนงานรวมถึงลุงยอดซึ่งได้น้ำวิเศษปลุกความกล้าในตัวมาสักระยะ ลุกพรึ่บขึ้นพร้อมกัน
ตะโกนแบบไม่กลัวนายจ้างตื่น “ไปโว้ย!”

ทั้งหมดหยิบอุปกรณ์ป้องกันตัวกันครบไม้ครบมือ ทั้งมีดตัดอ้อย เสียม ท่อนไม้ รวมถึงคบไฟ แล้วผมล่ะ หันซ้ายหันขวาไม่เหลืออะไร
เอ๊ะ... เจอพอดี ฝาหม้อเก่าบุบๆ บู๊บี๊อันหนึ่ง เอาวะ เป็นสตีฟ โรเจอร์ก็ยังดี แต่ยังไม่ทันได้หยิบ ลุงยอดก็บอกว่า
“รออยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ต้องตามไป” พูดจบก็วิ่งยกโขยงไปกันหมด เหลือผมยืนโด่เด่อยู่คนเดียว

แสงจากคบไฟเป็นกระจุกเคลื่อนที่ไปในความมืด และหยุดลงที่ใต้ต้นมะม่วง จากนั้นก็กระจายกันออกไป
ผมอยู่ค่อนข้างห่าง ได้ยินเพียงเสียงแว่วๆ ของคนงาน พูดกันว่าไม่เห็นมีอะไรเลย เมาแล้วตาฝาดรึเปล่า
จากนั้นก็ได้ยินเสียงลุงยอดดังเตือนว่า อย่าไปฟันต้นมะม่วงอะไรทำนองนั้น คงมีใครสักคนหงุดหงิดเลยระบายอารมณ์ลงที่ต้นมะม่วง

ผมยืนมองเหล่าคนงานสักพัก จึงหย่อนตัวนั่งลง โยนกิ่งไม้เติมเข้าไปในกองไฟ ได้ยินเสียงฟืนแตกดัง เปรี๊ยะๆ อยู่พักหนึ่ง
ก็มีเสียงดังสลับมา แซกก... แซกก เสียงเหมือนใครเอาไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดพื้นช้าๆ อะไรประมาณนั้น
ผมลุกขึ้นยืนมองไปทางต้นมะม่วง คบไฟยังวนเวียนอยู่แถวนั้น แล้วเสียงก็ดังอีก แซกก... แซกก

หลังจากที่ดังอีกรอบ คราวนี้ชัวร์เลย เสียงไม่ได้ดังมาจากทิศนั้น มันดังมาจากข้างหลังผมนี่เอง


ผมค่อยๆ หันกลับไปกวาดสายตามองอย่างหวาดๆ แม้จะกลัวอยู่บ้าง แต่ก็คิดอยู่ว่าในบ้านมีพ่อ มีลุง แถมน้องชายอีกคน
ไม่น่ากลัวเท่าเมื่อวานที่น้องชายนอนอยู่คนเดียว คิดไป มองไป รอบๆ บริเวณบ้าน ไม่พบดวงไฟสีขาวขนาดลูกฟุตบอลนั่นเลย
คงเป็นสัตว์ที่ออกมาหากินมากกว่า สัตว์เหรอ? เพื่อความปลอดภัยก็ก้มลงไปหยิบฟืนขึ้นมาหนึ่งดุ้น กราดซ้ายทีขวาที
กลัวแม่สาวน้อยจะเลื้อยมาฉกเอา

แสงจากคบไฟช่วยให้สว่างขึ้น ผมส่ายไปมา พยายามส่องไปที่พื้น เพราะกลัวงู หรือแมงป่อง หรืออะไรก็ได้
ที่มันสามารถทำอันตรายกับเรา หารู้ไม่ว่าบนพื้นไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว นอกจากยอดหญ้า แต่มีบางสิ่งเคลื่อนที่อยู่ด้านบนต่างหาก
มารู้สึกก็ไอ้ตอนที่เหมือนหางตาเห็นอะไรขยุกขยิกอยู่ ผมค่อยๆ ยกคบไฟขึ้น แสงสว่างของพระเพลิงค่อยๆ
กลืนกินเงามืดบนผนังไปทีละน้อย  และเมื่อแสงไต่ระดับไปถึงขอบผนังก็ไปสะดุดกับสิ่งที่คนอื่นกำลังพยายามค้นหา

แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น มันไม่ได้อยู่ใต้ต้นมะม่วง มันอยู่ในบ้าน

ณ ตรงนั้น บริเวณช่องว่างราว 15 ซม. ระหว่างหลังคากับผนัง มีวัตถุสีขาวๆ ลอยพลิ้วอยู่ในเงาสลัวๆ
ก็ไม่อยากพูดให้เสียอรรถรสนะครับ แบบว่าบางท่านอาจกำลังลุ้นระทึก จะกลายเป็นตลกเอา
คือส่วนอื่นคงซ่อนอยู่หลังผนังด้านในบ้านนั่นล่ะ แต่ไอ้ที่โผล่ออกมา และกำลังเคลื่อนไหวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใต้หลังคา
มันเหมือนมือของผีน้อยคิวทาโร่ครับ (ใครไม่รู้จักรบกวน google) เพียงแต่อารมณ์ตอนนั้นมันตลกไม่ออก จะเรียกพ่อก็กลัว
(ไม่ใช่กลัวพ่อนะครับ แต่กลัวบางอย่างที่มันอยู่ในบ้าน)

