อาจารย์คง
"อาจารย์คง" เรื่องราวภาคต่อจากเรื่อง"มีอะไรที่ชั้น27" ที่กำลังเข้มข้น เรื่องจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 นักเล่าเรื่องสยองแห่งพันทิป ผู้ฝากผลงานไว้มากมายหลายเรื่อง ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ผมมีเพื่อนรับราชการอยู่คนหนึ่ง นานๆจะติดต่อมาพูดคุยกันสักที
ปีสองปีมานี่ รู้สึกว่า เพื่อนจะดู มีฐานะดีขึ้น จนดูผิดหูผิดตาไปมาก
พอถามว่า ทำไมชีวิตดูดีขึ้น เพื่อนก็บอกว่า มันได้เลื่อนขั้น ติดๆกัน
สองขั้นซ้อน ในเวลาไม่ถึงปี ก็เลยพอยกระดับขึ้นมาได้หน่อย
ตอนนั้นผมก็สงสัยนะว่า มันไปได้ของดีอะไรมาหรือเปล่า
ก็พยายามถามเคล็ดลับเพื่อน แต่ดูเหมือนมันก็ กั๊กๆ ไม่อยากบอกเท่าไหร่
บอกแต่ว่า สงสัยดวงมันกำลังขึ้นมั้ง ทำอะไรก็เลยดีไปหมด
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ อยู่ๆวันหนึ่ง เพื่อนคนนี้ก็ติดต่อมาหาผม
คุยไปคุยมา แล้วมันก็ถามผมขึ้นว่า "แกเป็นคนกลัวผีไหม "
ผมก็ถามว่า มีเรื่องอะไร ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มาถามอะไรแบบนี้
เพื่อนก็เริ่มอารัมภบทขึ้นทันที "อยากให้แกไปเป็นเพื่อนทำพิธี ปลุกผี ด้วยหน่อย "
พอได้ยิน ผมก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง " หา อะไรนะ "
แล้วเพื่อนก็เริ่มเล่าเรื่อง ของมันให้ผมฟัง
ว่ามัน ได้รู้จักกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เก่งเกียวกับด้าน ทำเสน่ห์ มหานิยม
มันไป ลงสาริกาลิ้นทอง
ลง ณ หน้าทอง ไปอุดลายมือถุงเงินรั่ว ไปเจิมกระเป๋าเก็บเงิน ไปเสริม ยันเก้า ที่กลางกระหม่อม
กับ อาจารย์ท่านนี้มา ชีวิติมันเลยเปลี่ยนไปแบบนี้ไง
พอได้ฟัง ผมก็อึ้ง ไม่คิดเลยว่าเพื่อนมันจะไปเล่นอะไรแบบนี้มา มันก็เล่าต่ออีก ว่า
"พอไปหาบ่อยๆ ก็เริ่มสนิทกับอาจารย์ คุยกันได้แทบทุกเรื่อง"
แล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อนมันไปเจอ ผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที
น่ารักมาก แต่ไปจีบแล้ว เหมือนผู้หญิงไม่เล่นด้วย
เลยเอาไปปรึกษาอาจารย์ ว่าทำยังไงจะให้ผู้หญิงคนนั้นมารักมาหลงได้บ้าง
"อาจารย์ก็บอกว่า มีวิธี อยู่นะ แต่มันอาจจะเสี่ยงหน่อย และค่าครูก็อาจจะแพงด้วย "
เพื่อนเล่าว่า พอได้ยินอาจารย์มากระซิบค่าครูที่หู มันตาโตเลย
"สู้ครับ อาจารย์ ผมสู้นะ พอไหว พอไหว"
มันบอกว่ามันดีใจอยู่แป๊บหนึ่ง อาจารย์ก็พูดขึ้นมาอีก
"แต่ต้องรอหน่อยนะ ต้องหาศพผีตายโหงให้ได้ก่อน"
แล้วก็จะให้เพื่อนผมไปทำพิธี ปลุกผี ทำพิธีมหาเสน่ห์
พอได้ยินผมตกใจมากเลย เฮ้ย.."เล่นงี้เลยหรือ"
รีบถามเพื่อนไปว่า "ไม่กลัวหรือ เล่นกับผีกับสางแบบนั้น"
เพื่อนก็พูดในทำนองที่ว่า ไม่มีอะไรหรอก มันก็ลองมาหลายอย่างแล้ว ก็ไม่เห็นมีผีสางที่ไหนมากวนนะ
แล้วเพื่อนมันก็เซ้าซี้ ผม ให้ไปเป็นเพื่อนมันหน่อย เพราะมันชวนเพื่อนคนอื่นแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าไปกับมัน
ผมก็เลยคิดว่า อะขอไปดูกับตาหน่อยเถอะ ว่ามันเป็นยังไง สุดท้ายก็เลยรับปากมันไป
แต่ก็ผ่านไปเกือบเดือน เพื่อนก็ยังไม่นัดวันที่จะไปทำพิธีมาสักที
จนวันหนึ่ง มันก็โทรมาหาผม น้ำเสียงกระหืดกระหอบ ปนดีใจ
"เฮ้ย.. อาจารย์ บอกว่าได้ศพที่ต้องการแล้ว เอ็งพร้อมยัง"
เพื่อนก็เลย นัดวันเวลากัน ว่าจะไปวันไหน
พอถึงวันเดินทาง ผมกับเพื่อนขับรถพากันไปถึง แถวๆบ้านอาจารย์คนนั้นก็ประมาณ ห้าโมงเย็น
พอถึงหน้าบ้านอาจารย์ เห็นบ้านอาจารย์เป็นบ้านไม้สองชั้น เก่าๆ
เพื่อนเดินขึ้นไปบนบ้านอาจารย์สักพักใหญ่ๆ ก็พากันเดินลงบันไดมา
มองไปก็เห็น อาจารย์แก่ๆ ใส่ชุดขาวพร้อมของเต็มย่าม เดินมากับ ผู้ติดตามคนหนึ่ง
ยังเด็กๆอยู่ครับ แต่ว่า รู้สึกขาจะเป๋ข้างหนึ่ง เหมือนคนเป็นโปลิโอ
พอขึ้นรถกันหมดแล้ว อาจารย์ก็พาพวกเราขับรถไป อีกที่ที่หนึ่งครับ ใช้เวลาพอสมควร
ขับข้ามจังหวัดไปหลายจังหวัด แล้วก็เริ่มเข้าป่าไปเรื่อยๆ
สองข้างทางมืดสนิท เริ่มเป็นพื้นที่เปลี่ยวๆ แทบไม่มีแสงไฟจากบ้านคนอยู่เลย
ขับไปสักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงบ้านคนคนหนึ่ง ตอนนั้นราวๆ สามทุ่มกว่าแล้ว
ผมมองไปก็เห็นเป็นบ้านตั้งอยู่กลางป่าหลังเดียวเลย
ใต้ถุนบ้านยกสูง มีควายยืนอยู่ใต้ถุนบ้านหลายตัว
พอเพื่อนดับเครื่อง หรี่ไฟหน้าลง
อาจารย์ก็พูดขึ้น "ไอ้เป๋ ไปติดต่อซิ"
เด็กนั้นลงจากรถ เดินกระโผกกระเผกไปที่หน้าบ้านหลังนั้น ช้าๆ
มองดู เห็น มีคนเดินมายืนอยู่ตรงชานบ้าน รูปร่างผอมๆ ไม่ใส่เสื้อ
ยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง เด็กคนนั้นก็เดินมา บอกกับอาจารย์ว่า
จอดรถไว้นี่แหละเขาจะพาเราเดินไป
อาจารย์ลงมาจากรถ ผมหันไปดูบนบ้านอีกที ก็เห็น แต่ผู้ชายคนนั้นกำลังใส่เสื้อ แล้วก็ถือไฟฉาย
พอเดินมาหาพวกผม แล้วก็พูดกับอาจารย์ว่า
"อาจารย์ผมขอเบิกค่าแรงก่อนนะ เผื่อมันดึก"
พอได้ยินเพื่อนก็รีบ ควักเงินที่เตรียมไว้ ให้กับชายคนนั้นไป
ชายคนนั้นรับเงิน หายไปทางตัวบ้านสักพัก แล้วก็เดินออกมา พร้อมกับอุ้มไก่มาตัวหนึ่ง
แล้วเขาก็ นำเราเดินเข้าไปในป่า
ตอนแรกก็เดินไปตามคันนา สักพักก็เริ่มเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ
แต่ก็ไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นสูงเท่าไหร่ เดินมาได้สักพักใหญ่
เริ่มมีต้นไม้ใหญ่หนาตามากขึ้น บรรยากาศเริ่มวังเวง
เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็น บล็อกปูน ที่เขาใช้เก็บโรงศพ
เรียงรายอยู่เป็นระยะ บางอันก็แตก ข้างในกลวงๆ บางอันก็โบกปูนปิด เรียบร้อย
เดินไปอีกสักพัก เหมือนข้างหน้าจะมีแสงไฟ
มองไปดูดีๆ เหมือนจะเป็น ศาลาวัดครับ แต่ว่าอยู่ไกลๆ
ผู้ชายคนนั้นหันมา บอกว่า " อย่าส่งเสียงดัง "
แล้วพวกเราก็แทบจะเดินย่องๆเลยครับ ไม่นานก็พามาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง
เป็นบ้านไม้เก่าๆชั้นเดียว มองดูข้างนอกรวมๆแล้ว เหมือนบ้านมันเอนๆนะ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ยังไงชอบกล
ผู้ชายคนนั้น ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปช้าๆ แล้วพวกผมก็เดินตามเข้าไปข้างใน
เห็นผู้ชายคนนั้นฉายไฟไปมา รอบๆ
ผมมองตาม ดูเหมือนรอบๆมันจะมีอะไรนั่น เหมือนมี แคร่ มีอะไร เป็นไม้ สี่เหลี่ยม ๆ
แต่พอ เด็กที่ชื่อเป๋ จุดเทียนขึ้นมาเท่านั้นแหละ
โห... ขนแขนผมลุกซู่ขึ้นมา ทันที
มองไปรอบๆตัว มีโลงศพเก่าๆวางอยู่บนแคร่ไม้ รอบทิศเลยครับ
อาจารย์ถามผู้ชายที่นำเรามาว่า ศพไหน
ผู้ชายคนนั้นก็พาเดินไปหน้าโลงศพอันหนึ่ง ชี้ไปที่โลงนั้น
อาจารย์เดินไปดู แล้วคนที่พามา ก็เดินอุ้มไก่หายออกไปข้างนอกห้อง
อาจารย์หันมาบอกผมกับเพื่อน ช่วยกันเปิดฝาโลง
