เรื่องไม่มีชื่อ
เรื่องนี้จากประสบการณ์จริงที่สยองมาก จนผู้เล่าไม่สามารถใช้ถ้อยคำมาประดิดประดอยเป็นชื่อเรื่องได้ เรื่องจากพันทิปโดยสมาชิกหมายเลข 2227735 ที่เราเคยนำเสนอเรื่องของเขามาหลายเรื่อง ขอขอบคุณ สมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ที่มีเรื่องหลอนๆให้เราติดตามกันไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ผมมีญาติป่วยใกล้จะตายอยู่แล้ว น้าป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด รักษาอยู่นาน
จนกระทั้ง หมอบอกหมด หนทางเยียวยา ก็ให้มาพักฝื้นอยู่บ้าน รักษากันตามอาการที่เกิด ในแต่ละวัน
ญาติๆ ลูกๆ ของน้า ชอบไปหาหมอดูบ้าง หมอเข้าทรงบ้าง หมอผีที่มีการรักษาแบบต่างๆบ้าง แต่ก็ไม่หาย
จนอาการน้าเริ่มหนักขึ้น บังเอิญผมมีคนรู้จักท่านหนึ่ง แนะนำให้ไปหาหมอพื้นบ้านคนหนึ่ง
เขารักษาคนที่มีอาการหนักปางตายหายมานักต่อนักแล้ว
และเขายืนยันว่า ญาติเขาก็หายด้วยวิธีนี้ แต่ หมอพื้นบ้านนั้นเขาอยู่ที่มาเลเซีย
ถ้าจะไปต้องนัดคิวล่วงหน้า และก็ใช่ว่าจะได้พบง่ายๆ
คนรู้จักคนนั้น เอาเบอร์โทรติดต่อไกด์คนที่จะพาไปหาได้ มาให้ผมลองโทรไปถามดู
ไม่รู้ว่าโชคหรือว่ายังไง ปรากฏว่า พ่อหมอดังกล่าวเขาว่างช่วงนี้พอดี ไม่ต้องรอคิวนาน
ผมก็เลยถามว่าต้องพาผู้ป่วยไปไหม
เขาบอกว่าไม่ต้อง ให้ญาติมาก็ได้
ผมก็เลยตัดสินใจไปมาเลเชียทันที
ผมเดินทางไปหาหมอพื้นบ้านที่มาเลเชีย
ทางที่เข้าไปในหมู่บ้าน ค่อนข่างกันดานมาก
ใจผมไม่สู้ดีนะ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร
พอไปถึง บ้านพ่อหมอ
มันไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่า ที่นี่รับรักษาคน
ลักษณะเป็นบ้านไม้เล็กๆ เก่าๆ ข้างในมีข้าวของรุงรัง
ไม่ต่างจากสภาพบ้านคนจนๆในสลัมบ้านเรา
ผมนึกในใจว่าโดนหลอกมาหรือเปล่า เสียค่าเดินทาง เสียเวลาเปล่าแน่
ชายที่พามา แปลให้ฟังว่า
พ่อหมอบอกว่า ไม่ต้องห่วง น้าที่ป่วยอยู่จะหาย ถ้าทำพิธีในวันนี้เสร็จ
ผมก็ตกใจเล็กน้อยว่าเขารู้ได้ไงว่า น้าผมป่วย
เขาให้ผมไปนั่งอยู่ข้างหน้าพ่อหมอ
แล้วพ่อหมอก็ท่องคาถาอะไรไม่รู้ เสียงดังมาก สักพักใหญ่
เขาก็บอกให้ลุกขึ้น แล้วก็ให้เดินไปที่ที่นอน ตรงริมหน้าต่าง
ผมเดินไป มองเห็นว่าที่ที่จะนอนกลับไม่ใช่ที่นอน มันเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่
ผมก็ไม่คิดอะไร ก็ลงไปนอนในอ่างน้ำ
อยู่ๆ พ่อหมอกับลูกศิษย์ก็เทน้ำมนต์ลงมา ในอ่างจนเต็ม
ผมนึกในใจว่า ต้องใช้น้ำมนต์ท่วมตัวขนาดนั้นเลยหรือ
สักพัก ไกด์ก็มาแปลให้ฟังว่า ให้ผมกลั้นหายใจ แล้ว นอนลงไปในอ่างน้ำ ผมก็ทำตาม
พอหน้าเริ่มจมลงไปในน้ำอยู่ๆก็มีมือมากดหัวผมไว้ ผมคิดว่าคงเป็นมือที่มาสัมผัสเราเพื่อจะท่องคาถา
แต่ปรากฏว่าสักพักจนผมหายใจไม่ออกพยายามจะเอาหัวพ้นขึ้นมาเหนือน้ำ
มือนั้นกลับกดหัวผมแรงขึ้นเหมือนจะไม่ให้ผมลุกขึ้นมา ผมสบัดตัวแรงขึ้น พยายามดันตัวขึ้นจากน้ำ
แต่ก็มีมือเล็กมือน้อยมาดันผมให้นอน ผมดิ้นทุรนทุรายไปมา หายใจไม่ออกกลัวมาก
ตอนนั้นนคิดว่าคงตายแน่ๆ อาจจะโดนฆ่า
แล้วก็คงเอาไตไปขายเอาเครื่องในไปขายอย่างในข่าวที่เขาว่า
ผมดิ้นเฮือกสุดท้าย สุดแรงเกิด สู้แรงของสองคนยืนพรวดขึ้นมาได้
พ่อหมอกับเด็กบริวาน ตกใจมาก
ผมผลักทุกคนออก ไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวผม พ่อหมอหันไปพูดกับไกด์
ไกด์ก็พูดกับผมว่า
ต้องทำให้ร่างกายเหมือนตาย หยุดหายใจ แล้วพ่อหมอจะพาไปพบกับผู้ปลดปล่อย
เพื่อขอให้เขาช่วยน้าของผม
หลังจากนั้นเขาจะทำให้ผมฝื้น
ไกด์บอกว่าเขาเคยเห็นพิธีนี้มาก่อน
แล้วสามารถฝื้นคืนมาได้จริงๆ และอาการโรคร้ายต่างๆก็หาย จริงๆ
ตอนนั้นผมตกใจมาก และก็พยายามจะทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัว
แต่ไกด์พยายามให้ผมทำใจให้สงบ
ผมบอกว่าทำแบบนี้ผมไม่เสี่ยง แล้วก็บอกให้เขาพาผมกลับออกมาทันที
ตอนกลับ ระทึกมาก มีชายสองคนตามมา
ผมคิดว่าเขาคงกลัวผมจะแจ้งความ เลยตามมาฆ่าปิดปาก
แต่จริงๆ เขาแค่มาเฝ้าดูเฉยๆ ว่าผมจะไปหาตำรวจไหมหรือว่ากลับประเทศเลย
มาถึงบ้าน อาการญาติทรุดหนัก ผมมาบอกว่าทุกอย่างล้มเหลวไม่ได้อะไรกลับมา
คืนนั้นเอง กลางดึกผมตื่นมา มองไปปลายเท้า เห็นควันขาวๆ รวมตัวเป็นกลุ่มสูงเท่าตัวคน
มันลอยไป ลอยมา ในห้อง อย่างช้าๆ ผมรีบเปิดไฟเพื่อจะดูว่ามันคือควันอะไร
แต่พอมีแสงสว่าง ควันประหลาดนั้นก็หายไป
และพองีบหลับไปได้สักพักอยู่ๆก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีก
เห็นควันสีขาวลอยอยู่บนลำตัวผม ปกคลุมทั้งร่าง
แล้วควันขาวๆนั้นก็พุงลงแทรกหายเข้าไปตามตัวผม
ตอนนั้นผมรู้สึก เจ็บจี๊ดที่สมองมากๆ เหมือนแสบๆเจ็บๆ แสบจี๊ดที่สมอง เป็นละรอกละรอก
ตัวผมเกร็งไปหมด
หลับตา ก็เห็นแต่แสงสีขาวว๊าบ ตอนที่เจ็บ
และมืดตอนที่หายเจ็บ
เป็นแบบนั้นอยู่ราวๆ สักครู่หนึ่ง
ผมก็เลยร้องตะโกนออกมา ว่า "อย่า !!!!!!!"