ผมทั้งงงทั้งกลัว แต่ก็ยังแข็งใจ (จริงๆ คือตะลึงทำอะไรไม่ถูก) ยืนจ้องดูอยู่ จนเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนที่ไปข้างๆ
พร้อมกับเสียง แซกก… แซกก... นั่นล่ะ ถึงเพิ่งคิดได้ว่าควรจะเผ่นได้แล้ว ผมโยนท่อนฟืนในมือลอยคว้างขึ้นไปกลางอากาศ
แบบไม่กลัวจะหล่นใส่กบาลตัวเอง  กลับหลังหัน เดินซอยเท้าถี่ๆ สั้นๆ อย่างเงียบที่สุด กลัว (แบบเด็กๆ น่ะครับ)
กลัวว่าเจ้าสิ่งนั้นจะได้ยินแล้วพุ่งเข้าใส่เหมือนที่โผไปเกาะประตู ครั้นพอทิ้งระยะได้พอสมควร
ก็โกยแนบตรงไปทางกลุ่มลุงยอดกับคนงานแบบไม่หันหลังกลับมามองเลย

“ลุงยอด!” ผมวิ่งไปตะโกนไป ฝุ่นตลบ “ลุงยอด!”
กลุ่มคนที่กำลังค้นหาอะไรบางอย่างหันขวับมามองเด็กน้อยที่กำลังซอยเท้าเข้าไปหา ลุงยอดกับพี่ต้นถามแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
“มีอะไร! วิ่งหนีอะไรมา!”
ถ้าเป็นตอนนี้ผมคงตอบไปว่า ควบเป็นม้าขนาดนี้ วิ่งหนีผีเสื้อมามั้ง แต่เผอิญตอนนั้นความกวนยังเป็นแค่หน่ออ่อน ยังไม่ผลิดอกออกผล
ก็ตอบกลับไปเร็วปรื๋อ “มันอยู่ในบ้าน” ผมหอบตัวโก่งเอาสองมือเท้าเข่าและพูดซ้ำอีกรอบ “มันอยู่ในบ้าน”

ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายต่อ เพียงแค่นั้นทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร หลายคนหน้าเหว๋อ สร่างเป็นปลิดทิ้ง
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้นมะม่วงแทบกระโดดออกมาทันที เขามองดูผลงานตัวเองที่ฝากไว้ตรงโค่นต้นมะม่วง มียางขุ่นๆ สีแดงไหลซึมอยู่
ด้วยสีหน้าตระหนก

“ตะ... ตาฝาดรึเปล่า หะ... เห็นตรงไหน แล้วเห็นได้ยังไงไอ้หนู” น้าแซมถามตะกุกตะกัก
ความจริงตอนนั้นควรจะรีบบอกให้ทุกคนกลับ เพราะยังมีคนนอนหลับอยู่ในบ้าน แต่เด็กน้อยแสนซื่อ ผู้ใหญ่ถามมาก็ดัน
เล่ากลับแบบ HiDef ให้ฟังซะงั้น

“ไม่ฝาดฮะ นั่งอยู่ตรงกองไฟนั่นล่ะ ได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนใครถูๆ เอ้ย! ขูดๆ ลากๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นงู กิ้งเหลน จิ้งก่า (ลิ้นพันกันไปหมด)
เลยเอาไฟส่องดู มันมีอะไรไม่รู้อยู่ตรงฝาบ้าน เป็นผ้าสีขาวๆ โผล่มาตรงซอกหลังคา ส่ายไปมาเหมือนถูกลมพัดน่ะ”

ลุงยอดหันขวับไปมองน้าแซม น้าแซมหันไปมองพี่ต้น พี่ต้นหันไปมองเพื่อน เพื่อนเขาหันมามองผม เออ... จะมองกันถึงเช้าเลยมั้ย
แต่สุดท้ายทุกคนก็หันไปมองลุงยอด กลายเป็นว่าเขาต้องรับบทนำชายที่ไม่ถนัดโดยไม่รู้ตัว เพราะปกติถนัดสมทบชายมากกว่า

“กะ... ก็ไปสิ จะรออะไรกันอยู่” ลุงยอดตอบแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
กลุ่มคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงกลับไปที่บ้านแบบกล้าๆ กลัวๆ และคราวนี้ผมไม่อยู่รั้งท้ายแน่นอน กลัวจะมีอะไรหล่นใส่ให้ต้องตกใจอีก...

เมื่อเดินกลับมาถึงบ้านอีกครั้ง ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เรื่องดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้น เมื่อมีแขกไม่พึงประสงค์รออยู่บริเวณกองไฟ
พ่อกับลุงยืนเท้าเอวสีหน้าหงุดหงิดจนปิดไม่มิด รายล้อมด้วยคนงานผู้หญิงอีกสองสามคน  ลุงยอดอึ้งไปเล็กน้อย
ถึงโดยศักดิ์จะสูงกว่า แต่อายุนั้นน้อยกว่า พ่อกับลุงสาดคำถามเป็นชุด ส่วนผู้นำจำเป็นของแก๊งค์เรา เจอคำถามมา 5 ตอบกลับแค่ 1 ก็แย่สิ

แต่เนื่องจากพ่อยังเกรงใจลุงยอดอยู่บ้าง ดังนั้นคนที่ซวยจึงเป็น?... จึงเป็น?... ถูกต้องแล้ว กระผมเองสิครับ
พ่อกับลุงบ่นเป็นชุด มากน้อยตรงต่างกัน เจ้าหนูตัวต้นเรื่องโดนมากหน่อย ที่เหลือลดหลั่นกันไป ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
เพราะรู้ว่ายิ่งพูด ยิ่งซวย ค่ำคืนนั้นจึงจบลงง่ายๆ แยกย้ายกันเข้านอน  อีเว้นท์ล่าท้าผี จึงต้องถูกเก็บเข้ากระติบข้าวเหนียวไปโดยปริยาย...