ตอนนั้นผมยืนมองหน้าเพื่อน ทำไมต้องกูด้วยวะ
มองไปที่เด็กเป๋คนนั้น ก็เห็นกำลังปูเสื่อ ตั้งของทำพิธีอยู่ ที่พื้น
ผมกับเพื่อน มองหาไม้มองหาของที่จะเอามางัดฝาโลง
รู้สึกเหมือนมันจะมีค้อนตีตะปูอยู่พอดี
เพื่อนก็เอามางัดตะปูไปตามขอบฝาโลง ที่ละมุม จนรอบ
ผมก็เอาเศษไม้ที่พอจะหาได้ งัดมุมที่เพื่อนมัน งัดตะปูอ้าไว้แล้ว
สักพักใหญ่ ฝาโลงก็ถูกงัดจนพร้อมจะเปิดได้แล้ว
ผมมองไปที่พื้นก็เห็น เสื่อปูอยู่ ข้างหน้ามีธูปมีเทียน มีดอกไม้ ดอกบัว
แล้วก็ของอะไรเล็กๆน้อยๆ วางๆปนกันอยู่ในถาด
ส่วนรอบๆเสื่อมีสายสิญจน์ล้อมไว้เป็นวงสี่เหลี่ยม
ผู้ชายคนที่นำเรามาเดินกลับเข้ามา พร้อมกับถือถ้วยใบใหญ่
ผมมองไปก็เห็นขอบถ้วยด้านบนมีเลือดเปรอะอยู่
พอเดินมาใกล้ๆก็เห็นในถ้วยนั้นมีเลือดเต็มถ้วยเลย "เฮ้ย.. เลือดไก่ตัวนั้นหรือ" ผมนึกในใจ
อาจารย์กับเด็กนั้นก็เดินมายืนอยู่หน้าโลง ข้างๆคนที่ถือถ้วยเลือดอยู่
แล้วก็บอกว่า เปิดโลงดูซิ
แล้วผมกับเพื่อนก็ เอื้อมมือสอดเข้าไปใต้ฝาโลง
พอกำลังจะยกฝาขึ้น
ผมก็รู้สึก เจ็บที่มือขึ้นมาทันที จนต้องรีบทิ้งฝาโลง ลง
สะบัดมือไปมาด้วยความเจ็บปวด
พอเอานิ้วมาดู เลือดผมก็ไหลออกมาที่นิ้วชี้ เยอะมาก จนมันหยดลงไปที่ฝาโลง
ผมรีบเอานิ้วมาดูดเลือดออกแล้วก็บ้วนทิ้งไปที่พื้น
เพื่อนถามว่า เป็นอะไร ผมก็บอกว่า จับโดนตะปู
แล้วผมก็เลยรีบ ถามคนชื่อเป๋ว่ามีน้ำไหม
คนชื่อเป๋ก็เดินเอาน้ำมาให้ ผมก็รีบเอามาล้างแผลทันที
เทน้ำล้างอยู่ตรงข้างๆแคร่ที่ตั้งโลง
พอล้างเสร็จผมก็ได้แต่กำนิ้วที่เลือดออกนั้นไว้
ยืนขึ้นก็เห็นแต่เพื่อนกำลังดึงฝาโลงเปิดออกช้าๆ
ยังไม่ทันตั้งตัวเลยครับ มองไป ในโลง ก็เห็นหน้าศพ อยู่ตรงหน้าผมพอดี
ผมจะหลับตาก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่อึ้ง
สภาพศพคือ เป็นหน้าผู้หญิงอ้วนๆขาวซีด ขอบตาดำโบ๋
หัวหยิกหยอง ที่จมูกมีสำลียัดอยู่
มองลงไปตามลำตัว นอนอยู่ในท่าพนมมือหงิกๆแบบมัดตราสังข์
ที่ท้อง ท้องใหญ่เหมือนคนตั้งครรภ์
เพื่อนก็ถามอาจารย์ขึ้นทันที ตายทั้งกลม หรืออาจารย์
อาจารย์ก็บอกว่า ดี แบบนี้แหละจะยิ่งขลัง
แล้วอาจารย์ก็บอกให้ทุกคนเข้าไปนั่งในวงสายสิญจน์
คนที่ถือถ้วยเลือด เอาถ้วยไปวางในถาด หน้าวงสายสิญจน์
แล้วอาจารย์ก็เข้ามานั่ง สวดคาถา เริ่มทำพิธี
พออาจารย์เริ่มสวด ก็เริ่มได้ยินเสียงใครมาเคาะผนัง อยู่ข้างนอก ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก
ดังสลับไปมารอบทิศ
ผมเริ่มมองไปรอบๆ เริ่มวังเวงขึ้นมา อย่างกับจะมีตัวอะไรโผล่เข้ามาข้างใน
ใจผมสั่นไปหมด เทียนในห้องก็พริ้วไหวไปมา
แล้วก็ดับลงที่ละเล่มสองเล่ม
ข้างนอกรอบๆเริ่มได้ยินเสียงลมพัดแรง ฟิว ฟิวไปมา
หน้าต่างที่ปิดอยู่ สั่นกึกๆ ราวกับมีคนจับมันเขย่า
แล้วในความเงียบ อยู่ๆอาจารย์ก็พูดขึ้นขณะหลับตาอยู่
"เอ็งชื่ออะไร" แล้วอาจารย์ก็พูดว่า อืม อืม
เหมือนได้ยืนใครพูดด้วย แต่พวกเราไม่ได้ยินอะไรเลย
นอกจากเสียงหน้าต่าง มันเขย่าๆ กึกๆ รอบทิศ
สักพักอาจารย์ก็ เอาหุ่นขี้ผึ้งไปตั้งไว้อยู่ตรงหน้าถ้วยเลือด
แล้วก็ท่องคาถา
สักพัก เสียงลมแรง เสียงเขย่าประตูก็เงียบไป
ทุกอย่างสงบลง จนเงียบหมด
แล้วอยู่ๆเพื่อนก็สกิดผมให้ดูอะไรบางอย่าง ในถาด
พอมองไป ผมก็ขนลุกขึ้นมาอีก
เลือดในถ้วยค่อยๆลดลง ลดลง อย่างลวดเร็ว
ราวกับมีใครเอาหลอดดูดมาดูดกิน เฮ้ย.. เป็นไปได้ไง ผมได้แต่นึกในใจ
แล้วสักพักอาจารย์ก็เอาหุ่นขี้ผึ้งตัวนั้นมาพันสายสิญจน์
แล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกวงสายสิญจน์
แล้วก็เรียกพวกเราให้มาที่หน้าโลง
อาจารย์เอาปลายสายสิญจน์ที่พันหุ่น ยื่นให้เพื่อน แล้วบอกว่า
เอาไปพันรอบหัวศพ
เพื่อนถือปลายสายสิญจน์นั้นไป ค่อยๆเอื้อมมือไปพันรอบๆหัวที่หยิกหยองช้าๆ
แล้วอาจารย์ก็บอกว่า เอาศพลุกนั่งขึ้นมา
เพื่อนก็ หันมามองหน้าผม อย่างตกใจ หา! ผมเองรีบหลบตาเพื่อน กูไม่เกี่ยว
เพื่อนเหมือนลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วมันก็สอดมือไปตรงไหล่สองข้างของศพ
ก่อนจะค่อยๆงัดขึ้นช้าๆ แต่เหมือน มันงัดไม่ขึ้นครับ หันมาบอก ผม "มันแข็งจังวะ"
ผมก็บอกว่าออกแรงหน่อยสิ
เพื่อนมันก็เหมือนออกแรงงัดจนเต็มแรง
ศพก็พุ่งพรวดลุกขึ้นมานั่ง
แล้วหัวศพก็เอนพับไปข้างหลัง จนหัวหล่นลงไปในโลงดัง ตุ๊บ
เฮ้ย.. ฉี่แทบราด เมื่อผมมองไปเห็นช่วงไหล่ ที่ไม่มีหัว ของศพตั้งอยู่ในท่านั่ง
เ ชี ย..
เอ็ง ออกแรง แรงไปไหม ทำศพหัวขาดเลย
เพื่อนมันก็หน้าเสียมากเลย หันมามองผม แบบลนลาน
แล้วอาจารย์ก็บอกว่า เอาหัวเขาขึ้นมาต่อเหมือนเดิม
เพื่อนค่อยๆ ยื่นมือลงไปในโลง หยิบหัวนั่นขึ้นมา
แล้วก็เอาไปตั้งไว้ตรงไหล่
อาจารย์ก็บอกว่า จับไว้แน่นๆ
แล้วก็เอาเทียนออกมาเล่มหนึ่งเป่าคาถาใส่ แล้วก็เอาเทียนเขียนลงไปกลางศรีษะศพที่เพื่อนจับอยู่
เขียนไปสามครั้ง พอครั้งที่สามเพื่อนก็ร้อง ขึ้นมา
อาจารย์ อาจารย์ เหมือนตรงปากเขาขยับๆได้ เหมือนกำลังกัดฟันอยู่
อาจารย์ก็บอกว่านิ่งๆไว้
เพื่อนหลับตาปี๋ เกร็งแขน เอาฝ่ามือจับหัวศพไว้แน่น
แล้วอาจารย์ ก็เอากริชขึ้นมา เป่าคาถาใส่ แล้วก็เอาเทียนไปจ่อดูตรงคางศพ
แล้วก็เอากริช กรีดไปตรงคาง ยาวสักสองสามเซ็นต์ แล้วก็เริ่มท่องคาถา
สักพักเพื่อนก็บอกว่า รู้สึกเหมือน มีเส้นเอ็นตัวศพ ดึงศรีษะให้ยึดเข้าที่แล้ว
พูดจบ ผมมองไป ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาอีก
ศพค่อยๆ อ้าปากออกมาช้าๆ
แล้วตรงรอยกรีดที่คาง ก็เริ่มมีน้ำอะไรไหล่ออกมา พร้อมกัน
อาจารย์รีบหยิบผลลูกจันทร์ออกมา เอากริชตัดขั้วข้างบนออก
แล้วก็คว้านให้เป็นรูเล็กๆด้วยปลายกริช
ก่อนจะเอาลูกจันทร์นั้นไปรองน้ำที่ไหลออกมาจากคางศพ
พอได้แล้วสักพัก อาจารย์ก็เอาขวดแก้วเล็กๆขึ้นมา
เอาน้ำที่อยู่ในผลจันทร์เทใส่ขวด
แล้วก็ยื่นผลจันทร์ ให้เพื่อน บอกให้เพื่อนกินให้หมด
เฮ้ย.. ผมตกใจแทนมัน พึ่งรองน้ำจากศพนี่นะ
อาจารย์เห็นมันลังเลอยู่สักพัก ก็พูดว่า ถ้าไม่กิน น้ำมันพรายในขวดนี้ คนสั่งจะเอาไปใช้ไม่ได้
พอได้ฟัง เพื่อนมันก็ทำสีหน้าเจื่อนๆ แล้วก็ฝืนกินลูกจันทร์นั้นไปจนหมด เหลือแต่เปลือก
อาจารย์ถามว่า เป็นยังไง รสชาติ เพื่อนก็บอกว่า ฝาดๆ หวานๆนิดๆ แต่หอม
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว พากันปิดฝาโรงอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินกลับมาที่รถ
ระหว่างทาง ไม่มีใครพูดอะไร ใจผม ตุ๋มๆต่อมๆมาตลอดทาง หวังว่าจะไม่เจออะไร ไม่ดีนะ
หลังจากเพื่อนเอาน้ำมันพรายไปใช้แล้ว
ก็รู้สึก ชีวิตเพื่อนกับสาวคนนั้นจะลงเอยกันได้ด้วยดี
มันโทรมาเล่าความคืบหน้าอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หายหน้าหายตาไป
ผมก็ไม่ได้ติดตามอะไรต่อมากมาย จนทิ้งช่วงไปเกือบๆ6เดือน
แล้ววันหนึ่ง..
