เรื่องเล่า....จากต่างโลก


     เรื่องเล่า....จากต่างโลก เรื่องจากคุณลอยชาย หรือ LoyChinE จากพันทิป ด้วยประสบการณ์ความสยองของเขาเอง  ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

     สวัสดีครับ ฝากเนื้อฝากตัวกันอีกครั้งนะครับปีใหม่นี้ ตั้งแต่กระทู้นี้ไปจะเป็นเรื่องเล่ายาวๆเลยนะครับ จะพยายามให้จบเรื่องโดยไม่ต่อกันหลายวันมากนัก โดนบ่นเยอะแยะเลย 55 แล้วก็จะขอย้ำอีกเช่นเคยว่า  ทุกเรื่องที่ผมเขียน ไม่ได้แต้ง! ครับ โปรดใช้วิจารณญาณ์เป็นอย่างสูงเลยครับผม

     เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้นั้น มาจากปากของเพื่อนผม เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมแต่เพื่อนผมอยากให้เขียนเรื่องนี้ อยากบอกเล่าเรื่องราวนี้ออกไป เพราะมันใกล้ตัวครับ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลมากๆ แล้วที่หลายๆคนสงสัยว่าผมแต่งรึเปล่า เพราะเวลาเล่าถึงเพื่อนละดูจะเหมือนพูดเอง ผมเลยพิมพ์เสดแล้วส่งให้เพื่อนอ่านก่อนครับ ถ้าอันไหนไม่จริง ตกหล่น หรือมันอยากอธิบายอะไรเพิ่ม ก็ให้มันบอกเลย เริ่มเลยนะครับ
ปล.ถ้าบางสำนวนบางประโยคมันดูเหมือนนิยาย ขอบอกว่าผมอยากอธิบายนให้เห็นภาพ ได้รับความรุ้สึกที่มากขึ้นครับ
  ขอเริ่มก่อนว่าตัวผมนั้นมีความสามารถตรงนี้มานานแล้ว สำหรับผมผมคิดว่ามันนานมากครับ กับการใช้ชีวิตที่ผิดแผกไปจากคนปกติทั่วไป มันเริ่มจากตอนที่ผมเรียนอยู่ ม.4 นั่นคือจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเลย ม.4 มาตอนนี้ผมเรียน อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว มันมีเรื่องราวมากมายครับ มีผู้คนมากมายที่เข้ามาในชีวิตทั้งแบบทั่วๆไป และแบบไม่ปกติ มีไม่น้อยที่เข้ามาเพราะเรื่องแบบนี้ ทำให้ตัวผมนั้นมีคนรู้จักอยู่เยอะพอสมควร นอกจากคนที่ผมเคยช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษาแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เป็น 'เหมือนกัน' อยู่ด้วย คอยช่วยเหลือ ถามไถ่ และ 'ทำหน้าที่' ไปด้วยกัน เป็น เพื่อนที่ดีครับ
  เรื่องราวนี้เริ่มจากตัวผมมีคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานหนึ่งของมหาลวิทยยาลัยที่ผมเรียนอยู่ ที่พิษณุโลก เวลาว่างๆผมมักจะแวะไปหาพี่คนนี้อยู่บ่อยๆ เพราะะสนิทกันด้วยแล้วก็มีแอร์เย็นๆ อย่างว่านะครับ เรื่องความร้อนและแดดนี่ ที่หนึ่งจริงๆ ส่วนมากก็จะไปเช้าๆ ไม่ก็บ่ายๆ ตึกที่พี่ผมทำงานอยู่นั้น ตรงกลางจะเป็นสนามหญ้าโล่งๆ มีทางเดินเป็นวงกลมล้อมรอบที่ตรงกลางนั้นมีต้นโพธิ์ใหญ่ตั้งอยู่ ทุกครั้งที่เดินผ่านผมก็จะยกมือไหว้ตลอด แต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปดูใกล้ๆ เท่าที่เห็นก็มีคนไปกราบไหว้อยู่บ้าน เพราะเห็นมีขวดน้ำแดงมีธูปมีอะไร และก็มีผ้าสามสีเก่าๆที่าีซีดไปแล้ว มีศาลไม้เสาเดียวที่ทำแบบลวกๆ คิดว่าน่าจะมาจากคนงานก่อสร้างทำไว้ให้ก่อนที่จะสร้างอะไรแถวนี้ มีชุดไทยของผญแขวนอยู่ มีรอยแป้งด้วย = =' อันนี้คงรู้ว่าคืออะไร
  ทุกครั้งที่ผมไปผมก็จะเห็นเป็นเงาลางๆอยู่ที่ต้นไม้นั้นแต่ตัวผมไม่ได้สนใจอะไร เพราะถือคติว่า ไม่หาเรื่องใส่ตัวครับ การเป็นแบบนี้ต้องระวังตัวพอสมควรเลย หลายๆคนคงเข้าใจ
  แต่มีอยู่วันนึงผมแวะไปหาพี่เขาตอนค่ำๆ เพราะพี่เขาอยู่ทำงานต่อผมว่างๆพอดีก็เลยไปนั่งเล่นแถวนั้น ตัวผมไม่ค่อยกลัวความมืดหรืออะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมนั่งคุยนั่งเล่นไปได้สักพักหนึ่ง ผมก็อยากเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมา เวลาน่าจะซัก 2 ทุ่ม แต่เพราะมันไม่ใช่ตึกที่มีไว้เรียน มันเลยเงียบมาก หลังเลิกงานกก็ไม่มีใครเหลือแล้ว ผมเดินไปตามทางเพื่อจะไปห้องน้ำ เป็นทางเดินไมม่กว้างมากนั่ง ข้างนึงจะเป็นห้องทำงาน ส่วนอีกทางจะเป็นกำแพงกระจกที่มีหน้าต่างเปิดออกไปได้ คงเป็นเพราะมันค่ำแล้วเขาจึงปิดไฟไว้หมด เหลือก็แค่ไฟจากห้องที่พอจะมีคนทำงานอยู่บ้าง
   นอกหน้าต่างตรงทางเดินนั้นมองเห็นสนามหญ้าได้อย่างชัดเจนเลย แต่ที่ชัดเจนกว่าคือต้นโพธิ์ คืนนั้นเป็นวันโกนครับ ใกล้พระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าเลยสว่างพอสมควร เพราะมีพระจันทร์ดวงเบ้อเร่อ สะท้อนแสงอยู่บนฟ้าโดยไม่มีดาวมารบกวนเลย ผมเดิมไปเข้าห้องน้ำกลับมาตามทางเดิม คราวนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ผมอยากมองต้นโพธิ์นั้น มันรู้สึกเหมือนมีคนเรียก ไม่ได้เรียกชื่อ แต่มันเหมือนถูกสะกิดใจให้หันไปมอง
   ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสนามหญ้าโดนไม่มีอะไรบดบัง แสงของพระจันร์ที่สะท้อนลงมาทำให้เห็นต้นโพธิ์นั้นชัดเจน ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆหน้าต่าง เพื่อที่จะได้เห็นชัดขึ้น ผมเดินมาจนชิดขอบหน้าต่าง ผมกำลังจะเอื้อมมือไปดันหน้าต่างให้เปิดออก ก็ต้องหยุดไว้แค่นั้น เพราะในสายตาผม ปรากฏเงาคนร่างใหญ่ น่าจะประมาณ 2 เมตร อยู่ที่โคนต้น ผมพยายามมองให้ชัดเจนว่านั่นคือ คนรึเปล่า แต่ในใจก็รู้แหละครับว่าไม่ใช่
'เห้ย พี่ทำงานเสดแล้วกลับๆ ดูไรอยู่วะ' พี่ผมเดินมาเรียกเพราะทำงานเสดแล้วพอดี
'ไม่มีไรพี่ ดูวิวเฉยๆ' ผมเดินตามพี่ออกไป แต่ก็ยังหันหลังกลับมามอง สิ่งที่เห็นมีเพียงความว่างเปล่า ตรงนั้นไม่มีใครยืนอยู่แล้ง
   ปกติผมจะไม่ติดใจกับการเห็นอะไรพวกนี้เท่าไหร่ครับ เพราะมันก็ชินแล้วด้วย บวกกับ คิดไปก้ไม่มีคำตอบครับ แต่ครั้งนี้แปลก ผมติดใจมาก ผมสงสัย และมันก็ยังคงตกค้างอยู่ในหัวผม จนผมกลับถึฃหอ
   ไม่ว่าผมจะอ่านหนังสือ ดูทีวี เล่นเกมส์ คุยกับเพื่อน ออกไปหาอะไรกินรอบดึก ผมก็ยังไม่เลิกคิดครับ คคือจะว่าไปมันก็ไม่มีอะไรให้คิด แต่เราแค่สงสัย แล้วอยากรู้ให้ชัดเจนว่า ที่เราเห็น คือใคร!
