ประสบการณ์แสนแพงของคนชอบ 'ดูดวง'


      การดูดวงยังเป็นที่พึ่งทางใจในสังคมไทยได้ การดูดวงบางครั้งเหมือนดาบสองคมดั่งเรื่องต่อไปนี้  ประสบการณ์แสนแพงของคนชอบ 'ดูดวง' เรื่องของคุณลอยชาย นักเล่าแห่งพันทิปผู้ที่มีเรื่องเล่าดีๆและการเล่าที่ติดตามพร้อมบทสรุปที่กินใจ ลองไปฟังเรื่องนี้กันเลยครับ

     เรื่องหนึ่งที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไม่เคยหายไปไหนเลยคือเรื่องของการ ดูดวง แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ดู งมงาย แต่กลับเป็นที่ยอมรับมากกว่าเรื่องอื่นๆ
          อาจเป็นเพราะมันยังก้ำกึ่งกันระหว่างเรื่องของ พลังงานเหนือธรรมชาติ กับศาสตร์ความรู้ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน
‘เมื่อให้คุณได้ ก็ให้โทษได้เช่นเดียวกัน’

          เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมได้พบเจอโดยบังเอิญช่วงที่ผมไปฝึกงานที่กรุงเทพ
          ผมไม่ค่อยจะได้เข้ากรุงเทพบ่อยมากนักช่วงที่ได้ไปฝึกงานจึงพยายามเดินทางไปให้ครบตามที่ที่อยากไป วันนั้นเป็นหยุดสุดสัปดาห์ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวตามห้างเพราะเพื่อนสมัยม.ปลายนัดเจอกัน
          ผมไปกินข้าวแล้วให้เพื่อนพาทัวร์หลายๆที่จนมืดค่ำ ในตอนนั้นผมมีแพลนว่าอยากไปสักการะศาลพระพรหมที่ราชประสงค์ เพราะก่อนหน้านั้นมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ตรงนั้น
          กว่าจะไปถึงก็เกือบๆประมาณ4ทุ่มกว่าเห็นจะได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวด้วยเลยมีคนน้อยกว่าปกติ อาจเพราะคนส่วนใหญ่เลือกจะกลับต่างจังหวัดกัน
          ความรู้สึกที่จับได้นั้นคือความอบอุ่นอย่างประหลาด กระแสเย็นที่ไม่ได้พบบ่อยนักเข้ามาสัมผัส แต่ปะปนไปด้วยกระแสอันวุ่นวายของมนุษย์ที่ต่างเอาความต้องการของตัวเองไปโยนไปกองไว้ตรงนั้น
          ครั้งแรกที่ผมได้ไปเยือนที่นั่น ผมใช้เวลาอยู่นานเพื่อนั่งมองและจดจำความรู้สึกในตอนนั้น จนคนที่ผ่านไปผ่านมาก็มองผมแปลกๆ แต่ก็ช่างเขาเถอะ
          ในตอนที่จะกลับผมได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมาพร้อมกับของไหว้จำนวนมาก มากจนต้องใช้เพื่อนอีกสองคนช่วยหอบ จากการแต่งตัวก็คงจะเป็นคนมีเงินมีทองคนหนึ่ง
          ผมเดินหลบออกมาเพื่อนเดินทางกลับ แต่ยังไม่ทันจะพ้นพื้นที่ตรงนั้นไปได้ไกลนัก ผมก็เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนทางเดินข้างถนน
          ความรู้สึกนั้นชัดเจนว่าเด็กน้อยไร้ซึ่งกระแสแห่งชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูน่าสงสารและเหงาหงอย ผมเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปหาเธอ
          ตรงริมทางเดินไม่มีใครนั่งอยู่ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเธอ เธอคนรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของผม ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนน่ารักแต่เปรอะไปด้วยหยอดเลือดและฝุ่น เด็กน้อยหันมายิ้มให้ผมด้วยความดีใจ
          มุมปากยิ้มกว้างตาข้างหนึ่งหยีน่ารัก แต่อีกข้างเป็นแผลเหวอะหวะ บอกตามตรงว่าภาพตรงหน้าทำให้ใจหล่นไปวูบหนึ่งแต่ความรู้สึกอื่นมันมากกว่า
‘ทำอะไรครับ’
‘รอแม่ค่ะ’
          ผมไม่ได้ถามอะไรเธอไปมากกว่านั้น มันจุกในอกอยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นความสงสารจากใจตัวเองหรือความรู้สึกของเด็กน้อยส่งผ่านมาถึง
          สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นมีแค่การอุทิศบุญให้เธอไปสู่ภพที่ดีกว่า มือที่เอื้อมไปอยากจับมือเด็กน้อยให้อบอุ่นก็คว้าได้แค่อากาศเท่านั้น เด็กน้อยค่อยๆหายไปจากตรงหน้า
          ผมลุกขึ้นหันหลังกลับปาดน้ำตาที่คลออยู่ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองผมอยู่ เธอคงเห็นทั้งหมด เห็นผมพูดคนเดียว
          ผมคงชินเสียแล้วจึงลุกเดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าเธอจะคิดอย่างไร แต่กลายเป็นว่าเธอก้าวเท้าออกมาขวางพร้อมอ้ำๆอึ้งๆ พูดติดขัด
‘คือน้อง... เห็นหรือคะ หรือว่าน้องพูดคนเดียว’
          ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแค่มองนิ่งๆ เพราะไม่รู้จุดประสงค์ของคนถาม แม้ว่าผมจะปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นเธอก็ยังไม่ถอยให้ผมเดินผ่านไป
‘ก็ คงอย่างนั้นครับ’
          ผมตอบปัดไปเพราะอยากกลับแล้ว แต่ก็กลายเป็นว่าเธอสนใจมากกว่าเมื่อสักครู่ ผมไม่รู้จักเธอ และมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครก็ไม่รู้ฟัง
‘มีเวลาฟังสักครู่ไหมคะ’ เธอถามตะกุกตะกัก คงเพราะเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของผม
          ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไปให้เธอตัดสินใจเองว่า เธอจะเล่าหรือไม่เล่า
          เธอเลือกที่จะเล่า แต่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เธอบอกแค่ว่า ‘เหมือนเธอจะโดนผีตามรังควาน’
          ผมรับฟังโดยที่รู้สึกอยู่ลึกๆว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันคงจะวุ่นวายอีกตามเคย เลยเกิดความช่างใจขึ้นมาวูบหนึ่งว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี
‘ช่วยเธอเถอะค่ะ’
          เสียงของผู้หญิงที่ไร้ที่มาดังขึ้นมาใกล้ๆหูแต่เหมือนลอยผ่านไปไม่ทันจับชัดว่ามาจากทางใด แต่เสียงนั้นดูเป็นมิตร และแปลกที่มัน น่าเชื่อถือ
          ผมตัดสินใจจะรับฟัง แต่ขอตัวกลับก่อนเพราะกลัวจะตก mrt รอบสุดท้ายที่เป็นทางกลับเดียวของคนไม่ชำนาญทางอย่างผม ผมนัดเจอกับเธอในวันต่อมาแทน แต่ไม่ได้ให้เบอร์ไว้ แค่นัดสถานที่ไว้เท่านั้น
          ก่อนกลับผมยังติดใจเรื่องของเด็กน้อยคนนั้น จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง เธอกลับมาแล้ว กลับมานั่งกอดเข่ามองพื้นเหมือนอย่างเคย จะมีก็แต่กระแสของเธอที่ดูสดใสขึ้น ไม่หม่นหมองเท่าเดิม
‘ใครเล่าจะก้าวล่วงบ่วงกรรมของใครได้’
          คืนนั้นผมกลับมาถึงหอพักช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ กว่าผมจะหลับก็อีกเกือบ 2 ชั่วโมง
          ระหว่างที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ตามปกติ ผมได้กลิ่นแปลกๆ กลิ่นหอมชวนเวียนหัว เหมือนกลิ่นดอกไม้ แต่ฉุนกว่า แม้จะรู้สึกหอม แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นสาบที่ผสมปนมาอยู่จางๆ
          แถวหอพักผมช่วงนั้นปกติจะมีเสียงมอเตอร์ไซด์ดังเกือบทั้งคืน เพราะเป็นถนนใหญ่เส้นตรงทำให้มีพวกชอบแข่งรถมาบิดไปมาอยู่บ่อยๆ แต่คืนนั้นกลับเงียบ เงียบจนน่าประหลาด
          ผมหรี่เสียงเพลงให้เบาลงเพราะได้ยินเสียงแปลกๆแทรกมาเป็นจังหวะ เหมือนจงใจ ทันทีที่เสียงเพลงเบาลง เสียงนั้นก็เบาลงเช่นกัน
ตึก... ตึก...
          เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดดังมาอย่างช้าๆ ไกลๆ แต่กลับชัดเหมือนไม่ไกลมากนัก เสียงลิฟต์ที่อยู่ถัดจากห้องผมไปนิดเดียวดัง เหมือนมีคนกดเรียก
          3 ครั้ง ที่เสียงสัญญาณลิฟต์ดังอยู่อย่างนั้น แล้วครั้งสุดท้ายมันก็ดังยาว เหมือนถูกเปิดค้างไว้นานเกินกว่าเวลาที่ตั้งไว้
          ลิฟต์คงมีปัญหา ผมยังคิดในแง่ดี และขอให้มันเป็นอย่างนั้น ผมทิ้งตัวลงนอนในเวลาค่อนข้างดึก และในตอนที่ยังไม่ทันจะได้หลับไป ผมได้ยินเสียง
          เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังทะลุมาจากอีกฝั่งกำแพงตรงทางเดิน เสียงนั้นแหบพร่าจนไม่น่าฟัง แม้ตั้งใจฟังก็ยังฟังไม่ชัดเจน จับได้เลาๆแค่
‘อย่าเสื...’
          วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมนัดกับเธอคนนั้นเอาไว้ สถานที่นัดก็ไม่ได้แปลกอะไรผมเอาง่ายก็เลยเลือกเจอที่ KFC ในห้างแห่งหนึ่ง
          เธอมารอผมอยู่ก่อนแล้ว คงกลัวว่าผมจะเบี้ยวเธอไม่ก็กลัวจะคลาดกัน เบอร์ติดต่อก็ไม่ได้ให้ไว้ ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอเพื่อ รับฟัง เรื่องราวที่เธออยากจะเล่าให้ฟัง
‘ไปไหนมาครับ’
          ทันทีที่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะผมก็ได้กลิ่นกำยานที่ค่อนข้างแรงถึงกับต้องออกปากถามไป
          เธอเพิ่งกลับมาจากศาลกับเทวาลัยหลายๆที่ ช่วงนี้เธอเดินทางไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเพราะความรู้สึกที่เธอคิดว่าเธอมีผีตามรังควานอยู่ เช่นเดียวกับคืนนั้นที่ได้พบกัน โดยบังเอิญ
          เธอเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง ผมขอเรียกเธอว่า พี่มด แล้วกันนะครับ
          พี่มดอายุ30ต้นๆ หน้าตาดี เรียกว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ชีวิตการงานเธอดีทุกอย่างเพราะทำธุรกิจของครอบครัว เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟนสักเท่าไหร่ ผ่านมาผ่านไปตามธรรมชาติของคนสมัยใหม่
          แต่อย่างหนึ่งที่เธอติดจนเป็นนิสัยคือ เธอชอบดูดวง ที่ไหนที่ใครแนะนำก็มักจะไปให้หายคาใจว่า จริงไหมตามคำร่ำลือ นอกจากนั้นถ้าเจ้าไหนแม่นๆ เธอจะวนเวียนไปซ้ำๆหลายครั้ง บางครั้งไปถามแค่คำถามเดียวแล้วก็กลับ
          เธอเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ช่วงสมัยเรียน มีหลายที่ที่เธอชอบไปดูบ่อยๆ ทั้งในตัวกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยเธอจะมีกลุ่มเพื่อนสนิทอยู่สองสามคนที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
          ตอนนั้นเธอไม่เคยคิดหรอกว่าการสรรหาหมอดูของเธอจะนำพาเรื่องร้ายๆมาสู่ตัวเธอเอง
          หลังจากเหตุการณ์หนึ่ง(เธอยังไม่ยอมเล่าในครั้งแรก)ชีวิตของเธอเริ่มพบเจอกับเรื่องแปลกๆ จากคนที่ไม่เคยมีเซ้นส์ ไม่เคยพบเห็นอะไรที่ต่างจากปกติ เธอกลับเริ่มสัมผัสถึงพวกเขาเหล่านั้นได้
          หลายครั้งที่เธอ เห็น ทั้งชัดเจนและหางตา หลายครั้งที่เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หลายครั้งที่เธอถูกพวกเขาเข้ามาทำร้าย เธอว่าอย่างนั้น
          ในหลายๆเรื่องราวนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ และสม่ำเสมอ เธอไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีที่มาจากอะไร ตัวเธอ ที่ดิน หรือคนในบ้าน
          คืนหนึ่งย้อนกลับไปสักสามสี่เดือนก่อน เธออาบน้ำอยู่ในห้องน้ำของห้องนอนส่วนตัว ไม่ได้ลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำใหญ่ของบ้าน หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอได้ยินเสียงแม่ของเธอตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง
          เธอเดินตามเสียงเรียกลงมาที่ด้านล่างเห็นแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารใกล้กับห้องนั่งเล่น เธอเดินตรงเข้าไปนั่งใกล้ๆเพราะได้เวลาอาหารค่ำพอดี
‘แม่เรียกหนูทำไม เสียงดังเชียว’

‘ก็มดน่ะสิเมื่อกี้อาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่แต่งตัวให้ดีๆ นุ่งผ้าขนหนูเดินขึ้นบันไดไป ใครเห็นเข้าจะทำอย่างไร’
          พี่มดยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอได้ยิน ใช่ เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่เธอไม่ได้ลงมาอาบที่ชั้นล่างเธออาบข้างบนห้อง และยังไม่ได้ลงมาเลยหลังจากออกจากห้องน้ำ จนตอนนี้
          เธอพยายามอธิบายให้แม่ฟังแต่ก็ดูทั้งสองคนจะชัดเจนในสิ่งที่ตัวเองรับรู้จนสุดท้ายต้องพาแม่ขึ้นไปดูห้องน้ำข้างบนที่ยังมีไอน้ำจากน้ำอุ่นเกาะอยู่เพื่อยืนยัน
          ทันทีที่แม่เห็นก็ตกใจรีบเดินลงมาที่ชั้นล่างตรงไปยังห้องน้ำ แล้วก็พบว่าข้างในห้องน้ำแห้งดี ไม่มีร่องรอยของการอาบน้ำแต่อย่างใด
          วันรุ่งขึ้นคนทั้งบ้านจึงรีบพากันไปทำบุญใหญ่ในทันที
          หลังจากนั้นยังมีอีกหลายครั้งที่มีคนเห็น พี่มด เดินอยู่ในบ้านแม้ว่าเธอจะไม่อยู่ก็ตาม บางครั้งเธอยังรู้สึกเหมือนมีใครเดินอยู่ในบ้านในช่วงดึกค่อนคืนหลังจากทุกคนหลับไปหมดแล้ว
          เธอเดินทางไปหา อาจารย์ ท่านหนึ่งที่เธอนับถือมากเพื่อปรึกษาและขอวิธีแก้ อาจารย์บอกว่าเธอกำลังดวงตกและเข้าไปในพื้นที่อาถรรพ์ทำให้วิญญาณร้ายติดตามมาที่บ้าน มันพยายามปลอมตัวเป็นเธอเพื่อให้คนในบ้านกลัว แล้ววันหนึ่งมันจะเริ่มทำร้าย
          ฟังมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกตงิดใจแปลกๆ ถามว่าวิญญาณที่มุ่งร้ายนั้นมีไหมคำตอบคือ มี และจำนวนก็ไม่น้อยเช่นกัน แต่การเจาะจงปรากฏตัวแบบนี้เป็นไปได้ยากและหากเป็นวิญญาณทั่วๆไปก็คงไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายแน่ๆ
          เธอเล่าต่อว่าอาจารย์ให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ดวงฟื้นก่อน แล้วจึงให้ยันมาผืนหนึ่งเป็นยันสีแดงมีอักขระที่เธออ่านไม่ออกเขียนไว้ด้วยหมึกและน้ำตาเทียน
‘ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ต้องรออีกนิดแล้วอาจารย์จะไปทำให้ที่บ้าน แต่ตอนนี้มันจะปลอมเป็นเธอไม่ได้อีก’
          ประโยคของอาจารย์ทำให้เธออุ่นใจได้แค่ครึ่งหนึ่ง เธอไม่ชอบอะไรค้างคาแบบนี้ถ้าจะทำต้องให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เธอจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อไปพบกับอาจารย์อีกท่าน
          เธอขับรถออกจากใจกลางเมืองออกมาที่ชายขอบของกรุงเทพ แต่เธอบอกว่ามันแปลก เธอขับรถแล้วหลง เข้าซอยที่จำได้ว่าเป็นทางประจำ แต่กลับมาโผล่ในที่ที่เธอไม่คุ้น