แล้ววันหนึ่ง
ช่วงสี่ทุ่มกว่า ขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ในห้องนอนชั้นสอง
อยู่ๆก็ได้ยินเสียงหมาหอน ดังระงมขึ้น ตั้งแต่ปากซอย หอนรับกันมาเป็นทอดๆ
จนเริ่มใกล้เข้ามาแถวบริเวณบ้านที่ผมอยู่
แล้วสักพักก็เริ่มมีเสียงหมาเห่า อยู่หน้าบ้าน เหมือนมีใครจะมาหาที่บ้าน
ผมเดินไปดูที่หน้าต่าง มองลงไปดูแถวหน้าบ้าน
ก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่หมามันเห่าอะไรอยู่นอกรั้วแถวๆนั้น
มองไปที่ต้นไม้รอบๆ ก็ไม่เห็นมีลมอะไรกระดิกเลย
"มันเห่าอะไรวะ"
พอกลับมานั่งทำงานต่อ สักพัก ก็ได้ยินเสียง
อะไร ตก ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก อยู่ที่พื้นข้างนอกห้อง
พอนิ่งฟังดีๆอีกที ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร
เลยนั่งทำงานต่อ ไม่ได้ใส่ใจอะไร
สักพัก ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อผมขึ้นมา
เป็นเสียงเล็กๆ อยู่ที่หน้าประตูห้อง
ผมตกใจ สะดุ้งนิดหน่อยเพราะกำลังจดจ่อกับงานอยู่เงียบๆ
พอได้ยินเสียงเรียก ผมก็ขานรับ "ครับ" ขึ้นมาทันที
แล้วก็รีบลุกขึ้น เดินไปเปิดประตู
พี่สาวผมแกจะกลับมาดึกๆแบบนี้บ่อย ชอบมาเรียกให้ไปเอาของที่แกซื้อมาฝาก
พอเปิดประตูห้องไปดู
ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่หน้าห้องเลยครับ
ตอนนั้นรู้สึก แปลกใจนิดหน่อย
อ้าวไปไหนแล้ว
เลยชะโงกหน้าไปดูที่ทางขึ้นบันได
ก็เห็นปิดไฟมืด
ผมเลยเดินไปดูตรงหน้าห้องพี่สาว ที่อยู่ตรงข้าม
เคาะประตูเรียกแก
"พี่ กลับมาแล้วหรือ"
แต่ก็เงียบไม่มีเสียงอะไรตอบกลับ
อืม.. หรือเราจะหูแว่ว
เลยกลับมานั่งทำงานต่อ
สักพักก็เข้านอน แล้วก็หลับไป
มาสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียง เหมือนมีอะไรโขกพื้น ดัง ปัก
เสียงเหมือนคนโขกหมากรุกอะครับ
มองดูนาฬิกา ผมพึ่งหลับไปได้สิบนาทีเอง
พอไม่ได้ยินเสียงอะไร แล้วผมก็เคลิ้มหลับต่อ
สักพักก็ได้ยินเสียง ป๊อก ขึ้นมาอีก
ดังแว่วๆ อยู่ไกลๆ ตอนนั้นผมรู้สึกง่วงมาก
ก็เลยคิดในใจ ช่างมัน แล้วก็หลับไป
จนเกือบๆสว่างครับ ผมก็สะดุ้งตื่นอีก ได้ยินเสียง เดิมนี่แหละ
ป๊อก
นึกในใจ แมงอะไรมันมาเคาะไม้วางไข่หรือเปล่าวะ
แล้วก็หลับต่อ
ตื่นเช้ามา รู้สึก เมื่อคืนผมนอนหลับๆตื่นๆ นอนไม่เต็มอิ่มเลย
พอแต่งตัวเสร็จจะไปทำงาน เดินผ่านหิ้งพระตรงโถงชั้นล่าง
เหมือนบังเอิญครับ มองขึ้นไปบนหิ้งพระแบบไม่ได้ตั้งใจ
เห็นหุ่นนางกวัก หัวขาด ตั้งอยู่บนหิ้ง
เฮ้ย..!
ผมตกใจมาก รีบเดินไปดู เอาเก้าอี้มาเหยียบปีนขึ้นไป
เห็นแต่หัวนางกวักหัก แล้ววางอยู่ที่ฐานหิ้งพระ
หยิบเอามาดู มันเหมือน ถูกเอาไปโขกกับพื้นเลยอะครับ
เป็นรอยแตกแบบ มีแรงกระแทก จนบุ๋มลงไป
ผมรีบมองดู พระเครื่อง ที่ใส่ไว้ในขันเล็กๆ
ก็อยู่ปกติ มองดูพระพุทธรูปที่วางอยู่บนหิ้งก็ปกติ
แต่มองดู รูปปั้นนางกวัก แล้วก็รู้สึก งง มาก
ใครทำวะ
ผมได้แต่สงสัย เลยเอารูปปั่นนางกวัก ลงมา
เอาไปไว้ในครัว เดี๋ยวให้พี่สาวดูก่อนค่อยเอาไปทิ้ง
แล้วผมก็เดินไปที่ที่รถ กำลังจะขับรถไป
นึกขึ้นได้ว่า มีตุ๊กตานางรำกับตุ๊กตาบริวาร อยู่ใน ศาลพระภูมิหน้าบ้าน
เลยเดินไปดู
พอเดินถึง มองเไปที่ศาลพระภูมิ
ตกใจเลยครับ
ตุ๊กตานางรำ ตุ๊กตาบริวาร หัวขาดหมดเลยครับ
เฮ้ย... ใครทำวะ
แต่ใจหนึ่งก็คิดลังเลอยู่ว่ามีใครมาเล่นแล้วทำตุ๊กตาคอหักนานแล้วหรือเปล่า
เพราะ ก็ไม่ได้สังเกตสักที พึ่งมาเห็นนี่แหละ
พอไปทำงานแล้ว ผมก็เลยคุยกับพี่สาว ทางไลน์ว่าจะกลับมาบ้านวันไหน
ปกติพี่สาวจะไปทำงานต่างจังหวัด ไม่ค่อยอยู่บ้านครับ
ก็เล่าให้พี่สาวฟังเรื่องหุ่นที่คอหัก พี่สาวก็บอกว่าจะกลับมาวันสองวันนี่แหละ
ตอนเย็นกลับไปบ้าน หลังจากทานมื้อคำแล้ว สักสองทุ่มเศษ
พี่เพื่อนบ้านกับภรรยา แกพึ่งกลับมาจากต่างจังหวัดเลยแวะมาหา เอาของฝากมาให้
ก็เลยนั่งคุยกันอยู่ที่โถงรับแขกข้างล่าง
คุยไปคุยมา แล้วพี่เขาก็ถามว่า
อยู่กับแฟนหรือ ไม่ชวนลงมาแนะนำให้รู้จักหน่อย
ผมก็บอก ว่า อยู่คนเดียว
แล้วพี่เขาก็พูดขึ้นทันที
เมื่อกี๊ ตอนเดินเข้ามามองขึ้นไปตรงหน้าต่างห้องชั้นสอง
ยังเห็นผู้หญิงยืนมองลงมาอยู่เลย
ผมก็เลยหัวเราะ พี่ อำผมแล้ว ผมอยู่คนเดียวจริงๆ
แล้วก็คุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ใส่ใจอะไร
จนตอนพี่แกจะกลับ
ผมเดินไปส่งที่หน้าบ้าน พอเห็นแกขึ้นรถกันแล้ว
ก็ล็อครั้วหน้าบ้านเดินกลับมาเข้าบ้าน พอถึงหน้าบ้าน
หันไปมองที่รถพี่แก อีกที เห็นแต่แกเร่งเครื่องเสียงดังเลยครับ
แล้วก็ออกตัวแบบล้อฟรี จนควันโขมงเลย
"อ้าว.. จะรีบไปไหนของแก "
หลังจากเข้าบ้าน ทำธุระสวนตัวเสร็จ กำลังจะเข้านอน
อยู่ๆพี่คนนั้นก็โทรมาหาผม
พอถามว่า "มีอะไรหรือเปล่าพี่ โทรมากลางดึกเลย"
แกก็บอกว่า "เปล่า แค่เป็นห่วง"
"ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แค่นี่แหละ"
ผมก็เลย งง ๆ อ้าว อยู่ๆทำไมมาเป็นห่วงเราวะ
ก็เลยรีบถามแกไป
"มีอะไรพี่ บอกผมได้นะ "
แกก็ทำน้ำเสียงแบบสั่นๆตะกุกตะกัก
"นี่ ภาพที่เห็น ยังติดตาอยู่เลย นอนไม่หลับ"
ผมก็ยิ่ง งง
"ภาพอะไรครับ"
แล้วพี่เขาก็เล่าว่า
"ก็ตอนกำลังจะกลับจากบ้านน้อง กำลังสตาร์ทรถ
แล้วนึกถึงว่า พี่ตาฝาดหรือเปล่า ที่เห็นผู้หญิงยืนอยู่ที่ชั้นสอง
เลยลองหันไปมองที่หน้าต่างอีกที
พอมองขึ้นไป ขนหัวพี่ลุกซู่เลย "
ผมรีบถามไปทันที
เห็นอะไรพี่
พี่คนนั้น ตอบมาด้วยน้ำเสียง กระซิบเบาๆ
"พี่เห็นร่างเงาดำทะมึน ยืนอยู่ที่หน้าต่าง แต่ร่างนั้นมันไม่มีหัวอะสิ"
หา.!
