"เรียงร้อยเรื่องเล่า ตอน หญิงปริศนากับผ้าห่อศพ" โดย กฤตานนท์


     อีกหนึ่งเรื่องจากนักเขียนคุณ กฤตานนท์ หรือ สมาชิก ที่ใช้ชื่อในนาม Rhythm in the Air  จากเรื่องสยองของนักเขียนมืออาชีพท่านนี้รับรองได้ว่า การนำเสนอของคุณ กฤตานนท์ ได้สนุกและสยองไปพร้อมๆกันทำให้คุณไม่สามารถที่หยุดอ่านได้ ไปติดตามเรื่องต่อไปนี้จากกระทู้ "เรียงร้อยเรื่องเล่า ตอน หญิงปริศนากับผ้าห่อศพ" ขอขอบคุณเรื่อวราวดีๆที่นำเสนอให้ชาวผีสยองหนองกระจายได้สัมผัสถึงศิลปะการประพันธ์ที่คู่ควร

“บางครั้งการมองกระจกก็ชวนผวา เพราะสิ่งที่สะท้อนกลับมาอาจไม่ได้มีแค่เรา”

สักเดือนก่อนมีโอกาสได้ไปอบรม และมีน้องๆ ในคลาสเดียวกันรู้จักกันโดยบังเอิญผ่านงานเขียน เขาคิดว่าผมเป็นพี่ป๋องรึเปล่าไม่ทราบ
จัดแจงลากเก้าอี้มาซะชิด แล้วบอกว่า “ว่างมั้ยคะพี่ ลองมาฟังเรื่องของหนูบ้างสิ”

ก็คิดในใจ อืม... ดีเหมือนกัน จะได้เอามาปันในพันทิปบ้าง เดี๋ยวเพื่อนๆ จะลืม ก็นั่งฟังเค้าเล่าฆ่าเวลาช่วงพักเบรค
เรื่องที่กำลังจะเล่าอาจไม่ได้น่ากลัวหวือหวาตาโบ๋สักเท่าไหร่ แต่ด้วยความใกล้ตัวของเนื้อหานี่ล่ะพาให้เราตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว

เรื่องนี้มีอยู่ว่า...
พลอย (นามสมมุติ) เล่าว่ามีเพื่อนสนิทอยู่ 3-4 คน สนิทกันตั้งแต่เรียนปี 1 เวลาเที่ยวไหนมักไปด้วยกันตลอด
กลุ่มเพื่อนที่ว่าชื่อ ดล (ช) โอปอลล์ (ญ) และโต๊ด (?) แม้เรียนจบแยกย้ายกันทำงานตามทางของแต่ละคนก็ยังไปมาหาสู่กันเสมอ
อยู่มาวันหนึ่งดลบอกว่าไปเจอรถเก่งมือสองราคาถูก สภาพดีมาก คิดว่าจะซื้อมาใช้ พลอยกับเพื่อนก็บอกว่าเอามือหนึ่งเถอะ
รถมือสองราคาถูก (ณ ตอนนั้น) ไม่จมน้ำมา ก็ชนหนัก แต่ดลก็บอกว่ามือหนึ่งผ่อนไม่ไหว อยากได้คันนี้ พลอยจึงบอกให้จ้างช่างมาช่วยดู

พอถึงวันหยุดพลอยกับดลจึงแวะไปที่เต็นท์รถมือสอง รถคันนั้นเป็นรุ่นตลาดสีเงินไม่ติดฟิล์มกรองแสง (หรือติดแบบบางก็ไม่ทราบ)
สภาพภายใน ภายนอกดูดีสมกับที่ดลบอก แต่ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของผู้ชำนาญดีกว่า และเมื่อช่างยืนยันว่ารถไม่เคยชนหนัก
มีร่องรอยเล็กน้อยตรงกันชนท้ายเท่านั้น พลอยติดใจเล็กๆ ตามประสาสาวๆ ที่ชอบความละเมียดไม่นิยมของมีตำหนิ
แต่ดลคนซื้อตัดสินใจเป็นหนี้ทันที

เมื่อมีพาหนะ ทริปเที่ยวมันก็งอกออกมาตามตามวิสัย วันหยุดถัดมาดลชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวจังหวัดหนึ่งแถบภาคเหนือตอนล่างช่วง
ขาไปก็ขับรถกินลมชมวิวตามรอยไปเรื่อย ถึงที่พักก็โพล้เพล้ พลอยจองบ้านหนึ่งหลังนอนรวมกัน คืนนั้นอากาศค่อนข้างเย็น
ดลกับโต๊ดจึงสั่งชุดหมูกะทะมานั่งปิ้งกันอยู่ชานหน้าบ้านรับลมหนาว ระหว่างกินโต๊ดเหลือบไปเห็นว่าไฟรถกระพริบ
จึงถามดลว่านั่งทับรีโมทรึเปล่า ดลก็ปฏิเสธบอกว่าวางกุญแจไว้ในบ้าน นั่งกินไปอีกพัก ไฟรถกระพริบอีก
โต๊ดจึงไล่ให้ดลไปดูว่าปิดประตูไม่แน่น ลืมกดรีโมท ฯลฯ รึเปล่า ดลก็เดินไปปิดประตูทุกบานแล้วกดรีโมทอีกครั้ง