          เธอวนรถไปมาอยู่ราวสองชั่วโมงโดยไม่สามารถไปให้ถึงที่หมายได้ พร้อมๆกันนั้นแม่ของเธอโทรมาตามให้กลับบ้านเพราะวันนั้นจะมีธุระไปข้างนอกในช่วงเย็น ทำให้เธอต้องกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้
          จริงดังที่อาจารย์บอกไว้ ไม่มีใครเห็นเธอในบ้านอีก แต่กลับเป็นคนอื่นแทน ใครบางคนที่ไม่ใช่คนในบ้าน ไม่มีใครคุ้นตา แต่ทุกคนเห็นเหมือนๆกัน
          บ้านของเธอเป็นบ้านใหญ่มีคนอาศัยอยู่หลายคน มีแม่บ้านรวมอยู่ด้วย
          ครั้งหนึ่งแม่บ้านวิ่งเข้ามาที่ห้องครัวในตอนที่แม่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ แม่บ้านบอกว่าตอนที่ออกไปใส่บาตรเธอเห็นเงาแวบๆของผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน
          แม่บ้านบอกว่าจากที่เห็นนั้นร่างนั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเพราะเห็นเป็นสีของผิวคน เธอรีบวิ่งตามมาดูแต่เงานั้นก็ลับตาไปตรงมุมตึกของบ้าน
          นั่นคือครั้งแรกที่คนในบ้านได้พบกับ ‘จันทร์’ และครั้งต่อมาจึงเป็นตัวพี่มดเองที่ได้พบกับวิญญาณของหญิงสาวคนนั้น
          เธอนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงในคืนว่างๆตามปกติ วูบหนึ่งเธอได้กลิ่นหอม หอมแรงจนฉุนจมูกเธอบอกว่าจำได้เลือนรางว่ามันง่วง มึนๆหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
          เธอหลับไปในแทบจะทันที เธอฝัน ฝันว่าเดินอยู่ในบ้าน เธอเดินไปตามทางเดินจากชั้นบนลงมาที่ชั้นล่างเดินทะลุห้องครัวไปทางด้านหลังลงบันได้เตี้ยๆมาจะถึงสวนหลังบ้านที่มีเนื้อที่ไม่มาก
          มุมด้านหลังชิดรั้วเป็นที่ทิ้งขยะและเศษอาหารที่ปกติจะมีแต่แม่บ้านไปยุ่ง พี่มดเองไม่เคยลงมาตรงนี้นานแล้ว ที่ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ เป็นผู้หญิง เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ความรู้สึกที่จำได้ตอนนั้นคือ ความกลัว แต่ในฝันนั้นเธอก็ไม่อาจห้ามตัวเองให้เดินตรงเข้าไปหาเงาร่างนั้นได้
           เธอเดินเข้าไปใกล้ทีละนิดจนสุดท้ายก็ชิดกับเงาร่างนั้น ร่างนั้นหันมาหาเธอในท่ายืน พี่มดบอกว่าเห็นหน้า เห็นหน้าเต็มๆเลย แต่จำรายละเอียดใบหน้าไม่ได้ จำได้แค่เธอเข้ามาโอบกอด กอดเธอไว้อย่างแนบแน่น แต่ตรงช่วงท้องนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติ ‘เธอคงท้อง’ นั่นคือความฝันที่จำได้
         เมื่อตื่นเธอรีบลงไปหาพ่อกับแม่เล่าความฝันนั้นให้ฟัง คนทั้งบ้านเริ่มวิตกถึงเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น ทุกคนจึงตกลงกันว่าจะทำบุญบ้านใหม่เผื่ออะไรร้ายๆมันจะได้หายไปจากครอบครัวเสียที
         แน่นอนว่าเธอรีบเดินทางไปหาอาจารย์ทีเป็นหมอดู เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ฟังด้วยความกลัวและร้อนใจ อาจารย์มีทีท่าสงบ เหมือนไม่แปลกใจ แต่ก็ตรวจดวงชะตาให้อย่างละเอียด
         ศาสตร์ของอาจารย์คนนี้น่าจะเป็นศาสตร์โบราณที่ค่อนข้างลึก สามารถคำนวณเวลาและฤกษ์ยามต่างๆได้อย่างแม่นยำ สามารถทายนิสัยและตำหนิตามร่างกายได้ค่อนข้างถูกทีเดียว
         อาจารย์บอกว่าเธอเองต้องรดน้ำมนต์เพราะมีสิ่งไม่ดีติดตัวมา เธอรีบตกปากรับคำทั้งที่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเลย
         เธอถูกนัดให้มาในวันรุ่งขึ้นอีกครั้ง พี่มดมาโดยไม่ได้บอกใครเพราะแม่ชอบเอ็ดเธอว่า ไปหาหมอดูบ่อยเกินไปจนจะเข้าข่างมงายแล้ว
         พิธีกรรมนั้น แปลก เธอไม่เคยเจอที่ไหนและแน่นอนว่าเมื่อผมได้ฟังผมก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน เธอใส่ชุดขาวมาพร้อมกับเสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยน มีผ้าถุงที่เอาไว้ปกปิดร่างกาย
‘ต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดนะครับ’
         นั่นคือสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของหมอดูคนนี้ เธอตกใจและประหลาดใจมาก เพราะหมอจะเป็นคนอาบให้ไม่ใช่ให้เธอเข้าไปอาบเองในห้องน้ำที่มิดชิด
         เธออึกอักอยู่นานแต่ด้วยความกลัวผสมกับความศรัทธาในความแม่นของหมอดูคนนี้เธอจึงยอมทำตามในที่สุด
           พี่มดถูกจับให้นั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงของบ้านหมอดูที่ปกติแล้วใช้ทำพิธีเหมือนทุกๆครั้ง โดยมีอ่างน้ำขนาดใหญ่รองอยู่ เธอรู้สึกประหม่าเพราะไม่เคยต้องเปลื้องผ้าให้คนที่ไม่ใช่คนพิเศษเห็นอย่างนี้
          น้ำมนต์ในขันเงินใบงามค่อยๆถูกรดลงบนตัวของพี่มด ส่วนผสมน้ำมนต์คงมีว่านหลายชนิดผสมกับดอกเทียนทำให้มีกลิ่นหอม เธอพยายามนั่งบิดตัวพนมมือให้แขนและขาปิดตามส่วนสำคัญของตัวเองให้มากที่สุด
          หลังจากน้ำมนต์ถูกรดจนหมดซึ่งใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เธอรู้สึกได้ถึงของมีคมที่จิ้มลงกลางกระหม่อมจนเกิดอาการเจ็บแปลบวิ่งไปทั่วร่างๆกายเหมือนถูกไฟช๊อต
          กริชเล่มเล็กๆค่อยวาดเป็นอักขระไปตามร่างกาย เธอเล่าถึงความรู้สึกในตอนนั้นไว้ว่า มันเลือนราง มึนๆเหมือนตอนเมา ภาพมันเบลอ ทรงตัวอย่างแต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้
          กริชถูกลากลงมาจนถึงส่วนต้นคอ เธอก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะหมดสติไป เธอบอกกับตัวเองว่าต้องประคองสติไว้ให้ได้จะไม่หลับไป เพราะสภาพเธอในตอนนี้มันล่อแหลมเหลือเกิน
‘ค่อยๆนะครับ ผมไล่ของไม่ดีออกให้แล้ว’
          หมอวางมือบ่นไหล่เป็นเชิงปลอบ แล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้ พี่มดที่กลับมาได้สติแล้วรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
          วันนั้นเธอรีบกลับบ้านในทันทีหลังจากที่เสร็จพิธี หมอบอกเธอว่าเมื่อกลับไปแล้วอาจมีไข้เล็กน้อย เพราะร่างกายปรับสภาพ ก็เป็นจริงดังนั้นเธอมีไข้ขึ้นค่อนข้างสูง แต่ยังไม่มากเกินจะทนไหว
          คืนนั้นเธอฝันอีกครั้ง ผู้หญิงคนเดิม คนที่เธอพบในความฝันตรงสวนหลังบ้าน คนที่เชื่อว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับที่คนอื่นๆในบ้านเจอ
          คราวนี้เธอไม่ได้เห็นเต็มตัวอย่างที่เคย แต่เธอเห็นแค่ช่วงท้องลงมาถึงเท้า เธอไม่ขยับตัวขัดขืน เหมือนไม่กลัว ทั้งที่ตัวเองรู้ว่าเธอเป็นใคร และเคยกลัว
ในฝันนั้นเธอมองหญิงสาวไร้เสื้อผ้าอย่างใกล้ชิด เป็นฝันที่ละเอียดอย่างประหลาด ท้องของเธอป่องออกเหมือนดังที่เคยเห็น แต่สีผิวเธอนั้นไม่ปกติ สีออกเหลืองซีดบางส่วนคล้ำเกือบน้ำตาล ตามตัวมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำม่วงๆเขียวๆอยู่รอบตัว
