เงาใคร ในโรงแรม


      เงาใคร ในโรงแรม เป็นอีกหนึ่งผลงานการเล่าเรื่องผีสยองขวัญของเจ้าชายนักเล่าแห่งพันทิป ชีวิตคือการเดิน และในการเดินทางนั้นควบคู่ไปกับการพักผ่อนต้องคืน ชีวิตเลือกเดินได้แต่หากพักที่ใดแล้วมีผีล้วนเลือกไม่ค่อยได้ ไปติดตามรับชมเรื่องของ เงาใคร ในโรงแรม กันเลยครับ

ชีวิตของผมช่วงหลังๆมานี้มักผูกติดอยู่กับการเดินทางเสียมาก เมื่อต้องเดินทางไปที่ใหม่ๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง พักในที่ค้างคืนชั่วคราว แล้วแต่ครั้งแต่คราว โรงแรมเล็กใหญ่ตามโอกาส และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ความบังเอิญ หรือ ความซวยก็ไม่แน่ใจ พาให้ผมต้องไปพบเจอกับ อะไรแบบนี้อีกครั้ง
           ไม่กี่ครั้งนักที่ผมจะได้เข้ามาพักในโรงแรมที่ค่อนข้างใหญ่อย่างนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนครั้งในการเดินทาง โชคดีที่ครั้งนี้ทางผู้จัดงานเขาอำนวยความสะดวกให้มากกว่าทุกๆที่ที่เคยไป
          ผมได้พักในห้องพักที่ชั้น 7 ห้องพักของโรงแรมนั้น กว้าง มีเตียงสองเตียงและมุมเล็กๆที่มีโต๊ะกระจกเล็กๆกับโซฟาขนาดใหญ่สองตัว ทั้งห้องตกแต่งด้วยพรมที่เป็นผ้านิ่มๆ ไม่ใช่กระเบื้อง สองข้างกำแพงก็เช่นเดียวกัน ใช้วัสดุคล้ายกับผ้าบุนิ่มๆ
          เมื่อเดินเข้ามาจากทางหน้าประตูห้องพักที่ต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดแล้วจะเป็นทางเดินแคบๆ ข้างขวาเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ built-in ติดกับกำแพงห้องอย่างแนบเนียน ข้างซ้ายเป็นห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
          ตรงสุดขอบห้องตรงข้ามประตูทางเข้าไม่มีระเบียงเหมือนอย่างโรงแรมอื่นๆ แต่เป็นกระจกใสทั้งบาน ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับห้องนั้นไม่มีกำแพง จะมีก็แต่ขอบปูนที่สูงจากพื้นขึ้นมาจากพื้นประมาณเกือบถึงเอว
          ผมเข้ามาพักในช่วงเย็นของวันที่เดินทางไปถึง แต่ก็ยังไม่ได้พักผ่อนในทันทีจำเป็นจะต้องไปเคลียร์ธุระเรื่องงานเสียก่อน
          กว่าจะเสร็จธุระงานการทั้งหมดเวลาก็ล่วงไปเกือบๆสองทุ่ม บวกกับเวลาการเดินทางที่เสียไปนั้นผมก็กลับมาถึงที่พักในเวลาราวๆ 3ทุ่มกว่าๆ
          ผมกลับเข้ามาในห้องที่ตอนนี้มืดสนิทแต่เมื่อเสียบคีย์การ์ดในช่องตรงสวิทซ์ไฟห้องก็สว่างพร้อมกับเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
          ผมมาพักแค่ 4 วันจึงไม่ได้สนใจจะใช้ตู้เสื้อผ้าของทางโรงแรมเลย อย่างไรผมก็นอนคนเดียวจะโยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนเตียงอีกตัวที่ไม่ได้ใช้ก็คงจะไม่เป็นไร
          ผมยังไม่ได้อาบน้ำในทันทีเพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทางจึงอยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆสักพักก่อนให้สบายตัว โทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจให้ผมดูในเวลานี้
          ผมเลื่อนช่องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆจนเจอช่องหนึ่งที่กำลังฉายภาพยนตร์ที่ผมเคยดูเมื่อนานมาแล้ว การกลับมาดูอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นภาพยนตร์คุณภาพเรื่องหนึ่ง
          ระหว่างที่นอนดูโทรทัศน์อยู่บนเตียงผมรู้สึกว่ามันเมื่อยคอเพราะหมอนที่มีให้ไม่ได้ระดับ จึงลุกไปนั่งบนโซฟาข้างๆเตียงแทน อีกอย่างคือใกล้ๆกับเตียงนั้นไม่มีปลั๊กไฟเลยสักอันเดียว
          ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ยืดขาพาดไปบนเก้าอี้ตัวเล็กๆอีกตัวหนึ่งที่เข้าชุดกัน ในมือถือโทรศัพท์เล่นเกมกับเพื่อนๆตามปกติที่จะนัดกันบ้างในบางวัน
          แม้ว่าผมจะกำลังเล่นเกมอยู่อย่างออกรสออกชาติแต่หูของผมก็ยังคงฟังเสียงภาพยนตร์ที่เปิดเป็นเพื่อนในยามค่ำคืนแบบนี้ไม่ห่าง เพราะปกติแล้วแม้จะอยู่ที่บ้านผมก็มันจะเปิดเพลงไว้แทบจะตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
‘ทราบข่าวจากกองปราบปราม ถึงคดี...’
          หูผมแว่วถึงเสียงที่ผิดปกติเข้ามากระทบโสตประสาท ภาพยนตร์ที่ผมเปิดทิ้งไว้เป็นแนวแฟนตาซีย้อนยุคไม่น่าจะมีบทพูดอย่างนี้ได้
‘อาจเป็นข่าวด่วน’
          ผมคิดตามปกติว่าอาจเป็นช่องข่าวด่วนที่จะเข้ามาขั้นรายการโทรทัศน์ตามปกติ จึงไม่ได้สนใจจะลุกไปหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่อง เพราะคิดว่า จบข่าวก็คงกลับมาเป็นภาพยนตร์อย่างเดิม
          ข่าวดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบๆสิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลง ปกติแล้วข่าวด่วนจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น
          ผมหยุดเล่นเกมกับเพื่อนชั่วครู่เพราะเพื่อนบอกว่าขอไปทำธุระส่วนตัวก่อนสักพักหนึ่ง ระหว่างรอนั้นผมจึงหันกลับมาสนใจโทรทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง
          เวลาผ่านไปราว 20 นาทีภาพในจอยังคงเป็นข่าวอยู่เช่นเคย ผมจึงตัดสินใจลุกไปหยิบรีโมทโทรทัศน์ที่โยนเอาไว้บนโต๊ะเล็กๆระหว่างสองเตียงในห้องพัก
          ใจผมหล่นวูบไป เมื่อผมกดเลื่อนช่องบนรีโมทโดยการกดไล่ไปตามลำดับ ไม่ได้กดเลขช่องที่ต้องการด้วยตัวเอง เพียงช่องเดียวถัดจากภาพข่าวในโทรทัศน์
ภาพยนตร์แฟนตาซีย้อนยุคที่ผมชอบกำลังถึงฉากสำคัญ...
          เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราเปลี่ยนช่องมันหรือเปล่า ซึ่งผมแน่ใจมากว่า ไม่ใช่แน่ๆ หลังจากเปิดเจอสิ่งที่อยากดูผมก็โยนรีโมทไว้บนโต๊ะตัวนั้นตลอดเวลา
          ผมพยายามทำใจให้สงบบอกกับตัวเองว่ามันคงเป็นเรื่องปกติที่ เครื่องใช้ไฟฟ้ามันรวนกันได้ เพราะผมยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก 3 คืน จะเปลี่ยนไปพักที่อื่นก็ไม่ได้
          พอดีกับที่เพื่อนของผมส่งข้อความมาในแชทส่วนตัวว่าขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วโมง ผมจึงได้จังหวะเข้าไปอาบน้ำให้สบายตัวพร้อมกับมาคุยเล่นกับเพื่อนก่อนนอนเสียทีเดียว
          ก่อนเข้าไปในห้องน้ำผมเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้นด้วยความเคยชิน เพื่อไม่ให้ห้องมันเงียบมากนัก
          ในห้องน้ำตกแต่งไว้อย่างสวนงามใช้สุขภัณฑ์สีขาวล้วนเหมือนอย่างทุกๆที่ตัดด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนหลอกตา เพราะไม่ได้ทำมาจากหินอ่อนจริงๆ
          ที่ตรงชิดมุมประตูห้องน้ำนั้นเป็นตู้อาบน้ำแบบฝักบัวล้อมรอบด้วยกระจกใสสี่ด้านขนาดเล็กสำหรับคนหนึ่งคนพอดี ข้างๆกันเป็นอ่างล้างหน้า แล้วอีกฝั่งห้องน้ำเป็นอ่างน้ำขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่
          ผมเพิ่งสังเกตหลังจากเข้ามาในห้องน้ำว่า กำแพงห้องน้ำฝั่งที่ติดกำเตียงนอนนั้น เป็นกระจกบานใหญ่ ที่มองเข้าและออกได้อย่างสะดวกตา มีเพียงม่านพลาสติกแบบม้วนที่แขวนกั้นเอาไว้
          ตอนที่นอนเล่นอยู่บนเตียงนั้นผมไม่ได้ใส่ใจจะมองอะไรมากมายนักจึงคิดว่าเป็นเพียงของตกแต่งห้องเท่านั้น ไม่คิดว่าหลังม่านพลาสติกจะเป็นกระจกใส
          ผมใช้ตู้อาบน้ำเล็กๆแทนที่จะใช้อ่างน้ำ อาจเป็นความคิดแบบเด็กๆที่มักจะระแวงอ่านอาบน้ำในโรงแรม จำไม่ได้แล้วว่าติดมาจากภาพยนตร์เรื่องใดสักเรื่อง ที่จะมีมือโผล่ออกมาจากน้ำแล้วกดเราลงไปในอ่าง
          หลังอาบน้ำเสร็จผมเดินเช็ดตัวออกจากห้องน้ำมายืนตรงพรมเช็ดเท้าหน้าประตูห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าของห้องพัก
          แม้ไม่ได้คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากมัน แต่ด้วยความอยากรู้จึงลองเปิดดูข้างในตู้เสื้อผ้า เผื่อจะมีหมอนอีกสักใบมารองขาที่เดินเมื่อยมาทั้งวัน
          ในตู้ไม้นั้นว่างเปล่าไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเพิ่มเติม มีแต่กลิ่นไม้ที่ยังใหม่ให้ความหอมเหมือนทุกๆครั้งที่ไปพักตามโรงแรม
          ผมโยนผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งใช้เสร็จเอาไว้ตรงรางเล็กๆภายในตู้เสื้อผ้า แล้วเดินกลับมาที่โซฟาตัวเดิมอย่างไม่ได้สนใจจะจัดอะไรให้เรียบร้อย
          ผมใช้เวลาอีกสักพักนอนเล่นเกมกับเพื่อนก่อนจะกลับมานอนที่เตียงเพื่อนจะปิดฉากวันเดินทางอันแสนยาวนานของผมลงในเวลาเกือบๆตี 1
          ผมไม่ได้ปิดไฟนอนเพราะห้องพักมีเพียงไฟสลัวสีส้มๆไม่ได้มีนีออนดวงใหญ่ให้แสงสว่างจ้าจนนอนไม่หลับ ก่อนนอนผมหันมองไปทั่วๆห้องตามนิสัย
          แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะตอนนี้ตู้เสื้อผ้าที่ผมเพิ่งโยนผ้าเช็ดตัวเข้าไปนั้น มันปิดอยู่ ผมแน่ใจมากว่าผมไม่ได้ปิดมันด้วยมือตนเอง
          ผมได้แต่มองอย่างสงสัย หรือว่าผมจะเผลอปิดมันซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
หรือมันจะเป็นแบบที่ปิดได้เอง...

หลังจากบอกตัวเองอย่างนั้น ผมก็ปล่อยให้ตัวเองหลับไปอย่างรวดเร็ว อาจเพราะความเหนื่อยจึงทำให้ผมหลับสนิท จนกระทั่งถูกปลุก
          ผมตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาประมาณ ตี 2 กว่าๆ เหมือนถูกปลุก ด้วยความกังวลว่าจะตื่นไม่ทันไปทำงานทำให้คว้านาฬิกามาดูเป็นอย่างแรก
          นาฬิกาบอกเวลา ตี 2 กว่าๆ นั่นหมายถึงผมเพิ่งจะกลับไปได้สักชั่วโมงเห็นจะได้ แล้วทำไมถึงตื่น ผมจำได้ว่าเหมือนถูกปลุก แต่ปลุกอย่างไร ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีคนปลุก
          ก่อนจะหลับลงอีกครั้งผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า โทรทัศน์ที่เปิดไว้เป็นเพื่อนก่อนนอน ตอนนี้มันดับลงไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบกับเสียงเครื่องปรับอากาศเบาๆ
          ผมคว้ารีโมทมากดเปิดโทรทัศน์อีกครั้ง ยอมรับว่าในใจเริ่มเกิดความระแวง แต่ก็ยังพอจะปลอบใจตัวเองได้เล็กน้อยว่า คนที่พักก่อนหน้าอาจจะตั้งเวลาปิดไว้ก่อนนอน
คืนแรกผ่านไป...
          ในช่วงเช้าผมตื่นมาช่วงประมาณเกือบๆ 7 โมง สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือ โทรทัศน์ดับไปแล้ว บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้ว่ามันตั้งเวลาไว้หรือไม่ จะเช็คก็ทำไม่เป็น
          อาจเพราะผมพบเจอเรื่องราว แปลกๆ มาเยอะพอสมควรจึงพอมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่งทำให้ตัวเองไม่กลัวมากนัก แต่ก็เริ่มเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมเราไม่เห็นอะไรเลย
          ทันทีที่ลุกจากเตียงผมรู้สึกแสบที่ขาเพราะใช้วิธีดันตัวเลื่อนไปบนเตียงมายังพื้น เมื่อมองดูที่ขามันมีรอยเล็กๆสองสามรอยใกล้ๆกัน รอยนั้นไม่ได้ยาวมากแต่มากพอให้รู้สึก
          รอยถอยที่มีหนังกำพร้าสีขาวๆลุ่ยขึ้นมานิดหนึ่งพร้อมกับรอยแดงๆข้างในตรงกลาง มันไม่ได้เจ็บมากแต่ก็ทำให้ต้องรีบสำรวจเตียงและผ้าปูที่นอนว่ามีวัตถุอะไรบางอย่างสามารถทำให้เจ็บได้หรือไม่
          ผมไม่พบวัตถุอะไรอย่างที่คิด แต่ไม่ทันจะได้มีเวลาให้ตัวเองมากนักก็นึกขึ้นได้ว่าผมต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะไปสาย
          ก่อนเข้าไปในห้องน้ำผมเหลือบไปมองที่ตู้เสื้อผ้า ตอนนี้มันยังปิดสนิทอยู่เหมือนเมื่อคืน ผ้าเข็ดตัวของผมอยู่ในนั้น แต่ด้วยความระแวงอย่างบอกไม่ถูก ผมเลือกที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มาใช้แทนผืนเดิมที่อยู่ข้างใน
          ในตอนเย็นหลังจากเสร็จธุระเรื่องงาน ผมแวะไปทานข้าวกับเพื่อนที่ห้างใกล้ๆก่อนจะกลับโรงแรมทำให้กว่าจะมาถึงได้ก็มืดค่ำเหมือนเช่นเคย
          อาจเพราะผมกลับมาในช่วงเกือบจะสามทุ่มทำให้ทางเดินไม่มีใคร ผิดจากที่ Lobby ข้างล่างที่ผมเพิ่งเบียดตัวเองผ่านทัวร์จีนทั้งคันรถ ไม่รู้ว่าเพิ่งเข้ามาพัก หรือกำลังจะออกไปข้างนอกกัน
          เสียงสัญญาณปลดล๊อคห้องดังขึ้นพร้อมกับมือที่กำลังจะบิดกลอนประตูให้เปิดออก ผมชะงักเล็กน้อยแล้วถามตัวเอง มันจะมีอะไรไหม
          ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปนั้นไฟจะยังไม่ติดทันที มันจะดีเลย์ตามหลังมาสัก 2 3 วินาที ไฟสีส้มนวลๆในห้องกำลังกระพริบเหมือนรอให้กำลังไฟอยู่ตัว
          เพียงชั่วแวบเดียวผมเห็นเป็นเงาร่างสะท้อนอยู่บนบานกระจกตรงกำแพงห้องข้างในสุด ในเงานั้นผมเห็นร่างของ คน ยืนอยู่ในห้อง
          ถ้านับจากเงาสะท้อนบนกระจกกึ่งใสที่มองทะลุออกไปได้แต่ก็จะสะท้อนภาพเรากลับมาบางส่วนนั้น เงาร่างยืนห่างจากกระจกหน้าต่างห้อง พอสมควร
          นั่นหมายความว่าถ้านับระยะทางแล้ว เงาที่สะท้อนในกระจกนั้นจะต้อง ยืนอยู่ตรงข้ามกับกระจก หรือก็คือ ตรงที่ผมยืนอยู่
          รูปร่างนั้นไม่ชัดเจน เพราะเป็นแค่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นที่ผมได้เห็น แต่ก็แน่ใจได้วาภาพสะท้อนนั้น อยู่ตรงหน้าผมนี่เอง
          ผมเดินผ่านทางเดินในห้องอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังเตียงที่ผมใช้นอน ไฟทุกดวงในห้องถูกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟหัวเตียง ไฟห้องน้ำ ไฟทางเดิน แม้แต่ไฟตรงหน้ากระจกผมก็เปิดไว้
          นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ค่อยได้ กลัว หรือ ระแวง อะไรเท่าไหร่ อาจเพราะครั้งนั้นผมไปคนเดียว ในที่ที่ไม่คุ้นเคย และไม่รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น
          กิจวัตรในคืนนั้นของผมเหมือนเมื่อคืนคือ การนอนเล่นดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือบ้าง เล่นเกมบ้างสลับกันไป ผมอ่านหนังสือที่ซื้อมาค่อนข้างเพลิน จนทำให้ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปชั่วขณะ
          สักราวๆ 4 ทุ่มเกือบๆ 5 ทุ่ม มีโทรศัพท์เข้ามาหาผมสายหนึ่งจากอาจารย์ที่ไม่ได้คุยกันมาสักพักหนึ่ง ผมรับสายและนั่งคุยกับอาจารย์อยู่ตรงโซฟามุมเดิมของห้อง
          ผมปิดโทรทัศน์เพราะกลัวว่าเสียงจะดังรบกวนคนที่อยู่ปลายสาย ผมคุยไม่นานนัก สักประมาณ 15 นาที ระหว่างที่คุยนั้น โทรทัศน์ที่ผมเพิ่งปิดไป กลับติดขึ้นมาเอง
          อีกครั้งที่โทรทัศน์เครื่องนี้เล่นตลกกับผม พอดีกับที่คนปลายสายหมดธุระแล้ววางสายไป ผมยังไม่ได้ลุกไปไหน ควานหารีโมทที่คิดว่าวางเอาไว้ใกล้ๆตัว
          โซฟาห่างจากเตียงสัก สองก้าวไกลเกินกว่าจะเอื้อมมือไปได้ รีโมทวางอยู่ตรงนั้น ผมยังช่างใจว่าควรจะลุกไปหยิบมาปิด หรือเปลี่ยนช่องหรือไม่
          ยังไม่ทันที่ผมจะให้คำตอบกับตัวเอง โทรทัศน์ในห้องพักตอนนี้มันค่อยๆเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ ฟังดูอาจเหมือนหนังเหมือนละครนะครับ ผมเล่าเองก็ยังว่าเหมือนเลย แต่มันเกิดขึ้นจริงในคืนนั้น
          ในตอนนั้นใจหนึ่งก็พยายามหาเหตุผลคิดว่า เป็นตัวโทรทัศน์เองที่อาจจะเสียเพราะมันก็ดูเก่าในระดับหนึ่ง แต่อีกใจก็ยังโยงเข้าหา เงาร่าง และรอยถลอกบนขาของตัวเองอยู่
          ผมปล่อยให้โทรทัศน์มันทำงานอยู่อย่างนั้น ดูสิว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อ มันเลื่อนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายมันก็หยุดที่ช่องข่าวบันเทิงช่องหนึ่ง ซึ่งเหมือนจะไม่มีความหมายอะไร
          เมื่อทุกอย่างเหมือนจะเข้าที่แล้ว ผมจึงค่อยหยิบรีโมทนั้นมาเปลี่ยนช่องไปดูสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง ใจจริงอยากจะออกไปข้างนอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้ในเวลานี้
          ทุกอย่างปกติดีไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกจนเวลาล่วงไปเกือบครึ่งคืน ได้เวลาที่ผมจะไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนตามปกติ
          ผมใช้ตู้อาบน้ำเหมือนอย่างเคยแต่ดันลืมหยิบแปรงสีฟันเข้ามาด้วยจึงต้องออกไปแปรงฟันที่อ่างล้างมืออีกครั้งหนึ่ง
          อ่างล้างมือขนาดใหญ่สะอาดสะอ้านเพราะยังไม่ถูกใช้งาน ผมเปิดน้ำทิ้งไว้ระหว่างแปรงฟัง หยิบเอาสร้อยเอาแหวนมาขัดถูล้างน้ำเพราะวันนั้นเหงื่อออกมาก
          น้ำในอ่างค่อนๆเต็มเกือบจะล้น ผมรีบปิดก๊อกน้ำกลัวมันจะเลอะเทอะไปทั่วห้อง ทำไมท่อมันระบายช้าจัง ผมคิดแค่นั้น แต่จนแปรงฟันเสร็จ มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย
           ผมตรวจสอบดูว่าได้เอาจุกยางลงไปอุดไหวหรือเปล่า ไม่ก็มันอาจจะร่วงลงไป แต่ก็ไม่ใช่ มันยังวางอยู่ดีที่ขอบอ่างล้างหน้าด้านข้าง
          ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงพยายามคลำดูที่ก้นอ่างว่ามันมีอะไรมาอุดตันหรือเปล่า แล้วที่ปลายนิ้วของผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่มันไหวอยู่ในน้ำแต่จับไม่ถนัด
          ผมใช้สองมือล้วงลวงไปในน้ำที่ปริ่มเกือบจะล้น ที่ปลายนิ้วผมสัมผัสเจอ เส้นผม ผมคิดว่าใช่แน่ๆ มันต้องใช่ ผมค่อยๆใช้ปลายนิ้วเกี่ยวพันไว้สองสามรอบ เมื่อคิดว่าแน่นดีแล้วจงออกแรงดึง
          จริงดังคาด กระจุกเส้นผมติดมือผมขึ้นมาก้อนหนึ่ง แม้จะคิดไว้แล้วว่า คงใช่ แต่นี่มันก็ออกจะเยอะไปหน่อย สำหรับเศษเส้นผมที่ค้างอยู่
          หลังจากหยิบเอากระจุกเส้นผมนั้นไปทิ้งแล้วน้ำในอ่างก็ระบายได้ดีไม่ติดขัดจนแห้ง ผมโยนขยะในมือลงในถังเล็กๆในห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกไปข้างนอกตามเดิม

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเหมือนทุกอย่างจะดูดี อากาศดีสบายตัว แต่แล้วความฝันมันก็หลุดลอยไปในเวลาไม่นาน ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบชุดนอนมาใส่ที่ตอนนี้มันยังอยู่ในกระเป๋า
          กระเป่าเสื้อผ้าที่ผมกองไว้บนเตียงติดห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้นอนอย่างระเกะระกะ บนเตียงที่ถูกปูผ้าตึงขาวสะอาด ที่ขอบเตียงตอนนี้มีรอยยุบ
          บนพื้นเตียงคล้ายมีคนนั่งอยู่ เป็นรอยยุบลงไปตามน้ำหนักของสิ่งที่วางอยู่ข้างบน แต่ในสายตากลับไม่ปรากฏภาพใด แทบจะทันทีที่ผมเห็นรอยยุบนั้น มันก็ค่อยๆคืนตัวกลับมาอยู่ในแนวราบตามปกติ
ราวกับคนที่เคยนั่งอยู่ตอนนี้ ลุกออกไปแล้ว
          ผมได้แต่ยืนมองค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังเจอกับอะไร แต่ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้คือ ผี แน่ๆแล้ว การมองโลกในแง่ดีควรจบลงแค่ตรงนี้เท่านั้น
          คืนนั้นผมเปิดไฟสว่าง ทุกดวง ก่อนจะพยายามข่มตาให้หลับเพื่อเก็บแรงไว้ทำงานในวันรุ่งขึ้น โดยที่ผมไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลยว่า
คืนที่สองมันกำลังจะเริ่ม....
