วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
ชื่อเรื่องที่เหมือนกับชื่อเพลง "วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า" จากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 นักเล่าผู้มีประสบการณ์หลอนมากมาย อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาใช้ชื่อเรื่อง "วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า" เรามาหาบทสรุปที่าของชื่อเรื่องนี้ ขอขอบคุณเรื่องราวหลอนๆจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735อีกเช่นเคย
หลังจากขับรถมาทั้งวัน ด้วยความเหนื่อยล้า ผมรู้สึกอยากจะหลับตาพักซักงีบ
มองนาฬิกาก็ราวๆ ตี 2 แล้ว
แต่อีก สองร้อยกว่าโล ก็ถึงที่หมาย ที่ผมตั้งใจจะไป เลยทำให้ยังฝืนขับต่อไปเรื่อยๆ
ขับมาได้ไม่นาน สองข้างทางก็เริ่มเป็นทางเปลี่ยว
แทบจะไม่มีรถสวนมา นานๆถึงจะมีรถสวนทางมาสักคัน
อยู่ๆผมก็รู้สึก วูบ เหมือนจะหลับไปในช่วงสองสามวินาที
พอสะดุ้งตื่นมาได้ ก็รู้เลยว่า ไม่ไหวแล้ว ถ้าขืนฝืนต่อไป มีหวังได้เรื่องแน่
เลยทำให้ผม ต้องรีบมองหา ที่พักข้างทาง ที่พอจะจอดรถนอนได้
ของีบ สัก สิบ ยี่สิบ นาที ก็น่าจะพอ
ผมขับผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีไฟส่องถนน สองข้างทาง
ก็เริ่มมองหาที่เหมาะๆที่พอจะแวะพักได้
จนกระทั่งเลยหมู่บ้านมานิดหนึ่ง มีไหล่ทางที่ดูกว้างกว่าปกติ
ผมเลยเลี้ยวรถเข้าไปจอดข้างทางตรงนั้น
พอจอดรถได้ ผมหันไปมองด้านหลัง มีเสาไฟส่องถนน ห่างจากที่ผมจอดอยู่
ราวๆ ยี่สิบ สามสิบเมตรได้ เป็นต้นสุดท้ายพอดี
มองไปด้านข้างทาง เป็นป่าละเมาะไม่รกนัก ถัดไปจากนั้นก็เป็นทุ่งนา
ผมเอนเบาะลง เหยียดขายาวไปตามแนวเบาะ รู้สึกง่วงชะมัด
แต่ยังคงติดเครื่องไว้ เพราะต้องการเปิดแอร์ไปด้วย จะได้ไม่ร้อนจนอึดอัด
พอขยับเข้าที่ได้ก็ หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย
ไม่นานก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน มารู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียงคนมาเคาะกระจกข้างที่ผมนอนอยู่
ผมสะดุ้งตื่น มองไปทางหน้าต่างรถ เห็นผู้หญิงผมยาว ยืนก้มตัว ส่องมาในรถผม
ตอนนั้นผมมองไม่เห็นหน้าเขา เห็นแต่เป็นเงามืดๆ
ก็เลยลุกขึ้น เลื่อนกระจกรถลง มองดูผู้หญิงคนนั้น
อ้าวเขามากับเด็กคนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆกัน
ผมเลยถามไปว่า มีอะไรครับ
หญิงคนนั้นก็ตอบว่า ช่วยเราด้วยได้ไหม
พอดีพ่อไม่สบายหนักมาก ช่วยพาไปหาหมอหน่อย
ผมก็ งงๆ นะตอนนั้น
ก็พยายามจะมองหาว่าพ่อเขาอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่เจอ
เลยถามว่า แล้วคนป่วยอยู่ไหนครับ
หญิงคนนั้นก็ตอบว่า อยู่ที่บ้าน
พ่อไม่สบายมาก เลยเดินลุยป่าออกมา
เพื่อมาหาคนไปช่วย
ผมก็ถามว่า แล้วบ้านอยู่ไกลไหม อยู่ตรงไหน
เธอก็ตอบว่า อยู่ไม่ไกล เดินลัดทุ่งนาไปก็ถึง
แต่ว่ารถมันเข้าไปไม่ได้ เพราะพวกเราออกมาเฝ้านากัน
ผมก็เลยบอกว่า แล้วพ่อพอจะเดินไหวไหม
ผมรออยู่ที่รถ แล้วคุณไปพาพ่อมาได้ไหม
หญิงคนนั้นก็บอกว่า
พ่อไม่สบายหนักมาก ต้องมีคนช่วยประคอง ลำพังตัวฉันคนเดียว คงประคองพ่อไม่ไหว
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง
นี่มันก็ดึกมากแล้ว จะไปเดินในป่าแบบนั้นแล้วใครจะเฝ้ารถ
ผมก็เลยบอก เขาไปว่า ไม่ได้หรอกครับ ไม่มีใครเฝ้ารถ