เช้าตรู่วันต่อมา คนงานทยอยขึ้นรถสิบล้อทีละคนสองคน เพิงพักถูกรื้อจนเกลี้ยง พ่อกับลุงจะขับรถพาพี่ๆ คนงานกลับภูมิลำเนา
ไป - กลับจำไม่ผิดคงสัก 1 วัน 1 คืน น้านวลยิ้มให้พวกผมน้อยๆ ก่อนหอบจูงลูกขึ้นรถ น้าแซมเดินตามมาติดๆ คุยกับลุงยอด 2-3 ประโยค
แล้วหันมาลูบหัวผมกับน้องชาย ปิดท้ายพี่ต้นเดินเอากระติบมาให้ ข้างในบรรจุข้าวเหนียวร้อนๆ อยู่

“เก็บไว้กินเล่นๆ นะ” เขายิ้มและยีหัวผมเล่นอย่างมันส์มือ แล้วกระซิบเบาๆ “กลางค่ำกลางคืนอย่าออกไปไหนนา อยู่ในบ้าน ล็อคกลอนให้สนิท”
พูดจบก็โบกมือให้แล้วปีนขึ้นไปบนกระบะ

พ่อกับลุงฝากฝังให้ลุงยอดช่วยอยู่เป็นเพื่อนอีกสักวัน เพราะที่บ้าน เหลือเด็กตัวกระเปี๊ยกอยู่แค่สองคน
อันที่จริงลุงยอดก็ตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนถึงวันนี้อยู่แล้วตามบัญชาของน้องสาวที่ติดภารกิจอยู่ แต่คงได้วันเดียว พรุ่งนี้ลุงยอดเองก็มีธุระจริงๆ
แต่ถ้าตามแผน ก็คงพอดีกับที่พ่อกับลุงเดินทางกลับมา

รถสิบล้อเคลื่อนตัวช้าๆ ออกไป จากที่อ่านบางท่านอาจจะรู้สึกขำขัน แต่ของจริง ณ บ้านไร่ ในตอนนั้น พอคนหายไปหมด
มันก็เงียบฉี่สูสีกับป่าช้า ชักเริ่มจะขำไม่ออกซะแล้ว...

ผมกับน้องชายไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน นอกจากเล่นแล้วก็นอน แต่ลุงยอดยุ่งอยู่กับการจัดของนู้นนี่นั่น
คงกำลังเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ พอคิดอย่างนั้น ยิ่งรู้สึกเหงาเข้าไปใหญ่

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ตัดฉับไปที่ช่วงเย็นเลยครับ
ประมาณสัก 5 โมงเย็น บรรยากาศเริ่มวังเวง เสียงร้องของบรรดานกที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลายิ่งชวนให้คนฟังระแวงไปหมด
ใช่สิครับ ก่อนหน้านี้ พี่ๆ คนงานเดินกันเกลื่อน เด็กๆ ก็วิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แต่ตอนนี้ เวลานี้ อากาศในฤดูหนาวยิ่งมืดเร็ว
และดูอ้างว้างยังไงบอกไม่ถูก คือถ้าบรรยายเป็นฉากนิยายจะเห็นภาพชัดกว่านี้ มีหมอก มีลม อาทิตย์อัสดงช่วยบิ้ว
มีอีกหลายอย่างให้ชวนหลอน แต่เมื่อไม่ใช่สไตล์นิยายก็เอาง่ายๆ แบบพอหอมปากหอมคอว่ามัน ดูวังเวง ก็พอนะครับ

ลุงยอดยังคงสาละวนอยู่กับการจัดข้าวของ ที่จัดตั้งแต่บ่ายก็ยังไม่เสร็จสักที หลังจากมื้อเย็นผ่านไป ใจก็อยากจะกลับบ้าน ไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี่
แต่เมื่อไม่ได้ ก็ต้องหาทางป้องกัน ผมทำตามคำแนะนำของพี่ต้น เลิกวิ่งเล่น ชวนน้องกลับเข้าบ้าน เดินไปปิดหน้าต่างทุกบาน
แล้วย้อนกลับมาปิดประตูลงกลอน จากนั้นลากโต๊ะ, เก้าอี้, กระสอบปุ๋ย เท่าที่จะหาได้มาทับประตูอีก (หลายๆ) ชั้น มองดูผลงานด้วยความปิติ
อย่างน้อยหากอะไรคิดกล้ำกรายเข้ามาก็ต้องออกแรงกันหน่อย (ถ้าของแค่นี้มันกันได้ก็แปลกแล้วเนอะ)

ก็เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้ดีใจได้พักหนึ่งล่ะนะ เพราะหลังจากชื่นชมปราการที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงได้แป๊บเดียว ลุงยอดก็บอกว่า
“ทำอะไรน่ะ ไปรื้อออกให้หมด”
ตึง!!?

“ทำไมล่ะลุงยอด ปิดไว้ก็ดีแล้วนิ กันไว้ เผื่อมีอะไรเข้ามา” ผมทั้งถามทั้งแจงในประโยคเดียวด้วยความไร้เดียงสา
“ก็เข้าท่าดีนะ” ลุงยอดตอบ “แต่คืนนี้เราจะไม่นอนในบ้าน เราจะไปนอนที่อื่นกัน”

ใช่ครับ คืนนั้นพวกเราไม่ได้นอนในบ้าน เราอพยพไปนอนที่อื่น ซึ่งเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่รู้ลืมทีเดียวเชียวล่ะ

จริงอยู่ ของที่ลุงยอดจัดก็เป็นสัมภาระส่วนตัวที่เตรียมล่วงหน้าไว้ในวันพรุ่งนี้ แต่ที่มันนานกว่าปกติ
เพราะลุงยอดเตรียมอุปกรณ์ยังชีพพื้นฐานนั่นเอง!?

