ผี(ใน)บ้าน...ผี(ใน)เรือน


     ผีบ้านผีเรือน มีลักษณะต่างจากผีทั่วไป คือจะอยู่ในรูปของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าบ้านเคารพกราบไหว้ จะคอยคุ้มครองผู้อยู่อาศัยในบ้าน ในสังคมไทยเมื่อถึงเทศกาลเช่นปีใหม่หรือวันเกิด เจ้าบ้านที่มีความเชื่อจะทำการเซ่นไหว้ เชื่อว่ามีลักษณะรูปร่างจะเหมือนคนปกติ ใส่ชุดไทย บ้างก็ว่าผีบ้านคือผีประจำหมู่บ้าน ส่วนผีเรือนก็คือผีประจำเหย้าเรือน และเรียกรวมกันว่าผีบ้านผีเรือน และครั้งนี้คุณลอยชาย เจ้าชายแห่งเรื่องผีพันทิปจะมานำเสนอเรื่อง ผี(ใน)บ้าน...ผี(ใน)เรือน จะเป็นอย่างไรนั้นไปติดตามกันเลยครับ

     สวัสดีครับคราวนี้ก็มีเรื่องมาเล่ากันอีกครั้งนะครับ แล้วก็คงจะต้องขอเกริ่นเหมือนกับทุกๆครั้งว่า เรื่องที่จะเล่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘ความเชื่อส่วนบุคคล’ เพราะฉะนั้นมันอาจจะกระทบใจหรือความคิดของใครหลายๆคนผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากเรื่องนี้ไม่ถูกจริตของท่านก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

          เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นช่วงที่ผมยังอยู่ในมหาวิทยาลัยช่วงแรกๆ ตอนนั้นผมได้รับการติดต่อมาจากคนรู้จักอีกทีหนึ่ง ในช่วงแรกมีแค่การติดต่อปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้นไม่ได้นัดเจอกันแต่อย่างใด ผมให้คำปรึกษากับทางออกอย่างง่ายๆสำหรับปัญหานั้น แต่เรื่องราวมันกลับไม่ดีขึ้น เหมือนจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ
          เมื่อเรื่องราวมันไม่เป็นไปอย่างที่คิดก็คงถึงเวลาที่จะต้องมาเจอหน้ากัดเสียที ผมนั่งรอที่หน้าตึกภาควิชาที่ผมกำลังเรียนอยู่ที่เดิม เพียงไม่นานจากเวลานัดเท่าไหร่ครอบครัวของ พี่บี ก็มาถึงที่ที่เรานัดกันไว้
          หลังจากที่เราพูดคุยทักทายกันเรียบร้อยแล้วคราวนี้ก็มาถึงเรื่องที่เป็นปัญหาของทั้งสองคน นอกจากพี่บีกับแฟนแล้วยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งตามมาด้วย เด็กน้อยอายุเกือบจะขวบหนึ่งหน้าตานี่รักอยู่ในอ้อมกอดของแฟนพี่บี
          จากคำบอกเล่าของพี่บีนั้นตัวพี่เขาเองไม่ค่อยจะกลัวหรือว่ามีปัญหาอะไรมากมายเท่าไหร่ เพราะพี่เขาก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องผีสางมาบ้างตั้งแต่เด็กๆเพราะโตมาที่บ้านนอก รวมถึงแฟนพี่เขาก็ไม่ถึงกับกลัวมากนักแต่ก็ไม่ถึงกับสบายใจ แต่ที่ทนไม่ได้จนต้องไปวิ่งหาคนมาช่วยเหลือก็เพราะว่ามันไม่ได้เกิดกับตัวเขาทั้งสองคน มันไปเกิดกับลูกของเขาแทน
          ผมมองไปที่เด็กคนนั้นก็ไม่พบอะไรผิดสังเกตแต่พี่ทั้งสองคนก็ยังยืนยันว่ามันเกิดขึ้นจริงๆแล้วมันก็ชัดเจนมาก และที่ทำให้แน่ใจว่ามันต้องเป็นปัญหาที่เกิดจาก บ้าน แน่ๆก็เพราะเรื่องราวแปลกๆที่กล่าวมานั้นทั้งหมดมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อยู่บ้านเท่านั้น ถ้าไปพักข้างนอกไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือไปนอนบ้านยายก็ไม่เคยปรากฏอาการดังกล่าวให้ได้เห็น
          พี่ทั้งสองคนเล่าในส่วนของลูกก่อนเพราะคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับทั้งสองคน เรื่องมันมีอยู่ว่าในช่วงกลางคืนเกือบจะทุกคืนนั้นน้องจะร้องไห้แปลกๆ เป็นปกติของเด็กวัยเท่านี้ที่มักจะร้องในช่วงกลางคืนรือว่าต้องการอะไรบางอย่างจากคนเป็นพ่อและแม่ แต่เสียงร้องนั้นดังมากเป็นพิเศษเหมือนต้องการจะร้องให้คอพังจนไม่มีเสียงออกมาอีก
          พี่ทั้งสองคนจะเดินไปดูลูกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องอาจจะต้องการอะไรเช่น หิว หรือว่า ฉี่จนรู้สึกไม่สบายตัว แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือเอานมป้อนแล้วอาการเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
          ด้วยความเป็นห่วงทั้งสองจึงพยายามคิดหาวิธีว่ามันเกิดจากอะไรอย่างหนึ่งที่คิดได้ในตอนนั้นก็คือ ลูกอาจจะติดพ่อกับแม่มากจนไม่อยากอยู่ห่างตัวหรือเปล่า ทั้งสองจนไม่ปล่อยให้ลูกต้องนอนในเปลคนเดียวอีกหลังจากนั้น แต่ก็เหมือนว่าวิธีนี้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย แม้กระทั่งตอนที่แฟนของพี่บีอุ้มน้องอยู่ น้องก็ร้องเหมือนไม่ได้มีแม่อุ้มอยู่ตรงนั้น เด็กน้อยยังคงแผดเสียงร้องอย่างสุดความสามารถ
          พี่ทั้งสองลองไปปรึกษาหมอดูเผื่อว่าน้องจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่าแต่หมอก็บอกเพียงว่า มันเป็นปกติ ของเด็กวัยนี้ แต่คำแนะนำเพียงเท่านี้ของหมอก็ดูจะไม่เพียงพอสำหรับความกังวลและความเป็นห่วงของทั้งสองคน สุดท้ายทั้งสองคนจึงหันมาพึ่งทางออกด้ายความเชื่อและไสยศาสตร์
          พี่บีและแฟนพาลูกน้อยไปปรึกษาแม่ของแฟนพี่บีหรือก็คือยายของน้องนั่นเอง ยายบอกว่าตามความเชื่อแล้วอาจเกิดจากแม่ซื้อหรือไม่ก็น้องอาจจะเป็นเด็กเห็นผีอย่างที่เราชอบได้ยินกัน ซึ่งในทางความเชื่อแล้วทางออกก็มีอยู่หลายทางหนึ่งในนั้นก็คือการสู่ขวัญเพื่อให้สิ่งดีๆหรือปู่ย่าตายายบรรพบุรุษนั้นมาช่วยปกป้องคุ้มครองน้อง รวมไปถึงการยกให้เป็นลูกของพระเพื่อขอบารมีของพระท่านช่วยคุ้มครองเด็กน้อยคนนี้
          ทุกคนช่วยกันจัดเตรียมพิธีสู่ขวัญอย่างง่ายๆเพื่อความสบายใจของทุกคน ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีและตลอดเวลาที่ไปพักอยู่บ้านยายนั้นน้องก็ไม่มีอาการอย่างที่ว่าไปเลย ทุกคนสบายใจขึ้นมากคิดว่าสิ่งที่น้องเป็นคงจะหายไปแล้ว ก่อนจะกลับมาที่บ้านของตัวเองก็พาน้องไปถวายตัวเป็นลูกของพระประธานที่วัดแห่งหนึ่งอีกด้วย
          แล้วความสบายใจก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นานเมื่อกลับมาถึงที่บ้านแล้ว ในคืนแรกนั้นเองน้องก็มีอาการอย่างเดิมอีกครั้ง ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงราวกับตลอดเวลาที่ผ่านมาที่บ้านยายนั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก ทั้งสองคนยังใจดีสู้เสือคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะการเดินทางไกลหรือการเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ อาจทำให้เด็กเกิดอาการผิดปกติ
          หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอาการของเด็กน้อยไม่ดีขึ้นเลย ไม่มีคืนไหนที่เด็กน้อยจะไม่ส่งเสียงอันน่าทรมานนั้นออกมา พ่อกับแม่แทบจะไม่ได้นอนพักเพราะทั้งเป็นห่วงและไม่สามารถนอนลงได้ด้วยเสียงที่ดังขนาดนั้น และเมื่อมาสังเหกตดีๆแล้วก็พบว่าน้องจะร้องเวลาเดียวกันในทุกๆวันระยะเวลาที่ร้องก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน
          เวลาประจำที่น้องจะร้องนั้นอยู่ในช่วงประมาณเที่ยงคืนจนเกือบตีหนึ่งและจะร้องต่อไปเรื่อยๆมีหยุดพักเหนื่อยบ้างแต่ก็จะไม่หยุดไปเสียทีเดียว น้องจะค่อยๆสงบลงช่วงประมาณตี 4 ขึ้นไปและจะเงียบสนิทในตอนที่พระมาบิณฑบาตรพอดี โชคดีที่ทั้งสองคนนั้นประกอบอาชีพเป็นธุระกิจส่วนตัวจึงทำให้ช่วงกลางวันสามารถที่จะอยู่กับลูกได้ทั้งวัน และได้นอนพักผ่อนก่อนจะต้องไปเปิดร้านในช่วงเย็นๆ
          สถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เวลาพักผ่อนที่ไม่เพียงพอบวกกับความเป็นห่วงก็รบกวนชีวิตทั้งสองคนเป็นอย่างมากทั้งในแง่ของจิตใจและร่างกาย
          เมื่อพยายามหาวิธีแก้ที่ตัวน้องแล้วไม่ได้ผล ซ้ำยังเกิดขึ้นแต่เฉพาะช่วงที่อยู่บ้านเท่านั้น ความสงสัยจึงมุ่งไปที่ประเด็นของ ตัวบ้าน ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านสร้างใหม่ทั้งหลังมือหนึ่งไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน ที่ดินที่สร้างนั้นก็เลือกซื้อด้วยตัวเองเป็นที่ดินโล่งๆ ไม่ได้มีการรื้อถอนสิ่งใด ซ้ำยังเป็นที่ในตัวเมืองอีก ดูแล้วไม่น่าจะเกิดความผิดปกติใดๆขึ้นมาได้
          แต่เพื่อความสบายใจพี่บีจึงตัดสินใจไปปรึกษาผู้รู้เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของบ้านหลังนี้ พี่บีเลือกที่จะติดต่อไปทางซินแซที่ค่อนข้างมีชื่อในย่านนั้น ซินแซรับดูฮวงจุ้ยและแก้ไขทุกอย่างเกี่ยวกับตัวบ้านและร้านค้า พี่บีค่อนข้างเชื่อใจซินแซวคนนี้เพราะว่าร้านของพี่เขาก็ได้ซินแซคนนี้แหละที่มาจัดฮวงจุ้ยให้จนขายดิบขายดีมีกำไรมากมาย
          พี่ยีนัดแนะซินแซมาที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์นั้นพอดี พี่ทั้งสองคนเตรียมต้อนรับอย่างเต็มที่และพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรขอเพียงให้ ลูก ของเขาและเธอกลับมาปกติไม่ต้องทรมานแบบนี้
          ซินแซเดินไปทั่วๆบ้านดูตามหลักฮวงจุ้ยที่ได้ศึกษามาอย่างแตกฉานแต่ก็ไม่พบจุดใดที่ดูจะเป็นปัญหาสำหรับเรื่องนี้ แต่อาการของเด็กน้อยนั้นก็น่าเป็นห่วงและมันก็ดูผิดธรรมชาติ ซินแซพยายามสื่อสารกับสิ่งที่มองไม่เห็นที่อยู่ในบ้านหลังนี้หรือที่เราเรียกกันว่า เจ้าที่
          คำตอบของซินแซก็คือที่บ้านหลังนี้มี วิญญาณ ของคนแปลกหน้าอาศัยอยู่ ใครบางคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทั้งครอบครัว และที่ดินผืนนี้ ไม่รู้ว่าเข้ามาได้อย่างไรแต่ที่นี่มี สมาชิกที่มองไม่เห็น อยู่อีกหนึงคน
          คำแนะนำและทางออกของเรื่องในตอนนั้นคือบอกให้พี่บีตั้งศาลไม่ก็ตาจูยิ้มไว้ในบ้าน ให้เจ้าที่เจ้าทางผีบ้านผีเรือนเขาช่วยคุ้มครองไม่ให้ผีสางนางไม้จากข้างนอกที่ไม่ประสงค์ดีนั้นออกไปจากบ้านเราโดยเร็วที่สุด พี่บียินดีและทำตามในทันทีเพราะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว
          พี่บีเลือกที่จะตั้งศาลพระภูมิตมความเชื่อแบบไทยๆ โดยมีพิธีการขึ้นศาลอย่างถูกต้องทุกอย่างพี่บียืนยันอย่างนั้น นอกจากนั้นยังพยายามตักบาตรให้ได้ในทุกเช้าที่ตื่นทันเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ใครก็ตามที่มาอศัอยู่ในบ้านหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
          อีกครั้งที่ความหวังของทั้งสองคนต้องพังทลายเมื่ออาการของน้องไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คาดแม้ว่าจะมีเบาลงบ้าง แต่มันยังคงอยู่อาการของเด็กน้อยยังคงอยู่ ด้วยความไม่สบายใจของทั้งสองคนจึงตัดสินใจว่าในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่พอจะว่างจากงานหน่อยจะเดินทางไปพักที่บ้านยาย เพราะที่นั่นเด็กน้อยจะไม่มีอาการดังกล่าวปรากฏให้เห็น
          ทั้งสองคนยังคงไม่ละความพยายามที่จะจัดการกับบ้านหลังนี้ให้กลับมาเป้นที่อยู่อาศัยที่ดีได้ ผมสะดุดใจกับคำว่า กลับมาเป็น ผมถามออกไปในสิ่งที่ผมสงสัย
‘ทำไมถึงพูดว่า กลับมาเป็น ล่ะครับ’ ผมถามในสิ่งที่มันสะดุดใจเป็นอย่างมาก
‘บ้านหลังนี้พี่สร้างตั้งแต่ตอนที่พี่เพิ่งแต่งงานได้ใหม่ๆ ตอนนั้นทุกอย่างมันโอเคนะ ไม่มีปัญหาหรือเรื่องแปลกๆอะไรเลย จนวันที่พี่มีน้องนี่แหละ มันก็เริ่มมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ’ คนเป็นพ่อเล่าพร้อมลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
          พี่บีถอนหายใจพร้อมเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป หลังจากที่หาทางออกไมได้พี่บีจึงตัดสินใจไปหา ร่างทรง ที่อยู่ใกล้ๆบ้านซึ่งได้ยินมาจากเพื่อนบ้านที่พี่เขาไปเล่าเรื่องราวให้ฟังด้วยความไม่สบายใจ พี่บีไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เท่าไหร่แต่มาถึงตรงนี้ก็คงจำเป็นที่จะต้องทำจริงๆ
          พี่บีเชิญให้ร่างทรงนั้นมาที่บ้านตั้งแต่ในครั้งแรกเพราะคิดว่าอย่างไรก็ต้องเป็นที่บ้านแน่ๆ จะต้องไม่เกี่ยวกับตัวคนจึงไม่คิดที่จะไปนั่งต่อคิวเพื่อไปขอความช่วยเหลือที่ตำหนัก แม้ในตอนแรกร่างทรงนั้นจะไม่ยอมมาตามคำเชิญเพราะว่าเป็น ‘หน้าใหม่’ สำหรับตำหนักนี้ แต่แล้วก็สามารถต่อรองกันได้ด้วย เงิน
          ทันทีที่ร่างทรงมาถึงหน้าบ้าน ร่างทรงก็พูดกับพี่บีผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า ‘ที่นี่มีผี’ สองครั้งแล้วที่มีคนพูดแบบนี้ ความไม่สบายในใจมันเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากใจที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็เริ่มเอนเอียงไปทางเชื่อเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งสามคนเดินไปรอบๆบ้านเพื่อสำรวจตามที่ต่างๆเพื่อหาที่มาของเรื่องราวต่างๆ
         เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คำตอบอะไรเพิ่มเติม ร่างทรงดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นร่างทรงยืนยันว่าที่นี่มีผีจริงๆ และค่อนข้างจะแรงจึงออกมารบกวนคนในบ้าน ในตอนสุดท้ายร่างทรงเดินเข้าไปนั่งในตัวบ้านที่กลางบ้าน เอาไม้เท้าที่ติดตัวมาเคาะไปบนพื้นพร้อมขมุบขมิบปากเหมือนบริกรรมคาถาบางอย่าง