ช่วงที่ไฟสว่างวาบขึ้นมาโต๊ดเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่เบาะหลัง

“หือ? e ปอแกลืมกระเป๋าหรือผ้าถุงไว้บนรถเปล่าวะ” โต๊ดพูดลอยๆ
โอปอลล์ก็บอกขนลงมาหมดแล้ว โต๊ดคิดว่าตาฝาดก็บอกไม่มีอะไร นั่งคุยกันต่อ สักพักดลบอกเบียร์หมดจะออกไปซื้อที่ร้านค้า
ใครจะเอาอะไรมั้ย แต่สรุปทุกคนก็ไปด้วยกันหมดยกเว้นโต๊ดที่ขอนั่งรออยู่ที่บ้าน

________________________
“ดลเป็นคนขับ พลอยนั่งข้างคนขับ ส่วนโอปอลล์นั่งเบาะหลัง” เสียงใสเล่าให้ฟังอย่างนั้น...
________________________

ดลกลับรถ (นึกภาพจากหันเฉียงเข้าบ้าน เปลี่ยนเป็นท้ายเข้า) แล้วค่อยๆ ขับฝ่าความมืดออกไปช้าๆ โต๊ดก็ไม่ได้คิดอะไร
จ้องมองท้ายรถตามประสา แต่ต้องคิ้วย่น ตาเบิก ลุกขึ้นไปเกาะระเบียงเพ่งดูอีกรอบ ทำไมเบาะหลังมีคนนั่ง 2 คน (วะ)
ณ ตอนนั้นฝั่งโต๊ดทำได้แค่สงสัย แต่ฝั่ง ดล พลอย โอปอลล์กลับเจออะไรที่ชวนอึ้งมากกว่า

รถขับไปตามถนนเล็กๆ ที่มืดและลมแรง บางช่วงสองข้างทางเป็นป่า (ไม่ถึงกับทึบ) พอเจอลมพัดแรงเข้าหน่อย
ก็จะมีเศษกิ่งไม้แห้งหล่นมาเป็นระยะ ทั้งสามคนจึงต้องช่วยกันดูทาง มองแสงไฟสาดบนถนนพร้อมกับลมที่หอบสารพัดสิ่ง
ผ่านหน้าเป็นระยะ ก็คุยกันขำๆ ว่าแอบไปหาอะไรกินอร่อยๆ แล้วทิ้งโต๊ดเลยมั้ย ดันขี้เกียจไม่ยอมมาด้วยกัน
ระหว่างนั้นเจอทางโค้ง ดลก็เลี้ยวไปตามทาง จู่ๆ ไฟหน้ารถส่องไปเห็นอะไรบางอย่างสีขาวหม่นๆ กองอยู่กับพื้น
มองไม่ชัดเพราะทั้งมืด ลมแรง ใบไม้ กิ่งไม้ละลานไปหมด เนื่องด้วยถนนเล็กกอปรกระชั้นชิดมากรวมทั้งคนขับยังไม่เชี่ยว
ผลคือดลหักหลบไม่ทันเหยียบเข้ากลางสิ่งนั้นเสียงดัง กร๊อบ!

ทั้งสามคิดเหมือนกัน เหยียบอะไรวะ!?

ดลค่อยๆ ชะลอรถ ใจเสียว่าเหยียบอะไรเข้า เศษไม้? สุนัข? หรือแย่กว่านั้นอาจมีชาวบ้านถูกรถเฉี่ยวชน
แล้วไอ้คนชนขับหนีทิ้งคนเจ็บไว้ จึงตัดสินใจหยุดรถ มองกระจกหลัง ส่วนพลอยกับโอปอลล์หันกลับไปดูด้วยตาตัวเอง
__________________________
“คือตอนนั้นมันมืดมากค่ะพี่ แทบไม่มีแสงไฟเลย พวกเราก็ไม่กล้าลงไปดู” น้องเขาเล่าอย่างนั้น
__________________________

ดลตัดสินใจถอยรถกลับไปเรื่อยๆ จนน่าจะถึงจุดที่เหยียบอะไรบางอย่างเมื่อสักครู่ แต่ถอยเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
ดันมีแค่ความมืดที่รออยู่ ไม่มีผ้า... ไม่มีกิ่งไม้ใหญ่... มีแค่เศษใบไม้เล็กๆ เกลื่อนเต็มพื้น ดลค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย
มันคงเป็นถุงปุ๋ยหรือถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ข้างในอาจจะมีกระป๋องหรือกล่องอะไรอยู่ พอโดนเหยียบเลยได้ยินเสียง กร๊อบ
และตอนนี้คงโดนลมพัดปลิวไปไหนต่อไหน

ดลกับพลอยไม่ติดใจ ขับรถไปที่ร้านสะดวกซื้อ ดลแยกไปซื้อเบียร์ (ดื่มของมึนเมาไม่ควรขับนะครับ)
ส่วนพลอยกับโอปอลล์ซื้อขนมขบเคี้ยว ระหว่างพลอยกำลังเลือกของโอปอลล์เดินเข้ามาคุย

