ลูกบอลในช่องเก็บศพ
"เรื่องลูกบอลในช่องเก็บศพ" เป็นเรื่องจริงจากกระทู้พันทิปโดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 1213620 ได้แชร์ประสบการณ์หลอนในปี 2528 เหตุการณ์สุดหลอนนี้จะเป็นอย่างไรเชิญรับชมกันเลย และขอขอบคุณเรื่องสยองนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องนี้นานมาแล้วราวๆ ปี2528ตอนที่ผมอยู่ป.3
สมัยก่อนวัดในกรุงเทพจะร่มรื่นลานวัดเป็นพื้นดินมีต้นไม้ขึ้นแบบวัดใน ตจว. ทั่วๆ ไป ลานวัดน่ะเป็นสถานที่ทุกๆอย่างของชุมชน ทั้งจัดงานอะไรๆ ตอนเย็นๆ ก็เป็นสนามฟุตบอลของเด็กๆ เป็นลานเด็กเล่นของแถวถิ่นนั้น
ในวัดทุกวัดจะมีเมรุเผาศพมีโกดังเก็บศพก่อปูนทำเป็นช่องๆ ถ้ามีศพที่ญาติไม่ประสงค์จะเผาเพราะติดขัดเรื่องทุนทรัพย์ในการจัดงานหรือรอญาติพี่น้องมาเผาเค้าจะนำศพใส่โลงมาบรรจุในช่องปูนโบกปูนปิดตายเก็บศพไว้ในนั้นครับ
โกดังเก็บศพของวัดที่ผมไปวิ่งเล่นทำเป็นสองแถวมีพื้นที่ตรงกลางทำเป็นโรงเรือนมีหลังคาปิดแถวละ 2 ชั้นบรรจุศพชั้นละ10 ช่องเลยสามารถเก็บศพได้ถึง 40 ศพ เลยทีเดียว สมัยก่อนไม่ได้มีมูลนิธิหรือวัดจะมีทุนเผาศพใครฟรีๆ การเผาศพแม้มีเมรุแต่ก็ต้องใช้เชื้อเพลิงมาเผาในช่องเก็บมากนะครับไม่ใช่เตาไฟฟ้าแบบในปัจจุบัน
ในอดีต 70-80 ปีก่อน พื้นที่รอบวัดก็เป็นป่าช้าฝังศพทั้งนั้น จนมาทำโกดังเก็บมีช่องปูน และพื้นที่ป่าช้าก็ขุดศพออกให้คนเช่าทำตึกแถวบ้านช่องกันไปแบบในปัจุบัน แต่ต่อมาความเจริญก็คืบคลานมาสู่วัดในกรุงเทพ พื้นที่ลานวัดถูกเทปูนทำลานจอดรถกันหมด เด็กๆไม่มีที่เล่นครับ สุดท้ายไปเล่นกันบริเวณหลังเมรุเผาศพ เพราะเป็นพื้นที่ว่างๆ หลังเมรุเป็นด้านหน้าโกดังเก็บศพมีกำแพงสูงเกือบ 2 เมตร ขวางไว้ครับ ปกติประตูหน้าโกดังปิดตายเสมอๆ
ทีนี้ก็น่าจะพอทราบนะ เด็กสมัยก่อนตามวัดฐานะก็ยากจน ลูกบอลหนังชั้นดีไม่เคยได้แตะ เตะได้แต่ลูกบอลพลาสติกลูกละ 10 บาท แต่ 10 บาท สมัยก่อนนี่เงินเยอะนะครับ หุ้นกันคนละบาทได้ลูกบอลมาเตะกัน แต่เจ้าลูกบอลพลาสติกนี่เบามาก เตะแรงๆ ทีกระเด็นไปไกลๆ มันก็มีเหตุที่จะข้ามกำแพงตกลงไปในโกดังเก็บศพเสมอๆ
นี่แหละคือประเด็น พอตกลงไปจะกลายเป็นสถานที่ทดสอบความกล้านะครับ ต้องปีนเข้าไปเก็บ และแหมโกดังเก็บศพเป็นที่ที่ใครก็กลัวทั้งนั้น แต่ลูกบอลไม่ใช่ราคาถูกๆ พึ่งรวมเงินกันซื้อมาก็ต้องไปช่วยกันเก็บ ก็ต้องช่วยกันดันก้นช่วยกันดึงขึ้นกำแพง คือทางฝั่งด้านนอกโกดังปีนง่าย เพราะกำแพงไม่ได้ราบเรียบเสมอกันมีช่องยืนพอเหยียบยื่นตัวปีนได้น่ะครับ เด็กๆ จึงปีนไปนั่งบนสันกำแพงได้เสมอๆ แต่ปัญหาคือใครจะลงไปเก็บบอลในโกดัง