ผมตกใจ
"จริงหรือพี่"
"พี่อำผมหรือเปล่านี่"
พี่คนนั้นก็ยืนยัน ว่าเห็นจริงๆ
จนป่านนี้แล้ว แกยังนอนไม่หลับเลย
เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น
สุดท้ายเลยต้องโทรมาถามผมนี่แหละ
คุยได้สักพัก พี่แกก็วางสายไป
โหพี่เล่น มาเล่าให้ฟังกลางดึกแบบนี้
ใครจะนอนหลับลงวะ
ผมรีบลุกไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง
เปิดประตูห้องไปเจอความมืด ผมก็รีบเดินไปเปิดไฟตรงโถงทางเดินอย่างไว
เอาให้สว่างทั้งบ้านเลย
รีบกลับเข้าห้องนอน ห่มผ้าแบบคลุมโปง
พยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็นอนไม่หลับเลยครับ
ใจมันคิดไปต่างๆนาๆ พอเงียบได้สักพัก
ก็เริ่มได้ยินเสียง ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก
เหมือนมีใครเอามือเคาะฝาบ้าน
ผมตกใจมาก ใจสั่นไปหมด นึกถึงเรื่องที่พี่คนนั้นเล่า
แล้วก็นึกถึง ร่างเงาดำทะมึนไม่มีหัว
ได้แต่คิดในใจ
ผีที่ไหนวะ อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เคยเห็นผีที่ไหนในบ้านหลังนี้นะ
คืนนั้นกว่าจะหลับได้ เล่นเอาหลอนอยู่พักใหญ่เลยครับ
วันต่อมา พี่สาวก็กลับมาบ้าน
พอเห็นตุ๊กตาที่คอหัก แกก็บอกว่าไม่เป็นไร ค่อยไปซื้อมาใหม่
ผมก็ถามว่า แบบนี้มันจะเป็นลางไม่ดีอะไรไหม
พี่สาวก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน
แล้วแกก็บอกว่า ของที่มันเสียแล้วก็เอาไปทิ้งเลย
หลังจากนั่งทานอะไรกันเสร็จ พี่สาวก็เดินไปทำโน่นทำนี่อยู่ในครัว
ผมนั่งดูทีวีอยู่ตรงโถงหน้าบ้าน สักพักพี่สาวก็ร้องเสียงดังออกมาจากในครัว
ผมรีบเดินไปชะโงกหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นพี่สาว ยืนตัวเกร็งอยู่กลางห้อง มองมาทางผมตาขวาง
พยายามจะเดินมาหาผม แต่เหมือนยกเท้าไม่ได้ครับ ได้แต่เลือนเท้าไถไปกับพื้นได้ก้าวสั้นๆ
ผมตกใจ รีบถามแกว่า พี่เป็นอะไร
แกอ้าปากค้างๆ พยายามพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา
ผม ก็พูดไปที่แกอีก พี่แกล้งเปล่านี่
แกก็ตาค้างมองมาที่ผมเหมือนเดิม
เดินแบบ เหมือนคนเป็นหุ่นยนต์เลย ยกเท้าไม่ขึ้น แขนก็เกร็งอยู่ข้างลำตัว
เหมือนคนเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว
เฮ้ย ตอนนั้นแว๊บขึ้นมาเลย
พี่สาวเส้นเลือดในสมองแตกหรือเปล่า
เลยรีบเข้าไปประคองพี่สาวบอกแก ว่า นอนก่อน นอนก่อน อย่าเดิน
พี่สาวมองมาตาขวาง แต่นำเสียงยังคงเป็นเสียงพี่สาวเราอยู่ พูดขึ้นว่า
พี่ควบคุมตัวเองไม่ได้
พอพี่สาวนอนราบลงกับพื้น ขาก็เกร็งแข็งไปหมด มือก็เกร็ง
ผมได้แต่มองดู ทำไรไม่ถูก จนพี่สาว มองมาที่ผมตาเหลือก แล้วก็พูดว่า พระ พระ
แล้วผมก็รีบวิ่งไปที่หิ้งพระ
เอาพระทั้งหมดมาไว้ที่ลำตัวพี่สาวบ้าง ให้พี่สาวกำพระบ้าง
แล้วพี่สาวก็ร้องขึ้นมา หึม หึม เสียงอยู่ในลำคอ
ผมก็เข้าไปนวดตามแขนตามขาแก
แล้วอยู่ๆพี่สาวก็พูดขึ้น อย่างแรง
"กูหิว อยากกินเลือด ึ ง อีก"
"กูหิว อยากกินเลือด ึ ง อีก"
พอได้ยิน ผมก็ตกใจ ขนลุกซู่ไปตามท้ายทอยไล่ไปตามแผ่นหลัง
ภาพศพผีตายโหงวันนั้นแว๊บขึ้นมาในหัวผม
ภาพเลือดที่นิ้วผมหยดลงไปที่ฝาโลง เด่นชัดขึ้นมาในความคิดผมอีกที
คุณพระช่วย มันตามผมมา
ผมรีบอุ้มร่างพี่สาว ไปตรงรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน แล้วก็รีบพาไปวัดทันที
ขับออกมานอกหมู่บ้านได้สักพัก อาการพี่สาวเริ่มสงบลง
พอไปถึงวัด ปรากฏว่าพี่สาวก็กลับมาเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากให้หลวงพ่อทำพิธีสวดไล่สิ่งไม่ดีไปแล้ว พี่สาวเริ่มได้สติ ถามผมว่า เกิดอะไรขึ้น
ผมก็บอกแกไปว่า โดนผีเข้า
แล้วพี่สาวก็เล่าว่า เมื่อกี๊ตอนอยู่ในครัว อยู่ๆก็ปวดหัวมากๆ หนักหัวไปหมด แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเอง กึ่งหลับกึ่งตื่น
แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย
คุยกันจบ พี่สาวเลย นิมนต์พระให้ไปทำบุญที่บ้านพรุ้งนี้เช้า
ช่วงพี่สาวกำลังคุยกับพระอยู่ ผมหลบออกมาข้างนอก รีบหาเบอร์เพื่อนผมที่ไปทำพิธีปลุกผีด้วยกันคืนนั้น
พอมีคนรับสาย ผมก็รีบ พูดขึ้นทันที
เฮ้ย.. เพื่อน มีเรื่องแล้ว
แต่ปลายสายที่ตอบ กลับเป็นเสียงผู้หญิง
คุยไปคุยมา เขาบอกว่าเขาเป็นญาติของเพื่อน
ตอนนี้ เพื่อนผมป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลได้เดือนเศษแล้ว
ญาติเขาก็เลยถือโทรศัพท์เพื่อนไว้อยู่ที่บ้าน
ผม งง มาก อ้าวเป็นอะไร
ญาติเพื่อนก็บอกว่า เขาก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร ต้องมาดูเองถึงจะรู้
พอวางหูเสร็จ
รู้สึกมืดแปดด้านเลยครับ
มันเกิดอะไรขึ้นกันวะ
หลังจากกลับมาจากวัด ผมก็แวะไปรับน้าผู้หญิงมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย
บอกน้าว่า พี่สาวไม่สบาย ช่วยมาดูอาการช่วยกันหน่อย
น้าก็ตามมานอนด้วย ไม่ได้ว่าอะไร แต่ลูกชายน้าสองคน วัย ห้า หก ขวบ ขอตามมานอนด้วย
พอมาถึงบ้าน ผมก็จัดแจงให้ทุกคนมานอนรวมกันอยู่ที่โถงชั้นล่าง หน้าทีวี
เสียงเด็กๆส่งเสียงเล่นกัน ดูคึกครื้นไปมาอยู่พักหนึ่ง
พี่สาวหลังจากได้คุยกับน้า ก็เริ่มมีอาการหายวิตกไปพอสมควร
เราไม่ได้เล่าเรื่อง ผีเข้า ให้น้าฟัง เพราะคิดว่า พรุ้งนี้พระมาทำบุญบ้านแล้ว น่าจะไม่มีอะไรแล้ว
ก็เลยมัวแต่คุยเรื่อง จะจัดแจงเตรียมของอะไรกันยังไงบ้าง
พอปิดไฟนอนกัน ผมนอนติดกับทางขึ้นบันได เท้าชี้ไปทางด้านหน้าทางเดินที่จะไปในครัว
และถ้าใครจะเข้าห้องน้ำ ก็จะต้องเดินผ่านครัวไป
หลังจากหลับไปได้สักพักใหญ่ ก็ได้ยินเสียง คนงวงเงียกันอยู่ จนผมรู้สึกตัวตื่นขึ้น
พอลืมตามก็เห็นบรรยากาศมืดๆ มีแสงสลัวสลัว มีเสียงคุยกันอยู่ที่ปลายเท้าผม
พอมองไปดูตรงปลายเท้า ก็เห็นน้า กำลังพาลูกคนหนึ่งเดินเข้าไปในครัว
สักพักก็เห็นแสงไฟจากข้างใน ส่องออกมาถึงปลายเท้าผม
ก็ไม่ได้คิดอะไร เลย นอนต่อ จนหลับไป
แล้วก็มารู้สึกตัวอีกที เหมือนมีใคร เดินผ่านปลายเท้าผมไป
ก็เลยคิดว่า สงสัยลูกน้าคงไปเข้าห้องน้ำอีก
แต่นอนรอสักพักก็ไม่เห็นกลับมาสักที
ก็เลยสงสัย พอชะโงกหน้าไปดูตรงที่ลูกน้านอน ก็เห็นเด็กนอนอยู่คนเดียวไม่เห็นอีกคน
ผมก็เลยสงสัยว่าทำไมไปเข้าห้องน้ำนานจัง
เลยลุกขึ้นไปดูในครัว พอเดินไปถึงตรงช่องทางเข้าครัว เห็นแสงอะไรสีส้มๆ ส่องออกมาจากในครัวเรืองๆ
แล้วก็เห็นเหมือนมีเงาคน พลิ้วไหวไปมาอยู่ เหมือนกำลังทำอะไรสักอย่าง
พอผมค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปดูเท่านั้นแหละ
ขนหัวผมก็ลุกซู่ขึ้นมา แบบไม่ทันตั้งตัว
ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้า คือ เด็กผู้ชายกำลังนั่งยองๆอยู่หน้าตู้เย็น ก้มหน้าก้มตาเลียถุงอะไรสักอย่างอยู่ในมือ
ผมรีบเปิดไฟ แล้วเดินเข้าไปดู
ทำอะไร อะ
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ลูกน้าก็คอพับทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้น ที่มือก็มีถุงใส่เนื้อหมูสดๆ คาอยู่
ผมตกใจมาก เฮ้ย...