“พลอย... เมื่อกี้แกเห็นเหมือนที่ชั้นเห็นเปล่า?”
“เห็นอะไรเหรอ?”
โอปอลล์เลยบอกว่าก็ตอนที่ดลขับรถเหยียบอะไรสักอย่างตรงทางโค้งไง พลอยก็บอกไม่มีอะไรนิ
ว่าแล้วก็หยิบของใส่ตะกร้า แต่โอปอลล์ตามติดไม่ยอมให้เรื่องจบง่ายๆ
“ไม่เหมือนถุงปุ๋ยสักนิด ใหญ่กว่า หม่นกว่า แกไม่รู้สึกเหรอว่ามันเหมือนอะไร”
“เหมือนไร” พลอยถามกลับ
“ผ้าที่เค้าใช้ห่อศพ”

พลอยได้ยินก็ขนลุก ความจริงสิ่งที่เพื่อนพูดมันคล้ายกับที่พลอยคิด ถุงผ้าสีขาวเหมือนกับเวลาคนเสียชีวิตแล้วมีการเก็บกู้ศพ
มัดหัวรวบท้ายหอบขึ้นรถยังไงยังงั้น... พลอยจุ๊ๆ บอกว่าอย่าพูดกลางคืนเค้าถือ ก็แค่ถุงปุ๋ยล่ะมั้ง โอปอลล์กลัวๆ อยู่ก็พยักรับหงึกๆ
หลังจากนั้นทั้งสามก็ขับรถมุ่งกลับที่พัก ตลอดทางโอปอลล์นั่งเงียบไม่พูดไม่จาจนดลสงสัยเลยถามว่าเป็นอะไร ปกติผีเจาะปากพูดไม่หยุด
พลอยได้ยินก็ตีแขนเพื่อนชาย พูดเหมือนที่เคยพูดกับโอปอลล์ว่ากลางคืนเค้าถือ ห้ามพูดผีๆ สางๆ

__________________________
“ตอนกลับถึงที่พัก พลอยเห็นโต๊ดยืนจ้องพวกเราอยู่ค่ะพี่” เสียงสั่นๆ เล่าต่อ
__________________________

ทันทีที่จอดสนิททุกคนหิ้วของลงจากรถ โต๊ดก็เดินมาชะโงกดู พวงมาลัย กระจกมองหลัง เบาะหน้า เบาะหลัง ลานวางของหลังพนักพิง
แต่ทุกอย่างปกติ จนดลสงสัยเลยถามว่ามีอะไร โต๊ดไม่พูดกับดลแต่ถามพลอยแทนว่าขาไปนั่งกันยังไง พลอยงงๆ ถามกลับแทนที่จะตอบ
โต๊ดทำหน้าหงุดหงิดเดินไปถามโอปอลล์ต่อ

“ปอ เมื่อกี้ตอนขาไปพลอยมันข้ามไปนั่งเบาะหลังกับแกเปล่าวะ”
โอปอลล์ส่ายหน้า และบอกว่านั่งเบาะหลังคนเดียวทั้งไป-กลับ เห็นสีหน้าคนถามรวมถึงน้ำเสียงตระหนกหน่อยๆ
เซ้นส์โอปอลล์เริ่มทำงาน... มีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ

“e โต๊ด ทำไมถามแบบนั้นวะ แกเห็นอะไรอีกแล้วเหรอ เห้ย ไม่ตลกนะ” โอปอลล์เริ่มกลัว

โต๊ดปิดปากเงียบชวนทุกคนกลับขึ้นบ้าน บ่นกับตัวเองว่า "ชักแหม่งๆ แล้วสิ"  แต่ไม่ยอมพูดอะไรมากกว่านั้น
ลงท้ายนอกจากดลก็ไม่มีใครนั่งกินขนมและเครื่องดื่มที่อุตส่าห์ฝ่าลมหนาวไปซื้อ โต๊ดชวนพลอยกับโอปอลล์เข้าบ้าน
ทิ้งดลจิบเบียร์รับลมยะเยือกอยู่คนเดียว

หลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนมานั่งคุยกันบนเตียง พลอยซึ่งสังเกตโต๊ดมาสักพักถามว่าเมื่อกี้ที่บอกชักแหม่งๆ
มันหมายความว่ายังไง โต๊ดอึกอักแต่ก็พูดเลี่ยงๆ ว่าค่อยคุยพรุ่งนี้ แน่นอนว่าแรงอยากรู้เหลื่อมความกลัวนิดๆ
พลอยกับโอปอลล์กดดันจนโต๊ดยอมพูด

“ปอ แกจำได้มั้ยที่ชั้นถามว่าขาไปแกนั่งเบาะหลังคนเดียวรึเปล่า” โอปอลล์พยักหน้าหงึกๆ โต๊ดเลยพูดต่อ
“เอาสั้นๆ เลยนะ ไม่รู้ว่าตาฝาดรึเปล่า แต่ชั้นเห็นคนนั่งอยู่เบาะหลังสองคน”

พลอยกับโอปอลล์หันมองหน้ากันขนลุกซู่ โต๊ดเห็นเพื่อนกลัวเลยบอกว่า แต่คงตาฝาดนั่นล่ะแล้วชวนคุยเรื่องอื่น...