‘อืม อย่างนี้เอง’ ร่างทรงพูดกับตัวเองแต่ดังพอให้พี่ทั้งสองคนได้ยิน
‘ว่าอย่างไรบ้างครับ ตกลงว่ามันคืออะไร’ พี่บีเป็นฝ่ายถามด้วยความกังวล
         ร่างทรงยังไม่ตอบอะไรแล้วเดินออกมารอที่หน้าบ้านตรงที่โล่งๆบริเวณสวนหน้าบ้าน พี่ทั้งสองคนเดินตามมาติดๆเพื่อรอฟังคำตอบ ร่างทรงยืนเต๊ะท่าสักครู่หนึ่งจึงบอกทางออกของเรื่องนี้แก่ผู้เป็นเหมือนลูกค้าทั้งสองคน วิธีที่ร่างทรงแนะนำก็คือ ให้จัดเครื่องเซ่นเป็นข้าวปลาอาหาร 5 อย่างมาวางไว้กลางแจ้งตรงนี้ไหว้ด้วยธูป 1 ดอก เพื่อให้ผีมากิน ที่มันอาละวาดเพราะว่ามันหิว พอมันอิ่มเดี๋ยวมันก็ไป แล้วก็ทำบุญให้มันด้วย เท่านี้ก็จะหมดปัญหากวนใจอย่างที่เคยเจอแล้ว
         แม้ว่าคำแนะนำนั้นจะดูแปลกๆแต่พี่ทั้งสองก็ยอมทำตามเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจริงๆ ในวันนั้นพี่ทั้งสองคนเฝ้าแต่คิดกันจนปวดหัวไปหมดทั้งไม่มั่นใจ ทั้งกลัว และกังวลหลายๆอย่าง สิ่งที่ต้องทำก็ค่อนข้างจะน่ากลัวแต่เพื่อลูก ก็คงต้องยอม
         ในวันโกนถัดมานั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนจะต้องทำการ เลี้ยงผี ที่เขาเชื่อว่ามีอยู่ในบ้านหลังนี้แม้ว่าจะไม่เคยเห็นก็ตาม ในช่วงโพล้เพล้เครื่องเซ่นในถาดสังกะสีถูกนำไปวางไว้ตรงบริเวณที่ร่างทรงแนะนำ ทั้งสองทำด้วยความกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ต้องใจแข็งเข้าไว้
         ทั้งสองคนใช้วิธีนี้ทำต่อไปได้ประมาณเดือนหนึ่งระหว่างนั้นก็พยายามเอาลูกไปนอนกับยายให้ได้มากที่สุดคิดเอาไว้ว่าเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางดีแล้วจะพาลูกกลับมาที่นี่อีกครั้ง และตลอดเวลาหนึ่งเดือนนั้นก็ไม่มีเรื่องราวแปลกๆให้ทั้งสองคนได้เจอเว้นก็แต่เพียงคืนไหนที่ลูกมาอยู่ด้วยก็จะยังมีอาการเช่นเดิมอยู่

หลังจากที่ทุกอย่างดูจะเบาลงแล้วทั้งสองคนจึงตัดสินใจลองเอาลูกกกลับมาอยู่ที่บ้านตามปกติ และในคืนแรกนั้นเองก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับทั้งสามคน พี่บีเล่าพลางอุ้มน้องขึ้นมาให้ผมเห็นได้ชัดขึ้น พี่บีค่อยๆใช้มือถกแขนเสื้อนิ่มๆของน้องให้ผมดู ที่แขนนั้นปรากฏเป็นรอยแดงคล้ายนิ้วมือ ซึ่งมันชัดเจนมาก ผมตกใจกับสิ่งที่เห็นแล้วพี่บีก็ยังบอกอีกว่า มันไม่ใช่แค่นี้
         พี่บีเล่าเรื่องราวย้อนไปในคืนแรกที่เกิดเหตุการณ์ คืนนั้นพี่บีนอนอยู่กับแฟนและลูกในห้องนอน โดยที่น้องนอนอยู่ในเปล คืนนั้นทั้งสองคนค่อนข้างระแวงและกังวลจึงหลับๆตื่นๆอยู่เกือบตลอด แล้วมันก็เป็นไปตามคาดเมื่อถึงเวลาที่ใกล้เคียงกับทุกๆครั้งน้องก็เริ่มส่งเสียงร้อง เสียงค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ
         คนทั้งสองรีบเข้าไปอุ้มลูกขึ้นมาเพื่อปลอบให้สบายใจจะได้หยุดส่งเสียงร้องแล้วมันก็เหมือนกับทุกครั้ง มันไม่ได้ผล คราวนี้พี่ทั้งสองคนเริ่มเครียดจนน้ำตาไหลออกมา คืนนั้นพี่ทั้งสองคนตัดสินใจพาน้องออกจากบ้านแล้วขับรถตรงไปบ้านยายในทันทีด้วยความกังวลในใจ
         ในตอนที่กำลังรวบรวมข้าวของบางชิ้นที่สำคัญเข้ากระเป๋าเสียงของน้องก็ดังพุ่งขึ้นมาจนทั้งสองคนตกใจ ทั้งสองรีบมาดูลูกด้วยความเป็นห่วงแล้วก็สังเกตเห็น รอยแดงที่แขนของลูกซึ่งมันเพิ่งปรากฏให้เห็นเมื่อสักครู่ รอยนั้นมีลักษณะคล้ายมือ และมีขนาดค่อนข้างใหญ่จนคิดว่าน่าจะเป็นมือของผู้ใหญ่
         ทั้งสองคนขับรถเอาลูกไปฝากให้คนเป็นยายดูแล ส่วนตัวเองนั้นพักอยู่จนถึงเช้าแล้วตัดสินใจกลับมาที่บ้านของตัวเอง เพื่อจบเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นความรู้สึกที่มีคือ ความโกรธ มากกว่า ความกลัว ถ้ามันเกิดกับเขาทั้งสองคนมันคงไม่แย่เท่าไหร่ หากแต่ดันไปเกิดกับเด็กตัวเล็กๆที่ไม่รู้เรื่องอะไร
         เช้าวันต่อมาทั้งสองคนตัดสินใจไปที่วัดแล้วนัดพระทั้งหมด 9 รูปเพื่อจัดงานขึ้นบ้านใหม่ จริงๆจะเรียกว่าขึ้นบ้านใหม่ก็คงไม่ได้เพราะต้องการจะทำการปัดรังควานเสียมากกว่า ทั้งสองคนกลับมาจัดการสถานที่วันและเวลาทุกอย่างพอดีที่มีฤกษ์พอดีจึงสามารถจัดงานได้ในวันถัดมาทันที
          ทั้งสองคนตั้งใจว่าจะนิมนต์พระท่านมาทำบุญเท่านั้นจึงไม่ได้จัดงานเลี้ยงงานฉลองหรืออาหารเลี้ยงใดๆ แล้วงานก็จัดในช่วงเช้าอยู่แล้วเพื่อนบ้านคนอื่นๆก็ออกไปทำงานกันหมดแล้วจึงไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดนักที่จะไม่ได้เชิญใคร งานบุญนั้นเป็นไปได้ด้วยดีทุกอย่างราบรื่นไม่มีเหตุติดขัดอะไร และแน่นอนว่าจุดประสงค์ของงานนี้ไม่ใช่ อุทิศบุญ แต่มันคือการ ขับไล่
          หลังจากเสร็จสิ้นลำดับงานทุกอย่างแล้วพี่บีก็ตามไปส่งพระท่านที่วัดจนเรียบร้อยพี่บีกลับมาในบ้านด้วยความอิ่มเอมใจหรือจะเรียกว่าสะใจก็คงไม่ผิดพี่บีนั่งพักอยู่กับแฟนตรงโซฟาที่ห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเพราะเชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้อง จบลงแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุขพร้อมกับพักเหนื่อยไปในตัว
‘เธอ ถ้ามันเป็นเหมือนเดิมล่ะ’ แฟนสาวของพี่บีถามด้วยความกังวล
‘ไม่มีหรอก ไม่ต้องคิดมากนะ เราทำบุญใหญ่ไปแล้ว หลวงพ่อท่านไล่ไปแล้วล่ะ’ พี่บีตอบอย่างปลอบใจ
          ทั้งสองคนนั่งดูทีวีด้วยความสบายใจคิดไว้ว่าพรุ่งนี้ค่อยไปรับลูกกลับมานอนที่บ้านอีกครั้ง ด้วยความเพลียของทั้งสองคนจึงทำให้ทั้งสองคนหลับไปโดยไม่รู้ตัว
          ในระหว่างที่ทั้งสองคนหลับไปบนโซฟาในห้องนั้นพี่บีก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเรียก หรือเสียงอะไรบางอย่างที่ลอยมาตามลมเสียงนั้นดูน่ารำคาญและกวนใจพี่บีเป็นอย่างมาก พี่บีพยายามฟังเสียงนั้นในความฝันแต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่พี่บียังคงไม่สามารถฟังเสียงนั้นได้ชัดเจนนัก
          พี่บีค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาทีละน้อย แล้วเมื่อจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นจากโซฟาพี่บีก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายที่ไม่ขยับไปตามความคิด สิ่งที่พี่บีคิดถึงในตอนแรกคือ เราอาจจะเหนื่อยเกินไป หรือว่านอนผิดท่าจนชา แต่สิ่งที่คิดก็ตกไปเมื่อพี่บีได้ยินเสียงเดิมเมื่อสักครู่ในความฝัน แต่ตอนนี้มันดังอยู่ในบ้านของพี่เขา และมันก็ใกล้มาก
‘อือ....’