กระติกใส่น้ำ, ไฟฉาย, ยาหม่อง, เสื่อ, ผ้าห่ม, น้ำมันเครื่อง และกระติบข้าวเหนียว (ของกำนัลที่เพิ่งได้มาจากพี่ต้น) ทั้งหมดถูกเทกระจาดลงในถัง
ลุงยอดหิ้วปุเลงๆ เดินออกมาตอนที่บอกให้ผมรื้อข้าวของที่วางทับประตูไว้
ผมถามต่อว่าจะไปนอนที่ไหน จะขี่มอเตอร์ไซค์แก่ๆ ที่นั่งแค่คนเดียวก็แทบหักครึ่งกลับเข้าไปนอนในเมืองหรือไง ลุงไม่ตอบ
เร่งให้เคลียร์ของระเกะระกะออกให้หมด น้องชายซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ก็ต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนซวยไปด้วย

เมื่อออกมาด้านนอก ฟ้าก็เริ่มมืด อากาศก็เริ่มเย็น
“ตามมาๆ” ลุงยอดพูดพลางเรียกให้ผมกับน้องชายเดินฝ่าความมืดออกไป โดยที่เขาจูงมอเตอร์ไซค์แก่ๆ ไปด้วย
พวกเราเดินโทงๆ ไปตามถนนเล็กๆ ซึ่งรกไปด้วยหญ้า จนถึงทางหักศอก ลุงยอดก็ยังไม่เลี้ยวไปตามทางอย่างที่ควรจะเป็น
ตรงฝ่าเนินดินไปจนถึงจุดที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ ด้านล่างเป็นพื้นที่โล่งเตียน ลุงยอดหยุดเดิน จอดมอเตอร์ไซค์บังด้านหน้า
เอาเสื่อออกมาสะบัดแล้วปูลงบนพื้น วางของทุกอย่างลงบนเสื่ออีกที จากนั้นราดน้ำมันเครื่องรอบๆ ห่างจากเสื่อสัก 2-3 เมตร

“เอาล่ะ เรามานั่งเล่นนอนเล่นกันตรงนี้สักวันนะ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยกลับเข้าไปในบ้าน ของกินก็มี น้ำก็มี หิวก็หยิบเอานะ” ลุงยอดว่าอย่างนั้น
อ่อ... นอนนอกบ้านที่ว่า คือนอนตรงนี้? บนพื้นดิน? ห้องสวีทวิวดาว? ช่วงหน้าหนาวเนี่ยนะ!?

“นอนตรงนี้เหรอ” เด็กทั้งสองถามแบบงงๆ มึนๆ
“อืม นอนเล่นกันไปก่อน เดี๋ยวค่อยกลับเข้าบ้าน ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าหลับ เดี๋ยวลุงอุ้มเข้าบ้านเอง ไม่ทิ้งไว้ตรงนี้หรอก”

เออ... ดีนะ จากที่ระแวงแค่คิวทาโร่ ตอนนี้ต้องมาระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอไปด้วย...


เป็นความรู้สึกวังเวงมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต จากที่คืนก่อนๆ มีคนเยอะแยะ มีกองไฟกองใหญ่ นอนหลับสบายใต้ชายคาบ้าน
วันนี้กลับต้องมานอนกลางดินกินกลางไร่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิด แต่ผมกับน้องก็เล็กเกินจะตั้งข้อสงสัย ก็นอนเล่น ดูท้องฟ้า
ดูดาวไปเรื่อยเปื่อยจนน้องชายผล็อยหลับ

ส่วนลุงยอดนั่งพิงต้นไม้ ถือมีดตัดอ้อยอยู่ในมือตลอด ทอดสายมองไกลออกไป
“ทำไมเราต้องมานอนตรงนี้ด้วยล่ะ” เจ้าหนูโคนันถาม
ลุงยอดสะดุ้งเล็กน้อย “ไม่มีอะไร เปลี่ยนบรรยากาศ นอนในบ้านอึดอัด”
ก็ช่วยไม่ได้ที่บรรยากาศเป็นใจ อยู่ๆผม ก็ถามคำถามที่น่าเขกกะโหลกต่อ “ลุงเคยเจอผีมั้ย”
ลุงยอดหันมาหน้านิ่ว  “มาถามอะไรมืดๆ ค่ำๆ เขาถือไม่รู้รึไง” ลุงบ่นอุบ
“แต่ลุงยักษ์บอกว่าผีไม่มีจริง จนมาได้ยินลุงยอดเล่าเรื่องนั้นให้ฟังเมื่อคืน เริ่มไม่ค่อยเชื่อลุงยักษ์ละ”
ผมตอบกลับด้วยความไร้เดียงสา ได้ยินอะไรมา ก็บอกไปแบบนั้น

“ลุงยักษ์นี่นะบอกผีไม่มีจริง” ลุงยอดกระแอม หึหึ ในลำคอและพูดต่อ “เออ ถ้าเขาว่าแบบนั้นมันก็คงไม่มีหรอก”
“แล้วลุงยอดเคยเจออะไรแปลกๆ แบบนี้มั้ย” ผมยังเซ้าซี้
“เอ๊... ซักไซ้จนน่ารำคาญแล้วนะ นอนๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกลับเข้าบ้านตอนไหนจะปลุกเอง” เขาตัดบท