คนทั้งบ้านแตกตื่นมาดูผม เพราะผมร้องเสียงดังมาก
พอในห้องเปิดไฟมีแสงสว่างเกิดขึ้น
อาการของผมที่เจ็บจี๊ดที่สมอง ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ทุกคนถามว่าเป็นอะไร ผมก็บอกว่าฝันร้าย ไม่มีอะไร บอกให้ทุกคนแยกย้ายไปนอน
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ เปิดไฟนอน
คิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อสักครู่นี่ มันคืนอะไรกันแน่
เช้ารุ่งขึ้น ผมไปทำงาน มีคนมากระซิบที่หูผม 00
ผมตกใจมากเพราะมันเป็นเสียงคนที่อยู่ข้างๆหูชัดมาก
ผมตกใจจนรีบหันกลับไปมองว่าใครมากระซิบอย่างเร็ว
จนเพื่อนที่ทำงาน เห็นแล้วก็ยังตกใจตาม
เขาถามว่า เป็นไร
ผมเลยพูดตอบไปว่า เมื่อกี้มีใครพูดอะไรไหม ทุกคนก็ตอบว่าเปล่า
ผมก็นั่งทำงานต่อ สักพักมีคนมากระซิบข้างหูผมอีกว่า 09
ผมก็ตกใจอีก เพราะมันดังกว่าครั้งแรก ผมก็ตะโกนขึ้นมาว่า ใครแกล้งวะ
ทุกคนในที่ทำงาน งง กัน
ผมมองหน้าทุกคนแล้ว เดินออกจากห้อง
ออกไปร้านกาแฟแถวนั้น นั่งกินกาแฟ ทำสติอยู่พักใหญ่
ในใจก็คิดว่าหรือจะเป็นเพราะเราไม่ได้นอน เมื่อคืนนี้
เลยหลอน ประสาทกลับ
วันนั้น ช่วงเย็น หวยออก สองตัวบน 00 สองตัวล่าง 09
ผมแปลกใจมาก มันเป็นเลขที่ผมได้ยินจากเสียงกระซิบ
ผมโทรศัพท์ไปถามคนที่พาผมไปหาพ่อหมอที่มาเลย์ เขาไม่รับสาย
ผมอยากเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง อยากปรึกษาเขาว่า
มีใครหลังจากไปหาพ่อหมอแล้ว มีอาการแบบผมไหม
คืนนั้น ผมนอนไม่หลับอีก จนกระทั้งใกล้จะสว่างก็ง่วงแล้วหลับไป
แล้วผมก็ฝันเห็นน้าผมคนที่ป่วย นอนอยู่บนเตียง ผมยืนอยู่ข้างๆเตียง
มองไปที่น้า ใบหน้าของน้าผมนอนหลับสนิทอยู่
แต่ด้านข้างศีรษะของน้า มีใบหน้าผู้หญิงฟันเหยิน จมูกหัก กรอกกลิ้งตาไปมา มองมาที่ผม
ผมตกใจมาก ใบหน้านั้นยิ้มให้ผม
ผมถามว่า เป็นใครทำไมหน้ามาติดอยู่บนหัวน้าผม
เขาหัวเราคิคิ แล้วพูดว่า กูสบาย.... กูสบาย.....
ผมพูดออกไปว่า ออกไปจากหัวน้าผมเดียวนี้
เขาบอกว่าไม่ไปยังไงก็ไม่ไป กูสบาย.... กูสบาย....
หลังจากที่ผมตกใจตื่น พยายามรวบรวมความฝันที่ฝันเมื่อคืน ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
แล้วเย็นวันนั้นผมก็ไปเยี่ยมอาการของน้า
น้าอาการไม่ค่อยดีพูดไม่ค่อยได้ เจ็บคอ
แล้วข้างๆแก้มซีกที่ผมฝันเห็นใบหน้าประหลาดโผลออกมาจากหัวน้า
มันเป็นร้อยเขียวช้ำ
ผมถามว่าทำไมถึงเป็นช้ำๆที่แก้ม
ลูกน้าตอบว่า เมื่อคืนอยู่ๆแม่ก็ตกจากเตียง หน้าไปกระแทกพื้น
ผมแปลกใจที่เห็นลอยแผลมันเกิดขึ้นตรงกับบริเวณที่ผมฝันเห็น
ผมคิดในใจอยู่ว่าจะให้เอาน้าลงมานอนกับพื้นดีกว่าไหม
แต่คิดอีกที มันก็ลำบาก กว่าจะลุกจะนั่ง
อยู่บนเตียงก็จะลุกนั่งสะดวกกว่า เลยไม่ได้พูดอะไร
กลับมาบ้าน คืนนั้น อยู่ๆไฟฟ้าระแวกบ้านดับ เลยไปหาเทียนมาจุด
ผมนั่งพักผ่อนอยู่แถวๆเทียนที่จุด
จนกระทั้งมันเหลือสั้นลง ผมกะว่าจะจุดเทียนอีกแท่ง
เลยเอาเทียนแท่งใหม่ไปต่อไฟที่เทียนแท่งเก่า
อยู่ๆเปลวเทียนมันก็วิ่งเข้ามาหาที่มือผม ราวกับว่า มีลมพัดมันเข้ามา
ผมตกใจ รีบปล่อยเทียนที่ถือในมือตกลงไปที่พื้น
ผมไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยลองเอานิ้วมือค่อยๆเข้าไปใกล้เปลวเทียน
อยู่ๆ เปลวเทียนก็ลู่เข้ามาหาที่นิ้วผมทันที
ผมตกใจมาก นี่มันอะไรกัน ทำไมมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับเราแบบนี้
อยู่ๆผมก็นึกอะไรขึ้นมาแบบทันด่วน
รีบวิ่งไปเอาเทียนมาจุด ล้อมรอบตัวเองไว้ เป็นวงกลม แล้วก็นั่งสมาธิ
ไม่ถึงห้านาที ผมรุ้สึกเหมือนมีลมพัดเข้ามาประทะที่หน้าผมอย่างแรง เหมือนโดนพัดลมเป่าใส่หน้า
ผมรีบลืมตาดู ปรากฏว่า ทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีลม
เปลวเทียนก็ปกติทุกอย่าง ผมสงสัยมากมันคืออะไรทำไมเรารู้สึกแบบนี้
ผมก็ลองนั่งสมาธิใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ผมกลับเห็นภาพเหมือนในฝันเมื่อคืน มันชัดมาก
ทุกอย่างเกิดขึ้นขณะที่ผมมีสติทุกอย่าง
ไม่ใช่นอนหลับแล้วฝัน แต่ภาพที่เห็นมันเหมือนในฝันมาก
ผมเห็นน้านอนอยู่ที่เตียง แล้วก็มีหน้าผู้หญิงคนนั้นอยู่ตรงข้างแก้มของน้า
แล้วก็ยุบหายเข้าไปในศีรษะน้า
สักพักก็โผล่ขึ้นมาตรงใบหน้าของน้าเลย
ทำให้ใบหน้าน้าเปลี่ยนไป เป็นหญิงคนนั้น
แล้วก็สักพัก หน้าผู้หญิงคนนั้นก็ยุบหายไป กลับกลายมาเป็นหน้าน้าเหมือนเดิมอีก
ผมมองเหตุณ์การที่เกิดอย่าง งง ๆ ว่า มันคืออะไร .....