          เสืองหายใจของเธอแปลกประหลาด เหมือนเวลาอากาศวิ่งผ่านท่อเล็กๆแคบๆ แต่สิ่งที่ทำให้พี่มดจดจำได้มากที่สุดคือเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบพื้นดัง แปะๆ ตามร่างกายของเธอมีน้ำมันสีเหลืองๆไหลหยดลงมาอยู่ตลอดเวลา
          กลิ่นอันชวนสะอิดสะเอียนตีเข้าจมูกจนทำให้มึนหัว แต่เธอกลับไม่รู้สึกกลัวผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเลย เพียงแค่รู้สึกขนลุกกับภาพตรงหน้าเท่านั้น
          เธอหลับไปอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในตอนเช้าเธอตื่นมาพร้อมกับร่างกายที่ปลอดโปร่ง ไม่มีอาการไข้ หรือความเมื่อเนื้อเมื่อยตัวแต่อย่างใด
          แปลก เธอเป็นคนพูดออกมาเองพร้อมคิ้วที่ขมวดจนเกือบจะชนกัน หลังจากตื่นมาในเช้าวันนั้นเธอกลับไม่กลัว ไม่รู้สึกแปลก ที่ได้เห็นฝันอย่างนั้น
          ในตอนที่พี่มดได้มาคุยกับผมมันยังไม่พ้นช่วงเรื่องทีเกิดขึ้น เธอยังไม่ได้คิดทบทวนอะไรมากมายแต่พอมาเล่าให้ฟังเธอก็ได้ทบทวนมันอีกครั้ง แล้วเธอก็ค่อยๆสังเกตเห็นความแปลกประหลาดที่ไร้เหตุผลในเรื่องราวทั้งหมด
          หลายคืนที่เธอมักฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นมายืนอยู่ข้างเตียง ในสภาพเดิมๆ แต่ไม่มีประโยคใดมาสื่อสารกับเธอ สิ่งเดียวที่ดีขึ้นคือไม่มีใครในบ้านพบเห็นสิ่งน่ากลัวอีก
          เหลือเพียงแค่ตัวพี่มดเท่านั้นที่พบเจอ แต่กลับไม่คิดจะหาทางแก้ไข เธอปล่อยให้ตัวเองฝันซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น
          พี่มดไม่กลัวสิ่งที่เธอเห็น แต่กลับรู้สึก ผูกพัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครทำไมถึงมาให้เธอเห็น มากไปกว่านั้นบางครั้ง เธอเห็นผู้หญิงร่างเปลือนเปล่าคนนี้ซ้อนกับเงาของตัวเองในกระจก
          เหมือนความฝันกับความจริงมันเริ่มกลมกลืนกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเธอเอื้อมมือมาจับท้องของตัวเองอย่างเผลอตัว ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นอะไร
          บางครั้งเธอรู้สึกคิดถึง คิดถึงใครสักคน ใครที่เธอไม่รู้จัก รู้แต่ว่าคิดถึง
          เรื่องราววนไปมาอย่างนั้นได้สักพักหนึ่งเธอก็เริ่มกลัวตัวเอง เพราะวันหนึ่งเธอไปทำบุญกับที่บ้าน เมื่อเข้าไปในวัดได้เพียงไม่นานเธอเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบตามตัว เหมือนคนจะเป็นไข้
          เธอรู้สึกอ่อนเพลียคล้ายจะเป็นลม อากาศในวัดไม่ได้ร้อนมากแต่เธอกลับอึดอัด แต่เธอก็ยังพยายามฝืนเดินต่อไปเพื่อไม่ให้คนที่บ้านต้องเป็นห่วง
           แต่สุดท้ายแล้วมันก็เกินจะฝืนต่อไปเมื่อเธอเดินขึ้นไปถึงศาลาด้านบน เจ้าอาวาสที่นั่งอยู่บนอาสนะหันมามองเธออย่างตั้งใจ เพียงวูบเดียวที่เธอรู้สึกว่าได้สบตากับท่าน เธอก็กลับไป
‘พี่จำอะไรไม่ได้ ได้แต่ฟังแม่เล่ามา’
          ทันทีที่พี่มดสลบไปพ่อกับแม่ตกใจรีบเข้าไปพยุงจะพาเธอกลับแต่เจ้าอาวาสท่านเช้ามาห้ามไว้ก่อน บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติขอให้อยู่ทำบุญเช้ากันก่อนแล้วจะช่วยจัดการให้
          ถ้าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องราวแปลกๆมาก่อนพ่อและแม่ก็คงไม่เลือกจะเชื่อคำของพระท่าน
          งานบุญผ่านพ้นไปในเวลาไม่นาน หลวงพ่อท่านยังไม่ลืมคำพูด เรียกให้พ่อกับแม่พาพี่มดที่ตอนนี้ยังหลับอยู่เข้ามาใกล้ๆ
          ท่านขยับตัวให้ถนัดบนอาสนะ หันไปกราบพระประธานในศาลาเสียก่อนจะเจริญพระพุทธมนต์อยู่ครูหนึ่ง แล้วหยิบขวดน้ำที่เปิดใหม่ยื่นให้พ่อกับแม่
‘เอาให้เขาจิบหน่อย’
          พ่อค่อยๆหยดน้ำใส่ปากพี่มด ในแทบจะทันทีเธอก็ได้สติลืมตาขึ้นมาแต่ยังพูดอะไร พ่อกับแม่พยายามเรียกเขย่าตัวให้ตื่น
          พี่มดค่อยตอบสนองตามเสียงเรียกด้วยสายตา แต่ยังไม่พูดอะไร เมื่อขยับตัวได้ถนัดเธอก็ลงมานั่งคุกเข่ากับพื้นนิ่งไปครู่หนึ่งไม่พูดอะไร
           เธอก้มตัวลงกราบชายสูงอายุในชุดจีวรสีกรักแล้วไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาอีก ท่าในการกราบนั้นก็ดูน้อมลงมากกว่าปกติ หน้าผากจรดติดพื้นอย่างแนบชิด
‘คุยกับเราหน่อยสิ เธอเป็นใคร ได้ยินหลวงตาไหม’
‘ได้ยินค่ะ’
‘เธอเป็นใคร มาทำไม’
‘…’
‘ว่ายังไง’
          มีเพียงประโยคเดียวที่ได้ยินอย่างนั้น หลวงพ่อมองแล้วถอนหายใจแล้วค่อยอธิบายให้ฟังว่า เขาถูกส่งมา แต่ยังไม่รู้ว่าให้มาทำอะไร ยังไม่แน่ใจจุดประสงค์ ดูแลคงไม่ใช่เรื่องของกรรมหรือความต้องการของตัวเอง
          หลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้เอามาอาบกินติดกันทั้งหมด 7 วัน โดยระหว่างนั้นห้ามไปพบเจอใครให้เก็บตัวอยู่บ้านไปก่อน เพราะไม่รู้ว่า ใคร เป็นคนส่งมาทำร้าย

หลังจากกลับมาจากวัดพี่มดถูกพ่อกับแม่กักตัวไว้ในบ้านจริงๆ น้ำมนต์ที่ได้มาถูกใช้ทั้งกินทั้งอาบและผสมในกับข้าวทุกอย่างที่ทำในบ้าน
          เกิดความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจนพี่มดกลับสู่สภาพปกติ เธอไม่เห็นตัวเองซ้อนกับใครอีก ไม่ฝันถึงเธอคนนั้น แต่เธอมั่นใจ เธอยังรู้สึกถึงใครบางคนที่ตามติดเธออยู่ไม่ห่าง
          เมื่อครบวันที่ 7 เธอได้รับสายโทรศัพท์จากหมอดูคนเดิมทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยได้โทรมาอย่างนี้
‘เจอเรื่องแปลกๆอีกแล้วรึเปล่าครับ ว่างมาพบผมสักหน่อยไหมครับ’
          ด้วยความดีใจหรืออะไรไม่รู้เธอรีบตกปากรับคำไปอย่างรวดเร็วโดยในตอนแรกเธอคิดจะไปหาในเช้าวันรุ่งขึ้นเลยแต่หมอดูห้ามเอาไว้ก่อน โดยนัดวันอื่นให้แทนพร้อมกับกำชับว่าให้มาในวันที่เขาบอกเท่านั้น ก่อนนั้นหรือหลังจากนั้นเขาจะไม่สะดวกรับแขก
          เมื่อถึงวันนัดเธอรีบออกเดินทางไปหาหมอทันที เธอไปถึงก่อนเวลาเล็ดน้อยตามที่หมอบอก
          ที่หน้าบ้านหมอมายืนรอเธออยู่ก่อนแล้ว พอเธอลงรถเสร็จก็รีบนำเธอเดินเข้าไปในห้องโดยเริ่มจากการตรวจดวงชะตาด้วยศาสตร์คำนวนที่ค่อนข้างลึกพอสมควร เพราะสามารถบอกลักคณาเวลาตกฟากรวมไปถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่จะผ่านเข้ามาได้อย่างแม่นยำ
          หลังจากตรวจดวงชะตาก่อนแล้วหมอก็ค่อยๆบอกเล่าให้พี่มดฟังทีละนิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤติของชีวิตเธอ อะไรแย่ๆมันจะเข้ามาหาไม่หยุดไม่หย่อน กรรมเก่าที่รอจังหวะมานานจะเข้ามาทวงอย่างกระชั้นชิด