          พี่บีบอกผมว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเหมือนเสียงครางในลำคอเท่านั้นมัน อือๆ เหมือนคนพยายามจะพูดอะไรแต่พูดไม่ได้ พี่บีพยายามฟังอีกครั้งว่าใช่เสียงของแฟนหรือเปล่าแต่เสียงนั้นชัดเจนว่าเป็นเสียงของ ผู้ชาย ด้วยความโกรธบวกความกลัวในใจลึกๆทำให้พี่บีพยายามสะบัดให้หลุดจากสภาวะนั้น
          ทันทีที่พี่บีตั้งสติได้ก็สะบัดหลุดจากภาวะที่เกิดขึ้น พี่บีลุกขึ้นมานั่งหอบอยู่บนโซฟาเสียงหอบของพี่บีคงดังมากจนทำให้แฟนพี่บีตื่นขึ้นมาพร้อมๆกัน แฟนสาวถามไถ่ด้วยความห่วงใยแต่พี่บีที่กำลังโกรธนั้นไม่ได้ฟังอะไรสายตากวาดไปรอบบ้านเพื่อมองหา ที่มา ของเสียงนั้น และเมื่อไม่พบอะไรในสายตาพี่บีจึงตัดสินใจตะโกนออกไป
‘แน่จริงออกมาสิวะ กวนอยู่ได้ รำคาญ จะเอาอะไรก็มา มาคุยกับอุนี่!’ พี่บีตะโกนสุดเสียง
          แฟนพี่บีตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่บ่อยนักที่พี่บีจะมีท่าทีเกรี้ยวกราดแบบนี้ ด้วยความไม่สบายใจของทั้งสองคนแฟนของพี่บีจึงชวนให้ออกไปข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
          ทั้งสองคนออกมานั่งกินอะไรให้สบายใจในห้างใกล้ๆบ้านเพื่อคลายความกังวลที่ยังมีอยู่ ทั้งสองคนเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเชื่อว่าการทำบุญใหญ่ที่เพิ่งจบไปนั้นมันจะช่วยพวกเขาได้ แม้ว่าอีกใจจะเริ่มไม่มั่นใจแล้วก็ตาม
          หลังจากที่ออกไปหาอะไรกินเข้าไปดูความเรียบร้อยที่ร้านอาหารส่วนตัวแล้วจึงกลับไปที่บ้านอีกครั้งในเวลาราวๆ 4 ทุ่ม ทั้งสองคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเข้าบ้านเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
          เมื่อจอดรถเข้าที่จนเสร็จแล้วพี่บีก็พยายามรวบรวมสติเรียกกำลังใจให้ตัวเองเพราะคิดว่า ถ้าเราไม่กลัว มันก็คงทำอะไรเราไม่ได้ พี่บีเดินนำแฟนเข้าไปก่อนพร้อมกับพระที่กำไว้ในมือจนแน่น สองมือผลักประตูบ้านสุดแรงจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะเหยียบเท้าเข้าไปในประตูบ้านเสียงดังอีกครั้งเหมือนเป็นการประกาศกร้าวว่า ‘อุไม่กลัวอึงหรอก’
ปุ้ง!
          เสียงเหมือนของที่มีน้ำหนักกระทบกับพื้นดังตอบกลับมาหลังจากที่พี่บีกระทืบเท้าลงไปบนบ้าน เสียงนั้นดังจนได้ยินไปถึงแฟนสาวที่ยืนรออยู่ข้างนอกจนสะดุ้ง แฟนสาวเดินตามเข้ามาพร้อมคำแถม แต่ไร้คำตอบจากฝ่ายชาย ทั้งสองคนเดินไปทั่วบริเวณบ้านเพื่อหาที่มาของเสียงโดยที่ยังปลอบใจกับตัวเองว่าอาจจะเป็นเสียงของตกจริงๆก็ได้
          แล้วมันก็เหมือนกับพล๊อตของละครหลังข่าวทั่วๆไป มี่สิ่งของอะไรตกลงมาที่พื้นให้เห็น ทุกอย่างยังอยู่ดีไม่มีข้าวของสักชิ้นที่เคลื่อนตัวจากที่วางของมัน ยิ่งเพิ่งจะผ่านการทำความสะอาดครั้งใหญ่มาของแต่ละชิ้นจึงเป็นระเบียบมาก
          ในคืนนั้นเรื่องราวก็ค่อยๆแย่ลงอีกเมื่อตอนที่พี่บีหลับอยู่ พี่บีรู้สึกได้ถึงสัมผัสหนึ่งสัมผัสนั้นเป็นความรู้สึกของ มือ ที่มาจับอยู่บนร่างกายของพี่บีความรู้สึกนั้นชัดเจนเขาแน่ใจอย่างมากว่ามันจะต้องไม่ใช่มือของแฟนสาวอย่างแน่นอน
          สัมผัสที่หยาบกร้านของมือ ความใหญ่ของมือบ่งบอกว่าเป็นสัมผัสของมือผู้ชายจะมีแปลกไปก็ตรงความสากของมือที่มากกว่าคนทั่วไป มือนั้นจับค้างอยู่ที่แขนของพี่บี คราวนี้พี่บีไม่ได้มีอาการผีอำหรือว่าฝันอยู่เหมือนกับคราวที่แล้ว แต่ที่ตอนนี้ยังไม่ลืมตาก็เป็นเพราะ ความกลัว
          พี่บีไม่รู้ว่าหากลืมตาขึ้นมาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แม้ความโกรธจะยังมีแต่ความกลัวมันก็ไม่น้อยไปกว่ากัน ในตอนที่พี่บีพยายามข่มตาต่อไปนั้นพี่บีก็ได้กลิ่นแปลกๆมันไม่ใช่กลิ่นเน่าเหมือนอย่างที่เคยได้ยินมา มนเป็นกลิ่นเหม็นสาบกลิ่นเหมือนเหงื่อไคลที่ไม่ได้รับการชำระล้างมานาน กลิ่นนั้นเตะจมูกจนทำให้รู้สึกอยากจามแต่พี่บีก็พยายามหลับตาต่อไป
‘อือ...’ อีกครั้งที่เสียงครางนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
          พี่บีพยายามข่มตาตัวเองต่อไปจนเวลาผ่านไปได้สักครู่หนึ่ง ทั้งเสียงและกลิ่นก็จางหายไปพร้อมๆกับสัมผัสของมือที่ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้วในตอนนี้แต่พี่บีก็ยังไม่กล้าพอที่จะลืมตามาสำรวจอะไรในตอนนั้น พี่บีพยายามข่มตาต่อไปจนในที่สุดก็สามารถหลับลงได้อีกครั้งหนึ่ง
          พี่บีตื่นและเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับแฟนสาวที่นั่งดูทีวีอยู่ก่อนแล้ว พี่บีเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารเพราะแฟนสาวรอที่จะรับประทานอาหารพร้อมกันอยู่ แต่เมื่อมองสำรวจไปบนโต๊ะก็เห็นว่ามีเพียงจานข้าวของพี่บีเท่านั้นที่ถูกเตรียมไว้บนโต๊ะ
‘เธอไม่กินหรอ’ พี่บีถามด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าแฟนสาวจะกังวลจนกินอะไรไม่ลง
          แฟนสาวหันมาคุยกับพี่บีด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก แฟนของพี่บีบอกว่าเมื่อคืนบีฝันอะไรไม่ดีหรือเปล่า หรือว่ารู้สึกแปลกๆไหม พี่บีปฏิเสธไปก่อนเพราะกลัวว่าแฟนจะวิตกมากขึ้น แฟนพี่บีทำท่ากลัวแล้วเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนพี่เขารู้สึกตัวตื่นมาเพราะเสียงแปลกๆที่มันลอยเข้ามาในหู
          แฟนพี่บีนั้นนอนตะแคงหันมาทางพี่บีอยู่ก่อนแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาจึงมองเห็นพี่บีได้ในทันทีแล้วในตอนที่ค่อยๆลืมตามองไปทางพี่บีนั้นพี่เขาก็เห็นว่ามันมีเงาแปลกๆอยู่ตรงข้างเตียงของพี่บี พี่เขาพยายามหรี่ตามองเพราะกลัวที่จะมองเต็มๆตาแล้วก็กลัวพอๆกันกับการที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
          ภาพตรงหน้านั้นเป็นเงาลางๆของชายวัยกลางคนยืนอยู่ข้างๆพี่บีตรงที่ว่างข้างเตียงร่างนั้นจับไปที่แขนของพี่บีเหมือนพยายามจะปลุก เสียงครางอือๆในลำคอนั้นน่าขนลุกอย่างมาก แล้วพอสายตาของพี่เขาปรับสภาพกับความมืดได้ก็เห็นว่าเป็นผู้ชายจริงๆ แม้จะไม่ชัดนักแต่ก็แน่ใจว่าเป็นผู้ชายและที่ใบหน้านั้นมีรอยแผลเหวอะวะซึ่งมองไม่ชัด เห็นเป็นเพียงรอยเลือดเท่านั้นแล้วตอนนั้นเองพี่เขาก็ตกใจกลัวจนเป็นลมไปในทันที

