สะเดาะเคราะห์...ต่อชะตา


     "สะเดาะเคราะห์...ต่อชะตา" อีกเรื่องหนึ่งสนุกมากๆจากคุณ ลอยชาย เจ้าชายแห่งการเล่าเรื่องผีแห่งพันทิป ฝากผลงานไว้มากมาย มาดูกันเลยว่า สะเดาะเคราะห์...ต่อชะตา นั้นเรื่องของคุณ ลอยชาย จะเป็นอย่างไรขอขอบคุณเรื่องคุณภาพเสมอมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย

     สวัสดีครับ อีกครั้งที่ผมคงต้องพูดว่า ผมกลับมาแล้ว เพราะว่าห่างหายไปสักพักใหญ่ๆ ที่ไม่ได้มาเล่าอะไรให้ฟังกัน ผมไม่ได้ลืมหรือเลิกเขียนอะไรอย่างที่หลายๆ คนถามเข้ามานะครับ แค่ช่วงนี้ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงมากพอสมควรเลยต้องจัดสรรเวลาเพื่องานหลายๆ ส่วน อย่างไรก็วันนี้มาแล้วนะครับ
หลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักจะถกเถียงกันในเรื่องของความเชื่อหรือสิ่งที่เราเชื่อกันว่ามองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็มักจะคิดและสรุปเอาเองว่าไม่มีอยู่ และเมื่อไหร่ที่มีคนคิดว่าสิ่งนั้นมีอยู่ปรากฏตัวขึ้นมา เป็นปกติที่ทั้งสองฝ่ายจะถกเถียงโจมตีกันอย่างออกรสออกชาติ บุคคลสองประเภทนี้พบได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบันจนเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาไม่ค่อยจะได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องราวเหล่านี้สักเท่าใดนัก

แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับเป็นกลุ่มคนที่…. เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ไสยศาสตร์ ความเชื่อ ภูตผี วิญญาณ สิ่งลี้ลับต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกันตามตรงว่ามันไม่เคยหายไปจากสังคมไทยเลย ถึงไม่เชื่อแต่ก็ต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง และศาสตร์หนึ่งแขนงที่ยากจะพิสูจน์ให้กระจ่างใจได้ แต่กลับเป็นที่นิยมอยู่ในอันดับสูงสุดของเรื่องราวเหล่านี้คงจะหนีไม่พ้น ศาสตร์แห่งดวงชะตา

เมื่อนานมาแล้วผมเคยเล่าเรื่องหนึ่งไว้เกี่ยวกับบุคคลที่เสียรู้ให้กับคนเจ้าเล่ห์ที่ใช้ศาสตร์เหล่านี้เพื่อทำมาหากินและผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งผมก็เคยพูดไว้ในวันนั้นว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ผมพูดไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้คาดคิดเอาไว้ล่วงหน้าเลยว่า วันนี้จะได้กลับมาเล่าเรื่องราวในแง่มุมนั้นอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้

เรื่องนี้ย้อนกลับไปในช่วงที่ผมยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเริ่มต้นคล้ายกับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา ผมได้รับสายโทรศัพท์จากคนรู้จักคนหนึ่ง เราคุยกันอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่ได้สาระอันใดกลับมา นอกจากถามไถ่ความเป็นอยู่เท่านั้น
“ตกลงว่าที่โทรมานี่มีอะไรรึเปล่า” ผมที่เริ่มเบื่อกับการสนทนาจึงถามออกไปตรงๆ
“อืม จริงๆ ก็มีแหละ”
ผมไม่มีโอกาสได้ฟังรายละเอียดใดๆ ผ่านการโทรครั้งนั้น เพราะทางนั้นเป็นคนยืนกรานกับผมเองว่าจะขอมาพบด้วยตัวเอง ผมก็ไม่ขัดเพราะค่อนข้างจะสนิทพอสมควรมาตั้งแต่เด็กๆ
คืนนั้นผมใช้ชีวิตตามปกติเหมือนอย่างเคย นั่งอ่านหนังสือ หาเพลงฟังตามอัธยาศัย แต่แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงแปลกปลอมที่ไม่ควรจะมีอยู่ในห้อง
‘เมิงได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ป่าววะ’ ผมส่งข้อความผ่านไลน์ไปหาเพื่อนที่อยู่หอพักเดียวกันแต่ถัดลงไปหนึ่งชั้น
‘กวนตรีนละ อย่ามาหลอกให้ตูกลัว’
ผมได้แต่นั่งมองข้อความของเพื่อนที่ไม่มีวี่แววว่าจะโกหกแต่อย่างใด ผมปิดเพลงให้เงียบลง หลับตาตั้งใจฟังเสียงที่ผิดแผกนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อตั้งใจฟังให้ดีสิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงของเครื่องปรับอากาศภายในห้องเท่านั้น เมื่อไม่สามารถหาที่มาของเสียงนั้นได้  ผมจึงแค่เบนความสนใจของตัวเองออกด้วยการกลับไปอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ตามเดิม
หนังสือเล่มนั้นสนุกมากเท่าที่ผมจำได้ ผมอ่านเพลินจนลืมดูนาฬิกาปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนเกือบตีสองถ้าผมจำไม่ผิด เสียงเพลงจากร้านเหล้าใกล้ๆ หอก็เงียบไปแล้ว ถนนที่เคยพลุกพล่านตอนนี้เงียบสนิท นานๆ ครั้งจะมีรถวิ่งผ่านสัญจรไปมาให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เราต้องสนใจขนาดนั้น
ผมปิดไฟในห้องเพื่อเตรียมตัวเข้านอน หนังสือเล่มนั้นถูกวางไว้ข้างๆ หมอนเหมือนกับอีกหลายๆ เล่มที่กองระเกะระกะอยู่ตรงนั้น เพียงเวลาไม่นานผมก็หลับไป คืนนั้นผมไม่ได้ฝันเพราะหลับไม่สนิท ผมรู้สึกไม่สบายตัว รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมออกมาจนต้องถีบเอาผ้านวมที่ใช้ห่มออกจากตัว
แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ต้องรีบลุกไปคว้ามันกลับมาห่มตามเดิม เพราะรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว ผมปิดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ ผมคิดเอาเองในใจว่าคงจะเป็นไข้เข้าแล้วในเวลานั้น แต่จะไปหาหมอตอนนี้ก็คงจะไม่ไหว เอาเป็นว่าพยายามข่มตาหลับอีกสักครั้ง เผื่อว่าตอนเช้ามันจะดีขึ้น
ผมหลับได้อีกไม่น่าจะนานเท่าไหร่ก็ถูกปลุกอีกครั้งด้วยความเย็นที่ดูจะมากผิดปกติทั้งที่ปิดเครื่องปรับอากาศไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีกเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ ห้อง
เสียงที่ผมได้ยินนั้นถ้าเป็นใครได้ยินก็คงจะรู้ได้ทันทีเหมือนๆ กัน มันคือเสียงหมาหอนครับ เสียงหอนของมันลากยาวเล็กแหลมแสบแก้วหู แต่สิ่งที่แปลกคือเสียงหอนนั้นมันดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็แน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากหน้าห้องนอนของผมเอง
เสียงหอนสลับกับเสียงเห่ายังคงดังอยู่ ความมืดในห้องนอนทำให้มองเห็นแสงไฟที่ลอดผ่านช่องใต้ประตูเข้ามาได้ชัดเจน ผมก้มเอาหน้าแนบพื้นมองลอดช่องว่างของบานประตูนั้นช้าๆ แสงไฟจากทางเดินของหอพักกระทบกับร่างของสัตว์สี่เท้าฉายเป็นเงาอยู่ที่อีกฝั่งของประตูจริง
ความลังเลบังเกิดขึ้นในใจทันทีที่คิดจะเดินไปเปิดประตูบานนั้น แต่ถ้าไม่เปิดออกไปดูหรือไล่มันไปคืนนี้ก็คงจะไม่ได้นอนเป็นแน่ ผมมักง่ายคิดเอาเองว่าห้องตรงข้ามของผมเองจะต้องได้ยินและรำคาญเสียงเห่าหอนของมันเหมือนๆ กับผม คิดได้อย่างนั้นผมจึงนั่งนิ่งๆ รอให้ห้องตรงข้ามมาเปิดประตูไล่หมาตัวนั้นไป
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที ก็ไม่มีทีท่าว่าห้องตรงข้ามจะเปิดประตูออกมาดูแม้แต่น้อย ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคืนนี้เพื่อนบ้านของผมอยู่ในห้องหรือเปล่า เสียงเห่าของมันกรรโชกและเริ่มรุนแรงขึ้น พอๆ กับเสียงหอนที่ดังจนเริ่มจะทนไม่ไหว
สายตาที่เริ่มชินกับความมืดของห้องช่วยให้มองอะไรชัดมากขึ้น ผมกลั้นใจเดินไปจับลูกบิดประตูห้องของตัวเองแล้วเปิดมันอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย!”
ผมหลุดปากร้องออกมาทันทีที่ได้เห็นเจ้าของเสียงโหยหวนนั้น ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าหมาพันธุ์อะไร แต่ตัวของมันนั้นเล็กมากสูงไม่เกินครึ่งหน้าแข้งของของผม แต่ผมจำหมาตัวนี้ได้มันคือหมาตัวเดียวกันกับที่ผมเห็นมันทุกวันในละแวกหอ มันน่าจะเป็นหมาของร้านค้าสักร้านหนึ่งในย่านนี้
ผมจ้องตากับหมาน้อยตรงหน้าที่เวลานี้ไม่มีท่าทีเป็นมิตรแม้แต่น้อย สายตาของมันจ้องมาที่ผม ปากของมันแยกเขี้ยวยิงฟันขู่อย่างเอาเป็นเอาตาย  ตัวที่เล็กของมันทำให้เสียงของมันเล็กลงไปด้วยแม้จะไม่น่ากลัวเท่าหมาตัวใหญ่แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในเวลานี้
ผมพยายามไล่มันด้วยเสียงแต่ก็ไร้ประโยชน์ ผมหยิบเอาไม้กวาดที่พิงอยู่ตรงกำแพงหน้าห้องมาถือไว้ในมือทำท่าเหมือนจะฟาดแต่มันก็ดูจะไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย มันยังคงขู่และเห่าต่อไปอย่างนั้น น้ำลายของมันยืดจนหยดลงกับพื้นเลอะไปหมด
เสียงของมันเริ่มดังเกินที่ผมจะทนไหวแต่จะให้ฟาดมันลงไปจริงๆ ผมก็ทำไม่ได้เพราะบ้านผมเองก็เลี้ยงทั้งหมาและแมวทำให้ไม่กล้าทำร้ายสัตว์พวกนี้ สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ตอนนั้นคือการโยนไม้กวาดออกไปให้กระทบกับพื้นเกิดเป็นเสียงดังๆ
ผมโยนไม้กวาดในมือลงบนพื้นกระเบื้องของหอพักใกล้ๆ กับที่หมาตัวนั้นยืนมองอยู่ เสียงของไม้กวาดดังก้องไปทั่วทั้งชั้นจนผมเองยังอดสะดุ้งไม่ได้ และหมาตัวนั้นก็เช่นกัน
ทันทีที่ไม้กวาดกระทบพื้นมันก็หยุดขู่และกระโจนเข้าใส่ผมอย่างจัง ด้วยความตกใจผมยกขาหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด และเพราะมันได้กระโจนออกมาอย่างนั้นจึงทำให้ผมได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วหมาตัวนี้ไม่ได้ตั้งใจจะขู่ผมเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้กลายเป็นผมที่มายืนอยู่ข้างหลังของหมาตัวนั้น มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาขู่และเห่าพื้นที่ว่างสุดทางเดินของหอพักซึ่งตรงนั้นเป็นบันไดฉุกเฉินแบบที่ต้องปีนลงไปไม่ใช่บันไดหนีไฟอย่างตึกใหญ่ๆ ทำให้ตรงนั้นเป็นส่วนระเบียงกว้างยาวประมาณสองเมตรยื่นออกไปนอกตัวตึก
ประตูของระเบียงตรงนั้นไม่เคยถูกปิดเลยตั้งแต่ที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักนี้ ผมมองตามสายตาของหมาตัวนั้นสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณหนึ่ง และสิ่งที่ผมได้เห็นก็คือเงาร่างของผู้ชายคนหนึ่งในท่าทางผอมแห้งยืนอยู่บนขอบระเบียงเล็กๆ นั่นอย่างน่าหวาดเสียว
ภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะมันค่อนข้างโปร่งและดูเลื่อนลอยมากกว่าร่างกายมนุษย์ที่เราเห็นอยู่ทุกๆ วัน สมองของผมยังไม่ทันได้คิดอ่านอะไรเงาร่างนั้นก็ค่อยๆ โน้มตัวเอนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะร่วงลงไปจากชั้นสี่ของหอพักต่อหน้าต่อตา
ผมยืนมองภาพนั้นอย่างประหลาดใจและรู้สึกกลัวขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่ผมจะสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้งด้วยเสียงร้องของหมาตัวเดิม แต่คราวนี้มันไม่ใช่เสียงเห่าหรือหอน แต่เป็นเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนกับเวลาที่โดนรถชนหรือหมาตัวอื่นกัด
หมาตัวนั้นหันหลังกลับวิ่งผ่านผมไปอย่างรวดเร็ว มันวิ่งลงบันไดหอพักอย่างไม่คิดชีวิตจนล้มไปกับบันได ผมที่คิดจะตามไปดูมันก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ตรงนั้น เพราะเมื่อหันหลังกลับมาสิ่งที่ผมได้เห็นคือเงาร่างของชายคนเดิมที่กำลังก้าวเท้าอย่างช้าๆ ตรงมาทางผม
จากปลายทางเดินฟากหนึ่งของหอพักมาอีกฟากนั้นไม่ได้ไกลกันเลยสักนิดเดียว เพราะชั้นหนึ่งนั้นมีห้องพักเพียงห้าห้องเท่านั้น เงาร่างของชายคนนั้นที่    เดินออกมาจากมุมมืดสุดทางเดินจึงใช้เวลาไม่นานเพื่อมาถึงที่ที่ผมยืนอยู่
ผมยืนนิ่งมองเงาร่างนั้นค่อยๆ เดินผ่านไปด้วยขาที่แข็งจนก้าวไม่ออก ชายคนนั้นเดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจผมแม้สักนิด เขาเดินผ่านทางเดินออกไปยังระเบียงหอพักที่เดิม ขาข้างหนึ่งยกขึ้นเหยียบสองมือจับไว้ที่ขอบปูนยันตัวขึ้นไปยืนเต็มสองขาในท่าทางเหมือนกับเมื่อสักครู่
ร่างนั้นโน้มเอียงไปข้างหน้าแล้วร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่เป็นบึงเล็กๆ ของชุมชน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมกลัวและแปลกใจเพราะอยู่มาตั้งนานก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ คืนนั้นผมนอนไม่หลับอีกต่อไป ได้แต่นั่งเปิดหนังดูไปเรื่อยๆ พร้อมกับใส่หูฟังเปิดเสียงให้ดังเพียงพอที่ผมจะไม่ต้องได้ยินอะไรข้างนอกนั่นอีก
ผมคิดเอาไว้ว่าผมจะไม่หลับจนกว่าฟ้าจะสางแต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันก็ทำให้ผมฟุบหลับลงกับโต๊ะเขียนหนังสืออย่างไม่รู้ตัว
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ปลุกผมให้สะดุ้งตื่นขึ้นบนเก้าอี้ตัวเดิม แสงแดดที่ส่องผ่านประตูกระจกเข้ามานั้นบอกผมว่าเป็นเวลาสายแล้วตามความเคยชินที่เห็นในทุกๆ วัน ผมกดรับสายที่โทรเข้ามา บนหน้าจอนั้นแสดงเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นตาเลยสักนิด
“ฮัลโหลครับ ใครครับ” ผมถามทันทีที่รับสาย
“น้อง… ใช่ไหมคะ ป้าเป็นแม่ของพี่มดค่ะ” ปลายสายแนะนำตัว
ผมลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำในทันที เพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้ใกล้จะได้เวลาที่นัดกับพี่มดไว้แล้ว
หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินลงมาที่ด้านล่างของหอพัก ที่ตรงนั้นจะเป็นถนนที่มีตึกสองฝั่งตรงข้ามกัน หน้าตึกคือลานจอดรถของแต่ละหอพักที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแนวยาว
ด้วยความรีบร้อนกลัวว่าจะเลยเวลานัดสิ่งแรกที่ผมทำคือการมองซ้ายมองขวาหารถของคนที่คิดว่าน่าจะเป็นแม่ของพี่มดแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ระหว่างนั้นผมเห็นลุงเจ้าของหอกำลังยืนคุยกับเจ้าของตึกข้างๆ เสียงดัง
“ลุงมีอะไรกันเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนิท
“หมาบ้านนี้น่ะซิ หายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้หากันให้วุ่นตั้งแต่เช้ามืด ไปเจออีกทีอยู่โน่น ถนนใหญ่”
เมื่อมองเข้าไปในกลุ่มคนตรงหน้าก็เห็นพี่เจ้าของตึกข้างๆ นั่งกอดหมาตัวที่ว่า ตัวที่ผมรู้ดีว่ามันคือตัวไหน ใช่ครับ มันคือตัวเดียวกับที่โผล่มาขู่ผมเมื่อคืน