ผมโดนเอ็ด จึงเอนหลังนอนบนเสื่อ เอาพยายามเอาผ้าห่มมาคลุม แต่น้องก็ม้วนไปจนหมด เลยจ้องมองดาวบนท้องฟ้า
แหงนหน้าไปมองลุงยอดเป็นระยะๆ จนเห็นผุดลุกผุดนั่งอยู่จึงถามว่าทำอะไรลับๆ ล่อๆ เขาหันกลับมาส่งสัญญาณให้ผมเงียบ ชู่ว์...
และโบกมือให้หลบหลังเนินดินและมอเตอร์ไซค์ ผมก้มหน้าทันที แต่ไม่วายชะโงกขึ้นไปมองทีละน้อย เมื่อสายตาคู่น้อยๆ โผล่พ้นเนินดิน
ใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเห็นดวงไฟขาวซีดๆ ลอยอยู่บริเวณต้นมะม่วงอีกแล้ว

แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ภาพทุกภาพก็ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าทุกวัน แสงนวลสีขาวนั้นคล้ายหิ่งห้อย แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก
ประมาณลูกฟุตบอลคงได้ มันลอยวนอยู่บริเวณต้นมะม่วงอยู่สักพัก ก็เคลื่อนที่ช้าๆ เป็นเส้นตรงมุ่งไปยังตัวบ้าน
ดวงไฟสีขาวซีดลอยเอื่อยๆ ผ่านแปลงอ้อยที่ว่างเปล่า และผลุบหายเข้าไปในพงไม้ที่ขึ้นบังสายตาอยู่
แต่เพียงครู่เดียวก็โผล่พ้นแนวไม้ออกมาอีกครั้ง แต่เปลี่ยนรูปเป็นผ้าขาวผืนใหญ่ ปลิวไสว ลอยฝืนธรรมชาติแบบเมื่อ 2 คืนก่อนเป๊ะๆ

ใกล้แล้วครับ ขออภัยทุกท่าน ติดธุระจริงๆ

“ละ... ลุงยอดนะ... นั่น มันมาอีกแล้ว” ผมบอกเสียงสั่น ลุงยอดหันมามอง แค่นเสียงตอบกลับมา
“เห็นแล้วน่า ดวงไฟออกจะชัดขนาดนั้น จุ๊ๆ อย่าส่งเสียงดัง”
ผมคิ้วขมวด “ไม่ใช่ดวงไฟ หมายถึงผ้าขาวๆ ที่ลอยอยู่หน้าบ้านน่ะ เห็นมั้ย”
ลุงยอดหันขวับสลับไปมา ระหว่างหน้าบ้านกับหน้าผม
“ผ้าขาวอะไร อย่ามาพูดให้กลัวสิ เงียบๆ ไว้”

ผมจนปัญญาไม่รู้จะอธิบายยังไง แม้ตอนแรกจะเห็นเป็นดวงไฟเหมือนๆ กัน แต่พอใกล้ถึงบ้านลุงยอดยังเห็นเป็นดวงไฟ
ส่วนผมเห็นเป็นอย่างอื่น จึงได้แต่เอามือปิดปาก จ้องดูการเคลื่อนที่ของผ้าผืนนั้น มันไหลไปตามแรงลม เกาะฝาบ้านไปเรื่อยๆ
จนถึงประตู ก็กาง พรึ่บ! ออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนไหลผลุบหายเข้าไปในบ้านเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก (><)
กลายเป็นว่า บรรดาของต่างๆ ที่สู้อุตส่าห์ขนมากั้นตรงประตูเมื่อช่วงเย็นดูไร้ประโยชน์ไปเลย

พวกเรานั่งดูแสงสีขาวหม่นๆ สว่างวาบอยู่ภายในตัวบ้าน จากจุดหนึ่ง ก็ย้ายไปสว่างวาบอีกจุดหนึ่งอยู่สักพัก
ก็ไม่ทราบว่าเจ้าสิ่งนั้นติดใจอะไรนักหนา ถึงได้แวะเวียนไปเยี่ยมเกือบทุกคืน ประมาณสักสิบนาทีแสงนั้นก็วูบดับไป ไม่สว่างขึ้นอีก
ผมถ่างตารออยู่นาน จนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว มาสะดุ้งตอนที่ได้ยินเสียงไก่ขันอยู่แว่วๆ ลืมตาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่คุ้นเคย
หันซ้ายเจอผนัง หันขวาเจอน้องนอนกรนอยู่ จึงลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกปวดหัวตึบๆ  มีไข้ขึ้น คงเพราะนอนตากลมเมื่อคืน

ผมเดินโงนเงนออกมาด้านนอก เห็นลุงยอดกำลังต้มข้าวต้ม เขาหันมาเห็นก็ถามว่าเป็นยังไง ตัวรุมๆ ดีขึ้นรึยัง ผมบอกไปว่าปวดหัว
ลุงยอดจัดแจงมื้อเช้า ให้ผมกินข้าวต้มร้อนๆ จากเตา เมื่อนั่งกันอยู่ 2 คน จึงถามว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
แล้วผมกับน้องกลับมาตอนไหนและกลับมาได้ยังไง
ลุงยอดก็เล่าแบบขอไปทีว่า ก็ไม่มีอะไร ประมาณสักเที่ยงคืนก็อุ้มกลับเข้ามานอนในบ้านแค่นั้นเอง

ก็คิดในใจเล่นๆ ลำบากลำบนขนาดนั้น ไม่สบายอีกต่างหาก รายละเอียดมีเท่าเนี๊ยะ?

