ครูผมยาวชุดดำ แสยะยิ้ม (ภาคต่อ บ้านพักครูหลังโรงเรียน)
"ครูผมยาวชุดดำ แสยะยิ้ม" ภาคต่อจากเรื่อง "บ้านพักครูหลังโรงเรียน" ที่กำลังหลอนอย่างเข้มข้นเชิญรับชมความหลอนอย่างต่อเนื่องกันเลย ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 นักเล่าเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หลังจากกลับบ้านต่างจังหวัดหลายวัน
พอกลับมาที่โรงเรียน ผมก็ยังไม่ได้เล่าเหตุการณ์หลอนๆที่ผมเจอให้เพื่อนฟัง
เพราะคิดว่าอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญอะไรซักอย่างก็ได้
และคิดว่าคงไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรแบบนั้นอีก
แต่แล้วไม่กี่วันให้หลัง ก็มีเรื่องหลอนๆเกิดขึ้นกับผมจนได้
ตอนนั้นเป็นช่วงเย็นหลังเลิกเรียน บรรยากาศสะโหลสะเหล
หลังจากที่ครูทุกคนเริ่มทยอยกลับกัน
ผมกับเพื่อนเดินลงมาจากห้องพักครูหลังสุด
ก็เจอภารโรงเดินขึ้นบันไดสวนมา
ก็คงมาล็อคห้องตามปกติ เหมือนทุกวัน
พอผมลงมาถึงข้างล่างก็เดินอ้อมไปเอารถจักรยานที่จอดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เพื่อนเอามอไซค์มาก็เลยขี่ออกไปก่อน
ผมก็กะว่าจะปั่นไปออกกำลังกายหน่อยสักพักค่อยกลับที่พัก
แต่พอปั่นผ่านอาคารที่ภารโรงขึ้นไป
มองไปไกลๆเห็นภารโรงล็อคกุญแจห้องเรียนชั้นสามเสร็จกำลังเดินลงมาชั้นสอง
พอปั่นรถผ่านไปใกล้ๆ มองขึ้นไปดูอีกที
ก็เห็นภารโรงกำลังล็อคห้องพักครูอยู่พอดี
แต่พอมองไปตรงประตูห้องเรียนที่อยู่ข้างๆห้องพักครู
ประตูเปิดอ้าอยู่ เห็นเป็นช่องประตูมืดๆ
อยู่ๆก็มีร่างผู้หญิงแต่งชุดดำค่อยๆเลือนเด่นชัดขึ้น
เหมือนกำลังเดินออกมาจากห้อง
ผมเอามือขยี้ตาดูใหม่อีกที
มองไปคราวนี้ เห็นเป็นผู้หญิงรูปร่างใหญ่ผมยาวหน้าขาวซีด
ยืนนิ่งอยู่ข้างในประตู
แล้วภารโรงก็เดินไปที่ประตูนั้น เอื่อมมือไปดึงประตูมาปิด
แล้วล็อคกุญแจราวกะว่าไม่เห็นใครยืนอยู่ตรงนั้นเลย
คุณพระช่วย
ผมขนหัวลุกซู่ขึ้นมาทันที
วิญญาณครูผู้หญิงคนนั้นเธอยังไม่ไปไหน
เธอยังออกจากห้องไม่ได้
คิดขึ้นมาได้ รอบตัวผมก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ขนแขนขนขาลุกไปทั้งตัว
เท่านั้นแหละผมรีบปั่นจักรยานกลับที่พักอย่างไว
พอไปถึงที่พัก ผมรีบขึ้นไปนั่งพักบนบ้าน
นั่งหอบด้วยความเหนื่อย
แต่แปลกที่เหงื่อผมไม่ออกเลย
พอเพื่อนเห็นก็ถามผมว่า ไปทำอะไรมาทำไมหน้าซีด
ผมรีบตอบกลบเกลือนเพื่อนไป
สงสัยปั่นจักรยานเร็วไปหน่อย
เพื่อนก็เลยหัวเราะ
พอเริ่มตั้งหลักได้ ภาพผู้หญิงผมยาวหน้าขาวซีด
ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องเรียน ยังคงติดตาผมอยู่
ก็เลยถามเพื่อนไปว่า
เอ็งมาอยู่ที่นี่ เอ็งเห็นอะไรแปลกๆบ้างไหม
เพื่อนหันมาทำหน้างงๆ
แปลกๆแบบไหนหละ
ผมก็เลยพูดว่า
ก็ทำนองที่ป้าแม่บ้านเล่าอะ
เพื่อนก็หัวเราะ แล้วก็บอกว่า
ไม่เห็นมีอะไรเลย ป้าแกคงฟังมาอีกที แล้วก็เอามาโม้ให้ฟังไปตามประสาแหละ
มันไม่มีจริงหรอก
แล้วเพื่อนก็ถามผมว่า ถามแบบนั้นทำไม
ผมก็เลยบอก ว่า เปล่า ถามดูเฉยๆ ไม่มีอะไร
หลังจากเข้านอน คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย
หลับได้สักพักก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
จนเกือบๆตีสอง ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ
ตอนนั้นในห้องมืดไปหมดเพราะไม่ได้เปิดไฟไว้
ผมลุกขึ้นจากเตียงเดินไปแถวๆหน้าห้องน้ำ
เปิดไฟหน้าห้องน้ำ แล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
ไม่ได้เปิดไฟห้องน้ำ
เลยแง้มประตูห้องน้ำไว้ให้แสงข้างนอกเข้ามาได้
พอทำธุระเสร็จ หันหน้าไปล้างมือที่อ่างล้างหน้า
พอมองกระจกห้องน้ำมุมมืดๆ
อยู่ๆที่กระจกก็เรืองแสงลางๆวาบขึ้น
กลายเป็นหน้าผู้หญิง ขอบตาดำโบ๋
ริมฝีปากหนาใหญ่ แสยะยิ้มที่มุมปากข้างหนึ่ง
เท่านั้นแหละผมก็ร้อง เี้ย.. ออกมาจนสุดเสียง
รีบกระโดดตัวลอยออกมาจากห้องน้ำ ราวกับมีวิชาตัวเบา
แล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่เตียงตัวเอง เอาผ้าคลุมโปง
รีบสวดแผ่เมตตา
สักพักก็รู้สึกมีมือมาจับที่ไหล่ผม
ผมก็ร้องลั่นขึ้นด้วยความกลัว
ร้องโวยวายอยู่สักพัก ก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดว่า กูเอง กูเอง
พอเปิดผ้าออกดู
ปรากฏว่าเป็นเพื่อนผม
เพื่อนมันก็ถามว่า เป็นอะไรของแกวะ
ผมก็พยายามตั้งสติ ..
รีบบอกให้เพื่อนเปิดไฟในห้อง
พอเพื่อนเปิดไฟในห้องได้
ผมก็บอกเพื่อนว่า เมื่อกี้โดนผีหลอกในห้องน้ำ
เพื่อนก็หัวเราะ
แล้วมันก็บอกว่าผม ง่วงนอนจนตาลายแล้ว เลยเห็นอะไรเป็นผีไปหมด
พอแยกย้ายกันไปนอนแล้ว
ผมก็มานอนคิดต่อ
ทำไมเราเจออยู่คนเดียววะ
แล้วก็เริ่มคิดถึงเหตุการณ์แรกที่เจอ วันนั้นเราไปทำอะไรมา
แล้วก็ทำให้ผมเริ่มสงสัย
หรืออาจจะเป็นเพราะจีวรพระที่เราเจอในห้องเก็บของหลังห้องสมุด
ใช่ตั้งแต่วันนั้นผมก็เจออะไรแปลกๆมาตลอดเลย
แต่ดูที่ผ้านั้นแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร เพราะไม่ใช่ผ้ายันต์อะไรสักหน่อย
หรือว่า มันอาจจะเป็นการทำสัญลักษณ์ไว้ว่า มีอะไรสำคัญเก็บไว้อยู่แถวๆตรงนั้น
แต่ตรงนั้นเราก็ดูทั่วแล้วก็ไม่น่าจะเก็บอะไรไว้ได้
นอกจากพวกสมุด หนังสือ
อ้า..