“ว้าย!”
        หมาตัวเดิมกระโดดลงจากแขนเจ้าของลงมายืนจังก้ากับพื้นถนนจ้องมาที่ผมเหมือนกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตาของมันขวางอย่างไม่เป็นมิดส่งเสียงขู่สลับกับเห่าดังจนคนใกล้ๆ ต้องถอยห่าง
        เจ้าของพยายามห้ามไม่ให้มันเห่าแต่ก็ดูจะไร้ผล ด้วยเหตุนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินออกจากตรงนั้นมาด้วยตัวเอง เพราะรู้ดีว่าทำอย่างไรมันก็คงไม่หยุดเห่าถ้ามันยังเห็นผมอยู่ตรงนั้น
        ผมเดินออกมารอแม่ของพี่มดที่ริมถนนใกล้ๆ กับหอ ไม่นานนักแม่ของพี่มดก็มารับ แต่ผิดคาดไปนิดหนึ่งตรงที่ในรถคันนั้นไม่มีพี่มดอยู่
        เราทักทายกันตามปกติเพราะยังคงจำกันได้แม้จะเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง ระหว่างทางป้าตุ๊กแม่ของพี่มดก็รีบอธิบายเรื่องราวคร่าวๆ ให้ผมฟัง
        สาเหตุที่พี่มดไม่ได้มารับด้วยตัวเองและไม่ได้ออกมาพบกับผมตามที่ได้ตกลงกันไว้นั้นเป็นเพราะอาการป่วยที่จู่ๆ ก็หนักขึ้นจนทำให้ลุกจากเตียงไม่ไหว
        ผมไม่ได้ติดใจเรื่องที่มดป่วยหรืออะไร แต่ยังคงคาใจมากกว่าว่าทำไมพี่มดถึงติดต่อผมมานอกจากการพูดคุยกับตามประสาคนรู้จัก
“ถึงบ้านแล้วก็จะรู้เองแหละลูก”
        ป้าตุ๊กพูดประโยคนั้นพร้อมปาดน้ำตาที่เหมือนจะพยายามกลั้นไว้อยู่ตลอดเวลา
        รถเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านหลังใหม่ที่ผมไม่เคยมาเยือนเพราะพี่มดนั้นย้ายบ้านมาได้หลายปีแล้วหลังจากที่เราห่างกันไปช่วงหนึ่ง ความรู้สึกแรกที่เลี้ยวรถเข้ามาในบ้านนั้นแปลกประหลาด ไม่เหมือนกับเวลาที่เราไปเยี่ยมบ้านคนรู้จักหรือแม้แต่บ้านของคนทั่วๆ ไป
        ความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้คือความเย็นที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ มันไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนห้องที่เปิดแอร์หรือห้องแช่แข็ง มันเป็นความเย็นจากอากาศโดยรอบ ความเย็นเงียบๆ นิ่งๆ ที่ทำให้ขนลุก และเมื่อสังเกตดูดีๆ จึงได้รู้ว่าบ้านนี้เงียบมาก เงียบจนเกินไป
        เงียบที่ผมหมายถึงคือไม่มีเสียงของหมาแมว หรือแม้แต่นกสักตัวให้ได้ยิน นอกจากเสียงฝีเท้าของตัวผมเองกับป้าตุ๊กมีเพียงเสียงใบไม้ไหวเบาๆ เท่านั้นที่ผมสามารถรับรู้ได้
        ผมนึกอยู่นานว่าเคยสัมผัสกับความรู้สึกประมาณนี้มาจากที่ไหนสักที่หนึ่งแต่ในตอนนั้นผมก็ยังคงนึกไม่ออก
        เราเดินเข้ามาในตัวบ้าน บ้านของพี่มดนั้นเป็นเหมือนกับบ้านจัดสรรทั่วๆ ไปไม่ได้ตกแต่งพิเศษอะไรมากมายทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่ก็แอบทำให้รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“อ้าว มากันแล้วเหรอ”
        เสียงใสๆ ของพี่มดทักทายผมทันทีที่ได้พบกัน แม้ว่าเสียงของเธอจะยังเหมือนเดิมแต่สภาพร่างกายของเธอก็อดทำให้ผมตกใจไม่ได้
        พี่มดเป็นผู้หญิงผิวขาวที่มีเชื้อจีนอยู่ไม่น้อยกว่าครึ่ง เธอสมส่วนและดูสวยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่วันนี้เธอกลับดูซูบใบหน้าอิดโรยเหมือนคนป่วยหนักติดกันมาสักระยะหนึ่ง เธอยิ้มให้ผมแก้เขินเพราะคงรู้สึกได้ถึงอาการตกใจของผม
        เรานั่งคุยกันที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอยังคงเป็นกันเองเหมือนอย่างเคย ส่วนป้าตุ๊กนั้นปลีกตัวออกไปก่อนเพราะคิดว่าพวกเราอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัว
        พี่มดถกแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงหัวไหล่เพื่อแสดงให้เห็นแผลที่ยังคงเป็นรอยเย็บอยู่ รอยบาดนั้นยาวตั้งแต่หัวไหล่มาจนเกือบถึงข้อศอก ผมรู้สึกเสียวท้องน้อยขึ้นมา เพราะเผลอคิดไปว่าตอนเกิดเหตุมันจะเจ็บขนาดไหน
        เราค่อยๆ เท้าความกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด มันเริ่มจากวันธรรมดาวันหนึ่งที่พี่มดกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งซึ่งมันใกล้กับถนนใหญ่ พี่มดไม่ได้ยินเสียงที่ดังใกล้เข้ามา จากผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่ามีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งมักง่ายวิ่งขึ้นมาบนทางเท้าใกล้กับที่เธอวิ่งอยู่
        จู่ๆ มอเตอร์ไซด์ก็เกิดเสียหลักเซถลาเข้าไปกระแทกกับตัวพี่มด แรงกระแทกนั้นมากพอที่จะผลักให้ผู้หญิงร่างเล็กอย่างเธอกระเด็นล้มลงไปกับพื้น เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ตรงนั้นมีเหล็กที่โผล่ออกมาจากขอบปูนอยู่อย่างน่าหวาดเสียว แขนข้างนั้นถูกขอบคมๆ ของแท่งเหล็กบาดเป็นทางยาวเลือดไหลนองจนคนรอบข้างตกใจรีบพาไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
        ความน่ากลัวไม่ได้จบลงที่บาดแผลเล็กๆ ตอนนั้น เพราะในคืนเดียวกันนั้นพี่มดเกิดอาการไข้สูงจนต้องนอนเฝ้าระวังที่โรงพยาบาล แผลของเธอน่าจะเกิดการติดเชื้อและอักเสบอย่างรุนแรงจึงเกิดเป็นอาการอย่างนั้น(ผมฟังมาจากเธออย่างนี้)
        คืนนั้นที่เธอนอนซมเพราะพิษไข้ เธอได้นอนในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาล ห้องส่วนตัวที่พี่มดนอนนั้นมีแค่เธอกับแม่เท้านั้น แต่ในช่วงกลางดึกเธอกลับได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนวนเวียนอยู่รอบๆ เตียงของเธอ
        พี่มดไม่กล้าลืมตาแต่แน่ใจว่าเสียงนั้นอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร เธอหลับตาแทบจะร้องไห้แต่ก็กลัวว่าถ้าร้องออกมาเสียงของเธอคงจะบอกกับอะไรบางอย่างตรงนั้นว่าเธอยังคงตื่นอยู่ พี่มดพยายามกลั้นเสียงสุดชีวิตแต่มันก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์
        พี่มดรู้สึกถึงอากาศเย็นๆที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กับใบหน้า สัมผัสเล็กๆของอะไรบางอย่างที่คาดว่าน่าจะเป็นเส้นผมลูบไล้อยู่ข้างๆแก้ม เธอตกใจมากจนเผลอลืมตาขึ้นมามองโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่เธอเห้นทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความกลัว
        ท่ามกลางความมืดของห้องพักนั้นมีเงาร่างหนึ่งสูงผิดปกติ เงาดำนั้นทาบทับตั้งแต่พื้นสูงจนเกือบติดกับผนัง พี่มดเห็นอย่างนั้นแต่มันแปลกตรงที่ใบหน้านั้นอยู่ห่างจากหน้าเธอเพียงหนึ่งไม้บรรทัด เธอบอกกับผมอีกครั้งว่าร่างกายนั้นมันไม่สมส่วน ไม่ใช่สรีระของมนุษย์อย่างแน่นอน ใบหน้านั้นยิ้มกว้าง ผิวหน้าซีดเผือด ดวงตานั้นเป็นสีขาว พี่มดจำได้แค่นั้นเพราะหลังจากนั้นเธอก็ทำได้แค่หลับหูหลับตากรีดร้องสุดชีวิต แต่เสียงที่เธอได้ยินนั้นไม่มีวันลืม เงาร่างของใครสักคนตรงนั้นพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
“ป่วยเหมือนกันเหรอ”
        ผมทิ้งช่วงให้พี่มดได้พักหายใจสักครู่ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในส่วนต่อไป
“พี่ไม่รู้เลยว่าตาฝาดหรืออะไร ได้แต่หลับหูหลับตาร้อง”
        แม้ว่าวันที่เธอเล่าให้ผมฟังจะห่างจากวันนั้นมาพอสมควรแล้ว แต่แววตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความกลัว หลังจากที่ป้าตุ๊กและพยาบาลเข้ามาวุ่นวายจากเสียงร้องของเธอแล้ว เธอก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับแม่ฟังทั้งหมด ป้าตุ๊กค่อนข้างเชื่อเธอ เพราะปกติลูกสาวของป้าไม่เคยโกหกอะไรกับคนในบ้านอยู่แล้ว
        หลังจากอาการดีขึ้นแล้วพี่มดก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้แต่เหมือนจะยังต้องเวียนมาทำแผลอยู่ ตอนออกจากโรงพยาบาลทั้งสองคนยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะป้าตุ๊กพาพี่มดตรงไปยังสำนักทรงเจ้าแห่งหนึ่งที่เคยไปมาหาสู่กันเป็นครั้งคราวตามประสาคนชอบเล่นหวยอย่างป้าตุ๊ก
        บ้านหลังนั้นไม่ต่างจากบ้านทั่วๆ ไป ที่ต่างก็คงจะมีแค่จำนวนรถและคนที่มากเกินกว่าจะเป็นการมาเยี่ยมเยือนของญาติสนิทมิตรสหาย ทุกคนในที่นั้นมาเพื่อหวังโชคลาภ และปาฏิหาริย์ตามแต่ที่ตัวเองจะคิดฝันให้ร่างทรงดลบันดาลให้เป็นจริง
        พี่มดนั่งรออยู่พักใหญ่ๆ ก็ถึงคิวเข้าไปพบกับร่างทรงคนดังกล่าว เธอยังไม่ทันจะได้เล่าเรื่องราวอะไรให้ฟังชายสูงวัยในชุดสีกลักก็ทักเธอเสียงดัง
“ชะตาเมิงขาด เขาจะมาเอาเมิงไปแล้ว!”
        ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าประโยคเดียวเรียกเอาทรัพย์สินจากทั้งสองคนไปได้มากมายเท่าไหร่ ทั้งเครื่องรางของขลัง ทั้งพิธีสะเดาะเคราะห์ต่างๆ นานา ผมขอไม่เล่ารายละเอียดตรงนี้แล้วกันเพราะมันหลายอย่างผมก็จำได้ไม่หมด แต่อย่างหนึ่งที่สร้างเรื่องราวทุกอย่างขึ้นมาในครั้งนี้คือ พิธีกรรมที่ผมไม่คิดว่าจะยังมีคนเอามาใช้จริง มันควรจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าไปแล้วในความคิดของผม
        ย้อนกลับไปก่อนหน้าวันที่ผมจะได้มาบ้านหลังนี้หนึ่งวัน พี่มดถูกนัดให้ไปทำพิธีหนึ่งในช่วงกลางคืนกับร่างทรง แต่ผมคงจะขอเรียกว่าหมอผีดีกว่า
        สถานที่นัดหมายนั้นเป็นป่านอกเมืองที่ห่างไกลพอสมควรใกล้ๆ นั้นเองก็มีวัด ทั้งสองคนไม่กล้าไปด้วยตัวเองจึงพาเพื่อนบ้านที่สนิทกันไปด้วยอีกสองคนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งคู่
        คืนนั้นมืดสนิทไม่มีเสียงนกเสียงลมแต่อย่างใด น่าจะเป็นคืนเดือนดับด้วยถ้าพี่มดจำไม่ผิด เมื่อไปถึงในป่านั้นมีคนมารอรับอยู่ข้างหน้านำทางพวกเธอเข้าไปตรงดงต้นไม้สูง
         ทันทีที่รถของพี่มดเข้ามาจอดทั้งสี่คนก็เดินลงมาหาเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เด็กคนนั้นเดินนำทางเข้าไปในพื้นที่ป่ามืดๆ นั้นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็พบกับแสงไฟจากไฟฉายและตะเกียงไฟฟ้าแบบถือที่วางอยู่กับพื้น