วันต่อมาผมไปเยี่ยมน้า
ตัวน้าเหลืองซีดไปทั้งลำตัว ผอมเหลือแต่กระดูก
แต่ส่วนหัวของน้า บริเวณใบหน้าบวมช้ำไปทั้งหน้า
ตรงแก้มเป็นสีม่วงช้ำ ตาของน้าแดง
ผมเห็นแล้วตกใจมาก ลูกของน้าบอกว่า
คงเป็นเพราะผลที่ตกเตียงแล้วหน้าไปกระแทกพิ้น
แต่ก็ไม่เห็นแม่บ่นว่าเจ็บอะไร
ผมวาดรูปใบหน้าผู้หญิงคนที่เห็นในนิมิตให้น้าดู ถามว่ารู้จักคนคนนี้ไหม
น้าเห็นแล้วก็มีน้ำตาไหลออกมา พยายามพยักหน้า
แต่น้าขยับไม่ค่อยได้ พูดเสียงค่อยมาก แทบจะอ้าปากไม่ได้เลย
ผมพยายามตั้งใจฟัง พอจับใจความได้ว่า อี่ลัย อี่ลัย
ตอนนั้นในห้อง มีผม มีลูกน้าสองคนและสามีน้า
ทุกคน งง กับสิ่งที่ผมทำและ คำพูดของน้า ที่มองรูปแล้วพูดชื่อนี้ขึ้นมา
ทุกคนนึกไม่ออกว่า คนชื่อลัยนี่คือใคร
แล้วลูกน้าก็โทรไปถามน้าผมอีกคน ว่ารู้จักคนชื่อลัยไหม
ตอนแรกน้าผมอีกคนบอกว่าคุ้นๆแต่นึกไม่ออก สักพักได้ยินเขาคุยกับญาติๆ ไปมา
แล้วก็กลับมาคุยในโทรศัพท์อีกทีว่า อ๋อ อี่ลัยใช่ไหม
น้าอีกคนเล่าให้ฟังว่า อี่ลัยมันชื่อวิลัย เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ
อี่ลัยมันมาเล่นกับน้าเองบ่อยๆจนคุ้นเคยกับคนในบ้าน
แล้วน้าก็เล่าเรื่องวิลัยต่อพอจับใจความได้ดังนี้ครับ
ตอน ป.4 เพื่อนๆสามสี่คนช่วนกันไปเล่นในป่า
แล้วพากันเอาไม้กระดานขึ้นไปปูทำเป็นนั่งร้านพาดไปกับกิ่งไม้
พุ้มไม้บังแดด จนทำให้ดูเป็นห้องเล็กๆ ดูเหมือนบ้านบนต้นไม้
ขณะที่นั่งเล่นกันอยู่
อยู่ๆ วิลัยก็ไปนั่งตรงขอบไม้กระดานแผ่นหนึ่ง
มันไม่มีตระปูยึด ทำให้ ไม้กระดานกระดกหงายขึ้น
ร่างของวิลัยร่วงหลนลงจากต้นไม้
หน้ากระแทกเข้ากับขอนไม้อย่างแรง สลบฟุบไป
เพื่อนๆเห็น ก็รีบปีนต้นไม้ลงไปดู พอพลิกร่างของวิลัยขึ้นมาดู ปรากกฏว่า
ฟันหน้าของวิลัย บานเหยินออกมา เลือดออกกลบปาก จมูกยุบลงไป
เพื่อนๆตอนนั้นเห็นแล้วก็วิ่งหนีกันหมดเพราะกลัว
ส่วนน้าผมตอนนั้นก็วิ่งไปบอกกับผู้ใหญ่แถวนั้นให้มาช่วย
แต่ปรากกฏว่า ช่วยไม่ทัน วิลัยก็ขาดใจตายเสียก่อนแล้ว
น้าคนที่เล่าก็ถามว่า ทำไมอยู่ๆถึงถามเรื่องอี่ลัยขึ้นมา
ผมก็บอกว่าพอดีเห็นน้าแกเพ้อ เรียกชื่อนี้ขึ้นมา ก็เลยถามดูว่ามีใครรู้จักไหม
น้าคนที่เล่าก็พูดว่า
เออ ตั้งแต่อี่ลัยมันตายก็ไม่เคยมีใครไปเยี่ยมทางบ้านของมันเลย
บ้านของอี่ลัยมันจนมาก ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังกันบ้าง
สงสัยน้าเองจะคิดถึงอี่ลัยมันอะมั้ง เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ
ผมฟังเรื่องราวของคนชื่อวิลัยแล้ว
ก็คิดในใจว่า มันน่าจะมีอะไรบ้างอย่างที่คนอื่นไม่รู้ ระหว่างตอนที่วิลัยกำลังจะตาย
ไม่งั้นวิญญาณคงไม่ตามมาติดตัวน้าผมแบบนี้
คืนนั้นผมนั่งสมาธิอีก แต่ไม่เห็นนิมิตอย่างที่ตั้งใจ
ผมเลยจำลองเหตุการณ์เหมือนวันที่ผมเห็นวันแรก
โดยการจุดเทียนล้อมรอบตัวไว้เหมือนเดิม ปรากฏว่าคราวนี้ได้ผล
ผมนึกถึงหน้าคนชื่อวิลัยแล้วก็ เรียกชื่อ วิลัย วิลัยในใจไปเรื่อยๆจนกระทั้ง เห็นภาพขึ้นมา
ภาพเด็กหลายคนเล่นอยู่บนต้นไม้ แล้วก็เห็นภาพวิลัยตกจากต้นไม้
เห็นน้าวิ่งเข้าไปช่วย ร่างของวิลัยชักตาเหลือก
น้าผมจับมือวิลัยไว้แน่น พูดอะไรบางอย่างกับวิลัย ในนิมิตไม่ได้ยินเสียงน้า
แต่ดูจากปากเหมือนจะพูดว่า อย่าตายนะ กูจะไปตามคนมาช่วย
แล้วน้าผมก็ลุกขึ้นวิ่งไปตามคนมาช่วย วิ่งไปได้ สิบก้าว น้าผมหันมามองวิลัย
วิลัยเหมือนรู้สึกตัว ชูแขนกวักมือเรียกน้าผมให้กลับมา
น้าผมยืนมองอยู่จนกระทั้ง วิลัยสลบไป
แล้วน้าก็รีบวิ่งไปตามคนมาช่วย
ขณะที่ร่างวิลัยถูทิ้งไว้กลางป่าคนเดียว
ร่างของวิลัยชักกระตุกไปมา
อยู่ๆวิลัยก็กรี๊ดออกมาด้วยความเจ็บปวด
ตระโกนออกมาเสียงดังว่า อย่าทิ้งกู จนกระทั้งขาดใจตาย
ต่อมา ชาวบ้านพากันมาช่วย มามุงดูศพของวิลัยกัน
ผมมองเห็นมีควันสีขาวหลุดออกมาจากศพวิลัย
แล้วลอยไปมา ในบริเวณนั้น
มีเงาสีดำโปรงแสง อยู่เต็มบริเวณนั้น พอๆกับคนที่มามุงดู
แต่แล้วผมก็เห็นควันสีขาวที่ออกมาจากร่างวิลัย หายวับเข้าไปในร่างน้าผม
ตั้งแต่ตอนนั้น น้าก็กลายเป็นคนขี้โรค
ป่วยบ่อยตั้งแต่เด็กเป็นต้นมาจนกระทั้งถึงตอนนี้
ขณะกำลังเห็นนิมิตอยู่นั้น อยู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนมีลมแรงปะทะเข้าที่ใบหน้า
ผมพยายามลืมตา แต่ลืมตาไม่ขึ้น
ตัวผมเย็นเฉียบ ความรู้สึกเหมือน ตัวหนาวๆเหมือนตอนที่แช่ตัวลงไปในน้ำที่บ้านพ่อหมอ
แล้วอยู่ๆก็รู้สึกมีมือมากดไหล่สองข้างผมไว้ ผมขยับตัวไม่ได้
ผมพยายามรวบรวมสติ ทำสมาธิใหม่ แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น
สิ่งที่ผมเห็น ตรงหน้า เห็นเงาสีดำเหมือนร่างคน
ยืนลายล้อมอยู่นอกวงเทียนเต็มไปหมด ผมตกใจมาก
รีบลุกขึ้นยืน มองไปรอบๆ ผมยังตั้งสติถามตัวเองว่านี่ไม่ใช่ฝันใช่ไหม
พยายามเพ้งไปที่เงาดำเหล่านั้น ว่าเป็นคนหรืออะไรกันแน่
ผมมองเห็นชัดมาก มันเป็นเงาดำโปรงแสงจริงๆ
เหมือนมันพยายามจะเข้ามาในวงเทียนของผม แต่เข้ามาไม่ได้
อยู่ๆผมก็พูดออกมาเองว่า ออกไป ไม่นานเงาดำเหล่านั้นก็หายวับไป
ผมค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาจากวงเทียน รีบวิ่งไปเปิดไฟในห้อง คืนนั้นไม่กล้านอนเลย เปิดไฟไว้ทั้งคืน
เช้าวันต่อมา มีคนมายืนคุยกันอยู่หน้าบ้าน สองสามคน ผมออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พอออกมาเจอคนกลุ่มนั้น เขาก็รีบแยกย้ายกันไป
ผมเลยนึกว่า เขาคงแค่บังเอิญผ่านมาเจอกันเลยแวะคุยกันตรงหน้าบ้านผมพอดีอะมั้ง
หลังจากแต่งตัวเสร็จจะออกไปทำงาน เดินออกมาหน้าบ้าน
ยายแก่ๆข้างบ้านก็มาถามผมว่า เมื่อคืนที่บ้านมีเรื่องอะไรกัน
ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนดังมาก นึกว่าทะเลาะกัน
ผมงงเลย เมื่อคืนบ้านก็เงียบดีนะ ไม่มีใครร้องโหยหวนอะไร
ผมก็ตอบไปว่า ไม่มีนะครับยาย เป็นเสียงจากบ้านอื่นหรือเปล่า
ยายแกทำหน้า งง ๆแล้วก็พูดว่า