ผู้หญิงคนนั้นก็เลย อ้อนวอนผมให้ช่วยเขาหน่อย ให้เขาทำอะไรก็ได้เขายอมหมด
ช่วงที่ผมกำลังตัดสินใจอยู่นั้น สายตาผมก็เริ่มปรับตัวได้ในความมืด
เริ่มมองเห็นหน้าตาหญิงสาวคนนั้น หน้าเธอขาวนวน ผมยาว ปากแดง
จมูกโด่งคม มองรวมๆแล้วอย่างกะสาวไทยในวรรณคดี ปานนางฟ้านางสวรรค์เลยทีเดียว
เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับผ้าถุง
แม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตเก่าๆบางๆ แต่ก็ไม่เป็นข้อด้อยเลย
เมื่อ มองเห็นหน้าตาใสๆของเธอ มันแผ่รัศมีความงามออกมาจนชวนหลงไหล
ช่วงที่กำลังมองหญิงสาวอยู่ ก็ได้ยินเสียง เด็กที่มาด้วย เคี้ยวอะไรในปากไม่รู้เสียงดัง
แจ๊บ แจ๊บ.. ตลอดเวลา
งั้น ให้เด็กเฝ้ารถผมไว้ได้ไหมครับ
ผมยื่นข้อเสนอขึ้น
เธอก้มตัวลงมาใกล้ๆผม ถามว่า อะไรนะคะ
ช่วงนั้น ได้กลิ่นหอมของดอกมะลิ ลอยออกมาจากผมเธอ
เล่นเอาซะผม เคลิ้มเลย มองไปอีกที ก็เห็นล่องอกเธอ
โผล่ออกมาจากตรงคอเสื้อเชิ้ตที่เธอลืมติดกระดุมด้านบนสองเม็ด
เหมือนผมตกอยู่ในภวัง จนเธอต้องถามย้ำอีก
อะไรนะคะ
ผมรีบดึงสติกลับมา แล้วก็บอกว่า ให้เด็กเฝ้ารถผมไว้ได้ไหม
เธอก็พูดว่า อ๋อ ได้ค่ะ
แล้วก็หันไปคุยกับ เด็กน้อยที่มาด้วย ว่า
"จุก เฝ้ารถให้คุณอาเขานะ เดี๋ยวพี่มา"
ผมมองไปที่เด็กคนที่มาด้วย เป็นเด็กอ้วนไว้ผมจุก ไม่ใส่เสื้อ นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี
เด็กคนนั้นก็หันไปคุยกับหญิงคนนั้นว่า
ให้จุกรอในรถได้ไหม จุกกลัวยุงกัด
หญิงคนนั้นก็หันมาถามผม ว่า ให้รอในรถได้ไหมคะ
ผมก็ชั่งใจอีก
อ้าว...เกิดเป็นพวกที่คบคิดกับโจรขโมยรถ พอเราไปแล้วเกิดมีคนมาขับรถเราไปเลยจะไม่แย่หรือ
ช่วงที่กำลังคิดอยู่
อยู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้น
ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไร ฉันยอมยกชีวิตให้เลย
พอได้ยินเธอพูดแบบนั้น ผมก็ใจอ่อนระทวย
ก็เลย พยักหน้า ตอบเธอไป
สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูรถด้านหลังผม
ช่วงที่ผมกำลังจะหันไปมอง เด็กคนนั้นขึ้นมาบนรถ
อยู่ๆก็ได้ยินเสียง เด็กร้อง โอ๊ย..
แล้วก็กระเด็นตกรถ ลงไปนอนกลิ้งกับพื้น
ผมก็ตกใจ อ้าว เป็นอะไร
หญิงคนนั้นก็ หัวเราะ แล้วก็พูดว่า ขามันสั้นอะค่ะ
แล้วก็หันไปพูดกับ เด็กคนนั้นว่า
รอให้อาเขาเรียกขึ้นรถก่อนซิ จุก
พรวดพราดไปแบบนั้น มันเสียมารยาทรู้ไหม
แล้วหญิงคนนั้นก็หันมาพูดกับผมว่า คุณอา ให้จุกขึ้นรถได้ไหมคะ
ผมก็ตอบว่า ได้ซิ มาขึ้นฝั่งข้างคนขับก็ได้ จะได้เข้าง่าย ไม่สูงเหมือนล้อหลัง
ว่าแล้วผมก็เปิดประตูอีกฝั่งให้จุก
จุกเดินอ้อมมา แล้วก็ขึ้นมานั่งอยู่ในรถข้างๆผม
ผมก็บอกว่า เฝ้ารถไว้ดีๆนะจุก เจอคนแปลกหน้ามา อย่าลงจากรถนะ
แล้วก็ล๊อกรถไว้อย่าให้ใครเข้ามา
จุกก็หันมาพยักหน้าให้ผม
ผมก็กลัวจุกมันจะร้อนก็เลยไม่ได้ดับเครื่อง
แล้วก็ลงจากรถ มายืนข้างๆหญิงคนนั้น
แล้วหญิงคนนั้นก็พาผมเดินเข้าไปในป่าข้างทาง
หลังจากเดินลัดเข้ามาในป่าได้ไม่นาน
เราก็มาเจอทุ่งนาเป็นลานโล่ง
ผู้หญิงคนนั้นเดินนำหน้าผมไปตามคันนา
ผมก็เดินตามไป ภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์ที่ยังไม่เต็มดวงดีนัก
เดินไปได้สักพัก
ก็ได้ยินเสียง แจ๊บ แจ๊บ เหมือนมีใครเคี้ยวอะไรในปาก ตามหลังผมมา
ผมตกใจนึกว่า จุกมันเดินตามเรามา อ้าวแล้วทำไมไม่เฝ้ารถ