ป้าตุ๊กกับเพื่อนร่วมทางอีกสองคนถูกกันไว้ ไม่ให้เข้าไปใกล้กับพื้นที่ที่จะทำพิธี ที่ตรงนั้นมีชายสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งคือหมอผีคนเดิมที่พี่มดเคยพบก่อนหน้านี้ ส่วนคนข้างๆ นั้นแต่งตัวคล้ายๆ กันแต่ดูมีอายุมากกว่าพอสมควร น่าจะเป็นอาจารย์เพราะได้ยินหมอผีคนนั้นเรียก
         ตรงหน้าของคนทั้งสองมีหลุมดินหลุมหนึ่งถูกขุดเอาไว้อยู่ พี่มดเดินเข้าไปใกล้บริเวณนั้นคนเดียว เธอกล้าๆ กลัวๆ ในใจอยากจะร้องไห้เต็มทนแต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ดูท่าจะไม่สามารถถอยหลังกลับได้อีก
         เมื่อเข้าไปใกล้ สิ่งที่เห็นทำให้เธอขาอ่อนจนลงไปนั่งกับพื้น เพราะในหลุมนั้นคือโลงศพที่ทำจากไม้โลงหนึ่งวางอยู่กลางหลุมดิน ข้างในมีผ้าขาวปูไว้ พร้อมกับดอกไม้จันทน์จำนวนหนึ่ง
“ลงไปนอนรอเลย ใกล้ได้เวลาแล้ว”
         หมอผีคนเดิมบอกให้พี่มดลงไปในหลุมนั้น เธอกลัวจนน้ำตาคลอไหลออกมาแต่ก็ไร้หนทางให้ถอยกลับ พี่มดจำใจก้าวเท้าลงไปในหลุมดินที่มีโลงไม้วางอยู่ ผ้าขาวที่ปูไว้บางจนรู้สึกถึงความแข็งของแผ่นกระดานที่ใช้ประกอบ
         พี่มดบอกผมว่าโลงนั้นไม่ใช่โลงแบบที่เราคุ้นตาตามร้านขายของทั่วๆ ไป เธอตระหนักถึงมันในวินาทีที่ได้ลงไปนอนในโลงนั้นด้วยตัวเอง มันเป็นโลงไม้ที่ถูกประกอบขึ้นมาอย่างง่ายๆ โดยการใช้ไม้กระดานตีประกอบกันตอกติดด้วยตะปู เพราะบางมุมยังมีช่องว่างแคบๆ ให้อากาศไหลเข้ามาได้อยู่
         ไฟฉายและตะเกียงถูกปิดเปลี่ยนเป็นแสงอ่อนๆ จากเทียนนับสิบเล่ม สายสิญจน์ถูกโยงไปรอบๆ หลุมทรงสี่เหลี่ยมนั้นพร้อมกับเสียงบริกรรมคาถาของหมอผีทั้งสอง เธอไม่รู้หรอกว่าบทนั้นคืออะไรจึงไม่สามารถบอกเล่าให้ผมเข้าใจได้
“ได้เวลาแล้ว อยู่นิ่งๆ บอกให้ลุกค่อยลุก ห้ามหนีเด็ดขาดไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะไม่ได้ผล”
         เสียงของคนสูงอายุน่าจะมาจากชายที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ดังลงมายังหลุมเบื้องล่างที่พี่มดมองไม่เห็นอะไรนอกจากท้องฟ้าสีดำสนิทและยอดไม้สูงที่ไหวเอนไปมาตามแรงลมอ่อนๆ
         พี่มดกลั้นใจฝืนตัวเองให้ทนไว้ เธอหลับตาแน่นพร้อมกับพนมมือประคองกรวยใบตองที่มีดอกไม้ธูปเทียนบรรจุอยู่ไว้จนเหงื่อซึมออกที่ฝ่ามือ เหงื่อที่ซึมออกมาตามใบหน้าเริ่มไหลเข้าตาและปาก เธออยากจะเอื้อมมือไปปัดเช็ดหน้าให้สะอาดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะสายสิญจน์ที่มัดโยงไว้ตั้งแต่ข้อเท้า มือ มาจนถึงคอ
“เขามัดตราสังพี่เลยเหรอ?” ผมถามด้วยความตกใจ
“ใช่ พี่โคตรกลัวเลยตอนนั้น”
         เสียงบริกรรมคาถาเงียบหายไป เงียบจนเธอได้ยินเสียงหายใจของตัวเองชัดเจน แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นั่นคือฝาโลงที่ถูกวางแยกไว้กำลังเคลื่อนตัวลงมาปิดกับโลงที่เธอนอนอยู่ด้วยมือของผู้ประกอบพิธี
         พี่มดไม่รู้ว่าคนยกฝาโลงนั้นลงมาด้วยไหมแต่ได้ยินเสียงกุกกักคล้ายแท่งไม้หรือแท่งเหล็กเคาะไปมาบนฝาโลง น่าจะใช้เพื่อจัดตำแหน่งของฝาโลง ฝานั้นไม่ได้ปิดสนิทเหลือช่องไว้ให้เธอหายใจก็จริง แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรข้างนอกอีก       
         เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เธอยังหายใจได้สะดวกแต่ความกลัวที่มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มทำให้เธอร้องไห้ออกมาจริงๆ ระหว่างเสียงสวดบริกรรมคาถา เธอได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ลอยอวลอยู่ในพื้นที่แคบๆ นั้น เธอบอกกับผมว่ากลิ่นมันเน่ามากเหมือนกับเวลาที่มีหมาตายอยู่ข้างถนน แต่มันแรงกว่านั้นมาก
         พี่มดพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองอ้วกออกมาจนจบพิธี เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงฝาโลงก็ถูกยกออกพร้อมกับกลิ่นที่หายไป เธอถูกดึงขึ้นมาให้นั่งพักหายใจอยู่ที่ข้างๆ หลุมนั้น
“คืนนั้นพี่กลัวมาก มากๆ แค่นึกถึงตอนนี้ก็ยังกลัว” พี่มดพูดเสียงสั่นๆ
“พอจะนึกอะไรที่เขาสวดออกบ้างไหมครับ ผมอยากรู้เขาทำอะไร”
“พี่ฟังไม่รู้เรื่องเลย จำได้แค่มีช่วงนึงเขาพูดเป็นภาษาไทย เขาพูดชื่อพี่แล้วบอกว่า คนชื่อนี้ตายไปแล้ว ต่อจากนี้ไม่มีคนชื่อนี้อีก คนคนนี้ได้เกิดใหม่แล้ว อะไรประมาณนี้”
         ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินเพราะมันฟังดูอาจคล้ายๆ กับบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายแต่มันก็ต่างกันพอสมควร คำพูดเหล่านั้นฟังดูน่ากลัว แต่มันก็มีมาช้านานกับพิธีต่อชะตาในรูปแบบนี้ ซึ่งก็มีความต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ แต่ละตำรา แม้แต่ผู้ทำก็จะมีวิธีต่างๆ ที่เป็นของตัวเอง
         นั่นคือทั้งหมดที่เธอเล่าให้ผมฟังถึงจุดเริ่มต้น เรากำลังจะคุยกันต่อแต่ป้าตุ๊กก็เดินเข้ามาขัดจังหวะแล้วเรียกให้เราเข้าไปหากินข้าวกันก่อน ป้าแกเตรียมไว้ให้
         บนโต๊ะอาหารนั้นอาหารแต่ละอย่างไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย แต่ที่แปลกจนผมต้องเอ่ยปากถามคือมันมีกับข้าวถ้วยเล็กๆ วางอยู่ที่ขาโต๊ะข้างหนึ่งตรงที่พี่มดนั่ง นอกจากถ้วยเล็กๆ นั่นแหละยังมีธูปปักอยู่อีกหนึ่งดอก
“ให้ใครกินครับ” ผมถามทันทีที่เห็น
“สัมภเวสีน่ะ เต็มบ้านไปหมดเลย ไม่ให้กินก็อาละวาด”
“อาละวาด?”
         ผมทวนคำถามอีกรอบ เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วพาผมลุกจากเตียงเดินไปยังบันไดขึ้นชั้นสองของบ้าน สิ่งที่เห็นคือบนบันไดขึ้นหนึ่งมีถ้วยอาหารแบบเดียวกันวางตั้งอยู่ ไม่ใช่แค่นั้นพี่มดยังพาผมเดินไปรอบๆ บ้าน ถ้วยข้าวดังกล่าวมีวางไว้อีกหลายแห่ง เช่น ประตูหน้าบ้าน ประตูหลังบ้าน ต้นไม้ใหญ่ในบ้าน ห้องเก็บของ ห้องน้ำ และแม้แต่ห้องครัว
         ผมขนลุกเกรียวด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกผมไม่สามารถกินข้าวมื้อนั้นลงได้เลย เพราะเริ่มกลัวกับสภาพบ้านหลังนี้ และคงต้องบอกตามตรงว่าผมเริ่มกลัวคนในบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน
“พี่มดเลี้ยงผีพวกนี้เหรอครับ” ผมถามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“พี่เปล่าเลี้ยง พวกเขามาเอง มาหลอกหลอนพี่จนนอนไม่ได้ ถ้าไม่ไหว้ไม่ให้กินพี่ก็อยู่ไม่ได้”
         พี่มดก้มหน้าซุกลงกับฝ่ามือร้องไห้อย่างทุกข์ใจ ป้าตุ๊กเดินเข้ามากอดปลอบใจลูกสาวด้วยสีหน้าทุกข์ใจไม่แพ้กัน ผมให้เวลาเธอเพื่อปรับสภาพอารมณ์ครู่หนึ่งจนเธอกลับมาพูดได้อีกครั้ง เธอก็เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมให้ผมฟัง
         ย้อนกลับมาก่อนหน้าที่เธอจะเกิดอุบัติเหตุเธอเริ่มฝันถึงเรื่องแปลกๆ บางคืนเธอฝันเห็นวิญญาณของชายคนหนึ่งเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอนของเธอ ชายคนนั้นหันมามองหน้าเธอเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ในฝันนั้นเธอทำได้แค่นอนนิ่งๆ เฝ้ามองผู้ชายคนนั้นเดินผ่านปลายเตียงตรงไปยังประตูกระจกห้องนอนที่ข้างนอกเป็นระเบียง
         ชายคนนั้นหยุดยืนที่ระเบียงบ้านก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนราวเหล็ก ร่างนั้นค่อยๆ โน้มร่างกายไปข้างหน้าและร่วงลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เธอกลัวมากกับสิ่งที่เห็น แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองดูภาพนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผู้ชายกระโดดตึกเหรอครับ”
“ใช่ พี่กลัวมาก”
         ไม่บอกก็คงรู้ใช่ไหมครับ ผมแน่ใจมากๆ ว่ามันคือวิญญาณดวงเดียวกันกับที่ผมเจอเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ผมยังไม่ได้เล่าอะไรให้พี่มดฟัง รอให้เธอเล่าทุกอย่างให้จบเสียก่อน
         เธอฝันอย่างนั้นอยู่หลายคืนสลับกับฝันอื่นๆ แต่ฝันนี้ค่อนข้างจะรบกวนเธอมากที่สุด เธอเล่าฝันให้แม่ฟังแล้วช่วยกันหาทางออก และทางออกที่ว่าก็คือการทำอาหารถ้วยเล็กๆ มาวางไว้ตรงระเบียงจุดที่เธอเห็นวิญญาณผู้ชายตกลงไป แปลกที่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ฝันถึงผู้ชายคนดังกล่าวอีกเลย
         จากนั้นเรื่องราวก็ลามมายังฝันอื่นๆ บางเรื่องเธอบอกว่าเธอไม่ได้ฝัน มันเกิดขึ้นจริงๆ เธอแน่ใจว่าตื่นอยู่และจำได้ดี คืนหนึ่งจากหลายๆ คืน พี่มดรู้สึกถึงการมีอยู่ของใครบางคน เธอไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงแต่มั่นใจว่ามีใครบางคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ร่วมกับเธอ เธอนอนหลับเหมือนอย่างในทุกๆ คืน แต่คืนนั้นเธอได้กลิ่นแปลกๆ ลอยมาจากห้องน้ำบนชั้นสองของบ้าน
         สาเหตุที่เธอมั่นใจอย่างนั้นเป็นเพราะกลิ่นมันคล้ายกับเศษอาหารที่กองรวมกันเวลาเราอ้วกเลอะไปทั่วพื้น เธอลุกจากเตียงเดินตรงไปยังห้องน้ำเพราะคิดว่าอาจเกิดการส้วมตันหรือใครเอาเศษอาหารมาทิ้งไว้ในห้องน้ำ
         เธอไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ทันทีที่ประตูห้องน้ำถูกผลักออกเธอก็ได้เห็นเงาร่างของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งกอดเข่าโยกตัวไปมาอยู่กับพื้น พี่มดบอกว่าเธอเป็นลมทันทีก่อนที่จะได้กรี๊ดออกมาอย่างที่คิด
         ป้าตุ๊กเล่าเสริมว่ามันคือเรื่องจริง เพราะป้าเป็นคนไปเจอพี่มดนอนสลบอยู่กับพื้นหน้าห้องน้ำด้วยตัวเองและพาเธอกลับมาที่เตียงก่อนที่เธอจะตื่นในเวลาต่อมา
         นอกจากฝันครั้งนั้นแล้วพี่มดมักได้ยินเสียงกุกกักไม่ก็น้ำไหลอยู่ในห้องน้ำ บางครั้งก็เป็นหลอดไฟที่เปิดปิดเอง หนักสุดคือหลอดไฟนั้นขาดอย่างไร้สาเหตุ เธอเปลี่ยนมันไปถึงสามดวงในเวลาสองวัน และทุกอย่างก็จบลงด้วยการวางถ้วยข้าวเล็กๆ ไว้ตรงนั้นอีกหนึ่งจุด