สามสาวนอนดูทีวี พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยจนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า สักประมาณ 4 ทุ่มเศษๆ ดลก็เดินเงียบๆ กลับเข้ามาในบ้าน
ทิ้งตัวนั่งนิ่งบนโซฟาไม่พูดไม่จา โต๊ดเลยถามว่าเป็นอะไร เมาก็ไปอาบน้ำนอนสิ ดลหันมาพูดกับทุกคนว่า
พรุ่งนี้ไปทำงานบุญที่วัดกัน แน่นอนทุกคนอยากไปอยู่แล้วและตกลงว่าจะออกไปวัดแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันใส่บาตร
เสร็จแล้วแวะหาอะไรกินให้เรียบร้อยค่อยกลับมาเก็บของที่บ้านพัก

หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน...

กลางดึกคืนเดียวกัน พลอยหลับๆ อยู่ก็สะดุ้งตื่นเห็นเงาตะคุ่มๆ ก็ตกใจ แต่ที่แท้คือโอปอลล์ซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ
เหมือนกำลังเงี่ยหูฟังอะไรสักอย่าง พลอยถามว่าทำอะไรอยู่ไม่หลับไม่นอน ได้ยินเสียงเพื่อนทักโอปอลล์สะดุ้งโหยง
สีหน้าผวายังไงชอบกล โอปอลล์บอกให้พลอยเงียบ แล้วลองฟัง...

_____________________________
“พลอยกับเพื่อนได้ยินเสียงครืดดดดยาว เหมือนใครกำลังขูดอะไรสักอย่างอ่ะพี่”
_____________________________

ทั้งสองใจกล้า (เป็นผมคลุมโปงต่อจริงๆ ^^) ชวนกันย่องไปแง้มผ้าม่านดู แต่นอกบ้านก็ไร้สิ่งผิดปกติ มีรถจอด
มีแสงไฟสลัวๆ และเสียงที่ว่าก็เงียบไปแล้ว ตัดสินใจเปิดประตูออกไปดู ใช้มือถือแทนไฟฉาย ส่องกวาดไปทั่ว
ถ้าเป็นหนังสยองขวัญมันต้องมีอะไรโผล่มา แต่เผอิญคืนนั้นไม่มี ทั้งสองจึงกลับเข้าไปนอนต่อ

เกือบตีห้า โต๊ดก็ลุกขึ้นมาปลุกทุกคน ดลคนชวนดูแฮงค์หน่อยๆ กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตีห้าเศษ
ดลบ่นว่าปวดหัวสงสัยดื่มหนักไปหน่อย โต๊ดจึงอาสาเป็นคนขับแทนไล่ดลไปนั่งข้างคนขับ พลอยกับโอปอลล์นั่งเบาะหลัง
พอขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องปุ๊บมีบางอย่างแปลกไป...

คือกระจกมองหลังมันบิดเหไปหมด โต๊ดจึงบ่นดลว่าขับรถภาษาอะไร กระจกมองหลังบิดแบบนี้ ดลก็บอกว่าไม่ได้ปรับอะไรเลย
สงสัยตอนยกของลงถุงไปเกี่ยวโดนมั้ง แต่โต๊ดก็นึกขึ้นได้ว่า ตัวเองเข้ามาสำรวจรถเมื่อคืนหลังจากทุกคนหิ้วของออกไปแล้วนิ
และทุกอย่างปกติดี แล้วกระจกมองหลังมันบิดแบบนี้ได้ไง (วะ) ?

โต๊ดเอื้อมมือไปปรับกระจกอย่างหวาดๆ คิดในใจว่าอย่ามีอะไรสะท้อนกลับมานะ ชำเลืองมองช้าๆ
ก็โล่งอกเพราะภาพที่สะท้อนกลับมาคือพลอยที่นั่งอยู่เบาะหลังนั่นล่ะ

แต่ตอนที่กำลังถอนสายตาออกจากกระจกนี่สิ มีบางอย่างผิดปกติ คือพลอยนั่งตัวตรงคนเดียวอยู่กลางเบาะและจ้องหน้าโต๊ดแบบว่านิ่งมาก
จ้องอยู่นานจนโต๊ดแปลกใจต้องหันกลับไปถามว่าจ้องทำไม กำลังจะอ้าปากแต่ปรากฏว่าเห็นพลอยกับโอปอลล์นั่งหาวหัวเกยกันอยู่
ตัดใจหันกลับไปดูในกระจกอีกรอบ ภาพที่ปรากฏคือพลอยกับโอปอลล์นั่งหัวเกยกันอยู่

ทุกอย่างที่เล่าจนถึงบรรทัดนี้มีความบังเอิญคั่นอยู่เนอะ เพื่อนๆ คงคิดแบบนั้นใช่มั้ยครับ?
ผมก็เหมือนกัน เพราะมันก้ำกึ่งมากและยังไม่มีช็อตชวนหวีดชัดๆ แม้แต่ครั้งเดียว
เอาล่ะครับ งั้นมาฟังในส่วนท้ายกันต่อ...