แล้วเสียงพี่สาวกับน้าก็เดินมาดู
ถามว่าเป็นอะไร
ผมก็เลยรีบ กลบเกลื่อนไป คว้าเอาถุงเนื้อดิบโยนไปใส่ไว้ในตู้เย็น
แล้วก็รีบหันไปหาน้า
แกคงนอนละเมอ อะครับ
พอน้ามาถึงเห็นลูกแกนอนอยู่หน้าตู้เย็น ก็เลยเรียกให้ตื่น แล้วก็พาไปนอนต่อ
น้าก็พูดว่า สงสัยจะละเมอหิว ถึงได้ไปหาอะไรกินในตู้เย็น
ผมกลับมานอนต่อ นอนยังไงก็ไม่หลับ
ภาพเด็กนั่งเลียถุงเนื้อดิบ ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมไปมา
บวกกับข่าวเพื่อนที่ไม่สบายอีก
แล้วผมจะไม่สบายไปด้วยหรือเปล่า
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ได้แต่คิดไปต่างๆนาๆ
ตื่นเช้ามา
ช่วงเช้าหลังจาก พระมาสวดทำพิธี ที่บ้านแล้ว
พี่สาวขับรถไปส่งน้ากับหลาน
ส่วนผมพอขับรถไปส่งพระที่วัด แล้วก็รีบติดต่อไปที่เบอร์เพื่อนอีก
ญาติเพื่อนรับสาย พอผมบอกว่าจะไปเยี่ยมเพื่อน เขาก็เลยนัดให้ไปหาที่บ้าน
พอไปถึงที่บ้านญาติเพื่อน เขาก็พาผมไปหาเพื่อนที่โรงพยาบาล
พอเดินทางไปหาถึงรู้ว่า เพื่อนอยู่โรงพยาบาลบ้า ครับ
ผมเข้าไปคุยกับเพื่อน อาการมัน ก็เหมือนคนปกติดีนะ
แต่มันเห็นผมแล้ว มันกลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย
หน้าเฉยๆมาก
ผมถามว่า "เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมเอ็งเป็นแบบนี้ไปได้"
เพื่อนมันก็ บอกว่าไม่มีอะไรหรอก สักพักก็ดึขึ้นเองหละ
คุยไปคุยมา เหมือนแปลกๆ มันจะคุยแบบเหมือนคนสมาธิสั้นอะครับ
คุยเรื่องหนึ่งอยู่ ก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง แล้วพอถามมันย้อนกลับไปเรื่องที่คุยกันเมื่อกี๊
มันก็ถามว่าเรื่องไหน
พอเยี่ยมได้สักพักก็เลยกลับออกมา
แล้วก็คุยกับญาติเพื่อน ข้างนอกต่อ
ญาติเพื่อนก็บอกว่า ตอนกลางวันจะเป็นแบบนี้หละ แต่กลางคืนจะคุ้มคลั่งมาก
จนไม่สามารถเอากลับมาอยู่บ้านได้
ญาติเพื่อนเล่าให้ฟังว่า เพื่อนโดนผู้หญิงทำ เสน่ห์ใส่ เลยมีอาการแบบนี้
ผมก็ถามมว่า ผู้หญิงที่ไหน ใช่คนที่คบกันเมื่อหกเดือนก่อนไหม
ญาติก็บอก ว่า ใช่
ตอนคบกันใหม่ๆ เขาพามาแนะนำตัวที่บ้าน บอกจะแต่งงานกัน
แต่พอผ่านไปได้สักสามเดือนกว่าๆ
เขาไปมีปัญหากับที่ทำงาน จนสุดท้ายถูกไล่ออกจากราชการ
เลยต้องย้ายออกจากบ้านพัก มาอาศัยอยู่กับญาติๆ
แรกๆก็ดีนะ ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาก็พาผู้หญิงมาที่บ้านบ้าง
ออกไปเที่ยวกันบ้าง
แต่ไม่นาน หลังจากมาอยู่กับญาติได้สักเกือบจะเดือนกว่า
เขาก็เริ่มมีอาการแปลกๆ
กลางคืนไม่หลับไม่นอน เดินพ่านไปทั่วบ้าน เหมือนจะรอใคร
ทำอะไรก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก อยู่ในบ้านดึกๆ จนคนในบ้านตื่นมาดู
แรกๆก็นึกว่า เขานอนไม่หลับ คงเคลียดที่ตกงาน ทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
แล้วพอเป็นแบบนี้สักอาทิตย์สองอาทิตย์ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ
แล้วนับวัน นับวัน ก็ยิ่งมีอาการหนัก กระฟัดกระเฟียด ใส่ทุกคน
กลางวันจะขี้โมโห มาก กลางคืนจะเหม่อลอยไม่ยอมนอน
แต่พอเจอผู้หญิงคนนั้นแล้วจะกลายเป็นคนละคนเลย
คือจะพูดดี อ่อนหวาน
พอได้ฟัง ผมก็นึกในใจ
อ้าว ใครทำเสน่ห์ใส่ใครกันแน่วะ
หรือว่าน้ำมันพรายที่เพื่อนเอามาใช้ มันจะเอาไปใช้ผิดวิธี
แล้วญาติก็เล่าต่อ
หนักๆ เริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง ตกกลางคืน ก็เอาแต่เพ้อหาผู้หญิงคนนั้น
จะไปาหาผู้หญิงคนนั้น อยู่ตลอดเวลา
พอญาติเอาโทรศัพท์ผู้ชายมาดู ผู้ชายก็ยิ่งโกรธ
ด่าญาติว่า เรื่องของกู อย่า ยุ่ง
พอแย่งโทรศัพท์มาดู ก็เห็นข้อความที่คุยกันในแชทกับผู้หญิงคนนั้นว่า
เราเลิกกัน
แล้วก็พิมพ์ด่ากันไปมา ใช้ภาษาไม่สุภาพ
จับใจความได้ว่า ผู้หญิงบอกว่าอย่ามายุ่งกับเขาอีก
ผู้ชายก็ด่าผู้หญิง ไปต่างๆนาๆ ขึ้นกู อึ ง ใส่กัน
แล้วพอโทรไปหาผู้หญิง ผู้หญิงก็ ไม่รับสาย
ผู้ชายก็ยิ่งคลั่ง จะไปหาให้ได้
ผมก็เลยถามว่า
อ้าวแล้วไม่ปล่อยให้เขาไปหละครับ โตแล้วเขาน่าจะเคลียร์กันได้นะ
ญาติเพื่อนก็บอก ว่า จะปล่อยให้ไปได้ไง ก็เล่นแก้ผ้าโทงๆ ลงมา แบบนั้น
ผมก็ตกใจ เฮ้ย.. มันขนาดนั้นเลยหรือ
ญาติเขาก็เล่าต่อ
ต้องตื่นมาเฝ้าเขา จนเกือบๆ สว่าง เขาก็ถึงหลับไปเอง
แต่หลังจากนั้นวันสองวัน เขาก็กลับไปคบกันเหมือนเดิม
แต่พอคืนไหนโทรไปแล้วผู้หญิงไม่รับสาย
ผู้ชายก็จะคลั่งขึ้นมาอีก
เป็นบ่อยจนคนในบ้าน เหนื่อยเพลียไปตามๆกัน
พอเห็นอาการแบบนี้ ทุกคนก็ลงความเห็นว่า
น่าจะไปโดนคนทำเสน่ห์ยาแฝดใส่ มาแน่เลย
แต่พอผู้หญิงเห็นว่า ตกงาน ไม่ได้รับราชการแล้ว
ผู้หญิงก็เลยอยากเลิก
ผมก็เลยรีบถามเขาไปต่อ
อ้าว .. แล้วไม่ได้พาไปหาคนแก้คุณไสย หรือครับ
ญาติเพื่อน ก็บอกว่า ก็พาไป พาไปหาหลวงพ่อที่วัด
หา.! ผมตกใจเล็กน้อย
(เหมือนญาติๆเพื่อนไม่รู้ว่า เพื่อนมีอาจารย์เก่งคุณไสย์อยุ่)
ผมก็ถามต่อ
แล้วเป็นยังไงครับ
ญาติเพื่อนก็บอกว่า ก็ดึขึ้นมาหน่อย อาการนิ่งๆอยู่เกือบอาทิตย์หนึ่ง
แต่ไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นมาหาที่บ้าน ญาติๆก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นคบหากันอยู่
แต่ผู้ชายก็ด่าผู้หญิง ไล่ผู้หญิงออกจากบ้าน ว่าอย่ามายุ่งกับกูอีก
ผู้หญิงก็ด่าผู้ชายตอบ เสียงดังลั่นบ้าน จนญาติๆต้องมาห้าม
ผู้หญิงก็ด่าว่าผู้ชายเลว สารพัด
แล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน พยายามพูดยังไง ผู้หญิงก็ไม่กลับ
ร้องกรี๊ดๆ แบบคลั่งมาก
จนต้องโทรไปหาญาติทางฝ่ายผู้หญิงให้มารับกลับ
พอพี่สาวผู้หญิงคนนั้นมาถึง ก็ต้องใช้กำลังคุมตัวผู้หญิงคนนั้น
แบบทุลักทุเลมาก กว่าจะเอากลับไปได้
เนี่ย
เธอคงทำคุณไสยใส่ผู้ชายจริงๆแหละ พอ พระแก้ให้ได้ ของเลยกลับไปเข้าตัว
ทำให้มีอาการคลุ้มคลั่งแบบนี้
พอผู้หญิงคนนั้นกลับไปได้
ญาติเพื่อนก็เล่าว่า
เพื่อนผมมันก็มาพูดกับคนในบ้านว่า
ผมรู้แล้ว ว่าผู้หญิงคนนั้นมันไม่ดี ผมเลิกขาดแล้ว
ทุกคนได้ฟัง ก็พลอยดีใจไปด้วย
แต่พออีกวันต่อมา ผู้ชายก็คลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิม อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คือร้อง ตะโกนเสียงดังอยู่ในห้องตัวเอง
พอเปิดประตูไปดู ก็เห็น นั่งอยู่กับพื้น ตามตัวมีรอยบาด เลือดไหล หลายจุด
มองไปที่มือ ก็เห็นถือคัดเตอร์อยู่
ทุกคนก็เข้าไปห้าม ถามว่าเป็นอะไร
เขาก็พูดอะไรออกมาไม่รู้เรื่องเลย จับใจความได้แต่ว่า
ผมจะไปหาเขา ผมรักเขา ปล่อยผมไป
พูดดีๆอยู่สักพักก็ขึ้นเสีย โวยวาย เอ็ดตะโร ขึ้นมาอีก
จนญาติๆ ต้องพาไปส่งโรงพยาบาล
พอ หมอ ด้านจิตเวชตรวจเสร็จ เขาก็เลยให้ส่งตัวมาอยู่ที่นี่
โห..