วันนั้นทั้งวันผมนอนซมอยู่ในบ้าน ส่วนน้องชายปกติดี เพราะม้วนผ้าห่มนอนอุ่นอยู่คนเดียว ปล่อยผมนอนตากลมตากน้ำค้างอยู่เป็นนาน
แต่ถ้าจะหาคนผิด ก็ชี้ไปที่คนซึ่งกำลังเดินเข้าเดินออกมองถนนตลอด ลุงยอดชะเง้อดูว่าเมื่อไหร่พ่อผมจะกลับ
ปกติทุกครั้งถ้าออกเช้าเมื่อวาน บ่ายๆ วันนี้ก็คงกลับ แต่นี่ก็ปาไปเที่ยงแล้วยังไม่มีวี่แวว

ลงท้ายลุงยอดรอจนถึงสามโมงเย็น จึงเดินเข้ามาเห็นผมนอนหลับอยู่ จึงบอกน้องชายว่าต้องไปก่อน เพราะมีธุระจริงๆ
ยังไงถ้าเสร็จเร็วจะรีบกลับมา ลุงยอดยังบอกอีกว่า อีกสักพักพ่อกับลุง (พี่ชายพ่อ) ก็คงกลับ

หลังจากเตรียมมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ลุงยอดเดินเข้ามาในห้อง แตะหน้าผากผมแล้วบ่นพึมพำ เรียกน้องมากำชับให้ปลุกผมขึ้นมากินข้าวกินยาแล้วค่อยให้นอนต่อ เสร็จแล้วลุงยอดก็แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์กันเก่าๆ แก่ๆ ออกไปจากไร่

น้องมาปลุกตอนประมาณเกือบห้าโมงเย็น ผมจึงตื่นขึ้นมา แม้อาการจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่หาย เห็นบ้านเงียบๆ จึงถามน้องว่าลุงยอดหายไปไหน
น้องบอกว่าลุงยอดออกไปแล้ว ณ ตอนนั้นรู้สึกใจหวิวๆ ครับ จากคนเกือบยี่สิบ เหลือสาม และตอนนี้เหลือแค่สอง
แถมเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกทั้งคู่ สภาพร่างกายก็ไม่ค่อยเอื้ออำนวย สภาพจิตใจยิ่งอ่อนแอ แต่จะงอแงกับใครล่ะ
ไม่เหลือใครเลยสักคนนอกจากน้องซึ่งเล็กยิ่งกว่าเราซะอีก

ผมกับน้องเดินออกมาข้างนอกได้ก้าวเดียวก็ต้องหยุด แม้แสงแดดช่วงสุดท้ายของวันจะแผดจ้า แต่สายลมที่โชยแตะจมูก
บ่งบอกว่าบางอย่างกำลังจะมา เป็นความรู้สึกที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ ณ ตอนนั้น ตอนที่ยังคุ้นเคยกับธรรมชาติมากกว่าตอนนี้
ผมแน่ใจว่าอีกไม่เกิน 1 ชั่วโมงฝนต้องตกแน่ๆ

และก็เป็นอย่างที่คาด เพียงครึ่งชั่วโมง ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก มันยิ่งทำให้จิตใจของเด็กน้อยห่อเหี่ยว
อากาศจากที่หนาวแห้งๆ เปลี่ยนเป็นหนาวชื้นๆ มองไปทางไหนก็เห็นได้แค่ไม่เกิน 5-10 เมตร ต้องก๊อป wording มาใช้อีกครั้ง
คือจากที่เมื่อวานว่าวังเวงแล้ว วันนี้คูณสามเข้าไป

ผมกระเดือกข้าวแทบไม่ลง แต่ก็พยายามกินให้ได้มากที่สุด ถัดจากนั้นเด็กสองคนทำแบบเมื่อวานอีกครั้ง คือเดินไล่ปิดหน้าต่างทุกบาน
จากนั้นปิดประตูลงกลอน ขนโต๊ะ เก้าอี้ กระสอบปุ๋ยกองทับตรงประตู แล้วใช้เศษผ้า เศษกระดาษ กล่องลัง เท่าที่จะหาได้
ปีนขึ้นไปอุดช่องว่างระหว่างหน้าต่างกับหลังคา

เพราะความวิงเวียนจากพิษไข้ กว่าจะเซ็ทอัพป้อมอลามั่วเสร็จ บรรยากาศรอบๆ ก็เริ่มมืดสลัว แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นรัวๆ หลายครั้ง เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นไฟฟ้าก็ดับสนิท...

น้องชายแทบกระโดดขึ้นมาขี่คอ เราสองคนมองหน้ากัน ความรู้สึกหวาดกลัวแล่นวาบไปทั่วร่างกาย
ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าหาตะเกียงเก่าๆ มาใช้งาน ก็ยังโชคดีเจอตะเกียงน้ำมันอยู่ 2 อัน ตัวแรกตั้งในห้องนอน
อีกตัวตั้งอยู่กลางบ้าน พอวางตะเกียงตรงกลางบ้านเสร็จปุ๊บ เราสองคนก็วิ่งปรู๊ดกลับเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนปั๊บ

เสียงฝนยังดังระงมทั่วทุกทิศ ผมกับน้องก็พยายามข่มตานอนตั้งแต่หกโมงเย็น มาหลับจริงๆ ก็เกือบทุ่ม

และรายละเอียดทั้งหมดที่กำลังจะพิมพ์ต่อไปนี้ คือหนึ่งในแก่นของเรื่องที่มาจากความทรงจำจริงๆ

ขณะนั้นเป็นเวลากี่โมงผมไม่ทราบ มาสะดุ้งตื่นตอนกลางกลางดึก ฝนยังคงตกปรอยๆ ไม่ยอมหยุดแต่ก็เบาลงไปมาก
หัวผมหนักอึ้ง ลุกแทบไม่ไหว ไม่ใช่อาการผีอำ ประสาทสัมผัสอื่นๆ ยังดีอยู่ แขนขาขยับได้เป็นปกติ
ผมเหลือบไปมองน้องชายนอนหันหลังอยู่ข้างๆ ตะเกียงที่ปลายเตียงดับสนิทไปแล้ว ภายในห้องมีแต่ความมืด
และหลังจากตื่นเพียงไม่นานราวกับผู้กำกับสั่งแอ็คชั่นเลยครับ ซาวด์สะเทือนขวัญมันก็กลับมาอีกครั้ง แซกก... แซกก...