โต๊ดขับรถไปโดยใช้ GPS เครื่องโตๆ นำทาง (ตอนนั้นสมาร์ทโฟนยังไม่มีสรรพคุณครอบจักรวาลแบบตอนนี้)
จุดหมายปลายทางคือวัดแห่งหนึ่ง และต้องไปให้ทันใส่บาตรตอนเช้า สภาพอากาศเป็นแบบเดียวกับเมื่อคืน
ลมหนาวโกรกตลอดเวลามาพร้อมใบไม้และกิ่งไม้แห้ง

พลอยเริ่มสังเกตเห็นว่าโต๊ดชำเลืองกระจองมองหลังถี่มาก แต่ก็คิดว่าเพราะยังมืดอยู่
ระหว่างขับ GPS บอกเส้นทางว่าอีกไม่กี่กิโลเมตรจะถึงวัดซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ในตอนนั้นทุกคนในรถยกเว้นดลซึ่งนอนแฮงค์อยู่
เห็นอะไรสักอย่างพร้อมๆ กัน

พลอยกับโอปอลล์เหมือนเห็นภาพเกือบรีเพลย์ ส่วนโต๊ดเห็นเป็นครั้งแรก...
ห่างออกไปหลายสิบเมตรใต้ต้นไม้ใหญ่ครึ้ม แสงไฟรถสาดไปเห็นอะไรบางอย่างพิงอยู่โคนต้น ลักษณะเป็นถุงผ้าดิบขนาดใหญ่
สีขาวหม่นที่คล้ายบรรจุอะไรบางอย่างอยู่ด้านในจนแน่น โต๊ดเห็นแบบนั้นก็ชะลอรถช้าลง เพ่งตามองพูดกับตัวว่า “นั่นอะไรวะ”

แต่โอปอลล์บอกให้รีบขับไป โต๊ดงงๆ ถามว่าทำไม โอปอลล์กระแทกเสียงใส่บอกให้เหยียบก็เหยียบเถอะน่า
(ขืนชักช้าแกนั่นล่ะจะโดนเหยียบ) โต๊ดจำใจทำความเร็ว แต่พอเข้าไปใกล้ สิ่งนั้นมันก็ขยับ! ขยับ! และล้ม! กลิ้งๆ ตามพื้น
แล้วไปหยุดขวางอยู่กลางถนนพอเหมาะพอเจาะจังหวะเดียวกับที่รถกำลังขับผ่าน ผลคือโต๊ดทับ บางอย่าง เสียงดัง กร๊อบ!
รถส่ายไปมาแล้วไปจอดอยู่ข้างทางจนดลสะดุ้งตื่น

“เฮ้ย! ตะกี้ชั้นเหยียบอะไรวะ” โต๊ดร้องเสียงหลง จะเปิดประตูลงไปดูแต่พลอยกับโอปอลล์รีบห้าม
“เฮ้ยๆ โต๊ดอย่าลงไป” โต๊ดหันไปมองหน้าเพื่อน สงสัยว่าทำไม ไฉน ถ้าพวกแกบิดบังอะไรอยู่ถึงเวลาต้องเล่าแล้วป่ะ!?
สองสาวที่อยู่เบาะหลังบอกอย่าเพิ่งๆ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น รถจอดอยู่กับที่ท่ามกลางลมหนาว...

จังหวะการ เหยียบ ครั้งนี้ต่างจากเมื่อคืน เพราะดลขับเร็วกว่ารถจึงไถลไปไกลกว่า แต่ครั้งนี้ถุงผ้านั้นกองนิ่งอยู่ข้างหลังห่างไปไม่กี่เมตร
โอปอลล์เหลียวกลับไปดู ในความสลัวถุงผ้ายาวที่เหมือนกับศพถูกห่อกองนิ่งอยู่สักพัก จะด้วยลมหรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะมันก็กระตุก 2-3 ครั้ง
แต่ก็เหลือจะพอเรียกเสียงกรี๊ดของโอปอลล์

"กรี๊ดด!"
“ดอก! แกจะกรี๊ดทำม้ายย” โต๊ดตกใจตะโกนลั่น
“ฉันเห็นถุงมันขยับ!”

แม่เจ้าประคุณ แม่ขนุนหนัง ลมหนาวหอบความสะพรึงมาด้วย...