ที่บันไดบ้านสิ่งที่เกิดขึ้นคือเธอได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงอายุน่าจะราวๆหกเจ็ดขวบไม่เกินสิบขวด ครั้งนี้เธอได้ยินมันชัดเจนขณะที่ตื่นอยู่ เธอไม่ได้ฝัน ตอนนั้นเธอนั่งดูละครย้อนหลังอยู่ในโทรศัพท์ บ้านปิดไฟจนหมดแล้ว เสียงสะอึกสะอื้นนั้นดังลอยมาเบาๆ ในอากาศ
         พี่มดรู้สึกกลัว กลัวมากไม่กล้าที่จะเปิดออกไปดู เธอปิดโทรศัพท์นอนคลุมโปงไม่คิดจะออกไปดูแม้แต่น้อย เธอพยายามข่มตาหลับแต่กลายเป็นว่าเสียงนั้นดังมากขึ้นเรื่อยๆ ดังจนเธอรู้สึกเจ็บแก้วหูข้างใน เธอโทรหาแม่ที่นอนอยู่อีกห้อง กระซิบคุยกันเบาๆ
         ป้าตุ๊กได้ยินอย่างนั้นก็ไม่กล้าที่จะเปิดประตูออกมารับลูกสาวที่อีกห้อง ทั้งสองคนจึงตัดสินใจนัดกันเปิดประตูห้องนอนออกมาพร้อมๆ กัน เมื่อประตู้เปิดออกทั้งสองได้ยินเสียงร้องไห้นั้นพร้อมกัน ชัดเจน ไม่ได้ฝันไป
         แม่และลูกจับมือกันแน่นเดินตรงไปยังยังบันไดทางลงชั้นหนึ่ง พี่มดใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปยังความมืดเบื้องหน้า เสียงร้องไห้เงียบไปแล้ว ที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่มีสิ่งน่ากลัวอย่างที่คิด
         ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อหันหลังกลับเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความตกใจทั้งสองคนจึงเผลอหันไปมองทันทีโดยไม่ทันคิด สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่บนขั้นบันได เสื้อผ้าของเธอสกปรกแต่ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ ให้ได้เห็น
         สองคนแม่ลูกวิ่งกลับเข้าไปในห้องทันที ทั้งสองคนทำได้แค่นั่งกอดกันด้วยความกลัวรอให้รุ่งเช้ามาถึงตามความเชื่อที่ว่า ผีไม่หลอกตอนกลางวัน ซึ่งมันไร้สาระสิ้นดี
“เคยหาพระหาคนมาทำอะไรกับบ้านบ้างไหมครับ ดูจะเจอเยอะ” ผมถามเพราะเริ่มรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาจากที่ไกลๆ
“เคยสิ แต่ไม่มีประโยชน์เลย เพราะมันไม่ได้เป็นเพราะบ้าน แต่มันเป็นที่พี่นี่แหละ” เธอถอนหายใจ
         ผมถามกลับทันทีถึงความมั่นใจของเธอที่ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามหาทางออกมาพอสมควรจนในที่สุดก็มั่นใจว่ามันเกิดขึ้นจากตัวเธอไม่ได้เป็นเพราะบ้านหรือที่ดินที่อาศัยอยู่
         เธอเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมายเธอคิดอย่างแน่ใจมากว่าบ้านที่ซื้อมานี้ต้องมีปัญหา มันคือบ้านผีสิง ไม่ก็ต้องเป็นที่ดินอาถรรพ์ เธอจึงตัดสินใจพาแม่ออกไปนอนข้างนอกบ้านเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เธอย้ายของใช้ที่จำเป็นเข้าไปพักที่คอนโดแห่งหนึ่ง ด้วยสัญญาหนึ่งเดือน
“สัญญาเดือนนึง แต่อยู่อาทิตย์เดียว?”
         พี่มดพยักหน้าตอบรับการกระทำที่ดูไม่สมเหตุสมผลใดๆ เธอบอกกับผมว่าการย้ายที่อยู่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย คืนที่สองหรือสามที่เธอกับแม่นอนพักอยู่ในคอนโดแห่งนั้น เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกแปลกๆปลุกเธอให้ตื่นจากการหลับ ลมเย็นๆ ลูบไล้ไปมาบนร่างกายเธอจนรู้สึกหนาว เส้นขนลุกชันพร้อมกับอาการวิงเวียนอยากอาเจียน
         พี่มดค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เพราะรู้สึกเนื้อตัวชาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง คอนโดห้องนั้นไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็พอจะมีพื้นที่กว้างให้จัดวางข้าวของไว้ตามมุมต่างๆ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปมาในห้อง เธอคิดว่าเป็นโจร จึงรีบลุกขึ้นมาดู แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่โจรอย่างที่เธอคิด
         เพราะในห้องนั้นมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น แสงไฟสลัวจากโคมไฟไม่ได้ช่วยให้เธอมองเห็นอะไรชัดขึ้น เธอตัดสินใจเดินไปเปิดไฟให้สว่างทั่วทั้งห้อง เธอยังคงไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ แต่เสียงฝีเท้านั้นยังอยู่ พี่มดบอกว่าเสียงมันดังอยู่ทั่วๆ ไม่เจาะจงพื้นที่ มันแค่ดังไปทั่วๆ ห้อง
         พี่มดวิ่งกลับมาที่เตียงเพราะความกลัว เธอพยายามข่มตาหลับแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลับลงได้อีก เสียงฝีเท้าดั่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เงียบหายไปเสียดื้อๆ
         เสียงฝีเท้าถูกแทนที่ด้วยเสียงลมหายใจกึ่งหอบ เสียงนั้นดังอยู่ใกล้มากใกล้จนเธอแน่ใจว่ามันอยู่ข้างๆ เธอนี่เอง พี่มดตัดสินใจที่จะไม่หันไปมอง แต่แล้วก็ทำอย่างที่คิดไม่ได้เพราะจู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงแรงสะกิดบนแผ่นหลัง
         เธอหันขวับด้วยความตกใจและเธอก็ได้เห็นเจ้าของเสียงฝีเท้านั้น เด็กผู้หญิงที่เธอจำหน้าตาไม่ได้แต่จำชุดของเธอได้อย่างแม่นยำ ตอนนี้เด็กคนนั้นนั่งอยู่กับพื้นข้างๆ เตียงของเธอ เด็กคนนั้นจ้องมองมาที่เธออย่างแน่วแน่คล้ายจะบอกอะไร แต่พี่มดนึกหน้าของเธอไม่ออก
         พี่มดร้องไห้และกรีดร้องออกมาสุดเสียง แต่มันกลับกลายเป็นว่าเธอเพียงแค่ตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึกของคืนนั้นเท่านั้น
         ครั้งนี้เธอไม่ยอมเล่าให้แม่ฟังเพราะแค่นี้ป้าตุ๊กก็เป็นห่วงเธอมากแล้ว แต่ทุกอย่างมันก็ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อผ่านไปได้จนเกือบครบอาทิตย์ เธอฝันอีกครั้ง
         ความฝันในครั้งนี้น่าจะน่ากลัวมากที่สุดที่เธอได้พบมา ขณะที่เธอถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งในช่วงกลางดึก เธอได้ยินเสียงหนึ่งดังอยู่ข้างๆ หู เสียงนั้นฟังดูเหมือนต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่าง เธอไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่น้อย เธอทำได้แค่ลืมตามองความมืดในห้อง และเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบดังอยู่ข้างหู
         พี่มดบอกกับผมว่ามันเหมือนกับเสียงที่ดังมาจากกลุ่มคน สามสี่เสียง เธอไม่แน่ใจแต่มันไม่ใช่เสียงเดียวแน่ๆ เธอพอจะจับใจความของเสียงนั้นได้ เพราะทั้งหมดนั้นพูดถึงคำที่คล้ายๆ กัน
‘หิว’
         ผมขมวดคิ้วฟังด้วยความไม่เข้าใจหลายๆ อย่าง พี่มดไม่ใช่คนที่จะมาเจอเรื่องอะไรอย่างนี้ได้ง่ายๆ และถึงจะมีโอกาสก็ไม่น่าจะชัดเจนได้ขนาดนี้ แต่ผมก็ยังไม่ได้ถามออกไป เพียงแต่รอให้พี่มดเล่าทุกอย่างให้ฟังจนหมดก่อน
         ฝันในคืนนั้นน่ากลัว แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเหมือนกัน สิ่งเดียวที่เธอคิดออกคือเธอจะไปทำบุญให้กับพวกเขาเหล่านั้น แต่เธอก็ต้องรอให้ถึงวันหยุดเสียก่อนจึงจะว่างไปที่วัด แต่เหมือนกับพวกเขาจะรอไม่ไหว
         เพียงวันถัดมาที่เธอไปทำงานตามปกติ ห้องทำงานของเธอนั้นจะเป็นโต๊ะติดๆ กันมีเพื่อนร่วมงานหลายคน พี่มดนั่งทำงานอยู่ตามปกติ จริงๆ แล้วเธอเป็นคนอัธยาศัยดีมักจะทักทายทุกๆ คนด้วยรอยยิ้ม วันนั้นก็เหมือนกัน เธอพูดคุยกับคนอื่นๆ เหมือนอย่างในทุกวัน แต่วันนั้นเธอได้ยินเสียงแทรกเข้ามาระหว่างการสนทนา
         เธอหยุดพูดเอาดื้อๆ เพราะเสียงนั้นฟังดูคุ้นหู เธอเงียบฟังเสียงนั้นอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ยินอีก ด้วยความกลัวเธอจึงขอตัวไปล้างหน้าในห้องน้ำ
         เธอยืนมองกระจกอยู่นานเพราะรู้สึกเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอติดกันมาหลายวัน พี่มดรู้สึกเวียนหัวจึงจะรีบกลับไปที่โต๊ะ เธอเดินไปเปิดประตูห้องน้ำแต่แล้วก็ได้ยินเสียงเดิมดังเข้ามาในหูอีกครั้ง
‘หิว’
         เธอไม่รู้ว่าเสียงนั้นมีกี่เสียง แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนห้องมันหมุนคว้าง เธอล้มลงไปกับพื้นตื่นมาอีกทีก็อยู่ในห้องพยาบาลแล้ว เพื่อนๆ ที่เป็นห่วงลงมานั่งเฝ้าเธอเพราะเธอไม่ได้ขาดสติไปเพียงแค่เบลอๆ เท่านั้น
         วันนั้นเธอกลัวมาก เก็บข้าวของทุกอย่างออกจากคอนโดกลับบ้านทันที สิ่งแรกที่เธอทำคือการวางข้าวถ้วยเล็กๆ ไว้ตามจุดต่างๆ ที่เธอพบเรื่องราวแปลกๆ และมันก็น่าประหลาดใจจริงๆ เพราะเมื่อทำการวางข้าวไว้ตามจุดต่างๆ ในบ้านแล้วเธอก็ไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยินเสียงเหล่านั้นอีก
“แต่มันติดตรงที่ว่า มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสามจุดเป็นสี่เป็นห้า ตอนนี้พี่ก็เลิกนับไปแล้วว่ามีเท่าไหร่”
         จากจำนวนที่ผมนับได้ก็ร่วมๆ สิบจุดเห็นจะได้ เอาจริงๆ ตอนนั้นผมก็ได้แต่ฟังเท่านั้นเพราะทุกอย่างมันดูไม่มีเหตุผลสักนิด อยู่ดีๆ คนอะไรจะมาเจอผีหลอกซ้ำซ้อนอย่างนี้ จะว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากการไปลงโลงมันก็ก่อนหน้านั้นเสียอีก
“พี่มดยังไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังรึเปล่า” ผมถามออกไปตรงๆ
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” เธอไม่สบตาผม
“พี่ไม่น่าติดต่อผมมาด้วยเรื่องแค่นี้ เพราะพี่ก็ดูจะรับมือมันได้ประมาณหนึ่ง”
“ใช่ จริงๆ มันมีอีกเรื่อง”
“เรื่องอะไรครับ”
“พี่กำลังจะตาย”