หลายๆคนก็ได้ยิน เขามาเล่าให้ฟังเมื่อเช้า ว่าได้ยินเสียงร้องโหยหวนทั้งคืนเลย
ผมนี่ ขนลุกไปทั้งตัวเลย ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
แต่คิดในใจว่าไม่กล้านอนคนเดียวแน่คืนนี้
ถึงที่ทำงาน ช่วงสายๆ มี ลุงที่เป็น รปภ เอาจดหมายที่เขามาส่งที่หน้าอ๊อฟฟิตขึ้นมาให้ฝ่ายธุระการข้างบน
ลุงแกเป็นคนอัธยาศัยดี เจอใครก็ทักทายกันไปทั่วบริษัท ลุงหันมายิ้มให้ผมแล้วก็ทักทายเหมือนเคย
มีช่วงที่ลุงแกหันหลังจะกลับลงไปชั้นล่าง ผมมองเห็นที่ท้ายทอยลุงมีเลือดเต็มไปหมด เลอะลงมาที่คอเสื้อ
มีเศษเนื้อเป็นชิ้นๆ ติดอยุ่ตามผมของลุง
ผมตกใจมาก รีบทักลุงไปว่าลุงๆทำไมมีเลือดที่หัวลุง ลุงหันมาหาผมเอามือลูปไปที่หัว เอามือมาดู
ปรากฏว่าไม่เห็นมีอะไร ลุงแกก็ขำแล้วก็ว่าผมอำแก ผมงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เห็น
มันทำให้ผมรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะพูดจะบอกใครก็ไม่ได้
และอีกวันต่อมา ผมไปถึงที่ทำงานในตอนเช้า เจอพนักงานยืนจับกลุ่มคุยอะไรกันอยู่ ผมเข้าไปสอบถามว่าเป็นอะไรกัน
มีป้าแม่บ้านรีบมารายงานข่าวทันทีว่า เมื่อคืนมีโขมยเข้ามางัดที่ทำงานแล้วลุง รปภ ก็มาเจอ
เกิดต่อสู้กัน ลุงถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ป้าแม่บ้านเล่าว่า ศพลุงโดนตีหัวจนเละ แผลเหวอะหวะ นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าบริษัท
ตอนนั้นนี่ผมนึกถึงภาพเมื่อวานที่เห็นเลือดอยู่ที่ท้ายทอยลุงเลย แล้วก็นึกในใจว่ามันเรื่องจริง มันไม่ใช่แค่ตาฝาด
ทำให้ผมยิ่งเริ่มสงสัยกับเหตุการณ์ประหลาดประหลาดเหล่านี้
ที่สุดวันนั้นผมไม่เป็นอันทำงาน ผมพยายามติดต่อไปหาคนที่เขาแนะนำให้ผมไปหาพ่อหมอ
จนช่วงเย็นๆผมติดต่อเขาได้ บอกเขาว่าผมไปหาหมอที่แนะนำมาแล้ว
แล้วผมก็ถามเขาว่า ญาติเขาที่ไปรักษาตัวกับพ่อหมอ ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ไหม
คนรู้จักคนนั้นตอบผมว่าเป็นญาติห่างๆเขาไม่ค่อยได้ติดต่อนานแล้ว ไม่ทราบข่าวทางโน้นเหมือนกัน
เดี๋ยวเขาจะพยายามหาเบอร์ติดต่อญาติเขามาให้ผม
หลังจากนั้นผมก็เลยลองพยายามติดต่อไปที่ไกด์คนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขารับสาย แต่มีเวลาคุยไม่นานเพราะว่ากำลังจะไปทำธุระ
ผมรีบเล่าเรื่องทุกอย่าง อย่างกระชับที่สุด ถามเขาว่า ผมมีเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ ผมกลับมาจากมาเล
ไม่รุ้ว่ามันเป็นเพราะการไปทำพิธีอะไรนั่นหรือเปล่า
ไกด์ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาจะพยายามติดต่อไปที่พ่อหมอ แล้วจะถามให้
คืนนั้นกลางดึกไกด์โทรมาหาผม เขาบอกว่า ผมต้องกลับไปทำการถอนพิธีกรรมให้เสร็จ
เพราะผมทำพิธีกรรมไปแล้วครึ่งทางแล้วมันยังไม่จบ อาจจะมีผลอะไรบ้างอย่าง ซึ่งทางพ่อหมอเองก็ตอบไม่ได้
ถ้าจะให้ดีต้องไปให้เขาทำพิธีให้จบ
หลังจากวางสาย ผมเองคิดหนักเลย จะเอาไงดี ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า น้าผมป่วยเพราะอะไร และตัวผมเองโดนพิธีกรรมประหลาดเล่นงานชีวิตผม
ผมรู้เหตุปัจจัย แต่ผมไม่รู้ว่าจะรักษาน้าให้หายยังไง และตัวผมเองจะทำยังไงให้หายจากมโนจิต ที่เป็นอยู่
วันต่อมา ช่วงหัวค่ำ ขณะที่ผมพักผ่อนอยู่ในบ้าน
มีญาติคนหนึ่งโทรมาหาผม เขาบอกว่ามาเยี่ยมน้าผมแล้วก็เลยแวะเอาของฝากมาฝากผมด้วย
แต่พอดีเห็นคนเต็มบ้านผม ญาติผมก็เลยไม่กล้าเข้ามา นึกว่าจัดงานอะไรกัน เกรงใจ เลยเอาของฝากห้อยไว้ที่ประตูหน้าบ้าน
ผมตกใจมาก เฮ้ย เราอยู่คนเดียวไม่มีใครนี่นา ผมรีบถามกลับไปทันทีว่า จริงหรือ เห็นคนเต็มบ้านจริงๆหรือ
ญาติผมคนนั้นก็บอกว่า จริงซิ ใครจะมาล้อเล่นหละ
ผมนี่เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเลย อยู่ๆก็รู้สึกว่า เหมือนมีคนมองเราอยุ่ตลอดเวลาทันที
หลังจากวางสายไป ผมรีบเก็บข้าวของ จัดกระเป๋าเสื้อผ้า รีบขับรถไปอยู่บ้านน้าคนที่ป่วยทันที
พอถึงบ้านน้า ลูกๆน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผมมาหากลางดึก ปกติมาเยี่ยมน้า เสาร์อาทิตย์ก็ค้างคืนด้วยอยู่แล้ว
แต่คราวนี้ทุกคนคงแปลกใจว่า ยังไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ไหงมาค้างที่บ้าน แล้วจะไม่ไปทำงานสายหรือ
ผมบอกทุกคนว่า ช่วงนี้งานไม่ค่อยยุ่งไปสายได้ ก็เลยมานอนเป็นเพื่อนน้า เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน
และก็เหมือนดังตาเห็น อยู่บ้านน้าไม่กี่ชั่วโมง น้ามีอาการหายใจติดขัด อาการทรุดหนัก จนที่สุดต้องพาน้าไปโรงพยาบาล
ที่โรงพยาบาลน้าผมนอนหายใจระทวยไม่รู้สึกตัว หมอให้ออกซิเจน และเครื่องปั้มการหายใจอัตโนมัติ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมรู้ดีว่าวิญญาณวิลัย ไม่ปล่อยน้าผมแน่ๆ ยังไงน้าก็คงไม่รอด เลยไม่อยากยื้อน้าไว้ให้ทรมาน
ผมบอกให้ลูกน้าถอดปลั๊กออกเพราะน้าคงไม่รู้สึกตัวแล้ว ที่หายใจได้เพราะเครื่องช่วย รั้งไว้ก็ทรมานแม่เองเปล่าๆ
แต่ลูกน้าขอตัดสินใจกับทางครอบครัวเขาก่อน
คืนนั้นที่พักที่โรงพยาบาลคับแคบ ผมจึงขอตัวออกมานอนที่รถ ไม่นานผมก็งีบหลับไป แล้วก็ฝัน
ฝันเห็นน้าวิลัย เขามาบอกผมว่าเขาไม่ยอมให้น้าผมตาย เพราะเขาอยู่ดีกินดีกับน้าผม
น้าผมอิ่มเขาก็อิ่ม น้าผมได้บุญเขาก็ได้บุญด้วย เขาไม่ยอมให้น้าตายเด็จขาด
แล้วก็ตระคอกใส่ผมว่าอย่ามายุ่งเรื่องของกู
วิญญาณวิลัยพูดกับผมว่า ถ้ามันไม่มีกู มันก็ตายไปแล้วตั้งแต่เด็ก เพราะมันกับกูดวงถึงฆาตพร้อมกัน
พูดถึงตรงนี้ ผมนึกถึงเวลาที่ลูกๆน้าเอาดวงน้าไปให้หมอดู ดูดวงให้
หมอดูหลายๆคนมักจะบอกว่า มองไม่เห็นดวงน้าเลย เหมือนไม่มีตัวตนในโลกนี้แล้ว
อ้อผมพึ่งเข้าใจวันนี้นี่เอง ว่าจริงๆแล้วดวงน้าผมตายไปตั้งแต่เด็กแล้ว
ผมเริ่มสับสน ตกลงใครกันแน่ที่อยากให้น้าผมตาย
ผมสะดุ้งตื่น รีบขับรถกลับมาที่บ้าน ทางเดียวที่ผมจะรู้ได้ว่าคำตอบคืออะไร ผมต้องเข้าไปในนิมิตอีกครั้ง