รีบหันหลังกลับไปดู ปรากฏว่าไม่มีใครตามผมมา
พอหันกลับไปมองหญิงคนนั้นอีกที
ปรากฏว่าเธอเดินนำลิ่วไปไกล ราวกับลอยได้
ผมเลยร้องเรียกเธอ ว่า รอด้วย รอด้วย
เธอหยุดแล้วหันมามองผม
ตอนนั้นพอเห็นเธอยืนอยู่ไกลๆ
ผมก็ถึงกับขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เพราะหน้าขาวๆของเธอมันเด่นลอยอยู่ในความมืด ซะเหมือนเธอมีแค่หัว
ผมรีบเดินตามเธอไปจนใกล้ถึงตัวเธอ
แล้วเธอก็หันกลับไปเดินนำผมต่อ
ผมถามเธอไปว่า อีกไกลไหม
เธอชี้ไปทาง ป่า เห็นคล้ายๆต้นตาลขึ้นอยู่แถวนั้นเต็มไปหมด
เลยป่าตรงนั้นไปก็ถึงแล้วจ๊ะ
เธอตอบ
แต่น้ำเสียงเธอเย็นยะเยื่อกยังไงพิกล
เดินตามเธอไปอีกไม่นาน ก็ได้ยินเสียงหมาหอนดังขึ้น
ผมมองไปตามเสียงหมาหอน ถัดจากทุ่งนานี่ไป ลิบๆ
เหมือนจะเป็นหมู่บ้านที่ผมขับรถผ่านมา
มีหลังคาวัดสะท้อนแสงดวงจันทร์ให้สังเกตเห็น
อยู่ใกล้ๆ ติดกับทุ่งนา เสียงหมาหอนคงดังมาจากแถวนั้น
พอเดินตามเธอไปได้อีกสักพัก
ก็ได้ยินเหมือนมีเสียงใครลากไม้ใหญ่ไปตามพื้น
จนเกิดเสียงเหมือนคนกวาดใบไม้แห้ง
แล้วลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น
จนผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองเบาหวิว เหมือนลอยได้
แบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ตามเธอไปได้สักพัก ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเธอเดินเลย
นอกจากเสียงเหมือนคนลากอะไรไปตามพื้นหญ้าแห้ง
แล้วอยู่ๆผมก็ได้ยินเหมือนมีคนมากระซิบข้างๆหูผมว่า
อย่าไป อย่าเข้ามาตรงนี้ กลับไป
มันเป็นเสียงเล็กๆ ผมตกใจมาก หันไปมองด้านหลังอย่างเร็ว
แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากทุ่งนา
ผมเก้ๆกังๆมองไปมองมา ระหว่างผู้หญิงคนนั้น กับ ทางที่จะไปที่จอดรถผมที่อยู่ไกลพอสมควร
จนเธอหันกลับมาหาผม
เร็วเถอะคะ ใกล้จะถึงแล้ว
ผมรีบเดินตามเธอไปต่อ
เราเดินมาจนใกล้จะถึงดงต้นตาล บรรยากาศตรงนั้นก็เริ่มมืดลงกว่าตอนที่อยู่ตรงทุ่งนา
มันดูเป็นเงาตะคุ่มตะคุ่มแปลกๆ จนผมต้องเพ่งมองทางเดินที่เธอพาเดินไป
พอเริ่มเดินเข้าไปในดงต้นตาล ดูเหมือนเธอจะเร่งความเร็วในการเดินขึ้นเป็นพิเศษ
จนผมเริ่มรู้สึกเดินตามจนเหนื่อย
ระหว่างที่เดินตามเธออยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงประหลาดขึ้นมาอีก
กูบอกว่าอย่าเข้ามา
คราวนี้เป็นเสียทุ้มใหญ่กังวาน ของผู้ชาย ดังก้องอยู่ในหัวผม
จนผมสะดุ้ง รีบหยุดชะงัก แทบจะหงายหลัง
เธอ เธอ
ผมร้องเรียกผู้หญิงคนนั้น
ได้ยินไหม ใครพูดอะไร
ผมรีบถามเธอไป
หญิงคนนั้นหันมา รีบเดินเข้ามาหาผม
แล้วก็จับแขนผม ดึงให้ผมเดินตามเธอไป
มาเถอะคะ ใกล้จะถึงแล้ว
ผมก็บอกว่า เดี๋ยวกอน เดี๋ยวก่อน
แต่เธอก็เหมือนไม่ฟัง ดึงแขนผมจะให้ผมเดินต่อให้ได้
จนรู้สึกเหมือนว่า เธอออกแรงบีบมาที่แขนผมอย่างแรง จนผมรู้สึกเจ็บ
ผมก็เลยเริ่มรู้สึกว่า ทำไมเธอต้องให้เรารีบไปขนาดนั้น
ก็เลยบอกเธอไปว่า
เดี๋ยวก่อน ครับ ผมปวดฉี่น่ะ รอแป๊บหนึ่งได้ไหม
เธอหันมามองผมแล้วก็ปล่อยแขนผม
ผมก็เลยเดินถอยหลังไป หาพุ่มไม้แถวนั้น
แต่เธอก็ยืนมองผมอยู่ตลอดเวลา
ผมก็เลยพูดกับเธอว่า
อ้าวมายืนมองผมทำไม คนจะฉี่
เธอจึงหันกลับไปยืนรอผม
ระหว่างนั้น อยู่ๆผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
ที่เขาว่ากันว่า ก้มมองลอดหว่างขาตัวเองแล้วจะเห็น...
พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ค่อยๆย่อตัวลงนั่งยองๆ ช้าๆ
แล้วก็ค่อยๆยืนขึ้นช้าๆโดยที่หัวผมยังทิ่มลงไปเกือบๆถึงพื้นดิน
แล้วผมก็ค่อยๆลืมตามองลอดหว่างขาตัวเอง ไปที่เธอ
และภาพที่เห็นอยู่ต่อหน้า
ปรากฏว่า
และภาพที่เห็นอยู่ต่อหน้า
ปรากฏว่า
ร่างของหญิงสาวที่ผมเคยเห็นด้านหลังมีผมยาวปะบ่า
กลายเป็นหญิงมีผมยาวลากพื้น มือสองข้างใหญ่เท่าใบลาน
มีเล็บยาวใหญ่ดูน่ากลัว
มือสองข้างใหญ่จนยกไม่ได้ต้องวางลากไปกับพื้น
แขนสองข้างยาวลงมาที่พื้นจนเหมือนคนแขนยาว ขาสั้น
พอเห็นดังนั้น ผมก็แทบจะสติแตก ร้อง เชี้ย ออกมาโดยไม่รู้ตัว
แล้วร่างหญิงผมยาวนั้นก็หันกลับมามองที่ผม
คุณพระช่วย !
ร่างของหญิงคนนั้นกลายเป็นคนหน้าตาเหี่ยวย่น น่าเกลียดน่ากลัว
ตาลึกโบ๋ แก้มตอบ ปากเท่ารูเข็ม เหมือนคนทำปากจู๋ตลอดเวลา
ร่างกายไม่มีเสื้อผ้าใส่ นมยานลงมาจนถึงสะดือ
มันเดินมาแล้วก็ ตวัดมือที่มีกรงเล็บใหญ่มาทางผม
ตอนนั้นผมเกร็งไปหมดเลย พยายามจะฝืนตัวเองให้เงยหัวขึ้น
แต่ก็ทำไม่ได้
ได้แต่ร้องบอกตัวเอง เฮ้ย.. เร็วๆ ซิ
จนกรงเล็บมันจะมาถึงตัวผมอยู่แล้ว ผมก็เลยรวบรวมกำลังทั้งหมด
กระโดดไปข้างหน้า อย่างเร็ว
รู้สึกเหมือนกรงเล็บมันเฉียดก้นผมไปนิดเดียว
ผมล้มลงไปกับพื้น แล้วก็รีบลุก วิ่งย้อนกลับไปทางที่ผมเข้ามาในดงต้นตาล
ข้างหลังได้ยินแต่เสียง ตัวประหลาดนั้นลากมือไปกับพื้นหญ้าแห้ง ดัง แซดๆ แซกๆ ไปตลอดทาง
ผมมองหาทางที่จะวิ่งออกไปหาทุ่งนาที่เดินผ่านมา มองเห็นอยู่ไม่ไกล
เลยรีบวิ่งไปไม่คิดชีวิต
แต่พอใกล้จะถึงตรงที่สว่างๆจากแสงพระจันทร์
อยู่ๆก็มีลมพายุพัดมาอย่างแรง จนใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อนไปหมด
พอจะวิ่งต่อไปข้างหน้าก็ดันเจอต้นตาลขวางอยู่
ต้นตาลมันมายังไงวะ เมื่อกี้ยังไม่เห็นมีเลย
ว่าแล้วก็แหงนหน้ามองขึ้นไปตามลำต้น
โอ้โห ..
ไม่รู้จะบรรยายยังไง
ภาพที่เห็นคือ ปลายต้นตาลเป็นหัวประหลาด หน้าตาหน้ากลัว ตาโต จนแทบจะถล่นออกมาจากเบ้า
มันมีหลายตัวเลย มองลงมาที่ผม
ผมตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า จนแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
รีบหันไปมองรอบตัว หาทางออก
ก็เห็นหญิงผมยาวลากมือสองข้าง เดินเข้ามาใกล้ๆแล้ว
ผมทำอะไรไม่ถูกเลยครับ ไม่รู้จะไปทางไหนดี
แล้วอยู่ๆก็ได้ยินเสียงกระซิบ เป็นเสียงเล็กๆ
ว่า มาทางนี้
ผมมองไปทางซ้ายมือ เห็นเป็น เงาร่างเล็กๆ
มันวิ่งหลบไปหลบมา ตามต้นไม้ใหญ่
เร็วมากๆ
ผมเลยตัดสินใจวิ่งไปตามเงานั้น
วิ่งมาได้สักพัก รู้สึกเหมือนจะไม่มีอะไรตามผมมาแล้ว
ผมก็เลยหยุดวิ่ง แล้วพยายามมองหาทางออก
ได้ยินเสีงกระซิบอีกว่า ทางโน้น
ซึ่งตอนนั้นหน้าผมหันไปทางนั้นพอดี
ผมกัดฟันวิ่งต่อไปด้วยความเหนื่อยล้า รู้สึกเหมือนหมดพลังงาน
จน พอวิ่งไปได้สักพักก็มองเห็น ทุ่งนาที่ผมเดินผ่านมา อยู่ข้างหน้า
ตอนนั้นเองอยู่ๆผมก็ได้ยินเสียง เหมือนมีอะไรเลื้อยมากับพื้นหญ้าแห้ง
เสียงดังแซกๆๆๆ อยู่ไกลๆ จากข้างหลัง
ผมเลยหันไปมองดู
เห็นมือใหญ่ อ้ากรงเล็บ พุ่งมาตามพื้นหญ้าแห้ง
ผมได้แต่ ตะลึงทำอะไรไม่ถูก