ผมร้องเสียงหลงกับสิ่งที่ได้ยินและกำลังจะโวยวายถามเอาความต่อ แต่เธอก็ก้มหน้าร้องไห้ไปเสียแล้ว ป้าตุ๊กเดินเข้ามาปลอบลูกสาวอีกครั้ง พี่มดกลั้นน้ำตารอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ เธอเงยหน้าบอกกับผมว่าให้กินข้าวกันก่อนดีกว่าค่อยคุยกันต่อ ผมไม่กล้าขัดเพราะเธอคงจะทุกข์ใจมากจริงๆ
         แต่เพียงแค่ข้าวคำแรกที่ผมใส่เข้าปากผมก็ต้องหยุดกินเพราะตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าอีกครั้ง อาหารบนโต๊ะนั้นเยอะมากแล้วสำหรับคนสามคน แต่มียังอาหารถูกยกมาวางอีกจานหนึ่ง จานนั้นไม่ใช่กับข้าวของทุกคน แต่มันเป็นของพี่มดเพียงคนเดียว
         ลาบเลือดสดๆ ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ผมไม่ใช่คนที่กินของอะไรพวกนี้เคยลองแล้วแต่ไม่ชอบเพราะมันมีกลิ่น แต่เพื่อนผมหลายๆ คนก็กินกัน ผมมั่นใจว่าลาบจานนั้นมีเลือดใส่อยู่มากกว่าปกติแน่ๆ กลิ่นของมันคาวคลุ้งจนผมต้องอุดจมูก ผมตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าพี่มดจะชอบกินอะไรอย่างนี้
         พี่มดกินอาหารปกติสลับกับลาบเลือดในจาน มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากเป็นอาหารโปรดของเธอ แต่เธอกลับกินไปคายทิ้งไป อ้วกไป ท่าทางการกินของเธอดูทรมานมากกว่าความอร่อยที่จะมีได้จากอาหารจานนี้
“เอ่อ.. พี่มด” ผมจะถามแต่ก็พูดไม่ออก
         เธอยกมือให้สัญญาณห้ามไว้ว่ายังไม่ขอพูดตอนนี้ ผมพยายามกินอาหารในจานให้ได้มากที่สุดแม้ว่ามันจะไม่ถึงครึ่งจานก็ตาม ผมแยกตัวมานั่งในห้องนั่งเล่นเปิดโทรทัศน์ดูอะไรไปเรื่อย การกินอาหารพร้อมกับมีคนอ้วกไปด้วยมันยากที่จะทำใจจริงๆ แม้แต่ตอนที่ผมนั่งดูอะไรไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลาผมก็ยังได้ยินเสียงความทรมานของเธออยู่ตลอดเวลา
“พี่ขอโทษนะ มันน่าเกลียดจริงๆ”
         ท่าทางของเธอนั้นทั้งรู้สึกผิดและอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตลอดแรกผมรู้สึกคลื่นไส้แต่พอเห็นเธออย่างนี้แล้วก็อดสงสารไม่ได้ เรากลับมาที่การสนทนากันต่อ ครั้งนี้ผมเป็นคนเริ่มบทสนทนาเอง เพราะเธอมัวแต่เล่าอ้อมไปอ้อมมาอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มหงุดหงิด
“ทำไมต้องกินอย่างนั้นครับ ไม่ใช่เพราะชอบแน่ๆ”
         เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกเอาความกล้าที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
         พี่มดบอกกับผมว่าจริงๆ แล้วเรื่องที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่จุดเริ่มต้น ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นมาก่อนหน้านั้นพอสมควร ผมขมวดคิ้วอีกครั้ง เรื่องราวมันดูเยอะแยะไปหมด วุ่นวายจนเกือบน่ารำคาญแต่ก็สงสาร
         ช่วงหนึ่งพี่มดพบเจอกับมรสุมชีวิตเธอตกงานอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้และมารู้เอาทีหลังว่ามันเกิดจากการใส่ความกันเองในที่ทำงาน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดแค่ดีเกินหน้าเกินตาคนเก่าคนแก่ เธอถูกกลั่นแกล้ง ถูกบีบจนต้องจำใจลาออกมาด้วยตัวเอง
         เธอตกงานอยู่หลายเดือน จนเธอเริ่มเครียด เธอหางานไม่ได้ ไม่ได้เลยจริงๆ ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์ เงินเก็บที่มีมันก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เป็นไปตามสำนวนที่เราได้ยินมาตลอด บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ คำนี้เจ็บปวดจริงๆ สำหรับคนที่ไปทำงานไกลบ้านอย่างเธอ
         พี่มดยังคงหางานอยู่ในตัวกรุงเทพเพราะคิดว่าแถวๆ บ้านคงจะไม่มีงานดีๆ รออยู่ และไม่นานเธอก็ได้งานใหม่ แต่งานใหม่นั้นก็แย่ยิ่งกว่างานเก่า เธอเข้ากับใครไม่ได้เลย ถูกด่าถูกว่าทุกวันอย่างไร้เหตุผล มันอาจฟังดูเหมือนละคร แต่มันก็เกิดขึ้นจริงในชีวิตของใครหลายๆ คน แม้ตัวเราไม่ได้เจอ ก็อย่าไปคิดว่ามันไม่มีอยู่
         เธอทนทำงานนั้นอยู่ประมาณสองเดือนเพราะต้องการหาเงินก็ทนต่อไปไม่ไหว เธอเหนื่อย เธอเบื่อกับการต้องกลับมานั่งร้องไห้ทุกวันก่อนนอน เบื่อที่จะต้องตื่นมากับความรู้สึกทรมานที่ต้องออกจากห้องไปทำงาน
         ไม่ใช่แค่นั้นแฟนที่คบกันมานานก็ทิ้งเธอไปเสียเฉยๆ สภาพจิตใจที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อร่างกาย เธอเริ่มป่วยและกินอะไรไม่ค่อยลง ตอนนั้นชีวิตมันแย่มากจนเธอเกือบจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวอยู่หลายครั้งแต่ก็นึกถึงหน้าแม่เอาไว้จึงรอดมาได้
         ผมฟังเธอเงียบๆ ผมไม่ตัดสินว่ามันหนักแค่ไหน เราเป็นผู้ฟังไม่ใช่ผู้ประสบ เราไม่รู้หรอกว่ามันหนักหนาแค่ไหนมันทรมานมากแค่ไหน ความเครียดของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ความอดทน ภูมิคุ้มกันนั้นล้วนไม่เท่ากัน เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครว่ามันหนักหรือเบา แต่จากที่ได้ฟังมันคงหนักมากจริงๆ สำหรับเธอ
         เมื่อถึงทางตันเธอไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดีอนาคตที่มืดมนไร้ทางออก ถ้าเราได้รู้อนาคตล่วงหน้าสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย เธอเลือกที่จะไปพึ่งพาผู้ใช้ศาสตร์พยาการณ์อย่างที่เราเรียกกันติดปากว่า หมอดู
         เธอบอกว่า ทุกๆ คนบอกกันเป็นเสียงเดียวว่าเธอ ดวงตก เธอเห็นด้วยเป็นอย่างมากเพราะเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาพร้อมๆ กันหากไม่บอกว่าดวงตกก็คงไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร
         พี่มดเสียเงินไปกับการแก้ไขดวงชะตาอย่างลมๆ แล้งๆ โดยไม่มีอะไรดีขึ้น สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา คำง่ายๆ ที่ใช้หากินมาอย่างยาวนานในสังคมไทย
         เธอรู้ว่ามันฟังดูโง่แต่เธอไร้หนทางจริงๆ ในเวลานั้น จนถึงวันหนึ่งเธอได้พบกับหมอดูเจ้าหนึ่งที่เพื่อนแนะนำมาเธอบอกกับผมว่าแม่นมาก แต่ไม่ได้บอกว่าแม่นยังไง
“น้องกำลังจะชะตาขาดแล้วนะ ต้องรีบแก้”
“อย่าบอกนะว่าพี่เชื่อ”
         พี่มดส่ายหัว เธอบอกว่าเธอแค่กลัวยังไม่ได้เชื่อ แต่มันก็มีเรื่องทำให้เธอต้องเชื่อ เพราะคืนนั้นหลังจากกลับบ้านมาเธอฝันเห็นใครบางคนที่น่าจะเรียกว่า ยมทูต ชายร่างกำยำในชุดโจงกระเบนสีแดงสด
         ผมขมวดคิ้วอยากตกใจ อะไรมันจะประจวบเหมาะได้ขนาดนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะจริง เพราะเธอก็ดวงตกเอามากๆ อย่างที่บอก
         พี่มดกลับไปหาหมอดูคนเดิมในวันถัดมาทันที หมอดูรออยู่ก่อนแล้วและจัดเตรียมข้าวของไว้พร้อมแล้วเช่นกัน ทางออกของหมอดูในวันนั้นคือการรับขันธ์
“ขันธ์? รับมาจริงๆ รึเปล่าพี่มด” ผมโวย
         เธอพยักหน้าแทนคำตอบ ผมถอนหายใจอย่างแรงจนป้าตุ๊กต้องบอกขอให้ใจเย็นๆ ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่มดหรอก แต่โกรธหมอดูมากกว่าเอะอะจะให้รับขันธ์กันอย่างเดียว และแน่นอนว่าค่าขันธ์ครูนั้นก็แสนจะแพง
         พี่มดบอกว่าคืนที่รับขันมาเธอฝันเห็นชายในชุดโจรงกระเบนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีสองคน คนหนึ่งดูดุกว่ามาก เธอจำหน้าตาไม่ได้แต่รู้สึกอย่างนั้น
“คนที่ดุกว่า ไล่อีกคนไป”
         ผมฟังสิ่งที่พี่มดเล่าแล้วก็ไม่เข้าใจ เช้าวันต่อมาเธอรีบโทรกลับไปหาหมอดูคนนั้น หมอดูมีท่าทางอึกอักแต่ก็บอกเธอว่าเป็นยมทูตคุ้มครอง เธอส่งให้ไปไล่อีกคนที่จะมาทำร้าย
“จะบ้าเหรอ” ผมเสียงดัง
“ใช่ พี่ดูออกเลยว่าพี่โดนหลอก” พี่มดพูดเสียงเศร้าๆ
“แล้วไม่เอาไปทิ้งล่ะพี่มด”
“พี่ก็คิดจะเอาไปทิ้ง แต่วันเดียวกันนั้นพี่ก็ได้งานใหม่เฉยเลย งานดีมาก ดีจนพี่ตกใจ ก็คืองานที่พี่ทำอยู่ทุกวันนี้นี่แหละ”
         แปลก เธอได้งานใหม่ชีวิตใหม่จากการสะเดาะเคราะห์ของหมอดูคนนั้น แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละว่าทำไมหมอดูคนนั้นจึงดูอึกอักตอนที่เธอโทรกลับไป
         เธอเล่าให้ผมฟังต่อว่าเธอเชื่อจริงๆ ว่าขันธ์ที่ได้มานั้นทำให้ชีวิตเธอดีขึ้น ความคิดที่ว่าหมอดูหลอกก็หายจากใจไปชั่วขณะ เธอจุดธูปกราบไหว้ทุกวัน แต่มันก็นำพาเรื่องแปลกๆ ตามมาเช่นกัน…
“มันทำให้พี่เห็นผีใช่ไหม” ผมดักคอไว้
“ใช่…”
         ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ทีละนิด ขันธ์ นั้นบางทีก็เป็นตัวการในการเปลี่ยนแปลงของจิต การรับเอาสิ่งนอกเหนือความเข้าใจของตนเองเข้ามา จะเทพหรือจะผี ย่อมเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปอย่างช้าๆ
         หลังจากวันนั้นพี่มดก็เริ่มที่จะเจอเหตุการณ์แปลกๆ อย่างที่เล่า บ้านเริ่มถูกรบกวน เธอเริ่มอยากกินลาบเลือด
“เดี๋ยวนะ ลาบเลือดเกี่ยวยังไง”
         พี่มดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปหาแม่ของเธอก่อนจะกราบลงที่ตัก “ขอโทษนะคะแม่ หนูโกหกแม่”
         ผมงงมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็เล่าต่อทันที เรื่องมันเริ่มจากว่าเธอเริ่มที่จะรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แม้จะแน่นท้องแต่ก็รู้สึกว่าอยากกินอีก รู้สึกเหมือนต้องการกินอะไรสักอย่าง แต่บอกไม่ถูก
          แต่สุดท้ายพี่มดก็ได้คำตอบจากความฝัน ในฝันนั้นเธอเห็นภาพของอาหารชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน มันชัดมาก ชัดจนเธอจำมันได้แม้กระทั่งตอนตื่น