ขณะขับรถมาระหว่างทาง อยู่ๆก็รู้สึกมือไม้สั่น
หัวใจเต้นแรงราวกับกินกาแฟไปหลายถ้วย มันหวิวๆ วูบๆวาบๆ
แสงสีขาวสองข้างทางมันแยงเข้ามาที่นัยตาทั้งสองข้างจนรู้สึกอึดอัด
ไม่อยากมองไปข้างๆถนนเลย
ใจก็จดจ่อที่อยากจะกลับบ้านเร็วๆ
ผมเลยขับรถมองไปแต่ตรงกลางถนนอย่างเดียวไม่มองด้านข้าง
สักพักใหญ่ ช่วงที่ครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆอยู่นั้น
อยู่ๆก็มีเสียงกระแทกมาจากข้างฝั่งที่ผมขับเสียงดังสนั่นหวั่นไว
ตัวผมรู้สึกเหมือนตัวเบาหวิว หัวนี่หมุ่นจับทิศจับทางไม่ถูก
มองไปข้างหน้าเป็นแสงสว่างจ้า จนต้องหลับตา
สักพักก็รู้สึกเหมือนอะไรหนักๆมาทับที่ข้างหลัง แล้วก็วูบหลับไป
ผมมารู้ตัวมีสติอีกครั้ง
ก็ตอนรู้สึกว่าตัวเองเบารู้สึกสบายเหมือนอยู่ในความฝัน
ลืมตามาก็เห็นว่าตัวเองยืนอยู่ริมถนน ตรงแยกที่เกิดอุบัติเหตุ
ผมมองรถตัวเองล้อชี้ฟ้าครึ่งคันจมน้ำอยู่ในคลอง
แล้วก็พยายามนึกว่าผมออกมาจากรถได้อย่างไร
แต่ก็นึกไม่ออก
ผมก้มลงมองดูที่เท้าผมเพื่อจะสำรวจว่าผมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
แต่ก็ต้องตกใจเมื่อผมไม่เห็นเท้าตัวเอง
แถมยังมองทะลุมือตัวเองเห็นพื้นถนนด้านล่างอีก
ผมตกใจมากทำไรไม่ถูก เราตายแล้วหรือนี่ ผมนึกในใจ รู้สึกเสียใจมาก
จะทำยังไงต่อไปดี ผมถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
ช่วงนั้นนึกอะไรไม่ออกเลย อยู่ๆก็มีร่างเป็นเงาสีดำมาประกบที่ผมซ้ายขวา
จับแขนผมไว้ ผมพยายามสบัดแขนให้หลุดจากเงาดำนั้น แต่กลับรู้สึกอ่อนแรง
เหมือนตอนที่เราตื่นตอนเช้าแล้วเราพยายามกำหมัดให้แน่นๆ แต่เราก็เหมือนหมดแรง
ความรู้สึกผมเหมือนแบบนั้นเลย พยายามดิ้นรนแต่ก็อ่อนแรงทุกที
แต่อยู่ๆพอคิดว่านี่คือความตาย ก็ทำให้ผมนึกถึงพ่อหมอคนนั้นขึ้นมา
แว๊บเดียว ความรู้สึกผมก็เหมือนกับจะงวย งง
ผมไปยื่นอยู่ตรงหน้าบ้านพ่อหมอ หลังที่ผมเคยไปหา ได้อย่างไร
ตอนนั้นมองไปรอบตัว ท้องฟ้าเริ่มสว่าง
ลมพัดเบาๆ แล้วก็มีเสียงสุนัขเริ่มหอนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ผมยืนอยู่ตรงหน้าบ้าน โดยไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ช่วงที่กำลังคิดอยู่นั้น
อยู่ๆก็มีควันสีขาวลอยออกมาจาก ประตูบ้านพ่อหมอ
รวมกลุ่มกันเป็นรูปร่างคล้ายคนสองคน
มาประกบที่ตัวผม แล้วก็พาผมลอยผ่านประตูเข้าไปข้างใน
เห็นพ่อหมอ กำลัง งัวเงีย สาระวลกับเครื่องแต่งกาย
คงไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีอาคันตุกะมาหาตั้งแต่เช้าตรู่
สักพัก พ่อหมอก็เริ่มจุดเทียน แล้วเริ่มทำพิธีกรรมบ้างอย่าง
สักพักไม่นาน ก็มี เงาดำใหญ่รูปร่างประหลาดโผล่ขึ้นกลางห้อง
ลักษณะดูคล้ายๆนกฮูกยืนสองขาเหมือนคน ที่หัวมีหูยาวตั้งขึ้นทั้งสองข้าง
แต่ตรงใบหน้าไม่มีหน้าตา กลับเป็น กลุ่มควันสีขาวรวมตัวเป็นก้อนเท่าลูกฟุตบอล
สิ่งนั้นลอยเข้ามาใกล้ๆผม
ผมก็ได้แต่จังงังกับสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน
ผมรู้สึกว่า ยิ่งเงาดำประหลาดเข้ามาใกล้ผมมากเท่าไหร่
ผมก็รู้สึกหนาวมากขึ้นมากขึ้น ราวกับว่าอยู่ในห้องแช่แข็ง
พอเงาดำประหลาดนั้นมาประชิดตัวผม
อยู่ๆผมก็เห็นทุกอย่างสว่างจ้าขึ้น แล้วก็ค่อยๆมืดลง
ผมพยายามเพ้งมองไปข้างหน้า
ปรากฏว่าผมไปโผล่ที่เตียงผู้ป่วยที่น้านอนอยู่ในพริบตา
มองไปที่ตัวน้า เห็นดวงวิญญาณน้าเรืองแสงอยู่ภายในตัวน้า
เป็นสีส้มๆ เหมือนเปลวเทียน
มันวูบวาบวูบวาบเหมือนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่
ผมนึกในใจว่า จะช่วยน้าได้อย่างไร
ไม่ทันถามอะไร ดวงวิญญาณที่พาผมมาก็เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
อยู่ๆก็พาร่างทิพย์ผมหายวับไปอีกที่ที่หนึ่ง
ที่นั่น ดูคุ้นตา แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน
เหมือนเคยเห็นมาก่อน มีต้นไม้ใหญ่ มีป่า มีทุ่งนา
มันคุ้นแต่มันก็เปลี่ยนแปลงไปมาก
พอผมค่อยๆเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ บริเวณต้นไม้ใหญ่นั้น
ก็เริ่มนึกออกว่า ที่นั้นก็คือที่ที่ น้าวิลัยแกเสียชีวิตนั้นเอง
ไม่นาน อยู่ๆก็เห็นควันสีฟ้าๆออกน้ำเงิน
ลอยจับกลุ่มกันเป็นก้อน เดี๋ยวก็ลอยต่ำ เดี๋ยวก็ลอยสูง เดี่ยวก็หยุดอยู่กับที่
เคลือนที่ไปมาอยู่รอบๆบริเวณนั้น ราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่
ผมนึกในใจขึ้นมาทันที
ว่านั้นคือน้า วิญญาณอีกซีกของน้า
ใช่ๆ อยู่ๆความคิดหนึ่งก็แว๊บขึ้นมา “ขวัญของน้า”
ใช่มันเป็นขวัญของน้านั้นเอง คิดได้เท่านั้นแหละ
ก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ประมวลทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดวงวิญญาณของวิลัยไม่ได้ทำร้ายน้า
แต่ที่น้าป่วย เพราะขวัญของน้าออกจากร่างแล้วไม่ได้กลับคืน
พอนึกได้ดังนั้น ผมก็คิดว่ายังไงก็ต้องพาน้ากลับมาที่จุดนี้ให้ได้
เหมือนดวงวิญญาณที่มากับผม รู้ว่าผมได้คำตอบที่ต้องการแล้ว
อยู่ๆร่างผมก็หายวับจากที่นั่น
มารู้สึกตัวอีกที เหมือนตัวเองลอยอยู่บนอากาศ
ไหล่สองข้างเหมือนมีอะไรมาบีบแน่น
ผมมองขึ้นไปดูเหนือศรีษะผม
เห็นเงาที่ว่าคล้ายนกฮูก
กำลังใช้กงเล็บจิกมาที่ไหล่ทั้งสองข้างของผม กางปีกบิน
พาผมทะยานตรงไปข้างหน้าอย่างแรง ราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา
ผมมองไปข้างหน้าเห็นแยกที่ผมประสบอุบัติเหตุ
มีรถจอดอยู่หลายคัน มีแสงไฟวับๆหลากสีบนถนน
ผมถูกพาตัวให้ลอยเข้าไปใกล้ๆแยกนั้นอย่างเร็ว
พอถึงกลุ่มคน ที่มุงอยู่ตรงแถวแยกนั้น
กงเล็บยักษ์ก็เหวียงผมลอยไปข้างหน้าอย่างแรง
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพุ่งด้วยความเร็วสูงไปที่กลุ่มคนพวกนั้น
จนทำให้ผมต้องร้องออกมาด้วยความหวาดเสียว
หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรดูดผม
เหมือนผมตกลงไปในท่ออะไรสักอย่าง
แสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นมา แว๊ปหนึ่ง
ทุกอย่างก็มืดลง ผมลืมตาดู
ก็ปรากฏว่าเห็น ชายคนหนึ่งกำลังปั้มหัวใจผมอยู่
ผมรู้สึกเหมือนคนกลั้นหายใจมานาน แทบจะขาดใจ
รีบสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด อย่างเร็ว
ผมร้องโฮออกมาอย่างดัง พร้อมทั้งจับหัวไหล่ชายคนที่อยู่ต่อหน้าผมไว้แน่
ผมตะโกนร้องราวกับว่านี้คือชัยชนะ
อารมณ์ตอนนั้น มันทั้งซะใจ ทั้งดีใจ ทั้งบ้าคลั่ง
ชายคนนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ก็พลอยตกใจร้องเสียงหลงตามผมไปด้วย
จนเขาตั้งสติได้ ก็ค่อยๆกดตัวผมให้นอนลงไปช้าๆ
ผมค่อยๆสำรวจตัวเอง ตัวผมเปียกไปทั้งตัว
มีเลือดตามเสื้อผ้าไม่มากนัก ดูภาพรวมๆแล้วไม่มีอะไรแตกหัก
ชายคนที่ปั้มหัวใจผมเขาบอกผมว่า พี่รู้ไหมว่าพี่หยุดหายใจไปแล้วเกือบสามสิบนาที
ผมพยักหน้า ผมบอกว่าผมไม่เป็นไร ขอผมลุกเดินได้ไหม
เขาก็ค่อยๆพยุงผมลุกนั่ง แล้วก็ให้ผมลุกขึ้นยืน
ตอนนั้นผมได้ยินเสียงคนที่มายืนมุงอยู่ ปรบมือกันใหญ่
คู่กรณีที่ชนรถผมตกคลอง เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไรนอกจากตกใจ
แต่รถเขาเสียหายด้านหน้ายุบไปทั้งแถบ
ผมบอกกับตำรวจว่า ผมจะไปตกลงความที่โรงพัก แต่ตอนนี้ขอไปโรงพยาบาลก่อน
ผมให้รถอาสาสมัครไปส่งผมที่โรงพยาบาลที่น้าผมอยู่
ไปถึงก็ถูกล้างเนื้อล้างตัว พยาบาลจับทำแผล พยาบาลสงสัยเล็กน้อยว่ามีเลือดเต็มเสื้อเลย
แต่ทำไมไม่มีแผลใหญ่ ที่ต้องได้เย็บอะไรเลย มีแต่แผลถลอกทั้งนั้น
พยาบาลเอาเสื้อผ้ามาให้ผมใส่เป็นชุดของคนไข้ทั่วไป
ทำแผลใส่ยาอยู่พักใหญ่ เขาก็ให้ไปรอรับยา
ก็อาศัยช่วงนี้ ปลีกตัวไปหา ลูกน้าที่มาเฝ้าอาการน้าอยู่ทั้งคืน
เขาเห็นผมก็ตกใจ ถามว่าทำไมแต่งตัวชุดนี้
ผมบอกว่ารถผมคว่ำลงคลอง แต่โชคดีไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องห่วง
ดูเขาตกใจอยู่เหมือนกัน
ผมก็เลยบอกให้เขากลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยนหน่อย ส่วนผมจะเฝ้าน้าอยู่ทางนี้เอง
แล้วลูกน้าก็ออกไปเอาเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน
หลังจากนั้นผมครุ่นคิดหาหนทางจะทำยังไงถึงจะพาน้าไปยังบ้านเกิดของแกให้ได้
บ้านยายที่ต่างจังหวัดเป็นบ้านที่น้าอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็ก ห่างจากที่นี่ราวๆ สี่-ห้าชั่วโมง
ถ้าไม่มีออกซิเจนน้าอาจจะเสียชีวิตระหว่างทางก็ได้
ผมก็เลยไปถามพยาบาลว่าถ้าจะให้รถโรงพยาบาลไปส่งที่ต่างจังหวัด จะต้องติดต่อที่ไหนครับ
พยาบาลถามว่าจะส่งตัวต่อไปยังโรงพบายาบาลอะไรค่ะ
ผมก็บอกว่า อ๋อพอดีผู้ป่วยเขาอาการหนักมากแล้ว
เขาอยากจะกลับไปที่บ้านเกิดเขาครับ
แต่กลัวระหว่างทางอาจจะมีอาการอะไรไม่ดีขึ้นมา
ก็เลยอยากจะให้รถโรงพยาบาลไปส่ง
พยาบาลเขาก็พยักหน้า แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวหนูถามให้ค่ะ ต้องการพยาบาลไปด้วยไหมค่ะ
ผมก็บอกว่าก็ดีครับ
พยาบาลคนนั้นหายไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอาแบบฟอร์มมาให้กรอก
พร้อมกับบอกว่า ราคานี้ยังไม่รวมค่าจ้างพยาบาลติดตามอีกต่างหากนะค่ะ
ผมรับเอกสารนั้นมากรอกแล้วก็ไปจองรถตามที่พยาบาลแนะนำ
สักครู่ใหญ่ๆ หมอมาตรวจอาการน้าของผม
ผมก็บอกคุณหมอไปว่า
จะขอพาตัวคนไข้กลับวันนี้
เพราะทางญาติตกลงกันแล้วว่าอยากให้เขาไปเสียที่บ้าน ไม่อยากให้เสียที่โรงพยาบาล
หมอก็บอกว่าแล้วแต่ญาติคนไข้นะ ถ้าคิดว่าเป็นความต้องการของคนไข้หมอก็ไม่ว่าอะไร
หลังจากคุยกับหมอเสร็จ ไม่นานลูกน้าก็เอาเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน
ผมก็โกหกลูกน้าไปว่า เมื่อกี้หมอมาตรวจ แล้วบอกว่าคนไข้คงจะไม่พ้นคืนนี้
ผมโกหกลูกน้าไปอีกว่า น้าบอกกับผมว่าอยากกลับไปเสียที่บ้าน
ลูกหน้าก็เชื่อผม รีบโทรไปหาพ่อเขา ว่าแม่ไม่ไหวแล้วนะ แม่อยากกับไปที่บ้าน
เสียงปลายสายดังมาว่า ให้รีบพาแม่กลับมา เดี๋ยวพ่อจะไปเจอที่บ้าน
หลังจากดำเนินการเรื่องจ่ายค่าอะไรทุกอย่างเสร็จสับ เวลาก็เกือบเทียงแล้ว
ผมกับลูกคนโตของน้า ก็พาน้าออกมาจากโรงพยาบาลด้วยรถของโรงพยาบาล
โดยมีพยาบาลมาค่อยดูอาการด้วย
รถขับเลยผ่านออกไปทางแยกเลี่ยงเมือง ลูกน้าก็ทำหน้าตกใจ
ถามคนขับรถว่าจะไปไหน
คนขับเขาก็ชะลอรถ แล้วก็ถามว่าอ้าวไม่ได้ไปจังหวัดนี้หรอกหรือ
ผมก็เลยบอกกับลูกน้าว่า น้าอยากกลับไปบ้านยาย
แต่ที่บอกว่าให้กลับบ้านพ่อของเอง เพราะกลัวว่าพ่อเองจะไม่ยอมให้ไป
ลูกน้าฟังเหตุผลแล้วก็ทำหน้าเลิกลักเลิกลัก
กระอักกระอ่วนใจ จะโทรไปบอกพ่ออย่างไรดี
ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี
ก็เลยปลอบเขาไปว่า
แม่เองเขาจะไปสบายแล้ว เป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิตเขาที่เขาต้องการขอ ก็ทำให้เขาเถอะ
ลูกน้าก็เลยค่อยๆสงบลง
ทำใจอยู่สักพัก ก็โทรไปบอกพ่อเขาว่า
พ่อตกลงแม่จะกลับบ้านยายนะ ตอนนี้กำลังจะไปบ้านยาย
เสียงตะวาดก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ทันที ว่า จะพาไปทำไม จะตายห่าอยู่แล้ว จะเอาไปทรมานทำไม
แล้วลูกน้าก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมพูด ผมพยายามบอกให้สามีน้าใจเย็นๆ
นี่เป็นการข้อครั้งสุดท้ายขอชีวิตน้า เสียงปลายสายสวนมาว่า
ถ้าไปเสียระหว่างทางจะทำยังไง เขายังคงโมโหอยู่
ผมรีบตัดบทว่า ให้เขาขับรถตามมาเจอที่บ้านยาย แล้วก็วางหูไป
รถขับไปได้สักพัก ผมเผลองีบหลับไปครู่หนึ่ง รู้สึกตัวอีกที
เห็นคนขับกำลังขับรถเข้าข้างทาง ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น
คนขับตอบว่า รถฉลามบอกให้เขาไล่ทาง
พอรถจอดได้ ตำรวจเข้ามาสอบถามว่า จะไปไหนกัน
คนขับก็ตอบไปตามจริงว่าจะไปส่งคนไข้กลับบ้าน
ตำรวจเชิญคนขับรถลงไป ผมนึกในใจ มีจับความเร็วรถโรงพยาบาลด้วยหรือวะ