โต๊ดตาค้าง มือกุมพวงมาลัยสั่นพับๆ คิดว่าสิ่งที่โอปอลล์พูดให้ฟังหลอนสุดแล้ว แต่เหลือบไปมองกระจกหลังยิ่งหลอนกว่า
คือถ้าเป็นหนังสยองขวัญต้องเห็นถุงผ้าลุกนั่ง หรือไม่ก็เห็นใครแปลกๆ แทรกอยู่เบาะหลัง แต่ที่โต๊ดเห็นคือพลอยนั่นล่ะ
เพียงแต่ว่าเพื่อนสาวไม่ได้หันไปมองถุงหลังรถ แต่นั่งหน้าจ้องโต๊ดด้วยสายตาเย็นชา

ไม่รู้เป็นไงแต่ขนแขนลุกพรึ่บโดยพร้อมเพรียง โต๊ดรีบหันกลับไปดูเพื่อนด้วยตาตัวเอง แต่กลับเห็นทั้งสองสาวกุมเบาะหลังหันมอง
ถุงผ้าปริศนาอยู่ด้วยท่าทางตื่นเต้น... พลอยไม่ได้มองโต๊ดเลย

คำถามคับอกโต๊ดจึงถามพลอยว่าเมื่อกี้นั่งจ้องหน้าทำไม พลอยก็งง... งงว่าเพื่อนพูดอะไรของมัน
ยังไม่ทันได้ถามต่อดลก็บอกว่าให้รีบขับไปก่อน โต๊ดเหยียบมิดไมล์ไม่รอดูว่าถุงผ้ามันจะเด้งขึ้นมานั่งรึเปล่า

ถึงวัดแดดเช้าก็ฉายพอดี ระหว่างรอพระทั้งสี่ก็คุยกันอย่างตระหนก โต๊ดบอกว่าให้เล่ามาให้หมด
โอปอลล์จึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังว่าพวกเธอไปเจออะไรมา โต๊ดหน้าเสีย บ่นยกใหญ่
สักพักพระเดินกลับเข้าวัด ทุกคนรีบใส่บาตรและหลวงพี่ก็ให้พร... แสงแดดกับภิกษุช่วยให้จิตใจแจ่มใสขึ้นได้จริงๆ
หลังจากนั้นโต๊ดจึงบอกหวาดๆ ว่า กรูจะไม่เหยียบจังหวัดนี้อีกแล้ว ผีดุอิ๊บอ๊าย จากนั้นจึงกลับมาขึ้นรถ
โอปอลล์กับพลอยเดินตามกันมาติดๆ และก็เห็นบางอย่าง คือกระโปรงท้ายมีรอยขูดเป็นทางยาวขนาน 4 รอยเหมือนเล็บคน
ทุกคนมามุงดูโต๊ดก็บ่นว่าใครนะมือบอนจริงๆ พลอยกับโอปอลล์หันไปมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลายเงียบๆ

เสร็จธุระจึงกลับมาเก็บของที่บ้านพักแล้วมุ่งกลับกรุงเทพฯ ทันที ระหว่างทางดลเงียบไม่พูดไม่จาจนพลอยสงสัยพยายามถาม
แต่ดลก็ตอบด้วยคำพูดยอดฮิตว่า “ไม่มีอะไร” ทุกคนนั่งคิดถึงเรื่องที่เจอตลอดทาง เข้าเขตปริมณฑลก็เย็นๆ
และบ้านโอปอลล์ก็อยู่แถวนั้นพอดี ทุกคนจึงแวะส่งโอปอลล์แล้วมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ

บ้านพลอยกับโต๊ดอยู่ใกล้ๆ กัน ดลจึงอาสาจะขับไปส่ง แต่พลอยเห็นว่าเริ่มค่ำแล้วอยากให้ดลรีบกลับบ้านดีกว่า
จึงบอกให้ส่งข้างทางก็พอ เธอกับโต๊ดจะต่อแท็กซี่กลับบ้านเอง ดลจอดรถข้างทางเพื่อรอแท็กซี่เป็นเพื่อนสองสาว
แล้วจู่ๆ ดลก็พูดขึ้นว่าเมื่อคืนตอนนั่งกินเบียร์อยู่คนเดียว เขาเห็นผู้หญิงนั่งอยู่ในรถ

พลอย โต๊ดสะดุ้งเฮือก ถามว่าทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ ดลก็บอกแค่ว่าสงสัยเพราะกินเบียร์หนักไปหน่อยอาจเห็นภาพหลอน
แต่พอมาเจออะไรหลายๆ อย่างชักไม่แน่ใจ และเพื่อความสบายใจจึงชวนไปใส่บาตรนั่นล่ะ

โต๊ดนิ่งไปสักพักแล้วบอกว่า "ไม่น่าใช่ที่จังหวัดนั้นแล้วล่ะ น่าจะเป็นที่รถแกมากกว่า"

พลอยกับโต๊ดเริ่มสำรวจทุกสิ่ง เริ่มจากเบาะหลังโล่งๆ ดูแม้กระทั่งใต้พรมรองเท้า ระหว่างนั้นโต๊ดไม่กล้าเหลือบไปมองกระจกอีกเลย
ส่วนดลหยิบมือถือจะโทรหาใครบางคน แต่แบตหมด เลยหยิบนามบัตรเต็นท์รถ และขอยืมมือถือของพลอยแล้วโทรไปคุยกับเจ้าของเต็นท์
สอบถามว่ารถยังอยู่ในช่วงรับประกันใช่มั้ยพอดีมีปัญหาอยากคุยว่าสามารถขายหรือเปลี่ยนได้มั้ย

พลอยเดินอ้อมไปหลังรถ ดูรอยที่ถูกขูดแล้วเอามือทาบ ดูไซส์ไล่ๆ กับมือผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

