ตั้งศาลให้หน่อย...


     "ตั้งศาลให้หน่อย" เป็นเรื่องขอคุณ ลอยชาย สุดยอดนักเล่าแห่งพันทิปผู้มีประสบการณ์หลอนๆมากมาย และเรื่องของเขายังน่าอ่าน และเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เรื่อง "ตั้งศาลให้หน่อย" และความผูกพันของเขา ขอขอบคุณเรื่องดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

     ห่างหายไปนานเหมือนกันนะครับ (อีกแล้ว) กับการที่ผมจะมาเล่าอะไรให้ฟัง ชีวิตมันไม่ค่อยจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้สักเท่าไหร่ เราคิดว่าเราว่างแต่เดี๋ยวมันก็จะมีเรื่องด่วนเข้ามาขัดได้ตลอด งานนั่นงานนี่เข้ามาพร้อมๆกันแต่ก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้สักอย่าง เพราะทั้งหมดนั้นคือโอกาสที่ไม่รู้ว่าจะเข้ามาอีกเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าตอนนี้ว่างขึ้นมาหน่อยแล้วครับ ลองมาอ่านเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังกันนะครับ

     ก่อนอื่นใดขอกล่าวไว้เหมือนอย่างเคยอีกสักครั้ง…เนื้อหาและใจความต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากสิ่งที่ท่านได้อ่านต่อไปนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ท่านผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น… ขอบคุณครับ

           เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมยังเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์แปลกๆเข้ามาหาในแต่ละวันอย่างต่อเนื่องจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยแต่ก็หนีไม่เคยพ้นเลยสักครั้ง
           ตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่าผมกำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมของภาควิชา ผมนั่งอยู่ที่ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัยร่วมกับเพื่อนอีกหลายคน วันนั้นเรากำลังนั่งเฝ้าดูน้องปีหนึ่งทำกิจกรรมกันอยู่ ทุกอย่างสนุกสนานสมกับเป็นชีวิตมหาลัย เสียงร้องเพลงและเสียงกลองสันทนาการดังก้องไปทั่วพื้นที่ผสมกับเสียงหัวเราของรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทสนมกันบ้างก็เกลียดขี้หน้ากันเต็มทน
           ระหว่างนั้นเองที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมเริ่มสั่นขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าคงเป็นข้อความของเพื่อนที่ทักมาตามปกติไม่ก็แชทกลุ่มที่มักจะคุยกันอยู่เป็นประจำ แต่เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีมันก็ยังสั่นไม่หยุดจนผมเริ่มสงสัยว่ามีเรื่องด่วนอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า
            ผมหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าทั้งหมดนั้นเป็นการแจ้งเตือนจากไลน์ ผมเข้าไปดูเนื้อหาด้านใน รายชื่อผู้ที่ส่งข้อความมานั้นเป็นชื่อที่ผมไม่รู้จัก
“น้องคะคือว่าพี่ได้ยินมาจาก...”
          ขึ้นต้นประโยคมาอย่างนี้ก็พอจะรู้ชะตากรรมของตัวเองรวมไปถึงเจ้าตัวคนที่แนะนำผมให้กับ ‘พี่ไก่’ ที่ติดต่อผมมา ความรู้สึกในตอนนั้นน่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความรำคาญใจเพราะไม่ได้มีการติดต่อมาจากคนรู้จักของผมก่อนที่จะมีพี่คนนี้ติดต่อมา ผมเลื่อนอ่านข้อความในนั้นผ่านๆเพียงแค่พอได้ใจความเท่านั้น ใจความนั้นไม่ได้แปลกใหม่พี่ไก่แค่ต้องการให้ผมดูรูปภาพเกือบสิบรูปที่ส่งมา ภาพถ่ายนั้นเป็นภาพของที่ดินรกๆแปลงหนึ่ง มันไม่ได้ว่างเปล่ามีสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้วจากส่วนที่ติดเข้ามาในรูป ส่วนที่ดินตรงนั้นมีกอไผ่อยู่กอหนึ่งซึ่งมันใหญ่พอสมควร
“พี่อยากจะตั้งศาลตรงนี้ ตั้งได้ไหมคะ”
         นั่นคือคำถามจากพี่ไก่ ผมกวาดสายตามองอย่างลวกๆเพราะความสนใจของผมในตอนนั้นยังอยู่กับเพื่อนๆและรุ่นน้องที่ทำกิจกรรมอยู่ตรงหน้า ผมมองรูปภาพเหล่านั้นเพียงผ่านๆและรู้สึกว่ามัน ‘สวยดีไม่น่ามีอะไร’
“ได้เลยครับ”
          ผมตอบพี่ไก่กลับไปด้วยประโยคสั้นๆส่วนพี่ไก่นั้นตอบกลับมาอีกยืดยาวโดยไม่ได้มีใจความอะไรพิเศษนอกจากคำขอบคุณและพยายามจะยัดเยียดโอนเงินมาให้ผมและแน่นอนว่าผมรับไม่ได้ จึงไม่ได้สนใจจะตอบกลับไปแต่อย่างใด
           จากวันนั้นเวลาน่าจะผ่านไปเกือบสัปดาห์ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นทางพี่ไก่ยังไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาแต่เป็นตัวผมเองที่เกิดอาการผิดปกติจนผมสังเกตได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าว่ากันตามตรงเพื่อนของผมหลายๆคนก็สังเกตเห็นความผิดปกติเหล่านั้นเช่นกัน
          สิ่งที่เกิดขึ้นอาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ไม่แปลกอะไรแต่เมื่อเอาทุกอย่างมาพิจารณารวมๆกันแล้วมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ปกติ ปกติแล้วผมค่อนข้างจะเป็นคนที่ไม่ได้จริงจังกับการเรียนเท่าที่ควร แม้จะไม่ได้ปล่อยปะจนสอบตกอะไรแต่ระหว่างคาบเรียนก็มักจะแอบทำอย่างอื่นโดดเรียนก็บ่อยและบ่อยที่สุดคงจะเป็นการหลับในคาบเรียน
          หลายๆคนก็คงจะเคยหลับในคาบโดยเฉพาะในช่วงมหาวิทยาลัยที่อาจารย์ไม่ได้จู้จี้กับเราเท่ามัธยม
          ช่วงนั้นผมหลับแทบจะทุกคาบ ไม่ใช่แค่งีบไปแต่หลับสนิทจะตื่นอีกทีก็ตอนที่ต้องย้ายห้องหรือลงไปกินข้าวกลางวัน ตอนแรกเพื่อนๆยังไม่รู้สึกอะไรเพราะผมหลับเกือบจะเป็นปกติแต่จะยังมีช่วงที่ตื่นขึ้นมาฟังบ้างไม่ได้หลับลึกเท่าช่วงนี้
           ความรู้สึกที่ผมจำได้คือผมง่วงมาก มันไม่ใช่ง่วงเพราะนอนไม่พอแต่มันรู้สึกเพลียไม่ค่อยมีแรง จะลุกจะเดินก็ดูเหนื่อยดูยากไปหมด พอได้นั่งพักในห้องแอร์เย็นๆก็หลับไปเสียทุกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
           เวลาในช่วงกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะผมเอาแต่หลับ ช่วงพักกินข้าวมันก็แค่ประมาณชั่วโมงหนึ่งและผมก็กินไม่ค่อยจะลงรู้สึกเบื่ออาหารร้านประจำที่เคยกินก็ดูไม่น่ากินเหมือนอย่างเคย ข้าวในจานผมทำได้แค่เขี่ยไปเขี่ยมาอย่างนั้น อาศัยกินน้ำหวานน้ำอัดลมเพื่อให้ตัวเองพอมีแรงเท่านั้น
           จนเวลามาถึงช่วงเย็นผมจะรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่ผมก็ไม่ได้เอาความสดชื่นนั้นไปใช้ทำอะไรหลังจากเลิกเรียนผมก็ตรงกลับหอเปิดแอร์นอนพักอย่างสบายใจ บางครั้งจะรู้สึกหิวตามปกติ แต่บางครั้งมันมากกว่านั้น มีคืนหนึ่งที่ผมจำได้ดี
           คืนนั้นผมงีบหลับไปในช่วงหัวค่ำตื่นมาอีกทีน่าจะประมาณใกล้ๆสี่ทุ่มซึ่งมันไม่ได้แปลกอะไร ผมรู้สึกแสบท้องและค่อนข้างหิวจึงเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเพื่อนที่อยู่หอเดียวกันแต่คนละชั้น ผมชวนเพื่อนออกไปหาอะไรกิน ช่วงกลางคืนข้างมหาวิทยาลัยจะมีร้านอาหารเปิดอยู่เต็มไปหมดดูคึกคักพลุกพล่านมากกว่าช่วงกลางวัน
           ผมกับเพื่อนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยที่คนไม่เยอะมากแต่รอนานจนแทบหลับนั่นคือหนึ่งคำถามที่ติดอยู่ในใจจนกระทั่งเรียนจบว่าทำไมมันถึงนานได้ขนาดนั้น ก๋วยเตี๋ยวสองชามใหญ่ถูกผมยัดลงท้องในเวลาไม่กี่นาทีจนเพื่อนผมมองหน้างงๆ แต่คงคิดว่าผมแค่หิวมากเท่านั้น ก่อนจะกลับหอผมแวะที่เซเว่นอีกรอบเพราะรู้สึกว่าท้องยังว่างๆอยู่
          ถัดมาอีกไม่กี่นาทีผมเดินขึ้นหอมาพร้อมถุงขนมใหญ่ๆสองถุงที่คิดว่าจะตุนเอาไว้เฉยๆ แต่มันกลับหมดทันทีในคืนนั้นหลังจากนั่งกินขนมหาอะไรดูไปเรื่อยจนพอใจแล้วผมก็ปิดไฟเตรียมตัวนอน ผมหลับได้สนิทดี มันควรจะเป็นอย่างนั้นไปจนถึงเช้าแต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะผมถูกปลุกขึ้นกลางดึกด้วยเสียงใสๆที่ผมคุ้นเคย
“พี่จ๋า...”