           แต่ตามพื้นดวงนั้นบอกไว้ว่าเรื่องนี้ยังมีทางแก้ โดยจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากคนคนหนึ่งแล้วทุกอย่างจะค่อยๆเข้ารูปเข้ารอย แต่อย่างไรเสียก็อาจจะต้องเจอเคราะห์หนักในเวลานี้
          เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วหมอจึงนำทางพี่มดเดินเข้าไปยังห้องด้านหลังอีกห้องหนึ่ง ในนั้นมีเตียงอยู่ตรงกลางเตี้ยๆสูงประมาณเข่า ในห้องหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและน้ำมันหอม
          หอมบอกให้พี่มดนั่งลงบนเตียงนั้นก่อนที่หมอจะเดินไปหยิบเอาตะเกียงทองเหลืองมาอันหนึ่ง ในนั้นมีควันลอยต่ำออกมาบางๆ จากกลิ่นแล้วคงจะเป็นกำยาน
          มืออีกข้างของหมอมีตะเกียงเล็กๆอีกอัน อันนี้ทำจากกระจกใสๆข้างในมีไฟเทียนถูกจุดเอาไว้ ตะเกียงทั้งสองอันถูกน้ำมาวนรอบตัวของเธอจากนั้นค่อยๆรินเอาน้ำมันหอมข้างในใส่ลงบนมือของพี่มด
‘เอาทาหน้าครับ ให้ทั่วๆ’
          น้ำมันหอมในมือมีปริมาณไม่มากทำให้การทาลงบนหน้านั้นไม่เลอะเทอะหรือหยดลงจนน่าเกลียด จากนั้นหมอบอกพี่มดให้นอนลงแล้วเริ่มเป็นคนหยดน้ำมันลงบนหน้าผาก
          สองมือของหมอค่อยๆนวดวนไปมาระหว่างหน้าผากและหัวคิ้ว ทองแผ่นบางๆวางแปะลงบนหน้าผาก แล้วใช้ของปลายแหลมบางอย่างเขียนอักขระซ้ำลงไปบนแผ่นทอง
          นิ้ววนไปมาจนรู้สึกว่าแผ่นทองนั้นหายไปจากหน้าผากแล้ว อีกครั้งที่พี่มดเริ่มรู้สึกมึนแต่มันกลับมีอีกความรู้สึกที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น
          สองมือของหมอยังไม่หยุดนวดวนตรงหน้าผาก เสียงพึมพำเหมือนสวดมนต์ดังมาเป็นระยะๆ พี่มดเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองเริ่มมีความต้องการ ความรู้สึกกำหนัดเริ่มมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
          เธอค่อยๆรู้สึกร้อนวูบวาบตามตัวพร้อมๆกับความต้องการที่มากขึ้น จนในที่สุดเธอก็รู้สึกถึงสัมผัสของมือที่ไล่ต่ำลงมาจากใบหน้ามาสู่ไหล่เลยต่อมาจนถึงหน้าอกของเธอ
          มือของหมอทั้งสองข้างจับกุมไว้ที่หน้าอกของเธอ เริ่มออกแรงบีบ เธอรู้ว่าเธอกำลังโดนลวนลาม แต่แปลกที่เธอกลับไม่มีความรู้สึกอยากขัดขืนหรือหนีไป
          ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้ายมันจบลงตรงที่ เธอมีสัมพันธ์กับหมอดูคนนี้
          หลังจากเรื่องราวผ่านไปแล้วเธอได้สติกลับมา เริ่มคิดทบทวนก็รู้สึกรับไม่ได้กับตัวเอง รีบแต่งตัวคว้ารถออกมาจากบ้านหลังนั้นทันทีโดยบอกกกับตัวเองว่า จะไม่กลับไปอีก
          วันนั้นเธอจิตตกไปทั้งวัน ความรู้สึกหลายๆอย่างวนเข้ามา แต่เธอก็พยายามลืมมันให้เร็วที่สุด พลาดก็คือพลาด เธอคิดอย่างนั้น
          ไม่กี่วันต่อมาเธอเริ่มมีอาการแปลกๆโดยรู้ภายหลังว่าเป็นวันโกน คืนนั้นเธอนอนไม่หลับรู้สึกไม่สบายตัวและหิว เธอพยายามดื่มน้ำไปหลายแก้วเพื่อประทังความหิวแต่ก็ดูไม่ได้ผล
          สุดท้ายเธอเดินลงมาที่ด้านล่างตรงเข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรกินเพราะทนความหิวไม่ไหว ในตู้เย็นไม่มีอะไรนอกจากน้ำและขนม แต่เธอรู้สึกอยากกินอะไรที่มันอิ่มกว่านั้น
          เธอเดินเลยออกมาที่ห้องครัวเล็กหลังบ้านที่เป็นครัวแยกของคนงานในบ้าน เธอแอบเห็นในตู้กับข้าวมีอาหาหารวางไว้อยู่ เธอหยิบออกมากินอย่างหิวกระหาย ไร้มารยาท (เธอบอกเองว่ามันมูมมามมาก)
          เมื่ออิ่มแล้วก็รีบวิ่งขึ้นห้องเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า เธอบอกว่าเธอรู้ว่าตัวเองทำตัวแปลก แต่ก็เหมือนกับจะห้ามอะไรตัวเองไว้ไม่ได้
          เช้าวันต่อมาเธอตื่นมาในตอนเช้าเพื่อมาร่วมโต๊ะอาหารแต่ยังไม่เจอใคร เธอเดินเลยไปที่ครัวเห็นแม่ยืนคุยกับคนงานอยู่ท่าทางจริงจัง พอดีกับที่เธอเข้าไปได้ยิน
‘เมื่อคืนไม่รู้หมาหรือแมวมันแอบเข้ามาค่ะ เอาอาหารไปกินหมดเลย จานก็วางอยู่ที่พื้น หกเลอะเทอะ’
‘ตาชัยคนสวนรึเปล่าอาจจะหิวดึกๆ’
‘ไม่หรอกค่ะ เพราะว่าอาหารมันเสียแล้ว หนูมาเห็นตอนกลางคืนแล้วเลยเก็บไว้ว่าจะไปให้หมานอกบ้าน’
          พี่มดที่ได้ยินเรื่องนั้นโดยบังเอิญรีบวิ่งกลับขึ้นห้องไปทั้งที่ยังไม่ได้ทักทายคนเป็นแม่เลยสักนิด เธออาเจียนเอาสิ่งที่เธอกินเข้าไปออกมาหมด กลิ่นของเสียที่ออกมานั้นบูดเน่าจริงอย่างที่ว่า
          เธออาเจียนจนเหลือแต่น้ำลายเหนียวๆไม่มีเศษอาหารใดออกมาอีก เธอคลานออกจากห้องน้ำขึ้นมาบนเตียงไม่ลงไปข้างล่างอีก
          เธอส่งข้อความผ่านไลน์ไปบอกแม่ว่าไม่สบาย ขอนอนอยู่บนห้อง สายๆขอโจ๊กร้อนๆมาให้เธอที
          พี่มดกินโจ๊กซองอย่างง่ายๆได้ตามปกติไม่รู้สึกพะอืดพะอมหรือเบื่ออาหารแต่อย่างใด ลึกๆเธอยังกลัวตัวเองอยู่ เธอหยิบโทรศัพท์กดเบอร์หมอดูคนเดิม ช่างใจอยู่นานว่าจะโทรดีไหม
          สุดท้ายเธอก็กดโทรไปที่เบอร์นั้น แต่กลายเป็นว่าไม่มีสัญญาณตอบรับเหมือนกับปิดเครื่องหรือว่าไม่มีสัญญาณ เธอกดโทรซ้ำอีกหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จึงล้มเลิกความพยายามไปแค่นั้น
          ในคืนนั้นเธอรู้สึกไม่สบายตัวอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่ความหิวแต่เป็น ความอยาก เธอรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่เข้าใจตัวเองเพราะเธอไม่เคยเป็นอย่างนี้ เธอไม่ใช่คนที่มีความต้องการสูงอย่างที่เป็นมาก่อน
          เธอพยายามข่มตัวเองให้หลับลงแต่ก็ไม่เป็นผล จนเธอต้องบรรเทาความรู้สึกนั้นด้วยตัวเองจึงพอจะหลับลงได้ และไม่วายในฝันนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนพยายามเข้าหาเธอ
          ในฝันนั้นเธอถูกลวนลามไปทั่วร่างกาย แล้วเธอก็ยืนยันว่ามันเลยเถิดไปจนถึงมีความสัมพันธ์กันในความฝันนั้น แต่ความรู้สึกมันสมจริงเหลือเกิน เหมือนมันไม่ใช่ฝัน
          ทุกคืนเธอจะฝันอย่างนั้น และเธอก็รู้สึกชอบมันอย่างประหลาด เวลาผ่านไปจนวนมาครบอีกอาทิตย์หนึ่ง วันนั้นเป็นวันอะไรสักอย่างเธอจำไม่ได้ แต่แม่เตรียมของไว้ไหว้พระในวันถัดมา คือวันพระ
          ที่บ้านจะใช้วิธีวางของถวายไว้ก่อนในคืนวันโกนแล้วจะถวายบนหิ้งพระในเวลาประมาณ 5 ทุ่ม และจะลาอาหารลงจากหิ้งเวลา 11 โมงเช้าของวันพระ
          คืนนั้นเธอเดินออกมาข้างนอกเหมือนถูกเรียก เหมือนมีใครพาเธอเดินไป สติอันเลือนรางจำได้เพียงเธอเดินตรงไปยังห้องพระของบ้าน
          เธอรู้สึกตัวอีกทีตอนที่ถูกแสงไฟนีออนบนเพดานสาดเข้ามาในตาอย่างกะทันหันพร้อมกับแรงมือที่จับแขนและตัวเธอเอาไว้แน่น

‘มด มด หยุดลูก หยุด!’