หัวใจนี่ร่วงตกเตียงไปเลยครับ จริงๆ ก็ลืมไปสนิทแล้วนะว่ากลัวอะไรอยู่ แต่พอมันดัง แซกก... แซกกก... เท่านั้นล่ะ
ภาพทุกภาพ เสียงทุกเสียงในรอบ 3 วันที่ผ่านมามันประดังเข้ามาในหัวจนหมด ทั้งดวงไฟ ผ้าขาว ผลมะม่วงที่ตกอยู่
รวมถึงเจ้าเสียงแปลกๆ นั่นด้วย คราวนี้จากที่เคยปกติ แขนขาเริ่มอ่อนแรงขึ้นมาทันทีทันใด

ต้องบอกก่อนว่า ห้องนอน ณ บ้านไร่ ไม่ได้มีผนังทึบสูงติดหลังคานะครับ ผนังสูงประมาณ 3 เมตร เหนือขึ้นไปเป็นพื้นที่โล่งๆ
และไอ้ตรงโล่งๆ นี่เอง มันทำให้เห็นแสงสีขาวหม่นๆ สว่างวาบ... สว่างวาบ...

อย่าเพิ่งขนลุกตอนนี้ครับ ยังไม่จบ ถัดมามีเสียงเหมือนคนรื้อของอยู่ในบ้าน บางช่วงมีเสียงของหล่น บางช่วงมีเสียงเหมือนของถูกลากไปกับพื้น
ถัดจากนั้นเสียงก็เงียบลง ผมโล่งใจมากตอนนั้น เรื่องสุดระทึกกำลังจบไป

แต่เดี๋ยวก่อน! หากยังมีนักอ่านนินจาท่านใดอ่านอยู่จนถึงตอนนี้ (0.43 น.) ภายใน 3 วินาทีหลังจากนี้ มีคอมเม้นท์แสดงตัวตน
ทีวีไดเลอะขอเสนอให้ท่านหลอนต่อเนื่องกันไปเลย เพราะมันกำลังเข้าสู่ช่วง โค-ตะ-ระ ไคลแมกซ์

หลังจากเสียงรื้อข้าวของเงียบไป ทิ้งช่วงไปครู่เดียวในความเงียบนั่นเอง เสีย แซกก... แซกก... ก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มันตรงมาที่ประตูห้องนอนสี่เหลี่ยมที่ด้านบนเปิดโล่งโจ้ง ผมหยิกแก้มตัวเองแรงๆ หลายครั้ง ก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเจ็บหรือไม่
แยกไม่ออกว่ามันเป็นความฝันหรือความจริง (อันที่จริงผมมีโทเทมเป็นลูกข่างไม้อยู่นะครับ แต่เผอิญมันอยู่นอกห้อง
ไม่งั้นจะเอามาหมุนแล้วนั่งดูซะหน่อย)

มีแสงเรื่อๆ อยู่บริเวณประตู จากนั้นได้ยินเหมือนประตูสั่นดัง กึกๆ สองครั้งแล้วก็เงียบไป แล้วก็มีเสียง แซกก...
ดังลากยาวมาจากผนังทั้ง 3 ด้าน เหมือนมีใครเดินไปรอบๆ ห้องด้านนอก แล้วใช้มือลูบผนังเล่น
เสียงนั้นมาหยุดที่ผนังฝั่งตรงข้ามกับประตู ฝั่งเดียวกับที่ผมนอนอยู่ โดยมีพื้นที่ว่างจากผนังถึงเตียงประมาณ 2 เมตร
ทุกส่วนของร่างกายผมซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม มีแค่ส่วนบนตั้งแต่สายตาสายตาที่โผล่ออกมา ตานี่จ้องเขม็งไม่กระพริบ ชนิดที่ว่าถ้ามีการแข่งขันจ้องตาชิงแชมป์โลก จะได้ถ้วยรางวัลมานอนกอดแทนหมอนข้างชัวร์ แต่จ้องอยู่นาน บนขอบผนังด้านบนก็ไม่มีสิ่งโผล่ขึ้นมา ซึ่งมันก็ดีอยู่แล้ว
เพราะค่ำคืนนี้มีเรื่องน่าขนลุกเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว

แต่เดี๋ยวก่อน...ทันใดนั้นเอง ช่วงที่คิดว่าทุกอย่างจบลงนั่นล่ะ ดันมีอะไรบางอย่างสว่างวาบขึ้นมาเตะหางตาจากอีกฝั่ง... ฝั่งประตู

ผ้าสีขาวหม่นๆ ลอยพริ้วอยู่ในอากาศโดยมีน้องชายนอนกั้นระหว่างผมกับผ้าผืนนั้น ในระยะห่างเพียง 2 เมตร ผมเห็นทุกอย่างจะว่าชัดก็ชัด
จะว่าเลือนลางก็คงใช่ คือบอกไม่ถูก เอาเป็นว่าชัดในระดับหนึ่ง

เมื่อเห็นใกล้ขนาดนี้ จึงรู้ว่าผ้าสีขาวเรืองแสงที่เห็นมาหลายวัน จริงๆ มีเรือนร่างซ่อนอยู่ภายใต้ริ้วผ้านั้น เป็นรูปลักษณ์ของผู้เฒ่าวัยชราแน่นอน
แต่ที่ไม่แน่ใจคือแม้จะอยู่ใกล้กันขนาดนั้น ก็ไม่สามารถฟันธงว่าคนแก่ผมยาวคนนั้นเป็นเพศไหน ชายหรือหญิง คือนานหลายปีมาแล้ว
ที่จำภาพนั้นอยู่ในหัว แต่สื่อสารออกมาไม่ได้ จนมาวันหนึ่ง มีภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ทำภาพออกมาได้ใกล้เคียง ถึงไม่เหมือนเป๊ะ
แต่ใกล้เคียงสุดเท่าที่จะทำให้บุคคลที่ 2... 3... 4 เข้าใจสิ่งที่เห็นในคืนนั้น