เสียงหวานของเด็กผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู

เสียงของเด็กน้อยที่ผมฝากให้เขาดูแลแม่อยู่ที่บ้านในระหว่างที่ผมมาอาศัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย พอจำได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใครผมก็รีบลืมตาขึ้นเพราะคิดว่าอาจมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคนที่บ้านหรือเปล่าแต่สิ่งที่ปรากฏสู่สายตานั้นต่างจากความคิดของผมไปโดยสิ้นเชิง
          ในห้องของผมจะมีชั้นหนังสือไม้อัดแบบประกอบเองที่หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปอยู่หลายอัน โดยทั้งหมดจะถูกเรียงไว้ชิดกำแพงห้อง ข้างในนั้นบรรจุหนังสืออยู่จนล้น ส่วนบนของชั้นนั้นจะมีของสะสมเล็กๆน้อยๆวางตั้งอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ว่างไว้สำหรับวางของเอนกประสงค์ แต่ตอนนี้มันไม่ได้ว่างเปล่า
          สิ่งที่ผมเห็นในความมืดของห้องคือเงาร่างของหญิงชราคนหนึ่ง ใบหน้าของเธอเหมือนจะโดดเด่นขึ้นมาในความมืดทั้งที่ไม่มีแสงสว่างส่องมากระทบ ใบหน้านั้นเหี่ยวย่นจนเกือบจะเรียกว่ายับยู่ยี่ ดวงตาของเธอตีบเล็กทำให้มองเห็นดวงตาเธอได้แค่บางส่วนแต่พอจะจำได้ว่าตาดำของเธอดูใหญ่ผิดปกติ
          หญิงชราในท่านั่งยองอยู่บนหลังชั้นหนังสือจดจ้องมาที่ผม สองมือนั้นกอดกุมอยู่ที่เข่า เรียวนิ้วของเธอก็แห้งเหี่ยวไม่แพ้กัน แต่ที่ผมรู้สึกขนลุกกว่าคือทรงผมของเธอ ผมคิดว่าผมเธอนั้นคงจะเคยเป็นผมยาวที่ยาวมากๆแค่มันดูสกปรกและติดกันเป็นกระจุกๆ บางส่วนดูขาดไม่เป็นทรงไม่น่าจะเกิดจากการตัด
          ดวงตาคู่นั้นมองผมด้วยเหตุใดไม่อาจทราบได้ ตอนนั้นผมกลัวผมจำได้ หัวใจเต้นเร็วแรง มือเท้าเย็นมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เด็กน้อยที่มาเรียกผมตอนนี้ยังคงนั่งอยู่ใกล้ๆไม่ห่างไปไหน หญิงชรายังคงมองมาที่ผมอย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร
          ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากอาการสัปหงก ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่ความฝันแล้วผมไม่ได้หลับเพราะผมยังอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างนั้น แต่มันเหมือนกับสติของผมขาดหายไปช่วงสั้นๆ ทันทีที่รู้สึกตัวก็กวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่ตอนนี้ว่างเปล่า ไม่เหลือเงาร่างของใครแม้แต่คนเดียว
          ผมสูดลมหายใจเข้าออกปรับอารมณ์ให้เข้าที่พยายามจะนอนต่อแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความกลัวยังคงมีอยู่ในใจผมตอนนั้น ผมตัดสินใจเดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่างทุกดวง เปิดเพลงให้ดังจนคิดว่าคนข้างนอกที่เดินอยู่ตามทางเดินคงจะได้ยินเสียงเพลงเหล่านี้แน่ๆ
          แสงสว่างกับเสียงเพลงพอช่วยให้คลายความกังวลลงได้บ้าง ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งแล้วค่อยๆหลับไปในเวลาต่อมา
          ในตอนเช้าผมถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงเรียกเข้าจากแม่ที่น่าจะตื่นมาเตรียมตัวไปทำงานแล้ว ผมรับสายด้วยน้ำเสียงงัวเงียและแน่นอนว่าแม่ก็คงไม่สนใจว่าผมตื่นหรือยัง
          ทันทีที่รับสายแม่ก็พูดธุระที่โทรมาโดยไม่รอช้า สิ่งที่แม่บอกทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมานั่งตั้งใจฟังเพราะสิ่งที่แม่พูดนั้นจริงๆแล้วเป็นเพียงคำถามง่ายๆที่ไม่น่ามีอะไรไปมากกว่านั้นแต่สำหรับผมไม่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
“ตุ๊กตากุมารที่บ้านตัวเด็กผู้หญิงมันเอียงจากเดิมไปเกือบครึ่งตัวเลย แม่จับตั้งใหม่เลยได้ไหมสงสัยแมวจะไปเขี่ยเล่น”
          ผมรู้สึกขนลุกและเย็นวาบไปทั่วสันหลังเพราะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมขอให้แม่ถ่ายรูปส่งมาให้ดูก่อนและบอกว่าสามารถจัดวางน้องไว้ตามเดิมได้เลย ผมไม่ได้บอกเล่าอะไรให้แม่ฟังปล่อยให้แม่คิดว่าเป็นฝีมือของแมวที่บ้านนั้นแหละดีแล้ว ผมคิดอย่างนั้น
          ผมนั่งมองรูปที่แม่ส่งมาให้ดูโดยละเอียด ผมพยายามนึกถึงทิศของที่บ้านแล้วผมก็ได้คำตอบ ถ้ามองผ่านๆตุ๊กตากุมารนั้นอาจเหมือนกับว่าเอียงออกจากที่เฉยๆแต่เมื่อคิดทบทวนให้ดีๆจะพบว่าด้านที่ใบหน้าของกุมารหันไปนั้นคือทิศที่มหาวิทยาลัยและหอพักของผมตั้งอยู่
          นั่นคือครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเริ่มมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวผม และครั้งนี้ดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถจัดการมันได้อย่างเคย ผมรู้สึกหวิวในใจด้วยความกังวลที่ยากจะจัดการให้กลับสู่สภาวะปกติ
          นาฬิกาบอกเวลาว่าใกล้จะแปดโมงผมตั้งใจจะลุกไปอาบน้ำแต่ทันทีที่ลุกขึ้นก็รู้สึกเวียนหัวอย่างหนักภาพห้องนอนหมุนคว้าง ความรู้สึกที่ผมจำได้คือเหมือนตัวเองไม่สามารถทรงตัวเอาไว้ได้อีก เหมือนขามันไม่มีเรี่ยวแรงหัวหนักเกินกว่าจะตั้งตรงได้อีก ผมหงายหลังนอนลงไปกับเตียงแล้วก็ลุกไม่ขึ้นอีกเลย
           ตอนนั้นผมทำได้แค่นอนมองเพดานที่ยังหมุนไปมาจนรู้สึกคลื่นไส้ ผมหลับตาไม่อยากเห็นภาพนั้นเพราะมันทำให้ปวดหัว ผมหายใจไม่สะดวกลมหายใจที่สูดได้มันหอบถี่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเลยคิดเอาเองว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมเลยพยายามถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออกเพื่อให้ร่างกายเย็นลง
          ความวิงเวียนนั้นมากจนรู้สึกทรมานผมนอนหลับตาได้สักพักหนึ่งก็รู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ก็แย่เกินกว่าจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัว วันนั้นผมตัดสินใจโดดเรียนโดยไม่ได้บอกเพื่อนเลยสักคน
          ผมหลับต่อในท่านั้นไปอีกสักพักใหญ่ๆจนตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกร้อนจนเหงื่อท่วมนั่นเพราะมันเป็นช่วงกลางวันแล้ว ผมขยับตัวลุกขึ้นด้วยความเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ผมใช้เวลาอีกนิดหน่อยในการตั้งสติจากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง
          ระหว่างที่ผมอาบน้ำอยู่จมูกผมได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยมันเป็นกลิ่นที่ผมจำได้ว่าเคยสัมผัสแต่นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร แต่อย่างหนึ่งที่รู้สึกในตอนนั้นคือมันแปลก ผมลืมตามองไปทั่วห้องน้ำคิดว่าอาจเป็นจานเก่าๆที่ยังไม่ได้ล้างในอ่างล้างมือหรือเปล่า แต่ก็เปล่าเพราะมันสะอาดดีไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่สักชิ้นเดียว

กลิ่นนั้นยังไม่หายไป ผมปิดน้ำเดินดมไปทั่วห้องน้ำเพื่อหาต้นตอของกลิ่นแปลกๆนั้น ไม่มีตำแหน่งไหนในห้องน้ำเลยที่มีกลิ่นอย่างที่ว่า ผมแน่ใจว่ามันไม่ได้มาจากห้องน้ำเพราะผมไล่ดมทุกซอกทุกมุมแม้แต่ตรงท่อระบายน้ำที่พื้นผมยังก้มลงไปดมจนจมูกแทบจะติดกับตะแกรงสแตนเลส
          ในเมื่อไม่พบอะไรผมก็เดินออกจากห้องน้ำมาและตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าต้นตอของกลิ่นที่ลอยเข้ามาเตะจมูกผมคืออะไร ตอนนั้นผมจำได้ดีแดดในช่วงเที่ยงสว่างจ้าและแรงมากจนรู้สึกร้อนเข้ามาในห้องนอน แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงมุมห้องนั้นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปคงไม่คิดว่าจะได้พบเจอในช่วงกลางวัน
          ใช่ครับ นั่นคือหญิงชราคนเดิมที่มาปรากฏตัวให้ผมเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมา ครั้งนี้เธอไม่ได้อยู่บนชั้นวางหนังสือแล้วแต่เธอนั่งอยู่ตรงซอกเล็กๆระหว่างเตียงและกำแพงห้องของผม แต่ที่มากไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากคือ ตรงนั้นเป็นที่ที่ผมนั่งไหว้พระอยู่ทุกคืน มันคือที่ว่างหน้าหิ้งพระของผม
          รูขุมขนทุกรูเปิดกว้างรู้สึกเย็นสันหลังวาบ หญิงชรายังนั่งกอดเข่าจ้องมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่ยากจะเดาความหมายให้เข้าใจ ผมรวบรวมความกล้าก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกับกำสร้อยที่ใส่ติดตัว
‘เธอเป็นใคร? เข้ามาในนี้ได้ยังไง?’ นั่นคือคำถามที่ดังอยู่ในใจผมและหวังว่าเธอจะได้ยินมันเช่นกัน
ก๊อก ก๊อก…
          ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเพราะเสียงเคาะที่ประตูหน้าห้อง เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหันไปมองประตูห้องนั้นพอหันกลับมาหญิงชราคนเดิมก็จากไปเสียแล้ว ที่ตรงนั้นกลับมาว่างเปล่าพร้อมกับกลิ่นที่หายไปจนไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
“ทำไมไม่ไปเรียนวะ อาจารย์สุ่มเช็คชื่อโดนเมิงด้วยเนี่ย” เพื่อนผมถามทันทีที่ผมเปิดประตู
“ตูป่วยว่ะลุกไม่ไหวเลยนอนพัก”
“อ้าวหรอวะ ไม่บอกจะได้ซื้อข้าวติดเข้ามาให้ พรุ่งนี้เมิงก็ไปลาอาจารย์แล้วกันจะได้ไม่โดนหักอะไร”
          เพื่อนผมพูดแค่นั้นแล้วยื่นเอกสารที่แจกในคาบวันนี้มาให้ก่อนจะเดินจากไป แต่ก่อนที่เพื่อนจะเดินพ้นผมไปนั้นมันหันหลังกลับมามองผมด้วยใบหน้าคิ้วขมวดเหมือนสงสัยอะไรบางอย่างแต่ก็กล้าๆกลัวๆที่จะพูดหรือถามออกมา