คนยอมคือคนที่เตะบอลข้ามลงไปในโกดังที่จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขา เพราะเมื่อลูกบอลตกลงไปยังไงก็จะพอมองเห็นว่ามันกลิ้งไปตกหน้าช่องปูนเก็บศพเสมอๆ พอมีคนลงไปเก็บคนไหนโชคดีลูกบอลอยู่ด้านนอกๆ ก็ดีไป เก็บได้รีบเขวี้ยงข้ามกำแพง และคนเก็บรีบยื่นมือให้เพื่อนบนกำแพงช่วยดึงขึ้นมา เพราะผนังกำแพงด้านในโกดังค่อนข้างเรียบไม่มีมุมปีนครับต้องให้เพื่อนบนกำแพงช่วยดึงขึ้นมา
แต่มันมีการแกล้งกัน บางทีเพื่อนๆ บนกำแพงพอเห็นว่าคนเก็บบอลเขวี้ยงบอลออกมาได้ก็ทิ้งคนเก็บไว้ในโกดังนั่นแหละครับ แล้วก็ปีนลงมาปล่อยให้เพื่อนที่เก็บบอลตะโกนเรียกชื่อขอร้องหรือด่าทอ ทีนี้เพื่อนๆในกลุ่มผมน่ะครับชอบแกล้งกัน แต่ก็คือไปยืนหัวเราะกันด้านนอกปล่อยให้เพื่อนที่ติดอยู่ข้างในร้องโวยวาย แต่เราก็ปล่อยให้อยู่ในนั้นไม่เกิน 5 นาที ก็ปีนไปช่วยดึงขึ้นมา บางคนก็ร้องไห้ให้มีมาแซวกัน แต่ระยะหลังๆ เพื่อนที่โดนแกล้งไปฟ้องพี่ชายที่ตัวโตกว่า เราจึงมีโดนตบหัวกันทั้งแก๊งค์ที่ไปแกล้งน้องชายเค้า เราจึงไม่มีกล้าทิ้งเพื่อนไว้อีกครับ
ตัวผมเองก็เคยลงไปเก็บ เข้าไปกลางๆ ไม่กล้ามองข้างๆ มาก บางช่องโบกปูนมีกระถางธูปสีเขียนชื่อ วันที่บรรจุ ข้างหน้าเรียบร้อยมองแล้วขนลุก ตอนปีนกำแพงไปเก็บเคยมองไปด้านหลังโกดังมีโรงเรือนสังกะสีมีโลงศพวางซ้อนๆ กัน ขาตั้งพวงหรีดอุปกรณ์งานศพต่างๆ มาวางตรงนี้
บริเวณนี้คือที่ทำงานของสัปเหร่อครับ พวกเราก็มาเตะบอลเล่นกันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ตามปกติ นานๆ ทีลูกบอลจะข้ามตกไปในโกดังเก็บศพบ้าง ให้ต้องวัดใจปีนไปเก็บกัน แต่ในระยะหลังๆพระท่านมาไล่ครับ ท่านไม่อยากให้เด็กๆ มาเตะบอลตรงหลังเมรุ อย่างว่ามันสถานที่ทำพิธีศพมันก็ไม่เหมาะที่จะมีเด็กมาเล่นอยู่แล้วครับ
เราจึงทิ้งช่วงกันนาน แต่พอไม่มีที่เตะบอลก็แอบมาเล่นกันอีก ก็วัดเล่นเทปูนลานวัดเอารถยนต์มาจอดเต็มไปหมดแบบนั้น เราแอบไปเตะบอลนานๆครั้ง จนถึงครั้งสุดท้ายจึงตัองเลิกไปเล่นแถวนั้นกันตลอดชีวิต
วันอาทิตย์กลางปีใน 2529 พวกเรา 7 คน ก็เป็นเด็กประถมสี่กันแล้ว สาเหตุที่ทำให้เลิกไปเตะบอลกันตรงนั้น พวกเราหุ้นกันซื้อลูกบอลพลาสติกมาใหม่ เอามาเตะกันตามเดิม และก็พลาดตกลงไปในโกดังจนได้ ก็ต้องช่วยกันปีนข้ามไปเก็บ
แต่คราวนี้คนที่เตะบอลข้ามลงไปหาบอลไม่เจอครับ ลูกบอลหาย!! เลยลงกันไปหา 3 คน อีก 4 คนนั่งบนกำแพงรอดึงเพื่อน ลงกันมามากและตอนกลางวันแดดร้อนจ้า ก็เลยไม่กลัวกันครับเดินอ้อมโกดังไปหาตรงที่วางโลงก็ไม่เจอ มีเพื่อนไปมองในช่องเก็บที่ไม่ได้โบกปูนก็ไม่เจอครับลูกบอลหายไปเลย!!