จนมีเสียงกระซิบมาเตือนอีก
หนีไป อย่าให้มันจับได้
พอมีสติได้ ผมก็รีบกลับหลังหันวิ่งหนีอย่างสุดกำลัง
แต่เหมือนมันหมดแรงครับ ก้าวขาไปจนสุดแรง แต่เหมือนมันไม่ไปไหนเลย
แล้วกรงเล็บนั้นก็จับรวบเข้าที่ขาผมทั้งสองข้าง
จนผมล้มลงไป
ตอนนั้นรู้สึกตัวเบาหวิว ไม่มีแรงขัดขืนอะไรเลย
แล้วมือนั้นก็ดึงตัวผมย้อนกลับเข้าไปในดงตาลอีก
ช่วงที่ผมคิดอะไรไม่ออกอยู่นั้น
อยู่ๆเงาดำประหลาดที่วิ่งไปวิ่งมา เร็วๆ ก็เข้ามาฉุดผมไว้
พร้อมกับ พูดว่า
ถ้าคุณเข้าไปในนั้นแล้ว จะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
ผมตกใจทำไรไม่ถูก แล้วก็มองเห็นเงาดำแบบเดียวกันโผล่ขึ้นมาที่ละเงาสองเงา
มาฉุดผมไว้ไม่ให้ถูกมือประหลาดนั้นดึงไป
ยื้อไปยื้อมาอยู่พักหนึ่ง จนผมสังเกตุเห็นเงาดำประหลาดนั้น เริ่มเยอะขึ้น
พร้อมกับรอบๆตัวผมรู้สึกเย็นมาก มันหนาวแบบ บอกไม่ถูกครับ
แล้วอยู่ๆ เสียงไก่ขันก็ดังขึ้น
ผมรีบมองขึ้นไปดูท้องฟ้า มันเริ่มสว่างขึ้นมานิดๆ
มือประหลาดที่ดึงตัวผมอยู่ ค่อยๆ อ่อนแรงลง ไม่มีแรงดึงกระชากเหมือนตอนแรกแล้ว
แล้วมันก็ค่อยๆเลือนหายไป
ผมคุกเข่าก้มมองพื้นดิน รู้สึกได้เลยว่า มีเงาดำๆ เหมือนคนยืนรายล้อมผมอยู่
สักพักพอท้องฟ้ามีแสงทองส่องมาได้นิดหนึ่ง เงาดำเหล่านั้นก็เลือนหายไปในที่สุด
เช้าแล้ว แม้จะเริ่มมีแสงพระอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังดูขมุกขมัวอยู่
ผมเดินออกมาจากดงต้นตาลนั้น อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
เดินโซซัดโซเซไปที่รถตัวเองอย่างกะคนไม่มีขาเดิน
มันเหมือนคนเข่าอ่อนอะครับ เดี๋ยวก็วูบๆ วาบๆ เหมือนจะเป็นลม
เดินมาได้สักพักหนึ่ง ก็มาถึงรถผมที่จอดอยู่
รถยังสตาร์ทเครื่องอยู่
อ้าว ไอ้จุกมันล็อครถผมไว้แล้ว แล้วผมจะเปิดรถยังไงอะนี่
ว่าแล้วก็เลยเอาหน้าทาบมองเข้าไปในกระจกรถ ว่าไอ้จุกมันยังอยู่ไหม
แต่แล้วผมก็ ตกใจสุดขีด
เมื่อมองเห็นตัวผมเองนอนแน่นิ่งอยู่ในรถ
เฮ้ย.. !
ผมหันมามองมือ เท้าตัวเอง
พอแสงพระอาทิตย์เริ่มเข้มขึ้น มือเท้าของผมก็ดูจางๆ เหมือนจะเลือนหายไป
ผมมองร่างผมที่นอนในรถอีกครั้ง
นี่เราไม่ได้ฝันใช่ไหม
ผมรีบวิ่งทะลุกระจกเข้าไปในรถ
แต่แล้วก็เหมือนมีอะไรผลักจนผมกระเด็นออกมา
อ้าวเฮ้ย.. ทำยังไงหละ คราวนี้
ผมกระสับกระส่ายไปมา ทำอะไรไม่ถูก
จนแสงพระอาทิตย์เริ่มสว่างพอสมควรแล้ว
อยู่ๆก็มีลุงคนหนึ่งปั่นจักรยานผ่านมาพอดี
ผมก็เรียก ลุง ลุง
แกหันมามองผม ที่รถ
แล้วก็ทำหน้าเหมือนสงสัย
ผมก็รีบพูดว่า ลุงช่วยผมด้วย
ไม่ทันฟังอะไรแกก็ทำหน้าตกใจ แล้วก็รีบปั่นจักรยานหนีไปเลย
ผมเดินวนไปมารอบรถตัวเองได้แต่ดูร่างที่นอนอยู่ของตัวเอง
ผมไม่รู้ว่ายังหายใจอยู่ไหม แต่เหมือนไม่มีส่วนไหนขยับเลย
สักพัก ก็เห็นลุงคนนั้นปั่นจักรยานกลับมาอีก
ดูเก้ๆกังๆ เขามุ่งตรงมาที่รถผม
จอดจักรยานไว้ข้างๆ แล้วก็เดินเข้ามาดูที่กระจกฝั่งคนขับ
พอแกเห็นว่ามีคนนอนอยู่ แกก็เรียก
คุณ คุณ
แล้วแกก็ใช้มือตีไปที่กระจกหน้าต่าง
เรียกผมให้ตื่นอีก
คุณ คุณ
แต่ก็เงียบ
จนแกถอยหลังออกมาจากรถ
สงสัยจะตายแล้วมั้งนี่..