หรือว่ามันจะมีบันทึกสำคัญของใครสักคนที่เอาไปซ่อนไว้ตรงนั้นก็ได้
พอนึกได้ดังนั้น ผมก็กะว่าพรุ้งนี้จะไปถามป้าแม่บ้านดู
ว่าป้าเอาลังหนังสือที่ผมช่วยขนวันนั้น ไปไว้ไหน
คือนั้นกว่าจะข่มตาหลับได้ ก็เล่นเอาเกือบสว่างแล้ว
วันต่อมาช่วงสายๆผมเลยไปหาป้าแม่บ้าน
ถามเกี่ยวกับ
ลังกระดาษที่ผมช่วยป้าขนวันนั้น
ป้าเก็บเอาไว้ที่ตรงไหน
ป้า ก็สงสัย ถามผมกลับว่า ถามหาลังพวกนั้นทำไม
ผมก็เลยบอกว่า
ผมหาแหวนผมไม่เจอ มาหลายวันแล้ว
ก็เลยไม่แน่ใจว่า มันตกลงไปในลังพวกนั้น ตอนผม ขนหนังสือใส่ลงไปหรือเปล่า
พอป้าได้ฟังป้าก็เชื่อ
เลยพาผมไปหา ภารโรง
แล้วภารโรงก็ ตามป้ากับผมไปเปิดห้องประชุมให้
พอเปิดเสร็จภารโรงคนนั้นก็ไปทำงานต่อ บอกป้าว่า
ถ้าเสร็จธุระแล้วก็ แง้มประตูไว้ เดี่ยวตอนเย็น แกมาปิดเอง
พอผมกับป้าเข้าไปในหอประชุมได้ ป้าก็พาผมเดินไป ทางเวที
ตรงแถวๆนั้น มันมืดมาก แสงจากภายนอกส่องมาไม่ถึง
แล้วป้าก็ พาเดินขึ้นไปบนเวที พาเดินไปอีกฝั่งของเวที
ผมมองไปก็เจอลังกระดาษ วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
ก็เลยถามป้าว่า ทำไมเขาให้เอามาเก็บตรงนี้ป้า
ป้าก็บอกว่า ก็กลัวน้ำท่วม เลยขนมาไว้บนนี้
แล้วป้าก็ พาเดินไปยังมุมเล็กๆ แล้วบอกว่า
น่าจะอยู่แถวนี้แหละ
ผมก็เลยเอาโทรศัพท์มาทำเป็นไฟฉายส่องไปดูแถวลังที่วางซ้อนๆกันอยู่
พอกำลังจะเดินเข้าไปดูว่าเป็นใบไหน
อยู่ๆฟ้าก็ร้องครึนๆ มา แล้วก็เริ่มได้ยินเสียงฝนตก
กระทบหลังคาหอประชุม ทีละเม็ดสองเม็ด
พอได้ยินเสียงฝนตก
ป้าก็อุทานขึ้น
อุ้ย ป้าไปเก็บของที่ วางไว้ตรงลานข้างนอกก่อนนะ คุณครู หาไปก่อนแล้วกัน
พูดจบป้าแม่บ้านก็รีบวิ่งออกไปตรงประตูหอประชุมทันที
ทิ้งให้ผม ยืน เอ๋อ ด้วยความ งง อยู่คนเดียว
อะไรนี่ป้า...มาทิ้งกันเฉยเลย คนยิ่งหลอนๆอยู่
เสียงป้าวิ่งหายออกไป พร้อมๆกับเสียงฝนห่าใหญ่ ที่เทกระหน่ำลงมา ราวกะฟ้ารั่ว
ผมหันไปส่องไฟ สาดไปแถวๆลังที่กองอยู่ตรงด้านหน้าผม
เห็นมันวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ แล้วผมก็รีบเข้าไปก้มดูที่ลังพวกนั้นทันที
พอหาไปมาอยู่สักพัก ก็ยังไม่เจอ
แต่เริ่ม แยกออกได้แล้วว่า ลังใหม่จะมัดเชือกฟางใหม่ๆ ลังเก่า จะไม่มีเชือกฟาง
พอเพ่งดูแสงไฟกระทบกับลังนานๆ ผมก็ รู้สึกแสบๆ ตา ก็เลยลองปิดไฟดู
เท่านั้นแหละ
ความมืดก็ปกคุมบริเวณที่ผมยืนอยู่ขึ้นมาทันที มืดจนแทบมองไม่เห็นเท้าตัวเอง
ผมรีบกลับหลังหัน มองออกไปทางหน้าเวที
มองออกไปที่ลานโร่งในหอประชุม
เห็น กองไม้ เศษซากโต๊ะเก้าอี้ สุมๆอยู่
บรรยากาศสลัวๆ
แล้วผมก็เริ่มเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
อดจินตนาการไม่ได้ว่า มันจะมีอะไรโผล่มาในห้องตรงนั้นหรือเปล่านะ
พอเสียงฟ้า ร้องดัง เปรี้ยง
ผมก็สะดุ้งสุดตัว แทบหัวใจวายตาย
พอตั้งสติได้ ก็ค่อยๆหันกลับไปตรง มุมมืดๆนั้นอีก
เปิดไฟจากมือถือ ส่องหาลังหนังสือต่อ
ผมค่อยๆส่องไฟหาไปทีละกอง หาจากบนลงล่าง
แล้วก็ขยับเดินเข้าไปหาข้างในมุมตรงนั้นอีก
จนมาถึงกอง กองหนึ่ง มันวางซ้อนกันสี่ชั้น
แล้วมีกองข้างๆ มันวางเรียงกันแค่สองชั้น
ผมฉายไฟ ไปที่ตรงลังที่ซ้อนกันสองชั้นก่อน
เงาลังที่ซ้อนกันสี่ชั้น บังสองลังนั้นอยู่เสี้ยวหนึ่ง
ผมเลยค่อยๆ เดินฉายไฟเข้าไปช้าๆ
แล้วอยู่ๆ ช่วงเสี้ยววินาที
ผมก็เห็นมือ มือหนึ่ง มีแต่หนังหุ้มกระดูก วางอยู่
บนกล่องหนังสือ แล้วก็รีบดึงกลับหายเข้าไปในความมืด
ผมร้องลั่นสุดเสียง ด้วยความตกใจ
รีบฉายไฟ ส่องไปทางมือประหลาดที่ชักกลับไป
แต่กลับเจอแต่ผนังไม้เก่าของฉากด้านหลังเวที
ตัวผมสั่นเกร็งจนแทบจะก้าวขาไม่ออก
แล้วอยู่ๆ ตรงข้างบนลังที่ซ้อนกันอยู่สี่ชั้น
ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมา
พอหางตาผมเห็น ผมก็รีบหันไปมอง
ก็เห็นเป็นเหมือน หัวคนผมหยิกๆ
เห็นแค่ช่วงหน้าผาก ขาวๆ หลบวืบลงไปหลังกล่องพวกนั้น
ผมร้องเสียงหลงขึ้นมาอีก จนตัวเองเซ
ถอยหลังไปชนกับลังหนังสือที่อยู่ด้านหลัง
แล้วผมก็หงายหลัง นั่งทับลงไปที่ลังหนังสือ
แล้วลังที่วางซ้อนกันสี่ชั้นก็ล้มลงมาทางผม
จนผมต้องรีบ ขยับถอยหลังหลบ
ผมร้อง ลั่นแข่งกับเสียงฝนตกอยู่นาน
พอทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวแล้ว
ผมก็เริ่มตั้งสติได้ ค่อยๆยกโทรศัพท์ส่องไปรอบๆตัว
ไม่มีอะไร นอกจากผนังไม้หลังเวที กับ ลังกระดาษ
เสียงฝนค่อยๆ เบาลง ฝนเริ่มซาแล้ว
ผมมองไปตรงหว่างขาตัวเอง
มีกล่องใบหนึ่งล้มอยู่ ฝากล่องเปิดอ้า
หนังสือในนั้นหล่นออกมา
แล้วตรงหว่างขาผม ก็เจอ หนังสือที่มีผ้าจีวรพระ เล่มนั้นตกอยู่พอดี
เ ชี้..ย
ผมใจเต้นแรง ราวกับว่าไปวิ่งรอบสนามมา
แล้วรีบรุกขึ้น เอาหนังสือใส่ลังที่อยู่ต่อหน้า
รีบอุ้มลังใบนั้น วิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต
กระโดดลงจากเวทีทั้งๆที่อุ้มลังหนังสืออยู่
จนผม เซไปมาเกือบจะล้มอยู่หน้าเวที
พอทรงตัวได้ ก็วิ่งต่อไปที่ประตู จน ออกมาข้างนอกได้
อืม..ค่อยยังชั่วหน่อย เจอแสงแล้ว
แล้วผมก็รีบเอาลังใบนั้นไปที่บ้านพักทันที
พอมาถึงห้องพัก
ผมก็รีบ เอาหนังสือต่างๆ ที่อยู่ในลังใบนั้นออกมาดู
พอเปิดดู ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือ เก่าๆ ของห้องสมุด
นั่งหาดูอยู่ตั้งนาน
จนเหลืออีกไม่กี่เล่ม ก็จะหมดลังแล้ว
พอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดู
แล้วผมเห็นเล่มถัดไป มันเป็นเหมือนสมุดจดบันทึกอะไรสักอย่าง
ก็เลยรีบเอาขึ้นมาเปิดดู ก่อน
ปรากฏว่ามันเป็นบันทึก ของใครสักคน
แต่เขียน แบบว่า ใครยืมเงินไปบ้าง
มีรายชื่อ แล้วก็ตามด้วยจำนวนเงิน
ช่วงที่กำลังเปิดดูแบบ งงๆ
หนังสือเล่มก่อนหน้าที่ผม จะหยิบสมุดขึ้นมา
ผมวางไว้ ข้างบนกองหนังสือ
อยู่ๆมันก็ลื่นตกลงจากโต๊ะ
ผมเลยหยิบมันขึ้นมาดู
หน้าปกเขียนว่า สมุนไพรต้องห้าม
พอเปิดไปดูข้างใน เปิดแบบ กรีดหน้าไปเร็วๆ
ก็ไปเจอหน้า หน้าหนึ่งโดนฉีกขาด หายไป
ผมก็เลยพลิกดูไปมา จนมาดูตรงหลังเล่ม
ก็เจอ รายชื่อคนที่ยืมหนังสือ มีชื่อคนยืมหนังสือเล่มนี้พอสมควร
แต่พออ่านรายชื่อคนยืมล่าสุด ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
ครู สายหยุด
เฮ้ย...
แล้วพอเลื่อนดูย้อนหลังไป ก็ไปเจอชื่อ ครูสมรศรี อีก
เฮ้ย..
ครูสมรศรี แกเคยยืมหนังสือเล่มนี้ด้วย
พอเสียง ออด โรงเรียนดัง
มันก็เลยทำให้ผมต้องวางหนังสือเล่มนั้นไว้ก่อน
แล้วก็รีบไปสอนหนังสือต่อ
ก่อนจะรีบกลับมาค้นหาต่อว่าหนังสือเล่มนั้น
มันเกี่ยวข้องกับสมุดบันทึกยังไง
หลังโรงเรียนเลิก ผมก็รีบกลับมาที่ห้องทันที
รีบเข้าไปค้นลังกระดาษต่อว่าจะมีอะไรอีก
แล้วผมก็ไปเจอสมุดบันทึกอีกเล่ม
พอเปิดดู ก็เจอชื่อเจ้าของสมุดเขียนไว้ชัดเจนว่า สายหยุด
อ้าว.. บันทึกของครูสายหยุดหรือนี่
พอรีบเปิดดูข้างใน มันจะเป็นข้อความพรรณา
มากกว่าเล่าเรื่องอะไรที่พอจะอ่านได้เป็นเรื่องเป็นราว
บางทีก็มีเขียน กลอน วาดรูป หรือ เขียนหวย
บางทีก็มีเขียน บ่นเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย
แต่ก็มีหลายๆข้อความที่ บ่นเกี่ยวกับแฟน
อย่างข้อความที่เขียนว่า
"ทำไมต้อง ทำกันแบบนี้ มันหลายครั้งแล้วนะ ต่อไปฉันจะไม่ให้อภัยอีก"
พออ่านไปเรื่องๆ ก็พอเดาได้ว่า ครูสายหยุดแกมีแฟนอายุน้อยกว่า แล้วก็เจ้าชู้
แล้วก็มีบางข้อความเขียนด่าผู้หญิงที่เป็นกิ๊กกะแฟนครูว่า
"ฉันจะไม่ยอมให้เธอได้กับมันง่ายๆหรอก ฉันจะทำทุกอย่างที่จะเอาเธอคืน"
เปิดอ่านไปเรื่อยๆ ก็มีคำที่ผม แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
"จะลองกับน้ำมันพรายกูไหม"
เฮ้ย... ครูสายหยุดแกเล่นของด้วยหรือวะ
พอเปิดไปอีกหน้า ก็เจอคำว่า " ไอ้เดนนรกในคราบผ้าเหลือง "
อ้าวเฮ้ย.. เรื่องอะไรกัน
พออ่านไปเรื่อยๆก็เริ่มจับใจความได้ว่า
ครูสายหยุดโดนพระที่ครูแกไปขอน้ำมันพราย ข่มขืนเอาครับ
ผมรีบเปิดอ่านต่อ หาประโยคที่พอจะจับใจความได้
ก็เจอหน้าหนึ่งเขียนตัวใหญ่ว่า
"หยุดร้องไห้สักที ใครก็ได้ช่วยฉันให้หยุดร้องไห้ที"
ข้างล่างประโยคนั้นก็เป็นตัวหนังสือใหญ่ๆ เขียนว่า
"ฉันท้อง"
หา... ครูโดนข่มขืนจนท้องหรือ
ผมรีบเปิดดูหน้าถัดไป เป็นวาดรูป เขียนกลอน รีบเปิดดูต่อ ก็เป็นกลอนพรรณา อะไรไปตามประสา
รีบเปิดดูไวๆ จนไปเจออีกข้อความหนึ่ง ที่ทำให้ผมหยุดชะงัก
"มารยาทอะมีไหม ยืมหนังสือแล้วฉีกหน้าที่คนเขาจะอ่านไปทำไม"
อะไรวะนี่
แล้วพอเปิดต่อไปอีก ก็เจอข้อความว่า
ดีใจจังหาเจอแล้ว...