แต่อย่างว่าครับหากัน 10 นาที ผมเองไม่ได้ลงไปครับ เป็นคนที่นั่งบนกำแพงเห็นเพื่อนอีกคนจะเดินไปสุดโกดัง เพื่อไปมองช่องลึกด้านในสุดที่มีช่องว่างแต่ไม่ทันจะเข้าไปพระก็มาตะโกนมาไล่ครับ พระในวัดเห็นเด็กปีนและนั่งอยู่บนกำแพงจึงไล่ให้ลงมา จึงต้องรีบช่วยกันดึงเพื่อนๆ ปีนกลับกันจนหมดแล้ว ท่านก็ไล่ให้ไปเล่นที่อื่น
เราจึงต้องทิ้งลูกบอลไป พอแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมเองนั้นนอนในคืนนั้นไม่ฝันอะไร ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พอวันจันทร์ไปโรงเรียนเพื่อน 2 คน ที่ลงไปหาบอลข้างล่างหยุดเรียน!! เจอเพื่อนอีกคนที่ลงไปแต่มาเรียนปกติ เพื่อนคนนี้ใจกล้ากว่าใครและเป็นเหมือนหัวโจกของกลุ่มครับ แต่วันนี้เค้าดูท่าทางกลัวมาก
เค้าเล่าว่า เมื่อคืนเค้าฝันว่าปีนกำแพงเข้าไปในโกดังเก็บศพ และเค้าจะต้องเดินเข้าไปในช่องสุดท้ายที่ว่างด้านใน ในฝันเค้าคิดว่าลูกบอลอยู่ในนั้นเค้าเดินเข้าไป และมองเห็นลูกบอลสีขาวในนั้น พอเค้าจะก้มเอื้อมไปหยิบบอล เค้าโดนดึงมือไว้ เค้าดิ้นรนพยายามจะหนี ถึงกับละเมอจนพ่อแม่ต้องปลุก เค้ากลัวมากๆเค้าจึงเล่าให้พ่อของเค้าฟัง พ่อของเค้าเอาสร้อยพระมาห้อยคอเค้าไว้ เค้าจึงนอนหลับได้ แต่เช้ามาโรงเรียนก็กลัวมากเพราะฝันเหมือนจริงมากๆ พวกผมอีก 4 คน ขนลุกกันไปหมด คือกลัวผีครับ
พอเลิกเรียนพวกเราไปหาเพื่อนที่ไม่มาเรียน ไปถึงบ้านเพื่อนคนแรกเจอแม่ของเพื่อน แม่ของเพื่อนบอกว่าเพื่อนคนนี้ไม่สบายเป็นไข้ไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า หมอให้นอนดูอาการเพราะไข้ขึ้นสูงครับ เราก็ไปบ้านเพื่อนอีกคน เจอเพื่อนนอนอยู่กลางบ้านมีผู้ใหญ่มานั่งในบ้าน หลายคนก็คุยกันเรื่องเพื่อนไม่สบายนี่แหละครับ บ้านเพื่อนคนนี้เค้าเป็นคณะลิเกนะครับ ในบ้านจะมีหัวโขนฤาษีมีคุณตาของเพื่อนคนนึ้นั่งอยู่ด้วย คุณตาท่านนี้อายุมากแล้วครับ ผมขาวทั้งหัว พวกเราไปหาเจอเพื่อนนอนบนตั่งไม้ในบ้าน เพื่อนคนนี้ก็ไม่สบายเป็นไข้ หน้าซีดไปเลย เค้าก็บอกว่าฝันว่าเข้าไปในโกดังเก็บเหมือนคนแรกเป๊ะๆ เลย ทำเอาพวกเรากลัวกันมากๆ