   พอทำทุกอย่างเสร็จแล้วผมก็ไปอาบน้ำ ในขณะที่อาบน้ำนั้นภาพร่างของชายคนนั้นยังคงชัดเจนในหัวผม ผมคิดอยู๋อย่างนั้น ตอนสวดมนต์ก่อนนอนก็ทำเอาไม่มีสมาธิเลย เอาแต่คิด ผมจึงตัดสินใจไปปิดไฟนอนดีกว่า แล้วคืนนั้น ผมก็ฝันครับ
   ผมฝันว่าผมไปเดินอยู่ที่แห่งหนึ่ง เป็นดินสีแดงๆ มีเพิงไม้ที่สร้างไว้แบบลวกๆ เหมือนมีไว้เพื่อแค่บังแดดบังฝนเท่านั้น ในฝันผมเดินไปเรื่อยๆ มันโล่งมาก ไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นดิน และแม่น้ำ เดินมาได้สักพักผมก็เจอ ผชคนนึงยืนอยู่ เขาค่อยๆเดินมาหาผม ภาพที่เห็นคือเป็นชาย ร่างใหญ่ กำยำ ผมมองตั้งแต่เท้าขึ้นมา สะดุดที่เขาไม่ได้ใส่กางเกง แต่เป็นจงกระเบน พอเลยขึ้นมาที่ตัวก็มีรอยสักเต็มไปหมดไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ในมือข้างหนึ่งมีดาบ แล้วผมก็สะดุ้งตื่น เพราะนาฬิกาผลุก
   ทั้งงวันนั้นผมคิดถึงฝันนั้น มันชัดเจนและติดตามากๆ ส่วนหนึ่งลึกๆในใจของผมบอกผมว่า เป็นเขาคนนั้น เขาอยู่ตรงนั้น ที่ต้นโพธิ์นั้น เขามาให้เห็น ผมรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาในจิตใจ วันทั้งวันผมก็สลัดเอาความคิดนี้ออกไปไม่ได้ จนในที่สุดหลังจากที่ผมได้ไปกินข้าวเย็นอะไรเสดเรียบร้อย ผมก็ขอให้เพื่อนตามไปเป็นเพื่อนผมหน่อย
   พอไปถึง มันก็ประมาน 2 3 ทุ่ม เงียบมากไม่มีใครแล้ว พอผมบอกว่าจะเดินเข้าไป เพื่อนผมก็ปฏิเสธทันที เพราะมันไม่มีไฟ มันมืดมาก เพื่อนผมมันขี้กลัว มันก็ปล่อยให้ผมเข้าไปคนเดียว เป็นเพื่อนที่ดีมาก = ='
  ตามทางเดินนั้นไม่ค่อยมีไฟครับ จะมีก็แต่ไฟจากในตัวตึกซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก คืนนั้นเป็นวันพระ จันทร์เต็มดวงด้วย เลยทำให้เห็นอะไรอยู่บ้าง พอเดินได้ครับ ทางเข้าต้องเดินผ่านซอกระหว่างตึกไป เพราะเข้าตึกไม่ได้ครับ ทางก็มืดมาก ผมเดินไปเรื่อยๆ ไม่ไกลก็เจอทางเดินวงกลม ที่ล้อมรอบสนามหญ้านั้นอยู่ ผมเดินผผ่านไปทางรกพอสมควรครับ เดินยาก มีต้นไผ่เล็กๆขวางอยู่เยอะเลย
  แล้วผมก็เดินเข้ามาถึง ภาพตรงหน้า เล่นผมอยากเดินกลับเหมือนกัน ถึงจะชินๆแล้วแต่ใจก็ไม่แข็งเท่าไหร่ครับ ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ เริ่มสังเกตุเห็ต้นโฑธิ์ชัดขึ้น ผมคิดมาตลอดว่าเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ แต่ผมคิดผิดครับ ความเป็นจริงมันน่าทึ่งกว่านั้นเยอะ ปรากฏว่าเป็นต้นโพธิ์นั่นหละครับ แต่เป็นต้นโพิ์สามต้นที่พันกันจนเป็นต้นใหญ่ต้นเดียว มองไกลๆอาจจะไม่ชัดมาก แต่ที่พื้นไปจนถึงประมาณระดาบสายตาเรานั้น ตเนโพธิ์ทั้งสามต้นแยกกันชัดเจน แต่ไปพันกันตั้งแต่ระดับประมาณหัวผม พอได้เข้าไปดูแล้ว เป็นต้นโพธิ์ที่ใหญ่มากๆ  ที่ทำผมใจไม่ดีเลยคือชุดไทยที่แขวนอยู๋ครับ เล่นเอาหลอน
  ผมเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ที่พื้นมีแต่ใบไม้แห้งเสียงฝีเท้าตัวเองก็หลอน เอง มีเสียงนกบนกระพือปีกพรึ่บพับๆ เล่นเอาขาสไม่ค่อยมีแรงเลยครับ ผมเดินเข้าไปใกล้ทีละนิดๆ ค่อยๆใช้สายตาสำรวจ มีเศษซากเครื่องเซ่นเก่าๆ ระเกะระกะมากเลย เหมือนมาไหว้ละทิ้งไม่เก็บกวาด ผมเดินมาเรื่อยๆ จนชิดกับต้นโพธิ์นั้น ผมเอื้อมมือไปแตะ
'มาแล้วหรือ' ทันทีที่มือผมแตะโดนต้น ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากข้างหลังผม ผมหันไปทันที แต่พอผมหันไปผมก็ต้องตกใจกว่า เพราะภาพที่ผมเห็น ผมไม่ได้ตั้งตัว ไม่ได้เตรียมใจมา ถามว่าแบบนี้เคยเห็นมั๊ย ก็เคย แต่นี่มันไม่ได้เตรียมใจมา แล้วระยะห่างกันยังไม่เกิน ไม้บรรทัดเลยมั้ง
  ภาพที่ผมเห็นคือ ภาพร่างผชคนเดียวกับในฝัน ที่บ่งบอกว่าใช่แน่ๆนั้นคือ ร่างสูงใหญ่ ล่ำกำยำ นุ่งจงกระเบน ทั่วลำตัวมีรอยสัก มือถือดาบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องรีบออกจากบริเวณนั้นในทันที นั่นคือ เขาไม่มีหัว!
  ผมรีบเดินออกมาถึงที่ริมถนนที่เพื่อนผมจอดรถรอกันอยู่ 3 4 คน ผมคร่อมมอไซด์ได้ก็บิดกลับหอไม่รอใครคับ แล้วนั่งรอเพื่อนที่หน้าหอ มาถึงมันก็ด่ากันเปิง ว่าทำไมไม่รอ ผมก็เล่าให้พวกมันฟัง คราวนี้ต่างคนต่างเงียบ เข้าห้องกันอย่างสงบเลยทีเดียว
  ภาพยังติดตาครับ แต่พอกลับมาที่หอตั้งสติได้ ก็ไม่กลัวครับทำใจได้ ก็ไปอาบน้ำ มาสวดมนต์ หลังสวดเสดผมก็นั่งสมาธิตามปกติ
'หนีมาทำไม' กระแสเสียงหนึ่งดังก้องในหัวผม
'ตกใจครับ กลัว'
'กลัวเขาทำไม เขามาทำร้ายหรือ ก็ไม่ใช่'
'แล้วเขามาทำไมครับ'
'ถามเขาเองสิ'
  ในหัวผมนั้นเกิดภาพขึ้นมา จะเรียกว่าเป็นนิมิตก็คงได้ เป็นภาพต้นโพธิ์ต้นนั้นครับ แต่คราวนี้มีแสงสว่างคล้ายตอนกลางวัน ไม่น่ากลัว ที่ด้านหน้าของผมมีร่างหนึ่งที่ประกอบขึ้นจากแสงสว่างจ้านำทาง ไปถึงที่หน้าต้นโพธิ์ สิ่งที่เห็นคือ ทหารคนเดิมคนนั้นนั่งคุกเค่าอยู่กับพื้นพร้อมกับพนมมือ ก้มลงกราบที่แสงสว่างตรงหน้าผม คราวนี้เขามีหัวครับ หน้าตาคมเข้มสมเป็นคนโบราณ
'ถามเขาสิ' แสงนั้นสั่งมาที่ผม
'เป็นใครครับ มาให้ผมเห็นทำไม อยากได้อะไรครับ'
'ช่วยผมด้วย ผมอยากทำงาน ผมอยากรับใช้ท่าน' ทหารคนนั้นตอบผมพร้อมกับท่าทางสะอึกสะอื้นร้องไห้
  ผมหลุดออกจากสมาธิ พร้อมอาการปวดหัว เดิมทีผมเป็นไมเกรนอยู่แล้วด้วย เลยทรมานไปใหญ่ ผมกราบลาพระ พร้อมปิดไฟ เตรียมนอนทันทีครับ ผมเคยถามผู้รู้มาว่า หากผมมีบารมีมากพอ หรือปฏิบัติมากพอแล้ว อาการปวดหัวเหล่านี้จะหายไปครับ แต่อย่างว่า คือผมก็ขี้เกียดเองแหะๆ แต่ก่อนที่ผมจะหลับผมติดใจกับคำพูดที่ว่า
ผมอยากทำงาน ผมอยากรับใช้ท่าน..... ท่าน ท่านคือใคร เขาหมายถึงใครกัน
  ผมคิดจนผลอยหลับไปก็ไม่ได้คำตอบ แต่คำตอบนั้นมาในฝันของผม
  ในฝันผมเดินอยู่ที่โล่งกว้าง ทั่วทั้งบริเวรเป็นสีขาวล้วน บนท้องฟ้ามีสิ่งเคลื่อนไหวคล้ายเมฆ ผมเดินไปตามทาง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมฝันเห็นพื้นที่นี้ เดินไปจนสุดทางก็ปรากฏภาพแท่นบัลลังค์สูงใหญ่ มีร่างหนึ่งประทับอยู่บนแท่นนั้น ร่างนั้นทรงเครื่องกษัตริย์สีดำ มันวาว ดาบโบราณเล่มใหญ่ที่ทำจากทองและลงสีดำไว้สวยงาม ผิวกายสีเข้ม นั่งอยู่บนบัลลังค์นั้น เหมือนกับท่าทางที่ท่านนั่งให้นิสิตได้เคาราพกันอยู่เสมอ
'คนของเรา ช่วยเขา' ร่างนั้นส่งประโยคหนึ่งมาถึงผม พร้อทกับเสียงนาฬิกาปลุกพอดี
  ผมรีบโทรหาปู่ (ที่ผมเล่าไปแล้ว) เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ทุกฝ่ายทุกคนตกลงกันแล้วว่า
พวกเราจะช่วยเขา....