จากนั้นก็มีแต่คำว่า ปวดท้อง ปวดท้อง ปวดท้อง เต็มไปหมด แล้วก็กลายเป็นหน้าว่างๆ
จนผมเปิดไปเกือบๆจะหน้าสุดท้าย ก็ไปเจอกระดาษเหลืองๆพับอยู่
พอเอามาคลี่ดู
อ้าวนี่เป็นหน้าที่หายไปในหนังสือเล่มนั้นนี่
ผมรีบอ่านดู เนื้อหาจะประมาณ เป็นสมุนไพรที่กินแล้วมันจะบีบมดลูก
ทำให้สตรีมีครรภ์อาจจะแท้งลูกได้
เฮ้ย.. อย่าบอกนะว่าครูกินสมุมไพรอันนี้จนตกเลือดตาย เพราะครูอยากให้แท้งลูก
แล้วผมก็นั่งนึกถึงเรื่องที่ป้าแม่บ้านเล่า
ครูเขาไม่ได้ไปทำแท้ง แต่เขากินสมุนไพรต้องห้าม เลยต้องมาตายแบบนี้
โธ่ ครู..
พอผมเปิดดูสมุดเล่มนั้นจนไม่มีเนื้อหาอะไรแล้ว
ผมก็เลยหยิบสมุดเล่มที่ผมเจอก่อนหน้านี้มาดู
พอเปิดดูข้างใน เทียบลายมือกันแล้ว เหมือนไม่ใช่ของครูสายหยุดครับ
น่าจะเป็นคนละคนเขียน แต่ว่าไม่ได้เขียนชื่อไว้ว่าเป็นของใคร
ดูข้างในก็จะมีชื่อ แล้วก็จะมี จำนวนเงิน ของลูกหนี้แต่ละราย
บางรายชื่อก็มีรอยขีดฆ่า ผมก็รีบๆเปิดดูไปเร็วๆ ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต
จนกระทั่งเปิดไปเกือบๆจะหน้าสุดท้าย
ผมก็เห็นมีวงปากกาแดงไว้ที่ยอดเงิน จำนวนหนึ่ง
ดูที่ชื่อคนที่ถูกวงไว้ เขียนว่า นักการอ่ำ
แล้วผมก็เปิดหน้าต่อไปดูสองสามหน้า
ปรากฏว่ามีชื่อ นักการอ่ำอยู่เกือบทุกหน้า
ดูไปดูมา เหมือนกับว่า นักการอ่ำนี่ จะเป็นหนี้มากกว่าใครเพื่อนนะ
แล้วพอเปิดมาดูหน้าสุดท้าย ก็ทำให้ผมตกใจขึ้นมาอีก
ตรงชื่อนักการอ่ำ มีปากกาแดงวงไว้ แล้วก็มีข้อความเขียนว่า
อ้ายสัดนรก
อ้าว อะไรกันวะนี่
ชัก งงๆ
พอพลิกดูไปดูมาไม่มีอะไรแล้ว
ผมก็ก้มลงไปดูที่ลังใบนั้นต่อ
คราวนี้เจอแฟ้มพลาสติกใสๆบางๆ มีกระดาษ เป็นแผ่นๆอยู่ในนั้น
เลยหยิบมาดู
พอค่อยๆเอาออกมาดูทีละแผ่น
ก็เป็นเหมือนสำเนาวุฒิการศึกษา พออ่านชื่อ ก็ทำให้ผมตกใจขึ้นมา
สมรศรี
เฮ้ย ของครูสมรศรี
พอเอากระดาษออกมาดูอีกก็มีเป็นกระดาษทดกระดาษเขียนสั่งงาน
รู้สึกจะเป็นลายมือเดียวกันกับสมุดจดเล่มเมื่อกี้เลยนะ
ผมก็รีบๆดูผ่านๆ
เหมือนของพวกนี้จะเป็นสมบัติของครูสมรศรี
หรือว่า ถ้าให้เดานะ
ครูสายหยุดอาจจะไปเจอข้อมูลครูสมรศรีมาโดยบังเอิญก็ได้
เลยเอามาเก็บไว้ด้วยกัน
พอดึงกระดาษออกมาดูเรื่อยๆ
ก็มีรูปอยู่ในนั้นหลายใบ ผมค่อยๆเอามาดูทีละรูป
เป็นรูปถ่ายหมู่คณะครู บางรูปก็มีถ่ายสองคน
บางรูปก็ถ่ายคนเดียว
ผมดูไปดูมา แล้วก็เจอรูปของผู้ชายคนหนึ่ง
พอพลิกดูด้านหลัง แล้วก็ตกใจ
เพราะมันเป็นคำสาปแช่ง
"อ้ายสัดนรก อึงอย่าได้ทำอย่างนี้กับใครอีก
ขอให้กูเป็นร้ายสุดท้ายของอึง"
เฮ้ย...! นี่มันใครวะ
ผมอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เล่นกันแรงทั้งสองครูเลยนะนี่
แล้วผมก็เอากระดาษออกมาดูต่อ
รู้สึกใบนี้มันจะเป็น ใบเสร็จรับยา อะครับ
มีชื่อยา มีค่ารักษา
เอ.. เป็นยารักษาเกี่ยวกับอะไรนะ
.................................
วันต่อมาช่วงเย็นๆ ผมก็เลยเอาชื่อยาอันนั้นไปให้เภสัชที่ร้านขายยาดู
เภสัชบอกว่า เป็นยาเกี่ยวกับ รักษาอาการพวกโรคซึมเศร้าอะครับ
อืม..
งั้นก็แสดงว่า ครูสมรศรี อาจจะฆ่าตัวตายเพราะ เป็นโรคซึมเศร้าหรือ แต่อะไรนะที่ทำให้ครู
กลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ แล้วคนที่ครูเขียนสาปแช่งเขา เขาทำอะไรให้ครู
แล้วทำไมครูต้องอ่านหนังสือสมุนไพรต้องห้ามแล้วฉีกหน้านั้นไว้ด้วย
ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
อย่าบอกนะว่า
ครูโดนนักการอ่ำข่มขืนจนท้องแล้วก็ กินสมุนไพรนั่นทำแท้งเหมือนกัน
ผมได้แต่สันนิฐาน และก็พรึมพรำอยู่คนเดียว
ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิดจริง
ก็แสดงว่า ครูทั้งสองคน
มีสาเหตุการตายมาจาก การถูกข่มขืน เหมือนกันอะสิ
แล้ววิญญาณครูทั้งสอง เขาต้องการจะสื่ออะไรกับผมนะ
อยากให้ผมทำอะไรกันแน่ วิญญาณถึงจะเลิกตามหลอกหลอนผมเสียที
อีกวันต่อมา ผมก็บังเอิญได้ไปเจอป้าแม่บ้านพอดี
หลังจากคุยทักทายพอสมควร
ผมก็เลยเริ่มถามเข้าเรื่องว่า
ที่ป้าเล่าเรื่องครูสมรศรี กับครูสายหยุด ให้ฟัง มันเรื่องจริงไหมป้า
ป้าทำตาโตเล็กน้อย
อ้าว.. ก็เรื่องจริงสิ ป้าจะหลอกคุณครูทำไม
เรื่องการเสียชีวิตของครูสองคนเป็นเรื่องจริง
แต่ว่าเรื่องอื่นๆที่เล่ากันว่ามีคนเห็นวิญญาณครูทั้งสอง
อันนี้ป้าไม่รู้นะ เพราะก็ฟังคนเล่าต่อๆกันมาอีกทีหนึ่ง
ผมก็ถามต่อด้วยความสงสัย
แล้วป้าเคยเจออะไรแปลกๆ เหมือนกับเรื่องที่ป้าเล่าบ้างไหม
ป้าหัวเราะ
โห เหตุการณ์มันผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้ว
ป่านนี้ครูที่เสียชีวิตเขาคงไปผุดไปเกิดแล้วหละมั้ง
ผมก็เลยรีบถามป้าต่อ
งั้นป้าก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยที่ครูสมรศรียังมีชีวิตอยู่เลยหรือ
ป้าส่ายหน้า ตอบว่า เปล่าๆ
แล้ว ป้าก็เล่าให้ฟัง ประมาณว่า
ตอนนั้นป้าเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ แล้ววันหนึ่ง ผอ. ให้ไปเคลียร์บ้านพักครูหลังหนึ่ง
ก็ไปเจอข้าวของเครื่องใช้ของคนที่เขาเคยอยู่ล่าสุด เยอะแยะไปหมด
ป้าก็เลยถามแม่บ้านคนเก่าที่ไปด้วยกันว่า
ครูคนที่อยู่บ้านหลังนั้นเขาย้ายไปไหน
แล้วทำไมไม่เอาข้าวของเครี่องใช้ไปด้วย
แล้วแม่บ้านคนเก่าก็บอกว่า
ครูคนที่เคยอยู่บ้านหลังนั้นเขาเสียชีวิตไปเกือบจะปีหนึ่งแล้ว
ช่วงครูเสียชีวิตใหม่ๆ เคยมีคนแจ้งให้ญาติครูคนนั้นเข้ามาติดต่อขนของในบ้านพัก
แต่ไม่มีใครมาติดต่อเลย
ผอ. เห็นว่านานแล้ว ไม่มีใครมาติดต่ออะไร ก็เลยให้มาเคลียร์บ้าน
จะได้ให้คนอื่นอยู่ต่อ
แล้วพอถามว่าครูคนที่เสียชีวิตคือใคร
แม่บ้านคนเก่าก็บอกว่า ชื่อครูสายหยุด แกตกเลือดเสียชีวิต
พอพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็นึกถึง ขวดน้ำมันพรายของครูสายหยุดขึ้นมาทันที
จริงหรือป้า ป้าเคยไปเก็บของใช้ครูสายหยุดด้วยหรือ
ป้าก็ตอบว่า ใช่
แล้วผมก็รีบถามว่า
แล้วป้าเจอขวดอะไรเล็กๆ เหมือนขวดใส่หัวเชื้อน้ำหอมอะไรแบบนี้บ้างไหม
ป้าก็ทำหน้างงๆ
โอ๊ย. ป้าจำไม่ได้หรอก มันตั้งนานแล้ว
ป้าเจออะไรก็เก็บลงกล่องหมด ไม่ทันได้สังเกตหรอก
ผมอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
พยายามนึกว่าจะบอกป้าว่ายังไงดีเกี่ยวกับน้ำมันพรายของครูสายหยุด
แต่ก็นึกไม่ออก ก็เลยถามป้าไปว่า
อ๋อครับ แล้วของใช้ส่วนตัวพวกนั้น เอาไปไว้ไหนต่อครับ
ป้าก็บอกว่า
ส่วนที่เป็นกระดาษก็เอาไปเผาทำลาย
ส่วนที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าก็เอาไปเก็บไว้ รอการขายต่อ
พวกของเล็กๆน้อย น้ำหอม เครื่องสำอางก็เอาไปทิ้งหมด
ใครจะเก็บของคนตายไว้หละครู ครูก็ถามแปลกๆ
ผมก็เลย พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะถามว่า
อ๋อ แล้ว บ้านพักหลังไหนครับ ที่ครูสายหยุดเคยพัก
ป้าแม่บ้านทำท่านึกอยู่สักพัก แล้วก็พูดว่า
น่าจะหลังที่ครูสาวิตรี อยู่นะ...