สักพักแท็กซี่วิ่งมาจอดข้างๆ พลอยจึงบอกให้ดลรีบกลับบ้าน แล้วพรุ่งนี้เช้าไปเจอกันที่เต็นท์รถ ดลยิ้มๆ
ทั้งสามก็แยกกันที่ตรงนั้น รถวิ่งตามกันมาไม่นาน ดลก็เตรียมตัวเลี้ยวขึ้นทางด่วนส่วนพลอยกับเพื่อนไม่ได้ขึ้น
จังหวะนั้นเอง (กรุณานึกภาพตามนะครับ) รถดลที่กำลังขึ้นทางด่วนมันจะแหงนหน้าแล้วท้ายต่ำ แถมยังเป็นฟิล์มชนิดไม่เข้ม
ทำให้พลอยกับโต๊ดเห็นทุกอย่างในห้องโดยสารค่อนข้างชัดเจน โต๊ดทักเป็นคนแรกว่า

“รถ e ดลมีหมอนรองคอติดอยู่ตรงเบาะหลังด้วยเหรอ?”

พลอยมองตามทันที และเห็นเหมือนที่โต๊ดบอก คือมีอะไรไม่รู้ ลักษณะคล้ายหมอนรองคอสีขาวอยู่แถวๆ พนักพิงหัวของเบาะหลัง
ในตอนนั้นรถดลยังชะลออยู่ทางลาด ส่วนแท็กซี่ขยับเข้าไปใกล้ทีละนิดตามทางราบ (แท็กซี่ไม่ได้ขึ้นทางด่วนนะครับ)
ทั้งสองคนเริ่มเห็นชัดขึ้น หมอนสีขาวใบนั้นมีภาพสกรีนเป็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งพลอยกับโต๊ดค่อนข้างแน่ใจว่าบนรถไม่มี
หมอนลักษณะนี้ (ก็เพิ่งจะไล่ดูเมื่อตะกี้)

และเมื่อแท็กซี่ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ความรู้สึกก้ำกึ่งตลอด 1 วัน 1 คืนถูกยืนยันด้วยภาพที่เห็น
สิ่งนั้นไม่ใช่หมอนรองคอสกรีนหน้าผู้หญิง แต่เป็นผู้หญิงจริงๆ ถูกห่อด้วยผ้าสีขาว และผู้หญิงคนนั้นจ้องย้อนมาที่พลอยกับโต๊ด
ทั้งสองคนสะดุ้งสุดตัวไม่คิดว่าในชีวิตจะมีอะไรทำให้ขนตั้งทุกเส้นได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เห็นอยู่กับตาว่าดลมุ่งขึ้นทางด่วนทันทีไม่ได้จอดรับใคร แล้วผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน!?

คล้ายรู้ว่าคนข้างล่างกำลังสงสัย ศีรษะผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ ผลุบหายไปหลังเบาะช้าๆ เสี้ยวนาทีนั้นเกิดหลายอย่างพร้อมๆ กัน

1.    รถดลที่ติดบนทางด่วนเริ่มเคลื่อนที่
2.    รถแท็กซี่ขับเลยไปจนมองไม่เห็นรถที่กำลังขึ้นทางด่วน
3.    พลอยหยิบมือถือโทรหาดล
4.    ปลายสายตอบกลับ... หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

เป็นสถานการณ์สะพรึงที่บีบบดหัวใจซะเหลือเกิน

พลอยบอกให้แท็กซี่จอดรถแล้ววิ่งย้อนมาดูทางขึ้นทางด่วน แต่รถดลก็หายลับไปแล้ว เท่านั้นไม่พอรถที่ติดข้างหลัง
ก็เริ่มบีบแตรใส่แท็กซี่จนพลอยต้องจำใจกลับขึ้นรถ ณ ตอนนั้นเหมือนจะมีให้เลือก 2 ทาง คือทิ้งแท็กซี่คันเก่า
แล้วเรียกคันใหม่วิ่งตามขึ้นทางด่วน แต่ปัญหาคือตามไปก็ไม่รู้ว่าจะเจอดลรึเปล่านี่สิ
หรือข้อ 2 ก็นั่งคันนี้ต่อไปแล้วรอดลติดต่อกลับมา เลือกทางไหนกันครับ?

ใช่แล้วครับมันไม่ใช่ละครหรือภาพยนตร์ พลอยเลือกทางที่ 2 วิ่งกลับมาขึ้นรถ

คำถามแรกที่โต๊ดถามคือ แกเห็นเหมือนฉันใช่มั้ย? หน้าซีดๆ ของพลอยพยักตอบ จากนั้นโต๊ดก็พูดรัวเป็นชุดว่ารถดลมีปัญหาแล้วล่ะ
เจ้าของเก่าต้องไปชนใครตายหรือไม่ก็เคยมีคนตายบนรถ ลองคิดดูสิ เจอห่อผ้าขาวนอนขวางถนน 2 รอบ
และหนักสุดคือครั้งสุดท้ายกลายเป็นภาพติดตาไม่มีลืม... ผู้หญิงห่มขาวคล้ายคนที่ถูกห่มด้วยผ้าห่อศพโผล่อยู่เบาะหลัง