เมื่อได้ฟังอย่างนั้นความไม่สบายใจก็เข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณอาหารมื้อเช้าในวันนั้นคงไม่อร่อยเหมือนอย่างเคย แม้จะกินสักคำก็คงเป็นเรื่องยาก ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทั้งสองคนได้คุยกับผมมาแล้วสักช่วงหนึ่ง แต่ยังไม่ได้นัดเจอกันเพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น
          แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันเริ่มเกินกว่าที่เขาจะรับได้อีกต่อไป พี่ทั้งสองจึงตัดสินใจนัดเจอผมแต่ว่าผมที่กำลังเรียนอยู่ซ้ำยังเป็นช่วงเปิดเทอมอีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผมจะมีเวลามากพอจะไปไหนหรือมาเจอกับใคร นัดของราจึงต้องเลื่อนออกไปอีกหน่อย
          ระหว่างที่เรายังไม่สามารถมาเจอกันได้นั้นผมก็ได้ให้คำแนะนำไปตามเรื่องราวที่ได้ฟังคร่าวๆผ่านโทรศัพท์ซึ่งก็ไม่ละเอียดเท่ากับที่ได้ฟังในวันนี้ ตลอดช่วงเวลานั้นเป็นไม่กี่วันสำหรับผมก็จริงแต่มันก็คงเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับทั้งสองคน โดยตลอดเวลานั้นสิ่งหนึ่งที่ผมแนะนำอย่างจริงจังก็คือ อย่าเพิ่งเอาน้องมาอยู่ในบ้าน
          พี่ทั้งสองคนเล่าเรื่องราวในส่วนที่เหลือให้ผมฟังอีกครั้ง ระหว่างช่วงที่ยังไม่ถึงวันนัดของเราเรื่องต่างๆก็ไม่ได้เงียบไปยังมีให้รู้สึกอยู่เรื่อยๆ และที่มากไปกว่านั้นบางครั้งก็ลามไปถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วยเช่นกัน
          วันหนึ่งที่ทั้งสองคนออกไปดูร้านตามปกติโดยในช่วงนั้นพี่ทั้งสองคนเลือกที่จะกลับมาดึกกว่าปกติสักหน่อยเพื่อที่ว่าเมื่อกลับมาแล้วจะได้นอนหลับไปเลยไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรมากมายให้มันหนักใจ คืนนั้นพี่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านน่าจะเป็นเวลาประมาณใกล้ๆเที่ยงคืนเห็นจะได้
          รถคันงามขับเข้ามาจอดที่หน้าประตูบ้านที่เดิม โดยที่บ้านข้างๆนั้นมีงานสังสรรค์กันอยู่ ทั้งสองคนหลังจากเก็บรถเรียบร้อยแล้วก็ได้ยินเสียงกดกริ่งที่หน้าบ้านเมื่อมองออกไปก็เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านข้างนั่นเอง พี่บีเดินออกไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านตามมารยาทแม้ว่าจะเหนื่อยจากการดูแลร้านมาก็ตาม
          ใจความในการสนทนานั้นก็คือ ในช่วงประมาณ 3 4 ทุ่มก่อนที่พี่บีจะขับรถเข้ามาเพื่อนบ้านได้มากดกริ่งเรียกแล้วครั้งหนึ่งเพื่อจะมาชวนให้ไปสังสรรค์ด้วยกันที่บ้าน พอมองเข้าไปในบ้านก็เห็นบ้านเปิดไฟอยู่ตามปกติจึงพยายามเรียกแต่ก็ไม่มีใครมาเปิด พอมองเข้าไปในบ้านก็เห็นคนเดินอยู่ในบ้านก็คิดว่าเป็นพี่บีก็เลยทั้งกดกริ่งทั้งตะโกนเรียก แต่ก็ไม่เห็นจะเดินออกมา
          ด้วยความเป็นห่วงจึงมาถามว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าเห็นช่วงนี้ดูหน้าเศร้าๆเครียดๆ แล้วนี่ออกไปข้างนอกตอนไหนไม่เห็นตอนออกไปเลย การสนทนายังดำเนินต่อไปอีกนิดหน่อยตามมารยาทโดยที่เพื่อนบ้านนั้นมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น แต่ดูแล้วความเป็นห่วงนั้นจะสร้างความลำบากใจให้พี่บีไม่น้อย
          นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นๆอีกเช่นบางวันพวกร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆที่ต้องตื่นมาเตรียมเปิดร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ก็มาบอกว่าบางวันจะเห็นเงาเหมือนคนนั่งอยู่ในสวนหน้าบ้านนั่งยองๆอยู่กับพื้นมืดๆ ดูแล้วไม่น่าใช่พี่บีซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อพี่บีถามเจาะจงลงไปว่าเห็นที่ตรงไหนอย่างไร เมื่อแม่ค้าชี้ไปยังบริเวณที่เห็นนั้นก็ปรากฏว่าเป็นที่เดียวกับที่พี่บีใช้วางเครื่องเซ่นตามคำแนะนำของร่างทรงนั้น
          นอกจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านแล้วยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสองอีกด้วย บางคืนที่นอนอยู่จะมีเสียงคนเดินไปเดินมา เป็นเสียงฝีเท้าบางครั้งก็มาเป็นเสียงครางในลำคอแต่ที่บ่อยที่สุดคงจะเป็นความรู้สึกเหมือนมีมือมาจับตามร่างกายของทั้งสองคน สัมผัสอันหยาบกร้านนั้นยังคงชัดเจนสำหรับทั้งสองคน
          บ่อยครั้งที่มีเสียงเหมือนของตกหรือเสียงคนเดินจะดังขึ้นภายในบ้านไม่ยกเว้นแม้กระทั่งเวลาที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น แฟนสาวของพี่บีก็มักจะตื่นมาเห็นเงาร่างอันไม่น่ามองของชายคนเดิมที่พยายามจะทำอะไรบางอย่างกับพี่บี ท่าทางนั้นดูไม่ออกว่าเขาต้องการอะไรมีเพียงเสียง อือๆ ในลำคอเท่านั้น
          ความกังวลที่มีในใจเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆบวกกับการที่ต้องหากลูกน้อยของตัวเองไปเป็นช่วงเวลานานทำให้คนทั้งสองเริ่มหมดกำลังใจแล้วเรื่องสุดท้ายก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่ทั้งสองคนหมดกำลังใจไปมากแล้วจริงๆ
          ในคืนนั้นทั้งสองคนกำลังนั่งคุยกันเพราะว่าอีกสองวันก็จะถึงวันที่นัดกับผมไว้ ในตอนนั้นพี่ทั้งสองคนแทบไม่ได้หวังเลยว่าผมจะมีทางออกให้สำหรับพวกพี่เขา ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ในห้องนอนเหมือนทุกๆวันแฟนสาวของพี่บีก็ร้องไห้ออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
          แฟนสาวของพี่บีร้องไห้เพราะรู้สึกคิดถึงลูกขึ้นมาจับใจไหนจะเรื่องราวแย่ๆที่มันเข้ามาไม่มีหยุด แทบไม่มีวันไหนเลยที่จะนอนหลับได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลหรือกลัวอะไร พี่บีพยายามปลอบอยู่พักใหญ่แฟนสาวจึงสงบลงได้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