“พอพี่ลองไปซื้อกิน พี่กินไม่ได้มันคาว แต่พอกลั้นใจกลืน พี่ก็อิ่ม…”
           เธอล่าด้วยท่าทางเศร้าๆ นั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอต้องกินมันมาตลอดทั้งที่ใจไม่อยากเลยสักนิด นอกจากนั้นเธอก็ยังคงฝันเห็นชายในชุดโจงกระเบนอยู่เป็นพักๆ
          มนุษย์ทุกคนมีขีดจำกัดของความอดทน วันหนึ่งพี่มดก็หมดความอดทนกับสิ่งที่ตัวเองต้องฝืนกินอยู่ตลอดเวลา เธอตัดสินใจทรมานตัวเองด้วยการทนสู้กับความอยากอาหารที่รุนแรง เพราะเธอไม่ต้องการจะกินของอย่างนั้นลงไปอีกแล้ว
          แต่สุดท้ายความพยายามของเธอก็ไร้ผลและมันก็ทำให้เธอได้รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังเจออยู่นั้นคืออะไร คืนหนึ่งเธอถูกปลุกขึ้นมากลางดึกด้วยความเจ็บปวดในช่องท้อง มันบิด มันแสบ เหมือนกับเวลาที่เราหิวมากๆ แล้วไม่ได้กินอะไร ที่หน้าอกรู้สึกหนักทำให้หายใจลำบาก
          เธอลืมตาขึ้นมามองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างส่งเสียงร้องสุดชีวิตแต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดผ่านหลอดลมนั้นออกมาได้
          หญิงชรานั้นมีผมสีขาวโพลน สั้นประมาณหนึ่งไม่ยาว เธออธิบายไม่ถูก ดวงตานั้นเหมือนกับคนทั่วๆ ไปแต่ส่วนของตาขาวนั้นแดงระเรื่อผิดปกติ ปากนั้นก็แดงเช่นกัน ใบหน้านั้นซบอยู่ที่อกของเธอ พี่มดบอกว่าเธอมองไม่เห็นร่างกายส่วนอื่นๆ นอกจากส่วนหัวที่แนบอยู่กับอก
          ใบหน้านั้นไม่จางหายไป เธอไม่สะดุ้งตื่น ทุกอย่างหยุดอยู่อย่างนั้นหลายนาที ก่อนที่เธอจะขยับร่างกายได้ และใบหน้านั้นก็หายไปในอากาศ เธอไม่ได้ตื่น เพราะเธอไม่ได้หลับ
“พี่กลัว พี่กลัวมาก กลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้มันมาจากไหน”
          นั่นคือความรู้สึกในตอนนั้นจนวันที่เธอได้รู้ความจริง แต่ผมขอเล่าในส่วนของอดีตให้จบก่อนก็แล้วกัน หลังจากนั้นเธอก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ ทุกอย่างเข้าที่ดีทุกอย่างหากไม่นับเรื่องผีสางที่เธอต้องพบเจอ
          ทุกๆ มื้อที่เธอกิน พวกมันต้องได้กิน ป้าตุ๊กคือคนที่คอยช่วยจัดหาอาหารทุกอย่างวางไว้ แม้แต่ในเวลาที่เธอไปทำงานช่วงกลางวันป้าตุ๊กก็ต้องจัดอาหารไปวางไว้เสมอ
          เรื่องราวดำเนินมาจนถึงวันที่เกิดอุบัติเหตุ เธอไม่ได้บอกกับแม่ว่าเธอเห็นมอเตอร์ไซด์คันนั้นวิ่งขึ้นมาบนทางเท้า เธอพยายามจะหลบ แต่ทำไม่ได้ เธอขยับร่างกายไม่ได้เหมือนถูกอะไรจับไว้ และวินาทีที่เธอล้มลงไปนอนกับพื้น เลือดไหลนองจากแขน เธอเห็นวิญญาณของหญิงชราคนเดิมปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ หญิงชราคนนั้นก้มหน้าอยู่กับพื้นใช้ลิ้นเลียไปมาบนรอยเลือดของเธอ
          เธอกลัว กลัวมาก ประจวบกับที่แม่พาเธอไปหาหมอผี และทักเธอแบบนั้น เธอไม่ได้เชื่ออย่างเต็มใจแต่ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เธอเลือกที่จะทำตามคำแนะนำเหล่านั้น
“พี่ไม่รู้หรอกว่ามันจริงไม่จริง แต่พี่กลัวตาย พี่กลัวผี”
          และหลังจากเหตุการณ์ในโลงศพวันนั้นก็ทวีความรุนแรงให้กับเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น เธอเริ่มเห็นวิญญาณมากขึ้น มันปรากฏตัวมากขึ้น บ่อยขึ้น และก็มีวิญญาณดวงหนึ่งที่จะมาหาเธอในทุกๆ คืน แม้ว่าเธอจะเอาข้าวไปวางไว้ให้แล้ว มันก็ไม่หายไปเหมือนกับวิญญาณดวงอื่นๆ
          ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนในทุกๆ คืน พี่มดจะได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กดังแว่วอยู่รอบๆ ตัว พร้อมกับเสียงร้องไห้ของผู้ใหญ่ที่ดังมาจากทิศทางเดิมๆ ที่ที่พูดถึงคือประตูหน้าบ้านของเธอเอง พี่มดบอกว่าเธอเคยรวบรวมความกล้ามองไปยังรั้วบ้านที่เป็นเหล็กนั้น
          เธอเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เสียงร้องไห้นั้นดังมาจากใครคนนั้นเธอแน่ใจ เสียงร้องไห้นั้นเศร้าและโหยหวน แม้ว่าหญิงสาวคนดังกล่าวจะมาร้องไห้ให้ฟังในทุกๆ คืน แต่ก็ไม่เคยเข้ามาปรากฏตัวในบ้าน มีเพียงเสียงร้องไห้ที่โหยหวนเท่านั้น
“เดี๋ยวก่อนนะพี่ ผมเริ่มงง อะไรมันเยอะแยะไปหมด อันไหนก่อนอันไหนหลัง” ผมเริ่มงงกับเรื่องที่นั่งฟัง
“อย่างที่พี่เล่าไป ทุกๆ อย่างมันค่อยๆ เกิดขึ้น มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลดลง จนทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน”
          พี่มดร้องไห้อีกครั้งจนผมไม่กล้าที่จะเค้นเอาความอะไรต่อไปได้อีก ผมขอตัวออกมาด้านนอกปล่อยให้สองคนได้ปลอบกันเอง จริงๆ แล้วครั้งนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เลยไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเองสักเท่าไหร่ ผมจึงคิดที่จะส่งต่อให้คนอื่นจัดการ คนที่ผมคิดว่าทำได้ดีกว่าผม
“ฮัลโหล ปู่ ปู่อยู่บ้านไหมครับ ช่วงนี้ว่างไหม” แน่นอนว่าที่พึ่งของผมก็มีอยู่ไม่กี่คน
“ปู่มาต่างจังหวัด มีอะไร” ประโยคเดียวก็ดับฝันของผมได้ในทันที
“คือ ผมถามอะไรหน่อยครับ” จากส่งต่อ คงทำได้แค่ถามในเวลานี้
“ว่ามาสิ”
“ถ้าเราไม่รู้ว่าเราเจออะไรอยู่ อะไรมันเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็คนเรามันกินอยู่กับผีได้จริงๆ ใช่ไหมปู่”
“ถ้าเขาเต็มใจรับ มันก็ได้อยู่หรอก ถ้าเราไม่แน่ใจก็ถามเจ้าตัวมันไปตรงๆ นั่นแหละ อย่าคิดเอง”
          ผมคุยกับปู่ต่ออีกหน่อยก็วางสายไป คงจริงอย่างที่ปู่ว่า ไม่รู้ก็ถามมันไปตรงๆ นั่นแหละ แต่สิ่งหนึ่งที่ปู่มักจะเตือนและว่าผมอยู่ตลอดก็คือ ความไม่มั่นใจ ผมไม่ค่อยมั่นใจอะไรในตัวเองมากนักไม่ใช่แค่เรื่องนี้ จริงๆ ก็เกือบจะทุกๆ เรื่องในชีวิต เรียกว่าผมคงไม่เชื่อใจตัวเองเสียมากกว่า
          ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านเห็นพี่มดกับแม่นั่งรออยู่แล้วก็พอจะเข้าใจได้ พวกเขาคงไม่สามารถทนต่อเรื่องราวแย่ๆ นี้ได้ต่อไปอีกแล้ว ไม่แม้สักชั่วโมง ในตอนนั้นผมเองก็ลำดับเหตุการณ์ได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะคนเล่าก็สับสน ผมเลยต้องสรุปเอาเองง่ายๆ ว่า จะก่อนจะหลังช่างมัน เอาเป็นว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นนั่นแหละ มันเกิดขึ้นทั้งหมดนั่น
“พาผมไปดูขันธ์หน่อย”
          พี่มดพาผมเดินขึ้นไปที่ห้องพระเล็กๆ บนชั้นสองของบ้าน ผมเป็นคนเปิดประตูเองและสิ่งที่เห็นก็ทำให้แน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง บนหิ้งนั้นมีขันธ์ใบตองสีน้ำตาลวางอยู่ตรงกลาง ขันธ์นั้นเก่าและแห้งเหี่ยว เหมือนกับมือเหี่ยวๆ ที่กอดมันไว้อย่างหวงแหน
          หญิงชราคนเดียวกันกับที่พี่มดได้เห็นนั่งกอดขันธ์ใบตองเอาไว้แน่นท่าทางเอาเรื่อง ดวงตานั้นน่าขนลุก ใบหน้าน่าเกลียด ผมหายใจเข้าลึกๆ ข่มความกลัว ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าคนที่ยืนข้างๆ ผมกำลังสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว
“พี่มดเห็นเหรอ?”
          ผมถามอย่างประหลาดใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่เห็นวิญญาณตรงหน้า พี่มดพยักหน้าน้ำตาไหล เธอไม่ได้บอกผมว่าเห็นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก วันที่เธอรู้ว่าขันธ์ที่เธอรับมานั้นไม่ใช่ของดีอย่างที่ฟังมาคือวันที่เธอได้เห็นหญิงชราคนนี้นั่งกอดขันธ์อยู่เหมือนในวันนี้
“ไหนลูกบอกว่าเป็นขันธ์รักษานี่นา”
          ป้าตุ๊กถามอย่างตกใจ และเรื่องนี้เองที่เธอขอโทษแม่ ทุกอย่างมันเริ่มจากเธอ เธอพาผีเข้าบ้านและทำให้แม่ต้องเดือดร้อน ในวันที่เธอรู้ความจริงเธอไม่กล้าพูด เพราะถึงพูดไปเธอก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ได้แต่กลัว กลัว และกลัว
          บางคนที่กำลังอ่านอยู่อาจคิดว่าทำไมไม่บอก ไม่ช่วยกันหาทางออก แต่อย่างที่ผมพูดไปแล้ว เราตัดสินใครไม่ได้หรอก ในสถานการณ์นั้นเราไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร คิดอะไร มันหนักแค่ไหน อย่าตัดสินใครด้วยความคิดของตัวเองเลย
          เราสามคนเดินลงมาข้างล่าง ผมต้องการไปข้างนอกเพื่อหาซื้อของนิดหน่อย โดยมีทั้งสองคนตามมาด้วย
          เรากลับมาถึงบ้านในช่วงกลางคืน ผมบอกให้ทั้งสองคนไปอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดผมจะทำอะไรพอที่จะทำได้ดู ในตอนนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะจัดการอะไรได้จริงๆ แต่ก็ต้องทำ
          สิ่งที่ผมทำนั้นอาจดูพื้นๆ แต่ก็ค่อนข้างจะเสี่ยงนิดหน่อย ผมโทรหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งชวนมันคุยไปเรื่อยโดยที่ไม่ได้บอกมันว่าผมทำอะไรอยู่ ผมแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวแค่นั้น
          ผมเดินคุยโทรศัพท์เสียงดังกลบเกลื่อนความกลัวในใจ ผมเดินไปยังถ้วยข้าวตามจุดต่างๆ ของบ้าน ธูปที่ปักอยู่ผมดึงออก ถ้วยข้าวนั้นผมคว่ำทิ้ง
          ใช่ครับ ผมกำลังท้าทายวิญญาณทุกดวงที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะผมต้องการให้ทั้งหมดนั้นออกมาอาละวาด หรือแสดงตัวสักอย่าง ผมรู้สึกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้านว่าที่นี่เหมือนกับ ป่าช้า
          ไม่ใช่เพราะความเงียบ แต่เป็นความรู้สึกของความไร้ชีวิตชีวา กระแสเย็นที่มีมากจนเกินไปต่างจากธรรมชาติของที่อยู่อาศัยที่เปี่ยมด้วยกระแสแห่งชีวิต มันไม่แปลกเท่าไหร่ที่บ้านนี้จะดึงดูดวิญญาณให้เข้ามาอาศัย บ้านนี้ปราศจากซึ่งกระแสของคนเป็น ไม่ต่างจากบ้านร้าง