ผมฟังแล้ว ก็อึ้ง
นี่มันเรื่องอะไรวะ
ผมได้แต่ พึมพำ อยู่กับตัวเอง
บอกแล้ว อย่าเล่นกับผีสางแบบนี้
ญาติเขาได้ยิน เขาก็เลยถามว่า อะไรนะ
ผมก็เลยบอกว่า เปล่าๆ ไม่มีอะไร
กลับมาถึงบ้าน
พี่สาวซื้อ ตุ๊กตาบริวาร มาใส่ไว้ในศาล
บอกกับผมว่า คงไม่มีอะไรแล้วหละ พระมาทำพิธีให้แล้ว
ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แม้ว่าจะยังกังวลอยู่กับเรื่องเพื่อนที่มันป่วย
หลังจากแยกย้ายกันนอนห้องใครห้องมันแล้ว
กลางดึกคืนนั้น อยู่ๆก็รุ้สึกเหมือนบ้านสั่นๆ พร้อมกับสี ตุ๊บ ตุ๊บ
เหมือนมีใครมาทุบผนังบ้าน อยู่ชั้นล่าง
ผมตกใจ รีบลืมตาขึ้นมา ฟังเสียงนั้นให้แน่ใจ
มันก็ดัง ตุ๊บ แล้วก็ทิ้งช่วงสักพัก ก็ดัง ตุ๊บ ขึ้นอีก
มันดังไม่หยุดเลยครับ
จนผมต้องรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟในห้อง
แต่ปรากฏว่า ไฟไม่ติดครับ
แสงในห้องสลัวสลัว พอจะมีแสงจากภายนอกรอดเข้ามาทางหน้าต่างบ้าง
ผมเดินไปหยิบไฟฉายในลิ้นชักที่โต๊ะ เอามาเปิดส่อง
เสียงตุ๊บ ตุ๊บ นั้นก็ยังดังอยู่ตลอดเวลา
พอเดินออกมาจากนอกห้องได้
ฉายไฟส่องไปทางห้องพี่สาว เห็นประตูปิดอยู่
แต่เสียงตุ๊บ ตุ๊บ นั่นมันดังอยู่ข้างล่างไม่ไกล
ผมเลยรีบฉายไฟไปตามบันได ค่อยๆก้าวเท้าเดินลงไปช้าๆ
รอบด้านมืดสนิท ทำให้ รู้สึกเสียวที่ข้อเท้าทุกครั้ง ที่ก้าวลงบันไดไป
ผมค่อยๆเดินลงมาจนมาหยุดอยู่ตรงชานพัก
เสียงดังตุ๊บ ดังแรงขึ้น เหมือนมันอยู่ข้างหน้าผม
ผมรีบฉายไฟส่องไปดูทางโถงหน้าบ้าน
คุณพระช่วย
ผมหงายหลัง ทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น
มองไปตรงร่าง ที่ผมฉายไฟไปเห็น ยืนอยู่ใต้หิ้งพระ
กำลังเอาหัวโขก กับกำแพง ดังตุ๊บ ตุ๊บ
พอตั้งสติได้ เพ่งมองไปดูดีๆ
ปรากฏว่า เป็นร่างพี่สาวผมเอง
ผมเลยรีบวิ่งไปหาแก
พอเข้าไปดึงตัวพี่สาวได้ แกก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้น
ผมรีบพยุงตัวพี่สาวไว้
มองไปที่หน้าผากแก เห็นแต่เลือดเต็มหน้าผากเลย
เฮ้ย...
ผมตกใจมากทำอะไรไม่ถูก รีบปลุกพี่สาวให้ตื่น
พอพี่สาวลืมตาขึ้นมา ไฟในครัวก็ติดพรึบ ขึ้นพร้อมๆกัน
แกก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมปวดหัวจัง
แล้วก็เอามือมาจับตรงหน้าผากแก แล้วก็เอามือมาดูเห็นเลือดติดมือแกมา
แกก็ถามว่า เป็นอะไร
ผมบอกว่าไม่รู้ เหมือนกัน ได้ยินเสียงตุ๊บๆ ก็เลยเดินลงมาดู ก็เห็นพี่เอาหัวโขกกำแพงอยู่
ผมรีบเดินไปเปิดไฟตรงโถงหน้าบ้าน
แล้วก็พาแกไปล้างหน้าในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาทำแผล
หน้าผากพี่สาวเป็นรอยฉีกขาดประมาณเซ็นต์หนึ่ง รอบๆช้ำจนคล้ำ
ทำแผลเสร็จก็พากันนอนอยู่ข้างล่าง
พี่สาวก็บอกว่า พรุ้งนี้ต้องไปทำบุญที่วัดให้มากๆแล้ว
ตื่นเช้ามา พากันไปวัด
ถึงรู้ว่า พระที่นิมนต์มาทำบุญบ้านวันก่อน อาพาธหนัก กันทุกรูปเลย
หลังจากที่อาจารย์แกมาดูบ้านให้เบื้องต้นแล้ว
ตอนจะไปส่งอาจารย์ อาจารย์บอกว่า เดี๋ยวไปส่งอาจารย์กลับแท็กซี่ก็ได้
แต่บอกผมว่า
"กลับเข้ามาในบ้านแล้ว ห้ามถอดสร้อยประคำออกจากคอเด็ดขาด"
ผมรีบ ส่ายหน้าเลย
"โห ไม่ไหวครับ ใครจะกล้าอยู่คนเดียว เห็นมากับตาแล้วครับ "
อาจารย์ก็เลยบอกว่า "งั้นก็คงไปนอนวัดหละ จนกว่าจะให้อาจารย์คงมาปราบให้"
พอพากันเดินออกมาจากบ้าน ผมกำลังล็อคประตูบ้าน
เห็นอาจารย์ยืนก้มหน้าใส่ร้องเท้าอยู่ข้างๆ แล้วพอแกเงยหน้ามองไปที่รั้วหน้าบ้าน
แกก็ถึงกับผงะถอยหลังมาชนประตู อย่างคนหวาดกลัว
พอเห็นอาจารย์เป็นแบบนั้น ผมรีบหันไปมองตรงรั้วหน้าบ้าน
ถามอาจารย์ว่า "เป็นอะไรครับ"
อาจารย์ก็บอกว่า " เปล่าๆ"
หลังจากขึ้นรถแล้ว ผมก็ตัดสินใจขับรถไปส่งอาจารย์ที่บ้านเลยครับ
อาจารย์นั่งเงียบมาตลอดทาง
บางช่วงก็เห็นอาจารย์ ก้มหน้าลง เหมือนคนหลับสัปหงก
ผมก็ไม่ได้สังเกตอะไร
พอถึงช่วงที่เริ่มออกนอกตัวเมืองทางเริ่มเปลี่ยว
รู้สึกเหมือนมีอะไร ยุกยิก ยุกยิก อยู่ข้างๆ พอหันไปดูทางอาจารย์
ก็เห็นแกคอเกร็ง ตาเหลือกขึ้น พยายามจะขยับตัว
แต่เหมือนมีคน กด หัวแก ให้เอียงชิดไหล่อยู่
ผมเห็นก็ตกใจ รีบถามแก อาจารย์ เป็นอะไร
ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงตะกุตะกัก ฟังไม่ได้ศัพท์
ผมกำลังจะจอดรถ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงอาจารย์หนุ่มดังมาจากข้างหลัง
"ขับต่อไป"
ผมขนลุกซู่ หันไปมองกระจกหลัง เห็นแต่ที่เบาะข้างหลังว่างเปล่า
สักพักก็ได้ยินเสียง เหมือนคนต่อสู้กันอยู่ตรงเบาะด้านหลังครับ
ผมมองไปที่ร่างอาจารย์หนุ่ม ยังตัวเกร็งคอเอียง ตาเหลือก มือสั่นไปมาอยู่
สักพักผมก็ได้ยินเสียงของอาจารย์หนุ่มดังมาจากท้ายทอยผมอีก
เป็นเสียงสวดคาถาอะไรสักอย่าง ก่อนจะจบลงตรงคำว่า พ่อปู่ช่วยด้วย
พอเสียงนั้นเงียบลงเท่านั้นแหละ
ร่างอาจารย์หนุ่ม ชูแขนที่เกร็ง ทั้งสองข้างดันขึ้นไปบนหลังคารถ
แล้วก็ดัดคอตัวเอง กลับมาตั้งตรงช้าๆ เหมือนคนฝืนแรงที่กระทำอยู่
แล้วก็หาวออกมา เหมือนคนตื่นนอนครับ
ผมตกใจ ลนลาน ทำอะไรไม่ถูกเลย
(อะไรวะ)
แล้ว ร่างอาจารย์หนุ่มก็เอามือลง
ล้วงมือเข้าไปในย่าม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ข้างหลังผมยังได้ยินเสียงคน ลากกันไปลากกันมาอยู่เลย
แล้วร่างอาจารย์หนุ่มก็ เหมือนเอาเสี้ยนหมากออกมาจากในย่าม แล้วก็เคี้ยวกินอย่างสบายใจ ช้าๆ
จนผมได้ยินเเสียงอาจารย์หนุ่ม พูดมาจากด้านหลังผมอีกว่า
"พ่อปู่ เร็วๆหน่อย"
แล้วเสียงในร่างอาจารย์หนุ่ม ก็ดังออกมาเป็นเสียงคนแก่มากๆ ว่า
"เออๆ เดี๋ยวๆ ซิวะ ใจร้อน ไปได้"
แล้วร่างอาจารย์หนุ่ม ก็ ค่อยๆ กลับตัวหันไปด้านหลังเบาะช้าๆ เหมือนคนแก่มากแล้ว
ก่อนจะยื่นหัวไป ชะโงกดูตรงเบาะด้านหลัง
แล้วผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์แก่เป่า เสี้ยนหมากที่เคี้ยวอยู่ในปาก ไปที่เบาะด้านหลัง
ดัง พรวด พรวด สองสามที
แล้วก็หันหลังมานั่ง สงบที่เบาะหน้าเหมือนเดิม
ก่อนจะคอพับ เหมือนคนหลับสัปหงกไปอีก
แล้วสักพัก อาจารย์ก็เด้งพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนหายใจถี่ ๆ