คนขับรถลงไปคุยกับตำรวจ ตำรวจขอดูใบขับขี่ พอคนขับยื่นใบขับขี่ให้ตำรวจ
ตำรวจเอามาดู แล้วก็พูดสื่อสารในวิทยุสื่อสาร ว่า
เจอรถต้องสงสัยแล้ว ขณะนี้สกัดไว้ได้แล้ว
เท่านั้นแหละผมรีบกระโดดไปที่เบาะคนขับ รีบขับรถออกทันที
ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะแจ้งความจับผมแบบนี้
ผมขับรถโรงพยาบาลหนีรถตำรวจออกมาด้วยความเร็วสูง
จนรถคันที่อยู่ในเลนเดียวกัน เห็นรถโรงพยาบาลเปิดไฟฉุกเฉิน มีรถฉลามตามมาติดๆ
ต่างพากันหลบเข้าไหล่ทางกันหมด
พยาบาลชะโงกหน้าออกมาที่เบาะด้านหน้า ถามว่าเกิดไรขึ้น
แล้วก็ตกใจที่เห็นผมขับรถอยู่ แล้วก็ถามว่าอ้าวแล้วพี่คนขับหละ
ทุกอย่างเงียบไม่มีใครตอบอะไร
ลูกน้า ดูร้อนรนกว่าผม กระสับกระส่ายไปมา ถามผมว่า เราทำถูกแล้วใช่ไหม
ผมก็บอกว่า พ่อเองก็แค่โกรธ แต่ไม่ถึงตายหรอก แต่แม่เองนี่ นี่เป็นโอกาสเดียวนะ
รถตำรวจเริ่มไล่ตามมาติดๆ ผมก็พยายามเร่งเครื่องหนี ขับไปได้สักพักใหญ่
ผมมองไปข้างหน้ามีรถติดไฟแดงจอดอยู่ มันใกล้จะเข้าในเมืองแล้ว เริ่มมีปริมาณรถมาก
ผมชะลอความเร็วลง รถตำรวจก็ยังตามมาติดๆ เปิดสัญญาณลั่น
ช่วงนั้นผมคิดว่าต้องโดนจับแน่ๆ คิดอะไรไม่ออก ว่าจะไปทางไหนดี
ถ้าติดไฟแดงแยกนี้ก็จบกัน
เสียงประกาศดังออกมาจากรถตำรวจ
ผมได้ยินแต่แว่วๆว่า รถพยาบาลหยุดด้วย จอดเดี๋ยวนี้
ผมยังขับต่อไป จนถึงบริเวณรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ ปรากฏว่าพอไปถึงแยกไฟแดง
รถที่จอดรอไฟเขียวอยู่นั้น ต่างพากันขยับรถเปิดทางให้รถที่ผมขับอยู่ ผ่านออกไปได้
ผมค่อยๆขับรถผ่านแยกนั้นช้าๆ แม้แต่แยกฝั่งที่มีไฟเขียว มีรถจอดอยู่ เขากลับไม่ขับออกมาจากแยก
คงพากัน งง มั่งว่ามันอะไร
เหมือนทุกคนจอดดูรถโรงพยาบาลเคลื่อนผ่านแยกไฟแดงนั้นไป โดยมีรถตำรวจตามมาติดๆ
หลังจากผ่านแยกไฟแดงนั้นไปได้
ดูเหมือนว่ารถตำรวจจะเลิกตามเรา คงเป็นเขตรับผิดชอบอีกพื้นที่หนึ่งไปแล้ว
ลูกน้าโทรไปหาพ่อเขา โวยวายกับพ่อเขาว่า
พ่อแจ้งความจับเราทำไม เสียงพ่อก็ตะโกนด่าตอบกลับมาฟังไม่ได้ศัพท์ ว่าพูดอะไรกัน
เพราะต่างฝ่ายต่างโวยวายใส่กัน แต่ทุกอย่างก็เงียบลงตรงที่ ลูกน้าพูดว่า
แม่ยังไม่ตายแล้วนี่ใกล้จะถึงบ้านยายแล้วด้วย พ่อยังจะให้แม่กลับไปอยู่ไหม
เมื่อเหตุการณ์สงบลง ผมก็ขับรถต่อไปสักพักใหญ่ๆ
ผมขับรถไปถึงที่บ้านยายเกือบจะเย็นมากแล้ว
เจอรถตำรวจจอดอยู่ มีตำรวจยื่นรออยู่สี่ห้านาย
เห็นน้าคนอื่น เห็นญาติๆ ลูกเด็กเล็กแดงมายืนรออยู่หน้าบ้าน ราวกับว่านัดหมายกันมา
ผมเปิดประตูรถ พยายามจะเข้าไปในบ้าน
แต่มีตำรวจมาแสดงตัว ขอเชิญไปที่โรงพัก
ญาติๆ กับน้าๆ ลงมาขวางแล้วถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมได้ยินเสียงลูกน้าคุยโทรศัพท์กับพ่อเขาว่า
พ่อหนูบอกให้ถอนแจ้งความไงเข้าใจไหม ตอนนี้เรามาถึงบ้านยายแล้ว
ผมถามน้าๆกับญาติๆว่ามีใครรู้จัก จุดที่ น้าวิลัยเสียชีวิตบ้าง ผมจะต้องพาน้าไปที่นั้น
ญาติผมถามว่าไปทำไม
ผมไม่รู้จะตอบยังไง จะพูดความจริงไปคนก็คงไม่เชื่อ
จะโกหกว่าน้าเขาอยากไปเองเป็นครั้งสุดท้าย
มันก็เป็นการโกหกคนที่มามุงดูมากมายไปด้วย
ผมอ้ำๆอึ้งๆอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ ลูกน้าก็พูดขึ้นว่า
แม่สั่งไว้ว่าก่อนจะตายอยากกลับไปที่ที่น้าวิลัยเสียชีวิต
ทุกคนหันไปมองลูกน้าเป็นตาเดียวกัน
แล้วญาติผมคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่าเออ มันสองคนนี้เล่นกันมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
บทจะตายก็อยากตายในจุดเดียวกัน ก็ถือว่าสงเคราะห์มันหน่อยเถอะวะ
อี่นั่งคนนี้มันก็ป่วยมาครึ่งค่อนชีวิตของมันแล้ว มันจะไปสบายแล้ว
สิ้นเสียงคำพูดของญาติผมคนนั้น
ดูเหมือนว่าสีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ญาติๆทุกคนก็ต่างพากันอาสาจะพาไป
ผมหันไปบอกตำรวจว่า
ให้ผมพาคนไข้ไปจุดที่เขาต้องการก่อนนะครับ แล้วค่อยจับผม
ตำรวจนายหนึ่ง พูดว่า
ไปเถอะ คนบ้านเดียวกัน เดี๋ยวผมจะนำทางให้ โอ๊ยคนรู้จักกันทั้งนั้น
สักพัก รถตำรวจก็ขับนำทาง มีลูกเล็กเด็กแดงขึ้นไปนั่งอยู่เต็มหลังกะบะรถตำรวจ
มีญาติบางคนก็ขี่มอเตอร์ไซด์ตาม
น้าน้าสองคนกับลูกๆ ขึ้นมานั่งรถโรงพยาบาลไปด้วยกันกับผม
ผมได้ยินเสียงเขาทักทายกันกับน้าที่ป่วย ว่าจำคนนั้นได้ไหมคนนี้ได้ไหม
ผมรู้สึกอบอุ่น รู้สึกตื่นเต้นที่เห็น รถยนต์ เคลื่อนไปในหมู่บ้านเล็กๆ ราวกับขบวนแห่
พอไปถึงที่นั่น ตอนนั้นเกือบจะพลบค่ำแล้ว บรรยากาศเริ่มมีแสงน้อยลง
ผมกลัวว่าจะมืดค่ำก่อน เพราะจะทำให้การเดินทางลำบาก
ผมต้องจอดรถอยู่ข้างทาง มองไปข้างหน้าเป็นทุ่งนา
ไกลๆราวร้อยสองร้อยเมตร เห็นต้นไม้สูงๆต้นหนึ่ง
มีญาติ มีน้าผมชี้ว่าโน้นใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นโน้น ที่อี่ลัยมันตาย
คนหนึ่งพูดว่า ไม่มีถนนไปนะ จะพาผู้ป่วยไปยังไง
นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ก็พอดีกว่าจะหามกันไปถึงก็คงจะมืดพอดี
พยาบาลลงมาจากรถบอกว่า เรามีเปลสนามคะ สามารถหามผู้ป่วยไปได้
ทุกคนก็รีบจัดแจงเตรียมตัวช่วยขนข้าวของกันทั้นที
น้าผมบางคนประกาศตรงนั้นเลยว่า ขออาสาสมัครชายฉกรรจ์ 4 คน
ไม่นานก็มีชายร่างใหญ่มายืนรอพร้อมจะช่วยหาม
พยาบาลจัดแจงเอาถังออกซิเจนขนาดเล็ก
เปลี่ยนจากหน้ากากครอบจมูก เป็นแบบ สายเล็กๆที่ไปจ่อตรงจมูกโดยตรง
ทุกคนช่วนกันย้ายน้าจากเตียงบนรถไปที่เปลสนาม ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
ไม่นาน ก็เห็นร่างชายสี่คนช่วยกันหามน้าผมไปพร้อมกับพยาบาลถือถังออกซิเจนเดินตามกันริ่วๆผ่านทุงนาไป
โดยมีขบวนทั้งญาติทั้งชาวบ้านแห่ตามก้นกันไปมุงดูราวกับว่ามีมหรสพ
ไม่นานก็ถึงใต้โคนต้นไม้นั้น แสงอาทิตย์เริ่มหดหาย ทุกอย่างค่อยๆสลัวสลัว
ผมเดินไปหาน้าที่นอนอยู่ในเปลสนาม
ผมปลุกน้า แล้วก็บอกว่า น้าเตรียมพบกับสิ่งที่หายไปนะ น้าพยักหน้ารับทราบ
