บางสิ่ง...ที่สูญหาย
เรื่องจากคุณลอยชาย และเป็นอีกเรื่องหนึ่งจากประสบการณ์จริงของคุณลอยชาย และอย่างเช่นเคยเรื่องราวของเขานั้นจะมีจุดเด่นคือแง่คิดดีๆที่แฝงอยู่ในเรื่องเสมอ ไปติดตามเรื่องนี้กันเลย
เวลา...สิ่งนี้ทำให้อะไรหลายๆอย่าง หายไป หรือเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือเวลา และเวลาไม่เคยย้อนกลับ บางอย่างสูญหายจนไร้ร่องรอย แต่ทว่า มีสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งกว่า เมื่อบางสิ่ง ไม่เคยหายไปตามกาลเวลา แต่เพียงแค่ถูกลืมเลือนเท่านั้น...
บางสิ่งบางอย่างที่ถูกเขียน และบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลัง เพื่อสืบทอด หรือบอกเล่าก็แล้วแต่ สิ่งนั้นเราเรียกมันว่า ประวัติศาสตร์ หรือ ตำนาน แต่นั่นก็ไม่ใช่ ทั้งหมด ของทุกเรื่องราว ยังมีอีก มาก ที่เราไม่เคยได้รับรู้ และก็อีกไม่น้อยเช่นกันที่เรารู้มาผิดๆ ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะถูกจารึกไว้เช่นไร ไม่ว่าตำนานเรื่องเล่าต่างๆรวมไปถึง ภูมิปัญญาจากกาลก่อนนั้นจะถูกถ่ายทอดออกมาเช่นไร ปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งที่เราได้กล่าวมานั้นถูกมองว่าเป็น เรื่องล้าสมัย และงมงาย...
.....................................................
................................
.......................
.................
.........
...
ตอนม.ปลาย ผมได้ไปทัศนศึกษากับทาง รร. ที่กทม. ระหว่างทางเราได้แวะที่เมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา ผมจำไม่ได้ว่าวัดนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร ผมเดินเข้าไปเรื่อยเดินเล่นกับเพื่อนไปเรื่อยๆ แสงแดดในวันนั้นมันร้อนเป็นอย่างมาก แต่ก็สนุกครับเพราะปกติไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว เพื่อนผมมัวถ่ายรูปกันอยู่ผมจึงเดินเล่นไปเรื่อย จนไปสะดุดตากับซากเจดีเก่าๆที่มุมหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่ามีพุทธรูปปูนเก่าๆที่สภาพไม่สมประกอบเท่าไรประดิษฐานอยู่ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่าที่ตรงหน้าของพุทธรูปนั้นมีชายร่างใหญ่กำยำนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ สายตาของเขาจดจ้องไปที่พุทธรูปเก่าๆนั้นด้วยความหมายมากมายที่พอจะสื่อผ่านดวงตานั้น
ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นจนในที่สุดเขาก็ก้มกราบลงที่พื้น และกลับมาอยู่ในท่าเดิมด้วยความสงสัยและความรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้อย่างไรไม่เข้าใจ ผมจดจ้องไปที่เขาด้วยคำถาม แล้วเผลอถามออกไปในใจ
‘ทำอะไรอยู่หรือครับ’
‘...’ ไม่มีคำตอบใดๆส่งกลับมา