ว่าแล้วแกก็เอาหน้าไปส่องดูในรถอีก
ตอนนั้น ผมพยายามจะบอกลุงให้ไปตามคนมาช่วย
เลยพยายามรวบรวมพลังทั้งหมด
พูดออกไปดังๆ
ลุงไปตามคนมาช่วยผมด้วย
พอแกได้ยิน แกก็สะดุ้งสุดตัว ถอยหลังออกมาจนชนจักรยานตัวเองล้ม
เฮ้ย... เฮี้ยน นี่หว่า..
ลุงพูดเสร็จก็รีบลุกขึ้นจับจักรยานได้ก็รีบ ปั่นหนีไปทันที
หลังจากที่ลุงปั่นจักรยานหนีไป
ผมก็ยืนมองไปตามถนน แล้วก็เดินวนไปมาอยู่แถวรถ คิดว่าจะทำยังไงดี
จนสักพักใหญ่ๆ
ก็เห็นพระ ประมาณ สาม สี่ รูป เดินอุ้มบาตรผ่านมา มุ่งหน้าจะเข้าไปทางหมู่บ้าน
แต่อยู่ริมถนนอีกฝั่ง
พอเดินมาใกล้ๆจะถึงแถวๆรถผม พระก็พากันข้ามถนน เดินผ่านมาทางรถผมพอดี
พอผ่านมาแถวที่ผมยืนอยู่ ผมก็รีบวิ่งไปหาพระ
แล้วก็เรียกท่าน หลวงพี่ หลวงพี่
แต่ไม่มีรูปไหนหันมาคุยกับผมเลย ครับ
เหมือนไม่ได้ยินเสียงอะไร
แล้วท่านก็เดินผ่านไปจนหมด
ผมก็เลยกลับมาเฝ้าร่างผมต่อ
พอหันกลับมาดูถนนอีกที
ก็เห็น เณรน้อย กำลังข้ามถนนมาฝั่งผมอีกรูป
ดูท่าทางรีบร้อน กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ตามกลุ่มหลวงพี่มา
จนผ่านมาถึงตรงรถผมจอดอยู่
ผมก็เรียก เณร
แค่คำเดียว ครับ
เณร หันขวับ มามองทางผม เลย
แล้วก็หยุดเดิน เหมือนจะได้ยินเสียงผม
ผมรีบเรียก เณร อีก
เณร เณร ช่วยผมด้วย
เณร หันซ้าย หันขวา มองมาทางรถผม
แล้วก็เดินตรงมาทางผม
พอมาใกล้รถผม ก็ชะเง้อมองไปอีกฝั่ง แล้วก็พูดว่า
ใครเรียก เณร
ผมรีบพยายาม สื่อสารกับเณร
แต่ดูเหมือนว่า เณร จะไม่ได้ยินเสียงผมเลยครับ
พอเณรถามแล้ว เหมือนไม่มีเสียงตอบกลับ
เณรก็เดินมาดูหน้ารถ แถวๆคนขับ
แล้วก็ส่องกระจกเข้าไป
สักพัก ก็สะดุ้งหยง บาตรในมือหล่นตกพื้น
เณรลุกลี้ลุกลน รีบก้มลงเก็บบาตร
เหมือนตกใจอะไรบางอย่าง
พอเงยหน้าขึ้นมาได้ ก็รีบวิ่งไปตรงถนน
พร้อมกับร้องลั่นออกมา
หลวงพี่ หลวงพี่ รอ ด้วย
ผมเห็นสภาพแล้ว ได้แต่ตำหนิตัวเอง
จะบาปไหมนี่เรา
ผมมองไปทางพระอาทิตย์ เริ่มมีแสงแดดส่องมาแล้ว
เริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้น
ผมทำอะไรไม่ถูก เดินวนไปวนมาอยู่แถวๆรถ
สักพักหนึ่ง
มีรถคันหนึ่งวิ่งชะลอมาช้าๆแล้วจอดเลยรถผมไปเล็กน้อย
ผมมองไป มันเป็นรถกระบะมีหลังคาด้านหลัง
คล้ายๆพวกรถมูลนิธิ หรือพวกหน่วยกู้ภัย อะครับ
มีเหมือนสัญญาณไซเรน ติดอยู่บนหลังคา
แล้วมีคนเปิดประตูลงมาจากรถ สองคน
เดินตรงมาทางรถผม
แล้วก็มาส่องดูเข้าไปในรถผม
แล้วเขาก็เคาะกระจกรถผม เรียก คุณ คุณ
แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกับ
แล้วก็พยายามเรียกอยู่หลายครั้ง
เขาก็หันไปคุยกับเพื่อนเขา
น่าจะใช่นะ
อีกคนก็ถามกลับมาว่า เสียชีวิตหรือพี่
คนขับรถก็ตอบว่า นิ่งสนิทเลย
แล้วเขาก็หันมาที่รถผมอีก
คราวนี้ พยายามดันรถผมให้โยกไปมา ซ้ายขวา แรงๆ
สองคนช่วยกันผลัก จนร่างผมเหวี่ยงไปมาตามแรงเขย่าของรถ