“อะไรของเมิง” ผมถาม
“เมิงลองพูดกับกูใหม่ซิ อะไรก็ได้” เพื่อนพูดกับผมพร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้
“อะไรของเมิงเนี่ย มีอะไร” ผมถามกลับเพราะยังไม่เข้าใจ
“ชัดเลย กลิ่นปากเมิงนี่เอง กูก็ว่าได้กลิ่นอะไรตุๆแปลกๆ”
          สิ่งที่ติดใจเพื่อนผมอยู่คือมันบอกว่าได้กลิ่นเหม็นๆโชยอยู่ในอากาศตอนที่คุยกัน เพื่อนบอกกับผมว่ากลิ่นมันออกมาจากปากของผมซึ่งมันค่อนข้างเหม็นเมื่อเทียบกับปกติ ผมเถียงกลับไปนิดหน่อยเพราะเพิ่งอาบน้ำแปรงฟันเสร็จเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง ต่อให้ผมปากเหม็นยังไงกลิ่นของยาสีฟันก็ควรจะติดออกมาบ้าง
          พอเพื่อนผมกลับลงไปแล้วผมก็ลองดมลมหายใจจากปากตัวเองดูซึ่งมันก็จริง กลิ่นของมันค่อนข้างเหม็นทั้งที่ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่มีกลิ่นปากนอกจากตอนตื่นนอนใหม่ๆที่มันสะสมมาตลอดคืน ผมใช้เวลาอีกเป็นสิบนาทีเพื่อเข้าไปแปรงฟันใหม่ ทั้งแปรง ทั้งบ้วนปาก จนกว่าจะแน่ใจว่ากลิ่นมันได้จางลงไปแล้ว
          วันนั้นทั้งบ่ายจนถึงเย็นผมนั่งอ่านหนังสือเล่นคอมพิวเตอร์ไม่ได้ออกไปไหน ระหว่างที่นั่งอยู่นั้นผมก็รู้สึกว่าได้กลิ่นเหม็นวนอยู่ใกล้ๆจมูกตลอดเวลา ผมพยายามดมกลิ่นปากของตัวเองก็พบว่ากลิ่นมันกลับมาอีกแล้ว ผมลุกไปแปรงฟันบ้วนปากอีกรอบจนแน่ใจว่ามันไม่มีกลิ่นอีก
          แปลกที่เวลาผมพ่นลมออกจากปากกลิ่นมันก็ไม่ได้แรงมาก แต่พอนั่งอยู่เฉยๆกลิ่นมันก็จะโชยขึ้นมาอีก สุดท้ายในช่วงเย็นผมออกไปกินข้าวกับเพื่อนคนเดิมมันยังแซวผมเรื่องกลิ่นปากอยู่ผมเลยท้าให้มันมาดมเพราะผมเพิ่งแปรงฟันก่อนออกมาจากห้อง ตอนที่มันเข้ามาดมใกล้ๆผมกลั้นหายใจไว้มันบอกไม่มีกลิ่นอะไรได้แต่กลิ่นของยาสีฟัน
          บนโต๊ะอาหารมีเพื่อนคนอื่นๆอีกหลายคนบางคนก็บอกว่าได้กลิ่นอะไรบางอย่างเพื่อนคนเดิมเลยแซวผมขึ้นมาอีกครั้งระหว่างกินข้าวกันว่าอาจจะเป็นกลิ่นปากผม แต่เพื่อนที่ลองดมดูแล้วมันก็ไม่มี เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆผมบอกว่าให้ผมลองหุบปากเอามือปิดให้สนิทแล้วหายใจดู
          ผมทำตามอย่างที่เพื่อนว่าแล้วมันก็ได้คำตอบว่าสิ่งที่ได้กลิ่นนั้นน่าจะไม่ได้มาจากปากของผมแต่มันมาจากตัวลมหายใจโดยตรงเลยต่างหาก ระหว่างที่ผมปิดปากและหายใจทางจมูกอยู่นั้นเพื่อนได้ลองเข้ามาดมดูใกล้ๆก็พบว่ายังได้กลิ่นอยู่ เพื่อนอีกคนเอาจมูกเข้ามาใกล้ๆหน้าผมแล้วสูดลมหายใจของผมเข้าไปก็ยืนยันว่ากลิ่นมันมาจากลมหายใจจริงๆ
          ก่อนกลับหอผมแวะไปที่ร้านยาเพื่อหายามาใช้แต่เภสัชก็ไม่รู้ว่าจะให้ยาอะไรดีเพราะผมไม่ได้มีอาการอื่นๆร่วมด้วยเลยขอให้ผมดูอาการต่ออีกสักวันสองวันไม่อย่างนั้นก็ให้ลองไปหาหมอเฉพาะทางดูดีกว่า
          คืนนั้นผมหลับได้เหมือนอย่างปกติไม่ได้ตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่มีหญิงชราคนนั้นโผล่ออกมานั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก เวลาผ่านไปน่าจะประมาณสองสามวันเรื่องราวแปลกๆก็วนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อกลิ่นเหม็นจากลมหายใจของผมยังไม่หายไปจนผมคิดจะเข้าไปหาหมอที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง
          ดีที่ผมยังไม่ได้เข้าไปหาหมอก่อนเพราะมีอยู่คืนหนึ่งที่ผมได้คำตอบจนแน่ใจว่ากลิ่นที่มีนั้นเป็นกลิ่นของอะไร คืนนั้นผมนอนหลับอยู่บนเตียงระหว่างที่หลับอยู่ก็ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างช้าๆเพราะรู้สึกเย็นที่ผิวหนัง มันไม่ได้รู้สึกหนาวเหมือนเวลาที่เราอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ มันไม่ได้หนาวไปทั่วทั้งตัวอย่างนั้น แต่มันรู้สึกเย็นตามผิวหนังตามแขนตามขาเหมือนมีลมเย็นๆที่ค่อยๆพัดไปมาตามร่างกายเราเป็นจุดๆ
          ผมลืมตาขึ้นมองดูเพดานห้องมืดๆตรงหน้าแต่แล้วตรงนั้นก็ไม่ได้ว่างเปล่าเพราะมันมีร่างเงาของใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ในคลองสายตาของผม
          สิ่งที่ผมเห็นคือใบหน้าของหญิงชราคนเดิมผมจำเธอได้ เธอยังนั่งอยู่ในท่าเดิมคือนั่งกอดเข่าชิดอกสองมือกุมมันเอาไว้แน่น ตอนนี้เธออยู่ใกล้ผมมากๆ ใบหน้าของเธอเข้ามาจากทางด้านข้างของสายตาผม นั่นหมายถึงตอนนี้เธอนั่งอยู่บนเตียงของผมที่ข้างหมอน ปลายเท้าของเธอแทบจะแนบชิดกับใบหูของผม
          หญิงชรายังคงมองมาที่ผมอย่างตั้งใจ ครั้งนี้ใบหน้าของเธออยู่ห่างจากใบหน้าของผมไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ และเพราะเธอก้มต่ำลงมาถึงขนาดนั้นผมจึงได้กลิ่นเหม็นที่อบอวลอยู่รอบตัวเธอผสมกับกลิ่นที่ผมได้รับก่อนหน้านี้ สองกลิ่นนั้นผสมกันอย่างมั่วซั่วแต่ก็พอที่จะแยกแยะได้ถึงกลิ่นเหม็นและกลิ่นที่แปลกแต่รู้สึกคุ้นเคย
          กลิ่นเหม็นที่ผมได้รับจากเธอนั้นคือกลิ่นเดียวกับที่ผมได้รับตอนดมลมหายใจของตัวเอง ใช่ครับ ผมว่ามันเริ่มแปลกๆแล้ว ทำไมกลิ่นของเธอจึงโชยออกมาจากตัวผมเองได้
“จะเอาอะไร” ผมถามเธอด้วยเสียงเบาๆเพราะรู้สึกหนักเนื้อหนักตัวจนแทบไม่มีเสียง
“….” เธอเงียบไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้าผมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“จะเอาอะไรบอกมา” ความกลัวความหงุดหงิดผสมอยู่ในความคิดของผมตอนนั้น
“ตั้งศาลให้หน่อย”
          นั่นคือประโยคเดียวที่ผมได้ยินจากเธอ เสียงของเธอแหบแห้งอย่างคนแก่สมกับใบหน้าเธอ เธอพูดกับผมแค่นั้นแล้วก็จากไปไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้อีก
          ผมลุกจากเตียงทันทีที่ขยับตัวสะดวก ในใจตอนนั้นนึกกลัวในระดับหนึ่งเพราะมันใกล้เหลือเกิน ผมเดินไปจุดเทียนและกำยานไหว้พระบนหิ้งทันทีเพื่อความสบายใจ ผมนั่งนิ่งๆเงียบๆอยู่ตรงนั้นเผื่อว่าจิตใจจะสงบลงบ้านหรือไม่ก็ได้คำแนะนำอะไรกลับมาบ้าง แต่มันไม่มีเลยสักนิดที่อย่างเงียบเชียบไร้วี่แววการตอบรับจากใครสักคน
          คืนนั้นผมไม่ได้หลับอีกเพราะไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย มันตื่นเหมือนกับในเวลากลางวัน สิ่งที่ทำได้คือเปิดหนังไปเรื่อยๆนั่งดูอยู่อย่างนั้นจนรุ่งเช้ามาถึง
          ระเบียงห้องของผมจะมองเห็นถนนใหญ่ที่อยู่ข้างๆมหาวิทยาลัย ผมมองออกไปเป็นระยะเพื่อรอให้มีพระออกมาบิณฑบาตก่อนเพราะตั้งใจไว้ว่าจะใส่บาตรในวันนั้น
          หลังจากใส่บาตรเสร็จผมกลับมาที่ห้องจู่ๆความง่วงก็ถาโถมเข้ามาจนรู้สึกปวดหัวและหมดแรง ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและหลับไปในเวลาไม่กี่นาที ผมคิดว่าจะตื่นไปเรียนในช่วงสายๆประมาณสิบโมงแต่กลายเป็นว่าผมตื่นอีกครั้งในช่วงใกล้จะสี่โมงเย็น ตอนที่เห็นเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ผมแทบจะกระโดดลุกออกจากเตียงเพราะตกใจมาก
    ผมกดโทรศัพท์หาเพื่อนเพราะจำได้ว่าคาบบ่ายมีสอบเก็บคะแนน และแน่นอนว่าผมพลาดมันไปแล้ว อาจารย์บอกไว้แค่ว่าให้ผมตามไปคุยกับอาจารย์เองถ้าป่วยแล้วไม่มีใบรับรองแพทย์คะแนนก็จะหายไปเฉยๆ
          บอกตามตรงว่าผมหงุดหงิดมากในตอนนั้นผมโทษสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเพียงอย่างเดียวไม่ได้คิดเลยว่าเป็นเพราะตัวผมเองหรือเปล่า
          ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมจะได้พบเจอหญิงชราอยู่บ่อยๆ เธอมักจะปรากฏตัวในห้องนอนของผม นั่งนิ่งๆในท่าเดิมและพูดประโยคเดียวกันในทุกๆครั้ง
“ตั้งศาลให้หน่อย”
          ผมไมได้อยู่เฉยผมพยายามไปไหว้พระทำบุญพยายามกรวดน้ำพยายามสื่อสารพูดคุยกับเธอคนนั้น แต่เธอก็ไม่ได้ตอบรับอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย เธอเอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆแล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
          เรื่องมันมาหนักสุดในหัวค่ำวันหนึ่งที่จะผ่านช่วงนั้นมาอีกเกือบอาทิตย์ วันนั้นผมอยู่คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาจนค่ำเรื่องโปรเจคที่กำลังจะเริ่ม หลังจากคุยเสร็จผมแวะเข้าห้องน้ำในตึกซึ่งมันมืดหมดแล้วไม่มีเด็กมาเรียนอีกแล้วหลังพระอาทิตย์ตกดินจะมีก็แต่พี่ๆที่อยู่ทำงานกันล่วงเวลา
          ผมเดินไปตามทางเดินมืดๆของตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็จะเจอห้องน้ำพอดี ผมเข้าไปเปิดไฟทำธุระส่วนตัวตามปกติ ระหว่างที่ผมกำลังล้างมืออยู่ผมได้ยินเสียงเดิมดังเบาๆอยู่ในอากาศ
“ตั้งศาลให้หน่อย”
          เสียงนั้นเบามากจนแทบจะเป็นการกระซิบ มันดังวนซ้ำๆเหมือนกับมีคนอัดเอาไว้แล้วเปิดมันกลับไปกลับมาอีกหลายๆรอบ ลึกลงไปในใจมันก็กลัว แต่มันก็หงุดหงิดจากความรำคาญที่สะสมมา หางตาของผมปรากฏเป็นเงาร่างดำๆอยู่แต่ผมไม่อยากหันไปมอง
          แต่สุดท้ายในตอนที่ผมจะต้องเดินออกไปจากห้องน้ำสายตามันก็พาลหันกลับไปมองก่อนจะปิดไฟ ภาพที่เห็นนั้นคือภาพของหญิงชราคนเดิมในท่านั่งเดิม เธอนั่งอยู่บนขอบอ่างล้างมือจ้องมองมาที่ผมปากแห้งๆนั้นกำลังพร่ำบ่นคำเดิมออกมาซ้ำๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“จะให้ไปตั้งที่ไหนเล่า!”