          แฟนสาวของพี่บีปล่อยมือที่กอดพี่บีอยู่มาจับที่แขนของพี่บี สัมผัสนั้นน่าขนลุกอย่างประหลาดเพราะลักษณะการจับท่าทางนั้นมันเหมือนกับความรู้สึกที่พี่บีรู้สึกอยู่แทบจะทุกคืน มือนั้นคอยๆออกแรงบีบที่แขนของพี่บี พี่บีเริ่มใจไม่ดีเพราะแฟนสาวตอนนี้เงียบไปไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น
          พี่บีค่อยๆเขย่าตัวแฟนที่ตอนนี้มีท่าทางแปลกๆไม่ตอบสนองตามคำเรียกของพี่บีแม้แต่น้อยแล้วพี่บีก็ต้องขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อแฟนสาวของตัวเองส่งเสียงประหลาดออกมา เสียงครางในลำคอนั้นคุ้นหูเหลือเกิน มันเหมือน เหมือนจนเกินไป พี่บีขนลุกและรู้สึกขาอ่อนกับสถานการณ์ตรงหน้า
          แม้ว่าใจจะกลัวแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยทิ้งให้คนรักต้องเผชิญเรื่องราวนี้โดยลำพัง พี่บีกลั้นใจพยายามสวดมนต์เท่าที่นึกออกได้ในตอนนั้นแต่ก็ไม่มีผลใดๆ มือที่จับแขนของพี่บีเอาไว้ยังคงงออกแรงอย่างสม่ำเสมอ เสียงครางในลำคอที่ยังคงดังอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
          พี่บีไม่รู้จะทำอย่างไรจึงตัดสินใจถอดพระและตะกรุดที่ตัวเองคล้องติดตัวอยู่ตลอดคล้องลงไปที่คอของแฟนสาว แล้วมันก็ได้ผลน้ำหนักมือของแฟนสาวค่อยๆผ่อนลงทีละน้อย แล้วเสียงครวญในลำคอนั้นก็ดูเหมือนจะเงียบลงตามไปด้วย เวลาเพียงไม่นานแฟนสาวก็ทรุดลงไปบนเตียงอย่างอ่อนแรง
          พี่บีรีบเขย่าตัวเรียกให้แฟนสาวตื่นมาคุยกับเขา แฟนของพี่บีไม่ได้หลับไม่ได้สลบไปแต่เหมือนกำลังใกล้จะเป็นลม พี่บีเปิดแอร์ให้เย็นๆหายาดมมาให้ดมพร้อมกับปลดกระดุมเสื้ออกเล็กน้อยให้หายใจสะดวก เวลาผ่านไปสักสิบนาทีพี่เขาก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นพร้อมที่จะพูดคุยกับพี่บี
          พี่บีถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งแฟนสาวนั้นตอบได้แค่เพียงว่าจำได้ว่าร้องไห้อยู่แล้วมันก็รู้สึกเหมือนวูบไปเหมือนจะเป็นลมหงายหลังไปแล้วก็ตื่นมาตอนที่บีพยายามเอายาดมมาให้ดม พี่บียืนยันว่าในสายตาพี่บีนั้นแฟนของพี่เขาไม่ได้หลับ สายตานั้นยังมองมาที่เขาในขณะที่นอนอยู่บนเตียง
          สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คือน่าจะเกิดมาจากอาการจิตตกอย่างรุนแรงของแฟนพี่บีจนทำให้ เขา สามารถเข้ามาแทรกในช่องว่างของสภาวะจิตนั้นได้ จิตที่อมทุกข์มากจนเกินไปมักจะดึงดูดเอาสิ่งไม่ดีให้เข้ามาใกล้แบบนี้เป็นธรรมดา ทั้งสองคนฟังผมอย่างตั้งใจแม้ว่าอายุเราจะต่างกัน ไม่บ่อยนักที่คนที่มาหาผมจะไม่มองผมเป็น เด็ก แล้วก็ไม่ใส่ใจในการสนทนากับผม
          เรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายมาถึงตอนจบ นั่นก็คือเมื่อคืน คืนก่อนที่จะถึงวันนัดกับผมทั้งสองคนตัดสินใจไปรับลูกมานอนด้วยเพราะจะได้พามาหาผมด้วยในวันนี้ แล้วเรื่องเดิมๆมันก็เกิดอีกครั้ง พี่บีเอาทั้งพระทั้งยันต์หลายอย่างวางไว้รอบๆเปลของน้องโดยที่เปลนั้นตั้งอยู่ติดกับเตียงของทั้งสองคนอยู่แล้ว คอเล็กๆนั้นก็ถูกคนเป็นพ่อเอาสร้อยเส้นเล็กๆห้อยพระมาให้คล้อง
          เมื่อเวลาล่วงไปประมาณเที่ยงคืน น้องก็เริ่มส่งเสียงร้องเหมือนทุกครั้งที่ได้มานอนที่บ้านหลังนี้ แต่คราวนี้ทั้งสองคนยังไม่ได้หลับไปเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจึงเฝ้ารอให้ถึงเวลาดังกล่าว คนเป็นแม่อุ้มลูกพร้อมร้องไห้ด้วยความสงสารลูก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คนเป็นพ่อก็ได้แต่กำหมัดด้วยความโกรธไม่กล้าจะโวยวายอะไรออกไปอีก เพราะกลัวว่าจะเกิดผลเสียกับลูก
          ทั้งสองคนพยายามกล่อมเด็กน้อยให้หลับ กว่าจะสามารถทำให้เด็กน้อยหลับได้เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะตีสามทั้งสองคนกลับมานอนที่เตียงด้วยความอ่อนเพลียพร้อมความหวังในใจว่า มันจะเป็นคืนสุดท้ายที่จะต้องเจอเรื่องราวอย่างนี้ ทั้งสองคนปล่อยให้ตัวเองหลับไปภายใต้แสงไฟนีออนที่ถูกเปิดจนสว่างไปทั่วบ้าน
          พี่บีหลับไปได้ไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเหมือนถูกปลุกพี่บีไม่สามารถขยับตัวได้แต่ด้วยความตกใจจึงเผลอลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวแสงไฟที่สว่างจ้าทำให้พี่บีต้องหยีตาเพราะปรับสภาพไม่ทัน แล้วเมื่อรู้สึกตัวเต็มที่หูของพี่บีก็ได้ยินเสียงครวญในลำคอดังขึ้นอีกครั้ง

อือ...
          เสียงอันชวนขนลุกนั้นดังมาจากไหนไม่ทราบได้เพราะมันเหมือนลอยอยู่ในอากาศก้องไปทั่วบริเวณ สิ่งแรกที่พี่บีคิดได้คือ ลูก พี่บีรีบลุกจากเตียงทันทีที่สะบัดตัวเองหลุดจากการโดนผีอำมาได้
          พี่บีอุ้มลูกไว้ในอ้อมกอดอย่างกังวลพยายามมองไปทั่วห้องก็ไม่พบอะไรผิดปกติ แต่เสียงครวญนั้นยังดังอยู่ในตอนนี้ เด็กน้อยในอ้อมกอดไม่มีทีท่าว่าจะร้องหรืองอแงแม้แต่น้อย แต่พี่บีก็ยังไม่วางใจ สายตาของพี่บีกวาดไปทั่วห้องจนมองไปที่ประตูห้องที่เปิดทิ้งเอาไว้เพื่อให้เห็นด้านนอกได้อย่างชัดเจน
          ถ้ามองออกไปตรงประตูนั้นที่ปลายสายตาจะพบกับกำแพงบ้านและบันไดบ้านที่ตั้งอยู่ สายตาของพี่บีกวาดมองไอย่างละเอียดจนในที่สุดพี่บีก็พบ แขกผู้ไม่ได้รับเชิญของบ้านหลังนี้
          ที่ปลายสายตานั้นตรงราวบันไดที่สูงขึ้นมาจากพื้นชั้นสองจะมีช่องว่างระหว่างราวให้มองเห็นทะลุได้ ที่ตรงช่องแคบๆนั้นมีร่างของชายวัยกลางคนยืนอยู่ ร่างนั้นเหมือนกับยืนอยู่ที่ขั้นบันไดช่วงกลางๆจึงมองเห็นขึ้นมาจากพื้นเพียงส่วนลำคอขึ้นมาจนถึงหัวเท่านั้น สายตาคู่นั้นจ้องมองมายังพี่บีอย่างตั้งใจ ภาพของใบหน้าชายวัยกลางคนที่มีแต่เลือด และส่วนหัวข้างหนึ่งที่ไม่สมประกอบปล่อยให้เห็นเป็นแผลเหวอะ เลือดที่อาบไปทั่วใบหน้าและลำคอทำให้พี่บีแทบจะตั้งสติเอาไว้ไม่อยู่
          พี่บีหลับตาปี๋พร้อมกับพยายามสวดมนต์แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเมื่อเสียงครวญนั้นยังคงดังให้ได้ยินอยู่พี่บีตกอยู่ในภวังค์ของความกลัว แล้วสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็ตามมาเมื่อพี่บีได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่บันได มันดังชัดขึ้นเรื่อยๆนั่นหมายความว่า เขาไม่ได้เดินจากไป แต่กำลังเดินเข้ามา