          ผมนอนไม่ค่อยหลับในคืนนั้น เอาแต่ฟังเสียงโทรทัศน์ที่เปิดหนังสักเรื่องหนึ่งที่ผมไม่รู้จักเพียงแค่เอาเสียงเป็นเพื่อนเท่านั้น
           ผมหลับไปตอนไหนไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าตัวเองค่อยๆลืมตาเหมือนถูกปลุก แต่ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่า ใครปลุก และปลุกอย่างไร ผมค่อยๆลืมตาขึ้นบนเตียงที่ผมนอน
          เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผมเปิดไว้ตอนนี้ ดับหมด มีเพียงไฟเพดานสองสามดวงยังสว่างอยู่สลัวๆ ไฟที่สว่างที่สุดในห้องน้ำตอนนี้มืดสนิท ผมยังขยับตัวไม่ได้ มันชาๆ เหมือนเวลาที่เรากำลังเหนื่อยล้าอย่างมากแล้วเพิ่งได้หยุดพัก
          ที่เตียงข้างๆ ตรงหางตาผมเห็น เงาวูบไหวไม่เป็นรูปร่าง ผมพยายามหันไปมองแม้ลึกๆจะระแวงแล้วกลัวอยู่บ้าง ธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งกลัวก็จะยิ่งหันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้
          ตรงข้างเตียงมีคนนั่งอยู่จริงๆ เป็นเงาๆ วูบไหวไปมาคล้ายควัน ไม่ได้คมชัดเหมือนเวลาเห็นคนจริงๆ รูปร่างของเธอพอจะบอกได้ว่าเป็น ผู้หญิง
          ภาพที่ติดตาคือ เธอไม่ได้นั่งห้องขาอยู่ข้างเตียงอย่างที่คิด เธอนั่งยองๆอยู่บนเตียงกอดเข่า เหมือนร้องไห้ หรือครวญครางอะไรสักอย่าง
          ภาพที่เห็นคือเธอก้มหน้าคุดคู้ไม่สนใจผม แต่เหมือนเธอจะรู้แล้วว่า ผมตื่นอยู่ เธอเงยหน้าหันมามองผม ผมจำไม่ได้จริงๆว่า เธอหน้าตาอย่างไร
          เพราะทันทีที่เธอมองมาที่ผม ผมก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกับกำลัง ฝันซ้อนฝัน แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันให้ผมแน่ใจว่า ไม่ได้ฝันไป คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้อง ดับหมดจริงๆ เหลือไว้เพียงไฟสลัวบนเพดาน
แกร๊ก....
          เสียงปิดประตูห้องพักดังขึ้นในขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียง ผมไม่รู้ว่ามันถูกปิด หรือเปิด ด้วยความกลัวบวกกับความกังวลว่าอาจจะเป็น โจร ขโมย หรืออะไรสักอย่าง
          ผมคว้าเอาโทรศัพท์มาเปิดแฟลชในมือถือ ส่องไปทั่วห้องก่อนจะลุกเดินไปตามทางเดินเพื่อไปยังประตูห้องที่ได้ยินเสียง ผมเดินให้เบาที่สุด เพราะถ้าเกิดเป็นคนจริงๆ มันคงจะดีกว่า
          ที่หน้าประตูผมจับกลอนเอาไว้ในมือแล้วลองออกแรงขยับ มันยังล๊อคอยู่ ที่นี่แม้ว่าจะเป็นการเปิดจากข้างในจำเป็นจะต้องบิดสองจังหวะเพื่อให้มันปลดล๊อค และมันก็ต้องใช้คีย์การ์ดด้วยเช่นกัน
          ผมแง้มประตูห้องออกไปมองทางเดินที่ตอนนี้ มืดอยู่ เพราะโรงแรมสมัยนี้อาจจะเป็นเหมือนกันหมดคือไฟทางเดินจะเป็นระบบเซ็นเซอร์ จะติดก็ต่อเมื่อมีคนเดินผ่าน เป็นการประหยัดไฟ
          ในเมื่อมันยังมืดอยู่นั่นหมายความว่า ทางเดินนี้ยังไม่มีใครเดินผ่านไปในช่วงเร็วๆนี้แน่ ผมขนลุกเย็นสันหลังวาบในทันทีที่สมองรับรู้ถึงความจริงนั้น
          ผมตัดสินใจกลับเข้ามาในห้อง แต่แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดจนทำให้ผมต้อง แอบดู อยู่ตรงช่องประตูนั้นต่อไป
          เสียงลิฟต์ดังขึ้นไกลๆ เพราะห้องผมห่างจากลิฟต์พอสมควร ผมรอดูว่าจะมีใครเดินมาหรือไม่ อาจจะมีคนไปกดลิฟต์กำลังจะลงไป หรือขึ้นมา
          ทันทีที่เสียงลิฟต์เงียบไป ไฟทางเดินก็ค่อยๆสว่างไล่มาเป็นลำดับตามระบบ ตรงมุมทางเดินของลิฟต์นั้นปรากฏร่างของชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาตรงทางเดินหน้าห้อง
          จากสิ่งที่เห็น เขาน่าจะเมามาก เพราะเดินเป๋ไปมาจนเกือบจะล้มอยู่หลายครั้ง การแต่งตัวของชายคนนั้นดูแล้วน่าจะเป็นคนมีเงินคนหนึ่งอาจจะเพิ่งกลับมาจากงานฉลองที่ไหนสักที่
          ผมยืนมองเขาค่อยๆยันตัวเองไปตามกำแพงทางเดินจนเกิดเสียงดัง ช่างใจว่าจะไปช่วยดีไหมเพราะไม่น่าจะไปถึงห้องแน่ๆ
‘เฮ้ย อย่ามาขวางทางสิวะ คนจะเดิน’
          สิ่งที่ผมเห็นคือชายคนนั้นทะเลาะกับอากาศ ที่ตรงนั้นไม่มีใคร มีแต่ทางเดินโล่งๆที่ตอนนี้เขายันกำแพงไว้แทบจะไม่อยู่
‘พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ถอยไป จะเดินโว้ย’
          เขายังโวยวายต่อเหมือนพยายามจะเอาชนะ แต่ไม่ทันไรไม่รู้ว่าด้วยความเมาหรืออะไร เขาล้มลงกับพื้น นอนกลิ้งไปมาเหมือนกำลังจะหลับ
‘หนู ช่วยพี่หน่อย พี่กลับห้องไม่ไหว’
          จากเสียงแข็งๆกลายเป็นเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนเวลาผู้ชายกำลังจีบสาว ใจหนึ่งก็อยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงทางเดินโล่งๆนั้น เขาเห็นอะไร
          ผมกลับเข้ามาในห้องปิดประตูล๊อคให้สนิทตัดสินใจหยิบโทรศัพท์โทรไปที่ Lobby แจ้งกับพนักงานว่ามีคนเมานอนอยู่ตรงทางเดินรบกวนมาช่วยดูที
          ผมกลับมานั่งที่ริมประตูเพื่อรอฟังเสียงลิฟต์ เมื่อได้ยินแล้วก็แง้มออกไปดูอีกครั้ง คราวนี้เป็นพนักงานสองคนช่วยกันพยุงร่างของลุงคนนั้นไปตามทางเดิน คงจะนำกลับไปส่งที่ห้องพักตามปกติ
          ผมกลับมาที่เตียงอีกครั้งตั้งใจจะนอนให้หลับ ผมปิดโทรทัศน์หันมาเปิดเพลงจาก youtube ฟังให้สบายใจขึ้น ก่อนจะค่อยๆง่วงและหลับไปในที่สุด
คืนที่สองผ่านไป....
          ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้าอย่างไม่สบายตัวมากนักมีอาการปวดเมื่อย ล้าไปส่วนๆตามตัว อาจเป็นเพราะการเดินทางที่มากกว่าปกติ อีกทั้งยังได้พักผ่อนน้อยกว่าปกติอีก
          ผมยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่มันคงยังไม่ใช่เวลาจะมาคิดตอนนี้ สิ่งที่ต้องทำคือ รีบไปให้ทันทำงานเท่านั้นเอง ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ผมเริ่มสงสัยเกี่ยวกับ ตู้เสื้อผ้าที่ผมไม่ได้เปิดมันอีกเลยตั้งแต่วันแรก
          ในวันนั้นผมตัดสินใจ ลองเปิดดู ผมค่อยๆเลื่อนประตูไม้ที่ทำเป็นบานเลื่อนช้าๆ มันฝืดนิดๆเพราะเป็นไม้ทั้งชิ้น ไม่ได้ติดล้อเลื่อนเอาไว้
          ข้างในปกติดี มีกลิ่นหอมของไม้ กับกลิ่นผ้าเช็ดตัวที่เริ่มอับเล็กน้อย ก่อนจะปิดผมไม่ลืมที่จะดูตรงมุมและขอบของบานเลื่อนว่ามีระบบหรือเครื่องมือที่ทำให้มันสามารถปิดเองได้หรือไม่
          ประตูบานเลื่อนเป็นไม้ทั้งชิ้น มียางซับนิดหน่อย แต่ไม่มีล้อเลื่อน ไม่มีอุปกรณ์ใดที่จะขับเคลื่อนให้ตู้เสื้อผ้านั้น ปิดกลับมาที่เดิมได้อย่างแน่นอน
          ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำทันทีเพราะแน่ใจแล้วว่ามัน ไม่ปกติ เมื่อเหยียบย่างเข้าไปในตู้อาบน้ำผมก็รีบชักเท้ากลับมาอย่างสุดตัวเพราะตกใจกับสัมผัสที่รู้สึกได้จากฝ่าเท้า
บนพื้นห้องน้ำนั้นมีกองเส้นผมจำนวนหนึ่งร่วงอยู่ตามพื้น พื้นห้องน้ำแห้งแล้วทำให้เส้นผมนั้นเบาติดมากับเท้าได้ในทันที ผมตกใจมากจนต้องถอยออกมาสองสามก้าวเพื่อดูท่าที
          ตรงพื้นลายหินอ่อนปลอมนั้นมีเส้นผมกระจายตัวอยู่ สั้นบ้างยาวบ้าง จากสายตาที่คะเนเอา ผมเปิดให้น้ำไหลจากฝักบัวสักพักหนึ่งชะเอาเส้นผมมากองรวมกันตรงตะแกรงระบายน้ำ
          ผมใช้กระดาษทิชชู่หยิบกระจุกเส้นผมนั้นออกจากที่อาบน้ำ ไปทิ้งในถังขยะเล็กๆใบเดิมที่ตั้งอยู่ในห้องน้ำ พอทิ้งลงไปก็นึกขึ้นได้ว่า ผมเคยทิ้งอะไรแบบนี้ลงไปก่อนหน้านี้
แต่เมื่อสักครู่ผมว่าผมไม่เห็น
          ผมกลับไปดูในถังขยะที่ตอนนี้มีเส้นผมเปียกๆทิ้งเอาไว้ ก่อนจะหยิบออกมาเพื่อดูข้างในว่า มีเศษเส้นผมเอาเก่าอยู่หรือไม่ ปรากฏว่าในนั้นเมียงกระจุกเส้นผมเพียง กระจุกเดียว คืออันใหม่ที่ผมเพิ่งทิ้งลงไปเมื่อสักครู่
          ในถังขยะเหลือเพียงถุงพลาสติกที่ผมแกะแปรงสีฟันออกมาในวันแรกกับพลาสติกหุ้มโฟมล้างหน้าเท่านั้น ผมไม่ทันได้ดูเวลาแต่ได้รับโทรศัพท์จากคนที่รออยู่ตรงห้องอาหารว่าผมสายแล้ว
          ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปข้างล่างในทันที ก่อนจะออกไปผมตรวจดูที่ลูกบิดหน้าห้องให้แน่ใจว่าผมยังคล้องป้าย Do not disturb เอาไว้ตามที่พนังงานโรงแรมแจ้งไว้ว่า หากไม่อยากให้แม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดให้แขวนไว้
          วันนั้นทั้งวันผมยังหยุดคิดเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ จนกว่าจะรอให้ครบกำหนดวันแล้วกลับออกไปจากที่นี่เท่านั้น
คืนที่สาม...
          คืนนั้นความคาใจทั้งหมดค่อยๆสะสมจนผมเริ่มทนไม่ไหว ก่อนเข้าห้องผมพูดลอยๆกับตัวเองแต่เสียงดังเผื่อ ใครบางคนจะได้ยินสิ่งที่ผมตั้งการ
‘จะเอาอะไรก็มาบอก อย่าทำอย่างนี้’
          ผมค่อยๆออกแรงบิดแล้วผลักประตูออกช้าๆก็รู้สึกได้ถึง แรงต้าน เล็กน้อยพร้อมกับลมที่ปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง แรงลมมากพอให้ตัวผมผงะถอยหลักไปเล็กน้อย
นั่นอาจหมายถึงการสื่อสารอะไรบางอย่างจากเธอ หรือเปล่า
          คืนนั้นผมเฝ้ารอ รอว่าจะมีการสื่อสารอะไรจากเธออีกหรือเปล่า ปกติแล้ว วิญญาณ จะไม่มาสื่อสารกับมนุษย์พร่ำเพรื่อ หากนี่ไม่ใช่ครั้งเดียว นั่นอาจหมายถึง เธอมีข้อความที่อยากจะบอก
          ผมอาบน้ำตั้งแต่หัววันเพราะวันนั้นอากาศร้อนมากทำให้เหงื่อเปื้อนไปทั้งตัว ผมไม่พบเจอความผิดปกติอะไรในห้องน้ำอีก นอกจากกระจุกเส้นผมที่หายไป
          เส้นผมหายไปทั้งหมด แต่ทิชชู่ยับยู่ยี่ที่ผมทิ้งไว้ยังอยู่ มันยังมีรอยแห้งจากความเปียกอย่างเห็นได้ชัด ผมนั่งลงตรงเก้าอี้หน้ากระจกที่น่าจะมีไว้สำหรับให้ผู้หญิงได้แต่งหน้าทำผม
          ผมนั่งเขียนสรุปรายงายเพราะเป็นที่เดียวที่มีไฟสว่างมากพอ เขียนไปก็มองกระจกไปพลาง อาจเพราะด้วยความระแวงหรือความเคยชินก็แล้วแต่
          อยู่ดีๆผมก็รู้สึกว่าอากาศในห้องเย็นกว่าปกติ มันไม่ใช่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แต่มันเหมือนกับเป็นตัวผมเองที่รู้สึกเย็นจากภายในร่างกาย พร้อมกับขนแขนที่ลุกชูชันจนตัวผมเองยังตกใจ
          ความเย็นแล่นวาบไปทั่วสันหลังวิ่งไปตามคอลงมาถึงปลายเท้า ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นไข้ ผมลูบแขนตัวเองให้อุ่นขึ้นกะว่าจะรีบทำงานให้เสร็จแล้วกลับไปนอนห่มผ้าให้สบาย
          ชายตาผมมองเห็นเงาร่างหนึ่งวูบไหวอยู่ตรงหัวเตียงที่ผมนอน ซึ่งตรงกับกระจกพอดี ผมหันไปในแทบจะทันทีเพราะความประหลาดใจ แต่ตรงนั้นก็ว่างเปล่า
          ผมกลับมานั่งเขียนรายงานต่อจนรู้สึกได้ถึงภาพแปลกๆบนกระจก ผมเงยหน้ามองกระจกพร้อมกับภาพที่สะท้อนอย่างเลือนลางอยู่ในกระจก
          ภาพของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งบอกไม่ได้ว่าอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่เพราะเป็นเพียงภาพวูบไหวคล้ายควันที่พร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อ เงาดำนั้นนั่งอยู่บนเตียงจ้องมาทางผม