เอ.. ไม่แน่ใจ
อ๋อ.. ใช่ จำได้แล้ว
ก็บ้านหลังที่ครูกับเพื่อนอยู่นั้นแหละ ครูสายหยุดแกเคยอยู่มาก่อน
พอได้ยินแบบนั้น ผมนี่ขนลุกขึ้นมาเลยครับ
นึกถึงหน้าผู้หญิงตาโบ๋ที่อยู่ในกระจกคืนนั้นขึ้นมาทันที
หา.. อะไรนะป้า
ป้าก็ ทำหน้าเหมือนค้อน หน่อยๆ
โหครู มันไม่มีอะไรหรอก ป่านนี้ครูสายหยุดเขาไปเกิดแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก
ผมก็เลย แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนไป
แล้วก็ถามป้าว่า
ป้าแล้วป้ารู้ประวัติโรงเรียนนี้บ้างไหม ก่อนหน้าที่จะมีครูเสียชีวิตแบบนั้น
มันมีประวัติอะไรหรืออาถรรพ์อะไรมาก่อนหรือเปล่า
ป้าเอามือลูปแขนตัวเอง
โอ๊ย ป้าไม่อยากเล่าหรอกเรื่องนั้น
เอางี้ถ้าครูอยากรู้ ครูโทรไปถามคนที่เขารู้จริงดีกว่า
แต่เดี่ยวป้าไปหาเบอร์โทรก่อน ไม่แน่ใจว่าจดไว้ไหน
สรุปแล้วเย็นวันนั้น ผมก็เลยได้เบอร์โทรคน คนหนึ่งมาจากป้าแม่บ้าน
ป้าบอกว่า ถ้าโทรไปแล้วก็บอกว่า ขอสายแม่ชีริน นะ
หลังเลิกงาน พอกลับถึงที่พัก
หาอะไรกินกันกับเพื่อนแล้ว ผมก็รีบจะไปอาบน้ำก่อนจะมืดค่ำ
แต่พอเปิดไฟในห้องน้ำ ปรากฏว่า หลอดไฟมันขาดครับ
พอออกมาบอกเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า ก็รีบๆอาบไปก่อนที่มันจะมืดค่ำ
ถ้าจะเข้าห้องน้ำทำธุระอะไรก็เปิดไฟหน้าห้องน้ำเอา ก็พอมองเห็นอยู่
เดี๋ยวพรุ้งนี้ ค่อยไปซื้อหลอดที่สหกรณ์ในโรงเรียนมาเปลี่ยน
พอได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นผมก็บอกว่า
ไม่ กูยังไม่ไว้ใจ ความมืดในห้องน้ำ
เพื่อนมันเหมือนจะเข้าใจ มันก็เลยบอกว่าเดี๋ยวไปซื้อหลอดไฟมาให้
ว่าแล้วมันก็ขี่มอไซด์ออกไป
รอสักพักใหญ่ เพื่อนกลับมา แล้วดูเหมือนรีบๆ
บอกผมว่า เอ็งเปลี่ยนหลอดเองคนเดียวได้ใช่ไหม
ผมก็ตอบว่าได้
แล้วเพื่อนก็บอกว่า พอดีเจอ ครูสาวิตรีระหว่างทาง
ครูเขาวานให้ขับรถพาไปทำธุระหน่อย
เดี๋ยวข้ามานะ
ว่าแล้วเพื่อนมันก็รีบออกไปเลย
พอได้หลอดไฟแล้วผมก็เลยไปเอาเก้าอี้ไม้ที่ใช้นั่งทำงาน ประจำ
เข้าไปในห้องน้ำ
จัดแจงวางตำแหน่งเหมาะๆ แล้วก็ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ เพื่อจะเปลี่ยนหลอดไฟ
แต่พอเอื้อมมือไปจะเปลี่ยนหลอด ปรากฏว่า เอื้อมมือไปไม่ถึงครับ
อีกนิดเดียว
ผมเลยรีบลงจากเก้าอี้ เดินไปหาอะไรที่จะมาต่อความสูงขึ้นไปอีก
หาอยู่พักหนึ่งก็ไปเจอ ที่นั่งพลาสติกเล็กๆที่ใช้นั่งซักผ้า
ผมก็เลยลองเอามาวางไว้บนเก้าอี้ แล้วก็ขึ้นไปยืนเหยียบมัน
อ้า.. ยังไม่ถึงอีก
แต่พอผมเขย่งเท้าขึ้นก็ทำให้ เอื้อมมือไปเปลี่ยนหลอดไฟถึงพอดี
พอถอดหลอดเก่าออกได้
ผมก็ลงมาเอาหลอดใหม่ที่วางอยู่ตรงแถวนั้น แล้วก็ปีนขึ้นไปใหม่อีก
เขย่งเท้า เอื้อมมือไปใส่หลอดใหม่ พยายามหมุนใส่อยู่สองสามที
มันก็ไม่เข้าขั้วสักที
จนเริ่มเขย่งเท้าเมื่อยแล้ว
พยายามใส่ใหม่อีก เขย่งเท้าขึ้นไปใหม่
คราวนี้ใส่ได้ครับ แต่พอจะถอยหลังลงมา
เหมือนผมเสียการทรงตัว แล้วก็ได้ยินเสียงเก้าอี้พลาสติกเล็กๆ
ขูดไถลไปกับเก้าอี้ไม้ จนผมตกใจ เหมือนจะล้ม
รีบตวัดแขนคว้าอากาศเอาไว้ อย่างเร็ว
แล้วที่นั่งพลาสติกมันก็พลิก ตัวผมก็จะหล่น
เลยตัดสินใจ กระโดดลงมาเลยครับ
ช่วงที่กระโดนลงมา แขนผมก็ไปฟาดเข้ากับกระจกในห้องน้ำ
เท้ากระแทกพื้นดัง ตึง
ตัวผมก็เซไปชนกับผนังห้องน้ำอีกที
พอถึงพื้นด้วยความปลอดภัย ก็ รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
โห.. ใจหายวาบเลย
ลองเปิดไฟดู ก็ใช้ได้ปกติแล้ว
เลยเก็บข้าวของต่างๆที่ขนมาไปไว้ที่เดิม
แล้วก็เข้ามาอาบน้ำ
พอจะอาบน้ำ มองไปที่กระจก เห็นกระจกมันคว่ำลงต่ำอยู่
ผมก็เลยสอดมือไปปรับกระจกให้มันได้ระดับ
แต่นึกยังไงไม่รู้เลยไปส่องดูด้านหลังกระจก
ปรากฏว่าเห็น ขวดอะไรเล็กๆวางอยู่ตรงขั้นไม้เล็กๆหลังกระจก
เลยหยิบมาดู
ขวดมันเล็กมาก เท่าๆนิ้วก้อยได้
เป็นขวดใสๆข้างในมีน้ำข้นๆสีเหลืองๆ
พอดูไปมาสักพัก ความรู้สึกบางอย่างก็แว๊บขึ้นมาในหัวเลยครับ
น้ำมันพราย!
หลังจากอาบน้ำเสร็จ
ผมก็มานั่งดูขวดน้ำมันพราย ตรงโต๊ะข้างๆเตียงนอน
ข้างหน้าผมมี เศษผ้าจีวรพระ มีสมุดบันทึก มีเอกสารของครูสมรศรี วางอยู่
ผมก็เลยเอาขวดน้ำมันพรายนั้นไปวางไว้รวมๆกัน
พอมองออกไปตรงนอกหน้าต่าง ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว
รู้สึกจะมีลมพัดยอดไม้พลิ้วไหวไปมา เหมือนฝนจะตก
นั่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ยังหัวค่ำอยู่ ก็เลยนึกถึงเบอร์โทรที่ป้าให้มา
ผมก็เลยโทรไปหา แม่ชีริน ตามที่ป้าบอก
ปรากฏว่า แม่ชีรับสาย จริงๆครับ
หลังจากแนะนำตัวว่าผมเป็นใคร และโทรไปหาแม่ชีทำไม
แม่ชีก็บอกว่า ท่านกำลังสวดมนต์อยู่ ให้โทรไปหาอีกทีตอนสองทุ่มครึ่ง
ผมก็เลยวางหูไป
นั่งทำงานอยู่พักใหญ่
จนรู้สึกว่า ทำไม เพื่อนไปทำธุระกับครูสาวิตรีนานจัง
พอถึงสองทุ่มครึ่งผมก็เลยโทรไปหา แม่ชีริน ตามที่นัดไว้
หลังจากที่ได้สนทนากับแม่ชีเรื่องประวัติโรงเรียนนี้
ก็ได้ใจความประมาณว่า
แม่ชีเล่าว่า
สมัยนั้นท่านเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้
ด้านหลังโรงเรียนจะมี คลองยาวไปตามแนวด้านหลังของโรงเรียน
ในอดีตคลองนี้ เป็นคลองที่ใช้คนงานขุด ไม่ได้ใช้เครื่องจักร
ดินที่ขุดขึ้นมา ก็เลยกายเป็นสันครู ที่เห็นอยู่ปัจจุบัน
พอนานวันเข้า คลองด้านหลังโรงเรียนตรงนั้น ก็กลายเป็น สนม
แล้วก็มีเด็กนักเรียน ชอบแอบไปวิ่งเล่น บนสนม กัน
ทั้งช่วงพักกลางวัน และช่วงหลังเลิกเรียน
ครูพยายามห้าม ถ้าเจอใครไปวิ่งเล่นบนสนมอีกจะทำโทษ
แต่ก็มีนักเรียนแอบไปวิ่งเล่นกัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มีเด็กนักเรียน ตก สนม จมน้ำเสียชีวิต
ก็เลยเป็นเรื่อง
ผอ. ก็เลย สั่งให้ รื้อ สนม ที่คลองด้านหลังนั้นออก
พอถึงวันที่รื้อสนม ก็ปรากฏว่า มีคนเสียชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งคน
หากันอยู่นาน ก็หาศพไม่เจอ เพราะว่าน้ำมันลึกมาก
ก็เลยให้ร่างทรงมาลองทำพิธี เรียกศพกลับมา
พอร่างทรงเข้าทรงได้ ก็สื่อออกมา ประมาณว่า
ให้ทางโรงเรียน จัดศาลเพียงตา แล้วก็มาทำพิธีขอขมาที่มาลบหลู่เจ้าที่
เจ้าที่บอกว่า จะเอาคนไปเป็นบริวารอีก 5 คน ในการที่ถูกลบหลู่ครั้งนี้ ถึงจะสาสม
แล้วยังบอกอีกว่า คนที่จะถูกเอาไปเป็นบริวาร จะต้องมีชื่อที่ขึ้นต้นด้วยสอเสือเท่านั้น
ร่างทรงก็เลยสื่อกับ เจ้าที่ว่า จะมาตั้งศาลให้แล้วก็จะมาขอขมา แล้วจะหาบริวารมาให้ตามที่ขอ
พอร่างทรงรับปาก อยู่ๆ ศพก็ลอยขึ้นมาจากน้ำราวปาฏิหาริย์
แล้ว ร่างทรง ก็มาบอก ผอ ว่า ให้เตรียมจัดตั้งศาลแล้วก็ทำพิธีขอขมา
วันที่ขอขมาให้ซื้อ หัวหมู มาห้าหัวแล้วก็ใช้สีแดงเขียนที่หัวหมูเป็นตัวอักษรสอเสือตัวใหญ่ๆด้วย
พอถึงวันที่จะตั้งศาลและทำพิธีขอขมา ปรากฏว่า ผอ. เหมือนไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้
ก็เลยทำแบบส่งๆไปอย่างนั้นแหละ ให้คนไปซื้อหัวหมูมาแค่ 2 หัว
พอทำพิธีเสร็จตั้งศาลขอขมาเสร็จ
พอเวลาผ่านพ้นไปหลายปี ทุกคนก็ลืมเหตุการณ์ด้านหลังโรงเรียนนั้นไปเลย
แม่ชีรินก็เล่าให้ผมฟังประมาณนี้แหละครับ
พอผมได้ฟังเรื่องราวที่แม่ชีเล่าให้ฟัง ก็นึกถึงครูทั้งสองขึ้นมา
ครูสองคนนั้นมีชื่อขึ้นต้นด้วยสอเสือเหมือนกัน
เฮ้ย.. หรือว่านี่มันเป็นอาถรรพ์
.