หลังจากที่ได้ข้อตกลงกันว่าจะไปช่วยเหลือเขา คนนั้นก็มีผม มีปู่ มีพี่ที่ทำงานที่นั่น ละพี่อีกคนที่ทำงานใน ม.เหมือนกันแต่คนละตึก พี่คนนี้มีตำแหน่งที่คนรู้จักพอสมควรเลย สายๆวันนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันเสาร์เพราะผมไม่มีเรียน เราก็นัดเจอกันที่ต้นโพธิ์นั้น
  ไปถึงเราก็ไม่เดินสำรวจรอบต้นโพธิ์กัน มันเป็นกลางวันด้วยก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่คับ มีลมพัดอ่อนๆ เย็นๆ พออ้อมไปถึงข้างหลัง ก็เจอลวกเก่าๆเส้นนึงยาวๆ ขึงอยู่ครับ เส้นใหญ่พอสมควรเลย ผมก็เลยไปถามปู่ว่ามีลวดขึงอยู่เอาออกมั๊ย ปู่บอกให้เอาออก ผมก็พยายามใช้มือดึกออกก่อนคิดว่าไม่น่าจะดึงออกยากเห็นเป็นสนิมเขรอะเลย แต่มันก็แน่นจนผมดึงไม่ออกครับ ผมก็เลยเดินไปหาน้ายามที่หน้าตึก ไปยืมฆ้อนเขามาจะเอามางัดตะปู
พอผมจะงัด มันก็แน่นจนผมงัดไม่ออกครับ แล้วมันมีอาการปวดหัวมึนหัว จนผมต้องเดินไปอ้วก
  ผมเดินไปบอกปู่ว่าเอาไม่ออก แล้วผมก็ปวดหัวด้วย พอปู่เดินไปดูปู่ก็บอกว่า นี่ไม่ใช่ลวกขึงทั่วๆไปแล้ว นี่มันสะกดแล้ว ผมก็ งงๆ สะกดอะไร ต้นโพธิ์นะ ผมยังไม่ค่อยกล้าจะยุ่งเลย ปู่เดินไปที่รถถือน้ำมนต์ที่เตรียมมา พรมลงไปที่ต้นโพธิ์แล้วสวดอะไรไม่รู้อยู่พักนึง ปู่ผมคนนี้ไม่ใช่ญาติโดยตรงนะครับแต่นับถือกันมากๆ เลยเรียกปู่ ปู่เป็นร่าง พระ ครับ ไม่ได้บวช แต่นุ่งขาวห่มขาว มา หลายสิบปีแล้ว
  พอปู่สวดเสร็จก็ให้ผมไปลองเอาตะปูออกอีกรอบ ผมกำลังจะงัดออก ปู่บอกไม่ต้อง ใช้มือนี่แหละ ผมก็เถียงในใจนะครับว่า ตะปูยังงัดไม่ออกมือมันจะออกได้ไง พอจับตัวตะปูได้ผมก็ออกเเรงเตมที่เลยครับ กะว่าจะกระชากเลย พอผมออกแรงปุ๊บ ก็หงายหลังลงไปนั่งกับพื้นเลยครับ มันออกมาง่ายมากๆเลย ไม่รู้สึกถึงแรงต้านอะไรเลย และก็ตกใจกว่าตรงที่ ตะปูในมือผมยาวมาก ประมาณเกือบคืบนิ้วมือเลย
'มาดูนี่ มีอีก' ปู่ตะโกนเรียกทุกคนให้ไปดู ปรากฎว่าก็มีตะปูแบบนี้ถูกตอกไว้รอบๆต้นโพธิ์ ประมาณ 4 5 อัน มีอันนึงอยู่แถวๆโคนต้น มันก็ดูจงใจเกินไปนะคัรบ พวกผมก็ไล่ถอนกันจนหมด เช็คดูแล้วว่าไม่มีเหลือ ผ้าสามสีเก่าๆที่มัดไว้ ก็ตัดออก เพราะเราตั้งใจจะเอาอันใหม่มาให้อยู่แล้ว
'ขอบคุณ' ผมได้ยินเสียงก้องลอยในอากาศ ผมก็หันไปมองทุกคน ปู่ยิ้ม พี่ๆอีกสองคนทำหน้า งง ผมก็ถามว่าได้ยินมั๊ย คำตอบคือทุกคนได้ยินกันหมด พอเสดจากตรงนั้น ปู่ก็กลับก่อนเพราะว่ามีธุระต่อ เหลือพวกผมสามคน
  พวกผมนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของพี่ที่ทำงานตึกนี้ ระหว่างคุยกันพี่ผมคนนึงก็พูดขึ้นมาว่า
'พี่รุ้สึกแปลกๆว่า หายใจไม่ค่อยออก'
'ไมอ่ะพี่เป็นไร' ผมก็ถามด้วยความเป็นห่วง
'ขอกระดาษ ดินสอหน่อย' ผมก็หาให้แบบ งง ๆ พอดีมีติดกระเป๋าอยู่
'พี่เห็นอะไรอยู่ในหัวไม่รู้' พี่เขาก็เงียบไปแล้วลงมือวาด วาดไปได้สักพักนึง พอภาพเสด แต่ตอนนั้นเป็นแค่ภาพร่างดินสอนะครับ แต่ลักษณะอะไรใกล้เคียงกับ ผช ที่ผมเห็นมาก เรียกว่าเหมือนเลยก็ได้ ผมก็อึ้งๆอยู่ เลยโทรไปหาปู่กันว่าเอาไงดี
'สงสัยต้องรีบแล้วล่ะ เขาคงอยากได้ศาลแล้ว' ปู่ตอบผ่านโทรศัพท์มา
'เอาไงดีอะ ทำไงดีครับ'
'บอกให้มันไปวาดรูปมาใหม่ วาดรูปลงสีมาเลย ไปนั่งในห้องพระ วาดให้มันชัดเจน' ปู่ฝากผมบอกพี่คนนั้น
  พวกผมก็แยกย้ายกันกลับ จนตอนกลางคืนผมก็ไหว้พระนั่งสามธิของผมไปปกติ ไม่ได้คิดอะไร แล้วก็มีภาพเข้ามาในหัวอีก เป็นที่ดินโล่งๆที่เดิมครับ แล้วมีนายทหารคนนั้นนั่งอยู่ ผมเดินเข้าไปหาเพราะคราวนี้เขามาในสภาพดีมาก ไม่น่ากลัว พอไปนั่งข้างหน้าเขา เขาก็เร่มเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง ถ้าเอาอย่างละเอียดๆเลยนั้นผมจำไม่ได้ ไปอ่านอันชัดเจนๆได้ที่ศาลเลยครับ ผมจำได้คร่าวๆว่า
  'ที่ตรงนี้เคยเป็นค่ายหน้า ตอนสมัยนั้นช่วงทำสงคราม ตัวเขาเป็นหัวหน้าหมู่เล็กๆ เป็นทัพหน้า ทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่แถวนี้ ในตอนกลางคืนคืนหนึ่ง มีทัพพม่ามา จะมาโจมตี แต่หนีไม่ทันเพราะว่าไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ตัวเขากับลูกน้องไม่กี่คน ได้คุยและตกลงกันว่า จะเป็นเหยื่อล่อให้ เพื่อให้ทัพใหญ่หนีไปตั้งหลักได้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงสละชีวิตนั่นเอง แล้วในคืนนั้นพวกเขาทั้งกลุ่มก็โดนฆ่าตายตรงนั้น ที่บริเวณต้นโพธิ์นั้นเลย ตัวเขาโดนฟันที่คอจนขาด แล้วทัพหลวงก็ไปตั้งหลักได้อย่างปลอดภัย'
  แล้วผมก็รีบลุกไปนั่งหน้าคอม พิมพ์เรื่องราวเท่าที่จำได้ลงในword แล้วรีบส่งให้พี่คนนั้นเลย พี่คนที่วาดรูป พอพี่เขาได้อ่านพี่เขาก็ไม่มีความรู้สึกขัดแย้งอะไร แต่มีเสริมๆบ้าง พร้อมกับพี่เขาสแกนรูปที่เขาวาดส่งมาให้ผมดู เป็นรูปที่วาดด้วย มือล้วนๆ นะครับ ปัจจุบันศาลที่ตั้งอยู่ก็เป็นรูปนี้ที่ใช้มือวาดครับ
  เมื่อทุกอย่างพร้อมพวกเราพร้อมกับปู่ก็ตกลงว่าจะตั้งศาลกันในอาทิตย์ถัดไป