คนขับก็พูดว่า เออ นิ่งเลย อย่างนี้ไม่น่าเหลือ
แล้วก็หันไปบอกคนที่มาด้วย ว่า
วอ ไปบอก ให้ ไอ้เล็กไปตามช่างสมที่อู่มาหน่อยซิ (ชื่อสมมุติครับ ผมจำชื่อไม่ได้)
เสียงคนที่รับคำสั่ง วอ คุยกับใครอยู่พักหนึ่ง
แล้วก็หันมาคุยกัน นั่งรอช่างสม มางัดรถให้
ผมกระวนกระวายใจมาก รีบพูดกับทั้งสองคนนั้น ว่า
โห ไม่ทันแล้วพี่ แสงแดดมาแล้ว พี่ช่วยทุบกระจกเลยได้ไหม
เร็วๆ หน่อย
ผมได้แต่ร้องตะโกนไปต่างๆนาๆ
แต่ดูเหมือนสองคนนั้นเขาจะไม่ได้ยินผมเลย
คงจิตแข็งมากๆครับ
ช่วงที่นั่งรอกันอยู่นั้น ก็ได้ยินสองคนนั้นเขาคุยกัน
ไม่รู้ว่าตายนานหรือยังนะพี่ ถ้าเณรไม่มาบอก คงจะเที่ยงๆ
อะถึงมีคนมาเจอ
พอผมได้ยิน ผมก็รีบขอบคุณเณร
โห ดีมากเลยเณร นึกว่าจะหายต๋อมไปเหมือนตาลุงนั้นเสียแล้ว
รออยู่สักพัก ก็เริ่มมีคนผ่านไปผ่านมาแถวนั้น มามุงดูกันแล้วครับ
ประมาณ สี่ ห้าคน มายืนจับกลุ่มดูแล้วก็คุยกันไปต่างๆนาๆ
สักพักตาลุงคนนั้นก็ปั่นจักรยานผ่านมาอีก
พอเห็นคนมุงดูกันอยู่ แกก็แวะเข้ามาคุย
แกก็เล่าให้คนที่มามุงดูฟังว่า
เมื่อเช้าแกปั่นจักรยานผ่านมา จะออกไปไร่
พอผ่านมาที่รถ ได้ยินคนเรียก ลุง ลุง แกก็เลยจอดดู
แต่ไม่เห็นคน แกก็เลยกลัว ก็เลยรีบปั่นไป
แต่พอไปได้สักพัก ไม่แน่ใจ นึกว่าตัวเอง หูแว่วหรือเปล่า
เลยปั่นกลับมาดูใหม่
แล้วก็เห็นคนนอนอยู่ในรถ ก็เลยคิดว่าน่าจะไม่มีอะไร เลยปั่นไปไร่ต่อ
พอผมได้ยินลุงคุยกับชาวบ้าน
ผมก็ พูดออกไปว่า
อ้าว แล้วลุงไม่เล่าหละว่า ลุงตกใจจนถอยหลังชนจักรยานล้ม
แล้วก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
เออ นี่เขาไม่ให้นอนในรถที่สตาร์ทเครื่องเปิดแอร์
เห็นตายมาหลายลายแล้ว แบบนี้
แต่ก็มีป้าคนหนึ่งสวนขึ้นมา
ตรงนี้อะ มันเอาไปหลายรายแล้ว ขนาดสิบล้อมาจอดนอน
ตื่นเช้ามายังตายเลย
คนหนึ่งก็พูดขึ้น
น่าจะยุบตรงที่จอดพักตรงนี้นะ คนมาตายบ่อยเกิน
โอ้ พอผมได้ฟังชาวบ้านพูด
ผมต้องทำใจเลยครับ
ไม่รอดแล้วเรา
เล่นเอาผมซึมไปเลย ตกลงผมจะกลายเป็นผีเร่ร่อนอยู่แถวนี้ใช่ไหม
แล้วอยู่ๆก็มีคนขับมอเตอร์ไซค์มาจอด ต่อท้ายรถผม
ชายที่มากับรถกู้ภัยสองคนเดินเข้าไปหาชายคนที่ขับมอไซค์มา
ชายคนที่ขับมอไซค์มาก็ถามว่า ตามรถพยาบาลมาหรือยัง
คนที่ขับรถกู้ภัยก็บอกว่า
ไม่ต้องตามแล้ว ไม่รอดแล้ว
แล้วชายวัยกลางคนที่ขับมอไซค์มาก็มาที่ฝั่งประตูคนขับ
แล้วก็เอาเครื่องมืองัดออกมาจากกระเป๋าที่แกสะพายมา
งัดอยู่สักพักครับ เกือบๆ สิบนาที
ประตูรถก็เปิดได้
พอเปิดประตูได้ ชายคนที่ขับรถกู้ภัยมาก็รีบเปิดเข้าไปดับเครื่อง
แล้ว สำรวจร่างผม
สักพักก็ดึงร่างผมออกมาจากรถ
ตอนนั้นคนก็มามุงดูกันใกล้ๆแล้ว
ผมเห็นร่างผมถูกดึงออกมาจากรถ
คอพับไปด้านหลัง แต่ช่วงล่างนี่แข็งแล้วครับ
พอชายคนนั้นลากร่างผมออกมาจากรถได้ ทั้งตัวแล้ว
ผมก็รีบวิ่งเข้าร่างตัวเอง
คุณพระช่วย