ถ้าอย่างนั้น ที่แม่ชีเล่า เจ้าที่ต้องการบริวาร 5 คน
แต่เอาหัวหมูไปถวายแค่ 2 หัว
งั้นก็เหลืออีก 3 คนสิ ถึงจะครบ 5
ผมนั่งนึกต่อ
ครูสมรศรี ครูสายหยุด ... งั้นก็แสดงว่า ต้องมีตายอีก1ราย ถึงจะครบ
แต่นี่เหตุการณ์มันก็ล่วงเลยมาตั้งหลายสิบปีแล้ว
ไม่เห็นมีครูเสียชีวิตอีกเลย
เอ.. มันยังไงนะ หรือว่าอาจจะแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ คงไม่ใช่อาถรรพ์อะไรหรอก
ถ้าบอกว่าจะเอาครูที่มีชื่อ สอเสือขึ้นก่อน
อย่างครูสมจิต แกก็อยู่มาตั้งนานแล้ว ทำไม ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น
หรือว่า..
ผมก็เลยลองไปค้นหาวันเดือนปีเกิดของครูสมรศรีและครูสายหยุดในเอกสาร
และในสมุดบันทึกพวกนั้น
พอค้นหาอยู่สักพัก ดูไปดูมา ก็ทำให้รู้ว่า ครูทั้งสองเกิดราศี สิงห์เหมือนกัน
แล้วอยู่ๆ ชื่อ ครูสาวิตรีก็แว๊บขึ้นมาในหัวผม
ผมรีบลุกขึ้นไปดูวันเกิดครูสาวิตรีที่เพื่อนมันจดไว้ใน ปฎิทิน ที่หัวเตียงมัน
แล้วผมก็อึ้งจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ครูสาวิตรี ก็ราศีสิงห์เหมือนกัน
เฮ้ย.. ไม่นะ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
งั้นที่รอมากว่าสามสิบปีนี่ รอคนที่มีชื่อสอเสือนำหน้าแล้วก็ต้องเป็นคนราศีสิงห์ อะ หรือ
ผมชักห่วงครูสาวิตรีขึ้นมาแล้วสิ
เสียงฟ้าร้องครืน ครืนมา พร้อมกับลมพัดแรง จนหน้าต่างปิดเองดัง ปัง
เล่นเอาผมสะดุ้งด้วยความตกใจ
รีบลุกไปปิดหน้าต่าง
มองดูนาฬิกา สามทุ่มกว่า ฝนจะตกแล้ว
ป่านนี้เพื่อนยังไม่กลับอีก เขาไปไหนกันนะ ดึกๆดื่นๆ
แล้วก็เลยลองโทรหาเพื่อน แต่เพื่อนไม่รับสาย
ลองโทรอยู่สองสามสาย ก็เหมือนเดิม
ผมก็เลยนอนเล่น รอเพื่อนกลับมา
สักพักก็เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น
ได้ยินเสียงลมพัด วือ วือ อยู่ด้านนอก
แล้วตามมาด้วยเสียงเล็กๆของผู้หญิง
กำลังร้องไห้ หือ หือ แว่วมา
ผมตกใจรีบลุกมานั่งบนเตียง นิ่งฟังให้แน่ใจ หูแว่วหรือเปล่า
พอไม่ได้ยินอะไร ก็เลย ทิ้งตัวลงนอนต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ขึ้นมาอีก
คราวนี้มันชัดเจนกว่าเดิม จนผมนี่ขนลุกซู่ไปตามแผ่นหลังเลยทีเดียว
ผมรีบลุกขึ้นมายืนกลางห้อง ร้องถามดังๆ
ใครวะ
แล้วก็มองไปรอบห้อง รู้สึกมัน วังเวงอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ
แล้วผมก็รีบโทรหาเพื่อน แต่ก็ไม่รับสาย
ลองโทรหาครูสาวิตรี ก็ไม่รับสายเหมือนกัน
บอกตามตรง ตอนนั้นมันหลอนมากจนผมอยู่ในห้องไม่ได้เลยครับ
ต้องรีบเปิดประตูออกมาจากบ้านพัก
มันอยู่ไม่ได้จริงๆ
ผมรีบปั่นจักรยานไปบ้านครูสาวิตรี ลมพัดแรงตลอดทาง
พอถึงบ้านครู พยายามร้องเรียกอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่มีใครตอบมา
ผมก็เลยปั่นต่อไป กะว่าจะลองไปดูแถวๆห้องกิจกรรมดู
พอปั่นผ่านมาถึงแถวๆตึกที่เป็นห้องพักครูที่ผมประจำอยู่
ก็เห็นไฟในห้องพักครูเปิดอยู่
อ้าว.. มาทำอะไรกันวะ มีงานอะไรกัน ดึกป่านนี้แล้วยังไม่กลับกันอีกหรือ
เลยรีบปั่นจักรยานเข้าไปดู
พอจอดรถจักรยานไว้หน้าตึก
ผมก็รีบเดินขึ้นไปที่ห้องพักครูทันที
แล้วพอเปิดประตูเข้าไป
ผมก็ตกใจ
เจอเพื่อนผมนั่งหันหลังก้มหน้าอยู่ตรงโต๊ะทำงานคนเดียว
อ้าวมันมานั่งหลับอะไรของมันอยู่ตรงนี้
ผมเลยเรียกชื่อเพื่อนไป
มันก็หันมา มองผม
สีหน้า ซีดๆ ตาลอยๆ
ผมก็ถามว่า มาทำอะไรที่นี่วะ
พอเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อน
คุณพระช่วย !
เอ็งไปทำอะไรมานี่ เลือดเต็มมือไปหมด
สภาพเพื่อนตอนนั้น ที่มือมีเลือดเต็มไปหมดเลยครับ
ที่ชายเสื้อก็มีเลือดเลอะไปหมด
พอเห็นแบบนั้น ผมก็เลยรีบถามเพื่อนทันที
แล้วครูสาวิตรีอยู่ไหน เอ็งทำอะไรครูหรือเปล่า
เพื่อนเอาแต่เหม่อลอย พูดไม่รู้เรื่องเลย
พูดแต่ว่า กูไม่รู้ กูไม่ได้ทำ
พอซักไซ้อยู่นานก็ไม่ได้เรื่อง ผมก็เลยโทรหาครูฝ่ายปกครอง
สักพักครูที่พักอยู่แถวนั้นก็มาถึงกัน
เกิดอะไรขึ้น ทุกคนพยายามถามผม
ผมก็ตอบไปเท่าที่รู้
พยายามถามเพื่อน มันก็พูดอะไรไม่ได้ศัพท์เลย
จนครูคนหนึ่งตัดสินใจโทรบอกตำรวจ
สักพักตำรวจก็มา
พอรู้ว่า เพื่อนหายไปกับครูสาวิตรี
ทุกคนก็ถามแต่ว่า ตอนนี้ครูสาวิตรีอยู่ไหน
เพื่อนก็ เอาแต่บอกว่าไม่รู้ ไม่รู้
ทางตำรวจก็เลยบอกว่าให้ช่วยกันลองตามหาครูสาวิตรีแถวๆบริเวณโรงเรียนดูก่อน
เดี๋ยวส่วนทางผู้ต้องหา รอให้เขามีสติกลับมาก่อนค่อยมาว่ากันอีกที
แล้วครูที่มาคืนนั้นกับเจ้าหน้าที่บางส่วนและผมก็ออกตามหาครูสาวิตรีกัน
หลังจากที่พากันหาครูสาวิตรีอยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่เจอตัว
เลยพากันกลับมาที่ห้องพักครู
พยายามค่อยๆคุยกับเพื่อนให้เพื่อนมีสติกลับมา
รู้สึกจะเริ่มคุยรู้เรื่องบ้างแล้ว
พอผมบอกว่าให้ลองนึกว่าไปไหนมาบ้าง
เพื่อนก็บอกว่า เขาจำทางได้ว่าไปไหน แต่เขาบอกไม่ได้ว่าที่นั่นคือที่ไหน
แล้วผมก็ถามว่า แล้วครูสาวิตรีอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
เพื่อนก็เงียบไป
จนตำรวจเขาบอกว่า งั้นพาไปหน่อยได้ไหม
เพื่อนก็ พยักหน้า
จากนั้นตำรวจก็นำตัวเพื่อนผมไปขึ้นรถ
มีครูบางคนก็ตามไปด้วย
ส่วนผมก็ไปนั่งรถมูลนิธิที่เขาตามมาตอนหลัง
เพราะแจ้งว่าอาจจะมีคนบาดเจ็บ
แล้วสักพักรถตำรวจก็ขับนำทางรถมูลนิธิไปตามทางที่เพื่อนผมบอก
รู้สึกไปได้สักประมาณสิบกว่าโลก็พาเลี้ยวเข้าถนนลูกรัง
แล้วก็ขับเข้าไปข้างในลึกพอสมควร สองข้างทางมีแต่ป่า
จนกระทั่งมาจอดอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง
แล้วเพื่อนก็เดินนำพาตำรวจเข้าไปด้านหลังวัด
มีกุฏิพระอยู่หลังหนึ่ง ออกแนวบ้านเรือนไทย โบราณ
พอขึ้นไปบนกุฏิ ผมเดินตามกลุ่มตำรวจอยู่ด้านหลัง
พอกลุ่มเพื่อนผมเข้าไป ก็ได้ยินเสียงเอะอะอะไรกันเกิดขึ้น
ผมก็เลยพยายามเข้าไปเบียดคนที่มุงดูอยู่ตรงหน้าประตู
เห็นแต่เพื่อนผมเอามือกุมหัว นั่งอยู่ที่พื้น มีตำรวจยืนล้อมหลายคน
แล้วก็เห็นเหมือนมีพระนอนอยู่ที่พื้น มีเลือดนองพื้น
เฮ้ย.. มันฆ่าพระหรือ
ตอนนั้นมีแต่เสียงเอ๊ะอะไปหมด ชุลมุนกันไปมามาก
เสียงร้องระงมไปหมดไม่รู้ใครเป็นใคร ได้ยินแต่เพื่อนผมมันร้อง
ผมไม่ได้ทำผมไม่ได้ทำ
มีน้องมูลนิธิเข้าไปดูร่างพระที่นอนจมกองเลือดอยู่
แล้วเขาก็บอกว่า ยังไม่ตาย ยังหายใจอยู่
แต่หายใจรวยรินมาก
พอตำรวจได้ยินแบบนั้น
เขาก็ชี้มือให้ทุกคนหลีกทางจากตรงประตู
แล้วก็เห็นหมือนยืนคุยอะไรกันอยู่สักพัก
สุดท้ายมูลนิธิก็มาขนย้ายพระรูปนั้นไปขึ้นรถแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
พอคนเริ่มน้อยลง
ผมก็ได้เข้าไปในกุฏิพระ
ตำรวจพยายามถามเพื่อนว่า ครูสาวิตรีอยู่ไหน
เพื่อนก็บอกแต่ว่าไม่รู้ ร้องโวยวายกันลั่น
ผมก็เลยเข้าไปบอกตำรวจว่า เดี๋ยวผมถามเพื่อนผมให้
แล้วก็ค่อยๆถามเพื่อนว่า เอ็งจำได้ไหมช่วงหัวค่ำ พอขับมอไซค์พาครูสาวิตรีมานี้แล้ว
แล้วยังไงต่อ
เพื่อนก็ค่อยๆสงบลง ทำท่านึก อยู่พักหนึ่ง
แล้วก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
พอมาส่งครูสาวิตรีที่วัดนี้แล้ว ก็ไปหาหลวงพ่อที่ศาลาใหญ่ แล้วพระก็ดูดวงให้ครูสาวิตรี
แล้วก็ทักครูสาวิตรีว่า ดวงไม่ดี จะต้องทำพิธีสวดครอบดวง
แล้วพระก็บอกให้ครูสาวิตรี ไปเก็บดอกไม้ มาทำขันห้า ครอบครูก่อน
พอครูเดินออกไปหลังศาลา สักพักพระก็บอกว่าเดี๋ยวมา ให้นั่งรออยู่ที่ศาลาก่อน
แล้วทั้งครูทั้งพระก็หายไปไหนไม่รู้
พอเห็นว่านานผิดสังเกต เพื่อนผมมันก็เลยเดินไปดู ด้านหลังศาลา
แล้วก็เดินไปเรื่อยๆจนมาเจอกุฏิพระ เลยเข้าไปแอบดูว่าครูทำอะไรกันอยู่
แล้วก็เห็นพระกำลังข่มขืนครู แล้ว..
