ถึงเวลา... ทวง


     กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมต้องชดใช้ เป็นธรรมดา แต่ว่าคนเราเวียนตายเวียนเกิดจนจำสัญญาเก่าไม่ได้แล้ว เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่น่ากลัว และน่าสงสารและมีข้อคิดดีๆ จากนักเล่าเจ้าชายแห่งพันทิปคุณลอยชายการกลับมาครั้งนี้ ขอนำเสนอที่คุณลอยชายเรื่อง ถึงเวลา... ทวง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญรับชมกันเลย

      สวัสดีครับวันนี้เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนั้นยังคงเป็นเรื่องราวของ ความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกๆอย่างมันอยู่ที่ตัวของคุณว่าคุณจะ เชื่อ หรือไม่ แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อมันหรือไม่ก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ที่สำคัญ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะไม่ได้มีความต้องการจะหลวกลวงหรือมอมเมาอะไรเพียงแค่อยาก เล่า และ แบ่งปัน เท่านั้น
         เรื่องมันเริ่มจากคืนว่างๆคืนหนึ่งของผม คืนนั้นผมนั่งเล่นคอมพิวเตอร์หาอะไรทำไปเรื่อยๆตามปกติ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเวลาได้ประมาณตี 1 หรือ ตี 2 ไม่แน่ใจ ผมไม่ได้สนใจเวลาจนได้ยินเสียงหมาในหมู่บ้านหอนรับกันเป็นทอดๆ ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในตัวบอกเวลาของคนในหมู่บ้านอย่างดี
         ทุกๆวันหมาพวกนี้จะหอนรับพร้อมๆกันในช่วงเวลาเดิมๆ พอได้ยินอย่างนั้นผมจึงลุกไปอาบน้ำซึ่งห้องน้ำของบ้านผมนั้นจะอยู๋ที่ชั้นล่าง ผมเดินลงมาแล้วก็พบว่าแมวของผมมันไม่ได้นอนอยู่กับแม่มันนั่งอยู่บนชั้นวางหนังสือของบ้านโดยจ้องออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านอย่างสงสัย
         ผมเดินเข้าไปสะกิดมันแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากมันแม้แต่น้อย ปกติแล้วแมวตัวนี้จะติดแม่มากเพราะแม่รับเอามันมาเลี้ยงจากที่เคยเป็นแมวข้างถนนมันมีนิสัยขี้ระแวงจึงไม่ค่อยยอมให้ผมจับเท่าไหร่ มีแค่แม่เท่านั้นที่จะจับมันได้ แต่ในวันนั้นมันปล่อยให้ผมทั้งสะกิด ทั้งเขี่ย จนในที่สุดผมก็อุ้มมันขึ้นมา
         ผมตั้งใจว่าจะอุ้มมันไปนอนกับแม่เหมือนในทุกๆวัน ผมยกมันลงจากชั้นหนังสือมาไว้ในอ้อมกอด มันไม่ได้สนใจผมเลยมันยังคงมองผ่านกระจกบานเล็กๆข้างหน้าต่างไปยังประตูบ้าน ผมเริ่มจะแปลกใจในพฤติกรรมของมัน
         ผมเดินกลับไปยังหน้าต่างบานนั้นแล้วลองมองผ่านช่องกระจกเล็กๆที่มันเคยมอง เผื่อว่าจะเจอโจรหรือใครที่มาวุ่นวายแถวๆนี้ แต่ท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนนั้นไม่ปรากฏเงาร่างของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆให้เห็นแม้แต่น้อย
         ผมอุ้มมันขึ้นไปบนบ้านเพื่อไปส่งมันที่ห้องนอนของแม่ ปกติแล้วแม่ผมจะไม่ปิดประตูห้องนอนเผื่อว่าแมวมันอยากจะไปเข้าห้องน้ำหรือว่าไปกินอาหารรอบดึกของมัน ผมส่งมันเข้าห้องนอนของแม่เสร็จก็ลงไปอาบน้ำตามความคิดในครั้งแรก
         เวลาผ่านไปอีกสักพักผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงคงเป็นเพราะผมตื่นสายมากในช่วงนั้น ผมยังนั่งฟังเพลงหาอะไรทำไปเรื่อยๆ จนผมได้ยินเสียงแปลกๆ
         ผมพยายามเงี่ยหูฟังให้ชัดเจนก็แน่ใจว่าเสียงนั้นมันดังมาจากประตูห้องนอนของผม ผมเดินไปเปิดประตูห้องนอนออกดูก็พบเจ้าของเสียงนั้น แมวของผมมันมานั่งข่วนประตูผมอย่างตั้งใจ มันจ้องหน้ามาที่ผมเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ได้คิดไปเอง
         สายตาที่มันจ้องมาที่ผมนั้นนิ่งกว่าปกติ มันไม่เคยมานั่งให้ผมได้เห็นใกล้ๆขนาดนี้และนานเท่านี้มาก่อน ผมมองมันอย่างสงสัย ผมเดินไปหามันแล้วก็เหมือนอย่างทุกทีมันเดินหนีผมแล้วเดินลงไปข้างล่าง ผมเดินตามมันลงไปข้างล่างก็เห็นมันกระโดดขึ้นไปนอนบนชั้นวางหนังสือที่เดิม สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่พื้นที่อันว่างเปล่านอกรั้วบ้าน
          ผมปล่อยให้มันนอนอยู่อย่างนั้นล้มเลิกความพยายามพามันขึ้นมาข้างบน
         ผมกลับขึ้นมาบนห้องปิดทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวที่จะเข้านอนแม้ว่าจะยังไม่ง่วงมากแต่มันก็ดึกมากแล้ว ผมหลับไปในเวลาอีกไม่นาน ผมรู้สึกตัวขึ้นมาระหว่างที่หลับอยู่เพราะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำที่ทางเดินหน้าห้องโดยไมได้เปิดไฟในห้องนอนเพราะที่บ้านจะเปิดไฟทางเดินไว้ตลอด
         ในตอนที่ผมเดินกลับมาที่ห้องกลิ่นแปลกๆก็โชยมาเตะจมูก กลิ่นนั้นค่อนข้างชัดเจนทำให้ผมหายจากความงัวเงีย ผมรีบเดินเข้าไปในห้อง มันเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น เงาร่างคล้ายรูปร่างของมนุษย์ยืนอยู่ตรงมุมห้องระหว่างหน้าต่างห้องนอนของผม แต่ยังไม่ทันจะได้รู้สึกตกใจมันก็หายไปเสียแล้ว
          เช้าวันต่อมาผมตื่นมาในเวลาสายๆด้วยความคาใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยากที่จะหาคำตอบอะไรได้
         หลายวันต่อมาผมเริ่มที่จะลืมเรื่องในคืนนั้นไปบางส่วนผมก็ได้รับการติดต่อจากคนรู้จักคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ติดต่อกันเป็นประจำแต่ก็ถือว่าสนิทกันพอที่จะพึ่งพากันได้ เนื้อความในการสนทนาวันนั้นเกือบทั้งหมดเป็นปัญหาของ เพื่อน คนหนึ่ง ที่เจอเรื่องราวแปลกๆ
         จากคำบอกเล่านั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วพักใหญ่ๆแต่มันไม่ได้รบกวนอะไรเจ้าตัวมากนัก เดิมตัวเองก็ไม่ใช่คนเชื่ออะไรมากมายในเรื่องผีสาง แต่มาช่วงหลังเรื่องราวที่มันค่อยๆมากขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตส่วนตัวของเขา