  เมื่อวันตั้งศาลมาถึง เช้าวันนั้นวุ่นวายมากครับ นอกจากพวกผมเองแล้วยังมีพนักงานแม่บ้านน้ายามอะไรที่ทำงานแถวนั้น เจ้าหน้าที่หลายๆคนมาร่วมกันหมดเลย ผมว่าเขาก็คงเคยเจออะไรมากันบ้าง วันนั้นมีคนมาร่วมงานเยอะครับ ต่างคนก็เอาของมาร่วมเอาอะไรมาไหว้ร่วมด้วย วันนั้นแดดร้อนมาก ตอน 8 โมง ผมนี่เหงื่อไหลจนแฉะเลย เดินจัดของจัดอะไรก็เหนื่อยด้วย แต่พอเริ่มพิธียกศาล แดดที่ร้อนๆ ก็ยังร้อนอยู๋ครับ แต่มีลมเย็นๆอ่อนๆ พัดมาตลอดบวกกับเงาของต้นโพธิ์นั้นบังแดดให้ทุกคนที่มาร่วมงาน เป็นบรรยากาศที่ดีเลย แล้วผมก็เห็นว่ามีทหารคนหนึ่งคนเดียวกับที่พวกเราเคยเห็น นั่งร่วมอยู่ในงาน อยู่หน้าสุดตรงที่ปู่ยืนทำพิธี ข้างๆกันมีร่างหนึ่งที่ไม่คุ้นตา เป็นหญิงสาวผมสีดำเข้มสลวยเลย นั่งอยู่ข้าง ทราบภายหลังว่าเป็นนางไม้ต้นนั้นล่ะครับ
  มาถึงจุดสำคัญของพิธีก็คือ เชิญท่านขึ้นศาลแล้วพันผ้ารอบต้น เป็นผ้าสามสี แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วครับ เปลี่ยนทุกปีช่วงสงกรานต์ โชคดีที่วันนั้นได้หัวหน้าแผนกที่พี่ผมทำงานอยู่มาร่วมด้วย เลยมีประธานในงาน เดินวนพันผ้า บวกกับ เจิมพรมน้ำอบน้ำมนต์กัน วันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นครับ
  พอเสดงานทุกคนก็แบ่งของไหว้กันกลับไปคนละนิดละหน่อยเพราะคนมาเยอะเลย ก่อนกลับผมก็หันกลับไปมองเห็นเป็น ทหารคนนั้นกับผู้หญิงคนนั้นยืนยิ้ม อยู่ที่หน้าศาล แล้วมีประโยคลอยมาตามลมว่า
'ขอขอบคุณทุกคน เราจะอยู่ตรงนี้ เพื่อเป็นกำลังให้องค์เหนือหัว' ผมเชื่อว่าผมไม่ได้ยินคนเดียว เพราะปู่ กับพี่คนที่วาดรูป ก็ยิ้มออกมาด้วย

หลังจากที่ตั้งศาลกันแล้วตอนนี้ก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากครับ มีคนเอาของมาถวาย มีชุดไทยเพิ่มมาหลายชุดเลย มีทั้งผ้าขาวม้า ดาบจริงๆ อะไรมาวางเต็มเลย จากที่รู้มาก็คือมีคนไปขอโชคขอลาภ แม่บ้านนั่นล่ะครับ เจ้าหน้าที่ก็มี ก็ได้โชคไปตามๆกัน ตอนนี้มีคนกราบไหว้เยอะครับ ท่านศักดิ์สิทธิ์ และอีกอย่างคือท่านคุ้มครองทุกคน ผมเคยพาเพื่อนที่ผีเข้าไปไหว้ ก็หายเลยครับ ไม่มาโดนรบกวนอีก จะทำงานทำค่ายอะไรกันก็ไปขอให้ท่านพางานไปให้รอดปลอดภัย ก็แปลกดีครับก่อนค่ายฝนตกหนักมาก ระหว่างค่ายนไม่มีเลย แต่หมดค่ายปุ๊บ มาอย่างหนัก
  ก็ใครอยากไปไหว้ก้ชิญเลยครับ แนะนำว่าอย่าไปขอโชคกันมากนะครับ 555 เงินทองต้องสองมือทำครับ
  ตึกนี้อยู่ใกล้คณะวิทย์ครับ ข้ามถนนไปก็ถึง มีศูนย์สัตว์ทดลองอะไรสักอย่างอยู่ด้วย

เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเองครับ ไม่ใช่เพื่อนคนนั้นละ เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของผมเอง ประมาณตอนนั้นผม ป.5 ได้ อาจมีรายละเอียดบางอย่างที่จำไม่ได้นะครับ แต่ก็ไปถามแม่มาบางส่วนแล้ว
  บ้านผมมีผมเป็นลูกคนเดียว รวมพ่อกับแม่ก็ 3 คน มีอยู่วันหนึ่งพ่อบบอกว่าจะไปรับคุณย่ามาอยู่ด้วยเพราะบ้านญาติที่ ตจว. ไม่สะดวก ผมก็ดีใจครับ เพราะไม่เคยเจอคุณย่าเลย เพราะพ่อไม่ค่อยติดต่อกับทางนั้นเท่าไหร่
  วันที่คุณย่ามาถึงผมก็ตกใจครับ เพราะผมพึ่งทราบว่าท่านเป็นอัมพาต ครึ่งล่างไม่มีแรงขยับไม่ได้เลย ไปไหนก็นั่งรถเข็นไป มาที่บ้านพ่อกับแม่ก็จัดห้องนอนให้ห้องนึงเลย ก็นอนอยู่ตรงนั้นทั้งวันครับ ท่านใจดีนะครับ ก็พูดคุยกันปกติ แต่ไม่พูดเยอะ เวลาพูดเยอะดูจะเหนื่อยๆ อายู ก็จะ 80 ได้แล้วครับ ช่วงแรกๆแม่จ้างพยาบาลมาดูแลครับ แต่เหมือนจะดูแลไม่ดีไม่คุ้มค่าจ้าง ก็เลยดูแลคุณย่าเอง เพราะแม่ผมทำงานอยู่ในห้องผ่าตัดอยู่แล้ว มีประสบการณ์ดูแลคนไข้มาเยอะ
  ทุกวันเปนไปอย่างปกติครับ แม่คอยดูแลคุณย่าผมก็มีเข้าไปคุยไปเล่นกับย่าบ้าง จนมีอยู่วันหนึ่ง พ่อบอกว่าจะมีญาติมาเยี่ยมคุณย่า เป็นญาติอีกฝั่งหนึ่ง ที่ไม่ใช่ญาตอเราโดยตรง มาจากลำปาง
  วันที่บ้านนั้นมาถึงผมก็ งง ๆ ครับ เพราะมีแต่คุณย่าคุณยายแก่ๆมาเยี่ยม คนที่ขับรถมาก็ประมาณ 50กว่าๆ มีแต่คนแก่ๆมาครับ แบบผอม แห้งเคี้ยวหมากมาเลย พูดคุยกับคุณย่าอยู่นาน แล้วก็กลับไป แล้วเรื่องราวก็เริ่มขึ้นครับ
  คตุณย่าปกติก็พูดน้อยอยู่แล้วจะยิ้มๆ แต่หหลังจากวันนั้นย่าก็แทบไม่พูดเลย ไม่ค่อยยิ้มด้วยเวลาแม่มาป้อนข้าวก็กินน้อยลงไม่ค่อยยอมกินอะไร จากมีตอบมียิ้มให้แม่บ้างก็ไม่มีเลย เป็นอยู่อย่างนั้นประมาณเดือนนึง ย่าก็เริ่มมีแผลกดทับ ต้องทำแผลทุกวันผมก็ได้เจอย่าน้อยลง เพราะตอนนั้นยังเด็กครับกลัวแผลเลยไม่กล้าเข้าไปดูเท่าไหร่
  ตอนกลางวันคุณย่าจะหลับ หลับเกือบตลอด จะตื่นเฉพาะเวลาที่มีคนมาปลุกให้กินข้าว แต่กลางคืนย่าจะไม่หลับ นอนลืมตาค้างอยู่อย่างนั้นใครเดินผ่านก็มอง มองตามไปเรื่อยๆ สายตาดุๆครับผมเป็นเด็กก็กลัว จากย่าที่ใจดีๆแกก็เริ่มแปลกๆคือเวลาผมเดินผ่าน บางทีเอื้อมมือมาเหมือนจะตี แต่ไม่มีแรง จะหยิกบ้าง ผมก็กลัวย่าไปเลย ไม่อยากเข้าไปใกล้