สิ่งสุดท้ายที่ผมทำนั้นจริงๆแล้วค่อนข้างขัดกับคำสอนของปู่และคนอื่นๆที่มีบุญคุณกับผม ขัดแม้แต่คำสอนของ ‘ท่าน’ แต่ผมก็ไม่รู้สึกแรงต่อต้านจากท่านในตอนที่ผมกระทำการ ผมเลยคิดเข้าข้างตัวเองไปว่ามันคงมีวิธีเดียวแล้วในคืนนี้
“ออกมาให้หมด มาคุยกันหน่อย”
          ธูปกำหนึ่งในมืดที่จุดไว้ยังมีไฟลุกอยู่ถูกปักลงกับพื้นหญ้าแต่การปักธูปครั้งนี้ผมใช้ด้านที่ติดไฟนั้นทิ่มลงกับพื้นแทนที่จะเป็นด้านก้านสีแดง ผมกำลังท้าทายพวกเขาอย่างเต็มที่ และทันทีที่ผมข้ามเส้นของการท้าทายนี้ไป ผมจะหมดข้ออ้างในการขอความช่วยเหลือจากท่านทันที เพราะผมเป็นคนเริ่มเอง
          ผมเข้ามารอในบ้านก่อนที่ทั้งสองคนจะเตรียมตัวเสร็จ ผมนั่งรออยู่ในห้องพระห้องนั้นซึ่งตอนนี้ไม่มีหญิงชราคนนั้นอีกแล้ว เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย
          ไม่นานทั้งสองคนก็เดินเข้าห้องพระมาในชุดสีขาวผมขมวดคิ้วมอง เพราะไม่ได้บอกให้ใส่ชุดขาวแค่บอกให้อาบน้ำเฉยๆ ถามไปถามมาคือทุกครั้งที่ผ่านพิธีอะไรมามักจะโดนสั่งให้ใส่ชุดขาวเสมอครั้งนี้ก็เลยคิดเอาเองอย่างนั้น
          ไม่มีเวลาให้เราพูดคุยกันสักเท่าไหร่ ผมเริ่มจากการให้พี่มดกับแม่ไหว้พระเสียก่อน บทสวดนั้นเป็นบทสวดมนต์ก่อนนอนสั้นๆเท่าที่ทั้งสองคนจะคิดออก ผมนั่งรอพร้อมกับรับรู้การมีอยู่ของแขกที่ไม่พอใจกับการมาเยือนของผมที่นอกประตูห้องพระนั้น
“พี่มด ผมต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าเลย แต่คืนนี้พี่มดคงจะทรมานไม่น้อยทีเดียว” ผมพูดเพราะรู้สึกผิด
“ถ้าไม่ถึงตาย พี่ว่าพี่ทนได้ มันคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วแหละ”
          แม้ว่าจะมีหลายๆ เรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจแต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมแน่ใจ ตอนนี้พี่มดกลายเป็นร่างสื่อไปแล้ว ร่างสื่อหมายถึงคนที่สื่อกับวิญญาณได้แต่ไม่ใช่การพูดคุย แต่เป็นการผ่าน ตัวพี่มดนั้นไม่ต่างอะไรจากฟองน้ำที่พร้อมจะดึงดูดและซึมซับเอาสิ่งรอบตัวเข้ามาโดยเฉพาะสิ่งเลวร้ายเหล่านี้อันมีที่มาจากสาเหตุไม่กี่อย่าง
          ไฟในบ้านถูกเปิดสว่างไว้ทุกดวง ประตูหน้าบ้านหลังบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ รวมถึงประตูห้องพระและประตูรั้วหน้าบ้าน ผมจุดธูปไหว้พระเหมือนๆกับที่ทั้งสองคนทำ ผมเอามือของพี่มดมาถือไว้ จริงๆ  แล้วผมทั้งกลัวทั้งอายเวลาต้องทำอะไรอย่างนี้แต่ก็มักจะโดนบังคับให้ทำอยู่เสมอๆ
          จิตนั้นซุกซนเหมือนกับลิงแต่ถ้าควบคุมได้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างหาที่สุดไม่ได้ จิตที่มีกำลังกว่าจะนำจิตที่อ่อนกว่าได้คล้ายการสะกดจิต บทสวดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้ผุดขึ้นในความทรงจำ
“มาเถอะ มาคุยกัน ใครมาดีจะคุย ใครมาร้ายไม่ต้องมา”
          ก่อนจะเริ่มผมขอให้พี่มดบอกผมทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วครั้งแรกที่เธอพูดคือ เธอบอกว่าอยากอ้วก รู้สึกเหมือนห้องมันหมุน เหมือนอยู่บนรถไฟเหาะ ผมบอกให้เธอปล่อยตัวตามสบาย อยากอ้วกก็อ้วกไม่ต้องเกรงใจอยากทำอะไรก็ทำ พอพี่มดเปิดใจ สติของเธอก็เลือนรางหายไป
          เมื่อผมไม่รู้สึกถึงแรงต้านจากมือคู่นั้น ผมปล่อยให้มือนั้นร่วงลงกับพื้นขยับถอยออกมาประมาณเมตรหนึ่ง ป้าตุ๊กขยับเข้าไปหาลูกสาวแต่ผมห้ามไว้ ขอให้ป้ามานั่งข้างๆ ผมก่อน
“อือ…” พี่มดส่งเสียงในลำคอ
“ใคร มาทำไม”
          ผมถามเอาคำตอบแต่ดูเหมือนใครบางคนที่แทรกอยู่ในนั้นจะพูดไม่สะดวก หลายๆ ครั้งที่ผมใช้วิธีเดียวกันคือการอธิษฐานจิตอุทิศส่วนกุศลให้เขาเหล่านั้นเพื่อให้พอจะคุยกันรู้เรื่อง
“หิว..”
          ป้าตุ๊กสะดุ้งสุดตัวขยับเข้าหาผม เพราะเสียงนั้นไม่ใช่เสียงพี่มดซะทีเดียว มันมีความทุ้มต่ำลงแต่ก็ยังฟังออกว่าเป็นเสียงพี่มด
“ไม่ให้กิน มาขอกินอย่างนี้ได้ยังไง” ผมพูดเสียงเรียบๆ
“หิว!”
          จากเสียงพูดเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน พร้อมกับพี่มดที่กระโจนเข้าหาผม มือเล็กๆ นั้นกุมเข้าที่คอของผม ดีที่ร่างนั้นมีแรงไม่มากทำให้ผมยังพอหายใจออก ป้าตุ๊กกลัวจนไม่มีแรงขยับตัว ผมไม่ได้ออกแรงสู้ ปล่อยให้เธอบีบคอผมอยู่อย่างนั้น เล็บยาวๆ อย่างที่ผู้หญิงชอบไว้กันจิกเข้าที่ลำคอจนผมรู้สึกแสบ
“จะคุยกันดีๆ ไหม” ผมต้องข่มใจทำเป็นไม่กลัว
“หิว! ตูหิว!”
          ใครบางคนในนั้นไม่ยอมพูดกับผม นอกจากตะคอกใส่ด้วยคำเดิมๆ เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องผมจึงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน บทสวดจะง่ายหรือยากไม่ได้เป็นตัวชี้วัดของประสิทธิภาพ แต่มันอยู่ที่กำลังของจิต การต่อสู้กับวิญญาณนั้นมีเพียงจิตเท่านั้นเป็นตัวกำหนด จิตใดแข็งกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ
          สิ้นสุดบทบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคารพ มือที่ผมจับหัวของพี่มดเอาไว้ก็ปล่อยออกพร้อมกับเธอที่ฟุบลงไป ป้าตุ๊กเข้ามาประคองไว้ พยายามปลุกแต่ก็ไม่ได้ผล พี่มดไม่ตื่น ผมบอกให้ป้าตุ๊กถอยไปก่อน เธอทำท่าจะไม่ฟัง เพราะห่วงแต่สุดท้ายก็ยอมเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
          ผมลุกขึ้นจากพื้นไปหยิบเอาขันธ์ที่อยู่บนโต๊ะลงมาวางไว้กับพื้น ผมเหลือบมองคนที่แกล้งหลับอยู่ตรงนั้น เพราะทันทีที่วิญญาณดวงแรกถูกไล่ไป มัน ก็เข้าไปแทรกร่างที่อ่อนแรงของพี่มดในทันที จริงๆแล้วอาจต้องพูดว่ามันแอบอยู่ในนั้นมาตั้งแต่ต้น
“หวงนักหรือไง”
          ผมเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้เหี่ยวๆ บนขันธ์นั้นออกหนึ่งดอก มันได้ผล พี่มดตะโกนออกมาดังๆ “อย่ายุ่งกับของตู!”
          ผมถอยกลับมานั่งที่เดิมพี่มดค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ นั่งอยู่กับพื้นในท่าพับเพียบ ดวงตานั้นแข็งกร้าวน่ากลัว ใครบางคนในร่างนั้นไถมือไปกับพื้นหยิบเอาขันธ์ขึ้นมาอย่างเบามือ มันกอดขันธ์นั้นไว้อย่างหวงแหน
          ตอนนี้ขันธ์ใบนั้นอยู่ในอ้อมอกของมัน ขันธ์ที่มันหวงนักหวงหนา ขันธ์ที่พี่มดถูกหลอกให้รับมาจากหมอดูเลวๆ คนหนึ่ง
“ไปเถอะ จะทำบุญไปให้อย่าอยู่อย่างนี้ มันบาป”
“ไม่!”
“ทำไม เขาไปทำอะไรให้ถึงมาทรมานเขาอย่างนี้”
“ไม่ได้ทำ แต่อยู่ที่นี่ตูได้อิ่ม”
          ข้อดีอย่างหนึ่งของวิญญาณคือต่อให้มันชั่วร้ายแค่ไหน มันจะไม่โกหก มันจะพูดออกมาตรงๆ หากเรามีกำลังมากพอที่จะข่มมัน
“ไม่ไปจะไล่นะ” อีกครั้งที่ต้องขู่กัน
“ถ้าไล่ ตูจะกินอีนี่”
          มันกอดขันธ์เข้าหาตัวให้แน่นขึ้น ผมหันกลับไปที่หิ้งพระกราบพระพุทธที่ตั้งวางอยู่ตรงนั้น
“ขอพระพุทธเป็นพยานลูกไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร แค่อยากช่วยเหลือดวงจิตเหล่านี้เท่านั้น ขอบารมีแห่งท่านช่วยต่อรองให้ดวงจิตเหล่านี้ซื่อสัตย์กับลูก เพื่อช่วยกันหาทางออก บาปหรือกรรมใดถ้าลูกได้ทำผิดหรือล่วงเกิน ขอบาปนั้นสำเร็จแก่ลูกแต่เพียงผู้เดียว”
          หลายต่อหลายครั้งที่คนอย่างพวกผมต้องยืนอยู่บนทางแยกที่ยากจะเลือก ขอบเขตอยู่แค่ไหน เราทำได้แค่ไหน เราไม่สามารถอ้างการช่วยเหลือเพื่อล้ำเส้นใดๆ ได้ ความเสี่ยงเหล่านั้นมีมากเหลือเกิน และเราต้องแบกมันไว้หากสร้างมันด้วยทางใดทางหนึ่ง จนบางทีผมก็สงสัยว่าทำไมคนอื่นๆ จึงอยากเข้ามาเสี่ยง อยากเข้ามาเป็นอย่างนี้กันมากเหลือเกิน
          มันได้ผล ใครบางคนในนั้นอ่อนกำลังลง น้ำเสียงแข็งกลายเป็นเสียงราบเรียบปกติพอจะพูดคุยกันได้ ผมเริ่มจากคำถามง่ายๆ “เป็นใคร มาได้ยังไง”
“เป็นปอบ”

แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็อดหวิวในใจไม่ได้เมื่อได้ยิน แต่คนที่กลัวที่สุดคงเป็นป้าตุ๊ก ตอนนี้ป้าตัวสั่นน้ำตาไหล ทั้งกลัวทั้งห่วงลูก
          ปอบตนนั้นบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้พวกเราฟังสั้นๆ โดยไม่ยอมปล่อยขันธ์ในอ้อมอก ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นปอบเลี้ยง หมายถึงปอบที่มีคนกราบไหว้บูชา หาอาหารมาเซ่นไหว้แลกกับการใช้งานตอบแทน โดยปอบตนนี้เคยถูกเลี้ยงดูจากคนในครอบครัวรุ่นสู่รุ่น
          จนถึงวันหนึ่งยุคสมัยใหม่ที่ไม่มีใครสนใจเรื่องราวเหล่านี้อีกต่อไป มันก็ถูกทิ้งขว้างไม่มีคนสนใจ นั่นคือชนวนแรกที่ทำให้มันอาละวาดทำร้ายคนในครอบครัว มีคนป่วยตาไปหลายคนด้วยสัญญาที่ให้กันไว้ เมื่อเลี้ยงไว้ก็ต้องดูแล เมื่อไม่ดูแลก็อย่าโวยถ้ามันจะแว้งกัด
          คนหนึ่งในครอบครัวเหมือนกับคนอื่นๆ ที่พบปัญหาในชีวิต บุญหรือกรรมไม่แน่ใจพาลูกหลานของปอบตัวนี้มาพบกับหมอดูคนเดียวกับที่พี่มดเจอ
          หมอดูคนนั้นเห็นโอกาสจากเรื่องในครั้งนั้น หมอดูทำข้อตกลงกับปอบ รับมาเลี้ยงเพื่อใช้งานในการกระซิบบอกเรื่องราวต่างๆ ในการพยากรณ์ เพราะวิญญาณที่มีวิชาและถูกเลี้ยงมาเป็นเวลานานจะมีฤทธิ์ประมาณหนึ่ง นั่นทำให้หมอดูเริ่มมีชื่อขึ้นมาได้
          แต่วันหนึ่งเมื่อเกินความดูแลเขาก็ฉวยโอกาสเอาปอบตนนี้แฝงไว้ในขันธ์ของพี่มด ฝากมันไว้กับเธอ บังคับให้เธอรับโดยไม่รู้ เพื่อที่หมอดูคนนั้นจะได้ไม่ต้องดูแลปอบอีกต่อไป
“แล้วทำไมต้องบังคับให้เขากินของอย่างนั้น” ผมถามถึงลายเลือดจานที่ผมเห็น
“ตูหิว ตูไม่รู้ ตูเคยกินแค่นั้น”
          มันไม่ใช่เพราะความอยากของปอบ แต่เป็นคนที่เคยเลี้ยงมันมารุ่นสู่รุ่นความเชื่อว่าปอบต้องกินเลือดกินเนื้อ เครื่องเซ่นที่ไม่เคยถูกเปลี่ยน กลายเป็นความเคยชินให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้น จนสุดท้ายมันก็จำได้แค่ว่า มันต้องกิน
“ไปเถอะ เราจะส่งเธอไปทางที่ควร อย่าอยู่อย่างนี้” ผมพยายามต่อรอง
“ไม่ อยู่ที่นี่ตูอิ่ม!” มันไม่คิดอะไรนอกจากนี้อีกแล้ว
“ไป เดี๋ยวนี้” เมื่อรู้ว่าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องทำใจใช้ไม้แข็ง
“ไม่ ถ้าเมิงไล่ ตูจะกินมัน”
          เมื่อมันพูดจบมันก็บังคับให้พี่มดยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจากขันธ์ ภาพที่เห็นคือพี่มดอ้าปากกว้างกัดเข้าที่ข้อมือของตัวเองอย่างแรกจนเลือดหยดลงกับพื้น
“ไม่!”
          ป้าตุ๊กร้องเสียงหลง ด้วยความห่วงลูก เรี่ยวแรงที่หายไปกลับมาอีกครั้ง เธอวิ่งไปกอดลูกสาวพยายามดึงมือข้างนั้นออกจากปาก น้ำตาเธอไหลนองหน้าเพราะสงสารลูก แม้จะกลัวสุดหัวใจแต่ลูกนั้นไม่มีอะไรมาทดแทนด้วย
“ช่วยด้วย ช่วยลูกป้าด้วย”
          เธอร้องไห้โฮเสียงดัง ผมที่ตกใจไปครู่หนึ่งก็รีบลุกตามไปจับที่ขันธ์ใบนั้น ผมหลับตาไม่รู้จะพึ่งใครในเวลานี้ อะไรหรือใครที่พอจะไล่มันออกไปจากตัวผู้หญิงคนนี้ได้
“เราช่วยเอง”
          เสียงหนึ่งดังขึ้นในความรู้สึก ข้างๆ ผมปรากฏร่างของชายในชุดโจงกระเบนสีแดงเข้ม ชายคนนั้นเอื้อมมือไปจับที่หัวของพี่มด
“กรี๊ด! ปล่อยตู”
          พี่มดกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ใครคนที่เราอาจเรียกเขาว่ายมทูตกำลังพยายามช่วยผมดึงวิญญาณดวงนี้ออกจากที่ที่มันไม่ควรอยู่
          ผมรวบรวมความกล้าเป็นครั้งสุดท้ายขอให้ท่านช่วยเหลือ ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดที่กลางกระหม่อมก่อนจะนึกบทสวดบทหนึ่งออก มันคือบทเดียวกันกับในคืนที่ปู่ช่วยผมไว้เมื่อนานมาแล้ว
“ขอเธอจงพบแสงสว่างในที่สุด จากนี้ขอให้เธอมีสุข อย่าได้เบียดเบียนใครอีก”
          สิ้นสุดบทสวดนั้น พี่มดก็หมดเรี่ยวแรงลงกับพื้นขันธ์ในมือกลิ้งไปบนพื้น ผมคว้าเอามันมาถือไว้พร้อมกับหยิบเอาเทียนบนหิ้งพระมารนจนมันติดไฟ ผมถือมันไว้จนแน่ใจว่าไฟลุกไหม้ดีแล้วจึงโยนมันลงกับพื้น
          ป้าตุ๊กประคองพี่มดที่ดูจะได้สติขึ้นมาลางๆ ลงไปที่ชั้นล่างเพื่อขึ้นรถ ผมยืนมองชายที่มาช่วยผมไว้อย่างขอบคุณ ในมือของเขามีร่างผอมแห้งของหญิงชราคนเดิมถูกจิกอยู่ที่ลำคอ แววตาที่มองมาที่ผมนั้นอาฆาตและเต็มไปด้วยความโกรธ อีกครั้งที่ผมต้องถูกใครบางคนโกรธและเกลียดจนเข้ากระดูกดำ
          ผมกับป้าตุ๊กนั่งรอพี่มดที่ทำแปลอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เราไม่พูดอะไรกันเพราะผมก็เหนื่อยเหลือเกิน
          พี่มดทำแผลเสร็จเราก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถโดยมีป้าตุ๊กเป็นคนขับ แผลนั้นไม่ลึกเท่าที่คิดจึงไม่ต้องนอน เพียงแค่เย็บนิดหน่อยและฉีดยาอะไรสักอย่างผมก็จำไม่ได้ ขากลับผมนั่งข้างหลังคอยประคองพี่มดที่อ่อนแรงกว่าเอาไว้
          ระหว่างทางผมได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาไกลๆ ผมรู้สึกว่าเธออยากคุยกับผม เธอมีมารยาท ผมจึงอนุญาต
          พี่มดกลับมานั่งตัวแข็งอีกครั้ง เธอกลายเป็นสื่อให้ผมอีกครั้ง ผมรู้สึกผิดที่ไม่ทันคิดว่ามันจะออกมาในรูปนี้ แต่ก็ต้องรีบจัดการต่อให้เร็วที่สุด
“ขอโทษ เราจะรีบไป” ใครคนนั้นพูดกับผม
“เธอคือคนที่มาร้องไห้ให้เขาเห็นทุกวันใช่ไหม ที่หน้าบ้าน” ร่างนั้นพยักหน้ารับ
“จะเอาอะไร” ป้าตุ๊กหยุดรถหันมามองอย่างกังวลเมื่อได้ยินคำถามของผม
“เรามาตามลูก” เธอพูดช้าๆ
“ลูก? ลูกไหน มาได้ยังไง”
“เธอไปนอนแทนที่ของเรา ลูกเราตามเธอมา เราคิดถึงลูก”