         ผมตกปากรับคำคนรู้จักว่าจะลองคุยกับเจ้าตัวเขาดู มันอาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับตัวผมไปแล้วก็ได้ที่มักได้เจอกับคนมากหน้าหลายตาทั้งรู้จักและไม่รู้จักด้วยเรื่องราวเหล่านี้
         ในช่วงค่ำๆผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าตัวคนที่พูดถึงผมขอเรียกพี่เขาว่า ‘พี่ทอป’ นะครับ เราทักทายทำความรู้จักกันเพียงเล็กน้อยแล้วก็วนมาเข้าเรื่องที่พี่เขาต้องการจะถาม ต่อไปจะเป็นคำบอกเล่าเท่าที่ผมจำได้จากตัวพี่ทอปนะครับ
         ถ้าจะนับจริงๆเรื่องมันน่าจะเริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ช่วงที่พี่ทอปเพิ่งจะตั้งตัวได้จากอาชีพที่ทำมาโดยตลอด รายได้ที่มีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำให้ตัวเขาสามารถทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารผ่านโดยไม่ยากนักแล้วตัดสินใจที่จะ ปลูกบ้าน ให้ตัวเองกับพ่อแม่สักหลังหนึ่ง
         ในตอนนั้นเขายังไม่มีแฟนทั้งหมดในชีวิตจึงทุ่มลงไปที่เรื่อง พ่อกับแม่ บ้านหลังใหญ่ที่ตัวเองอยากได้ สวนที่พ่ออยากทำ ทั้งสองอย่างดูเป็นประเด็นสำคัญกับเขาไปเสียหมด เขาจึงตัดสินใจซื้อที่ดินในจังหวัดบ้านเกิดแถบชานเมืองซึ่งไม่แพงเท่าตัวเมืองแล้วน่าจะเหมาะสำหรับการทำสวนมากกว่า ส่วนตัวเองนั้นอย่างไรก็ต้องทำงานอยู่ที่กรุงเทพอยู่แล้วจึงเลือกที่จะอยู่หอพักหรือคอนโดไปพลางๆ
         ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี สวนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างก่อนที่ตัวบ้านจะเสร็จเสียอีก ในวันที่เขาไปเลือกดูที่ดินนั้นเขาพาพ่อกับแม่ไปด้วยเพราะตัวเองเลือกที่ดินไม่เป็น แล้วก็อยากให้คนที่จะอยู่อาศัยจริงๆเลือกด้วยตัวเอง หลังจากตระเวนขับรถไปหลายที่ตัวเขาเองก็มาสะดุดใจกับที่ดินผืนหนึ่ง
         ที่ตรงนั้นเป็นที่ดินรกร้างมีหญ้าขึ้นสูงไปหมด มีเพียงทางดินเล็กๆที่เจ้าของที่ถางเอาไว้เดิน เขารีบติดต่อไปยังเจ้าของเพื่อขอดูที่ ในที่ดินนั้นมีแต่หญ้าเต็มไปหมดจึงไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสภาพมันเป็นอย่างไร แต่จากการเดินไปตามที่ต่างๆมันก็ได้ระดับดี ไม่น่าจะต้องทำอะไรมากนัก ด้านหลังก็เป็นป่ากว้างๆ ทางพ่อและแม่ก็ดูจะถูกใจเช่นเดียวกัน
         เขาตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ในทันทีและรีบดำเนินการกู้งานตามกระบวนการต่างๆ ด้วยความชอบส่วนตัวจึงเลือกที่จะสร้างบ้านในบางส่วนด้วย ไม้ บวกกับมีคนรู้จักทำธุรกิจแนวๆนี้อยู่แล้วจึงสามารถหาซื้อไม้เก่าไม้มือสองมาสร้างบ้านได้ในราคาที่ไม่แพงมาก
         เวลาผ่านไปประมาณปีเศษๆบ้านที่สร้างนั้นก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ เขาลางานได้ช่วงสั้นๆก็รีบมาจัดแจงข้าวของให้ครอบครัว ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีมีแต่ความสุข แล้วเรื่องแปลกๆมันก็เริ่มขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่เขาเข้าไปอยู่
         กลางดึกคืนนั้นเขายังไม่นอนเพราะกำลังเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ บ้านใหม่ทำให้เขามีความสุขและรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเขาพยายามทำงานทำผลงานให้มากเพื่อที่จะได้ทำเรื่องย้ายได้และกลับมาอยู่ใกล้ๆบ้านแม้ว่าจะไม่ได้ที่จังหวัดบ้านเกิดเลย แต่ก็ยังดีที่ได้จังหวัดใกล้เคียง
         คืนนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากไกลๆ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเขารู้ว่าเสียงนั้นมันดังมาจากที่ไกลๆแต่ทำไมเขาถึงได้ยินมันอย่างชัดเจน เขาพยายามเงี่ยหูฟังก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นเสียงของอะไรแต่มันน่าจะเป็นเสียงของแข็งกระทบกัน
         หลายคืนที่เขาได้ยินเสียงนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นมากนักจนในที่สุดเสียงที่ได้ยินมันก็หายไปแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงเหมือนคนเคาะบ้าน มันเป็นเสียงเหมือนคนเอามือหรือของแข็งๆมากระทบกับแผ่นไม้ที่ใช้สร้างบ้าน เสียงที่ได้ยินนั้นทิ้งช่วงห่างมากในแต่ละครั้ง ไม่ได้ดังอยู่ตลอด
         เสียงนั้นแปลกมันจะดังทีหนึ่งก่อนแล้วเงียบไป เวลาผ่านไปได้สักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง เสียงนั้นจะกลับมาอีกครั้งด้วยความดังเท่าเดิม แบบเดิม แต่ไม่ใช่ที่เดิม เสียงมันดังมาจากชั้นล่างบ้าง ข้างบ้านบ้าง หลังคาบ้าง บางครั้งก็ที่หน้าต่าง
         แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่คนกลัวหรือใส่ใจมากนักแต่มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาตัดสินใจปรึกษาพ่อกับแม่ถึงเร่องที่เกิดขึ้น คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้เขารู้สึกไม่ได้มากกว่าเดิม เพราะพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้สึกถึงเสียงดังกล่าวอย่างที่เขาบอกเลย
         ด้วยความไม่สบายใจเขาจึงพยายามหาที่พึ่งในด้านต่างๆโดยเริ่มจากหาซื้อพุทธรูปดีๆสักองค์หนึ่งซึ่งบูชามาจากวัดที่ตัวเองเคยไปบ่อยๆ จากหิ้งพระที่ถูกจัดอย่างมักง่ายโดยใช้พื้นที่หลังตู้ใบหนึ่งเท่านั้นกลายเป็นโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่จัดวางไว้ตรงห้องโถงของบ้าน
         คืนแรกที่โต๊ะหมู่บูชาถูกขัดเสร็จคนที่ดีใจที่สุดคือ แม่ เพราะเดิมที่แม่เป็นคนชอบสวดมนต์แต่ก็คงจะเกรงใจลูกถ้าจะขอให้ซื้อโต๊ะหมู่เพราะบ้านก็สร้างด้วยตัวคนเดียว แม่จุดธูปถวายพวงมาลัยสวดมนต์ตั้งแต่หัวค่ำก่อนเข้านอน เขาคิดว่าคืนนั้นคงจะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้น
         แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะเสียงนั้นยังคงดังอยู่ มันไม่ได้น้อยลงเลยและไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลงแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่เขารู้สึกว่ามันถี่ขึ้น