แล้ว...
พอเล่ามาถึงตรงนี้
รู้สึกว่าเพื่อนผมมันจะเล่าต่อไม่ไหวแล้วครับ
มันก็บอกว่า มันจำอะไรไม่ได้ มันวูบไปเลย
พอเห็นว่าเริ่มไม่ได้เรื่องแล้ว ทางตำรวจเขาก็เลย แบ่งคนออกตามหาครูสาวิตรีกัน
โดยไม่ให้พวกครูไปตามด้วย เพราะว่า ป่าด้านหลังเป็นป่าช้า เดี๋ยวให้เจ้าหน้าที่ ไปตามสัปเหร่อ
แล้วก็เด็กวัดที่คุ้นเคยเส้นทางให้ออกไปตามหากัน
ส่วนเพื่อนผม ตำรวจสองนายก็คุมตัวเขาไปที่สถานีตำรวจก่อน
ช่วงที่นั่งคุยกันอยู่ในกุฏิ ผมมองข้าวของที่ตกเกลื่อนเต็มพื้น
มีทั้งธูปเทียน พระเครื่อง มีดลงคาถา พาน สายสิน ฝ้ายมัดข้อมือ ตกกระจายเต็มพื้นไปหมด
แล้วผมก็มองไปตรงแถวๆโต๊ะหมู่บูชา มันเหมือนมีห่ออะไรเล็กๆใส่อยู่ในพานหลายสิบห่อ
ผมก็เลยไปหยิบเอามาดู พอแกะห่อออกมาดู ห่อนั้นพันทับไปมาอยู่หลายชั้น
แล้วพอแกะออกมาจนเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน มันก็ทำให้ผมแทบช๊อค
นี่มันขวดน้ำมันพรายเหมือนของครูสายหยุดเลยนี่
แล้วพอหันไปดูผ้าห่อที่แกะออกมา มันก็เป็นเหมือนผ้าจีวรขาด ที่ผมเห็นในห้องสมุดเลยครับ
เฮ้ย.. อยากบอกนะว่า พระรูปนี้คือ พระที่ข่มขืนครูสายหยุด
ช่วงที่ผมกำลังอึ้งอยู่ ทำไรไม่ถูก ตาผมก็มองไปตรงผนังห้องหลังโต๊ะหมู่บูชา
เห็นรูปพระเกจิแขวนอยู่ตรงผนังเรียงรายหลายรูป แล้วมีอยู่รูปหนึ่งเป็นกรอบรูปใหญ่ๆ
เป็นพระหนุ่ม พอเพ่งมองไปแว๊บหนึ่ง เอ๊ะ ทำไมมันคุ้นๆหน้า ทั้งๆที่ผมไม่รู้จักว่าเป็น พระเกจิที่ไหน
ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ที่นั่งพักอยู่แถวนั้นว่า นี่เป็นรูปของใคร
เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า ก็พระอาจารย์ที่ถูกแทงไง เป็นรูปท่านสมัยหนุ่มๆ
ผมก็มองไปมองมา ทำไมมันคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
แต่พอนั่งนึกอยู่สักพัก รูปถ่ายที่ผมเจอในเอกสารของครูสมรศรีก็แว๊บขึ้นมาทันที
เฮ้ย... นักการอ่ำ
ผมขนลุกซู่ขึ้นมาเลย
นักการอ่ำแกมาบวชเป็นพระที่นี่หรือ
แล้วนี่ก็กำลังจะขมขืนครูสาวิตรีอีกคน
เฮ้ย.. อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้วะ
ผมได้แต่นั่งนึกอยู่ในใจแล้วพรึ่มพรำไปมา อยู่คนเดียว
สักพักก็ได้ยินเสียง เหมือนมีคนเดินกันมาหลายคน อยู่ด้านนอก
พอเดินออกไป ก็เจอเจ้าหน้าทีและกลุ่มที่ออกไปค้นหาครูสาวิตรี
กลับมากัน โดยมีครูสาวิตรีเดินมาด้วย
พอเห็นหน้าครู ผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมา “ครูไม่เป็นอะไร”
พอขึ้นมาบนกุฏิได้ เพื่อนครูและเจ้าหน้าที่บางคนก็เข้าไปสอบถามครูว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ก็ไปนั่งฟังอยู่ข้างๆ
พอครูรู้ว่าเพื่อนให้ปากคำว่า พระข่มขืนครู
ครูก็ให้การณ์ว่า พระไม่ได้ข่มขืนครูตามที่เพื่อนผมบอก
ครูบอกว่าพระอาจารย์อายุห้าสิบกว่าจะหกสิบแล้วจะเอาแรงที่ไหนมาข่มขืน
ครูสาวิตรีเล่าประมาณว่า
ตอนที่กำลังนั่งทำพิธีกันอยู่ อยู่ดีๆเพื่อนผมไม่รู้มาจากไหน ก็วิ่งขึ้นมาบนกุฏิแล้วก็เข้ามาชกต่อยกับพระอาจารย์
แล้วก็คว้าเอามีดแถวนั้นแท้งพระอาจารย์ต่อหน้าต่อตาตัวเอง แล้วแถมเพื่อนผมมันยังจะหันมาแทงครูอีก
จนครูต้องรีบวิ่งหนีเข้าป่า
พอผมฟังมาถึงตรงนี้
อ้าวแฮ้ย.. หนังคนละม้วนเลย
แล้วเจ้าหน้าที่ก็ถามครูต่อ
แล้วครูมาทำอะไรกับพระ กลางค่ำ กลางคืนแบบนี้
ครูก็บอกว่า
เคยมาหาท่านสองสามครั้งแล้ว มาดูดวง
แล้วครั้งนี้ นัดท่านไว้เป็นเดือนแล้ว ท่านบอกว่าช่วงนี้ดวงจะตก
มันเป็นวันแรง จะเกิดอาเพศ เกิดวิบัติ เกิดเหตุเพศภัยต่างๆนาๆ
ให้รีบมาทำพิธี จากหนักจะได้กลายเป็นเบา
แล้วครูคนหนี่งก็ถามขึ้นบ้าง
แล้วทำไมไม่ให้เพื่อนผมมานั่งรอตรงกุฏิด้วยกันหละ
ครูสาวิตรีก็บอกว่า ก็คิดว่าคงทำแป๊บเดียวไม่คิดว่าจะนาน
พอทุกคนถามจนหายสงสัยแล้ว
ผมก็เลยถามคนที่เป็นลูกวัดที่นั่งอยู่แถวนั้นว่า
พระอาจารย์รูปนี้ เดิมก่อนจะบวช ท่านชื่อ นักการอ่ำใช่ไหม
แล้วสัปเหร่อ ก็ตอบแทรกขึ้นาว่า
ไม่ใช่
นักการอ่ำอะ เป็นน้องพระอาจารย์ แต่ว่าได้เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว
พอได้ฟังผมนี่ เหวอเลยครับ
อ้าวหรือ
ทำไมหน้าตาคล้ายกันจังวะ
ช่วงระหว่างนั่งรถกลับ
ผมก็ได้คุยกับตำรวจนายหนึ่ง
ถามท่านไปว่า
แล้วเคยได้ยินชาวบ้านมาร้องเรียนว่า มาทำเสน่ห์ยาแฝดมาขอน้ำมันพรายแล้วถูกข่มขืนบ้างไหมครับ
ตำรวจก็บอกว่า ก็มีบ้าง แถวๆนี้ก็เห็นหลายสำนักทำน้ำมันพรายเรียนแบบกันเยอะแยะ
มีถูกจับบ้างก็มี แต่ที่ยังไม่ถูกจับ ก็มีเยอะ ตราบใดที่ยังมีคนแสวงหา ตราบนั้นมันก็ยังมีคนกลุ่มนี้คอยสนองเป็นช่องทางหากิน
สรุป ก็เป็นความเข้าใจผิดของผมไปเอง
ที่คิดว่าพระรูปนั้น คือนักการอ่ำ ที่แท้ก็คือพี่ชายของนักการอ่ำ
ส่วนขวดน้ำมันพรายที่เจอแล้วเหมือนกัน ก็อาจจะเป็นพระสำนักอื่นที่ทำเรียนแบบกันก็ได้ ที่ข่มขืนครูสายหยุด
เช้าวันต่อมา
ไปโรงเรียน ก็เจอครูหลายคนยืนจับกลุ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เพราะครูบางคนก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พูดกันไปต่างๆนาๆตามความเข้าใจของแต่ละคน
เห็นป้าแม่บ้านมายืนสอดส่องอยู่แถวๆกลุ่มครู
ผมก็เลยเดินเข้าไปคุยกับป้าแก
ถามป้าว่า รู้จักนักการอ่ำไหม
ป้าก็บอกว่า ไม่รู้จักหรอก แต่เคยได้ยินคนเล่าให้ฟัง
ผมก็เลยถามว่า นักการอ่ำเป็นอะไรตาย
ป้าก็เลยเล่าให้ฟังว่า
เห็นคนบอกว่า นักการอ่ำ แกจมน้ำตายตอนไปรื้อสนมหลังโรงเรียน
หา (ผมตกใจ เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวฟัง)
งั้นนักการอ่ำแกก็ตายก่อนครูสมรศรีอีกสิ
ป้าก็บอกว่า ใช่ หลังจากนั้น อีกสองปี ครูสมรศรีถึงเสีย
โห .. อะไรวะ..