ผมทำได้แค่เฝ้ามองเหตุการณ์นั้นอยู่ตรงหน้า ผมรู้สึกสงสารอย่างไรบอกไม่ถูกรู้แต่เพียงว่ามันเป้นความรู้สึก เศร้า เหมือนคนอยากร้องไห้ ในความสงสัยนั้น ท่าน ก็ได้ให้คำตอบกับผม
‘เขาตายตรงนั้น เขาอยู่อย่างนั้น จิตเขาจำได้แค่นั้น เขาไม่ได้ยินเจ้าหรอก’
ผมหมดคำถามในทันที สิ่งท่านพูดถึงนั้นเราเรียกกันว่า จิตสุดท้าย หมายถึงในยามที่เราตายลงนั้น สิ่งที่ดวงวิญญาณนั้นๆพะว้าพะวง หรือห่วง แม้แต่การเผลอนึกถึงก็สามารถทำให้ติดบ่วงแบบนี้ได้
เมื่อเดินชมเมืองเก่าต่อไปเรื่อยๆ นอกจากเศษซากปรักหักพังของศิลาแลงและก้อนอิฐแล้ว ยังปรากฏดวงวิญญาณมากมายที่ยังคง ติด อยู่ที่นี่โดยไม่ได้ไปไหน มีหลายดวงวิญญาณปะปนกัน ทั้ง ชาย หญิง ชาวบ้านทหาร แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ราวกับว่าพวกเขายังไม่ได้ตาย พวกเขายังอยู่ที่นี่ ตรงนี้ บางคนอาจจะคิดว่า มันคือสิ่งที่น่าดู หรือตื่นเต้น แต่ถ้าเรามองในมุมกลับแล้ว คุณคิดว่าเขาอยู่ตรงนี้มา นาน เท่าไรกัน แค่เราต้องนั่งอยู่ที่เดิมๆทุกวันๆ เรายังเบื่อเลย แล้วเขาอยู่ตรงนี้มานานเท่าไร กับการวนเวียน ติดอยู่ในบ่วง และ ไม่ได้ไปเกิด หลายดวงวิญญาณในนั้นเป็น ทหาร อยู่ในชุดรบ ซึ่งผมก็มีคำถามตามมาว่า หากพวกเขาคือที่ทหารที่เฝ้าปกป้องบ้านเมือง แลกมันมาด้วย เลือด เนื้อและวิญญาณ มันคือการกระทำอันยิ่งใหญ่ ทำไมผลบุญนั้นไม่ส่งพวกเขาไปสู่ภพภูมิที่ดีๆ คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจของผมเรื่อยมา จนวันนึงผมก็ได้พบกับคำตอบนั้น
คืนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยที่ผมกำลังศึกษาอยู่นั้น ในวันนั้นผมมีเรื่องไม่สบายใจมากๆ แล้วก็รู้สึกเครียดเพราะคิดไม่ตก ทั้งเรื่องรอบๆตัวและอะไรหลายๆอย่าง ตอนนั้นดึกมากแล้วจะไปเรียกเพื่อนคนไหนก็คงไม่เหมาะแล้ว ประมาณตี 3 ได้ ด้วยความไม่สบายใจอย่างมาก ผมจึงคว้ารถมอไซด์ของผมแล้วบิดออกจากหอไปทันที ผมขี่ไปเรื่อยๆ กินลมยามค่ำคืน ปล่อยตัวปล่อยใจเผื่อว่าเรื่องร้ายๆมันจะลอยไปกับลมบ้าง สักพักผมก็รู้สึกอยากไปลานสมเด็จขึ้นมา
เมื่อผมมาถึงที่นี่ คืนนี้แปลกมากครับ ไม่มีใครเลย ลานนั้นโล่งมากๆ เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็พบว่าคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันพระ ทั้งลานมีแสงนวลๆส่องลงมาทำให้มองพื้นที่บนลานได้ชัดเจน อาจเพราะเป็นวันพระด้วยรึเปล่า คนทั่วไปเลยไม่กล้าจะออกไปไหนดึกๆ ผมไหว้สมเด็จแล้วนั่งมองท่านอยู่พักหนึ่งในใจก็บ่นถึงเรื่องราวที่เราหนักอกหนักใจให้ท่านฟัง ไม่รู้ว่าท่านจะรับฟังหรือไม่ ท่านจะรำคาญหรือไม่พอใจรึป่าว แต่ตอนนั้นมันแค่อยาก บ่น ทั้งที่ในใจเราก็รู้ดีว่ามันเป็นปัญหาของ เรา ท่านไม่ช่วยอยู่แล้ว ท่านมักจะปล่อยให้เรียนรู้และแก้ปัญหาด้วย มือ ของตัวเอง
ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆที่รอบๆลานนั้น จนผมมานั่งเล่นแถวๆริมน้ำตรงที่เป็นพื้นหญ้า ผมนอนมองฟ้ามองดาวไปเรื่อยๆ ปกติผมก็แอบกลัวนะครับ ผีอะไรประมาณนั้นแต่วันนั้นคงเครียดมากจริงๆ ความเครียดอะไรไม่มีในหัวผมเลย ผมหลับตากะว่าถ้าหลับก็ชั่งมัน เช้าเดี๋ยวก็ตื่น ในเวลานั้นอยู่ดีๆก็มีเสียงลมอ่อนกระทบกับกิ่งไม้ให้พอได้ยิน เสียงฝีเท้าที่ค่อยๆเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ เสียงฝีเท้านั้นไม่มีน้ำหนัก เป็นเพียงเสียงที่ลอยมาตามลม ทำให้เรารู้ได้ในทันทีว่า เจ้าของเสียงฝีเท้านี้ ไม่มีตัวตน
ผมค่อยๆลืมตาช้าๆหันไปมองทางที่เสียงนั้นดังมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของผมคือนายทหารร่างเล็ก ผอมบาง แต่ไม่ถึงกับไม่มีกล้ามเนื้ออะไรเลย ในชุดเกราะที่เป็นชุดรบ หมวกที่มีปีกกลมๆรอบหัว ดาบในมือนั้นมีลวดลายบ่งบอกว่า เป็นทหารชั้นขุนนางในระดับหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ แล้วเขาก็หยุดลงที่ข้างๆตัวผม มือหยาบกร้านนั้นค่อยๆหยิบหมวกลงจากหัว เผยให้เห็นใบหน้าของคนโบราณ ใบหน้านั้นยิ้มให้ผมเล็กน้อย ตัวเขาค่อนข้างโปร่งใส ชายคนนั้นทรุดตัวนั่งลงข้างๆผมแล้วบทสนทนาที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะได้เกิดขึ้นก็เริ่มต้นขึ้น
‘คืนนี้ยังคงมีดาวบนท้องฟ้าไม่แตกต่างจากคืนนั้น พระจันทร์ยังคงส่องแสงให้แก่เราเสมอ’ ชายคนนั้นเปรยออกมา
‘ท่านเป็นใครหรอครับ ต้องการอะไรรึเปล่า มีอะไรให้ช่วยไหม’ ผมถามกลับไปอย่างนั้น ผมเจออย่างนี้มาบ่อย จึงไม่ตกใจมากนักแต่ในใจนั้นก็ยังคงแอบระแวงและหวาดๆอยู่บ้าง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขามา ดี หรือ ไม่ดี
‘เราไม่ได้มีเรื่องอันใดหรอก เพียงแค่อยากมาสนทนากับท่าน พวกเราเห็นท่านอยู่เสมอทุกครั้งที่ท่านมารับ คำสั่ง จากองค์เหนือหัว และทุกๆครั้ง พวกเรา ก็ไม่กล้าจะเข้าไปยุ่งเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนท่าน คืนนี้เห็นท่านมาตัวคนเดียวโดยไม่มีภาระหน้าที่อันใด จึงอยากที่จะมาคุบด้วยก็เท่านั้น’
‘ครับ แต่ผมพึ่งเคยเห็นท่านเป็นครั้งแรกนะ สงสัยผมยังตาไม่ถึง’ ผมพูดติดตลกไปแบบนั้น
‘ไม่ใช่หรอก พวกข้า นั้นมิได้มีอำนาจเฉกเช่นเดียวกับเหนือหัว เราไม่สามารถปรากฏร่างให้ใครเห็นได้นักหรอก แม้จะไปขอส่วนบุญจากใครยังทำไม่ได้เลย แต่ในวันนี้คือวันพิเศษสำหรับดวงวิญญาณวันที่พวกเราพอจะสื่อสารกับใครได้บ้าง ถ้าไม่ใช่ท่านบางทีก็คงไม่มีใครมาสื่อสารกับเราได้หรอก อย่างมากก็ทำได้แค่ เห็นเงารางๆ แต่ก็ยังพอมีคนที่คล้ายกับท่านอยู่ในที่นี่บ้างนะ ไม่ใช่ท่านคนเดียวหรอก’
‘หรอครับ แล้วคนอื่นต้องมาเครียดมาเศร้าอย่างผมไหม’ ผมถามพลางตัดพ้อสิ่งที่อยู่ในใจ
‘เรื่องนี้เราไม่มีสิทธิ์ตอบท่าน ถามเรื่องอื่นเถอะ’
‘ตายยังไงครับ?’