ผมค่อยๆลุกออกมา ยื่นดูอยู่ห่างๆ มองไปรอบๆต้นไม้ ผมไม่เห็นควันสีฟ้านั้นเลย
รออยู่สักพักจึงบอกให้ทุกคนเรียกชื่อน้า เรียกชื่อน้าดังๆ
ตอนแรกไม่มีผู้ใหญ่คนไหนกล้าเรียก มีเสียงเด็กๆพากันเรียกชื่อน้าขึ้นมาก่อน
ถึงมีผู้ใหญ่บางคนเรียกตาม
แล้วชื่อน้าก็ดังกระหึ่มไปทั่วแถวนั้น
ไม่นาน ผมเห็นกลุ่มควันสีฟ้าค่อยๆลอยออกมาจากป่าใกล้ๆแถวนั้น
ค่อยๆลอยเข้ามาใกล้ๆต้นไม้
ผมบอกให้ทุกคนเงียบ ทำมือห้ามที่ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนเงียบกันหมด
ควันสีฟ้ารวมตัวกันเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วหยุดอยู่ใต้โคนต้นไม้
ผมค่อยๆเดินไปหาน้าที่นอนอยู่
กระซิบให้แกเรียกชื่อตัวเอง
น้าผมแกก็ค่อยๆเรียกชื่อตัวเอง แต่เสียงดังไม่พอ
แกพยายามอยู่สามสี่ครั้ง
จนครั้งสุดท้ายก็เรียกชื่อตัวเองออกมาเสียงดังจนผมก็ได้ยินเสียงนั้นด้วย
แล้วอยู่ๆกลุ่มควันสีน้ำเงินนั้นก็วิ่งเข้าไปในตัวน้าอย่างเร็ว
เหมือนเด็กน้อยที่ ผลัดหลงจากแม่ แล้วรีบถลาเข้ากอดผู้เป็นแม่ทันทีเมื่อเจอกัน
ผมมองไปเห็นน้าสะดุ้งเฮือกตอนที่กลุ่มควันวิ่งเข้าหาตัวน้า
ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง ทุกคนลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ
อยู่ๆ ผมก็เห็นกลุ่มควันสีขาวลอยออกมาจากตัวน้า
แล้วก็ค่อยๆเรียงตัวกันเป็นรูปเด็กผู้หญิงอยู่ตรงแถวๆปลายเท้าของน้า
ผมเผลอหลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัว “น้าวิลัย”
ลูกน้ามองหน้าผมด้วยความฉงน ว่าผมเห็นอะไร
แล้วกลุ่มควันสีขาวก็ค่อยๆโตขึ้นโตขึ้นจนเท่ากับร่างผู้ใหญ่
แล้วก็กลายเป็นเงาสีดำโปรงแสง ค่อยๆลอยหายเข้าไปในต้นไม้
หลังจากนั้น ผมเห็นน้าคนที่ป่วยเอามือมาจับที่แขนพยาบาล พยายามจะลุกนั่ง
จนพยาบาลเองต้องพยุงน้าให้ลุกขึ้นมานั่ง
น้าหันมาทางผมหันไปมองดูรอบๆตัว อยู่ๆสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
น้าผมลุกขึ้นยืน โดยมีพยาบาลพยุงตัวขึ้นช้าๆ
ทุกคนที่เห็นต่างโห่ร้องยินดี พากันปรบมือกันเสียงดังสนั่นโดยไม่รู้ตัว
วินาทีนั้นอยู่ๆผมก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมาที่ลำคอ รู้สึกว่าสิ้นสุดการรอคอย
รู้สึกถึงการรอค่อยที่โดดเดี่ยวมานานนับสิบๆปีมันจบแล้ว
น้ำตาผมเอ่อขึ้นมาเต็มเบ้าตา
มองไปเห็นลูกน้ายืนน้ำตาเอ่อเต็มใบหน้าอยู่ข้างๆ
ผมมองไปเห็นญาติคนหนึ่งปกติแกจะเป็นคนที่เข้มแข็งคนหนึ่ง
วันนั้น น้ำตาแกไหลออกมาอาบแก้มทั้งสอง
พลอยทำให้น้ำตาที่คลอๆอยู่ที่ตาของผมทะลักออกมาเต็มใบหน้าไปด้วย
ผมใช้มือปาดน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งความปิติ
เป็นน้ำตาแห่งชัยชนะ เราเหนื่อยกันมาหลายปี
ลูกน้าปกติเขาไม่เคยเห็นผมร้องไห้เลย
พอเห็นผมเอามือปาดน้ำตา แกก็เข้ามากอดผมอยู่ข้างๆ
บอกว่า เฮีย ขอบคุณนะที่ทำทุกๆอย่างให้กับแม่หนู
ผมอยากจะพูดอะไรออกไปแต่มันรู้สึกจุกอยู่ที่คอหอย จนพูดไม่ออก
ได้แต่สะอื้นไห้ออกมาแทน
พี่น้องของน้าต่างพากันเข้าไปพูดจากับน้าด้วยความยินดี
เหมือนคนที่จากกันมานานนับปีได้มาเจอกันอีก
หลังจากนั้นเราก็พาน้ากลับบ้าน ลูกน้าโทรไปหาพ่อเขา เล่าเรื่องวันนี้ให้พ่อเขาฟัง
ตำรวจที่ว่าจะมาจับผมก็กลายเป็นมาแสดงความยินดีด้วย และก็มาแจ้งว่ามีการถอนแจ้งความแล้ว
ส่วนคนขับรถโรงพยาบาล ตำรวจก็ขับรถมาส่งถึงที่บ้าน
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ คนขับรถกับพยาบาลก็ขอตัวกลับ
พวกญาติๆ น้าๆทั้งหลาย ต่างมารวมตัวกันที่บ้านยาย เล่าเรื่องราวในอดีตกันสนุกสนาน
ผมเห็นใบหน้าของน้าคนที่ป่วยยิ้มมีความสุขมาก
แม้จะยังคงดูอิดโรยเพราะป่วยมานาน แต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงมานั่งฟัง
จนประมาณสองทุ่มลูกน้าก็เลยพาแกไปพักผ่อน
สามทุ่มทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
ผมเข้านอนแล้วก็หลับไปด้วยความเพลีย
แต่พอกลางดึก อยู่ๆก็รู้สึกตัว เพราะหนาว
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด เห็นควันสีขาวลอยอยู่บนเพดาน
แล้วก็ค่อยๆลอยต่ำลงมา ลงมา
จนกระทั้งปกคลุมไปตามลำตัวผม
อยู่ๆก็มีกลุ่มควันลอยพุ่งออกมาจากตัวผม
ไปรวมกับกลุ่มควันก้อนแรกจนดูสีเข้มขึ้นเป็นควันหนา
แล้วก็ค่อยๆลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนติดเพดานสักพักก็จางสลายหายไป
กลุ่มควันสีขาวเหลานี้ พลอยทำให้ผมนึกถึงพ่อหมอขึ้นมา
ในวันที่วิญญาณผมไปที่บ้านพ่อหมอคนนี้
ผมก็เจอกลุ่มควันสีขาวลักษณะนี้เหมือนกัน
วันที่ผมประสบอุบัติเหตุถ้าผมไม่ได้ไปเข้าพิธีกรรมของพ่อหมอ
ไม่มีกลุ่มควันสีขาวเหล่านี้มาปกปักรักษาตัวผมไว้
ป่านนี้ผมคงกลายเป็นผีตัวตายตัวแทนเฝ้าสี่แยกไฟแดงแทนวิญญาณสองตนนั้นไปแล้ว
รุ่นขึ้น ผมไปปรึกษากับน้าคนหนึ่งว่า
อยากจะไปนิมนต์พระไปสวดทำบุญ แผ่บุญกุศลให้กับ น้าวิลัย ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น
ผมเล่าให้น้าคนนี้ฟังว่า เมื่อวานเห็น วิญญาณน้าวิลัยหายเข้าไปในโคนต้นไม้ใหญ่
พอแกได้ฟัง แกก็เห็นด้วย
ผมก็เลยรีบไปจัดแจงเตรียมข้าวปลาอาหารต่างๆ ของถวาย
และไปนิมนต์พระไปทำบุญตามที่ตั้งใจไว้
ผมกลับมาทำงานตามปกติ
เรื่องหูแว่ว เห็นอะไรเพี้ยนๆ ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย
นับตั้งแต่วันที่ ควันสีขาวนั้นออกจากร่างผม
ส่วนน้า ก็อยู่บ้านยายที่ต่างจังหวัด นานเป็นเดือนแล้ว
ดูอ้วนท้วนขึ้น แข็งแรงขึ้น เดินเหินคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อน
“และนี้แหละ เป็นเรื่องอันอัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของผม แล้วคุณหละ มีเรื่องอัศจรรย์อะไรในชีวิตบ้างไหม”
จบบริบูรณ์ครับ
เรื่องจากพันทิป เรื่องไม่มีชื่อ
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735
Post a Comment