          ภาพสะท้อนในกระจกพอจะเห็นเค้าโครงหน้าตาบ้าง แต่ไม่ชัด เธอจ้อง จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย อาจเพราะผมเห็นเธอเป็นเงาร่างสีดำจึงทำให้ ดวงตา และริมฝีปากที่ซีดกว่านั้น เป็นสีเทาอ่อนเกือบขาวเด่นชัดมากกว่าส่วนอื่น
          เธอนั่งเหยียดขามองตรงมายังผมผ่านภาพสะท้อนบนกระจก ผมไม่กล้าหันกลับไปจ้องเธอโดยตรงได้แต่มองเธอผ่านกระจกเช่นกัน
          ภาพสะท้อนในกระจกเหมือนกำลังขยับปาก พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ยิน ภาพที่เคยคิดว่ามีได้แต่ในหนังก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนเต็มสองตา
          ริมฝีปากซีดๆของเธอนั้นค่อยๆอ้าออกช้าๆ เหมือนพยายามจะพูดอะไร แต่มันค่อยๆกว้างขึ้นๆ ช้าๆ ผมยังจำได้ถึงรอยฉีกข้างหนึ่งตรงปากของเธอ มันแยกออกเป็นรอยแผลน่าเกลียด
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
          เสียงเล็กแหลมยาวพุ่งเข้าสู่โสตประสาทโดยตรง ในความรู้สึกนั้นเธอไม่ได้กรีดร้องออกมาเป็นเสียงเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่เหมือนเป็นเสียง วิ้ง เล็กแหลมที่เจ็บแก้วหูจนต้องเอามือมาป้องหูบรรเทาความเจ็บปวด
          ด้วยความตกใจผมเผลอหลับตาในตอนที่ป้องหูอยู่ เมื่อตื่นมา เธอก็จากไปแล้ว เหลือไว้เพียงเตียงโล่งๆ ที่คืนนี้ผมคงไม่กล้าใช้นอนเป็นอันขาด
           ผมนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาใหญ่ตัวเดิมที่วันนี้ขยับมันออกจากขอบเตียงมากกว่าเดิม คืนนี้อาจจะมีอะไรที่เราต้องเจอ ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แม้ว่าพยายามจะถ่างตาตัวเองไว้แค่ไหน ก็สู้ความเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวันไม่ไหว
          ผมหลับไปอีกครั้ง อาจเพียงงีบเดียวเพราะตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์ที่หลุดมือตกลงบนพื้น ด้วยความระแวงจึงรีบมองกวาดไปรอบห้องที่ตอนนี้ เงียบสนิท ไม่มีเงาร่างของใครอีก
ปึก!!!
          เสียงวัตถุบางอย่างกระทบกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ของห้องงพัก ผมรีบหันไปมองตามที่มาของเสียงนั้น มีนกตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่หน้าห้องของผมซึ่งมันอยู่ ชั้น 7
          ฟังจากเสียงผมคิดว่าแรงกระทบของนกนั้นน่าจะรุนแรงพอที่จะทำให้มัน หมดแรง ร่วงลงไปได้ แต่เปล่าเลยมันบินวนอยู่อย่างนั้นทั้งพยายามบนมาชนมาจิกมาเคาะด้วยจะงอยปาก ด้วยเล็บของมัน
          ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็น นกอะไร หน้าตามันคล้ายกับนกพิราบแต่ตัวใหญ่กว่า สีขาวนวลของมันสวย แปลกตา แปลกตรงที่มันจ้องมายังผมในแทบจะทุกขณะที่มันบินร่อนอยู่รอบบริเวณ
          เมื่อมองออกไปยังทิวทัศน์ภายนอกผ่านกระจกบานใหญ่เงาสะท้อนเล็กน้อยของห้องนอนภายในปรากฏภาพของ เงาร่างเดิม อีกครั้ง เธอยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าห้องน้ำ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
          อีกครั้งที่ผมรู้สึกเจ็บแก้วหูจนต้องเอามือมาป้องพร้อมกับภาพของเธอที่เหมือนอ้าปากกว้างอยู่ด้านหลัง นกนั้นหายไป มันบินจากไปแล้ว เหลือไว้แค่ ผมกับห้องพักเงียบๆเท่านั้น
          ผมกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม พยายามสวดมนต์ในใจเพื่อให้ใจสงบลง แล้วความง่วงก็ค่อยๆกลับมาอีกครั้ง ผมหลับลงไปอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นครั้งที่หลับสนิทที่สุด
          ผมตื่นมาอีกครั้งในตอนค่อนแจ้ง ประมาณตี 5 กว่าๆ เพราะมีสายโทรศัพท์เข้าจากแม่ที่มักจะตื่นเวลานี้อยู่แล้ว โทรมาถามเรื่องวันเดินทางกลับ เพราะครบวันที่ผมจะมาทำงานที่นี่แล้ว
          ผมสะลึมสะลือส่ายหัวอยู่บนโซฟา แล้วคลานมานอนบนเตียงอีกครั้งเพราะยังง่วงอยู่ ในภวังค์นั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองลอยๆ แต่ก็อึดอัด

ตรงหน้าเตียงของผมเป็นกระจกซึ่งตอนนี้มีใครบางคน นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆหันหลังให้ผม เงาร่างนั้นยังวูบไหว ไม่ชัดเจน เธอมีผมยาว ยาวมาก แต่รุงรังกระเซิงไม่เป็นทรง แต่นั่นจะเป็นผมแน่หรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ
          ผมเห็นสายตาของเธอสะท้อนผ่านกระจกมาที่ผม เธอไม่ค่อยมองหน้าผมตรงๆ ไม่เคยให้ผมจ้องหน้า ทุกครั้งจะสะท้อนผ่านกระจก หรือผ่านทางอ้อมอื่นๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า ทำไม
           ผมตัวแข็งมองเธออยู่อย่างนั้น เธอจ้องผมไม่วางตา ดวงตาซีดๆนั้นแม้จะไม่มีนัยน์ตาแต่กลับสื่อผ่านความรู้สึกออกมาได้อย่างน่าประหลาด
กลัว...โกรธ
          สองความรู้สึกปะปนวนอยู่ในหัวผมจนทำให้หนาว ตัวเริ่มสั่น ความเย็นค่อยไล่เข้ามาจากปลายเท้า เพิ่มขึ้นทีละนิดจนรู้สึกชา
          ความชาค่อยๆลามมาถึงตรงหน้าอกก็หยุดไว้แค่นั้น แล้วเริ่มรู้สึกถึงน้ำหนัก เธอหายไปจากหน้ากระจกแล้ว ตอนนี้เธออยู่ตรงนี้ อยู่บนตัวผม
          เธออยู่ในท่านั่งท่าเดิม เธอนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าขาของผม เธอยังก้มหน้าคุดคู้ แววตาสีซีดๆนั้นเหลือบมองผมด้วยความรู้สึก ที่บอกไม่ถูก
          เธอเริ่มโยกตัวไปมาเบาๆ ลองนึกภาพม้าไม้โยกของเด็กๆ เธอเป็นแบบนั้น ขยับเพียงนิดเดียว แต่ต่อเนื่อง เธอไม่พูด และผมก็ขยับไม่ได้
นะ โม พุท ธา ยะ...