‘เราเป็นทหาร เรารบ เราตายในสนามรบ ด้วยมือของศัตรู’
‘มันผ่านมานานมากแล้วนะครับ ทำไมยังไม่ไปเกิด’
‘เรามีห่วง เช่นเดียวกับ พวกเราที่เหลือ’
‘ห่วงอะไรครับ ท่านก็ทำบุญยิ่งใหญ่มากไม่ใช่หรอครับ ปกป้องบ้านเมืองกู้บ้านเมืองกลับมา’
‘นั่นแหละ คือ ห่วง ที่เรามี’
‘หมายความว่าไงครับ’
‘เพราะเราคิดถึงบ้านเมืองจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ความรู้สึกที่เราจดจำได้นั้นไม่ใช่ความเจ็บจากคมดาบ แต่เป็นด้ามดาบที่เรากำไว้ไม่เคยปล่อย ความรู้สึกที่เราต้องการนำ แผ่นดินนี้กลับคืนมา ความรู้สึกนั้นผูกเราไว้กับผืนดินแห่งนี้ เราวางไม่ได้ กรรมที่เราฆ่าคน แม้เหตุผลเราจะคืออะไรก็ตามแต่กรรมนั้นก็ผูกมัดเราไว้ตรงนี้ ให้เราได้ชดใช้ในสิ่งนั้น จากวันนั้นจนวันนี้ หน้าที่ของเรายังไม่เคยเปลี่ยนไป เรายังเฝ้า คุ้มครองและปกป้องที่แห่งนี้อยู่ แต่บ่อยครั้งที่มีคนบังเอิญพบเห็นเรา ก็กลัวและคิดไปว่าเราออกมาหลอกหลอน มือนี้เรากำดาบไว้แน่นไม่เคยปล่อย ฟาดฟันศัตรูหลายชีวิต ร่างเรามีรอบคมดาบและบาดแผลมากมาย แต่เราไม่เคยเสียดายในสิ่งนี้ เราภูมิใขที่ได้ตายใต้พระบาทของเหนือหัว เราถวายแล้วซึ่งชีวิตและวิญญาณเพื่อแผ่นดิน ที่เรารัก เรากู้มันคืนมาเพื่อหวังว่าในวันต่อๆไป ในอนาคต พวกท่าน ลูกหลานของเราจะมีผืนแผ่นดินเหยียบ จะมีที่อยู๋ที่กิน ไม่ต้องตกเป็นทาสให้ใครมาดูหมิ่นเหยียดหยาม และสิ่งนี้ทำให้ข้ายังคง เฝ้าดู มาดดยตลอด’
‘ไม่มีคนทำบุญมาให้บ้างหรอ ถ้ามีคนทำให้ก็น่าจะได้ไปเกิดนะ’
‘ใครจะทำมาให้เราล่ะ ในวันที่เราก้าวเข้าสู่กองทัพ เราได้ทิ้ง ชื่อ และตัวตนไว้เบื้องหลัง เราถวายตัวเพื่อเป็นคมหอกคมดาบและโล่ให้กับองค์เหนือหัว ชื่อและตัวตนนั้นสำคัญฉไน แม้แต่ในตอนนี้เรายังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเรามี ชื่อ ว่าอะไร เราเป็นใคร นอกจากความรู้สึกที่มีตัวเหนือหัวและบ้านเมืองแล้ว เราแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของเรา’
‘อะไรหรอครับ’
‘ลูกเมีย เราจำได้ว่าก่อนที่เราจะมารบ เรามีลูกตัวเล็กๆที่ยังไม่รู้ภาษา มีเมียที่ข้ารักยิ่ง แต่ความรักนั้นเทียบไม่ได้กับหน้าที่และบ้านเมือง เราต้องทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง เราตายลงที่ตรงนี้ เราไม่รู้เลยว่าพวกเขามีชีวิตกันอย่างไรต่อไป มีความสุขหรือไม่ ลูกเราโตขึ้นแล้วเป็นอย่างไร เราไม่มีอะไรทิ้งไว้ให้พวกเขา แล้วท่านคิดว่าชั่วลูกชั่วหลานจะรู้จักเราหรือ จะมีใครอุทิศผลบุญนั้นให้เราหรือ’
‘แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ท่านจะได้ไปเกิด’
‘เราไม่รู้ เราไม่เคยคิดถึงสิ่งนั้น ในใจเราเปี่ยมด้วยหน้าที่และเหนือหัว หาก องค์ดำยังทรงประทับอยู่ ท่านยังคงปกป้องบ้างเมืองมาจนทุกวันนี้เราที่เป็นเพียงไพร่ทาสสำหรับท่านจะหนีเอาสบายไปได้อย่างไร ในสนามรบเราก็ตายก่อนท่าน ไม่ได้ถวายงานจวบจนทุกอย่างบรรลุผล สิ่งนี้คงเป็นบ่วงด้วย แต่เราก็ดีใจที่ยยังมีคนอย่างท่านหลงเหลืออยู่ เราเฝ้ามองผู้คนผ่านวันและเวลา วัตถุต่างๆค่อยๆทำให้ผู้คนนั้นเสื่อมโทรมลง เราไม่ได้เป็นทหารหาญที่กู้บ้านเมืองอีกแล้ว เราเป็นเพียง เรื่องเล่าที่แสนงมงายในสายตาผู้คน ไม่มีใครนึกถึงเราอีกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากวันนี้พวกท่านยังมีผืนแผ่นดินให้ได้เหยียบสิ่งนั้นก็คุ้มค่า ฆ่าสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินนี้ให้เป็นเอกราช แต่ข้าไม่เคยมีโอกาสได้เหยียบมัน’