  จากการที่ไปสอบถามแม่มาแม่เล่าให้ฟังว่ามีวันนึงแม่เข้าไปป้อนข้าวนย่า ก็ป้อนตามปกติ แต่ย่าค่อยๆเอื้อมมือมาจับที่มือ เกาะๆไว้แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร ถามแต่ว่าย่าจะเอาอะไร อิ่มรึยังอะไรประมาณนี้ แล้วย่าก็ค่อยๆเลื่อนมือมาตามแขนแม่เหมือนปูไต่อะครับ พอมาถึงที่คอ คุณย่าก็บีบคอแม่ บีบแรง แม่ตกใจจะปัดมือออก แต่ต้องตกใจกว่าเดิมเพราะว่า แม่แกะมือย่าไม่ออก แม่สู้แรงย่าไม่ได้ ซึ่งย่าก็สภาพอย่างที่เล่าไปอะครับ แม่จึงตะโกนเรียก พี่คนทำความสะอาดให้มาช่วย ก็ผญ สองคนช่วยกันแกะครับ ก็เอาจนออก แม่ตกใจก็ออกไปจากห้องนั้นเลย กลัวย่า ประมาณ 2 3 วันเลยครับกว่าแม่จะกล้าไปป้อนข้าวย่าใหม่ ระหว่างนั้นก็ให้พี่คนทำความสะอาดดูแลแทน
   อีกเรื่องที่แม่เล่าให้ฟังคือ แม่บ่นครับ ว่าของในตู้เย็นเก็บไว้ได้ไม่เกินวันมันก็เน่าหมด จะผักจะหมู กับข้าวก็บูดไม่รู้เป็นอะไร แม่คิดว่าตู้เย็นคงเสียเพราะมันก็เก่าแล้ว แต่ตอนนั้นผมก็มีไอติมมีน้ำแข็งกินตลอดนะ เพราะเด็กๆผมชอบเอาน้ำหวานใส่แก้วละไปแช่ไว้ วันนึง2วันก็เอาช้อนมาขูดๆกิน ทุกวันนี้ยังทำอยู่เลย 55 แต่ตอนนั้นแม่ก็ตกลงจะซื้อตู้เย็นใหม่ครับ
   มีคืนนึงผมนอนอยู่ในห้องกับแม่ ผมปวดฉี่จึงลุกออกมาเข้าห้องน้ำ ประตูห้องผมตรงกับประตูห้องย่าพอดี ผมฉี่เสดกำลังจะกลับเข้าห้อง ผมได้ยินเสียงกุกกักๆ อยู่ในห้องย่า ผมสงสัยกลัวว่าย่าเป็นไรรึป่าว พอเปิดเข้าไป ภาพที่ผมเห็นทำเอาผมตกใจจนลงไปนั่งร้องไห้ แบบ หลับหูหลับตาร้องไห้เลย ผมเห็นย่าเอามือตะกายมุ้งลวดที่หน้าต่างครับ ไม่ได้ปีนลอยขึ้นไปแบบในหนังนะครับ ขาอะไรติดอยู่บนเตียงนี่แหละ แต่เหมือนแกพยายามจะปีนออกไป ผมหลับหูหลับตาแหกปากละครับ ตกใจ แปปเดียวแม่ก็มากอดแล้วเรียกผม พอผมลืมตาผมแทบจะร้องไห้ให้ดังกว่าเดิม สิ่งที่เห็นคือคุณย่านอนอยู่บนเตียง แล้วจ้องมาทางผม แต่มีสิ่งนึงที่ยืนยันว่าผมไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ คือ ผ้าห่มย่ากองอยู่ที่พื้น นวมบางๆที่รองนอนย่าบนเบาะยางก็อยู่กับพืน ถ้าไม่ลุก นี่ไม่น่าร่วงนะครับ แม่ก็เดินไปจัดท่านอนย่าใหม่แบบ งงๆ แต่ย่านี่จ้องผมใหญ่เลย ตั้งแต่นั้นผมไม่กล้าเข้าไปหาย่าอีกเลย ถ้าไป ก็ต้องมีแม่ไปด้วย
   เหตุการณ์นั้นผ่านไปไม่นาน น่าจะประมาณอาทิตย์นึงทางบ้านผมก็จะไปทำบุญกันที่ ตจว. เป็นวัดที่อุตรดิตถ์ เป็นวัดป่าครับ นับถือกันมานาน แม่เล่าว่าแม่เข้าวัดนี้ตั้งแต่แม่เรียนจบใหม่ๆ สมัยเจ้าอาวาสพึ่งบวชเลย ผมเรียกเจ้าอาวาสตามแม่ว่า พระอาขจารย์ พระอาจารย์เป็นคนใจดีมาก มีอะไรก็ช่วยเหลือถามไถ่ตลอด เวลาบ้านผมจะทำบุญหรือมีงานอะไรก็ต้องพระอาจารย์นี้ วันนั้นมีพี่คนทำความสะอากดมาเฝ้าย่าแล้วก็เลยไม่ห่วงด้วย เพราะที่วัดท่านก็เปิดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมด้วย วันนั้นพวกผมไปถึงประมาณ 8 โมงกว่าๆ เพราะจะเลี้ยงเพลพระทั้งวัด เป็นวัดป่าครับ พระมีไม่ถึง 10 รูป แต่วัดใหญ่อยู่ อยุ่ในป่าเลย มีแต่ป่าต้นไม้
   พอไปถึง จอดรถแล้วเห็นพระอาจารย์กวาดวัดอยู่พอดี ก็เดินเข้าไปนมัสการ
'มากันไวจัง พึ่งฉันท์เช้าไปเองเนี่ย' พระอาจารย์ทักครอบครัวผม
'มาไวๆ จะได้คุยกันนานๆไงครับ' พ่อผมตอบไป
'ดีๆ เจริญพร ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเยอะนะเรา เมื่อไหร่จะมาบวชล่ะ' พระอาจารย์แซวผม เพราะเคยสัญญาไว้ตอยเด็กๆว่าจะมาบวชฤดูร้อน
'ไม่รู้สิครับ แล้วแต่แม่ แหะๆ' ผมตอบไปแบบกล้าๆกลัวๆ เพราะใจก็ไม่อยากบวชเท่าไหร่ เด็กอะครับ
'แล้วนั่น ยาย รึย่า น่ะ นั่งอยู่ในรถ ไม่ชวนลงมาเล่า ร้อนตายเลย' พระอาจารย์พูดพลางมองไปที่รถ
  ผม แม่ พ่อ มองหน้ากันแบบ งงๆ
'ผมมากันสามคนครับ ไม่มีใครแล้วในรถ' พ่อผมตอบ
'ก็เนี่ย ก็เห็นอยู่' พระอาจารย์ยังยืนยัน
'แม่ย่านางมั้งคะ' แม่ผมแซวขำ
'จะบ้าหรอ นี่แก่เนี่ย หน้าตาทรงผม...' คำตอบของพระอาจารย์เล่าเอาขำไม่ออกทั้งบ้านครับ เพราะตรงกับลักษณะคุณย่าเลย
  พระอาจารย์คงเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไร จึงเรียกให้ไปนั่งคุยกันในศาลา ก็คุยกันไปเรื่อยๆครับ จนถึงเวลาเลี้ยงเพล ก็เลี้ยงพระกันจนเสร็จ บ่ายๆก็ติดตามท่านไปทำธุระในเมืองเพราะ ถือโอกาสพาผมเที่ยวด้วย เดิมแม่เป็นคนอุตรดิต์ครับ พอเย็นๆก่อนกลับก็มานั่งคุยกันที่ศาล พอดีมีผชคนนึงเดินเข้ามารู้จักกันมานานครับ เป็นนักปฏิบัติธรรมขาประจำเลย เคยตามพระอาจารย์ธุดงค์ไปเป็นเดือนๆ ตามป่าตามเขา ทุกวันนี้บวชเป็นพระไปแล้วครับ
  คุณคนนั้นเข้ามาก็ทักทายพูดคุยกันตามประสา สักพักเขาเริ่มมีอาการแปลกๆ เหมือนหงุดหงิด คอยหันซ้ายหันขวา หันออกนอกประตูศาลาตลอด
'เอ้าโยม เป็นอะไรเล่า' พระอาจารย์ถาม
'ใครไม่รู้มาแอบมองครับ หน้าตา....' คุณคนนั้นก็เล่าออกมา อึ้งวงกันหมดครับ เพราะตรงกับที่พระอาจารย์พูดเลย ตรงกับคุณย่าเป๊ะๆ
'เอ้า ว่าไงล่ะ จะเล่าได้รึยัง' พระอาจารย์หันมาถามบ้านผม พ่อกับแม่ก็เลยเล่าว่าเอาคุณย่ามาอยู่ด้วย เล่าถึงเหตุการณ์อะไรแปลกๆ ในบ้านรวมถึงผมก็เล่าเรื่องคืนนั้นไปด้วย
  ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ...