         สุดสัปดาห์นั้นเขาตัดสินใจ ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ตามคำแนะนำของพ่อกับแม่ จริงๆตั้งใจจะทำอยู่แล้วตามระเพณีและความสบายใจของพ่อกับแม่แต่ว่าเขาก็ยังขี้เกียดอยู่เนืองๆบวกกับงานที่ค่อนข้างจะดึงเวลาไปพอสมควร จริงๆแล้วในวันนั้นก็ไม่ได้ว่างนักแต่มันไม่สบายใจก็ตัดสินใจที่จะทำในทันทีแม้ว่าในตอนบ่ายเขายังต้องเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศอีก
         งานบุญในวันนั้นผ่านไปได้ด้วยดีพ่อและแม่ก็สบายใจตามความเชื่อของคนรุ่นเก่า เขาเองก็มีกำลังใจมากขึ้นเช่นกัน แล้วในคืนนั้นมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิด เขาไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก เสียงนั้นหายไปไม่มีแม้สักนิดเดียว
         ช่วงเวลาแห่งความสบายใจอยู่กับเขาได้ประมาณเดือนกว่าๆหรือสองเดือนแล้วเสียงนั้นก็กลับมาดังอีกครั้ง คราวนี้มันดูจะถี่กว่าครั้งก่อนๆ แต่มันต่างจากเมื่อก่อนตรงที่มันไม่ได้ดังทุกวัน มันจะมาเพียงแค่อาทิตย์ละไม่กี่วัน และหนึ่งในนั้นมันจะดังในคืนวันโกนเสมอๆ
         เขาทนอยู่ในสภาพนั้นได้อยู่เป็นเดือนเพราะมันไม่เท่าเมื่อก่อน และภาระงานที่มีก็มากพอที่จะดึงความสนใจของเขาไปเช่นกัน แต่ลึกๆนั้นก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
         จนในวันหยุดวันหนึ่งเขานอนเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกด้านล่างเปิดทีวีดูรายงานข่าวตามปกตินิสัยของเขา พ่อกับแม่เข้าไปชื่นชมสวนเล็กๆของตัวเองในยามบ่าย เขาเผลอหลับไปเพราะอากาศเย็นสบายในบ่ายวันนั้น ในภวังค์นั้นเขาได้ยินเสียงเหมือนคนพยายามจะเลื่อนบานประตูห้องรับแขกที่ติดกับด้านนอก
         เสียงนั้นดังอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเข้ามา เขาคิดว่าคงเป็นพ่อกับแม่ที่กลับมาจากสวนแต่ด้วยความงัวเงียที่มีจึงขี้เกียดที่จะลุกไปยืนยันความคิดนั้นด้วยสายตา
‘เปิดเลย บ้านไม่ได้ล็อก’
         เขาพูดออกไปทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ เขาตื่นมาในช่วงบ่ายแก่จากเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอนั้นแสดงชื่อแม่ให้เห็น เขารับสายในทันทีตามปกติ
‘ทอปลูก ฝากดูแมวให้แม่หน่อยมันตื่นรึยัง ถ้ามันตื่นแล้วให้ข้าวมันด้วย’
‘อ้าว แม่ไปสวนอีกแล้วหรอ กลับมารอบนึงแล้วนี่’
‘บ้า แม่ยังไม่ได้กลับเลย นั่งเล่นอยู่ในสวนกับพ่อแต่เช้าแล้วเนี่ย’

คำตอบจากแม่ทำให้เขารู้สึกขนลุกวาบไปครู่หนึ่ง ถ้านั่นไม่ใช่พ่อกับแม่แล้วสิ่งที่เขขารับรู้นั่นคืออะไร ฝัน หรืออะไร เขาพยายามปลอบตัวเองว่ามันอาจจะเป็น ความฝัน แต่แล้วสิ่งที่มาตอกย้ำความเข้าใจผิดของเขาก็ปรากฏตัวตอกหน้าเขาอย่างจัง
         ประตูบานเลื่อนของห้องรับแขกเคยปิดสนิทนั้น เปิดอยู่ แม้ว่ามันจะเปิดแค่แง้มๆแต่มันก็เกิดเป็นช่องว่างที่กว้างพอจะบอกกับผู้พบเห็นได้ว่า ไม่ใช่ฝีมือแมว ทั้งน้ำหนักของประตูและขนาดช่องว่างไม่มีทางเลยที่แมวตัวเล็กๆของเขาจะเปิดมันได้ด้วยตัวเอง
         เขาเลือกที่จะยังไม่เล่าเรื่องราวในวันนั้นให้พ่อกับแม่ฟัง กลัวว่าจะทำให้ทั้งสองคนหนักใจเสียเปล่าๆ แล้วมันก็เกิดแต่กับตัวเขาอีกสองคนไม่เคยรับรู้อะไรเลยในเรื่องนี้ เขายังคงพยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
         ทิ้งช่วงได้สักสัปดาห์หนึ่งที่ไม่มีเสียงหรือเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นอีกหลังจากเรื่องราวในห้องรับแขกวันนั้น ความกังวลใจที่มีนั้นไม่ได้น้อยลงไปด้วยเลย เขายังคงระแวงอยู่ในทุกๆคืนจนเขาต้องเปิดไฟนอน
         แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ในคืนหนึ่งที่เขายังไม่ทันจะหลับไป เสียงแปลกๆนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาแน่ใจมากๆว่ามัน ใกล้ เสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากนอกบ้านอีก แต่มันเหมือนกับดังมาจากในบ้าน บอกตามตรงในตอนนั้นว่าเขา กลัว
         วันรุ่งขึ้นเขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง แล้วไปเชิญ ร่างทรง ที่พอจะรู้จักอยู่บ้างมาที่บ้านโดยด่วน เหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีอะไรน่ากลัวหรือผิดปกติเลย ร่างทรงคนนั้นเดินไปทั่วๆบ้านก็ไม่พบความผิดปกติ หรือภูตผีวิญญาณตนใดที่มาแอบอาศัยในชายคานี้
         แต่สิ่งที่พี่ทอปเจอนั้นมันทำให้เขากังวลมากจริงๆ ร่างทรงที่หาต้นตอไม่เจอจึงเลือกที่จะทำน้ำมนต์และติดยันต์เอาไว้ภายในบ้านเพื่อสร้างความสบายใจให้กับเจ้าของบ้านอย่างพี่ทอป
         เรื่องราวนั้นไม่ได้ทิ้งช่วงให้พี่ทอปสบายใจเลย ในคืนนั้นเองเสียงดังกล่าวก็ดังขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มันดังมาจากที่ไกลๆเหมือนอย่างในครั้งแรกๆ แล้วมันก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยที่มันยังคงทิ้งช่วงห่างของเวลาอยู่เหมือนเดิม เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนสุดท้ายมันก็ดังมาจาก ภายในบ้าน
         พี่ทอปเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆในตอนนั้น พี่ทอปตัดสินใจเปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ให้ดังมากพอจะกลบเสียงจากภายนอกได้ แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่ปิดไฟในทันที เขาพยายามข่มตัวเองให้หลับลง ในเวลาแบบนี้การหลับหนีก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง
         ก่อนที่พี่ทอปจะหลับไปนั้น เขาบอกกับตัวเองว่าเขาจะต้องหาทางออกให้เรื่องราวนี้ให้ได้ เขาคงจะเสียสติไปแน่ๆหากต้องเจอเรื่องแบบนี้ไปอีกหลายปี และแน่นอนว่าเขาก็จะไม่ยอมเสียบ้านหลังนี้ไปแน่ๆ