          พี่บีลนลานจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แต่กอดลูกเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว สิ่งเดียวที่คิดได้คือ กอดลูกเอาไว้ไม่ให้มันมายุ่ง
‘บี ตื่น!’ เสียงเรียกของแฟนสาวปลุกพี่บีให้ตื่นจากภวังค์
          พี่บีตื่นมาพร้อมกับเสียงเรียกของแฟนสาวเพื่อให้ไปดูลูกที่กำลังร้องไห้จ้าอยู่ในเปล พี่บีงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเพราะมันเหมือนจริงเหลือเกินเหมือนไม่ใช่ความฝัน สัมผัสที่อุ้มลูกยังรู้สึกได้ เหงื่อกาฬที่ชุ่มไปทั่วทั้งตัวเป็นสิ่งยืนยันในความรู้สึกนั้น แต่พี่บีก็ถามตัวเองอยู่ได้ไม่นานก็ต้องไปดูลูกด้วยความเป็นห่วง
          ทั้งสองคนเข้ามาดูลูกพร้อมกับพลิกตัวดูตามเนื้อตัว แล้วมันก็เป็นเหมือนทุกครั้งจริงๆ ที่แขนของเด็กน้อยมีรอยแดงคล้ายมือปรากฏขึ้นมา คราวนี้มันดูชัดกว่าทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น ทั้งสองคนตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวขับรถออกมาข้างนอกเพื่อไปหาที่อยู่ฆ่าเวลารอเวลานัดกับผม
          หลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบผมก็รู้สึกผิดกับตัวเองว่าทำไมจึงปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดไปได้ขนาดนี้แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นถึงจะเรียนอยู่ในจังหวัดบ้านเกิดก็แทบจะไม่ได้กลับบ้านจนแม่บ่นอยู่บ่อยๆ ผมขอเอาเด็กน้อยนั้นมาอุ้มก็เพื่อตรวจสอบดูว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรหรือเปล่า
          เด็กน้อยหน้าตาน่ารักยิ้มให้ผมอย่างใจดีราวกับไม่เคยเจอเรื่องน่ากลัวอะไรมา ดีแค่ไหนที่ไม่เกิดเรื่องตอนเด็กคนนี้จำความได้ มันคงเป็นความทรงจำที่ไม่สวยงามสักเท่าไหร่ หลังจากแน่ใจแล้วว่าต้นเหตุของเรื่องนี้ไม่ได้เกิดมาจาก เด็กคนนี้ เพราะฉะนั้นสาเหตุเดียวที่เป็นไปได้ก็คงจะเป็น บ้าน ของพี่ทั้งสอง
          ผมขึ้นรถพี่เขามาตามทางตลอดทางพี่ทั้งสองคนก็เงียบอยู่ตลอด มีพยายามชวนคุยตามมารยาทบ้างแต่ก็พอจะสังเกตได้ถึงความกังวลใจที่ล้นเหลือ เมื่อเรามาถึงบ้านสิ่งแรกที่ผมเห็นและรู้สึกไม่ถูกใจก็คือ บริเวณสวนหน้าบ้านที่พี่เขาใช้เลี้ยงผีนั้นมันเลวร้ายลงไปมาก ไม่ใช่แค่ผีในบ้านที่มากิน สัมภเวสีข้างนอกมันก็เล็ดลอดเข้ามาตามคำเชิญของคนเลี้ยงเพราะไม่ได้ทำอย่างถูกต้อง
          ศาลพระภูมิใหม่เอี่ยมที่ถกดูแลอย่างดีเหมือนอยู่ในร้านขายขนาดใหญ่ มันสะอาดเสียจนคิดว่าไม่มีการใช้งานและแน่นอนว่ามันก็เป็นเพียง ศาลเปล่า เท่านั้น ผมบอกพี่บีไปทีละเรื่องค่อยๆแก้กันไป แต่ทั้งสองเรื่องนั้นก็ยังไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องราวในครั้งนี้
          ผมเริ่มจากการเดินดูรอบๆบ้านก่อน ผมไม่เจออะไรที่ผิดสังเกตหรือน่าสงสัยเลย ผมยังไม่เห็นผีหรือรู้สึกถึงอะไรที่มันผิดปกติจนตอนที่เดินเข้าไปในบ้าน ผมเดินไปทั่วๆชั้นหนึ่งก็ยังไม่รู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติ แต่ก็พอจะเริ่มจับเค้าลางอะไรได้บ้างเพราะมันเริ่มมีกลิ่นสาปโชยมาในอากาศ
          ผมแน่ใจว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่ได้กลิ่นเพราะพี่ทั้งสองคนกำลังดมชายเสื้อของตัวเองดูว่ามันกลิ่นเหงื่อหรืออะไรหรือเปล่า ในที่สุดผมก็ตัดสินใจใช้ไม้แข็งกับเรื่องนี้ ผมขออนุญาตทำความสกปรกให้กับบ้านหลังนี้เล็กน้อยเมื่อได้รับอนุญาตแล้วผมจึงเดินไปค้นของในครัวดูว่ามีอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์กับเรื่องในครั้งนี้หรือไม่
          ผมเจอถุงถั่วเขียนที่เก็บไว้ในตู้เย็นมันยังใหม่อยู่ผมขออนุญาตนำมาใช้ในพิธีการนี้ มนต์บทต่างๆที่จำเป็นในการทำพิธีนี้มีไม่มากผมจึงพอจะจำได้บ้าง หลังจากที่บริกรรมเสร็จผมก็จำเป็นจะต้องขออนุญาต ท่าน เพื่อช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ผมจะได้รับอนุญาตในการทำอะไรแบบนี้แต่ครั้งนี้ ท่าน ไม่ได้ขัดข้องอะไร ออกจะสนับสนุนด้วยซ้ำ
          ผมกำถั่วเขียนไว้ในมือแล้วปล่อยให้มันร่วงลงที่พื้นอย่างช้าๆ ถั่วเขียวกลิ้งไปตามที่ต่างๆบนพื้น ผมเริ่มจับเค้าลางของความผิดปกติได้แล้วจึงเดินไปตามกลิ่นได้รับ แล้วผมก็ได้ยินเสียงที่พี่บีเล่าให้ฟังมาโดยตลอด เสียงครวญในลำคอนั้นดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
          ผมเดินมาจนถึงที่ที่คิดว่า ต้องใช่ จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ผมเดินเหยียบลงไปบนบันไดไม้ขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปสำรวจดูว่าของบนนั้นมีอะไรแล้วผมก็ตกใจจนลื่นตกบันได เพราะรู้สึกได้ถึงสัมผัสของมือที่มาจับตรงข้อเท้าอย่างกะทันหัน มือสากๆนั้นกำข้อเท้าผมไว้แน่นจนเสียหลักตกลงมาบนพื้นชั้นหนึ่งอีกครั้ง
          พี่บีเข้ามาดูอาการผมด้วยความตกใจ คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของ ที่ดิน หรือตัวบ้าน มันมีแค่ บันไดอันนี้เท่านั้น ที่เป็นปัญหา ผมไม่รู้ว่าการที่เขามาจับขาผมนั้นเป็นการขู่หรือเป็นการบอกกันแน่ว่าเขาอยู่ตรงนี้
          ผมโปรยถั่วเขียวในมือลงไปบนบันไดนั้นทันทีแล้วก็ได้ยินเสียงตอบรับอันชัดเจน ปัง! เสียงลั่นของไม้ดังขึ้นมาจนทุกคนสะดุ้ง ผมรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้เรายังไม่สามารถคุยอะไรกับเขาได้ แต่นอกจากกลิ่นสาปที่มาจากตัวของเขาแล้วนั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนบวกกับกลิ่นเหม็นเน่าที่ผมคุ้นเคยมันลอยตามมาด้วยในอากาศ กลิ่นที่ผมจะได้เจอทุกครั้งเวลาต้องเข้าไปยุ่งกับ เดรัจฉานวิชา
          ผมเดินขึ้นไปบนบันไดนั้นอีกครั้งคราวนี้ไม่มีมือมาจับเท้าผมแล้ว ผมค่อยๆเดินขึ้นไปทีละขั้นเพื่อที่จะได้หาว่า ขั้นไหน หรือว่าทั้งบันไดที่มันเป็นปัญหา เมื่อไปถึงบันไดขั้นหนึ่งช่วงๆกลางๆผมก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาในทันทีมันเป็นเหมือนกับสัญญาณบอกว่า ขั้นนี้แหละ!