อ้อ แล้วป้ารู้ไหมว่าทำไมพี่ชาย นักการอ่ำต้องไปบวชด้วย
ป้าก็เล่าต่ออีกว่า
ก็ตอนที่เจอศพนักการอ่ำอะ สภาพไม่เหมือนคนจมน้ำตายอะสิ
ปากนี้ก็คล้ำจนออกม่วง เล็บก็ม่วงไปหมด
เห็นเขาว่ากันอะนะ ว่า อาจจะโดนวางยา
พูดมาถึงตรงนี้ ผมนึกถึง หนังสือสมุนไพรต้องห้ามของครู สมรศรีขึ้นมาทันทีเลยครับ
ป้าก็เล่าต่อ
แต่คนทางบ้านเขาไม่ติดใจเอาความอะไร เพราะนักการอ่ำเป็นคนที่ก่อแต่ปัญหาสร้างความเดือนร้อนให้ครอบครัว
ทำชาวบ้านชาวข่องท้องไปทั่ว ผิดลูกผิดเมียคนอื่น
พอมาตายแบบนั้น พี่ชายขอแกก็เลย บวชให้ กะว่าจะบวชไม่นานหรอก แต่เอาไปเอามาก็บวชไม่สึกเลย
อ๋อเรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมนึกในใจ
ช่วงที่คุยกับป้าอยู่ อยู่ๆก็มีครูคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาหาผม
แล้วก็พูดว่า
ตำรวจโทรมาบอกว่า เพื่อนคุณเสียชีวิตแล้ว
หา! อะไรนะ
ผมตกใจมาก ช๊อคไปหมด ทำอะไรไม่ถูกเลย
พอถามรายละเอียดดูถึงรู้ว่า เพื่อนผมมันใช้เชื่อกรองเท้าผูกคอตัวเองตายในห้องขัง
ส่วนพระที่โดนเพื่อนผมแทง ไม่เสียชีวิตครับ หมอรักษาไว้ได้ทัน
หลังจากเพื่อนเสียชีวิต คืนแรก ผมก็ยังไม่ได้ไปฟังสวดอภิธรรมงานศพเพื่อน
เพราะติดสอนและบ้านเพื่อนก็อยู่ไกลด้วย เลยกะว่า จะไปวันเสาร์ที่จะถึงนี้
คืนนั้นผมรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เปิดไฟทิ้งไว้ทุกดวงในบ้าน
สักพักก็หลับไป กลางดึกมารู้สึกตัวอีกที ได้ยินเสียงประตูเปิดแล้วก็ปิด
แล้วก็ได้ยินเสียงคนทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ดัง ตึง
ช่วงนั้นผมงวงเงีย งวงเงียอยู่ ก็ไม่ได้ทันคิดอะไร ก็คิดว่า
เพื่อนกลับมาแล้วหรือ
ผมก็เลยพลิกตัวนอนตะแคงเข้าผนังห้อง
สักพัก พอนึกได้ว่า เพื่อนเสียชีวิตไปแล้ว
ผมก็สะดุ้งสุดตัว รีบหันหลังไปมองที่เตียงเพื่อนอย่างไว
เฮ้ย.. ไม่มีใคร บนเตียง
อ้าว แล้วเสียง เมื่อกี้เสียงอะไรวะ
แล้วผมก็รีบเอาผ้าคลุมโปงทันที
สักพักก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะอยู่ในห้องน้ำ
พอผมตั้งใจฟังดีๆ ก็มีเสียงผู้ชายหัวเราะแทรกขึ้นมาอีกเสียง
เฮ้ย.. ไม่ไหวแล้ว
คืนนั้นผมออกไปเช่าห้องพักนอนกลางดึกเลยครับ
แล้วผมก็คิดว่า กลับจากงานศพเพื่อนแล้ว ก็ต้องคงหาที่พักใหม่เลย
เพราะอยู่อีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นสุดการฝึกสอนแล้ว
วันเสาร์ผมไปฟังสวดอภิธรรมงานศพเพื่อน
นั่งฟังไป เหม่อลอยไป แล้วช่วงที่มองอะไรเรื่อยเปื่อย
ตาผมก็ไปหยุดอยู่ที่ ข้อความที่เขียนว่า ชาตะ มรณะ
เฮ้ย..
ข้าลืมเอ็งได้ไงวะ
เพื่อนผมชื่อขึ้นต้นด้วยสอเสือ ราศีสิงห์ เหมือนกัน
จบบริบูรณ์
จบแล้วอย่าพึ่งรีบลุกไปไหนนะครับ
มี During Credit ช่วงท้ายครับ
หลังจากผ่านพ้นงานศพเพื่อนไป
ผมกับญาติเพื่อนก็มาขนของใช้ส่วนตัวออกจากบ้านพักครูหลังนั้น
ทิ้งไว้แค่ลังกระดาษที่เก็บหนังสือและสมุดบันทึกพวกนั้น
ไว้ตรงใต้เตียงที่ผมเคยนอน
หลังจากได้ที่พักใหม่ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก
มันก็ทำให้ผมพอคลายความวิตกลงไปได้บ้าง
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่
คนที่ผมสงสัยและอยากคุยมากที่สุด ก็คือ ภารโรงของที่นี่ครับ
เพราะผมคิดว่า ลุงภารโรง น่าจะเจออะไรแปลกๆมากกว่าใครเพื่อนแน่
เนื่องจากมาโรงเรียนคนเดียวแต่เช้ามืด แถมยังกลับหลังสุดอีก
และลุงแก ก็เป็นคน คนเดียวที่ต้องล็อคกุญแจห้อง ทุกอาคารด้วย
และเย็นวันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับ ลุงภารโรงครับ
ตอนนั้นบังเอิญเดินผ่านไปทางห้องน้ำด้านหลังอาคารที่ผมอยู่
ก็เห็นลุงภารโรงนั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้แถวนั้น
ลุงแกกำลังตัดหญ้าอยู่อะครับ
ก็เลยเดินไปนั่ง นั่งยองๆ ข้างๆแก แล้วก็ถามว่า
ลุงผมของถามอะไรหน่อยได้ไหม
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เริ่มขึ้น
โดยผมพยายามถามถึงเรื่องเจอวิญญาณอะไรแปลกๆบ้างไหม
ลุงแกก็บอกว่า ก็ธรรมดา ทุกๆทีก็มีวิญญาณทั้งนั้น แต่ว่า
เขาก็อยู่ของเขา เราก็อยู่ของเรา ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีอะไรหรอก
แรกๆลุงก็พูดเหมือนว่า ไม่ค่อยมีอะไรหรอก คิดกันไปเอง
แต่พอผมเริ่มเล่าให้ลุงฟังว่า ผมเจอเก้าอี้เลื่อนเองได้ในห้องพักครู
แล้วก็เจอผู้หญิงชุดดำหน้าขาวซีดยืนอยู่หน้าประตูห้องชั้น2
แถมเพื่อนผมยังมาตายอีก
ลุงได้ฟัง แกก็เลยเริ่มพูดอะไรบางอย่างออกมา
แกบอกว่าแกเป็นภารโรงอยู่ที่นี่มาแต่เก่าก่อน
เห็นอะไรมานักต่อนักจนชินชาแล้ว
บางทีไปปิดห้องพักครูตอนเย็นมากๆ
ก็เจอเงาดำๆเป็นร่างคน ลอยไปลอยมาอยู่ในห้องพักครู
บางทีเดินไปล็อคห้องเรียนในอาคารเก่า
เดินไปบางห้อง กำลังปิดประตูจะล็อคห้อง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้
พอเปิดประตูเข้าไปดูอีกที ก็ไม่เห็นมีใครในห้องเลย
นึกว่ามาจากห้องข้างๆถัดไป พอเดินไปดูห้องข้างๆ ก็ไม่มีอีก
จะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆแบบนี้บ่อย บางทีก็เป็นเสียงหัวเราะ
บางทีก็เป็นเสียงพูดคุยกัน
พอหลายครั้งเข้าแกก็ทำเป็นเหมือนหูทวนลมไป ก็คิดเสียว่าหูแว่ว
ผมก็เลยถามลุงไปว่า แล้วลุงเคยเห็นผู้หญิงชุดดำมายืนอยู่หน้าประตูห้อง
เหมือนผมไหม
ลุงภารโรงก็บอกว่า ไม่เคยนะ
เคยเจอแต่มายืนอยู่ตรงหน้าต่าง
ตอนนั้นเย็นมากแล้ว ล็อคห้องหมดแล้ว เดินลงมา
จะไปอีกอาคารหนึ่ง พออ้อมไปด้านหลัง
มองขึ้นไปบนหน้าต่างบานหนึ่ง มันเปิดอ้าอยู่
อยู่ๆก็เห็นเป็นร่างผู้หญิงผมยาวหน้าเขียวคล้ำ
เดินมาชะโงกหน้ามองลงมาที่ลุง
อึ๋ย... แล้วลุงทำไงอะครับ
(ขนลุกเลยตอนนั้น)
ลุงก็บอกว่า มันแว๊บเดียว แล้วเขาก็หายไป
ก็พยายามไม่คิดอะไร เราก็อยู่ส่วนของเรา เขาก็อยู่ส่วนของเขา
แล้วลุงก็เล่าให้ฟังอีกว่า
มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักเรียนที่นี่เคยโดนผีเข้า
นั่งๆเรียนอยู่ก็ ชักกระตุก เกร็ง ชักดิ้นชักงอ
พอครูเข้าไปช่วยกัน
เด็กก็ลุกขึ้นมามองครูตาขวาง
แล้วก็พูดว่า ฆ่ากูทำไม
ก่อนจะร้องโหยหวน ว่า เอาชีวิตกูคืนมา เอาชีวิตกูคืนมา
อยู่อย่างนั้น เป็นชั่วโมง ชั่วโมงเลย
โห จริงหรือลุง แล้วเขาทำกันยังไงต่อ
ลุงก็บอกว่า
ลุงก็ไปยืนดู เพราะมีคนไปมุงดูเยอะ
ก็มีครูบางคนพยายามถามว่า เขาเป็นใคร
แต่เขาก็เอาแต่ร้องไห้ สุดท้าย ก็ออกไปเอง
แล้วลุงก็เล่าให้ฟังอีก ว่า
ที่เจอหนักสุดๆ ก็จะเจอในหอประชุม
ตอนนั้นหอประชุมถูกปิดตายแล้ว
ลุงก็เข้าไป หาไม้พวกขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ ที่พอใช้ได้ ถอดออกมาซ่อมตัวที่พังน้อยๆ
ช่วงที่กำลังตอกไม้ ทำโน้นนี่นั่นอยู่
สักพักก็รู้สึกว่า ข้างนอกทำไมมันเงียบจัง
จากที่เปิดประตูไว้ เสียงเด็กวิ่งเล่น คุยกันมันจะยังดังเข้ามาบ้าง
แต่ตอนนั้นเงียบผิดสังเกต ก็เลยหันไปมองทางประตู
แล้วก็บังเอิญดันมองไปตรงเวที
ก็ เจอผู้หญิงผมยาวนั่งมองมาที่ภารโรงตาเขม็ง