          ผมตวาดออกไปสุดเสียงด้วยความหงุดหงิดแล้วก็ปิดไฟเดินออกมาทันที เสียงบ่นนั้นยังดังไล่หลังผมมาอีกพักใหญ่ๆจนเงียบไปในตอนที่ผมขี่รถออกจากตึกภาควิชา
          อีกครั้งที่คืนนั้นผมไม่ได้นอน ผมรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกโดยครั้งนี้ไม่ใช่การตื่นขึ้นจากเตียง แต่เป็นการรู้สึกตัวขึ้นมาในห้องน้ำ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะกลิ่นเหม็นชวนอ้วกที่รุนแรงอยู่ตรงปลายจมูกของผม ภาพแรกที่ผมเห็นคือมือของตัวเองที่ถือเศษข้าวตามสั่งแห้งกรังไว้ในมือ
          ผมขว้างเศษข้าวในมือลงในอ่างล้างมืออย่างตกใจเพราะมันคือข้าวที่เหลือจากเมื่อสองสามวันก่อนแล้วผมยังไม่ได้ล้าง ข้าวในจานที่ผ่านเวลาโดยอากาศพัดผ่านทำให้มันแข็งแห้งกรังและเริ่มส่งกลิ่นเหม็น สัมผัสของข้าวที่มือยังชัดเจน มันเป็นเม็ดแห้งๆบี้ไม่แตกอีกแล้ว กลิ่นของมันยังตลบอบอวลไปทั่วห้องน้ำและที่มากไปกว่านั้น กลิ่นของมันใกล้มาก
          พอหายตกใจแล้วผมก็รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นบูดรุนแรงภายในปาก ความสากหยาบของเม็ดข้าวแห้งๆรสเปรี้ยวของอาหารบูดเน่าคละคลุ้งเต็มช่องปาก ผมวิ่งไปกอดชักโครกอ้วกอย่างน่าสะอิดสะเอียน ผมจำความรู้สึกนั้นได้ดีมันไม่ใช่ความสะอิดสะเอียดจากการอ้วก แต่มันคือสัมผัสที่มีอยู่เต็มปาก ทั้งกลิ่น รสชาติ และเศษอาหาร
          ผมอ้วกออกมาจนหมดไส้หมดพุงน้ำหูน้ำตาไหลหมดเรี่ยวแรง ผมคลานออกจากห้องน้ำมาสูดอากาศในห้องนอนที่ไม่มีกลิ่นให้เต็มปอด กลิ่นเศษอาหารยังอวลอยู่ในความรู้สึกจนผมอยากจะอ้วกอีกครั้งแต่มันไม่มีอะไรจะให้ออกมาแล้ว

ผมรู้สึกโกรธมากตอนนั้น โกรธจริงๆ โกรธจนทนไม่ไหวเพราะผมแน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมามาจากใคร แต่แค่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
          ผมปักธูปดอกหนึ่งลงในแก้วน้ำเปล่าๆ วางมันไว้กลางห้องพร้อมตะโกนเท่าที่เสียงจะมีโดยไม่กลัวว่าจะรบกวนห้องข้างๆ
“ออกมา!”
    นั่นคือการเชื้อเชิญวิญญาณที่ค่อนข้างมีความเฉพาะเจาะจงเพราะเราจดจำใบหน้าของเขาได้คล้ายกับการเล่นผีถ้วยแก้วหรือพิธีกรรมอื่นๆที่ต้องใช้ชื่อนามสกุล หรือชื่อสถานที่เป็นส่วนประกอบ
          กลิ่นหอมของธูปค่อยๆเปลี่ยนเป็นกลิ่นเหม็นผสมกับกลิ่นหอมแปลกๆที่ทำให้จำได้ในทันที หญิงชราปรากฏตัวเป็นเงาตะคุ่มอยู่ที่มุมห้องห่างจากตัวผมพอสมควร ไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆเหมือนกับทุกที และนั่นคงจะเป็นเพราะเธอสัมผัสได้ถึงความโกรธของผมที่มีมากจนบดบังความกลัวไปจนสิ้น
          ผมตะคอกถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ทำไมถึงมาอยู่กับผม หลากหลายคำถามที่ผมคิดได้ถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“หิว… ขอโทษ…”
          เสียงของเธอแหบพร่าและดูอ่อนลงกว่าทุกที วิญญาณต่างจากมนุษย์ตรงที่การสื่อสารของพวกเขามักเต็มไปด้วยความรู้สึกโดยไม่ต้องอาศัยสีหน้าประกอบ ความรู้สึกของเธอถูกส่งผ่านเสียงนั้นมากระทบใจของผมจนทำให้ความโกรธที่มีทุเลาลงไปหลายเท่าตัว
          ความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นมันสับสนวุ่นวายปะปนไปด้วยความกลัวและความรู้สึกผิด จนผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมไม่ได้ตวาดเธอออกไปอีก ใจที่ร้อนกลับเย็นลงด้วยความสงสารที่ไร้ที่มา น้ำตาผมหยดลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกของผมเอง หรือของเธอที่ส่งผ่านมากันแน่
“ไปเถอะจะทำบุญให้”
          ผมบอกเธออย่างนั้นแล้วเธอก็จากไป ผมนอนมองเพดานห้องจนฟ้าสางแล้วก็ลุกไปใส่บาตรอีกครั้ง ผมกรวดน้ำให้เธอหวังว่าเธอจะรู้สึกอิ่มได้บ้างจากสิ่งที่ผมทำให้ แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม
          คืนนั้นผมซื้อข้าวเข้ามากินที่ห้องเพราะไม่อยากออกไปไหน ผมซื้อข้าวมาสองกล่อง กล่องหนึ่งให้ตัวเองและอีกกล่องให้เธอคนนั้น ผมกินข้าวของตัวเองจนหมดก่อนแล้วจึงหยิบข้าวอีกกล่องไปวางไว้ที่มุมห้อง มุมที่ผมเห็นเธอเมื่อคืนนี้ ผมปักธูปลงไปดอกหนึ่งเรียกให้เธอมากิน
          ทุกอย่างควรจะผ่านไปด้วยดีแต่ไม่ใช่ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะได้กลิ่นอาหารลอยมาเตะจมูก ตอนแรกคิดว่าเป็นอาหารที่ยังไม่ได้เอาไปทิ้งแต่เปล่า มันคือกล่องข้าวที่ผมปักธูปไว้ให้เธอ ตอนนี้มือของผมกำลังถือเศษข้าวไว้ในมืออีกแล้ว
          ดีที่ครั้งนี้มันยังไม่ได้บูด มันแค่แข็งๆแห้งๆเพราะถูกอาการเย็นและลมเป่า แต่ถึงมันจะไม่ได้เน่าเหม็นอะไรสิ่งที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังเคี้ยวมันอยู่ในปากตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกินเลยสักนิดอีกครั้งที่ผมวิ่งไปกอดชักโครกอ้วกเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมา
          หลังจากหมดสภาพเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ผมก็ออกมานั่งที่หน้าหิ้งพระ หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือใดๆบ้างแต่ก็เปล่าเลย สุดท้ายคืนนั้นผมต้องขับรถออกไปที่ลานสมเด็จในมหาวิทยาลัย เพื่อสักการะและขอความช่วยเหลือจากท่าน แม้คืนนี้จะดึกมากแล้วแต่ยังคงมีนิสิตบางคนนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่ลานนี้
          ทุกคนมาเพื่อถวายการสักการะแด่พระนเรศวรที่เป็นสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ทุกคนต่างก็มาบนมาขอนั่นขอนี่เป็นประจำตั้งแต่ของหายแมวหายยันสอบได้หรือให้หายป่วย เรียกได้ว่าเป็นที่พึ่งทางใจของนิสิตที่นี่อย่างแท้จริง
          ผมจุดธูปสักการะท่านและขอให้เรื่องแย่ๆนี้ผ่านพ้นไปหรือไม่ก็ให้ผมได้พบทางออกทางแก้ไข เพราะการที่จะต้องพบเจอและอยู่ในสภาพอย่างนี้มันเกินกว่าสิ่งที่ผมจะอดทนไหว ผมนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ทบทวนความคิดว่าจะโทรหาแม่หรือปู่ดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไม่โทรเพราะช่วงนั้นบ้านผมค่อนข้างมีปัญหาอยู่ไม่อยากจะเพิ่มเรื่องรบกวนใจให้กับแม่ ถ้าบอกปู่สุดท้ายปู่ก็จะไปบอกแม่อีกอยู่ดี
          ผมนั่งอยู่ที่ลานจนฟ้าสางอีกครั้ง คนเริ่มพลุกพล่านแล้วผมจึงกลับมาที่หอพักไม่อยากให้คนรู้จักหรือใครมาเห็นผมในสภาพอย่างนี้
          ช่วงสายๆผมไม่ได้ไปเรียนเพราะรู้สึกแย่มากจนอยากจะร้องไห้ ผมยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่อย่างไร ในช่วงสายแก่ๆมีเบอร์หนึ่งโทรเข้ามาหาผม ผมกดรับสายโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“สวัสดีค่ะ พี่ไก่นะคะ ที่เคยถามเรื่องตั้งศาล”
          แค่ประโยคเดียวผมก็คิดออกทันทีเลยว่าปลายสายนั้นคือใครและเรื่องที่ผมเจออาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้ จริงๆแล้วผมควรจะรู้ตั้งแต่แรกแต่ไม่รู้ทำไมถึงลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสียสนิท นั่นอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ใส่ใจจะคุยเองตั้งแต่แรกจนทำให้มันไม่ติดอยู่ในความทรงจำสักเท่าไหร่
          ผมลนลานพูดคุยเรื่องราวต่ออีกหน่อย พี่ไก่ยังไม่ได้อธิบายอะไรให้ผมฟังมากนักแต่แค่ขอร้องให้ผมออกไปพบเธอได้หรือไม่และจะพาผมไปยังที่ดินที่เธอเคยส่งรูปมาให้ดูโดยบอกว่ามันมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จนตอนนี้อยู่กันไมได้
          กว่าจะถึงเวลาที่พี่ไก่สะดวกมารับผมนั้นก็เกือบจะเย็น ทั้งวันผมไม่กินอะไรเอาหูฟังใส่หูเปิดเพลงให้ดังเข้าไว้กลบเสียงบ่นพึมพำของหญิงชราที่กลับมาให้ผมได้ยินอีกครั้ง ‘ตั้งศาลให้หน่อย’
          ระหว่างรอผมพยายามคิดหาคำตอบด้วยตัวเองก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น หญิงชราคนนี้บอกอย่างให้ผมตั้งศาลให้และพี่ไก่ก็เคยมาถามเรื่องการตั้งศาลซึ่งก็ได้ตั้งไปแล้วมันไม่น่าจะเกิดการทวงถามอะไรอย่างนี้ขึ้นมาอีก หรือถ้าเธอคนนี้ต้องการให้ผมไปตั้งให้ก็ไม่น่าจะมาปรากฏตัวหรือทำให้ผมมีความผิดปกติอย่างนี้เกิดขึ้นได้
          คำถามทั้งหมดไม่มีคำตอบจนกว่าผมจะไปถึงที่นั่นเพื่อทำให้ทุกอย่างกระจ่างขึ้น พอถึงเวลานัดผมขึ้นมากับพี่ไก่ไปตามทางจนถึงจังหวัดที่อยู่ติดกัน ระหว่างทางพี่ไก่เล่าเรื่องราวให้ผมฟังหลายอย่างและทั้งหมดมันทำให้ผมรู้สึกกลัว