ผมก็พลอยตกใจตามไปด้วย
"เป็นอะไรอาจารย์"
แกก็บอกว่า
"ถึงไหนแล้ว เร็วๆหน่อย"
"แค่ของในย่ามนี้ผมเอาพวกมันไม่อยู่แน่"
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ได้แต่ปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง
อาจารย์ต้องสู้อยู่กับอะไรแน่เลย
ผมรีบเหยียบคันเร่ง รีบตรงดิ่งไปบ้านอาจารย์ทันที
แล้วอาจารย์ก็พูดขึ้นว่า
"สงสัยคืนนี้ผมจะไม่รอดแน่ มันมากันหลายตัวเหลือเกิน"
"ส่งผมแล้วคุณก็รีบไปหาวัดแถวนี้นอนเลยนะอย่าขับกลับคนเดียว"
พอได้ฟังผมก็ตกใจมาก
"อ้าว แล้วอาจารย์จะไปไหน"
แกก็บอกว่า ไปเอาของป้องกันตัวที่บ้านแล้วแกจะไปหาอาจารย์ของแกคืนนี้เลย
พอได้ยินผมก็เลยรีบอาสา พาแกไปทันที
"ดีเลยครับ ผมขับพาไปเองครับ"
ขับมาได้สักพัก ผมก็ถามแกไปว่า "ผีอะไรทำไมมันถึงเฮี้ยนขนาดนี้"
แกก็บอกว่า
"เท่าที่สัมผัสได้"
"ตอนนี้ เหมือน ผีตัวที่ตามคุณมา มันไม่มีคนเลี้ยงแล้ว"
"ส่วนคาถาที่ครอบผีตัวนี้ไว้ เหมือนมีอีกคนทำ เพื่อสั่งให้ผีตัวนี้กลับไปทำร้ายเจ้าของที่เลี้ยงมัน"
"แล้วก็มีคาถาครอบป้องกันไม่ให้ของกลับมาเล่นงานคนทำอีกทีหนึ่ง"
"หา งั้นก็แสดงว่า เขาเล่นของสู้กันอยู่หรืออาจารย์"
(ผมได้แต่คิดไปต่างๆนาๆ )
อาจารย์ก็บอกว่า
"ไม่แน่ใจ "
"รู้แต่ว่า ถ้าใครไปแตะของพวกนั้นหรือไปลบอาคมพวกนั้น ก็จะโดนมันเล่นงานคืน"
"แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม ผีมันถึงมาตามคุณแบบนี้"
พอได้ยินอาจารย์สงสัย
ผมก็เลยรีบ เล่าความจริงให้อาจารย์ฟังว่า
"ผมกับเพื่อนไปทำพิธีปลุกผีกับอาจารย์ท่านหนึ่ง เพื่อเอาน้ำมันพราย"
"แต่ผมดันไปโดนตะปูทิ่มมือจนเลือดออก หยดลงบนฝาโลง"
"หลังจากได้น้ำมันพราย เพื่อนก็เอาไปใช้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้ เพื่อนเป็นบ้าไปแล้ว"
พออาจารย์รู้ความจริงแกก็เลยพูดขึ้นว่า
"ฝ่ายหญิงเขาก็ต้องมีอาจารย์เก่งพอตัวหละถึงซ้อนคาถาให้กลับไปเข้าตัวคนที่มาทำของได้"
"เผลอๆ อาคมนี้อาจจะกลับไปเล่นงานถึง ตัวอาจารย์ที่พาพวกคุณไปเอาน้ำมันพรายด้วย"
พอพูดขึ้นมาแบบนี้ ผมนึกถึงวันที่ไปบ้านอาจารย์คนนั้น แล้วเห็นบ้านปิดเงียบ ขึ้นมาเลยครับ
ฟังแบบนี้แล้วผมก็ได้แต่คิดว่า ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย เพราะความอยากรู้อยากเห็นแท้ๆ เลยทำเอาผมซวยแบบนี้
ขับมาจนใกล้ๆจะถึงบ้านอาจารย์แล้ว เลยโค้งนี้ไปก็ถึงทางแยกที่จะไปบ้านอาจารย์
ช่วงทางโค้ง มีรถบรรทุกคันใหญ่ขับสวนมา แต่พอจะพ้นโค้ง
ดันมีรถฝั่งตรงข้าม เร่งเครื่องแซงรถบรรทุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เบียดเข้ามาในเลนที่ผมวิ่ง
ผมตกใจ รีบหักหลบรถคันนั้นลงไปที่ไหล่ทาง
พอหักหลบรถคันนั้นได้ ผมก็ต้องรีบเหยียบเบรค อย่างกระทันหันอีก
คุณพระช่วย !
ร้อง เฮ้ย.. ออกมาจนสุดเสียง
ข้างหน้ามีควายตัวใหญ่ร่างดำทะมึน ยืนขวางทางอยู่
นัยตามันแปร่งแสงแดงก่ำ มองมาทางผม
ผมเหยียบเบรคจน ขาเกร็ง รีบหักพวงมาลัยหลบ เมื่อจวนตัว
จนรถพุ่งตกลงไปในป่าหญ้าข้างไหล่ทาง แล้วก็กระเด็นกระดอนขึ้นลงไปมาอยู่หลายที
เสียงของในรถกระเด็นโครมคามอยู่รอบตัว
แล้วสักพัก รถก็ดับ พร้อมกับเสียงรอบข้างสงบลง
ผมรีบหันไปมองอาจารย์ เห็นแกนั่งก้มหน้า ตัวฟุบอยู่กับเบาะ
ผมรีบปลุก อาจารย์ อาจารย์ แต่แกก็นิ่งไปเลยไม่ตอบกลับ
พอเอื้อมมือไปดึงไหล่แกให้เอนตัวขึ้นมา
เฮ้ย.. เลือด
เลือดไหลลงมาจากโคนผมแก
ผมรีบสตาร์ทรถ โชคดีมาก มันยังสตาร์ทติด
ผมค่อยๆโยกเดินหน้าถอยหลัง อยู่พักหนึ่ง จนมันขึ้นมาบนไหลทางได้
แล้วก็รีบขับรถ พาอาจารย์ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
ขับรถไป ใจสั่นไปตลอดทาง
เมื่อกี้มันตัวอะไรวะ
จะเกิดอะไรขึ้นอีกไหมนี่
จนมาถึงโรงพยาบาล ราวๆ สามทุ่มกว่าๆ เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว
นั่งรออาจารย์ทำแผลเสร็จก็ราวๆ สี่ทุ่มกว่า
พยาบาลบอกว่า ตามตัวอาจารย์ไม่มีแผลอะไรเลย
ยกเว้นที่ศรีษะ
ผมก็เลยคิดว่า ช่วงที่รถกระเด้งขึ้นลง หัวอาจารย์คงไปโขกกับอะไรจนแตกแล้วก็สลบไป
พอพากันเดิน ออกมาตามทางเดินจะไปขึ้นรถ
อยู่ๆอาจารย์แกก็ เหมือนมองจ้องใครคนหนึ่งที่กำลังเดิน อยู่ไกลๆ
แกก็บอกว่า เดี๋ยวก่อน
แล้วก็ยืนมองดู ผู้ชายคนนั้น เหมือนคล้ายๆเจอคนรู้จัก
ผมก็เลยมองไปตามแก
เห็นคนเดินอยู่ตรงนั้น สองสามคน แต่มีคนหนึ่ง ใส่ชุดสีขาวเก่าๆ สะพายย่าม ดูมีอายุ
ผมก็เลยถามแกไปว่า "ใครอะครับ"
แล้วแกก็พาผมเดินเข้าไปหา ชายแก่คนนั้น
พอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ชายแก่คนนั้นก็ทักขึ้นมาก่อนทันที
"อ้าว ไปโดนอะไรมา "
แล้วพอคุยไปคุยมา ก็ถึงรู้ว่า เป็นอาจารย์คงครับ
แกบอกว่า ความดันแกกำเริบกระทันหัน เลยรีบมาหาหมอ
แต่ก็ดีขึ้นแล้ว กำลังจะกลับบ้านพอดี
พอรู้ว่าเป็นอาจารย์คง ผมก็ดีใจมาก
รีบเล่าเรื่องที่ผมเจอมา ให้อาจารย์คงฟัง ทันที
หลังจากมานั่งคุยกันอยู่ตรงด้านหน้าโรงพยาบาลแล้ว
อาจารย์คงแกก็ เหมือนกับมีสีหน้าวิตก
มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วก็บอกว่า
"คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงด้วย อาคมนี้แก้ยากมาก"
แล้วแกก็ไม่ได้เตรียมของอะไรมาด้วย
แล้วก็หันไปคุยกับลูกศิษย์แกว่า
"ถ้าเอ็งรอดคืนนี้ไปได้ เอ็งก็จะพ้นอาคม"
แล้วอาจารย์ก็หันมาทางผม
"ส่วนคุณกลับไปหาอาจารย์คนนั้นแล้วให้เขาแก้ให้จะดีกว่า ข้าไม่อยากยุ่ง"
ผมก็เลยบอกอาจารย์คงไปว่า
"อาจารย์คนนั้นไม่รู้หายไปไหน ปิดบ้านเงียบไปแล้ว"
แล้วผมก็เลยรีบขอร้องให้อาจารย์แกช่วยผมหน่อย
จนแกนั่งลงคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า
"ต้องใช้ของแก้ที่วัดแห่งหนึ่ง อยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร"
แล้วผมกับอาจารย์คงพร้อมลูกศิษย์ ก็ขึ้นรถพากันมุ่งหน้าไปที่วัดแห่งนั้นกัน
พอขึ้นรถขับออกมากัน
อาจารย์หนุ่มเป็นคนบอกทาง ว่าให้ขับไปทางไหน