มาถึงตรงนี้ผมก็ได้เข้าใจ เธอคนนี้ตามพี่มดมาจากพิธีต่อชะตาในโลงศพนั้น ผมคาดเดาเอาเองว่าโลงนั้นคงมีไว้เพื่อฝังวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ เธอที่ตายพร้อมกับลูกในท้อง บางพื้นที่ยังเชื่อว่าพวกนี้จะเฮี้ยน ห้ามเผา ให้ฝังเท่านั้น
“แล้วลูกเธออยู่ที่ไหน” ผมถามและเธอก็ตอบผมด้วยการชี้นิ้วไปที่ท้องของพี่มด
          ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าท้องนั้น พยายามเรียกหาเด็กน้อยที่น่าจะอยู่ตรงนี้ จริงอย่างที่เธอบอก ในตัวของพี่มดมีอีกหนึ่งดวงวิญญาณ จิตที่บริสุทธิ์ยังไม่รู้สึกถึงการจากไปของตนและแม่ที่อุ้มท้อง เด็กน้อยรู้เพียงแค่อยากจะเกิด อยากมีชีวิต เด็กน้อยถูกฝังลงพร้อมกับแม่ และติดอยู่ที่ตรงนั้น
          ประจวบกับที่พี่มดผ่านเข้ามา ร่างที่เป็นสื่อ เพศแม่ที่เป็นร่างกายของเธอดึงดูดจิตนั้นเข้ามาไว้ในตัวอย่างไม่ตั้งใจ และแม่ที่แท้จริงของเธอก็ตามมาเพื่อทวงถามลูกของตนเท่านั้น
          เมื่อเธอได้ลูกคืนตามที่ตั้งใจแล้วก่อนที่เธอจะจากไป เธอได้บอกกับผมถึงเรื่องราวที่ผมลืมไปก่อนหน้านี้ รวมถึงสิ่งที่ยังไม่ถูกจัดการ
“ผู้ชายคนนั้นที่เขาไปหา… คนที่ฆ่าตัวตาย… เขาแค่อยากให้ช่วย…. เขารู้ว่าจะมา มาหาผู้หญิงคนนี้…. เขาเลยไปบอกก่อน คนอื่นๆ ไม่ได้มาดี…. พวกนั้นหิว…. แต่หลังจากนี้จะมาไม่ได้อีก มันไปแล้ว…. จะไม่ดึงพวกแบบนั้นมาอีก”
          เสียงนั้นขาดหายเป็นช่วงๆ ไม่ปะติดปะต่อ ผมต้องจับใจความเอาเอง เพราะเธอไม่ได้มีกำลังมากนัก แต่เธอก็อยากตอบแทนที่คืนลูกให้ เมื่อสิ้นสุดความต้องการเธอก็ค่อยๆ จากไป ปล่อยให้พี่มดหลับลงอีกครั้งบนเบาะหลังรถ
          ผมขอให้ป้าตุ๊กส่งผมที่ตลาดแห่งหนึ่งเพราะบอกว่าหิว และจะต่อรถกลับหอพักเองไม่ไปค้างบ้านนั้นอย่างที่ป้าชวน จริงๆ แล้วผมไม่ได้หิว แต่ต้องการกลับหอก็แค่นั้น
          ผมปิดประตูห้องทันทีที่มาถึง ขาของผมหมดเรี่ยวแรงทรุดตัวลงกับพื้น ความกลัวที่กลั้นเอาไว้เริ่มแสดงอาการออกมา ครั้งนี้ผมกลัว ตอนที่มือนั้นกุมลำคอผมเอาไว้ ใบหน้าที่โกรธจนเหมือนจะสาปแช่งและด่าทอผมให้ตายกันไปข้างยังติดตา อีกครั้งที่ผมต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องแข็งใจเพื่อใครอีก ก็นั่นแหละ… ใครว่าผมไม่กลัว...เปล่าเลย
          ในตอนสายๆ พี่มดที่พอจะมีแรงแล้วโทรมาขอบคุณ ผมเลยถือโอกาสอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เธอฟังทั้งหมดอีกครั้ง
          เรื่องมันเริ่มจากการดวงตกของเธอ มันจริงตามที่ใครๆ เขาว่า เธอดวงตกจริงๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน มันจะเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ต้องพบเจอจากผลของการกระทำที่ผ่านมา กรรมเก่า กรรมใหม่ ผสมปนกันจนยากจะแยกแยะ
          เธอเลือกที่จะพึ่งพาหมอดู และไปหลงเชื่อรับเอาของไม่ดีมา นั่นก็คือปอบที่ว่า พลังงานด้านลบที่รุนแรงจะดึงดูดพลังงานลบอื่นๆเข้ามาหา นั่นเป็นสาเหตุให้มีวิญญาณต่างๆ มาปรากฏตัวและสร้างความลำบากให้เธอได้ ยิ่งช่วงดวงตกจิตก็จะตกไม่มีภูมิคุ้มกัน ทำให้เธอได้รับผลเป็นสองเท่าสามเท่า
          ความนึกคิดหลักๆ ของปอบนั้นมีแค่ หิว จึงดึงดูดวิญญาณที่ หิว เหมือนกันเข้ามา จิตที่ตกลงไปขนาดนั้นบวกกับจิตของปอบในตัวทำให้เธอได้เห็น สิ่งที่ไม่ควรเห็น
          ต่อมาการต่อชะตานั้นไม่ได้มีผลอะไรเลย พูดง่ายๆ ว่าเธอถูกหลอก แต่จิตของเธอเองที่เป็นสื่อดึงเอาวิญญาณหญิงสาวและลูกกลับมาด้วย ผมคาดว่าโลงนั้นคงจะเป็นโลงจริงๆ ที่ถูกใช้งานมาแล้ว กลิ่นที่เธอได้ในตอนที่นอนอยู่ในโลงน่าจะมาจากจิตของเธอที่สื่อถึงได้ชั่วครู่หนึ่ง
          ยมทูตที่พี่มดฝันเห็นนั้นคนแรกในคืนแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นผีหรือวิญญาณที่หมอดูคนนั้นส่งมาขู่ให้กลัวเสียมากกว่าจะเป็นของจริง อาจจะเป็นพวกวิญญาณี่มีฤทธิ์มากพอจะหลอกตาของเธอได้ เมื่อเธอกลัวเธอจะกลับไปหาหมอดูคนนั้นอย่างที่เธอทำ และหมอดูก็จะได้ลูกค้าที่พร้อมจะจ่ายเพื่อความสบายใจของตัวเอง ส่วนครั้งถัดมาที่พี่มดฝันเห็นยมทูตสองคน คนที่สองนั้นไล่คนที่หนึ่งไปหลังจากมีการรับขันธ์มา ผมคิดว่าน่าจะเป็นยมทูตจริงๆที่ตามปอบตัวนั้นมามากกว่า เมื่อพิจารณาจากความช่วยเหลือในช่วงท้าย เขาน่าจะตามปอบตนนี้มาเพื่อลากมันกลับเข้าสู่วงจรของกรรม อาจด้วยจังหวะหรืออะไรต่างๆไม่อำนวยเขาจึงยังทำไม่สำเร็จ แต่เมื่อมีโอกาสเขาก็ยืนมือเข้ามาช่วยเต็มที่อย่างที่เล่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นการฝันเห็นยมทูตทั้งสองก็ทำให้พี่มดเชื่อมโยงเรื่องราวเอาเองและคิดไปเองว่าคัวเองกำลังจะตาย
          วิญญาณของชายคนนั้นที่มากระโดดตึกให้ผมเห็นนั้นเป็นคนเดียวกับที่พี่มดเห็น ผมแน่ใจ และเมื่อวิญญาณดวงนั้นรู้ว่าผมสองคนจะได้มาเจอกันเขาคงแค่อยากมาเพื่อบอกข่าว เพื่อแสดงตัว ผมคิดว่าเขาคงถูกกระแสลบเหล่านั้นดึงดูดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่สามารถกลับออกไปด้วยตัวเองได้ เขาคงอยากที่จะหลุดพ้นเช่นกัน แต่เขาก็ทำได้แค่สื่อสารในแบบของเขาเท่านั้น หมาตัวนั้นก็คงเป็นแค่เหตุบังเอิญที่ผ่านมาเจอเท่านั้น และผู้ชายคนนั้นก็ตามติดตัวผมอยู่แทบจะตลอดเวลาก่อนจะไปถึงบ้านของพี่มด ก็คงไม่แปลกที่หมาตัวนั้นจะขู่ผมแม้กระทั่งในตอนกลางวัน ส่วนคนที่ผ่านพี่มดในคืนนั้นไม่น่าจะใช่คนเดียวกัน น่าจะเป็นหนึ่งในจำนวนที่พี่มดวางถ้วยข้าวไว้ให้ตามจุดต่างๆ เรื่องนี้มีวิญญาณเข้ามาประกอบเยอะเหลือเกินจนผมเล่าถึงไม่หมด ไม่อย่างนั้นก็คงจะยาวไป และผมเองก็จำได้ไม่แม่นนัก
          สุดท้ายสิ่งที่พี่มดควรทำมีแค่การนิมนต์พระมาทำบุญบ้านเพิ่มกระแสบวก ไล่กระแสลบที่ตกค้างเท่านั้น ไม่มีปอบ ไม่มีขันธ์ ไม่มีสื่อ สัมภเวสีพวกนั้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้อีก และสุดท้ายคือตัวพี่มด ที่ต้องเข้มแข็งทำจิตใจให้สดใส ทุกข์แค่ไหนต้องสู้ไว้ แม้จะทุกข์ ดวงจะตก หากจิตมีกำลัง ก็จะไม่มีวิญญาณดวงใดเข้ามาทำร้ายได้อีก
“อ้อ สุดท้าย เลิกพึ่งหมอดูแบบสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาซะเกือบตายแล้วนะครับ”
“พี่เข็ดแล้วค่ะ”
……………………………………………………………………
กรรม...คือสิ่งที่เราสร้างขึ้น
วันหนึ่งเราจะถูกทวงถาม...จากหนี้ที่เราก่อ
เพราะฉะนั้น...หนทางเดียวคือการชดใช้
อย่าคิดที่จะหนี...เพราะการตัดกรรมไม่มีจริง
ถ้าไม่อยากใช้ก็อย่าก่อ...แค่นั้น
กรรมชั่ว...เมื่อสร้างต้อง....ชดใช้
กรรมดี...เมื่อสร้างต้องได้รับคืน....เช่นกัน
คิดเอาเอง...ควรสร้างอะไร


วิญญาณหนึ่ง...อาจหลงทางในความมืด
อาจถูกลืมถูกเลือน...ไปตามกาล
ยากเหลือเกินที่จะทำ...เพียงมองผ่าน
ของแสงทองส่องประสาน...นำทางเธอ


เรื่องนี้จบลงตรงนี้ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ชัดเจนทำได้แค่การเก็บกวาดแก้ไขเท่านั้น คล้ายกับคราบโคลนที่เปื้อนอยู่บนล้อรถ เราไม่คิดที่จะถามหาว่ามันเปื้อนมาจากไหน เราแค่ฉีดน้ำไล่ไปจนกว่ามันจะหมด...แค่นั้น และแน่นอนว่าต่อให้เรายืนห่างเท่าไหร่ น้ำที่ฉีดออกไป คราบโคลนที่กระเด็นหลุดร่อนออกมานั้นจะต้องเปรอะเปื้อนตามมือเราอย่างแน่นอน...ไม่มากก็น้อย


ลอยชาย.


ปล.เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หากไม่ถูกใจขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ปล. 2 ที่จู่ๆก็หยิบเรื่องนี้มาเล่านั้นเป็นเพราะความต้องการของพี่มดที่ติดต่อมาเมื่อไม่นานนี้
ปล. 3 ศาสตร์พยากรณ์เป็นเพียงที่พึ่งทางใจที่มีทั้งความถูกต้องและความผิดพลาดเป็นส่วนประกอบ สุดท้ายทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการกระทำและทางเดินที่เราเลือก ชีวิตเรา คิดเอง ใช้เอง จะดีกว่า
ปล. 4 บางคนที่อ่านอาจรู้สึกว่าทำไมภาษาที่เขียนนั้นดูประดิษฐ์ สละสลวยเกินจริง อะไรก็แล้วแต่ หรือว่าทำไมผมจึงเล่าได้ละเอียด ขออธิบายไว้สั้นๆสักนิดตรงนี้ว่า ก่อนที่จะเล่าอะไรผมจะกลับไปคุยกับเจ้าของเรื่องพูดคุยทบทวนความจำกันสักเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ตกหล่นอะไรหรือบิดเบือนอะไรไป ส่วนภาษานั้น ผมอยากเป็นนักเขียนครับ และผมก็ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการฝึกฝีมือเรื่อยมา และผมจะพยายามทำให้ดีขึ้นในทุกๆครั้งเช่นกัน


จากพันทิป สะเดาะเคราะห์...ต่อชะตา
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น