          จากสิ่งที่พี่ไก่เล่า หลังจากพี่ไก่ได้พูดคุยกับผมแล้วก็ไปตั้งศาลตามอย่างที่ผมบอกโดยคนทำพิธีให้ก็เป็นคนแถวๆนั้นที่รู้จักกัน ผมได้ความว่าพี่ไก่เพิ่งจะย้ายบ้านมาที่นี่ ก่อนหน้านี้อาศัยอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ที่ถามเรื่องตั้งศาลก็เพราะว่าต้องการจะย้ายศาลจากบ้านเก่ามาที่บ้านใหม่ตามตนเองและครอบครัวที่มาอยู่ที่นี่
          หลังจากตั้งศาลได้เพียงไม่กี่วันน้องสาวของพี่ไก่ที่มีชื่อว่าแก้มก็เกิดอาการแปลกๆ พี่ไก่เท้าความให้ฟังว่าพี่แก้มนั้นเป็นคนที่มีเซ้นส์มาตั้งแต่เด็กๆแล้วทำให้พอจะติดต่อสื่อสารกับพวกวิญญาณได้บ้าง และหนึ่งในวิญญาณที่เธอติดต่อได้อยู่เสมอนั่นคือ คุณทวด ของเธอ
          พอคำว่าคุณทวดหลุดออกมาจากปากพี่ไก่ผมไม่คิดเป็นอื่นใดไปอีกนอกจากหญิงชราที่ผมได้พบเจอมาตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ผมยังไม่ได้เล่าอะไรให้พี่ไก่ฟังเพียงแต่นั่งฟังเรื่องของเธอต่อไปอย่างเงียบๆ
          หลังจากที่ตั้งศาลแล้วคุณทวดได้มาเข้าทรงในร่างของพี่แก้มซึ่งฟังดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกและน่าจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ คุณทวดในร่างนั้นบอกกับญาติว่าถูกใจศาลใหม่มากและอยากได้นั่นได้นี่เพิ่ม อยากกินอันนั้นอันนี้ให้หามาถวาย ซึ่งมันก็ผิดไปจากครั้งก่อนๆที่เคยทรงกันมาพอสมควร
          ทุกอย่างผ่านเวลาไปเรื่อยๆจนพี่แก้มเริ่มมีอาการผิดปกติ เธออารมณ์ร้อนขึ้นและมักจะถูกคุณทวดเข้ามาแทรกแทบจะตลอดเวลา ไม่พอใจอะไรนิดหน่อยก็จะตวาดโวยวายอาละวาดอ้างสิทธิ์ความเป็นคนเฒ่าคนแก่มาเรียกร้องสิ่งต่างๆจากบรรดาญาติที่เข้ามาดูแล
          เธอแปลกขึ้นเรื่อยๆเพราะบางคืนพี่ไก่และคนอื่นๆเคยเห็นเธอเดินออกจากบ้านมาในช่วงกลางดึก พี่แก้มเดินตรงไปยังศาลไม้ที่เพิ่งถูกตั้งใหม่ เธอรำวนไปวนมาในความมืดท่าทางสวยงาม เธอรำอยู่อย่างนั้นแค่ไม่กี่นาทีก็จะออกเดินเท้าไปยังที่อื่น เคยมีคนตามไปดูก็พบว่าสถานที่ที่เธอไปนั้นไม่ได้ไกลจากตัวบ้านเท่าไหร่
          พี่แก้มมักจะเดินแล้วไปหยุดอยู่ที่ดินรกร้างถัดไปจากตัวบ้านประมาณหนึ่ง เธอจะยืนเหม่อมองอยู่อย่างนั้นไม่นานก็เดินกลับมาที่บ้านและเข้านอนตามปกติโดยไม่มีการพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
          บางครั้งพี่แก้มก็มีอาการสับสนบุคลิกของเธอเปลี่ยนไป บ้างอารมณ์ดีตามปกติบ้างก็อารมณ์ร้าย บางครั้งในช่วงกลางคืนเธอจะลุกไปค้นหาอะไรกินในตู้เย็นจนเลอะเทอะไปหมด และสุดท้ายคนในบ้านและรอบๆบ้านต่างก็ลงความเห็นว่าข้างในนั้นต้องไม่ใช่คุณทวดอย่างแน่นอน คงจะเป็นใครสักคนที่เข้ามาแฝงแล้วหลอกคนอื่นๆว่าเป็นคุณทวด
          ผมพอจะรู้ว่าคุณทวดที่ทุกคนพูดถึงนั้นอยู่ที่ไหน ใช่ครับ เธออยู่กับผมแต่มาอยู่ได้ยังไงนั้นผมเองก็ยังไม่เข้าใจ แต่ผมรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้ผมได้คำตอบที่ผมกำลังตามหาอยู่อย่างแน่นอน
          ชั่วโมงกว่าๆเราก็มาถึงบ้านของพี่ไก่ ผมเดินตามหลังพี่ไก่ไปติดๆและขอให้เธอพาผมแวะไปดูที่ศาลก่อนเพราะคิดว่าน่าจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
          จริงอย่างที่คิด เพียงแค่แวบแรกที่ได้เห็นศาลไม้หลังนั้นความรู้สึกไม่ดีก็ตีเข้าหน้าเหมือนลมแรงๆที่มีกลิ่นเหม็นผสม สิ่งที่ผมเห็นนั้นน่าขนลุกอยู่เหมือนกัน เพราะมันคือเงาสีดำสีเทาคล้ายควันแต่ประกอบกันคล้ายร่างของมนุษย์ เงาเหล่านั้นนั่งงอตัวอยู่ที่รอบๆตัวศาลไม้ใต้กอไผ่ พวกมันดูคล้ายกับขอทานตามข้างถนนที่เราเห็นจนคุ้นตา ทั้งหมดนั้นดูผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง และที่ข้างในตัวศาลเองก็มีความรู้สึกเดียวกันแผ่ออกมาอยู่แต่ไม่เห็นตัวเท่านั้น
          ผมละสายตาจากตรงนั้นก่อนเพื่อตามพี่ไก่เข้าไปในบ้าน ที่หน้าบ้านไม่มีใครรอเราอยู่เพราะทุกคนอยู่ข้างในแล้วนอกจากหมาน้อยตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้โต๊ะหน้าทางเข้าตัวบ้าน ผมมองมันด้วยความเอ็นดูเพราะบ้านของผมก็มีสัตว์เลี้ยงมาตลอดทำให้ชอบแวะไปเล่นกับพวกนี้เป็นประจำ
          ทันทีที่มันเห็นผมหมามันก็วิ่งตรงมายังผมพร้อมกระดิกหางยกแข้งยกขาเหมือนจะเล่นด้วย แต่พอได้มองมันจริงๆผมก็ต้องตกใจเพราะเท้าหน้าของมันกุดไปข้างหนึ่ง ขาของมันไม่ได้หายไปทั้งข้างแต่เป็นช่วงจากข้อเท้าต่อมาที่อุ้งเท้าแล้วนิ้ว ช่วงโคนนิ้วมันกุดหายไป ตรงนั้นมันมีแผลอยู่ผมเลยคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดจากการพิการโดยกำเนิดคงจะเกิดจากอุบัติเหตุ
          ผมลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูและสงสารในขณะที่มันพยายามตะกายตัวผมและเอาหน้าถูไถไปมาจนเจ้าของอย่างพี่ไก่ต้องดุ แต่แน่นอนว่ามันไม่ฟังจนสุดท้ายก็โดนพี่ไก่ลากไปขังไว้ในกรง ผมมองมันอย่างสงสัยและมันก็มองผมเช่นกัน
          ผมเดินเข้ามาในบ้านที่มีคนนั่งรออยู่ประมาณสิบคนโดยรวมกันทั้งคนแก่คนหนุ่มและเด็กชายคนหนึ่ง พี่ไก่น่าจะเล่าอะไรๆเกี่ยวกับผมไว้ให้ฟังบ้างแล้วจึงไม่ต้องแนะนำตัวกันมากนัก และทุกคนเองก็คงไม่มีอารมณ์จะมาฟังผมแนะนำตัวด้วยในเวลานี้เพราะตรงกลางห้องรับแขกนั้นมีพี่แก้มนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับสายสิญจน์ที่โยนพังตัวเธอไว้กับพระพุทธรูปด้านหลัง
           ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความหนักอึ้ง อะไรหลายๆอย่างอัดแน่นอยู่ในบ้านหลังเล็กๆนี้ และที่มาของมันก็คือผู้หญิงที่ชื่อพี่แก้มอย่างแน่นอนและแม้ไม่ต้องให้ผมมาบอกทุกคนก็คงรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะสายตาที่จ้องมายังผมนั้นดุดันราวกับอยากจะฆ่าผมเสียให้ตายตกไปตรงนั้น
“เอามันออกไป” ประโยคแรกก็ทักทายกันอย่างสนิทสนม
“ทำไมล่ะแก้มคุยกันดีๆสิ” ยายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆพูดแทรกขึ้นมาเบาๆ
“จำตูไม่ได้อีก!” ใครบางคนในร่างพี่แก้มตะคอกกลับ
“ขอโทษค่ะ แม่น้อยมาแล้วเหรอคะ”
          ภาพที่เห็นคือคุณยายที่อายุน่าจะราวๆเจ็ดสิบกำลังยกมือไหว้ขอโทษหญิงสาวอายุสามสิบต้นๆ สิ่งที่เห็นค่อนข้างขัดตาแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า คุณทวด ที่เชื่อว่าอยู่ในร่างนั้นคงมีชื่อว่า น้อย และคุณยายคนนี้น่าจะเป็นญาติหรือหลานสักทางหนึ่งผมไม่ได้ถามลำดับญาติที่แน่นนอนมาด้วยเพราะเขาเป็นครอบครัวใหญ่ เอาเป็นว่าเขาเรียกกันอย่างนี้ก็แล้วกัน

พี่ไก่หันมามองหน้าผมทำหน้าตาเหมือนอยากจะบอกว่า ‘เอาไงดี’ ผมยังจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ก็จริงแต่ก็คงต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น ผมเดินไปหยิบเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดเลื่อนมันมาวางไว้ตรงหน้าพี่แก้มแล้วนั่งลงตรงนั้น สายตาของญาติๆที่มองผมล้วนหลากอารมณ์ บ้างเฝ้าดู บ้างมีคำถาม บ้างดูถูกและเหยียดอย่างเห็นได้ชัด
          ผมนั่งนิ่งๆจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า แววตานั้นไม่ได้มีความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย ดีหน่อยที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องนั่งจ้องตากับสายตาแบบนี้
“เป็นใคร” ประโยคคำถามที่ผมใช้จนเบื่อเหลือเกิน ผมส่งสายตาไปให้พี่ไก่ที่ขยับมานั่งใกล้ๆ
“ทวดมัน” ใครคนนั้นพูดอย่างมั่นใจแล้วมองไปยังพี่ไก่ ผมแอบเห็นเธอขนลุกจนตัวสั่นนิดๆ
“ไม่ต้องโกหก รู้แล้ว บอกมาเป็นใคร” ประโยคเดิมๆ
“…”
          ร่างนั้นไม่มีการตอบกลับเพียงแต่ถลึงตาใส่เหมือนกับอีกหลายๆครั้งที่เคยได้เจอ แน่นอนว่าใครบางคนที่แอบอ้างอยู่ในนั้นรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก คุยกับพวกนี้ก็ดีอย่างหนึ่งคือไม่ต้องมาเล่นลิ้นกัน เพราะมันโกหกกันไม่ได้
“เห็นไหมบอกแล้วไม่ใช่ทวดน้อย”
“เด็กนี่มันเป็นใครมาว่าแม่น้อย”
          แล้วผมก็ได้รู้ว่าเหตุผลจริงๆที่ผมถูกมาพามาที่นี่คือคนในบ้านนั้นแตกออกเป็นสองเสียง ฝั่งหนึ่งเชื่อ และอีกฝั่งไม่เชื่อ ทำให้ทั้งสองฟังถกเถียงกันเสียงดัง
“มาอยู่กับเขาทำไม” ผมหลับหูหลับตาไม่สนใจเสียงรอบข้างแล้วถามออกไป
“….”