'ใช่ใช่ไหมโยม อย่างที่อาตมาคิด' พระอาจารย์คุยกับนักปฏิบัติธรรม
'ครับ ชัดเลย ปอบแน่ๆ'
  บ้านผมอึ้งทั้งบ้าน แม่นับถือพระมากครับ แต่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสาง แต่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดมันก็ทำให้หวั่นใจกันไปหมด
'จริงหรอครับ' พ่อผมถาม
  จากตรงนี้ก็สนทนากันยาวครับเป็น ชม.ๆ ขอไม่เล่าถึง มันเป็นการเถียงกันเพราะบ้านผมไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า จะพาย่าไปหาคนคนนึงที่เขารับรักษาคนด้วยพุทธคุณที่รู้จักกันอยู่ ผลคือวันนี้พวกผมจะกลับไปนอนบ้าน แล้วเช้าพ่อจะมารับพระอาจารย์กับคนนำทางคือคุณคนนั้น ไปที่บ้านผมเพื่อไปรับย่าอีกที
  ผมตื่นมาตอนสายๆ ทุกคนมาที่บ้านหมดแล้วรวมถึงพระอาจารย์ด้วยแม่ไล่ผมไปาบน้ำเตรียมตัว ผมแต่งตัวเสดออกมาเห็นทุกคนกำลังช่วยกันยกย่าออกจากห้องนอน เห็นพระอาจารย์ ยืนสวดอะไรไม่รู้ไปด้วย
  แล้วผมก็เดินทางมาถึงบ้านที่คุณคนนั้นนำทางมา ขออภัยด้วยเพราะผมหลับตลอดทางผมจำทางไม่ได้ เลย แม่ก็จำไม่ได้ ผมจำได้แต่ว่าแม่ปลุกผมตอนที่กำลังเลี้ยงเข้าหมู่บ้เาน น่าจะเป็นนอกเมืองครับเพราะถนนหนทางไม่ค่อยดี เป็นดินแแดงๆเป็นกรวด พอไปจอดหน้าบ้านแค่บรรยากาศก็น่ากลัวแล้วครับ มีแต่ดงกล้วย เป็นสวนเลย กล้วยทั้งนั้น ฟ้าฝนก็ครึ้ม ลมเย็นจนหนาว
  เจ้าของบ้านหลังนั้นออกมายืนรอหน้าประตูบ้านใส่ชุดขาวทั้งตัว ไม่ได้ลงมาครับ เพราะเป็นบ้านโบราณ ต้องขึ้นบันไดไป สูงเลยหัวเหมือนกัน พ่อ แม่ แล้วก็คุนคนนั้นก็มาช่วยกันยกที่นอนย่าครับ เพราะพาย่ามาทั้งที่นอนเลย เดินไปจนถึงตีนบันได แม่ก็มืออ่อน ทำเตียงย่าร่วง ย่าก็ร่วงไปกับเตียงครับ ทุกคนตกใจมาก กลัวย่าเป็นอะไรมากมาย แต่ทุกคนก็หายห่วงย่าในทันทีเพราะมีเรื่องให้ห่วงกว่า คุณย่าวิ่งครับ! ย่าลุกจากเตียงแล้ววิ่งไปตามทาง ได้ ประมาณไม่ถึง 10 ก้าวก็ล้มลงไป แล้วพยายามคลานหนีไปทางถนน ตอนนั้นไม่มีใครวิ่งไปช่วยย่าเลยครับ เงิบกันหมด เงิบมาก ตัวผมนี่จะร้องไห้เลย เพราะตลอดเวลาที่ย่ามาอยู่ด้วยผมรับรู้มาตลอดว่าย่าเป็นอัมพาต ย่าไม่สามารถเดินได้ แม่ พ่อ ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ย่า เดินไม่ได้ แต่ถึงเดินได้ การที่คนอายุใกล้ 80 มาวิ่งขนาดนั้นก็แปลกอยู่ดี
'มันเอาแล้ว' เจ้าของบ้านในชุดขาวยืนมอง แล้วพูดลอยๆขึ้นมา
  คำพูดของเขาเหมือนจะเตือนสติทุกคน คราวนี้ก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาย่าเลยครับ

  หลังจากที่ไปรุมกันจับย่ามาก็ช่วยกันหามขึ้นไปบนบ้านครับ ตอนผ่านหน้าผมไปย่ามองมาทางผมตางี้แข็งเลย แล้วก็แดงๆเหมือนคนเป็นตาแดง เหมือนเวลาโกรธอะไรงี้อะครับ คือสีหน้ามันชัดมาก ย่าถูกหามขึ้นไปข้างบน แล้วจับนอนลงบนที่นอนตามเดิม เจ้าของบ้านนั้นที่เป็นคนทำพิธีให้อะไรให้ผมขอเรียกเขาว่าพี่บอยละกันนะครับ เป็นนามสมตินะ
  ในบ้านพี่เขาโล่งๆครับไม่ค่อยมีอะไร จะมีเด่นๆเลยก็คือหิ้งพระใหญ่โตที่อยู่กลางบ้านเลย บนสุดเป็นพุทธรูป ลงมาเป็นรูปในหลวง มีเศียรพ่อแก่ เศียรยักษย์ มีรูปท้าวเวสฯ ปู่ชีวก แล้วก็อีกหลายท่านอยู่เหมือนกัน
  พี่บอยเริ่มจากจุดธูปไหว้พระตามปกติ แล้วก็มากราบพระอาจารย์ที่มาด้วยกัน ถามไถ่ว่าอยู่วัดไหนศรัทธาอยากไป แล้วก็หันมาถามไถ่อาการย่าของผม ก็เล่ากันไปครับ แล็วพี่บอยก็ไปเอาขันน้ำมนต์มาจุดเทียน หยดลงไป ระหว่างหยดก็กำกับบทสวดไปด้วย ไม่ถึง 5 นาที พี่บอยก็พูดว่า่
'ใช่แล้วล่ะ หยดดำขนาดนี้' พี่บอยพูดเสร็จก็ไปสาดน้ำที่ที่หน้าบ้าน
  พี่บอยเริ่มสวดมนต์บางอย่างพร้อมกับจุดธูปและกำยานเพิ่มไปด้วย ส่วนทางย่าผมนั้นเริ่มแปลกๆครับ เหมือนพยายามจะขยับเพราะเห็นหันซ้ายหันขวา แต่ไม่มีแรง
'เอ็งมาจากไหน' พี่บอยถามขึ้นมาลอยๆ
'เรื่องของก-รุ อย่ามายุ่ง' ย่าตอบเสียงดัง คราวนี้เงิบทั้งบ้านครับ อยู่บ้านด้วยกันมาหลายเดือน พึ่งเคยได้ยินย่าพูดดังขนาดนี้ แล้วย่ากัดฟันกำมือด้วย ตอนนั้นผมกลัวมาก ไปนั่งเเก่าตักพระอาจารย์เลย ด้วยสมัยเด็กเชื่อว่า ผีกลัวพระ แต่ปัจจุบันก็ต้องคิดใหม่ล่ะครับ พระดีๆมีอยู่มากมาย แต่ที่มากกว่า คือคนหัวโล้นห่มผ้าเหลือที่ดีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้ศาสนา น่าเบื่อเนอะครับ พระดีๆเลยโดนเหมารวมไปด้วยเลย
   พี่บอยหันมาพร้อมกับมีดในมือหนึ่งเล่มผมตกใจมาก ว่าพี่บอยจะเอามาทำอะไร
'พระจารย์ครับ พี่บอยจะเอามีดแทงย่าหรอ' ผมก็ถามแบบกลัวๆ ก็ห่วงย่าด้วยครับ
   สงสัยพี่บอยจะได้ยินที่ผมถาม พี่บอยเลยเดินมาทางผมที่เกาะขาพระจารย์แน่นเลย พี่บอยเดินมายิ้มๆ