          ผมเดินลงมาแล้วบอกกับพี่บีว่าผมเจอต้นตอแล้วแต่ว่ายังไม่สามารถพูดคุยกับเขาได้ผมคิดว่าเขา โดนสะกด พี่บีตกใจมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะถ้าเขาเป็นแค่ผีสางนางไม้ที่ตามไม้มาเนี่ยมันปกติเจอได้บ่อย แต่การสะกดแบบนี้มันต้องมีที่มาและเรื่องราวที่มากกว่านั้น
          ผมกล้าๆกลัวๆบอกพี่บีไปว่าผมอยากดูข้างใต้นั้นว่ามันมีอะไร เพราะอย่างนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้และนั่นหมายถึงเราต้องงัดต้องแงะไม้นั้นออกมา ผมกลัวว่าพี่บีจะว่าผมหรือไม่พอใจแต่เปล่าเลยพี่บีพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับวิ่งไปบ้านข้างๆเพื่อขอยืมแรงและอุปกรณ์ในการงัด
          เพียงแค่แปปเดียวพี่บีก็กลับมาพร้อมเพื่อนบ้านที่พี่บีเคยเล่าให้ฟัง ลุงแกดูงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะพี่บียังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังแต่ก็มาช่วยตามคำขอ ทั้งสองคนช่วยกันออกแรงงัดเอาไม้เนื้อแข็งที่ถูกนำมาทำเป็นขันบันไดสวยงามออกมา แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเลย
‘เขากลัว บอกเขาดีๆ’ กระแสเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวผม กระแสเสียงนั้นอ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง
          ผมเดินขึ้นไปที่แผ่นไม้นั้นอีกครั้งค่อยๆเอามือแตะลงไปที่แผ่นไม้ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขารับรู้ถึงจุดประสงค์ของเรา เราไม่ได้จะทำร้ายเราเพียงแค่อยาก คุย และหาทางออกเท่านั้น ผมถอนมือออกพร้อมถอยลงมาที่ชั้นหนึ่ง

ผมบอกให้ทั้งสองคนออกแรงอีกครั้งคราวนี้แผ่นไม้มันหลุดออกมาอย่างง่ายดายลุงคนที่มาช่วยดูแปลกใจอย่างมากและมองผมอย่าง งงๆ
          ทั้งสองคนช่วยกันยกแผ่นไม้นั้นมาวางไว้ที่พื้นบ้านด้านล่างผมเข้าไปจับพลิกดูเพื่อหาที่มาของความผิดปกติ มันชัดเจนว่าเป็นแผ่นนี้แน่ๆเพราะผมลองเดินกลับขึ้นไปบนบันไดอีกครั้งแล้วก็ไม่มีความรู้สึกเดิมแต่กับไม้แผ่นนี้มันยังชัดเจนอยู่ ผมยกแผ่นไม้พลิกไปมาแต่ก็ยังหาไม่เจอ
‘ไม้มันแปลกๆนะ เอามาดูหน่อย’ ลุงข้างบ้านเป็นคนพูดขึ้นมา
          ผมไมเข้าใจในสิ่งที่ลุงพูดผมเองไม่มีความรู้ด้านนี้เลยแต่เหมือนลุงแกจะมีความรู้ด้านช่างอยู่บ้าง แกพลิกไปพลิกมาก็บอกว่ามันแปลกตรงที่ ทำไมต้องขัดต้องเคลือบทั้งสองด้าน ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไรก็จำๆลุงมาเล่านะครับ ลุงบอกว่าปกติบันไดเราก็เหยียบด้านเดียวน่าจะขัดจะเคลือบด้านเดียว แต่นี่ทั้งสองด้านเลยมันแปลกๆนะ แล้วลุงแกก็เดินออกจากบ้านไปอย่าง งงๆ
          ลุงบอกว่าให้รอเดี๋ยวนึง แล้วแกก็กลับมาพร้อมถังใบหนึ่งกับอ่างของแก แกเอาไม้ในไปล้างไปเช็ดอะไรของแกไม่รู้เหมือนกันแต่ไอ้ที่เคลือบไม้ไว้มันก็ค่อยๆหายไปจากไม้มันๆวาวๆก็เริ่มเห็นความสากความดิบของเนื้อไม้ แล้วที่ด้านหลังของแผ่นไม้เมื่อล้างออกจนหมดก็เจอต้นตอที่เราตามหา
          ลุงเรียกให้ผมมาดูพร้อมกับโยนไม้ในมือมาให้ผมถือแทนความรู้สึกคลื่นไส้นั้นกลับมาอีกครั้งในตอนนี้ ผมมองไม้ในมือเห็นเป็นรอยเลือดขนาดใหญ่ มันใหญ่มากครับเกือบจะเต็มแผ่นไม้ แล้วที่รอยเลือดนั้นก็มี ยันต์ที่ถูกเขียนด้วยหมึกบางอย่างเขียนกำกับเอาไว้ มันเป็นยันต์สะกดจริงๆ แล้วก็เป็นของพวกมีวิชาพอสมควรด้วย ยันต์แบบนี้เราจะเห็นได้ตามศพเฮี้ยนๆไม่ก็พวกศพฆาตกรรมบางศพที่มีการสะกดเกิดขึ้น
          การคลายสะกดนั้นมีหลายวิธีหนึ่งในนั้นคือการเขียนย้อนทางหรือย้อนวิชานั้นๆซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปรู้มาจากไหนรู้แต่ว่า เรารู้ว่าต้องทำแบบนี้ ผมใช้นิ้ววาดไปตามเส้นของยันต์นั้นๆเพียงไม่นานก็รู้สึกได้ว่าวิชาที่มีอยู่มันหายไป ผมโล่งอกไปเปราะหนึ่งแต่แล้วก็มีเรื่องใหม่เข้ามาทันที
          แฟนของพี่บีที่ยืนดูอยู่ตลอดนั้นจู่ๆก็เข่าอ่อนเป็นลมลงไปนั่งกองที่พื้น พี่บีรีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง แล้วแฟนของพี่บีก็เริ่มส่งเสียงแปลกๆออกมาอีกครั้ง เสียงนั้นเหมือนกับที่ผมได้ยินในครั้งแรก เสียงครวญในลำคอที่ทุ้มต่ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความแหบ เสียงนั้นน่าขนลุกจริงๆ แต่คราวนี้มันกลับไม่ทำให้รู้สึกน่ากลัวหรือเลวร้ายเท่ากับครั้งแรกๆมากนัก
          ผมกลั้นใจถามเขาไปตรงๆว่าต้องการอะไรแต่เขาก็มีเพียงเสียง อือ... เท่านั้น ไม่ตอบอะไรเราไปมากกว่านั้น ผมจึงต้องเปลี่ยนวิธีคุยเป็นการ ถาม โดยใช้คำถามเป็นข้อๆเพื่อให้เขาตอบเท่านั้น ใช่ก็ขอให้พยักหน้า ผมถามไปเรื่อยๆ เอาบุญไหม หิวไหม อยากได้อะไร แล้วคำถามเดียวที่ทำให้เขาพยักหน้าได้ก็คือ อยากไปเกิดไหม
          หลังจากที่เขาตอบเรามาแล้วผมก็ถามต่อไปว่าจะให้ทำอย่างไร ด้วยวิธีเดิม ผมถามไล่ไปเรื่อยๆ ไปหาพระไหม แต่เขาก็ตอบตกลงกับคำถามที่ว่า ให้เผาไม้แผ่นนี้ไหม ผมกับลุงต้องเป็นคนช่วยกันยกแผ่นไม้ออกมาข้างนอกแล้ววางไว้กับพื้น น้ำมันจำนวนมากถูกราดลงไปบนแผ่นไม้นั้น จากนั้นไฟก็ถูกจุดได้ไม้ขีดก้านเล็กๆเพียงก้านเดียว
          ไฟลุกโหมจนแผ่นไม้ค่อยๆผุพังไปทีละน้อยพร้อมกับที่อาการของแฟนพี่บีกลับมาเป็นปกติ ในกองไฟนั้นผมมองเห็นร่างของชายวัยกลางคนที่ยืนหันมาทางพวกเรา เขาอยู่ในชุดที่ไม่คุ้นเคย เหมือนเป็นชุดของต่างด้าวไม่ก็ชาวเขา เนื้อตัวนั้นยังเต็มไปด้วยเลือด แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนขึ้นมาก็คือ รอยแผลที่หัว กับตรงคอมันเป็นรอยคล้ายกับรูกระสุน เขามองเราจนกายไปในที่สุด
          หลังจากจบเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงทราบว่า แฟนของพี่บีก็เห็นเขาในกองไฟนั้นเหมือนกับผมเช่นกัน หลังจากนี้บ้านหลังนี้จะไม่มีเรื่องราวร้ายๆอีก ที่พี่บีเจอคงเป็นเพราะไปกล่าวท้าทายเขาเอาไว้ ที่แฟนพี่บีเจอก็คงเป็นเพราะสภาวะจิตที่ตกต่ำจนสามารถสื่อสารกับเขาได้ ส่วนเด็กน้อยนั้นด้วยความใสซื่อไร้มลทินนั้นคงเป็นการง่ายให้เขามาสื่อสาร
          ทุกอย่างจบลงเพียงเท่านั้นเว้นแต่เพียงพี่บีที่ไม่แล้วใจเรื่องที่มาของไม้นั้น พี่บีพยายามสืบหาความจริงไปเรื่อยๆ ผ่านช่างผ่านคนขายไม้ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ได้รู้มาว่า มันเป็น ไม้เถื่อน ที่ถูกลักลอบเอามาขาย
................................................................................................
ขอบคุณที่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ
ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล

ลอยชาย.

ไม่มีความคิดเห็น