          ครั้งนี้ปากแข็งทำอย่างไรก็ไม่ยอมพูดออกมา ผมพยายามถามต่ออีกพักหนึ่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบ ครั้นจะเอาพระเอาอะไรไปคล้องคอไปงัดปากให้พูดก็คงจะโดนญาติรุมยำเป็นแน่แท้เลยเลือกใช้วิธีทางอ้อมที่รู้อยู่แล้วว่ามันคือปัจจัยหลักของเรื่องนี้
          ผมเดินออกจากบ้านหลังนั้นกลับไปยังศาลใต้กอไผ่สูงนั้น ตอนเดินผ่านหน้าบ้านผมเห็นหมาในกรงมีท่าทางตื่นส่งเสียงขู่จนน้ำลายไหลน่าสงสาร
          ญาติคนอื่นๆเหมือนจะรู้ว่าผมจะเดินไปไหน ส่วนหนึ่งที่ตามผมมายืนดูอย่างสนใจอีกส่วนนั่งอยู่กับพี่แก้มที่เดิม สิ่งที่ผมทำลงไปนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าผมจะทำมันต่อหน้าพวกเขาจริงๆ
          ศาลนั้นเป็นศาลไม้สี่เสาที่ค่อนข้างสวยน่าจะมีราคาประมาณหนึ่ง ผมเอื้อมมือไปวางไว้บนหลังคาศาลไล่เรียงไปตามส่วนต่างๆก่อนจะจับส่วนแหลมของกาแลแล้วหักมันติดมือออกมาทั้งชิ้น
“กรี๊ดดดดดด”
          เสียงกรีดร้องดังมาจากในตัวบ้านไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเป็นเสียงใคร ผมบอกให้พาตัวคนข้างในออกมาเราจะไม่เข้าไปอีก ผมขอให้คนที่อยู่ตรงนั้นช่วยเตรียมข้าวของหลายๆอย่างมาเตรียมรอไว้ สักพักหนึ่งพี่แก้มก็ถูกพาออกมาในสภาพกึ่งลากกึ่งพยุง
          เธอถูกจับให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เตรียมไว้หน้าศาล พร้อมกับสายสิญจน์ที่ยังมัดตัวเธอไว้เหมือนอย่างเคยเพียงแต่ไม่มีพระพุทธรูปกำกับไว้เหมือนเมื่อสักครู่
“จะคุยกันได้หรือยัง”
“…”
          ใครคนนั้นยังคงไม่ตอบและจ้องผมด้วยสายตาที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่แววตานั้นดูแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ
          ในเมื่อใครคนนั้นยังคงไม่พูด ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบไม้แผ่นหนึ่งออกมาจากส่วนของหลังคาศาล เธอกรีดร้องอย่างโกรธแค้น นั่นหมายถึงเธอคงหวงแหนมันจริงๆ แต่เธอก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา
“จะปล่อยให้เด็กนี่มันทำลายศาลของแม่น้อยจริงๆเหรอ”
          เสียงหนึ่งดังขึ้นในกลุ่มคนและเริ่มจะมีคนเห็นด้วยเพิ่มขึ้นทีละนิดจนกลายเป็นเสียงกลุ่มใหญ่และเข้ามาห้ามผมด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร ผมถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ดังเดิมแล้วหันไปถามเด็กคนหนึ่งที่คงจะเป็นลูกหลานบ้านนั้น
“ที่บ้านมีผีไหม” ผมถามเด็กคนนั้น
“มีครับ” เด็กน้อยตอบซื่อๆ
          ประโยคสั้นๆของเขาเหมือนจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างน่าประหลาด จริงๆแล้วผมไม่ได้รู้อะไรล่วงหน้าหรอก เพียงแต่ผมเห็นสายตาและท่าทางของเด็กคนนี้ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ผมมาถึงอีกทั้งยังไม่ซนไม่วุ่นวายเหมือนที่เด็กในวัยนี้ควรจะเป็น
          ทุกคนเงียบรอฟังเสียงของเขาเว้นแต่คนที่น่าจะเป็นแม่กำลังพยายามจะตีจะดุเด็กคนนี้ไม่ให้พูดอะไรที่ตัวเองไม่อยากได้ยินออกมา
“เด็กมันจะพูดอะไรก็ให้มันพูดออกมา”
          ผมอยากจะขอบคุณพี่ไก่ที่ช่วยพูดประโยคนั้นแทนความคิดในใจของผม แล้วในที่สุดเราก็ได้ฟังเรื่องจากปากคนที่คิดว่าน่าจะโกหกน้อยที่สุดในหมู่เรา

น้องโต้งเล่าให้พวกเราฟังว่าน้องมักจะเห็นใครก็ไม่รู้เดินอยู่ในบ้านบ่อยๆ ที่น้องคิดว่าพวกนั้นไม่ใช่คนแน่ๆเพราะมันคอเอียง แขนขาไม่ครบ แล้วก็พูดไม่รู้เรื่อง เราพยายามรวบรวมใจความจากปากของของน้องโต้งที่พูดออกมาตามประสาเด็กๆ ทุกคนกลัวไปกับสภาพที่น้องบรรยายแต่ผมติดใจอีกคำหนึ่งมากกว่า
“ทำไมใช้คำว่าพวกมันล่ะครับ” ผมถามย้ำเผื่อน้องจะใช้คำผิด
“ก็มันมีหลายคน”
          วงสนทนาเงียบเป็นป่าช้าทันทีที่น้องพูดจบเว้นแต่เพียงพี่แก้มที่ตอนนี้กำลังยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยพวกเราที่เจอปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว ตอนแรกผมบอกไปว่าเห็นเงาดำๆตกค้างตามพื้นใกล้ๆศาลแต่ไม่คิดว่ามันจะเข้าไปเดินเล่นในบ้านได้ขนาดนั้น
          ครั้งนี้คงต้องขอบคุณน้องโต้งเพราะทุกคนหันมาฟังผมกันหมด เราหันความสนใจกลับมาที่พี่แก้มที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เธอยังคงจ้องผมด้วยสายตาแข็งกร้าวเหมือนเดิม
          ผมเริ่มถามเธออีกครั้งแต่ก็ยังไม่ยอมพูดเช่นเคยจนสุดท้ายผมต้องตัดสินใจเดินไปหักเอาไม้ที่ง่อนแง่นอยู่ออกมาอีกชิ้น คราวนี้เธอไม่โกรธไม่โวยวายแต่กลับร้องไห้ออกมา
          น้ำตาของเธอทำให้ผมรู้สึกผิด แต่ก็รู้สึกสงสารคนตรงหน้าไม่แพ้กันที่ต้องมาแบกรับอะไรอย่างนี้เอาไว้กับตัว ผมต่อรองอยู่อีกพักหนึ่งก็นึกถึงคำของปู่ที่เคยบอกผมไว้เมื่อนานมาแล้ว
“เอาเลือดไหม ถ้ายอมพูดจะให้เลือดกิน”
          ปู่เคยบอกกับผมว่ามันมีวิญญาณบางจำพวกชอบเครื่องเซ่นที่เป็นเลือดสดๆอาหารสดๆอยู่ ถ้าต่อรองมากไม่ได้ให้ลองเสนอดู แต่ทางที่ดีอย่าทำอย่างนั้นเลยจะดีกว่าเพราะมันอันตรายมากและเป็นบาดแผลที่เกิดกับร่างกายอย่างจริงๆจังๆ
          มันเกินกว่าที่ผมคาดไว้เพราะพี่แก้มพยักหน้าตอบรับข้อเสนอของผม เป็นครั้งแรกที่คิดว่าไม่น่าพูดออกไปอย่างนั้นเลย แต่เมื่อพูดแล้วก็ต้องให้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
           ผมพูดไปอย่างนั้นก็จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเพราะปกติถ้าจะให้เลือดไหลมันก็ต้องมีแผลก่อน บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าที่จะเฉือนหรือปาดมือปาดนิ้วตัวเองหรอก เลยลองถามออกไปเผื่อว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นจะมีใครเป็นหมอเป็นพยาบาลบ้างไหมแล้วก็โชคดีเกินคาด
           พี่ไก่เป็นพยาบาล ผมหันไปมองเธอตาโตไม่คิดว่าอะไรๆมันจะดูง่ายดายขนาดนี้ สิ่งที่ผมทำก็มีแค่การยืนอยู่นิ่งๆรอให้พี่ไก่กลับเข้าไปเอาอุปกรณ์ทำแผลในบ้านออกมาก่อน พอเธอกลับมาสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นคือมีดอันเล็กๆชิ้นหนึ่งผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรเหมือนกัน
           ผมยื่นออกไปให้ไกลตัว จริงๆผมไม่ใช่คนกลัวเลือดกลัวเจ็บสักเท่าไหร่ก็เคยแต่เจาะเลือดไปตรวจไม่เคยต้องมาทำให้มันไหลมากพอที่จะหยดลงไปด้วยตัวเองไม่ใช่อุบัติเหตุ
          เจ็บครับ ผมยืนยันเลยว่ามันเจ็บ มีดคมๆกรีดที่ปลายนิ้วเป็นแผลยาวประมาณครึ่งเซ็นไม่ได้ลึกมากพอให้เลือดมันไหล ความเจ็บที่ปลายนิ้วทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี ผมเดินไปยังศาลไม้แล้วหยดเลือดลงบนหลังคาศาลตามข้อตกลงที่ให้ไว้ ใครบางคนในร่างของพี่แก้มยิ้มกว้างอย่างพอใจเหมือนกับเด็กได้ของเล่น
“คิดว่าทวดจะมาขอกินเลือดอะไรอย่างนี้ไหมครับ”
          ผมพูดลอยๆให้คนรอบตัวได้ยิน ตอนนี้คนอื่นๆเริ่มคล้อยตามในสิ่งที่ผมยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ในร่างนั้นเพียงแค่แอบอ้างไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาจริงๆ ผมต้องบีบปลายนิ้วให้เลือดมันหยดลงบนศาลนั้นประมาณหนึ่งจนผมรู้สึกว่าพอแล้ว และมันก็เจ็บมาก
          พี่ไก่เข้ามาทำแผลเบื้องต้นให้ผมบอกผมว่าอาจจะต้องไปทำแผลต่อที่โรงพยาบาล แต่ผมคิดว่ามันไม่ได้ลึกอะไรขนาดนั้นเอาแค่เบื้องต้นไปก่อนก็แล้วกัน คราวนี้ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของพี่แก้มเหมือนก่อนหน้านี้ คราวนี้ใบหน้านั้นไม่ได้ดุดันเกรี้ยวกราดแล้ว มันคือรอยยิ้มของความพอใจ ประหนึ่งว่าจะยิ้มเยาะอะไรบางอย่าง
“พูดมาได้แล้ว ตกลงว่าเป็นใคร มาทำไม” ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น
“….”