ภาพตรงหน้าผมนั้นทำให้ผมน้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่ได้ ทหารผู้นั้นพยายามใช้มือโปร่งใสของเขาลูบไปตามพื้นดิน พยายามจับ แต่มันก็เป็นเพียงการทะลุผ่านเท่านั้น เขาแลกมันมาด้วยชีวิต แต่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้สัมผัสกับรางวัลนั้น
‘ถึงเวลาแล้ว เราต้องไปแล้ว ขอให้ท่านโชคดี และระลึกถึง พวกเรา บ้าง’
ก่อนที่ร่างนั้นจะจางหายไปทั่วบริเวณในหรอบสายตาสของผมก็มีเงาร่างของทหารอีกมากมายจนนับไม่ถ้วนปรากฏให้ผมเห็นเพียงชั่วครู่ก่อนที่แสงอาทิตย์จะค่อยๆส่องลงมาที่ลานสมเด็จ ฉายลงมาที่พระบรมรูปของ เหนือหัว ที่เหล่าทหารกล้าทั้งหลายถวายชีวิตไว้ใต้ฝ่าพระบาทขององค์สมเด้จท่าน เงานดำนั้นค่อยๆรวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่จนล้นพื้นที่ของลานลงมายันตามพื้นหญ้าใกล้ตัวผม เงาดำทั้งหลายนั้น ถวายบังคม พร้อมๆกันอย่างสวยงาม ภาพนั้นแสดงถึงความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและนายเหนืออย่างที่เราไม่สามารถจินตนาการออกมาได้ ผมย่อตัวลงและทำตามพวกเขา ผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้มากน้อยเพียงใด อาจไม่ได้แม้เศษธุลีความดีของพวกเขา แต่ผมก็จะทำมันต่อไป แม้ว่าวันนี้ พวกเขาจะเป็นเพียง วิญญาณ ที่ไม่สามารถไปเกิดได้ แต่ผมยังคงคิดว่า พวกเขาได้สร้างอะไรไว้ แล้วแผ่นดินที่เราเหยียบอยู่ทุกวันนี้นั้น มันต้องแลกมาด้วยสิ่งใด กี่ชีวิต กี่เลือดเนื้อที่ทับถมจนกลายเป็น ชาติ และสิ่งที่ทำให้ผมศรัทธาและเต็มใจที่จะทำ หน้าที่ ต่อไปนั้นด็คือ
พระบรมรูปขององค์สมเด็จพระนเรศวรที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานอันกว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัย โดยปกติจะหล่อขึ้นจากโลหะสีดำล้นทั้งค์แต่บัดนี้ สิ่งที่ผมได้เห็นคือ สีผิวของมนุษย์ ใบหน้าที่มีชีวิต เสื้อผ้าที่ไม่ใช่เหล็ก รูปปั้นนั้นราวกับเป็น ร่างกายขึ้นมาจริงๆ ท่านทอดพระเนตรไปยังเงาดำทั้งหลายที่อยู่เบื้องล่างด้วยสายตาอันเศร้าสร้อย แล้วผมก็ได้เห็นหยดน้ำใสๆหยดลงมาจากตาท่านก่อนที่จะได้ยินเสียงของท่านตรัสกับเหล่าบริวารของท่าน
‘เราขอขอบคุณในความกล้าหาญของพวกเจ้าทุกคน เหล่าทหารของข้า และข้าขอโทษที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมาน’
เงาร่างเหล่านั้นถวายบังคมพร้อมกันอย่างสวยงาม และค่อยๆจางหายไปในที่สุด และทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ภาพนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งเตือนใจ และกำลังใจของผมว่า หากวันนี้เรายังมีลมหายใจ เรายังมีร่างกาย เราก็ควรจะทำในสิ่งที่เราทำได้ หากเราสามารถช่วยเหลือ เราจะทำ และเราจะเป็น ผู้บอกเล่า เรื่องราวเหล่านี้ออกไป ต่อให้ไม่มีใครเข้าใจเราก็จะทำ ต่อให้เราโดนมองว่าบ้า หรืออะไรก็ตาม มันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับทุกชีวิตที่พวกเขาได้สละลง เพื่อแผ่นดิน สิบคนด่าแม้หนึ่งคนที่เข้าใจ เราขอขอบคุณ....
‘...ชีวิตนี้ข้าทิ้งแล้วเพื่อแผ่นดิน
แม้นสูญสิ้นรือนามจะจางหาย
ข้าขอสู้เพื่อสิ่งนี้จนชีพวายณ์
ขอฝังกายใต้รองบาท...พระองค์ดำ…’
Post a Comment