_____________________________
“พลอยเคยเห็นในหนังนะพี่ แต่ของจริงคนละความรู้สึกเลย ติดตามาจนวันนี้”
_____________________________

พลอยโทรหาดลอีกรอบ เมื่อไม่มีคนรับจึงตัดสินใจให้แท็กซี่เปลี่ยนเส้นทางมุ่งไปบ้านดลแทน
เมื่อไปถึง ปรากฏว่าดลยังมาไม่กลับ พ่อกับแม่ดลก็ชวนให้เข้าไปนั่งรอในบ้าน พลอยก็อึกอักๆ ว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังดีมั้ย
กลัวผู้ใหญ่มองว่างมงาย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจอมาให้พ่อแม่ของดลฟัง ฝ่ายคุณพ่อไม่ค่อยเชื่อ แต่คุณแม่หน้าซีด
หายใจติดๆ ขัด พอสามีถามว่าเป็นอะไร ก็หันมาพูดเสียงเครือว่า มีอยู่วันหนึ่งช่วงค่ำๆ เคยเห็นผู้หญิงห่มขาวนั่งอยู่ในรถดลเหมือนกัน
แต่คิดว่าตาฝาดเลยไม่ได้บอกใคร พ่อดลเริ่มหน้าเสีย พยายามบอกว่าใจเย็นๆ เดี๋ยวดลก็กลับ

และบังเอิญดลโทรกลับหาพลอยพอดี พลอยโล่งอกถามรัวเป็นชุด
“ดลอยู่ไหน? ทำไมยังไม่กลับ? เรากับโต๊ดมารอแกที่บ้านตั้งนานแล้วนะ”
ดลเงียบไปพักจึงตอบเสียงตะกุกตะกัก
“พะ... พลอย คุยเป็นเพื่อนหน่อยดิ”

พลอยก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยบอกมาก่อนว่าอยู่ไหน รีบกลับบ้านด่วนมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง พ่อแม่ดลก็นั่งรออยู่ด้วยกันเนี่ย
ดลเงียบไปสักพัก ก่อนตอบเสียงสั่นๆ ไม่ค่อยเป็นภาษา
“กะ... กำลังกลับ อย่าเพิ่งวางสายนะ คุยเป็นเพื่อนเราก่อน”

เซ้นส์พลอยก็เริ่มทำงาน... ผิดปกติ ผิดปกติมากๆ เสียงดลมันแปลกพิกล พลอยเลยบอกว่าไม่ต้องห่วงจะคุยเป็นเพื่อน
ตอนนี้อยู่ไหน กำลังขับรถกลับบ้านใช่มั้ย? แต่คำตอบของดลทำเอาโทรศัพท์แทบร่วงหลุดมือ

“พะ... พลอย เราเหลือบมองกระจกหลัง 2-3 รอบ เหมือนเห็นใครก็ไม่รู้นั่งอยู่เบาะหลังว่ะ”

และนั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่พลอยได้ยิน และยังเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับดล พลอยพยายามโทรหาแต่ติดต่อเพื่อนไม่ได้
แต่หลังจากนั้นไม่นานมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาว่า ดลประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิตในคืนนั้น...

หลายวันต่อมาพลอย โต๊ดและโอปอลล์ไปที่เต็นท์รถดังกล่าว และถามว่ารถคันที่ขายให้ดลมีประวัติยังไง
เคยไปชนใครมารึเปล่า เพราะเห็นช่างที่จ้างให้ตรวจรถบอกว่ามีรอยนิดหน่อยตรงกันชนหลัง
แต่เจ้าของเต็นท์ก็ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ยอมบอกก็ไม่มีใครทราบ ทิ้งปริศนาไว้ให้พลอยกับเพื่อนๆ ขบคิดว่า
ผู้หญิงคล้ายคนถูกห่อด้วยผ้าห่อศพคนนั้นเป็นใคร? รถคันดังกล่าวเคยเกิดอุบัติเหตุจริงหรือไม่?
และไม่แน่ว่าทุกวันนี้รถคันนั้นอาจได้รับการซ่อมแซมและจอดอยู่ที่เต็นท์ไหนสักแห่งรอใครสักคนเป็นเจ้าของ...

สำหรับเรื่องนี้ บางคนอ่านไปอาจรู้สึกว่าไม่น่ากลัว แต่ความรู้สึกส่วนตัวยอมรับว่าหลอน
เพราะหลังจากได้ฟังก็หวั่นๆ การมองกระจกรถไปพักใหญ่ กลัวว่าในความมืดตรงหลืบเบาะหลังจะมีใครที่เราไม่รู้จักนั่งจ้องหน้าเราอยู่รึเปล่า
คงเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวและสามารถเจอได้ทุกวันกระมัง
เอาล่ะ หลังอ่านจบลองชำเลืองกระจกมองหลังดูนะครับ ว่ามีใครนั่งอยู่หรือไม่...

ราตรีสวัสดิ์ครับ

ไม่มีความคิดเห็น