          ใครคนนั้นยังคงเงียบอยู่ไม่ตอบอะไรกลับมา ริมฝีปากนั้นยิ้มกว้างอย่างน่าขนลุกจนคนที่มุงดูอยู่เผลอถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ผมเองยังต้องตั้งสติเอาไว้ไม่ให้แตกตื่น ส่วนพี่ไก่นั้นขยับเข้ามาแทบจะชิดตัวผมแล้ว
          สิ่งที่พี่แก้มทำนั้นทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมากเมื่อใครในร่างนั้นยอมเปิดปากแต่ไม่ใช่การอ้าปากเพื่อการพูด พี่แก้มอ้าปากกว้าง กว้างจนเกือบจะเท่าเวลาที่เราถูกหมอฟันบอกให้อ้าปาก ผมสังเกตได้จากมุมปากที่ตึงจนเกือบจะปริออกมา เธอไม่ส่งเสียงหรือเอ่ยถ้อยคำใดๆ แต่เธอกลับแลบลิ้นออกมาจนสุดเท่าที่เธอจะทำได้
          ทุกคน ณ ที่นั้นนั่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกกลัวที่ยากจะอธิบาย ภาพที่เห็นนั้นน่าขนลุก เพราะลิ้นที่แลบออกมานั้นจะบอกว่ามันดูยาวผิดปกติก็อาจจะได้ แต่มันไม่ได้ยาวเลื้อยลงมาอย่างในหนังหรอกนะครับ มันแค่เหมือนคนที่พยายามแลบออกมาจนสุดลิ้นเท่านั้นเอง แต่ลองทำตามดูก็ได้นะครับการแลบลิ้นยาวค้างไว้ขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันจะรู้สึกระคายคอจนต้องเผลอกลืนน้ำลายอยู่ดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น พี่แก้มแลบลิ้นยาวออกมาแล้วค้างอยู่ในท่านั้นเกินกว่าหนึ่งนาทีก่อนที่ผมจะตั้งสติได้
“ทำไมมันไม่พูด”
          ใครสักคนที่มุงดูอยู่พูดออกมา ซึ่งนั่นคงเป็นคำถามที่อยู่ในใจของทุกคนเช่นเดียวกับผม แต่มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ ผมพยายามนึกให้ออกแต่ก็ไม่ออก
“พูดไม่ได้หรอก”
          เสียงแหบแห้งของหญิงชราที่ผมคงต้องเรียกว่าทวดน้อยดังขึ้นเบาๆในความคิด ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากภายนอก แต่มันดังขึ้นมาในความคิด ครั้งนี้ผมมั่นใจแล้วจริงๆว่าทวดน้อยของทุกคนอยู่กับผมมาตลอด ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องราวแปลกๆ
          ผมคิดทบทวนถึงคำว่าพูดไม่ได้นั่นอีกครั้ง และในที่สุดผมก็ถึงบางอ้อ มันไม่ได้ไม่ยอมพูดแต่มันพูดไม่ได้ ผมโทษตัวเองว่าทำไมผมถึงมองข้ามเรื่องนี้ไปจริงๆ ผมเอาแต่คิดว่ามันเป็นผีเร่ร่อนที่มาแอบอ้างไม่ได้คิดเลยว่ามันอาจจะมีที่มาในรูปแบบอื่น รูปแบบที่มากที่สุดที่วิญญาณจะเข้ามาพัวพันและส่งผลร้ายกับชีวิตของมนุษย์ได้
“เธอ มีเจ้าของใช่ไหม”
          ผมถามออกไปตรงๆและคำว่า ‘เจ้าของ’ ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีกระดับ คำตอบนั้นชัดเจนเมื่อมันหดลิ้นกลับเข้าไปตามเดิมและยิ้มด้วยใบหน้ามีความสุข จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบรับ
“เจ้าของ? ทำไมมันมีเจ้าของ ใครส่งมันมาทำร้ายบ้านเราเหรอ”
          คนหนึ่งโวยวายขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกยิ่งทำให้น่าสงสัยว่าบ้านหลังนี้อาจมีปัญหากับใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรือเปล่า แต่นั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม แต่คนตรงหน้าก็เหมือนสนใจที่จะตอบ มันส่ายหน้าเบาๆเป็นการปฏิเสธ
“อยู่ที่นี่ใช่ไหม” ผมถาม และใครคนนั้นก็พยักหน้ารับอีกครั้ง
“อย่างนั้นก็กลับออกไป อย่าสร้างกรรมต่ออีก” มันส่ายหน้าแล้วแสยะยิ้มอย่างช้าๆ
“ไม่อย่างนั้นจะไล่” สุดท้ายก็ต้องท้าทายกัน
“ก็ลอง” น้ำเสียงของพี่แก้มเย็นเยือกเชื่องช้าน่าขนลุก
          มาถึงตรงนี้ก็คงพอจะเดาได้ว่ามันไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกไปง่ายๆหรอก สิ่งที่ต้องทำคือหาต้นตอของมันให้เจอ และสิ่งที่ผมคิดคือ ศาลไม้หลังนั้น ผมเดินตรงไปตรงนั้นแล้วหักเศษไม้ออกมาอีกชิ้น แน่นอนว่ามันมีท่าทางไม่พอใจแต่เหมือนจะยังทนได้อยู่ สิ่งที่ผมคิดได้ตอนนั้นคือ มันคงจะหวงศาลนี้ก็จริงอยู่ แต่การทำลายศาลนี้ไปไม่น่าจะใช่ทางออกสำหรับเรื่องนี้เพราะถึงมันไม่มีศาลอยู่ มันก็คงจะอยู่ในร่างของพี่แก้มต่อไปได้อีก
          เป็นครั้งแรกเลยถ้าผมจำไม่ผิดกับการทำอะไรแบบนี้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพราะการตัดสินใจครั้งนี้มันมันอาจทำให้ผมซวยได้
          ผมกลั้นใจยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นจนถึงระดับเอวรวบรวมแรงที่มีถีบศาลไม้ตรงหน้าหวังให้มันพัง แต่ศาลมันถูกวางตั้งไว้เฉยๆมันจึงล้มลงไปทั้งอัน
          คนในร่างพี่แก้มไม่พูดไม่กรีดร้อง แค่จ้องมองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ จริงอย่างที่คิดว่าการเอาศาลออกนั้นไม่ช่วยอะไร มันคงแค่อาศัยโอกาสอะไรสักอย่างเข้ามาอยู่ในนี้โดยไม่ได้รับเชิญแค่นั้น ผมขอให้คนมาช่วยยกศาลออกไป แล้วสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือกอไผ่ตรงนั้น
          ผมขอให้คุณลุงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆไปหามีดหรือพร้าอะไรยาวๆมาเพื่อฟันไม้ไผ่ออก ทันทีที่ลุงคนนั้นออกแรงฟันกอไผ่ พี่แก้มก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมทั้งพยายามจะลุกหรืออาละวาดอะไรสักอย่างจนผมต้องขอให้ทุกคนช่วยกันจับ
          กอไผ่ถูกฟันลงไปเรื่อยๆด้วยความช่วยเหลือของหลายคนจนเหลือเพียงตอเล็กๆเท่านั้นส่วนพี่แก้มก็ยังอาละวาดไม่หยุดเท่าที่ได้ยินเหมือนมีใครบางคนที่เข้ามาช่วยจับแล้วโดยเล็บข่วนจนเลือดออกก็มี
          กอไผ่นั้นค่อนข้างใหญ่แล้วรกมาก เมื่อถางมันออกมาทั้งหมดจึงได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน มันเป็นดินสูงคล้ายจอมปลวก นั่นทำให้ทุกคนขนลุกและเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ‘ทุบเลย’ นั่นคือสิ่งที่ผมพูดแต่ไม่มีใครกล้าทำตาม และแน่นอนว่าผมคือคนแรกที่ต้องเดินไปทุบจอมนั้นให้แตกออก
          จอมปลวกสูงประมาณเข่าแตกออกแต่ข้างในนั้นมันเป็นเพียงก้อนดินไม่ใช่จอมปลวกอย่างที่คิด ทุกครั้งที่กองดินนั้นถูกทุบพี่แก้มก็จะยิ่งอาละวาดหนักขึ้นเรื่อยๆแต่เราก็ต้องทำ เมื่อทุบดินจนพังหมดก็ยังไม่พบสิ่งประหลาดใด สุดท้ายเราจึงต้องลงมือขุดตรงที่ดินนั้นอีกครั้ง
          เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงฟ้ามืดหมดแล้วมีแค่แสงไฟฉายไฟถนนเท่านั้นที่ช่วยให้เรามองเห็น หลังจากขุดได้สักพักหนึ่งลึกลงไปจากผิวดินไม่เกินหนึ่งเมตรเราก็ได้พบกับสิ่งที่ตามหา
          ในหลุมดินนั้นมีไหดินเผาเก่าๆอันหนึ่งปรากฏอยู่ ไม่มีใครกล้าจับ ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผม ผมเดินตรงไปอย่างเข้าใจในความหมายที่ทุกคนอยากจะบอก ผมหยิบไหนั้นออกมาวางบนดิน พี่แก้มอาละวาดแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
          ฝาไหมีผ้าผืนหนึ่งมัดปากไว้อยู่กลิ่นนั้นสุดจะทน ผมแกะมันออกและข้างในคือผงขาวๆที่คาดว่าน่าจะเป็น ‘เถ้ากระดูก’
“อย่า! อย่ามายุ่ง!”