คุณตาท่านเลยสอบถามว่าพวกเราไปทำอะไรมา พวกเราจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง คุณตาจึงว่า อ๋อพวกเราไปรบกวนคนตายเจอดีให้แล้ว!! คุณตาท่านก็เอาสายสายสิญจน์มาพันข้อมือพวกเราทุกคน สวดมนต์ให้พร (สมัยนั้นคนแก่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบนำสายสิญจน์มาพันข้อมือลูกหลานเสมอๆ ในวันสงกรานต์วันหยุดอะไรๆ ) ท่านก็บอกว่าเราต้องไปเอาลูกบอลออกมาจากช่องเก็บนั้น และ 3 คนที่ลงไปต้องไปไหว้ขอขมาวิญญาณที่ถูกรบกวนด้วยครับ
พ่อของเพื่อนคนนี้ (คือบ้านนี้ค่อนข้างจะเชื่อทางไสยศาสตร์บ้านของพวกคณะลิเกน่ะครับ) จึงเดินไปเป็นธุระบอกทางบ้านเพื่อนอีกสองคนว่าพรุ่งนี้ให้หยุดเรียนไปขอขมาโกดังเก็บศพกัน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนจะโดนรังควาญต่อไป คนอื่นจะมาขอขมาด้วยก็ดีแต่ไม่ได้ลงไปก็ไม่น่าจะมีอะไรจะมาก็ได้ไม่มาก็ได้ แต่วันนี้ทำอะไรไม่ได้เย็นแล้วจะมืดแล้วให้ทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อนนอนไวๆ ก่อนนอนหาสร้อยพระห้อยคอสวดมนต์แล้วเล่าให้พ่อแม่ฟังถ้ามีเสียงอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจคุณตาท่านย้ำอย่างนั้น
ผมเองกลับไปเล่าให้แม่ฟังแม่เลยบอกว่างั้นแม่จะให้ผมไปไหว้ด้วยจะได้ไม่มีอะไรมารังควาน คือแม่ก็อยากทำบุญด้วย ผมเองคืนนั้นผมก็สวดมนต์หาสร้อยพระห้อยคอนอนข้างๆแม่ครับ พ่อผมไปทำงานต่างจังหวัด จึงมีแค่ผมกับน้องสาวเรานอนกางมุ้งกันสามแม่ลูก พอนอนไปคืนนั้นฝนตกก็เดือนกรกฏาคมแล้วฝนตกหนักมากเลยฟ้าร้องฟ้าผ่าทำให้ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก แต่พอตื่นในที่มืดๆ ความกลัวก็จู่โจมนอนคลุมโปง แต่ไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปเอง หรือเพราะความกลัว หรือเสียงฝนเสียงลมผมได้ยินเสียง
เสียงลูกบอลพลาสติกตกกระทบพื้นครับ เสียงดัง แต๊ก แต๊ก แต๊กๆ แบบมันกระดอน และค่อยๆกระดอนช้าลง แต๊ก แต๊กๆ เหมือนกับมีคนมาโยนบอลให้ตกลงพื้นครับ ได้ยินสามครั้ง!! เสียงมันดังมาแต่ไม่รู้ทิศทาง คือนอนคลุมโปงเเละหลับตาก็ไม่รู้ว่าหันหัวไปทางไหน เสียงมันดังมาจากทิศไหนแต่ได้ยินว่าเสียงมันดังมาจากนอกบ้าน แต่เสียงมันไม่ชัดเจน เพราะมีเสียงลมเสียงฝนผสมด้วยครับ (พ่อแม่ผมเช่าห้องนะครับเป็นบ้านเช่าหลังใหญ่ที่ซอยแบ่งเป็นห้องเช่าในชุมชนแออัดหลังวัดในซอยแคบๆเป็นตรอกเข้าไปลึกๆ