ร่างนั้นจ้องอยู่ไม่นานก็ค่อยๆ เลือนหายไป เมื่อมีแสงสีส้มพาดผ่านมา เสียงเครื่องยนต์รถสิบล้อดังอยู่ด้านนอก พ่อกับลุงกลับมาแล้ว…
เสียงเคาะประตูเปลี่ยนเป็นทุบ ผมเองรู้สึกตัว แต่เพลียจนไม่ได้ลุกไปเปิด แต่ยังดีที่น้องชายลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปเปิดประตูให้
เสียงพ่อกับลุงบ่นงึมงำ ว่าทำอะไรกัน เอาของมาวางระเกะระกะหน้าบ้าน ผมเห็นพ่อเดินเข้ามาแตะหน้าผาก ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่า
ตัวร้อนจี๋เลย ที่บ้านไร่ก็ไม่มีหยูกยาอะไรมากมาย สุดท้ายพ่อก็อุ้มขึ้นรถสิบล้อในคืนนั้น ผมนั่งพิงอยู่แคปหลังของห้องโดยสาร
รู้สึกเพลียมาก อากาศเย็นแต่เหงื่อซึมเต็มตัว

รถสิบล้อวิ่งออกมา เลี้ยวหักศอกแล้วตรงไปตามทาง ผ่านป้อมอลามั่ว ผมนั่งพิงกระจกทางขวามือ
ช่วงที่ผ่านต้นมะม่วงผมกลั้นใจมองเพียงแวบเดียวแล้วก็หลับตา ไม่มองอีกเลย หลังจากนั้นก็หลับไปอ่อนเพลีย

หลายวันต่อมา เรื่องที่ผมกับน้องไปนอนชมวิวอยู่กลางไร่แดงขึ้น เมื่อน้องชายผู้ไร้เดียงสาไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บ่นลุงยอดชุดใหญ่
แต่ลุงยอดก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังว่าเหตุใดจึงทำแบบนั้น ไม่ได้เล่าด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านไร่ บอกแค่ว่าขอโทษ
ผมถามอยู่หลายครั้ง ลุงยอดก็ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าทำไมต้องพาไปนอนนอกบ้านในคืนนั้น

สุดท้ายผมจำใจต้องคิดว่า บางทีตัวเองคงมโนไปเอง จริงอยู่ว่าดวงไฟมีพยานเห็นหลายคน แต่มันก็ไม่มีคำตอบให้ชาวประชาว่าคืออะไรกันแน่
ส่วนร่างในชุดขาวเรืองแสงยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เห็นอยู่คนเดียว ได้แต่เก็บไว้เงียบๆ ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มีเพียงลุงยอดที่เคยได้ยินผมถามเรื่องนี้

ผมแทบไม่ค่อยได้ไปที่ไร่นั้นอีก เพราะมีเส้นทางอื่นที่ต้องเดินต่อไป ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ค่อยๆ ถูกลืมไปตามกาลเวลา

เวลาผ่านไปอีกหลายปี (มากๆ) วันนั้นจำได้ว่าไปกินข้าวกับแม่แล้วก็น้องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขณะกำลังขับรถกลับบ้าน เราก็คุยกันเรื่องจิปาถะ
จนวนมาที่เรื่องสยองขวัญ (ประมาณว่าไม่ได้คุยเรื่องแนวนี้แล้วอาหารไม่ย่อย) ผมเลยนึกถึงเหตุการณ์ที่บ้านไร่ขึ้นมาได้ เลยเล่าเรื่องดวงไฟประหลาดให้แม่กับน้องฟัง แม่บอกว่านานๆ ครั้งเคยไปนอนที่ไร่เหมือนกัน ก็รู้สึกเหมือนกันว่ามีคนมองอยู่ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
เราสามคนนั่งเงียบไม่พูดอะไร จนน้องชายผมพูดขึ้นมาในที่สุด

“เคยเห็นอะไรแปลกๆ ที่ไร่เหมือนกัน”
ผมหันไปมอง น้องชายเงียบไปพักแล้วเล่าต่อยาวเหยียด “เรื่องนี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะ เพิ่งเคยเล่าครั้งแรกเนี่ยล่ะ ตอนเด็กๆ
เคยเห็นผ้าสีขาวลอยไปมาอยู่ในไร่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ จำคืนที่พี่นอนไม่สบายได้ป่ะ คืนที่อยู่กันแค่ 2 คนน่ะ
วันที่พ่อไปส่งคนงานแล้วกลับมาตอนดึกๆ รู้เปล่า ก่อนที่พ่อจะมาถึง xx เห็นคนแก่ๆ ใส่ชุดสีขาวนวลๆ มายืนมองอยู่ข้างเตียง”

ผมนั่งนิ่งมองหน้าน้อง จุกในอกผสมขนลุก...

จบแล้วครับ ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามด้วยความทรหดอดทนมาตลอด 4 วัน ตอนแรกจะเอาให้จบวันเสาร์หรืออาทิตย์
แต่สุดท้ายหนักกว่ากระทู้เก่าอีก มีสาเหตุที่ทำให้ล่าช้าจนแทบไม่มีเวลาเรียบเรียงนำมาลงให้อ่าน
แต่เอาเป็นว่าขอภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้

ขอบคุณครับ


จากพันทิป อาถรรพ์ ณ บ้านไร่
เรื่องโดย  Rhythm in the Air   FB กฤตานนท์

ไม่มีความคิดเห็น