          เสียงของพ่อดังเข้ามาในหูอย่างรุนแรงจนเธอรู้สึกเจ็บที่แก้วหูและที่แขน เมื่อได้สติจึงเห็นว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในห้องพร้อม มีมือพ่อล๊อกตัวเธอไว้
           แม่ที่ตอนนี้พยายามแกะเอาของบางอย่างออกจากมือพี่มด มันคือขนมที่แม่วางใส่จานไว้ถวายพระในคืนนั้น พี่มดงงมากว่าทำไมมันถึงมาอยู่ในมือเธอได้
          เมื่อเห็นดังนั้นพี่มดจึงรีบทิ้งขนมในมืออย่างตกใจ แม่รีบเข้ามากอดใช้ชายเสื้อเช็ดใบหน้าให้พี่มด พี่มดคิดว่าคงเป็นน้ำตาจากความตกใจของเธอ แต่เปล่าเลยมันคือคราบขนมและอาหารที่เธอเพิ่งกินเข้าไป
          เธอร้องไห้อย่างหวาดกลัวกอดพ่อกับแม่ไว้แน่นเธอไม่รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เธอเป็นอย่างนี้แล้วมันก็ดูจะร้ายแรงขึ้นทุกวันๆ
          แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ได้ยินเสียงกุกกักมาจากห้องพระที่ติดกับห้องนอน แม่คิดว่าโจรจึงรีบเดินมาดู ในความมืดนั้นมีเงาตะคุ่มๆอยู่ 2 คน แม่รีบเรียกพ่อให้มาดู
          เมื่อเปิดไฟแล้วจึงเห็นเป็นพี่มดอยู่ในท่าคลานกับพื้นใช้สองมือคว้าจับเอาขนมและอาหารบางอย่างใส่ปากอย่างตะกละตะกราม
          คืนนั้นแม่ขอให้พี่มดกลับไปหาหลวงพ่ออีกครั้งพร้อมกันในตอนเช้า ซึ่งพี่มดก็เชื่อและทำตามแต่โดยดี คืนนั้นเธอไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องนอนของตัวเอง เธอเลือกที่จะไปนอนกับแม่และพ่อในอีกห้องหนึ่ง
          ในตอนสายของวันต่อมาที่ทั้งบ้านนัดกันว่าจะไปหาหลวงพ่อที่วัด แต่แผนนั้นก็ต้องยกเลิกไปเมื่อพี่มดมีไข้ขึ้นสูงตัวร้อนนอนซมอยู่ที่บ้านไปทั้งวัน
          แม่นั่งเฝ้าพี่มดที่ข้างเตียงไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง เธอพยายามกินยากินอาหารให้ตัวเองหายไวที่สุดเพื่อที่จะได้หายจากสิ่งที่เป็นอยู่
          ตกดึกเธอเริ่มมีอาการดีขึ้นทำให้พอนอนหลับได้อย่างสบายใจ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เธอตื่นขึ้นมากลางดึกเหมือนถูกเรียก อีกครั้ง
          ครานี้ไม่ใช่แค่เธอออกมาเดินเพ่นพ่านในบ้าน แต่เธอกลับรู้สึกว่าอยากไปหา ไปหาใครสักคน ใครสักคนที่เธอรู้ดีว่าเขาเป็นใคร ใครคนที่เธอฝันถึงและมีสัมพันธ์ด้วยในเกือบทุกๆคืน
          เธอเดินลงมาที่ชั้นล่างหยิบกุญแจรถขับออกไปกลางดึกโดยไม่มีใครทันได้ออกมาห้ามเพราะหลับกันหมดแล้ว เธอมาตัวเปล่ามีแค่ตัวเธอในชุดนอนและรถเท่านั้น กระเป๋าเงินหรือโทรศัพท์ไม่มีมาด้วย
          เธอขับรถตรงไปยังบ้านของหมอดูคนนั้นแม้ว่าจะเป็นต่างจังหวัดแต่เธอกลับไม่รู้สึกว่ามันไกลแต่อย่างใด
          เมื่อมาถึงแล้วเธอเดินตรงเข้าไปในบ้านที่เปิดอยู่เหมือนรู้ว่า เธอจะมา เธอเดินตรงเข้าไปยังห้องที่เธอเคยไปเหมือนรู้ว่า ต้องไปที่ไหนในบ้านหลังนี้
          เมื่อไปถึงเธอก็ได้เจอกับหมอดูคนเดิม คนที่เธอตั้งใจจะมาหาเขาในสภาพเปลือยกาย และแน่นอนว่ามันก็จบลงด้วยเรื่องเดิมๆอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ฝัน เท่านั้นเอง
          คืนนั้นทั้งคืนจนสว่างเธอไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย แม้จะเริ่มรู้สึกเจ็บก็ตาม(เธอเล่าไว้อย่างนี้) เมื่อฟ้าสางเธอที่เพิ่งหลับไปได้สักครู่ตกใจจนตัวสั่น หันมองซ้ายขวา ไม่พบใคร
          อีกครั้งที่เธอต้องรีบคว้ารถของตัวเองออกจากบ้านหลังนี้อย่างกวาดกลัว เธอขับตรงมาถึงบ้านในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเธอวิ่งเข้ามาจึงเห็นว่าพ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่โซฟาหน้าบ้าน
‘ไปไหนมาลูก ไม่มีใครเห็นเลย ตกอกตกใจกันไปหมด’
          เธอไม่ได้เล่าอะไรให้พ่อกับแม่ฟัง เพียงแต่กอดท่านทั้งสองเอาไว้แล้วร้องไห้อย่างผิดหวังในตัวเองอีกครั้ง
          วันนั้นเธอไม่นอนต่อ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหาหลวงพ่อคนเดิมที่เคยช่วยเธอมาครั้งหนึ่ง คราวนี้ยกกันไปทั้งบ้านทั้งพ่อแม่และคนงานด้วยความเป็นห่วง
          เมื่อไปถึงก็ต้องถามหากุฏิหลวงพ่อ เพราะไม่ได้นัดเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อเดินไปตามทางที่เด็กวัดบอก หลวงพ่อรูปเดิมกำลังนั่งเล่นกับหมาวัดอย่างเอ็นดู
‘คราวนี้ไปโดนอะไรมาอีก ทำไมมันแย่อย่างนั้น’
          เพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนทั้งบ้านรีบเดินเข้าไปกราบท่านเพื่อขอความช่วยเหลือ หลวงพ่อนั่งพินิจอยู่นานก็ยังไม่พูดอะไรออกมา เพียงแต่ถอนหายใจอย่างเวทนาก็เท่านั้น
          หลวงพ่อให้คนทั้งหมดนั่งรอที่แคร่ไม้นอกกุฏิ ท่านเข้าไปห่มจีวรให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมาพร้อมกับไม้เท้าอันหนึ่งในมือ
          ขนาดของไม้เท้าค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับตัวท่าน ความสูงนั้นเรียกได้ว่าพอดีกับตัวท่าน ท่านจึงสามารถวางมือไว้บนไม้เท้าได้อย่างสบายๆไม่ต้องก้มตัว
‘เอ้า มานั่งนี่ ผู้ชายแข็งแรงๆมาจับไว้ที’
          หลวงพ่อใช้ปลายไม้เท้าจิ้มลงไปหลางกระหม่อมของพี่มดพร้อมบริกรรมคาถา ปลายไม้เท้าถูกลากผ่านลงมาจนถึงต้นคอของเธอ พร้อมๆกับที่เธอเริ่มมีอาการสั่น สั่นรุนแรงจนคนที่จับไว้เริ่มจะเอาไม่อยู่
          เธอรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว อยากอาเจียนอีกแล้ว คราวนี้หลวงพ่อเปลี่ยนมาใช้อีกด้านของไม้เท้าเอามาเคาะที่หัว วนขวาเจริญพระพุทธมนต์
‘หลุดเถิด คลายเถิด อย่าได้เบียดได้เบียนกันอีกเลย’
          สิ้นสุดประโยคนั้นพี่มดก็อาเจียนออกมาในทันที ดีที่อยู่นอกกุฏิทำให้ไม่เปื้อนมากนัก เศษอาหารร่วงลงกองอยู่ที่พื้น นอกจากนั้นยังมีน้ำมันสีเหลืองๆเขียวๆปนมาด้วยแต่ที่น่ากลัวที่สุดคงจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หลุดออกมาด้วย