         เขาหลับไปในตอนไหนไม่รู้เหมือกันแล้วเขาก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมากลางดึก หรือโดนผีอำแต่อย่างใด ความกังวลในใจของเขาโล่งหายไปหลังจากที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอย่างเต็มอิ่ม แต่ในตอนที่เขาก้าวขาลงจากเตียงเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าขึ้นมา เขาจึงยกขาขึ้นมาดูด้วยสัญชาติญาณของความเจ็บ ตรงข้อเท้าเขาปรากฏรอยข่วนเล็กๆ สามรอยคล้ายรอยเล็บ มันเจ็บ และมีเลือดซึมซิบๆให้เห็น
          พี่ทอปตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาพยายามเอามือแตะๆดูที่ตรงแผล ความเจ็บนั้นเป็นตัวยืนยันได้อย่างดีว่านี่ไม่ใช่ฝัน แล้วมันก็เกิดได้ไม่นาน ทั้งรอยเลือดและความแสบทำให้เขาตื่นจากความง่วงอย่างรวดเร็ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้คนทั้งบ้านเริ่มจะไม่สบายใจ
         ทางออกที่คนทั้งบ้านเลือกในตอนนั้นก็คือ ไปหาหมอดู เพื่อหาคำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นจริงหรือเปล่า
         ที่บ้านของหมอดูนั้นเป็นบ้านธรรมดาในหมู่บ้านหนึ่งไม่ได้เปิดเป็นตำหนักอะไร การดูดวงของเขาใช้วันเดือนปีเกิดประกอบกับการเสี่ยงทายผ่านดอกน้ำมนต์ซึ่งนั่นหมายความว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องเลยนอกจาก หมอดู เพียงคนเดียว
         การทำนายนั้นเริ่มจากการทักเรื่องราวต่างๆในชีวิตของเขาก่อน ซึ่งมันก็ค่อนข้างจะตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในชีวิตเขา และที่มากไปกว่านั้นก็คือหมอดูสามารถบอกลักษณะบ้านและช่วงเวลาของการปลูกบ้านได้อย่างถูกต้อง มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
         จากการทักในช่วงแรกทำให้คนฟังเกิดความเชื่อได้ค่อนข้างมากและเปิดใจที่จะรับฟังและถามคำถามกับทางหมอดู หมอดู
         สิ่งที่ทุกคนคิดคือ บ้านที่สร้างนั้นไม่ดีหรือเปล่า อาจจะมาจากที่ดินที่ไปสร้างทับอะไรไม่ดี หรือไม้ที่เอามาทำเป็นไม้เก่า ซึ่งมันไม่ดี หรืออาจจะมีประวัติอะไร
         แต่คำตอบที่ได้จากหมอดูคือ ไม่ใช่ หมอดูยืนกรานอย่างแข็งขันว่าไม่ใช่เรื่องของบ้าน หรือที่ดินเลย เพราะจากสิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นภายในบ้านไม่มีอะไรผิดปกติหรือว่าไม่ดี ไม่มีกลิ่นของวิญญาณใดๆ แต่ว่าตรงนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก
         หมอดูกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างสงสัย กลิ่นเน่าที่เจ้าตัวรู้สึกได้นั้นมันไม่ปกติ แล้วมันก็ชัดเจนจนเกินไป แต่แม้ว่าจะพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่า เขาจะไม่สามารถหาที่มาของกลิ่นนั้นเจอ แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจว่าเป็นต้นเหตุของทุกๆอย่างก็คือ
‘คุณนั่นแหละ’
         หมอดูพูดนิ่งๆพร้อมกับจ้องมาที่พี่ทอป ทั้งพ่อและแม่ต่างไม่เข้าใจในคำพูดนั้นรวมถึงตัวพี่ทอปเองด้วย
‘ทุกๆอย่างมันเริ่มมาจากตัวคุณ เขาตามคุณ จะเอาคุณ คนอื่นในบ้านถึงไม่รู้เรื่องอะไร ทำบุญบ้านให้ตายก็ไม่หายหรอก’
         การสนทนาดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ๆใจความในวันนั้นคือพี่ทอปตกอยู่ในช่วง ดวงตก ของชีวิต ดวงวิญญาณที่รู้สึกได้นั้นอาจจะตามมาจากสถานที่ต่างๆ หรือเป็นเพราะตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวอะไรโดยไม่รู้ตัว ทางออกที่หมอดูแนะนำในวันนั้นคือการ ทำบุญ ไถ่โคกระบือแล้วกรวดน้ำมากๆเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา
         พี่ทอปเลือกที่จะทำตามคำแนะนำนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มาจากใจจริงของตัวเขาเอง แต่แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะลดลงแม้แต่น้อยซ้ำยังมากขึ้นในทุกๆวัน
         เสียงที่ได้ยินนั้นยังคงดังอยู่ และมันจะเริ่มจากที่ไกลๆดังไล่เข้ามาตามระยะ จนสุดท้ายก็มาดังอยู่ภายในบ้าน บางคืนเสียงนั้นจะดังอยู่จนถึงเช้า บางคืนก็จะมีข้าวของตก บางคืนเมื่อตื่นมาจะปรากฏรอยแดงอยู่บนผิวของพี่ทอป
         นานวันผ่านไปเรื่องราวค่อยๆแย่ลงจากเสียงก็กลายเป็นมากกว่าเสียง กลื่นที่ไม่สู้ดี กลิ่นสาปเน่าของซากสัตว์มักลอยมาเตะจมูกของพี่ทอปอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดพี่ทอปก็เริ่มที่จะเสียสุขภาพจิต เขาเริ่มรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไหว
         คืนหนึ่งท่ามกลางเสียงประหลาดที่ได้ยินในทุกๆคืนพี่ทอปไม่ปล่อยให้ตัวเองหลับไป แต่พยายามถ่างตาพร้อมดื่มกาแฟมาตั้งแต่ช่วงค่ำๆเพื่ออยู่รอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้น เสียงเพลงจากคอมพิวเตอร์พอจะเป็นเพื่อนและลดทอนความกลัวของตัวเองลงได้บ้าง
         เวลาล่วงไปครึ่งคืนเสียงนั้นค่อยๆดังขึ้น พี่ทอปพยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้นให้ชัดเจนกว่าทุกที และราวกับเจ้าของเสียงนั้นจะรู้ดีว่า เขาฟังอยู่ เสียงนั้นดังถี่ขึ้นและเข้ามาใกล้ขึ้น เสียงนั้นดังจนมาหยดที่ข้างบ้าน เสียงของแข็งกระทบกันเงียบไป แทนที่ด้วยเสียงครางในลำคอเหมือนคนร้องไห้
         เสียงครวญครางนั้นฟังดูเจ็บปวดมากกว่าความเศร้า เสียงนั้นชัดเจนจนน่าขนลุกพี่ทอปเริ่มจะทำอะไรไม่ถูกเส้นขนที่ลุกชันไปทั่วทั้งตัวเริ่มทำให้มือเท้าชาสติที่มีเริ่มจะตะครุบไว้ไม่อยู่ เขาพยายามจะล้มตัวลงนอนเพราะทนไม่ได้อีกแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ฤทธิ์คาเฟอีนที่ถูกดื่มเข้าไปกลับกลายเป็นมารถ่างตาไม่ให้เขาหลับลงในคืนนี้
         เขาได้แต่นอนเอาผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้โดยโผล่มาเพียงตาสองข้างเท่านั้นด้วยความระแวง ไฟเพดานทุกดวงถูกปิดให้สว่าง เสียงครวญนั้นยังไม่เงียบลง แต่เหมือนจะดังขึ้น กลิ่นสาปเริ่มโชยมาตามอากาศอย่างไร้ที่มา พร้อมๆกับที่เสียงครวญนั้นอ่อนแรงลง มันไม่ได้เบาลงแต่อ่อนแรงลงเหมือนคนกำลังจะขาดใจ เสียงนั้นเริ่มแหบพร่าและไร้น้ำหนัก