มันทะลุร่างผมไปเลยครับ มันเข้าร่างไม่ได้
ผมตกใจมาก ไม่นะ
เสียงชายคนที่อุ้มร่างผมลากออกมา
สั่งให้ชายอีกคนไปเอาผ้าห่อศพมาปูที่พื้น
ตอนนั้นผมก็ได้แต่ ร้องออกไป ผมยังไม่ตาย ผมยังไม่ตาย
ชายคนนั้นวางร่างผมลงไปกับผ้าห่อศพ
แล้วสองคนนั้นก็ช่วยกันมัดผ้าพันร่างผมไว้
ตอนนั้นเองผมนึกขึ้นมาได้ว่า
หรือว่าเราต้องหันหลังเข้าร่าง
นึกได้ผมก็รีบไปที่ปลายเท้าร่างผม
แล้วก็หันหลัง ให้ร่างผม
แล้วผมก็นอนทับลงไปในร่างผมทันที
วินาทีนั้น แสงสว่างวาบ เหมือนไฟฟ้าช๊อตเลยครับ
มองอะไรไม่เห็นเลย มันสว่างไปหมด
แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนร่างกายชามากๆ
แล้วจากแสงสว่างจ้าๆ ก็กลายมาเป็นแสงสีแดงๆ
ผมก็เลยลืมตาดู
ปรากฏว่า เห็นคนยืนมุงดูผมอยู่
แต่ไม่มีใครสนใจผมเลย ยืนคุยอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้
ผมพยายามจะพูด จะเปร่งเสียง
แต่ว่าพูดไม่ได้เลยครับ ลิ้นแข็งไปหมด
คือขากรรไกรมันเกร็งอะครับ ลิ้นก็แข็ง
แล้วตัวนี่ รู้สึกเลยชาไปทั้งตัว เหมือนคนเป็นแหน็บชา
ที่ขานี่ ชาแรงสุด เหมือนคนนั่งทับขาตัวเองนานๆ หนักๆ ขาหนักมากขยับไม่ได้
ผมลืมตาได้แต่ขยับตาไปมา มองซ้ายมองขวา
จนพี่ที่เป็นหน่วยกู้ภัยมองเห็นผม
เขาก็ร้องขึ้น เฮ้ย... !
มองจ้องมาที่ตาผม แกยืนชะงักตัวแข็งทำไรไม่ถูก
ผมก็เลยบอกแกว่า นวดผมหน่อย นวดให้หน่อย
แต่มันไม่เป็นคำพูดครับ เพราะลิ้นผมแข็ง
ชายคนนั้นกับเพื่อนรีบมาดูอาการผม
เรียกผม คุณ คุณ
อีกคนก็พูดว่า เขารู้สึกตัวแล้ว
แล้วก็พากันแก้ผ้าห่อ ออก
ผมก็ได้แต่พูดว่า นวด นวด
ชายคนนั้น เอามือมานวดตรงขากรรไกรผมแทน
แล้วก็นวดตรงขมับ
จนผมพอหายเกร็ง ก็รีบพูดออกมากับชายทั้งสอง
นวด ขา นวดแขนหน่อยครับ เลือดไม่ไปเลี้ยงแล้ว โอ๊ย..
ชายทั้งสองก็รีบมานวดแขน นวดขาให้ผมทันที
วินาทีที่โดนจับที่ขา รู้สึกปวดทรมานมากๆเลยครับ
มันชา แบบว่า อย่ามาโดนขานะ มันเจ็บมากๆ
ผมได้แต่ร้องโอ๊ยๆ ด้วยความเจ็บปวด
แต่ก็ฝืนให้เขานวดร่างผมไปสักพักครับ
มีชาวบ้านแถวนั้น เอาน้ำมาให้ผม บอกผมว่า
ล้างหน้า จะได้สดชื่น
พอผมท้าวแขนลุกขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอน เอาน้ำล้างหน้า
รู้สึกเลยครับ ว่าร่างกายผมกลับมาแล้ว
มันสดชื่นจริงๆ
สักพักใหญ่ๆ เขาก็ประคองผมพาผมไปนั่งตรงท้ายกระบะหลัง
ที่เปิดยื่นออกมา
ผมนั่งลงแล้วก็เอามือดึงผมตัวเองแรงๆ
แบบให้รู้สึกเจ็บๆ แล้วก็ปล่อย
ทำอยู่สองสามที
ค่อยยังชั่วหน่อย
มีหลายคนมาถามผมว่ามาจากไหน
ทำไมมาจอดรถนอนตรงนี้
ผมได้แต่มองคนเหล่านั้น แบบ งง ๆ
ไม่ได้ตอบอะไร
ฟังเขายืนคุยกันไปมา
แล้วชายคนที่ขับรถกู้ภัยก็พูดว่า
โห พี่โชคดีมากเลย หนึ่งในล้านนะ
ผมเอามือลูบหน้าตัวเอง แล้วก็พูดตอบไปว่า
ครับ
จบบริบูรณ์
เรื่องจากพันทิป วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735
Post a Comment