          พี่มดหยุดเล่าทำท่าพะอืดพะอมเหมือนจะอาเจียนออกมาอีกครั้ง เธอดูดน้ำอัดลมเข้าไปอึกใหญ่เผื่อมันจะช่วยให้ดีขึ้นบ้าง
‘เรื่องนี้เล่าให้ใครฟังก็แทบไม่มีใครเชื่อจริงๆ’
          หลังจากที่เธออาเจียนอยู่พักหนึ่งเธอรู้สึกหมดแรงแต่ยังคิดว่ามันมีอะไรติดอยู่ที่คอของเธอ เหมือนยังมีอะไรที่พยายามจะออกมาแต่ยังไม่หมด หลวงพ่อใช้ไม้เท้าในมือกระแทกลงไปกลางหลังอีกทีหนึ่งเบาๆ
          ภาพที่เกิดขึ้นในวันนั้นหากไม่ใช่คนในเหตุการณ์มันก็คงยากเกินกว่าจะเชื่อได้ พี่มดอาเจียนออกมาอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่เศษอาหารแต่กลับเป็น แมลง
          แมลงสีดำตัวเล็กๆมีหางยาวขนาดประมาณหนึ่งเซ็นร่วงลงมาจากปากของพี่มดมากองอยู่บนพื้น คนงานในบ้านบอกว่ามันมีชื่อเรียก แต่เป็นภาษาอีสานพี่มดเลยจำไม่ได้
‘ไป ไปซะ มาทางไหนไปทางนั้น’
          สิ้นเสียงของหลวงพ่อแมลงตัวนั้นก็วิ่งฝ่ากลางวงคนในบ้านออกไปทางป่าหลังวัด ตอนนั้นพี่มดจำอะไรไม่ค่อยได้มันเลือนราง มึนๆเบลอๆ
          พี่มดได้พักหายใจครู่หนึ่งจนดีขึ้น เธอคลานเข้าไปกราบหลวงพ่อด้วยความศรัทธายิ่ง ที่ช่วยชีวิตเธอไว้ถึงสองครั้งสองครา หลวงพ่อยื่นเอาน้ำมนต์ให้ดื่ม
          เธอบอกว่ามันเย็นมาก เย็นกว่าน้ำในตู้เย็นและสดชื่นมากกว่า เรียวแรงที่หายไปเริ่มกลับมาเริ่มดีขึ้นหลวงพ่อยิ้มอย่างเอ็นดูเหมือนเห็นลูกหลาน
‘หนูจะเป็นอะไรอีกไหมคะ’
‘อาตมาช่วยได้เท่านี้นะโยม มันเกินกิจของสงฆ์’
          หลวงพ่อบอกไว้เท่านั้นแต่ก็ยังให้ตะกรุดเก่าๆมาเก็บไว้อันหนึ่งโดยกำชับไว้สองข้อ หนึ่งคือห้ามให้ตะกรุดนั้นห่างตัว และข้อสองคือ หลังจากนี้เธอต้องรักษาศีล หมั่นทำบุญ ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ เมื่อจิตมีกำลัง เมื่อบุญวาสนาถึงพร้อม ทางออกจะวิ่งเข้ามาหาตัวเธอเอง

เธอรับคำอย่างหนักแน่นและทำตามคำแนะนำนั้นเรื่อยมา เธอตระเวนไปตามเทวลัยและศาลต่างๆ สร้างบุญไม่เคยขาดทั้งกับพระ และผู้ตกยาก
          คืนหนึ่งเธอเหมือนถูกเรียกอีกครั้ง เธอได้ยินเสียง เสียงของหมอดูคนนั้น เรียกชื่อเธอ เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวหรือลอยอยู่ในอากาศ เธอก็ไม่แน่ใจ
          พี่มดกำตะกรุดของหลวงพ่อไว้แน่นหลับตาสวดมนต์เท่าที่ตัวเองพอจะนึกออกแต่เสียงเรียกนั้นยังคงดังก้องอยู่จนเธอเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว
          ในหัวเธอได้ยินเสียงระฆังดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงระฆังวัด เธอแน่ใจ เสียงนั้นกลบเอาเสียงเรียกของชายนมจมหายไปจนสิ้น จนห้องทั้งห้องกลับมาสู่ความเงียบสงบดังเดิม
          เธอได้ยินเสียงเรียกอีกหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จ หลายครั้งอีกเช่นกันที่เธอเห็นหญิงสาวร่างเปลือยเปล่าขึ้นอืดคนนั้นมายืนอยู่นอกรั้วบ้านมองตรงขึ้นมายังห้องนอนของเธอ
          เธอเล่ามาถึงตรงนี้ก็คงจะครบเรื่องราวทั้งหมดแล้วที่เกิดขึ้น เธอถามผมว่ามันคืออะไรและพอจะรู้อะไรบางไหม
          ตลอดเวลาที่ผมนั่งฟังเรื่องเล่าจากเธอ ในความคิดของผมผมเห็นภาพหนึ่งอย่างชัดเจน ผมหยิบเอาสมุดเล่มเล็กๆที่ติดตัวไว้ตลอดออกมาวาดรูปให้เธอดู
          ผมเคยเห็นของลักษณะอย่างนี้แต่มันแปลกกว่าที่ผมเคยเห็น มันคือวงลักคณาที่เขาไว้ใช้ทำนายดวงกัน แต่มันมีมุมอื่นที่เหมือนถูกดัดแปลก ตัวอักษรบางตัวกลับด้าน บ้างทิ่มลง ผมอ่านไม่ออก แต่มันเห็นอย่างชัดเจนจึงวาดภาพตามสิ่งที่เห็น
          เธอเห็นแล้วเผลออุทานเสียงดังออกมากลางร้าน เธอบอกว่ามันคือวงลักคณาที่หมอดูคนนั้นเขียนให้เธอเป็นครั้งแรกในวันที่ไปดูหมอ
          ผมถามหากระดาษแผ่นนี้ว่าอยู่ไหนหรือว่าถูกทำลายไปหรือยัง เธอบอกว่าหมอดูคนนั้นเก็บเอาไว้ เขาให้เขียนชื่อจริงนามสกุลไว้ด้านหลัง แล้วลงลักคณาตามศาสตร์ที่เขาร่ำเรียนมาก จากนั้นใช้ยันต์สีแดงประกบทับแล้วใส่พานพุ่มเล็กๆไว้
‘เป็นการบูชาดวงครับ’
          หมอดูบอกไว้อย่างนั้น เธอเลยยกขันจรดหัวกล่าวคำตามหมอที่พูดนำ เธอพอจำได้ลางๆ
‘ข้าพเจ้าชื่อ... อนุญาตให้.... สามารถรับรู้ตรวจดวงชะตาของข้าพเจ้าได้ โดยไม่มีข้อแม้ แล้วตามด้วยคาถาสั้นๆอีกสองสามจบ’
          หมอบอกว่ามันเป็นการขออนุญาตเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เขาได้เห็นได้บอกในสิ่งที่จะเกิด แล้วเขาก็เก็บพานพุ่มนั้นไว้ที่ตัวเอง ไม่ได้ส่งคืนให้เธอแต่อย่างใด
          หลังจากนั้นหมอก็เริ่มตรวจดวงชะตาตามพื้นฐาน แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาทำคือการ ชำแหละดวง ศาสตร์พยากรณ์ต้องยอมรับว่ามีหลายแขนง และมีทั้งขาวและดำ
          หลายคนใช้เพื่อช่วยเหลือ หลายคนใช้หากิน และหลายคนใช้มันมากกว่านั้น ในบางศาสตร์ที่ค่อนข้างลึกและละเอียด ผู้ชำแหละดวงชะตาจะไม่เพียงรู้พื้นดวง หรืออุปนิสัย แต่เขาจะรู้ถึงนิสัยใจคอ จุดอ่อน จุดแข็ง และเรื่องราวที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต
          แต่ใช่ว่าจะมีคนทำอย่างนี้ได้มากนัก เรียกได้ว่าเป็นส่วนน้อยเหลือเกินเพราะต้องผ่านการเรียนรู้มาอย่างถูกต้องและต้องได้วิชาที่เป็น ของจริง มาเสียก่อน
          เมื่อรู้จุดอ่อนแล้วก็ไม่ยากที่จะกระทำการอันใดให้เป็นไปตามความประสงค์ของตน การทำเคล็ดต่างๆ หลอกล่อให้เจ้าตัวเผลอรับนั่นรับนี้เข้าไป
          ผมจะยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ฟัง หากจุดประสงค์ของหมอดูคือ อยากได้ร่างกายของคนคนนี้ สิ่งที่เขาจะทำก็มีเพียงการคำนวณ เพื่อให้ได้มาซึ่ง วันที่เขาจะสามารถทำเคล็ดได้