         เขาจำใจฟังเสียงนั้นจนถึงที่สุดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เสียงนั้นขาดตอนไปพร้อมๆกับความเงียบที่เข้ามาแทนที่ ยังไม่ทันไรเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มันเป็นเสียงที่เขาคุ้นหู และคุ้นเคยอย่างไม่มีเหตุผล เสียงของโซ่เหล็กที่กระทบกันดังมาจากชั้นล่างของบ้าน
         เสียงนั้นดังอยู่ในอากาศเหมือนลมพัด ก่อนที่จะมีเสียงอีกสายหนึ่งดังซ้อนขึ้นมา เสียงสายโซ่ที่ถูกลากไปตามพื้นไม้กระดานเสียงครืดคราดนั้นน่าขนลุก ทำให้ความกลัวที่พี่ทอปมีมันเกินจะควบคุม น้ำตาเริ่มไหลออกมาหยดลงบนผ้าห่มให้เห็น เขาพยายามหลับตาหนีเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เสียงนั้นก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะจบลง
‘คุณคะ’
         เสียงเรียกแหบพร่าของหญิงสาวดังขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ด้วยความตกใจก่อนที่จะได้ตั้งสติคิดทบทวนอะไรเขาจึงเผลอลืมตาขึ้นมาในทันทีพร้อมกับที่สายตาของเขาปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ตามเนื้อตัวนั้นเน่าเละไม่เหลือสภาพของความเป็นมนุษย์
         สายตาและเสียงที่ส่งมานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหนึ่งอึ้ง หญิงสาวในชุดผ้าเก่าๆเพียงแค่พันไว้ตามตัวเท่านั้นไม่ได้มีเสื้อผ้าดีๆใส่ และมันไม่ใช่สีขาวเหมือนอย่างในหนังที่เขาเคยดู สีกลักที่เปื้อนดินปละคราบเลือดทำให้ผ้ามันดูเก่าเกินกว่าจะนำมาใส่เป็นเสื้อผ้าได้ ทั้งกลิ่น เสียงและภาพนั้นช่างน่าสยดสยองสำหรับเขา
         หญิงสาวตรงหน้านั่งอยู่กับพื้นในท่าพับเพียบตัวโน้มเอียงมาด้านหน้าเหมือนเจ็บปวด ตัวของเธอเหมือนพยายามบังอะไรบางอย่างไว้ที่ตรงท้องนั้น เธอค่อยๆเอื้อมมือมาหาพี่ทอปอย่างช้าๆ กลิ่นที่ลอยมากระทบจมูกนั้นเริ่มแรงขึ้นพร้อมๆกับเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดที่ดังอยู่ใกล้ๆ
         พี่ทอปได้แต่หลับตาปี๋ร้องโวยวายด้วยความกลัว พี่ทอปคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ แต่แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเสียงเรียกของแม่ พี่ทอปพบว่าตัวเองเพิ่งตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเองพร้อมพ่อกับแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ แม่บอกว่าได้ยินเสียงพี่ร้องเหมือนทรมานเลยรีบวิ่งเข้ามาปลุก
         เขาจำเป็นต้องตั้งสติและทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ว่ามันคือ ฝัน หรือเรื่องจริง เขาตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเองจากการปลุกของแม่ แต่สิ่งที่เขาเห็นและรู้สึกนั้นมันชัดเจนเกินไป เสียงในหูนั้นยังก้องอยู่ กลิ่นนั้นยังติดอยู่ปลายจมูกที่สำคัญเขาไม่มีความทรงจำเลยว่าเขา หลับไปเมื่อไหร่
         บ่ายวันนั้นเขาเลือกที่จะออกไปหาเพื่อนเพื่อความสบายใจและปรึกษาหาทางออกซึ่งเพื่อนคนนั้นก็คือ คนรู้จักของผม ที่ติดต่อมานั่นเอง เขาจอดรถไว้ที่ชั้นใต้ดินข้างห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่งตอนเดินเข้าประตูห้างนั้นพนักงานต้อนรับเปิดประตูให้เขาอย่างนอบน้อมตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ เขากล่าวสวัสดี สองครั้ง
         พี่ทอปหันไปข้างหลังในทันทีก็ไม่พบว่ามีใครเดินตามเขามามีเพียงที่ว่างโล่งๆเท่านั้น พนักงานที่เปิดประตูให้ยังคงยืนยิ้มให้กับเขา อย่างใจดี
‘ช้อปปิ้งให้สนุกนะครับทั้งสองท่านเลย วันนี้ห้างเรามีเทศกาลลดราคาพอดีเลยครับ’
หลังจากเล่าเรื่องราวต่างๆให้เพื่อนฟังในวันนั้นพี่ทอปก็ตัดสินใจติดต่อมาทางผม เผื่อว่าจะมีคำแนะนำหรือทางออกให้เขาบ้าง ด้วยความที่คนนั้นเป็นเพื่อนสนิทด้วยอีกส่วนหนึ่งเขาถึงเลือกที่จะฟังเรื่องราวของผมอยู่บ้าง
         วันนั้นเราคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ซึ่งกินเวลาค่อนข้างนานกว่าจะคุยกันได้มากเท่านี้ แล้วทางพี่ทอปก็ขอวางสายไปก่อนเพราะมีสายซ้อนเข้ามา หลังจากวางสายไปแล้วโทรศัพท์ของผมก็แจ้งเตือนว่ามีคนแอดไลน์เข้ามาผ่านเบอร์โทรศัพท์
         ในคืนนั้นตอนที่ผมหลับไปแล้วได้สักพักใหญ่ๆผมก็ตื่นขึ้นมาเหมือนโดนปลุก ผมค่อยๆลืมตามาภายในห้องที่มืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากริมถนนเท่านั้นที่ส่องผ่านประตูระเบียงห้องเข้ามา ผมกวาดตามองไปรอบๆก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร ผมพลิกตัวนอนตะแคงไปทางระเบียงห้องซึ่งเป็นที่ประจำของผม
         ในตอนนั้นผมเริ่มได้กลิ่นเหม็นโชยมาเตะจมูก กลิ่นนั้นไม่ได้รุนแรงจนต้องหันหน้าหนีแต่มันก็ชัดพอที่จะทำให้เรารู้สึก ผมยังไม่ขยับจากตรงที่เรานอนอยู่ กลิ่นนั้นค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้น กลิ่นนั้นเหมือนกับกลิ่นที่ผมเจอในครั้งนั้นกลิ่นเน่าปนกลิ่นสาบชวนคลื่นไส้
         กลิ่นนั้นเริ่มอวลอยู่ในอากาศในกลิ่นนั้นนอกจากกลิ่นเน่าแล้วมันยังมีกลิ่นอื่นผสมเข้ามาอีกด้วย กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของเสียที่ผ่านการสะสมมานานเหมือนกับไม่เคยได้ชำระล้าง กลิ่นคล้ายปัสสาวะ และอุจจาระผสมกันอยู่ในอากาศ ผมเริ่มรู้สึกเหม็นจนเกินจะทนแล้วก็อยากอ้วกอย่างมาก
         กลิ่นนั้นยังไม่จางไปในอากาศ ผมพยายามตั้งสติแล้วเสียงเล็กๆสองเสียงก็ดังขึ้นอย่างเจื้อยแจ้วใกล้ๆหูของผม ‘ไปนะ’ เสียงเล็กๆนั้นคอยไล่ให้เจ้าของกลิ่นนั้นถอยไป แม้ว่าจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่เธอก็ค่อยๆถอยห่างไปจนในที่สุดกลิ่นนั้นก็หายไปจากห้องนอนของผม