ลุงเล่าว่า ตอนนั้นเห็นแล้วตกใจเลย เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
ขนหัวลุกเลย
ผมก็ถามลุงต่อว่า อ้าวแล้วลุงทำไง
ลุงก็บอกว่า มันช่วงเสี้ยววินาที เขาก็หายไปเอง
ผมก็ถามว่าแล้วลุง ก็ทำงานต่อหรือ
ลุงก็บอกว่า บ้าแล้ว เจอแบบนั้นทำต่อก็บ้าแล้ว ก็รีบออกมาเลย รีบปิดประตูล็อคเลย
แล้วก็มีอีกครั้งหนึ่ง
ที่หอประชุมนี่แหละ
วันนั้นไปขนป้ายที่เก็บไว้ในหอประชุมกับเพื่อน
ป้ายมันจะกองๆอยู่แถวหน้าห้องน้ำ อีกฝั่งหนึ่ง
พอเดินเข้าประตูหอประชุมเข้าไปแล้ว
แล้วจะต้องเดินข้ามไปอีกฝากหนึ่งเลย ลึกๆอะ
เพื่อนพอมันแบกป้ายได้มันก็เดินนำหน้าไปไม่รอเลย
เหลือลุงอยู่คนเดียว ก็เลือกป้ายที่ยกออกไปอยู่พักหนึ่ง
พอยกแบกขึ้นมาได้ หันไปอีกที ก็ไม่เห็นเพื่อนอยู่ในหอประชุมแล้ว
พอเแบกป้ายเดินตามออกมา
รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม ได้ยินเสียงเท้าเดินตามก้นลุง เสียงฝีเท้าหนักๆ
ลุงก็หยุดฟัง เสียงก็เงียบ
ลุงเดินต่อ ก็ได้ยินเสียงเดินตามอีก
ลุงก็เลยหันไปมองทางหน้าห้องน้ำ
ลุงบอกว่า ตอนนั้นมันไม่มีอะไรก็จริงนะ
แต่บรรยากาศนี่มันชวนขนลุกมาก
แค่คิดกลัวขึ้นมานะ
อยู่ๆลุงก็รู้สึกว่ามีคนมาหายใจลดต้นคอลุงอะ
ลุงนี่รีบหันหน้าไปทางประตูทางออก เดินจ้ำอ้าวเลย
พอลุงเล่ามาถึงตรงนี้
ผมก็พอนึกบรรยากาศนั้นออกเลยครับ ตอนที่ผมไปเอาลังหนังสือคนเดียว
ผมก็เลยถามลุงไปว่า
แล้วทำไมเขาต้องปิดตายหละลุง มันมีอะไรหรือ
ลุงก็เล่าให้ฟังอีกว่า
จริงๆเขาจะรื้อหอประชุม หลายครั้งแล้ว
เพราะอาคารมันเก่าแล้ว อยากจะสร้างหอประชุมใหม่
แต่พอจะรื้อทีไร ผอ ที่สั่งรื้อก็มีอันเป็นไปทุกราย
ไม่โดนย้ายไปที่อื่น ก็เสียชีวิต
มันก็เลยถูกทิ้งไว้อยู่อย่างนั้น มานานแล้ว
ผมฟังแล้วก็แปลกๆ เลยถามลุงไปว่า
อ้าว.. เหมือนมีอะไรเลยนะลุง แล้ววิญญาณที่ลุงเจอในหอประชุมนั้นเขามาจากไหนครับ
ลุงก็เล่าว่า
ครั้งหนึ่ง
ที่หอประชุมเคยมีคนมาเช่าจัดงานแต่งงาน
แล้วปรากฏว่า เมียเก่าเจ้าบ่าวตามมาหาเรื่อง สุดท้ายใช้ปืนยิงตัวเองตาย บนเวทีเลย
โหลุง ลุงรู้ขนาดนั้นแล้วยังกล้าเข้าไปทำงานมืดๆคนเดียวอีกหรือ
ลุงก็บอกว่า
ก็เรื่องมันเกิดขึ้นนานแล้ว นึกว่าจะไม่มีอะไร
หลังจากที่มีผู้หญิงคนนั้นยิงตัวตาย ก่อนที่ ผอ จะสั่งปิดหอประชุมเพื่อจะรื้อออกทำอาคารใหม่
มีวันหนึ่ง
เด็กมันซน ก็พากันไปเล่นบนเวที แล้วด้านหลังเวทีมันจะมีห้อง ห้องหนึ่งโล่งๆ
เด็กมันก็เข้าไปเล่นกัน แล้วก็ชวนกันปีนไต่ขึ้นไปตามผนังห้องนั้น จนไปถึงฝ้า
ฝ้าเพดานของหอประชุม มันทำมาจากไม้ เป็นโถงยาวๆวิ่งจากด้านหน้าเวที
ไปถึงขอบอีกฝั่งของหอประชุมได้เลย
เด็กมันก็ปีนขึ้นไปเล่นกัน สาม ถึง สี่ คน
พากันเดินเล่นอยู่บนฝ้า
แล้วไม่รู้เล่นกันอีกท่าไหน มีเด็กคนหนึ่งวิ่งเลยจากหน้าเวทีมาไกล
เกือบๆถึงอีกฟากของอาคาร แล้วไม้ที่ทำเป็นฝ้ามันก็ทะลุ
เด็กก็ตกลงมา หัวฟาดพื้น กระโหลกแตกตาย
พอต่อมาสอบถามเพื่อนๆที่พากันไปวิ่งเล่นบนนั้น
เด็กก็บอกว่า เจอผู้หญิงผมยาว ยืนกวกมือเรียกอยู่บนนั้น
เพื่อนเด็กมันก็เลยวิ่งไป
โห.. เรื่องจริงหรือลุง
ลุงหันมามองหน้าผมแล้วก็เล่าต่อ
ตั้งแต่มีเด็กเสียชีวิต ผอ. ก็สั่งปิดหอประชุมตั้งแต่ตอนนั้นมา
พอฟังภารโรงเล่ามาถึงตรงนี้ ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง
บรรยากาศรอบข้างเริ่มเงียบ เพราะเด็กๆคงทยอยกลับบ้านเกือบหมดแล้ว
พอเริ่มนึกได้ว่ามันเริ่มเย็นมากแล้ว ก็เลยขอตัวกลับก่อน
จะได้ให้ลุงแกไปทำงานของแกต่อ
พอขอตัวกลับ
ลุงภารโรงก็เตือนผมว่า
ลุงเขาเห็นเงาดำๆเดินตามผมหลายครั้งแล้ว แต่ไม่กล้าบอก
ตอนเดินสวนกันวันที่ลงมาจากห้องพักครู
ก็เห็นเงาดำๆ ตามหลังผมมา
ลุงแกก็เลยบอกว่า
ยังไงก็ไปหาหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อช่วยรดน้ำมนต์ให้บ้างนะ
พอลุงพูดจบเท่านั้นหละ
หน้าต่างบานหนึ่งก็ปิดเอง เสียงดังปัง!
จนผมตกใจสะดุ้งหยงเลยครับ
รีบหันไปมองพร้อมกันกับลุง
มันเป็นหน้าต่างบานหนึ่ง อยู่ชั้น2
มันปิดเอง แต่ว่าบานอื่นเปิดแง้มๆหมด ไม่มีลมกระดิกเลย
พอเห็นแบบนั้น รู้สึก หน้าผมชาๆขึ้นมายังไงไม่รู้เลยครับ
เฮ้ย.. เด็กนักเรียนก็กลับบ้านกันเกือบจะหมดแล้ว
ยังจะมีใครอยู่บนตึกอีกหรือ
ได้แต่นึกในใจ
พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยรีบขอตัวลุงกลับบ้านก่อน
................................
หลังจากวันนั้น ที่ได้คุยกับลุงภารโรงแล้ว
ผมก็หาโอกาสแวะไปหาพระบ้าง
ผมไปหาพระรูปที่ถูกเพื่อนผมแทงครับ
กะว่าจะไปถามดูอาการท่านสักหน่อย แล้วก็จะถือโอกาสให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ด้วย
พอไปหาท่านที่กุฏิ สภาพท่านยังคงเจ็บแผลอยู่ เลยทำให้แม้แต่จะลุกนั่งก็ลำบาก
พอผมแนะนำไปว่า ผมเป็นเพื่อนกับคนที่แทงหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็ถามว่า มีธุระอะไรถึงได้มาหาท่าน
ผมก็เลยถามท่านถึงเรื่องราววันนั้นว่าเป็นยังไง
หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า
ตอนที่เจอครูสาวิตรี มาหาช่วงแรกๆ
หลวงพ่อก็เห็นครูสาวิตรีมีวิญญาณผู้หญิงตามมาด้วย
แต่ตอนนั้นดวงครูยังไม่เข้าจุดอับ วิญญาณก็เลยคงทำอะไรครูไม่ได้
คิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ไหนตามมาหรือเปล่า
ก็เลยบอกให้ครูพยายามมาทำพิธีกับหลวงพ่อ ก่อนที่ดวงจะตก
แต่วันที่ครูมากับเพื่อนผู้ชาย หลวงพ่อกลับเห็น วิญญาณผู้ชายโบราณรูปร่างสูงใหญ่ตามมาด้วย
พอทั้งสองคนเข้ามาในศาลาได้ หลวงพ่อมองออกไปนอกศาลาก็เห็น
วิญญาณดำทมึน เดินวนเวียนอยู่รอบศาลา เพราะเข้ามาในศาลาไม่ได้
และพอบอกให้ครูเตรียมตัวทำพิธีกับหลวงพ่อ
ช่วงที่ครูไปเก็บดอกไม้ หลวงพ่อเดินผ่านพอดี
ก็เลยบอกครูสาวิตรีว่า เก็บเสร็จแล้วให้ตามไปที่กุฏิ
โดยคิดว่าครูคงจะไปตามเพื่อนที่รออยู่ในศาลามาด้วย
แต่พอครูขึ้นมาบนกุฏิแล้ว ครูกลับมาคนเดียว
แล้วพอมองออกไปนอกกุฏิ
เจอวิญญาณร่างดำทมึนนั้นเดินรอบกุฏิไปมา เข้ามาไม่ได้
แล้วพอหลวงพ่อเริ่มทำพิธี ขับไล่วิญญาณร้ายนั้น
หลวงพ่อเชื่อว่าวิญญาณสูงใหญ่ตนนั้นคงโกรธ
ก็เลยไปดนจิตดนใจเพื่อนครูให้มาทำร้ายหลงพ่อกับครู
พอได้ฟังเรื่องราวจากหลวงพ่อจบ
หลวงพ่อก็แสดงความเสียใจต่อเพื่อนผมด้วย ที่คิดสั้น
หลวงพ่อไม่เคยคิดโกรธอะไรเพื่อนผมเลย เพราะเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนั้นท่านก็รดน้ำมนต์ให้ผม
ก่อนที่ผมจะขอตัวกลับ
หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่เคยเห็นวิญญาณอะไรในโรงเรียนนั้นอีกเลย
จนวันสุดท้ายของการฝึกสอนมาถึง
ช่วงเช้าผมเข้าไปห้องพักครู
พอเดินไปที่โต๊ะทำงานผม
ผมก็ตกใจแทบช๊อค
ลังที่อยู่ใต้เตียงที่อยู่บ้านพักครูหลังนั้น มาอยู่บนโต๊ะทำงานผมได้ไง
THE END
เรื่องจากพันทิป ครูผมยาวชุดดำ แสยะยิ้ม (ภาคต่อ บ้านพักครูหลังโรงเรียน)
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735
Post a Comment