          เพียงเริ่มนึกถึงบทสวดในใจ เธอก็หายไป ผมค่อยๆได้สติ รู้สึกตัวมากขึ้นทีละนิด แล้วรู้สึกว่าตัวเอง เปียกไปทั้งตัวด้วยเหงื่อปริมาณมากเหมือนไปวิ่งมา
          ผมไม่คิดที่จะลุกไปอาบน้ำใหม่ในเวลานี้ ผมนอนหอบหายใจอยู่บนเตียงนิ่งๆ ถอดเสื้อออก ให้เครื่องปรับอากาศเป่าจนตัวแห้งแล้วหลับไปอีกครั้ง
          คืนนั้นผมฝัน คิดว่าเป็นฝัน เพราะมันเลือนรางไม่ชัดเจนนัก ผมตื่นขึ้นมาในฝันเบลอๆ มองไปยังห้องน้ำที่ยังมีไฟสว่างอยู่ หลัวม่านพลาสติกนั้นเป็นเงาร่างของใครบางคน ผมคิดว่าคงเป็นเธอคนเดิม
           เงาดำหลังม่านเอนไหวไปมาเหมือนที่ผมเคยเห็นก่อนหน้านี้ หลังม่านพลาสติกผมไม่รู้ว่าเธอทำอะไร หรือพูดอะไร เพียงแค่นั้นความจำที่เลือนรางของผมก็ขาดไป
          คืนที่สามผ่านไป...
          ผมตื่นมาในตอนเช้าอีกครั้ง ทั้งที่ยังมึนๆอยู่ วันนั้นไม่มีอะไรผิดปกติหลงเหลือไว้นอกจากความทรงจำของผม
          ผมดึงประตูออกเพื่อจะเดินไปตามทางเดิน แล้วผมก็เห็นคนเดินผ่านผมไปวูบหนึ่ง ผมจึงรีบกล่าวขอโทษกลัวว่าจะทำให้คนตรงทางเดินตกใจที่ผมเปิดประตูออกไปอย่างนั้น
          แต่กลายเป็นว่าทางเดินนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเดินอยู่นอกจากตัวผมเองที่เพิ่งออกมาเท่านั้น ผมเดินไปตามทางเดินตรงไปยังลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง
           ระหว่างรอลิฟต์มีครอบครัวหนึ่งเดินมารองข้างๆ เรายิ้มให้กันตามปกติ เขามาเด็กตัวน้อยๆมาด้วยคนหนึ่ง ประมาณสามขวบคุณแม่บอกอย่างนั้น
          ผมช่วยจูงน้องเข้าลิฟต์ไปเพราะพ่อกับแม่มีกระเป๋าใบใหญ่กันคนละใบ น้องยิ้มให้ผมแล้วหันไปยิ้มให้ อากาศ ข้างละครั้ง ผมเริ่มแปลกใจ
          ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดได้เต็มอัน มันหยุดอยู่ตรงครึ่งอันแล้วเปิดออกสุดอีกครั้ง แล้วลิฟต์ก็ยุบลงนิดหนึ่ง คุณแม่หันมามองผมเหมือนจะถามอะไร
‘เย่ๆไปด้วยกันหลายคน’
          เด็กน้อยพูดไม่ชัด แต่เหมือนพยายามจะบอกความดีใจที่มี
          วันนั้นผ่านไปอย่างสบายๆเพราะเป็นงานวันสุดท้าย ในช่วงเย็นผมเลยนัดกินข้าวกับเพื่อนเก่ากลุ่มหนึ่ง ในตอนกลางคืนเพื่อนเลยขอตามมาส่งเพราะมีเรื่องอยากคุยหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน
          ผมแอบนึกอยู่ในใจว่า ถ้าเพื่อนมาจะได้เจอกับเหตุการณ์อะไรหรือเปล่า แต่ก็เลือกที่จะไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนฟังแม้แต่น้อย มันคงไม่มีอะไรหรอก เพราะเพื่อนผมก็ไม่ใช่คนเห็นอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
          ทันทีที่เข้าห้องมาผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนเพราะวันนั้นกินมาค่อนข้างเยอะ ผมปล่อยให้เพื่อนนอนดูโทรทัศน์อยู่บนเตียงไปพลาง
          หลังจากที่ผมออกมาเรานั่งคุยกันได้ไม่นานเราทั้งสองคนก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เข็มขัดที่ผมวางไว้ตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ มันร่วงลงมากระทบพื้นอย่างแรง
          หัวเข็มขัดของผมเป็นเหล็กทำให้เวลาที่มันกระทบพื้นจึงเกิดเสียงดังมาก ผมแน่ใจว่าผมวางมันไว้ในอ่างล้างหน้า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มันจะร่วงลงมาถึงพื้น แค่จะขยับออกจากอ่างก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
          เพื่อนหันมามองหน้าผมอย่างจริงจังเหมือนต้องการจะถามว่า มีอะไรหรือเปล่า ผมได้แต่บ่ายเบี่ยงไปเพราะกลัวว่าเพื่อนจะกลัวเสียก่อน
          เราคุยกันต่อไปอีกสักพักหนึ่ง ผมสังเกตได้ถึงความหลุกหลิกของเพื่อน แต่ยังไม่ได้ถามอะไร จนเพื่อนของผมเป็นฝ่ายถามขึ้นมาด้วยตัวเอง
‘กรุถามจริงๆเถอะนะ ห้องนี้มันมีอะไรหรือเปล่าวะ’
‘ทำไมถามอย่างนั้น’
          แม้ว่าผมพยายามที่จะเฉไฉไปแต่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ เพราะเพื่อนผมเป็นคนพูดขึ้นมาเองว่า รู้สึกเหมือนมีใครมองเราสองคนอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่ความรู้สึกถึงสายตา แต่เห็นได้เป็นภาพ
          ครั้งแรกที่เข้ามาในห้องเพื่อนผมบอกว่าเห็นเงาคนสะท้อนอยู่ตรงกระจกหน้าต่างบานใหญ่ ที่เดียวกับที่ผมเคยเห็น แล้วหลังจากที่นั่งคุยกันสักพัก เงาสะท้อนบนกระจกนั้นยังปรากฏอีกหลายครั้ง
          เงาร่างนั้นเดินเข้าออกอยู่ตรงช่องทางเดินระหว่างห้องน้ำกับตู้เสื้อผ้า เพื่อนผมบอกว่าเหลือบไปเห็นหางตาหลายครั้งแล้ว นอกจากเงาสะท้อนจากกระจกยังเห็น เป็นเงาร่างวูบหนึ่งด้วยตาเปล่าตรงมุมทางเดินเล็กๆ
          เพื่อนผมดูท่าทางมีความกลัวอยู่จริงๆ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังเลยสักนิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นหมายถึงเพื่อนคงจะเห็นจริงๆ
          แน่นอนว่าทุกอย่างที่เพื่อนบอกนั้น อยู่ในสายตาของผมทั้งหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง แม้แต่เพื่อนของผมก็เห็นดังนั้น อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ถึงเราทั้งสองคน
เธอไม่พอใจ...
          ผมได้แต่กลบเกลื่อนไปก่อน เพราะเพื่อนต้องเดินทางกลับเอง กว่าเราจะคุยกันเสร็จก็ประมาณตี 3 ผมเดินออกมาส่งเพื่อนที่ทางเดินหน้าห้อง เพื่อนผมแอบระแวงหลังเล็กน้อย
          เพื่อนผมเดินกลับไปตามทางเดินโดยไม่ได้รู้เลยว่า เธอคนนั้นเดินตามหลังไปติดๆ ผมรอจนเสียงลิฟต์ดังขึ้น หลังจากเพื่อนของผมกลับแล้ว ผมทักข้อความส่วนตัวผ่านโทรศัพท์ไป
          หลังจากได้รับข้อความว่าเขากลับถึงห้องแล้ว จึงค่อยโล่งใจได้ ผมไม่ได้เข้าไปอาบน้ำอีกในคืนนั้น เพราะคิดแล้วว่า มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น
          ผมนั่งรอ รอจนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ความง่วงเริ่มเข้าโจมตีแต่ผมพยายามฝืนตัวเองเอาไว้อีกสักหน่อย
แกร๊ก...