          เมื่อได้วันเวลามาแล้ว เขาจะต้องนัดเจ้าตัวมาเพื่อทำเสน่ห์ หรือปลุกกำหนัด ในวันเวลาที่เจ้าของดวงชะตาตกอยู่ในเรื่องของกามารมณ์ หรือหมายถึงช่วงที่มีความต้องการมากเป็นพิเศษ ด้วยอิทธิพลของหลายๆอย่าง
          พอผมพูดอย่างนี้เข้าเธอก็เข้าใจได้ในทันทีถึงวันแรกที่เธอเสียตัวให้หมอดูคนนั้น ทำไมเขาต้องบังคับให้เธอมาหาในวันและเวลาที่เขาต้องการเท่านั้น
          หลายครั้งที่เธอรับของมา และหลายครั้งที่เธอทำพิธีกับเขา การขออนุญาตดูดวงอะไรนั่นมันไม่ใช่แต่แรกแล้ว แต่มันคือการฝากดวงไว้กับหมอดู
          มันเป็นเหมือนกันให้สิทธิ์เขาในการทำอะไรเราก็ได้ เหมือนกับการฝากขวัญ ทางออกในเรื่องนี้มีอย่างเดียวคือต้องเรียกขวัญคืน
          ใครที่มีขวัญเราอยู่ในมือ เขาจะสามารถสวดเรียกจิตเราได้ สามารถส่งผีส่งพรายมาคุมมาเรียกก็ย่อมได้ ตรงนี้คงเป็นคำตอบในเรื่องของเสียงเรียกในหลายๆคืน
          ในทางกลับกันถ้าเขาไม่ได้อยากได้ร่างกาย เขาก็สามารถทำให้ชีวิตเราแย่ลงเพื่อกลับไปหาเขาให้เขาแก้ก็ได้เช่นกัน ได้เงินอีกหลายๆรอบๆ
          อีกวิธีหนึ่งคือการทำดวงเมือง เขาใช้ศาสตร์นี้ในการวางดวงเมืองมาแต่โบราณให้สอดคล้องกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน วันขึ้นครองราชย์ วันเถลิงต่างๆ สัญลักษณ์ประจำพระองค์ วัดประจำพระองค์ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป
          กลับเข้ามาที่เรื่องของพี่มด พี่มดรู้แล้วว่ามันเกิดจากอะไร แต่ทางออมันจะเป็นอย่างไร ทำไมหลวงพ่อถึงไม่เลือกที่จะช่วยเธอตั้งแต่ตอนนั้น
          จริงอย่างท่านว่า มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่มันคงเป็นเรื่องของฆราวาสอย่างเราๆที่ต้องวุ่นวายกันไป ผมพาพี่มดเดินไปที่หน้าเซนทรัลเวิล์ดซึ่งไม่ไกลจากตรงนั้นมาก
          ที่ตรงนั้นทุกคนคงจะทราบกันดีว่ามีเทวรูปของมหาเทพอยู่สองพระองค์หนึ่งคือพระพิฆเนศ และอีกองค์นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็น พระตรีมูรติ หรือว่า พระสทาศิวะ(พระศิวะ5เศียร)
          อย่างไรก็ตามที่ตรงนั้นมีกระแสที่ดีและค่อนข้างรุนแรง ผมพาเธอเดินเข้าไปสักการะทั้งสองพระองค์ก่อน ที่ตรงหน้าพระสทาศิวะ (ผมขอเรียกอย่างนี้ เพราะกระแสที่รู้สึกได้เป็นท่านมากกว่า หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะตัวผมคุ้นเคยกับกระแสของท่านมากกว่า)
          ที่ตรงนั้นผมขอให้พี่มดอธิฐานขอพรท่านผู้เป็นตัวแทนแห่งการทำลายเพื่อล้างสิ่งไม่ดีออกไป พร้อมกับตัวผมเองช่วยสื่อสารและเป็นสื่อกลางให้ในคราวเดียวกัน(ไม่ได้ทรงเจ้าเข้าผีอะไรนะครับ)
          เมื่อได้รับกระแสอันน่ายินดีเหมือนเป็นการตอบรับความสำเร็จแล้วจึงพาเธอไปกราบขอพรพระพิฆเนศต่ออีกครั้ง ตามความเชื่อพระพิฆเนศเป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จและพรอันประเสริฐนั่นหมายถึงอยากขออะไรท่านก็จะให้ ถ้าเรามีวานา
          แต่อีกอย่างคือ งาขอท่านที่หักออกมานั้นมีความเชื่อว่าเป็นตัวแทนของการเขียนวรรณกรรมและเรื่องเล่า หากอะไรที่ถูกจารด้วยงาท่านจะทรงอิทธิและมีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นก็ลองขอให้ท่านขีดเขียนชีวิตเราดูบ้างจะเป็นไร
          สิ่งที่ผมทำให้เธอนั้นมีเพียงแค่คำแนะนำที่ให้เธอกลับไปทำที่บ้าน และการระวังตัว พวงมาลัยที่ผมขอให้เธอหามาถวายท่านในวันนั้นหลังจากวางถวายไปแล้วผมหยิบมาถือไว้ในมือก่อน เพื่อส่งต่อใจความนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
          เมื่อได้รับสัญญาณตอบรับนั้นแล้วผมจึงเด็ดเอาดอกมะลิดอกเล็กๆจากพวงมาลัยนั้นให้เธอ กิน เธอคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้ก็ งงๆ แต่ก็แปลกที่เธอทำตามแต่โดยดี
          คืนนั้นเธออาเจียนแล้วอาเจียนอีก มีแต่สิ่งสกปรกออกมาเช่นเคย หลังจากที่เธออาเจียนออกมาหมดแล้วเธอบอกว่ามันโล่งเบาสบายกว่าทุกที ผมไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังมากนักเพียงแค่บอกไปว่า
‘บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้ทั้ง พุทธคุณ และเทวฤทธิ์ไปพร้อมๆกันจึงจะสำเร็จ’
          เรื่องสุดท้ายที่ผมฝากเธอไว้คือ เธอต้องเรียกขวัญคืนจากหมอดูคนนั้นผมให้เธอเลือกว่าจะให้ทางผมทำให้ ก็คือผมจะพามาหาปู่ที่อยู่พิษณุโลก หรือจะไปหาทางทำเอง หลังจากปรึกษาครอบครัวแล้วทางบ้านเลือกจะทำกันเองเพราะพ่อเธอเป็นคนเหนือมีพิธีที่สืบต่อกันมา
          อีกอย่างเขาก็คงไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาเสี่ยงกับใครที่ไหนไม่รู้อย่างผมด้วยกระมัง
.........................................................................................................................................

เรื่องนี้จบลงตรงนี้ครับ
เรื่องราวเหล่านี้อาจดูเหลือเชื่อ เกินจริง แต่มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไม่หายไปไหน
ศาสตร์เหล่านี้เป็นเหมือนเหรียญสองด้านจะใช้สร้างบุญหรือสร้างกรรมก็สุดแล้วแต่ผู้ใช้
ผมมีคำเตือนสำหรับคนที่ชอบดูดวงบ่อยๆนะครับ อย่างหนึ่งเลยคือ อย่าไปดูบ่อยมากนัก ปีละครั้งก็พอ
แล้วถ้ามีการบอกวันเดือนปีเกิดหรือชื่อ หลังดูเสร็จขอกระดาษนั้นกลับมาก็จะดี แล้วอย่าไปทำพิธีอะไรตามเขามั่วซั่ว มันอันตรายครับ
เลือกหมอดูด้วยครับ สมัยนี้หลอกลวงก็เยอะ น่ากลัวครับ
ปล.เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปล.2ผมไม่ได้มีเจตนาจะพาดพิงหรือว่าร้ายใครใดๆทั้งนั้นเพียงแค่เล่าเรื่องราวให้ฟังกันก็เท่านั้น

ขอบคุณครับที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ เจอกันใหม่เร็วๆนี้ครับ
ลอยชาย.

ไม่มีความคิดเห็น