          พี่แก้มตวาดจนผมตกใจ ตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำอย่างไรเลยได้แต่หันไปหาคนอื่นๆแล้วถามหา พระพุทธรูปที่เคยผูกกับพี่แก้มไว้ ตอนนั้นเธอดูสงบดีอาจพอช่วยได้ และผมให้คนไปหาน้ำมนต์มาโดยด่วน โชคช่วยอีกครั้งเมื่อมีญาติคนหนึ่งเก็บสะสมน้ำมนต์ไว้ในบ้านและรีบวิ่งไปเอามาให้ในทันที
          เมื่อทุกอย่างพร้อมผมบอกให้เอาน้ำมนต์นั้นราดลงไปบนตัวพี่แก้มทั้งขันไม่ต้องเหลือเก็บไว้ เธอกรีดร้อง โวยวาย สะบัดตัวไปมา ส่วนพระพุทธรูปนั้นผมไม่ได้เอามาใช้กับพี่แก้ม แต่เอามาวางทับไว้บนปากไห โดยให้อีกคนจับเอาไว้อย่าให้ล้ม
          ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพุทธรูปนี้มาจากไหนแต่มันได้ผล พี่แก้มสลบไปเหมือนคนที่เหนื่อยจนถึงขีดสุด ผมบอกให้รีบฝังไหนั้นกลับลงไปก่อนจะเอาพระพุทธรูปวางทับไว้อีกชั้นหนึ่งบนหน้าดิน
          ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนมันจะผ่านพ้นไปแล้วแต่เรายังเหลือคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอยู่ เรากลับเข้ามาในบ้านเรียกพี่แก้มให้ตื่นขึ้นเพื่อพูดคุยในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น โดยผมจะขอสรุปเลยแล้วกันเพื่อไม่ให้ยืดยาว
          สิ่งแรกที่ผมสงสัยคือทำไมพี่แก้มถึงได้มีวิญญาณที่เป็นหนึ่งในคุณไสยนั้นมาอยู่กับตัวได้ เธอเลี่ยงที่จะตอบจนผมต้องเค้นเธออย่างไม่เกรงใจ สุดท้ายผมได้ข้อสรุป เธอไม่ใช่แค่คนที่มีเซ้นส์ แต่เธอรับทรงเจ้าเข้าผีรักษาคนและทำนายดวงชะตาด้วยศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งมีญาติแค่บางคนที่รู้เรื่องนี้รวมถึงพี่ไก่
          วันหนึ่งเธอเห็นว่ามีวิญญาณดวงหนึ่งท่าทางมีฤทธิ์นั่งอยู่ใกล้ศาลจึงไปจุดธูปขอให้มาเข้าร่างเพื่อใช้หาเงิน แต่ก็คุมเอาไว้ไม่ได้นั่นคือสาเหตุ แต่อีกสาเหตุหนึ่งนั้นมันมาจากผม

หลังจากจบเรื่องราวทุกอย่างแล้วผมได้รู้และเข้าใจว่าทั้งหมดมันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำอันมักง่ายของผม ศาลที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อคุณทวด บนที่ดินตรงนั้น ที่ผมบอกให้ตั้งได้ไม่มีปัญหาอะไร ศาลที่ถูกตั้ง คำเชิญจากพิธีกรรมทำให้ใครบางคนที่ถูกฝังเอาไว้ถูกเรียกขึ้นมาบนศาลแทนที่จะเป็นทวด ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะว่าวิญญาณดวงนี้คือวิญญาณตายโหงเคยเป็นเครื่องมือให้หมอผีสักคนหนึ่ง มันมีฤทธิ์มากพอที่จะทำร้ายและเบียดเบียนวิญญาณของทวดและแย่งศาลนั้นไป
          หากผมตั้งใจมองและไม่ปัดรำคาญไปอย่างนั้น เรื่องอย่างนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ผมขอโทษทุกคนจากใจจริงและก็โดนกร่นด่าตามสมควรซึ่งผมก็น้อมรับ
          ผมเอื้อมมือไปแตะพี่แก้ม ความรู้สึกเบาสบายเกิดขึ้นกับใจผม คุณทวดกลับไปหาลูกหลานแล้ว เธอมีสายสัมพันธ์กับทวดมากจริงๆ และก็เป็นไปตามคาด ทวดเป็นคนออกมาคุยกับพวกเรา และผมก็เป็นฝ่ายถาม
“ทำไมถึงมาบอกให้ผมตั้งศาลให้”
“ลูกหลานบอกจะตั้งศาลให้ จะหาที่ให้อยู่ จะได้อยู่บ้าน” พี่แก้มชี้นิ้วไปยังญาติคนอื่นๆ ด้วยคำพูดเนิบๆ
“ทำไมต้องให้ผมกินเศษอาหาร”
“ฉันหิว ฉันเคยกินแต่แบบนี้” ประโยคนี้ทำเอาทุกคนตกใจ และพี่ไก่จึงเป็นคนขยายความให้ฟัง
          ก่อนหน้านี้คนในบ้านเคยไหว้คุณทวดบนหิ้งพระที่มีแต่กรอบรูป อาหารต่างๆก็เย็นชืดไม่ถูกเก็บเมื่อเวลาผ่านไป และที่มากไปกว่านั้นก่อนที่คุณทวดจะจากไป ญาติไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ เธอแก่มากจนกินเองไม่ได้ ลูกหลานที่เกิดความรำคาญก็เอาอาหารวางไว้จนเย็นบ้าง ไปทำอย่างอื่นแล้วค่อยกลับมาป้อนบ้าง นั่นคือสิ่งที่ญาติๆยอมรับ และถ้าจำได้ตอนที่ผมตวาดคุณทวด เธอขอโทษและรู้สึกกลัว
          นั่นเป็นผลมาจากญาติอีกเช่นกัน เวลาคุณทวดบ้วนข้าวหรือกินช้า ลูกหลานจะตวาดด้วยความโกรธ บางครั้งถึงกับเลิกป้อนข้าวปล่อยให้หิวก็มี มีญาติคนหนึ่งพูดเบาๆเหมือนอยากจะแก้ตัว “ก็ดูแลคนแก่มันเป็นภาระจะตาย”
          ผมตาขวางมองผู้หญิงคนนั้นแต่ก็ไม่ทันพี่ไก่ที่ตวาดด่าอย่างโกรธแค้น เว้นแต่คุณทวดในร่างของพี่แก้ม เธอน้ำตาไหล ภาพนั้นทำให้ผมอยากร้องไห้ไปกับเธอเหลือเกิน
          ทุกอย่างจบลงแล้ว ผมขอให้คุณทวดถอยกลับไป ให้พี่แก้มได้กลับมาฟังเรื่องราวหลังจากนี้
          ผมถามหาความว่าทำไมคุณทวดจึงดูพูดแต่ประโยคเดิมวนไปวนมา พี่ไก่บอกว่าก่อนท่านเสียเหมือนท่านจะความจำเลอะเลือนพูดได้แค่บางคำ กลิ่นเหม็นที่ผมได้รับคือกลิ่นลมหายใจของท่านจริงๆ ท่านมีปัญหาในช่องปาก และระบบหายใจ ส่วนกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นนั้นคือ กลิ่นแป้งที่คนแก่ชอบใช้ ผมไม่รู้มันเรียกว่าอะไร แต่ผมเคยได้กลิ่นนี้จากญาติผู้ใหญ่ของผมคนหนึ่ง
“แล้วจะตั้งศาลใหม่ไหม” ญาติคนหนึ่งถาม
“ยังจะรั้งท่านไว้อีกเหรอ”
          ผมเชื่อว่าน้ำเสียงของผมคงจะไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคนคนนั้นหน้าเสียไปเลย ผมเดินออกมาจากบ้านมานั่งเล่นกับหมาตัวเดิม รอให้พี่ไก่ตกลงกับคนอื่นๆให้เสร็จ พอพี่ไก่ออกมาผมก็ถามไปเล่นๆว่าหมามันไปทำอะไรมาถึงนิ้วหาย เธอบอกผมว่ามันพยายามไปตะกุยคุ้ยใต้ฐานของศาลจนดินลึกลงไปเป็นรู ศาลเลยล้มลงมาครั้งหนึ่ง
          ญาติๆไปรุมตี และมันก็เหมือนจะคันเท้าเพราะเห็นมันเลียมันกัดอยู่ตลอด ไม่นานเท้าก็เริ่มบวมเป็นแผล จนเป็นแผลเหวอะหวะให้หมอจัดการในที่สุด ผมลูบหัวมันอย่างรู้สึกผิด มันคงรู้ว่าในศาลนั้นไม่ใช่คนในบ้าน มันคงรู้ว่ามีคนแอบอ้างมาทำร้ายเจ้านายของมัน มันคงรู้ในตอนที่ผมมาว่าผมจะช่วยได้ แต่มันคงไม่รู้ว่ามันคือความผิดของผมเอง ผมขอโทษมันอย่างรู้สึกผิด วันหนึ่งผมก็คงต้องชดใช้ความผิดนี้เช่นกัน
          การที่คุณทวดมาอยู่กับตัวผมก็คงเป็นการลงโทษจากกรรมที่ผมสร้าง มักง่าย ก็ต้องรับผลที่ตามมา ผมไม่มีสิทธิ์โกรธ พวกเขาต่างหากที่ต้องโกรธ และในเมื่อผมสร้าง มีหรือที่ท่านจะเข้าข้าง ท่านจึงปล่อยให้ผมชดใช้มันด้วยตัวเอง
          เถ้ากระดูกนั้นเป็นของจากหมอผีอย่างแน่นนอน พี่ไก่โทรมาหาผมหลังจากนำเถ้าในไหไปจัดการตามที่บ้าน คนเก่าคนแก่แถวนั้นบอกว่าเคยมีสำนักทรงตั้งอยู่แถวนี้ใหญ่โตแต่ก็ย้ายไปแล้วเป็นสิบปี สิ่งนี้คงจะเป็นของที่พวกนั้นไม่อยากนำไปด้วยจึงนำมาฝังไว้ พร้อมกับลงสะกดไม่ให้เอ่ยถึงพวกมัน ไม่ให้ตามหาพวกมัน เท่านั้นเอง

เรื่องนี้จบลงตรงนี้ครับ มันเป็นเรื่องที่ตัวผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง จนต้องกลับไปทบทวนอยู่เหมือนกัน ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

ลอยชาย.

.....................................................................................................

จากพันทิป  ตั้งศาลให้หน่อย...
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น