          ผมได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดลูกบิด แต่ยังไม่มี ใคร ปรากฏออกมา ผมหลับไปในตอนไหนไม่ทราบเหมือนกัน
ครืด....

ผมได้ยินเสียงเหมือนของบางอย่างเลื่อนไปตามพื้นเสียงดังจนผมสะดุ้ง เมื่อตื่นมาผมได้เห็นเงาร่างเดิมเหมือนทุกครั้ง เธอนั่งอยู่กับพื้นในท่าเดิม นั่งยองๆกอดเข่าหน้าคุดคู้เหมือนร้องไห้
           ผมไม่ได้ขยับตัว และไม่ได้เอ่ยถามอะไร เหมือนเธอรู้ตัว เธอค่อยๆขยับตัวมาทางผม เหมือนกับคลาน แต่อาจจะคล้ายกับการลอยมามากกว่า
          ตอนนี้เธอนั่งอยู่ข้างหมอนของผม สายตาของผมอยู่ตรงสองเท้าของเธอ เงาร่างนั้นยังเอาแต่ส่งเสียงคร่ำครวญปิดหน้าปิดตา เธอเหมือนกำลัง ร้องไห้อยู่จริงๆ
          ผมพยายามจะขยับตัวไปหยิบแหวนที่ถอดวางไว้ตรงหัวเตียง เธอส่งเสียงกระชากจนรู้สึกแสบไปทั่วทั้งตัว เหมือนไม่พอใจ
‘จะเอาอะไร’
          ผมหลับตาถามอยู่ในความคิด แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆแม้แต่น้อย เธอกลับไปนั่งอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้านั้นอีกครั้ง ผมเพิ่งสังเกต ประตูมันเปิดอยู่
          ผมไม่ได้เป็นคนเปิดแน่ๆ ผมแน่ใจ ในนั้นมีอะไรหรือ ผมคิดในใจ แล้วเธอก็หันมาหาผมทันที เธอเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง คราวนี้เธอเปิดเผยหน้าตาจ้องมาที่ผม
          ภาพสุดท้ายที่จำได้ เธอนั่งอยู่ข้างๆ ใช้ดวงตาซีดๆนั้นจ้องเข้ามาใกล้ ระยะไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ ปากที่มีรอยแผลนั้น ขยับเหมือนอยากพูดอะไร แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
          ผมตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมเก็บของทั้งหมดใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้องไป ผมได้ยินเสียงคนทำความสะอาดเข็นรถผ่านหน้าห้อง จึงลองแง้มออกดู
          ผมเห็นเป็นพี่ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินดูความเรียบร้อย ด้วยความคาใจจึงอยากจะถามให้ได้ความ
          ผมเรียกพี่เขาเข้ามาคุยในห้องด้วยคำถามโง่ๆที่ไม่สนใจว่า เขาจะตอบไหม ‘ห้องนี้มีอะไรแปลกๆหรือเปล่าครับ’
          ในครั้งแรกพี่เขาทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่อง ผมขยับแหวนในมือที่เป็นสัญลักษณ์โอม ให้เขาเห็นเพื่อให้เขาคิดสักเล็กน้อยว่า ผมเชื่อเรื่องราวพวกนี้
          ในที่สุดพี่เขาก็ยอมเล่าเรื่องราวให้ฟัง ไม่ใช่แค่ผมที่เคยได้เจอเหตุการณ์นี้ แต่ว่าไม่ใช่ที่ห้องนี้ ผมแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง อีกครั้ง
          ผมสงสัยและคาใจ ตู้เสื้อผ้าว่ามันอาจจะมี อะไร แต่มันเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบ built-in คงเป็นการยากที่จะทำอะไรกับมันได้ เพราะผมเคยสำรวจภายในแล้วมันก็โล่งดี ไม่มีสิ่งแปลกปลอม
‘มันเลื่อนได้นะครับ’
          ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเรียกว่าอะไร แต่มันสามารถเลื่อนนิดหนึ่งแล้วยกออกมาได้ แต่มันต้องใช้แรงมหาศาลเพราะมันหนักมาก
          พี่เขาหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวโทรหาเพื่อนที่ดูจะสนิทกันมาช่วย ด้วยความอยากรู้เช่นกัน ผมได้แต่รอ พร้อมกับเงาร่างที่เดินงุ่นง่านอยู่นอกห้อง
          แรงผู้ชายสามคนรวมผมช่วยกันขยับจนมันเลื่อนออกให้เห็นช่องว่างข้างหลัง ผมใช้แฟลชโทรศัพท์ส่องเข้าไปข้างในช่องว่างนั้นแล้วก็เจอกับ รูบางอย่าง
          พอขยับให้เข้าที่หน่อยแล้วก็เห็นว่ามันเป็นช่องปูน ที่ข้างในมีวาวน้ำกับวาวอะไรไม่รู้ ผมบอกให้พี่เขาลองล้วงมือเข้าไปได้ไหม
          แล้วก็เจอจริงๆ ในนั้นมีของบางอย่างวางไว้อยู่ในท่อน้ำที่พันกันมั่ว เมื่อหยิบออกมาดูทำให้ทั้งสามคนขนลุกซู่
          ตุ๊กตาดินเหนียวสกปรกตัวหนึ่งวางอยู่บนมือของพนักงาน บนตัวตุ๊กตานั้นมี เศษยันต์ที่ถูกฉีกเป็นชิ้นไม่สมประกอบ ตอกตะปูเอาไว้ กับใบไม้ และสีผึ้งและทองคำเปลว
          ผมเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันเป็นการสะกดวิญญาณรูปแบบหนึ่ง แต่ทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ เงาร่างนั้นนั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงทางเดิน
          เธอดูทรมานมากกว่าทุกครั้ง ผมถามเธอจะให้ทำอย่างไร เธอไม่ตอบ หรืออาจจะตอบไม่ได้
‘เราจะเอาไปเผานะ’
          เธอค่อยๆเลือนหายไปในอากาศเหมือนเป็นการตอบรับ ผมบอกให้พี่สองคนเอาไปเผาให้เร็วที่สุด โดยก่อนไปผมทำน้ำมนต์ราดลงไปก่อน แล้วเผื่อไว้ให้พี่สองคนล้างมือหลังจากเสร็จหมดแล้ว
          เรารีบจากกันตรงนั้นเพราะจะให้ใครมาเห็นคงไม่ได้ ผมเช็คเอาท์ออกในวันนั้นพอดี มาคิดดูตอนนี้ เธออาจไม่พอใจหรือเปล่าที่ คืนสุดท้ายของผม จะมีเพื่อนมานอนด้วย เธออาจจะพยายามสื่อสารกับผมอยู่ตลอดเวลา
          เมื่อคิดต่อไปอีกนิด ถ้ายันต์นั้นถูกฉีกออก หรือผู้ทำจะ แบ่งส่วน การสะกดของตัวเอง บวกกับที่พี่นักงานบอกว่ามีคนเคยเจอ แต่เป็น ห้องอื่น ทุกอย่างมันดูคล้อยตามกัน คำถามคือ
‘ส่วนที่เหลืออยู่ไหน’
          ผมเดินออกมาที่ถนนใหญ่หน้าโรงแรมเพื่อเรียกแท็กซี่ ก่อนกลับจึงหันไปไหว้ศาลพระพรหมที่ตั้งอยู่ข้างหน้าพอดี
          นกสีขาวตัวใหญ่ยืนเกาะอยู่ตรงตีนศาล มันมองหน้าผมเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง อาจจะคิดไปเองก็ได้แต่ผมได้แต่กล่าว ขอบคุณ ที่เขามาช่วยดูแลผมในคืนนั้น
          เรื่องในวันนั้นไม่คลี่คลาย เหลือคำถามไว้ให้ผมมากมายในหัวใจ ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อใด หรือผมอาจจะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง
          จนกว่าจะถึงวันนั้น อาจมีใครอีกหลายคนที่ต้องเจอเรื่องราว แบบผมอีกก็ได้ ใครจะรู้
.....................................................................................................................................................
เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หรือไม่ก็อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

ลอยชาย.