'เอามือมานี่' พี่บอยยิ้มให้ผมแล้วก็พูด
   ผมไม่กล้ายื่นออกไปเพราะกลัวมาก แต่พระจารย์ก็ยิ้มแล้วจับมือผมยื่นออกไป พี่บอยเอามีดในมือทิ่มลงมาที่มือผมตรงๆเลย ผมตกใจมาก แต่แทนที่จะรู้สึกเจ็บ มันมีแต่ความเย็นของเหล็กเฉยๆ ไม่เจ็บเลย พอดูที่ใบมีดดีๆ ตรงปลายแหลมมันถูกตัดไป แล้วฝนจนมนๆ ไม่คม ตัวด้านคมก็ไม่คมครับ ผมจับแล้วก็ไม่เจ็บไม่มีเลือด พอพี่บอลเห็นว่าผมเข้าใจแล้วก็ลุกไปหาย่า
   คราวนี้พี่บอลย่ามีดขึ้นเหนือหัวพนมมือ สวดอะไรบางอย่างแล้วเป่าไปที่มีด จากนั้นค่อยๆ ใช้ปลายมีดทู่ๆนั้นจิ้มลงไปที่กลางกม่อมของย่า ทันทีที่มีดสัมผัสกับย่า คราวนี้ก็ได้ตรงใจกันทั้งบ้านอีกรอบ เพราะย่า กรี๊ด เสียงแหลมมาก แผดเสียงแบบสุดๆ ดังลั่นบ้านเลย ตกใจกันทั้งบ้าน ผมนี่เกอะพระจารย์แน่นเลย แล้วพี่บอลก็เริ่มลากปลายมีดลงมาทางท้ายทอย ลากลงไปเรื่อยๆตามแนวสันหลัง
'เจ็บบบบบ  ร้อนนนนน พอ หยุด! ก-รุเจ็บ' ย่าผมตะคอกใส่พี่บอล แต่ก็ทำได้แค่ออกเสียงเพราะไม่สามารถขยับตัวเองได้ สภาพนอกบ้านก็ไม่แพ้กันครับ ลมแรงมาก ใช้คำว่ากรรโชกได้เลย ต้นกล้วยแถวๆนั้นนี่โยกอย่างกับอยู่ในคอนเสิร์ตวงเมทัล โยกจนผมคิดว่ามันต้องหักแน่ๆ
  พี่บอยก็ยังไม่หยุดครับ ลากมีดไปเรื่อยๆ ย่าผมก็ตะคอกแต่ว่า แสบร้อน อะไรประมาณนี้
'ไป ไปได้แล้ว ผีส่วนผีอย่ามายุ่งกับคน' พีบอยตะคอกกลับบ้าน แต่แทนที่ย่าผมจะตะคอกกลับหรืออะไร ย่ามีแต่กรีดร้อง ไม่หยุด
  พี่บอลเดินมาหาพระจารย์แล้วบอกว่า
'กระผมขอความช่วยเหลือจากพระคุณเจ้า ทำน้ำมนต์ให้ได้หรือไม่ กระผมต้องการพุทธคุณ' ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ใช่พี่บยอยแน่ๆ การพูดการจาแปลกๆแบบนี้ แล้วพระจารย์ก็จัดแจงทำน้ำมนต์ในทันที ซึ่งแน่นอนว่ายังมีผมเกาะขาอยู่นั่นเอง
  พระจารย์ใช้สายสิญน์พันรอบบาตรที่ท่านนำมาด้วยแล้วโยงกับพระพุทธรูปที่หิ้งพระ ใช้เทียนขี้ผึ้งไม่แน่ใจกี่แท่งมัดรวมกันแล้วบิดเกียลว ปักไว้ที่ขอบบาตร แล้วจุดเทียนปล่อยให้น้ำตาเทียนหยดลงไป กลิ่นเทียนขี้ผึ้งหอมมาก ท่านั่งสมาธิโดยปกตินั้นคนส่วนมากจะประสานมือไว้ที่ตักหรือประนมมือใช่ไหมครับ แต่พระจารย์ท่านไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ใช้วิธีการกำมือทั้งสองข้างแล้ววางต่อกันอยู่ระดับประมาณลิ้นปี่ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจครับคิดว่าแปลกๆ แต่พอโตมาก็หายสงสัยได้ความรู้มากขึ้นบวกกับพระจารย์เล่าให้ฟังว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งที่เป็นเจ้าของท่านั่งสมาธินี้มาสอนสมาธิให้ในนิมิตตอนไปธุดงค์ในป่าในถ้ำ
'ถ้าไม่ได้พระที่ผ่านการธุดงค์มาอย่างจริงจัง คงทำไม่ได้ขนาดนี้' พี่บอยพูดยิ้มๆ แล้วก้มกราบลงที่หน้าพระจารย์
   ตัวผมนั้นมองน้ำในบาตรอยู่ตลอดเพราะเพิ่งเคยเห็นใกล้ๆเวลาพระทำน้ำมนต์ ผมยืนยันว่าไม่มีการกวนน้ำหรือเขย่าบาตรแน่ๆ แต่หยดเทียนน้ำหมุนวนรอบบาตรในความเร็วที่ไม่น่าใช่แค่ระรอกน้ำจากการหยดของเทียน แล้วมันหมุนไปในทิศทางเดียวกัน คือ หมุนขวา สวยมากครับ ผมยังจำได้ติดตาเลย
   หลังจากน้ำมนต์เสร็จแล้ว พี่บอยก็บังคับให้ย่าดื่ม แล้วราดลงมาตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย ย่าออกเสียงในลำคอแบบดุๆ เหมือนจะตะหวาดแต่ว่ากัดฟันไว้ แล้วย่าก็หลับไปเลย
   หลังจากเสร็จตรงนี้ พี่บอยบอกว่าไล่ไปแล้วนะ ออกไปแล้ว มากับญาติที่มาเยี่ยมนั่นแหละ เป็นปอบบ้านเขา เขาไม่อยากเลี้ยงแล้ว เลยเอามาปล่อยใส่ย่า ปลอบชอบคนแก่ที่ป่วยหรือใกล้ตาย เพราะมันกินง่าย สิงง่าย แต่ย่าไม่น่าจะอยู่ต่อได้นานแล้วนะ เพราะมันกินไปเยอะแล้ว บวกกับย่าก็ใกล้ถึงอายุขัยแล้วด้วย เสร็จแล้วก็ลากลับกัน
   ย่าหลับไปตลอดทางจนถึงบ้าน ในวันรุ่งขึ้นย่ากลับมาปกติครับ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แต่ไม่มีอาการดุแปลกๆ หรือตาแข็งแล้ว แววตากลลับมาใจดี ไม่หยิกผม ไม่บีบคอแม่ ของในบ้านก็เก็บได้เท่าเดิม ไม่บูดไม่เน่า เหมือนเป็นย่าที่มาอยู่ตอนแรกๆ
   แล้วมันก็เป็นอย่างที่พี่บอยว่าครับ หลังจากวันนนั้นประมาณเดือนหรือสองเดือน ย่าก็เสียครับ ทุกคนไม่ได้คิดอะไรมากแต่ก็เศร้ากันทั้งบ้านครับ อีกใจก็คงคิดว่าย่าไปน่าจะสบายกว่ามาทนป่วยเป็นทั้งอัมพาต ไหนจะแผลกดทับอีก
    ทุกคนคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว แต่มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องแปลกๆที่ตามมาครับ
................