พอผมได้ยินเสียงสามเที่ยวหลับตาปี๋เลยหลับยาวไปเลยจนแม่มาปลุก เช้าวันนั้นผมไม่ได้ไปเรียนแวะไปวัดกับแม่ ไปถึงวัด 9 โมงเช้าก็มีเพื่อน 3 คนที่ปีนลงไปมาครบ แต่ละคนยังไม่สบายกันอยู่เลยครับ ผมกับเพื่อนอีกคนก็มาส่วนอีกสองคนไม่มาครับไปเรียน
ไปถึงสัปเหร่อเอาลูกบอลออกมาแล้วประตูโกดังเก็บศพเปิดครับ คุณตาของเพื่อนนิมนต์พระมา 4รูป เพื่อสวดบังสุกุล พาพวกเราเข้าไปนั่งยองๆ ฟังสวดในโกดังกันเลย คือลูกบอลน่ะมันตกไปในช่องด้านล่างซ้ายมือริมสุดช่องสุดท้ายครับ แต่ด้านบนมีศพอยู่นะครับเป็นศพผู้ชาย ลูกบอลไปกระทบช่องนี้และเหมือนกับไปอยู่ใต้ศพคนตาย เค้าจึงรังควาญหรือตามให้มาเอาลูกบอลคืนไป
พระท่านจึงสวดบังสุกุลให้คุณตาให้พวกเรา 5 คนถือดอกไม้ธูปเทียนขอขมาศพ ท่านให้เราพูดตามจำไม่ค่อยได้แล้ว "กรรมใดที่ข้าพเจ้ากระทำมาทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ล่วงเกินไปขออภัยให้ข้าพเจ้าด้วย" จำได้แค่นี้ครับ เสร็จแล้วพวกผู้ใหญ่ก็พาพวกเราไปถวายสังฆทาน 3 ถังให้พระสวดมนต์ให้ศีลให้พรและรดน้ำมนต์ให้ พระท่านกับพวกผู้ใหญ่หัวเราะกันใหญ่พระท่านเล่าว่าศพตายโหงรถคว่ำตายตายใหม่ๆ พึ่งนำมาบรรจุเมื่อตอนวันเสาร์นี่เอง แต่พอวันอาทิตย์พวกเราก็ไปรบกวน เค้าจึงตามหารังควาญครับ
แต่ปกติโกดังนี้เก็บศพคนแก่ที่ป่วยตายแบบหมดอายุขัยแล้ว จึงไม่มีวิญญาณอะไรมารบกวนแต่เฉพาะรายนี้ตายโหงและพึ่งตายจึงยังไม่ไปไหน ผมถามเพื่อนเมื่อคืนได้ยินเสียงลูกบอลบ้างไหม เพื่อนสามคนที่ลงเก็บบอลไปได้ยินทุกคน ในช่วงเวลาเดียวกับที่ผมได้ยินด้วย อีกคนที่ไม่ได้ลงไปไม่ได้ยินเพราะหลับสนิท ไปถามเพื่อนอีกสองคนที่ไปเรียนคนนึงได้ยินเพราะตื่นกลางคืนเหมือนผมอีกคนหลับสนิท
เพื่อนสามคนที่ลงไปพอหลังจากทำบุญก็หายจากไข้ใน 2-3 วัน พวกเราไม่ไปเล่นหลังเมรุกันอีกกำแพงนั้นถูกต่อเติมและมีสังกระสีมาปิดคลุมหมด อีก 2-3 ปีต่อมา เมรุถูกรื้อสร้างใหม่ โกดังเก็บศพถูกรื้อทำเป็นศาลาจวบจนปัจจุบัน ไม่มีศพฝากไว้ในวัดอีก
จากพันทิป ลูกบอลในช่องเก็บศพ
เล่าโดย สมาชิกหมายเลข 1213620
Post a Comment