         ผมค่อยๆสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ให้เต็มปอด จากนั้นค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังหน้าต่างห้องนอนเพราะผมยังรู้สึกว่า เธอยังไม่ได้หายไปไหน ตอนนั้นผมค่อนข้างแน่ใจว่าจะต้องเป็นเธอคนนั้นแน่ๆ คนเดียวกับเรื่องเล่าของพี่ทอป
         ผมมองผ่านช่องว่างของหน้าต่างลงไปยังถนนหน้าบ้านแล้วผมก็พบกับเธอจริงๆ หญิงสาวส่งสายตาไม่เป็นมิตรกลับขึ้นมาที่ผมจากพื้นถนน ร่างนั้นดูไม่น่ามองจากความเน่าเฟะของผิวหนังและเลือดหนองบนร่างกาย สายตานั้นเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับผม ซึ่งนั่นต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
         ผมตื่นมาโดยยังไม่ได้ดูนาฬิการู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงสวดให้พรของหลวงพ่อที่ดังมาจากต้นซอย พร้อมๆกับที่เธอคนนั้นได้หายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว ผมไม่ได้หลับต่อรอให้แม่ตื่นแล้วลงไปใส่บาตรพร้อมๆกับแม่เพื่อความสบายใจ
         ในช่วงสายๆพี่ทอปก็โทรมาอีกครั้งเพื่อเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมให้ผมฟังต่อซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างไปจากเรื่องราวในช่วงแรกๆสักเท่าไหร่ ทั้งหมดนั้นเป็นการปรากฏตัวของวิญญาณเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แต่มันค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็โผล่มานั่งมองหน้าตอนที่เขาหลับอยู่ บางครั้งก็มานั่งอยู่ข้างๆเตียง แต่ที่เกิดขึ้นทุกวันคือเสียงโซ่ที่ดังลากไปทั่วบ้านกับเสียงร้องครวญครองอย่างเจ็บปวด
         ผมฟังเรื่องราวของพี่เขาต่อจนผมเริ่มสงสัยว่า พี่เขาก็ทนมาได้ตั้งนานแล้วอะไรที่ทำให้พี่เขาตัดสินใจ โทรมา ผมเลือกที่จะถามพี่เขาออกไปตรงๆเพราะเสียเวลาคุยโทรศัพท์มานานแล้ว
         พี่ทอปบอกว่าสาเหตุที่ตัดสินใจติดต่อมาคือเรื่องมันเริ่มมากเกินกว่าจะเกิดกับตัวเขาคนเดียว แต่มันเริ่มที่จะเกิดกับคนใกล้ตัวอย่าง แม่ ของพี่เขาเอง
         ในคืนหนึ่งพี่เขายังคงได้ยินเสียงโซ่เส้นเดิมลากไปมาตามพื้นไม้กระดานของบ้าน ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจก็เริ่มที่จะรำคาญและโกรธมากกว่าแต่ในคืนนั้นเสียงนั้นกลับไม่ได้ตรงมายังห้องของเขา มันไปหยุดและดังวนอยู่ที่หน้าห้องนอนของ พ่อกับแม่
         ความเป็นห่วงและกังวลก่อตัวขึ้นในพริบตาแต่ก็กลัวเกินกว่าจะเดินไปเปิดประตู เขาจึงตัดสินใจใช้ทางเลือกอื่น พี่ทอปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาแม่ในทันที เสียงเรียกข้าวของแม่นั้นดังพอที่จะส่งมาถึงห้องนอนของพี่ทอปซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน เขารอให้แม่รับสายอย่างใจจดใจจ่อ
         เสียงเรียกเข้านั้นเงียบหายไปพร้อมๆกับหน้าจอที่แสดงให้เห็นว่า เขาถูกตัดสาย เขาเริ่มกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่บ้านหรือเปล่า แล้วเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้น เขามองดูข้อความที่มาจาก แม่ ‘คุยกันพรุ่งนี้นะลูก’
         วันรุ่งขึ้นพี่เขาได้คุยกับแม่ แม่เล่าว่าเมื่อคืนเกิดอยากเข้าห้องน้ำเลยลุกมาจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ได้ยินเสียงเหมือนมีโซ่ที่ครูดไปกับพื้นบ้าน แล้วเสียงมันเหมือนดังอยู่ในบ้าน แม่นึกถึงเรื่องที่พี่ทอปเล่าแล้วก็คิดว่าน่าจะใช่เสียงเดียวกัน แม่รู้สึกกลัวจนต้องกลับไปนอนบนเตียง
         ด้วยความกลัวตรงนั้นทำให้แม่ยังไม่สามารถนอนหลับต่อได้ในทันที แม่ฟังเสียงนั้นอยู่อย่างเงียบๆแล้วเสียงนั้นมันก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดมาก็ดังมาจนถึงหน้าห้องของแม่ แม่พยายามฟังว่าเป็นห้องพี่ทอปหรือเปล่า แต่เสียงนั้นใกล้มากจนแน่ใจว่ามันดังอยู่หน้าห้องนอนของแม่
         ผมตัดสินใจให้พี่ทอปมารับผมไปยังบ้านที่เกิดเรื่องเพราะผมคิดว่าคุยกันไปก็คงจะไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่ ใจหนึ่งผมก็คิดเหมือนกับหมอดูคนนั้นว่าเรื่องทุกๆอย่างมันคงจะเริ่มมาจากตัวของ พี่ทอปเอง แต่มันก็ดูมีอะไรมากกว่านั้นจากความรู้สึก
         พี่ทอปอยู่ไม่ไม่ไกลจากจังหวัดที่ผมอยู่มากนักใช้เวลาเดินทางก็ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ผมรอให้พี่เขามารับไปที่บ้านซึ่งพี่เขาก็ยินดีจะออกมาในทันทีคงจะร้อนใจมาก
         ตลอดทางผมก็ถามหาข้อมูลเพิ่มเติมหลายๆอย่าง แต่ที่น่าตกใจก็คือพี่เขาเปิดเสื้อให้ดูตามเนื้อตัวที่มีรอยอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง มันไม่ใช่ครั้งเดียวที่เกิดขึ้นมันมีหลายครั้งหลายคืนที่มีรอยแดงไปจนแลเล็กน้อยปรากฏให้เห็น
         บางรอยนั้นเป็นเหมือนรวยข่วนอย่างที่ได้ยินมา แต่รอยส่วนมากจะเป็นรอยแดงเป็นแถบยาวๆเหมือนกับเวลาเราโดนครูตีมาด้วยไม้เรียว รอยนั้นเหมือนกับโดนตีหรือโดนฟาดมาอย่างแรง ผมถามพี่ทอปไปพี่ทอปก็บอกว่ามันรู้สึกเจ็บๆเหมือนเวลาไปเล่นบอลแล้วมันช้ำมา
         เรามาถึงบ้านของพี่ทอปตามเวลา บ้านหลังนั้นสวยและดูร่มรื่นมากจากต้นไม้ที่ถูกปลูกไว้เต็มบ้าน พ่อกับแม่ของพี่เขาออกมารอรับอย่างใจดีแม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เราเริ่มจากการเดินไปตามที่ต่างๆรอบบ้านแต่ก็ไม่เจออะไรที่ดูผิดปกติ แม้แต่ในตัวบ้านมันก็ปกติดีเหมือนกับที่ร่างทรงเคยมาดู
         เราเข้ามานั่งคุยกันต่อในบ้านว่าจะทำอย่างไรต่อไป พี่ทอปออกปากขอให้ผมค้างคืนที่นี่สักคืนหนึ่งเผื่อว่าคืนนี้จะได้ใจความอะไรขึ้นมาบ้าง ผมตกลงจะอยู่ในคืนนี้ก่อนเพราะอยากรู้เรื่องเหมือนกัน ถึงขนาดไปกวนผมถึงที่บ้านมันคงมีอะไรมากกว่าวิญญาณที่ตามติดคนคนหนึ่งเท่านั้น
         ในช่วงหัวค่ำผมก็พยายามเตรียมความพร้อมในหลายๆอย่าง ทั้งน้ำมนต์ เทียน ธูป พร้อมทั้งให้แม่ไหว้พระตามปกติเผื่อเอาไว้ด้วย ทุกคนมารวมกันอยู่ในห้องนอนของพี่ทอปหลังจากเสร็จภารกิจทั้งหมด
         เรารอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนถึงเวลาที่พี่ทอปมักจะได้ยินเป็นประจำ แล้วคืนนี้ก็เช่นกันเสียงครวญครางนั้นดังลอยมาในอากาศแล้วก็เริ่มมีเสียงโซ่ดังขึ้นมาจากด้านล่างของบ้าน เสียงโซ่เหล็กครูดไปกับพื้นไม้อย่างช้าๆ เสียงนั้นค่อนๆใกล้เข้ามาทุกขณะ
         ในตอนนี้ไม่มีใครหลับลง เสียงนั้นมาหยุดอยู่หน้าห้องนอนของพี่ทอปแล้วก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงของหญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด เสียงนั้นฟังดูทรมานเหมือนจะขาดใจ ในตอนนั้นมีเพียงผมกับพี่ทอปเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนั้นอย่างขัดเจน นอกจากเสียงแล้วกลิ่นเน่าเหม็นผสมกับของเสียเริ่มกระจายไปทั่วบริเวณ พ่อกับแม่ก็ได้กลิ่นนี้เช่นกัน
         ผมตัดสินใจหยิบธูปขึ้นมาดอกหนึ่งจุดแล้วปักลงในกระป๋องน้ำอัดลมที่ดื่มจนหมดแล้วเพื่อเป็นการสื่อสารถึงใครบางคนที่เหมือนพยายามจะสื่อสารอะไรกับเราในตอนนี้ แล้วเหมือนความต้องการของผมจะสื่อสารไปถึงเธอคนนั้น เสียงร้องไห้นั้นค่อยๆดังขึ้นและโหยหวนกว่าในครั้งแรกมาก
         เสียงหมาของหมาใกล้ๆบ้านนั้นพากันหอนรับกันจนน่าขนลุก ตอนนี้แม่เริ่มมีน้ำตาไหลจากความกลัว ผมเองก็เริ่มที่จะไม่แน่ใจแล้วว่าคราวนี้ผมจะเอาอยู่เหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ ผมยังคงรวบรวมสติไว้ให้มากที่สุดไม่ให้ตัวเองต้องกลัวไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น
         ไม่นานเกินรอสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเสียงร้องไห้นั้นเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมานเสียงกรีดร้องนั้นทำเอาแม่ของพี่ทอปเป็นลมลงไปต่อหน้าต่อตา พี่ทอปกับพ่อหันไปดูแลแม่ในทันทีผมยังคงสนใจไปที่เธอคนนั้นเธอหยุดกรีดร้องแล้วก็เงียบหายไป

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงเรียกจากพ่อและพี่ทอปคอยเรียกให้แม่กลับมาเท่านั้น ไม่นานเท่าไหร่แม่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่สายตานั้นแปลก
         สายตาที่แม่จ้องมายังพี่ทอปนั้นแข็งกร้าว พี่เขาจำได้ดีว่าแววตานี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นมันช่างคล้ายกับแววตาของ เธอคนนั้นที่ได้เห็นในคืนหนึ่ง พี่ทอปตกใจเป็นอย่างมาจนเผลอปล่อยมือจากแม่ขาอ่อนลงไปนั่งกับพื้น สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นไม่สามารถอธิบายอะไรได้
         ตอนนี้แม่นั่งอยู่กับพื้นในท่าพับเพียบสายตานั้นยังคงจ้องมายังพี่ทอป แม้ว่าพ่อจะพยายามสะกิดเรียกแม่อยู๋หลายครั้งก็ดูจะไร้ประโยชน์ เราสามคนพยายามช่วยกันถามถึงความต้องการของใครบางคนที่อยู่ในร่างของแม่ในตอนนี้ เมื่อการพูดคุยใช้ไม่ได้ผลทางออกต่อมาจึงตกเป็นหน้าที่ของผม
         ผมจุดธูปขึ้นอีกดอกหนึ่งเพื่อสื่อสารกับเธอ ผมพยายามกล่อมให้เธอออกมาจากร่างนั้นแต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผลและผมก็ไม่อยากที่จะบังคับให้เธอออกมาเพราะแม่ไม่ใช่คนแข็งแรงมากนักหากเจอเรื่องราวแบบนี้กลัวว่าจะเป็นอันตรายได้ ในเมื่อเธอไม่ยอมออกมาจากร่างนั้นก็คงจำเป็นจะต้องสื่อสารกับเธอผ่านร่างของแม่
         ผมขอให้เธอพูดและสื่อสารกับเราถึงความต้องการของเธอแต่ดูเหมือนว่าเธอจะทำมันได้ไม่สะดวกนัก สีผึ้งที่เตรียมมาถูกทางลงไปบนริมฝีปากของแม่เบาๆ ปากนั้นค่อยๆขยับแล้วก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ศัพท์แต่สิ่งที่ทำให้ต้องตกใจก็คือ แม่กระโจนจากท่านั่งไปหาพี่ทอปพร้อมกับบีบคอเข้าอย่างแรง
         พ่อพยายามดึงตัวแม่ออกมาจากพี่ทอปโดยที่พี่เขาไม่กล้าจะออกแรงต้านหรือผลักแม่ออกไปเพราะกลัวว่าจะทำให้แม่บาดเจ็บผมตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู๋จึงเผลอนิ่งไปวูบหนึ่งเสียงที่พูดออกมาจากปากคนเป็นแม่นั้นทุ้มต่ำ ‘มรืงทำกรู’ คำพูดนี้วนอยู่ซ้ำๆหลายครั้งตลอดเวลา ผมเดินไปหยิบเอาน้ำมนต์ในขันที่ทำไว้เทลงไปบนหัวของแม่เล็กน้อย
         ท่าทางของเธอดูทรมานและอ่อนแรงลงจนทำให้พ่อสามารถดึงแม่ออกมาแล้วมาจับล็อกเอาไว้ได้ พี่ทอปไอหอบใหญ่จากการที่ถูกบีบคออย่างแรงมือที่คลำอยู่บนลำคอของตัวเองพบแผลหลายรอยจากเล็กของแม่ที่จิกลงบนคอจนมีเลือดไหล ร่างของแม่ยังคงจ้องมาที่พี่ทอปอย่างเอาเป็นเอาตาย
         พี่ทอปบอกให้ผมช่วยแม่ทีแต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่า กลัวแม่เป็นอะไร แล้วยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ว่าใครในร่างนั้นจะทำอะไรร่างที่ตัวเองอาศัยอยู่
‘ทำอะไรก็มาทำกรูนี่ อย่ายุ่งกับแม่กรูโว้ย’
         พี่ทอปตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดพอๆกับสายตาที่จ้องมายังตัวเอง ร่างนั้นยังไม่ยอมพูดอะไรเหมือนอย่างเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าทรมานด้วยความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ แผลที่คอนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ มันลึกพอสมควรมากพอที่จะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งน้ำตาไหลออกมาเพราะความเจ็บปวด
‘กรูไปทำอะไรให้มรืง ถึงต้องมาจองเวรกันแบบนี้’
         น้ำเสียงที่ใช้ถามนั้นสั่นครือด้วยความกลัว ความโกรธผสมกันจนแทบคุมสติไม่อยู่ ร่างนั้นยิ้มอย่างพอใจกับความทรมานตรงหน้าก่อนที่จะบังคับให้ร่างของม่ยืนขึ้น พ่อกลัวว่าแม่จะพุ่งเข้าไปทำร้ายพี่ทอปอีกจึงออกแรงต้านไว้ แต่กลับสู้แรงไม่ได้ มือของพ่อถูกผลักกระเด็น ปล่อยให้แม่เดินตรงไปยังพี่ทอป
         หญิงสาวในร่างของแม่ยิ้มอย่างพอใจแล้วจ้องเข้าไปในแววตาของพี่ทอป ร่างนั้นเดินผ่านตัวพี่ทอปไปตรงออกไปนอกห้องนอน พวกเรารีบตามร่างนั้นไปในทันทีด้วยความกังวล เมื่อออกมข้างนอกจึงรู้ว่าตอนนี้มีฝนโปรยลงมาบางๆไปทั่วบริเวณทำให้อากาศหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