ในวันที่ย่าเสียวันแรก ผมอยู่ที่ รร. นั่งเรียนอยู่ดีๆ แม่ก็มาหาที่ห้องเรียน มาบอกว่าย่าเสียจะให้กลับบ้านเลย ตอนนั้นยังไม่มีมือถือครับ พอกลับไปบ้านก็เห็นศพย่าตอนที่กำลังจะส่ง รพ. พอดีเลย
  คืนนั้นเป็นคืนสวดคืนแรก แม่จ้างคนในวัดให้คอยเฝ้าศพ คอยต่อธูป
ตอนเช้าผมตื่นมาเพราะเสียงแม่โวยวายบ่นอะไรกับพ่ออยู่ก็ไม่รู้ ผมเลยเดินไปถาม ได้ความว่า
'คนที่แม่จ้างน่ะสิ โทรมาบอกว่าจะคืนเงินให้แต่ไม่เฝ้าแล้วไม่เอาแล้ว แล้วก็ตัดสายไปเฉยๆเลย' ผมก็ งงๆ แม่เลยบอกให้ผมไปอาบน้ำ จะไปวัด
  พอไปถึงววัดก็เจอคนที่แม่จ้างเดินมาไหว้ขอโทษแม่ แล้วมีพระรูปหนึ่งเดินตามมาด้วย พระท่านพูดว่า
'โยม 7 วันคงไม่ไหวนะ ตั้งสวด 3 วันพอเถอะ '
'ทำไมคะ เรื่องเงินไม่มีปัญหานะคะคุยกับทางมักคทายกแล้ว'
'ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ลองเดินเข้าไปที่ศาลาสิ'
  ผมกับแม่พ่อ ก็เดินเข้าไปที่ศาลาที่ตั้งศพย่า แล้วผมก็วิ่งออกมาอย่างไว เพื่ออาเจียน กลิ่นเหม็นมากครับ เหม็นเน่า ผมรออยู่ข้างนอกเลย เข้าไปไม่ไหว พอออกมาแม่กับพ่อก็หน้าซีดๆ แล้วก็ไปโทรศัพท์
  สักพักก็มีรถ รพ. มาที่วัดแม่บอกว่าวานคนรู้จักมาทำให้ เขาฉีดอะไรใส่ศพก็ไม่รู้ แล้วก็ใส่อะไรเข้าไปในโลงด้วย เหมือนสารไรซักอย่างผมก็ไม่ทราบ
'โหพี่ ทำไมกลิ่นแรงอย่างนี้อะ โลงเย็นก็เย็นฉ่ำเลยนะ ตอนผมเปิดอะ' พี่ผชที่มากับรถพยาบาลคุยกับแม่ แล้วแม่ก็พาพี่เขาไปคุยไกลๆผม คงกลัวผมกลัวมั้ง
  คืนนั้นไม่มีใครยอมรับจ้างเฝ้าเลยครับเลยต้องมาเฝ้ากันเอง แม่ไม่อยากปล่อยผมให้อยู่บ้านคนเดียว เลยเอาผมไปวัดด้วย ผมเลยชวนพี่ที่อยู่ข้างบ้านไปเป็นเพื่อน เป็นพี่ที่สนิทกันมากครับ โตมาด้วยกันเลย ก็ตกลงจะไปนอนเป็นเพื่อนผม
   คืนนั้นก็นอนกันอยู่ที่ศาลาครับ ผมนอนติดกกับพี่ กลางดึกผมตื่นเพราะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เป็นเด็กผญ เสียงสะอื้นๆ แล้วก็มีเสียงเหมือนคนเท้าเปียกเดินอะครับ นึกออกไหม เดินวนๆอยู่รอบที่นอนผมกับพี่ ผมกลัว ผมจึงหลับตาต่อเลย
   แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาอีกเพราะปวดฉี่ หันไปข้างๆจะปลุกพี่ให้ไปเป็นเพื่อน แต่ก็ปรากฏว่าข้างๆผมว่างเปล่าไม่มีใครนอนอยู่เลย ผมเลยเดินไปปลุกแม่ให้ไปส่งหน่อย น่ากลัวนะครับวัดตอนกลางคืนเนี่ย ผมคิดว่าพี่เขาคงมาเข้าห้องน้ำนี้มั้ง แต่พอผมไปถึงห้องน้ำก็ว่างครับไม่มีใคร แม่เลยชวนผมไปเดินหาพี่ก่อนเพราะเป็นห่วง
  ผมกับแม่เดินไปเรื่อยๆครับ พอมองเห็นเพราะมีไฟถนนอยู่บ้าง พอเดินมาแถวๆหน้าศาลาก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเอาอะไรตีน้ำ จ๋อมๆ ดังแว่วๆมา ผมกับแม่ก็เดินไปดู ปรากฏว่าเป็นพี่ผมคนนั้นนั่งเอามือตีน้ำในสระหน้าศาลาอยู่ สระนั้นเป็นสระบัวครับ มีรั้วล้มรอบเลย แม่ผมตกใจรีบเปิดประตูเข้าไป กลัวพี่เขาตกน้ำ แต่ปรากฏว่ารั้วมันล๊อกกลอนครับ เปิดไม่ได้ แม่ผมก็ งง ว่าพี่เข้าไปได้ไง แม่เลยให้ผมพยายามลอดรั้วเข้าไปเพราะผมตัวเล็กกว่าพี่เขาอีก แม่คงคิดว่าพี่เขาลอดเข้าไป แต่ผมก็เข้าไปไม่ได้ครับติด
  แม่เลยวิ่งไปที่บ้านมักคทายกในวัด จะให้มาเปิดให้ แล้วแม่ก็บอกให้ผมคอยเรียกพี่เขาไว้ ผมก็เรียกไปเรื่อยๆ รอแม่มา ผมตกใจมาก กลัวด้วย เพราะยังไม่ทันลืมเรื่องย่าเลย
  แปปเดียวมักคทายกวัดก็วิ่งนำหน้าแม่มา แล้วก็ควานหากุญแจจะไข
'โอย อีกแล้วรึเนี่ย เฮี้ยนจริงๆ' ผมได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจเลย
ตูม!
   ยังไม่ทันจะไขประตูได้เลย พี่ผมก็ตกลงไปในสระครับ
'ลุง รีบๆสิ เด็กตกไปแล้ว ลึกรึเปล่า
'มันก็มิดหัวเด็กอะคุณ ผมก็รีบ'
แกร๊ก!   ไขได้แล้วครับ แม่กับลุงมักคทายกรีบวิ่งไปที่ขอบสระ ลุงแกลงไปในสระ น้ำสูงเกือบหัวไหล่แกเลย แล้วก็อุ้มพ่ี่ขึ้นมา
   พี่ก็ตื่นครับ แต่ตื่นมาแบบ งงๆ ว่าทำไมมาอยู่ตรงนี้ แล้วน้องไปไหน
'ผมอยู่นี่ไง' ผมก็เดินไปใกล้ๆ
'ไม่ใช่แก น้องผญ อะ เขามาปลุกพี่ชวนพี่ไปวิ่งเล่น' ผมก็งง แม่ก็ งง แต่คนที่ดูอึ้งที่สุด คงเป็นลุงมักคทายก
  ลุงเล่าว่า หลายปีแล้ว ตอนสระนี้ยังเป็นสระเปล่าๆ ไม่มีรั้ว มีลูกสาวคนเก็บขยะคนหนึ่ง ชอบตามแม่มาเก็บของในวัดแล้วชอบเดินมาเล่นน้ำ เล่นบัวแถวนี้ จนมีอยู่วันนึง เด็กทำเงินตกลงไป ด้วยความเสียดาย เด็กพยายามควานมือลงไปในสระ แล้วก็พลัดตกไป ไม่มีใครเห็น ช่วยไม่ทัน เด็กตาย ทางวัดเลยมาสวดมนต์ทำบุญให้ แล้วก็ถือโอกาสล้างสระด้วยเลย ปรากฏว่ามีเงินตกอยู่ในสระจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่ เหรียญบาท แต่สำหรับเด็กน้อยที่ไม่มีเงิน ผมคิดว่ามันก็คงเยอะมากสำหรับเขาแล้ว]jt
  แล้วลุงก็เล่าต่ออีกว่า มีเหตุการณ์ให้คนเจอให้ได้ยินเสียงน้ำอะไรแบบนี้บ่อยๆ มีเดกหลงมาในสระก็บ่อย
  แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนถึงวันเผา ก่อนเข้าเมรุโลงย่าหนักมาก ยกกันตั้งหลายคนก็ยกไม่ขึ้น จนเจ้าอาวาสเดินมาแตะโลง แล้วพูดว่า
'จะหวงอะไรนักหนาเล่า ตายแล้วมันก็แค่ซากร่างกาย จะหวงอะไร ไปสิ จะได้ไปเกิด'
   พอพระท่านพูดเสร็จ กลายเป็นว่าใช้คนเพียงแค่ 4 คน ก็ยกได้แล้ว

...................

จบละครับ เรื่องนี้ หลังจากนี้ก็มีเรื่องนิดหน่อยตรงที่มีคนเจอย่าที่บ้านบ่อยๆ เวลามีคนมาบ้านมานอนก็เจอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายให้เล่าครับ แหะๆ
  ขอบคุนที่อ่านครับผม ขอบคุนมากเลย ต่อไปก็ขอให้ติดตามกันด้วยนะครับ ขอบคุนคับบบ

ปล. สถานที่ในเรื่องนี้มีอยู่จริงนะครับทุกวันนี้ก็ยังอยู่ พรุ่งนี้จะมาเล่าให้จบว่า บทสรุปเป็นยังไง ฝากติดตามด้วยครับ ขอบคุณครับบ                               


จากพันทิป เรื่องเล่า....จากต่างโลก
เรื่องโดย  LoyChinE FB ลอยชาย

ไม่มีความคิดเห็น