         แม่เดินไปตามทางที่ถางหญ้าไว้เส้นทางนั้นทอดยาวไปยังสวนด้านหลังบ้านของพ่อกับแม่ เรารีบเดินตามแม่ไปในความมืด แม้ว่าเราจะมีไฟฉายอยู่ในมือแต่ก็เดินตามแม่ไม่ทันเสียทีทั้งๆที่แม่เดินอยู่ในความมืดปราศจากแสงไฟใดๆ ทางเดินนั้นทอดยาวมาจนสุดท้ายสวนแต่แม่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินในตอนนี้
         สองเท้าเปล่าของแม่ยังย่ำต่อไปเรื่อยๆจนเลยพื้นที่สวนของบ้านเข้าสู่ส่วนที่เป็นป่ารกไม่มีคนใช้ประโยชน์ พี่ทอปเดินนำหน้าผมไปก็พยายามถามผมไปตลอดทางว่าจะช่วยแม่ได้ไหมจะเป็นอะไรไหม ผมได้แต่ตอบไปว่าถ้าเขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้วมันก็จะจบ ผมกลัวเหมือนกันว่าแม่จะเป็นอันตราย
         ร่างของแม่เดินมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งกลางป่า ต้นไม้นั้นสูงใหญ่มากแต่ด้วยสายฝนที่โปรยลงมาบวกกับความกังวลที่มีทำให้เราไม่ได้ทันสังเกตุในตอนแรกพ่อที่เป็นคนรักต้นไม้และทำสวนมามากมายก็หลุดปากออกมา ‘ต้นตะเคียน’ เพียงแค่นั้นความกลัวที่มีอยู่ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล
         ร่างนั้นชี้ไปที่โคนต้นไม้พร้อมจ้องมายังพี่ทอปอย่างอาฆาต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เธอต้องการ พี่ทอปรีบเดินเข้าไปตรงนั้นแล้วใช้มือขุดลงไปยังพื้นดินแฉะๆด้วยมือเปล่า ร่างนั้นยืนจ้องพี่ทอปไม่วางตาเหมือนต้องการรู้ว่าเขาจะทำตามสิ่งที่เธอต้องการหรือเปล่า
         หลุมที่ถูกขุดด้วยมือเปล่าค่อยๆกว้างขึ้นและลึกลงไปในดินเช่นเดียวกับที่เสื้อผ้าของพี่ทอปเละเทะยับเยินจากฝนและโคลนที่เกิดขึ้น โชคดีที่วันนี้ฝนตกทำให้ดินนิ่มพอจะใช้มือขุดได้แต่แม้ว่ามันจะมีฝนช่วยจนาดไหนมือของพี่ทอปก็เริ่มมือแผลให้เห็นถ้าผมจำไม่ผิด เล็บของพี่ทอปเริ่มที่จะหลุดออกมาทีละนิดแต่ด้วยความห่วงแม่เขาจึงไม่มีทางเลือก
         พี่ทอปทำได้แค่ขุดไปเรื่อยๆเท่านั้นจนมนที่สุดปลายนิ้วเละๆของพี่ทอปก็ไปสะกิดเข้ากับวัตถุชิ้นหนึ่งที่ถูกฝังอยู่ในดินค่อนข้างลึก พร้อมๆกับที่ร่างของแม่ร่วงลงไปกองกับพื้นเหมือนคนหลับไปเสียเฉยๆ พ่อรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างแม่เอาไว้ปล่อยให้ผมกับพี่ทอปยืนมองร่างของเธออย่างใกล้ชิด
         หญิงสาวในสภาพน่าเกลียดเน่าเฟะมีเลือดมีหนองไหลออกมาให้เห็น เสื้อผ้าที่เปื้อจนไม่เหลือสภาพดีนั้นทำให้มันดูน่าอนาถมากกว่าที่เคย เธอยังคงจ้องมายังพี่ทอปอย่างอาฆาต ปลายนิ้วเรียวๆนั้นชี้ลงไปในหลุมดินที่ถูกขุดเมื่อสักครู่ เล็บดำๆช้ำเลือดช้ำหนองนั้นชี้มายังพี่ทอปอย่างอาฆาต
         พี่ทอปหยิบเอาของที่ตัวเองขุดเจอขึ้นมาถือไว้ โซ่เส้นใหญ่ที่มีสนิทเขรอะไปหมดบ่งบอกถึงอายุที่ผ่านมาไม่น้อย โซ่เส้นนั้นช่างคล้ายกับโซ่ตรวนที่ข้อเท้าของวิญญาณดวงนี้เหลือเกิน ผมพยายามพูดคุยกับเธอว่าเธอต้องการอะไรแล้วทำอย่างนี้ทำไม
‘มาเผือกทำไม มันเรื่องของกรู กรูจองมัน มันทำกรู’ เสียงของเธอดังก้องเข้ามาในหัวของผมพร้อมสายตาไม่เป็นมิตร
‘เจ็บมากไหม ทรมานมากไหม’
         แม่ที่ได้สติแล้วพยายามพูดขึ้นมาเบาๆเหมือนต้องการจะคุยกับเธอ แม่ร้องไห้แล้วเฝ้าถามเธออยู่ซ้ำๆว่า เจ็บไหม ทรมานไหม เหมือนกับสติที่กลับมานั้นก็ยังไม่เต็มร้อย แม่บอกให้พวกเรามองไปยังร่างของเธอ ผมเพิ่งเห็นว่าที่ตรงท้องนั้นมีแผลใหญ่ปรากฏและมันไม่ใช่แผลเท่านั้น
         ร่างของเด็กน้อยที่ไม่สมประกอบนั้นถูกอุ้มป้องเอาไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวของเธอ และยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรพี่ทอปก็ตะโกนออกมา ‘จะเอาอะไรมาเอาไปเลย เอาอะไรก็ยอม แล้วจะบวชให้ พอใจไหม’
         แปลกที่เธอคนนั้นยอมหายไปจากตรงหน้าเราเสียเฉยๆ เหมือนเป็นการยอมรับข้อตกลงของพี่ทอป เรากลับมาที่บ้านพร้อมกับโซ่เส้นนั้น เมื่อทำแผลเบื้องต้นกันแล้วจึงได้พูดคุยกับแม่
         แม่บอกว่าตอนที่โดนเข้าสิงนั้นเหมือนเธอพยายามย้อนให้แม่ได้เห็นว่าลูกชายทำอะไรเธอไว้ แม่ไม่เล่าอะไรมากเหมือนไม่อยากนึกถึงบอกแต่เพียงว่า พี่ทอปเคยเป็นคนมียศแล้วมีทาสมีลูกน้อง สั่งลงโทษเขาสั่งทรมานเขาจนเขาตาย
         เอาเข้าจริงๆผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยในเรื่องนี้ เพราะหลังจากนั้นพี่ทอปก็ตัดสินใจบวชให้เธอคนนั้นจริงๆ แล้วหลังจากที่บวชไปแล้วเราก็ได้มีโอกาสคุยกันเพราะพี่ทอปแวะเอาขนมมาขอบคุณ พี่ทอปบอกว่าตลอดเวลาที่บวชนั้นเธอจะมาปรากฏให้เห็นมาเฝ้าพี่ทอปทำวัตรและทำสมาธิทุกคืน หลวงพ่อที่ดูแลบอกให้แผ่เมตตาให้เธออย่างเต็มที่ชดใช้เขาไป
         ด้วยภาระงานพี่ทอปต้องสึกออกมาแต่ก็ไม่ได้ห่างจากการทำบุญทำสมาธิเลยเพื่ออุทิศให้เธอคนนั้น และพี่ทอปก็เลิกที่จะตามหาทางออกแล้วเพียงแต่ยอมให้เธอตามทวงจนกว่าเธอจะพอใจ เพราะใครเล่าจะหนีเจ้ากรรมนายเวรพ้น
............................................................................................................................
เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้ ผมเป็นเหมือนตัวยุ่งเข้าไปรับรู้เหตุการณ์มากกว่าจะเป็นคนจัดการอะไร
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ
ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล
ขอบคุณครับ
                                                                                                                                                                 
                                                                                                                                                                  ลอยชาย.

ไม่มีความคิดเห็น