ขับมาได้สักพักใหญ่ๆ ก็เริ่มเข้าสู่ทางคดเคี้ยว เลี้ยวไปมาหลายแยก จนผมก็เริ่มงงๆ
จนกระทั้งเริ่มเข้าสู่ถนนลูกรัง
สองข้างทาง เป็นป่าอ้อย ขึ้นสูงท่วมหัว เส้นทางก็ขรุขระ พอสมควร
จนผมเริ่มห่วงแล้วว่า รถที่เราขับมา มันจะรอดไหม
เพราะตอนที่รถตกไหล่ทาง ที่ล้อหน้า มันรู้สึกจะดังกึกๆ เหมือนมีอะไรหลุดสักอย่าง
ผมขับรถไปมา
วนอยู่ในดง อ้อย สลับกับดงหญ้า
เลี้ยวไปเลี้ยวมาก็ไม่หลุดออกจากตรงนั้นสักที
จนรู้สึกแปลกใจ
อาจารย์ มันเหมือนขับวนอยู่ไปมาทางเดิมๆไม่มีทางออกเลย
อาจารย์หนุ่ม ก็เลยเอียงหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
"พระจันทร์ก็ไม่เห็น"
ผมก็พยายามมองตามก็ไม่เห็นพระจันทร์
แล้วอาจารย์คงแกก็ท่องคาถาขึ้นมาในรถครับ
ท่องคาถาเสร็จ แกก็บอกว่า
"มองไปตรงท้องฟ้าไกลๆ ตรงไหนสว่าง ให้ไปทางนั้น"
พอผมมองออกไปข้างนอก เห็นท้องฟ้าฝั่งขวามือมันสว่างๆ
เหมือนมีพระจันทร์อยู่ตรงทางนั้น
ก็เลยบอกว่า
"เห็นแล้วครับ"
พอขับไปถึงโค้งข้างหน้า มันบังคับให้เลี้ยวซ้ายครับ
อาจารย์คงก็บอกว่า
"เลี้ยวขวาเลย"
ผมก็ ลังเล มองไป
"นั่นมันป่าอ้อยนะอาจารย์"
แกก็บอกว่าเลี้ยวเลย
ผมก็ตัดสินใจหักพวงมาลัยหลุดโค้งไปทางขวา
รถพุ่งเข้าไปในป่าอ้อย
ผมตกใจ ร้องดังลั่นขึ้นมา
"เ ชี ย.. แล้ว"
แล้วอยู่ๆ ตรงที่ผมเลี้ยวเข้าไป
ต้นอ้อยมันก็ แยกออกเป็นทางเล็กๆ ราวปาฏิหาริย์
พอตั้งสติได้ ผมก็รีบประคองรถให้ทรงตัววิ่งอยู่ในทางแคบๆ
มองไปสุดถนน เห็นท้องฟ้า สว่างอยู่ไกลๆ เหมือนอย่างที่อาจารย์บอก
ขับมาได้สักพัก
ผมค่อยๆชะลอรถลง มองไปข้างทางเป็นหญ้าขนต้นสูงท่วมหัว
แล้วผมก็เห็นเหมือนมีหัวหุ่นฟางปักอยู่ข้างทาง
ขับผ่านมันไปได้สักพัก
อยู่ๆก็เห็นหัวหุ่นฟางปักอยู่ในดงหญ้าข้างทางอีก
ก็นึกในใจ แถวนี้ทำไมเขานิยมทำ หุ่นฟางกันเยอะจัง
ขับผ่านไปอีกก็เจออีกเรื่อยๆ จนมาถึงจุดหนึ่ง
คราวนี้มันขยับวิ่งออกมาจากข้างทางเลย
มองไปเห็นเป็นหุ่นฟางตัวเท่าคน วิ่งตัดหน้ารถ
จนผมต้องรีบเหยียบเบรค เฮ้ย..
"ตัวอะไรอะครับ อาจารย์"
แล้วอาจารย์คงก็บอกว่า
"หุ่นพยนต์"
"ของเล่นกิ๊กก๊อกแบบนี้ ไม่คนามือหรอก"
แล้วผมก็ได้ยินเหมือนเสียงอาจารย์ล้วงไปเอาอะไรออกมาจากย่ามแก
"เจอยักษ์สมิงพรายข้าหน่อยซิ"
ช่วงที่อาจารย์กำลังท่องคาถาปลุกยักษ์สมิงพราย
รอบรถก็เหมือนมีใครเอาหินมาปาใส่
เสียงดังป๊อกแป๊ก ไปมารอบคัน
"เฮ้ย..มันกำลังทำอะไรกับรถเรา"
เสียงอาจารย์หนุ่มบอกผม รีบออกรถ
ผมรีบเร่งคันเร่งจนท้ายรถสะบัด
มองกระจกหลังไป
เห็นแต่เงาดำๆวิ่งเข้าป่าข้างทางแว๊บๆ
ไม่นานอยู่ๆมันก็โผล่พรวดออกมาจากป่าหญ้า
จนผมตกใจ หักหลบ
"เฮ้ย.. มาได้ไงวะ"
จนหน้ารถอีกฝั่งทิ่มลงไปในดงหญ้า เพราะทางมันแคบ
ผมรีบหักรถกลับคืนมา วิ่งบนทาง
แล้วเสียงอาจารย์คงก็พูดขึ้น
"จัดการมัน ลูกพ่อ"
ตอนนั้นเองผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่าง เป็นลมแรงพัดวูบออกมาจากข้างในรถ
มองไปที่กระจกหลัง
เห็นแต่เงาดำทะมึนใหญ่เท่าตึกสามชั้นกำลังก้มดึงอะไรอยู่ที่พื้น
ผมรีบขับรถห่างออกมาอย่างเร็ว
ขับมาได้สักพัก ผมก็ผวาขึ้นมาอีก
"อาจารย์นั่นอะไร"
พอพากันมองไปข้างหน้า ข้างๆทางเป็นเหมือนต้นตาลปลูกเรียงกันเป็นแถวยาว
พอมองดูดีๆ แถวๆโคนต้นตาลมีเท้าอะไรใหญ่ๆยืนอยู่
ขับไปใกล้ๆถึงเห็นเป็นผู้หญิงตัวสูงใหญ่เท่าต้นตาล ใส่สะใบยืนอุ้มลูกมองลงมาตาถลน
"พรายตะเคียนแก้ว"
เสียงอาจารย์คงพูดขึ้นอย่างตกใจ
ผมรีบเหยียบคันเร่งให้ไวขึ้น จนท้ายรถปัดไปมา
พอขับผ่านมันไป ได้ยินแต่เสียงหลังคารถ ดังเหมือนมีอะไรขูดกับสังกะสี
เอี๊ยด.. (ยาวๆ)
แล้วก็รู้สึกรถโครงเครงไปมา
อาจารย์หนุ่มรีบบอกว่า
"อย่าหยุด"
แล้วก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียง
มีอะไรสู้กันไปมาอยู่เหนือหลังคารถ
พอขับหนีมาได้สักพักใหญ่ๆ
อยู่ๆก็ได้ยินเสียงอะไรหักดัง แก๊ก
พอหันไปมองอาจารย์คง
เห็นแต่แก แบมือดูของที่ถืออยู่
"ยักษ์สมิงพราย โดนมันทำลายแล้ว"
ผมรีบเร่งเครื่องขึ้นทันที
พอพ้นป่าหญ้าตรงนั้นมาได้ ก็เจอถนนกว้างขึ้น
มันเป็นลักษณะเหมือนถนนลูกรังลานกว้างๆ
มองไปไกลๆ เหมือนมีเนินดินเล็กๆอยู่ข้างหน้าสีขาวๆ
ผมรีบเร่งเครื่องไปต่อ
พอไปถึงตรงเนินเล็กๆ
ด้วยความเร็วที่มาแรง เลยทำให้รถพุ่งขึ้นเนินดิน
ล้อหน้าลอยขึ้นสูง อยู่กลางอากาศ
แล้วก็ตกลงมากระเด้งต่อบนเนินนั้น
ก่อนจะเริ่มสะบัดนิดหน่อย เหมือนมันวิ่งตกหลุมอะไรสักอย่าง
แล้วเครื่องก็กระตุกไปมา สองสามที ก่อนจะดับลง
"อ้าวเฮ้ย.. เป็นอะไรวะ"
พอทุกอย่างเงียบ
ผมก็เลยลองบิดกุญแจสตาร์ทรถดู
ปรากฏว่าไม่ติดครับ
พยายามอีกครั้งก็ไม่ติด
รีบเอากระจกข้างลง
คิดว่าจะเดินลงไปดูเครื่องว่ามันเป็นอะไร
พอมองไปรอบๆข้างนอก มันก็มืดไปหมด
แล้วอยู่ๆ ก็เห็นแสงไฟลอยออกมาอยู่ไกลๆ
จากดวงเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆใหญ่ขึ้น
"แสงอะไรวะ"
พอเสียง แตร ดัง"แปร๊น"ขึ้นเท่านั้นแหละ
เฮ้ย..! รถไฟ
ผมตกใจ มือไม้สั่น
ชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ก้มลงไปดูตรงเนิน
"อ้าว รางรถไฟ"
รถผมจอดอยู่บนรางรถไฟเต็มๆคันเลยครับ
ผมรีบลนลาน พยายามจะสตาร์ทรถอีกที
แต่ก็ไม่ติดอีก
"เฮ้ย.. ติดสิวะ"
เสียงรถไฟเริ่มใกล้เข้ามา หัวผมก็ยิ่งมึน งง
"เอาไงดี"
วินาทีนั้น พอเห็นว่าจวนตัว
ผมก็รีบลงจากรถ เปิดประตู แล้วก็พยายามดันให้รถไปข้างหน้าสุดแรงเกิด
อาจารย์หนุ่มเห็นผมทำแบบนั้น แกก็รีบลงจากรถ ลงมาช่วยผมเข็นอยู่อีกฝั่ง
"เร็วๆอาจารย์"
ผมรีบตะโกนร้องบอกแก
"หนึ่ง สอง ซั้ม ฮึบ.."
(ไม่ขยับเลย)
เสียงรถไฟบีบแตรดังลั่นเข้ามาจนแสบแก้วหู
เท้าผมเกร็งจนสั่นอีก ร้องตะโกนลั่น
"อาจารย์ อีกครั้ง
หนึ่ง สอง ซั้ม.."
เสียงรถไฟ ดังแปร๋น เข้ามากระทบหูผมอย่างแรง
เริ่มใจเสีย รถไม่ขยับเลย
"มันติดอะไรวะ "
แล้วก็เริ่มนึกได้
รถมันคาเกียร์ไว้ที่ P อยู่
ผมรีบพุ่งเข้าไปในรถ ลนลานคว้าเกียร์รถ
แล้วรีบผลักให้มันมาอยู่ในตำแหน่ง N
ได้ยินแต่เสียง ลูกศิษย์หนุ่มพูดกับอาจารย์คงว่า
"ไม่ทันแล้ว อาจารย์ ลงมาก่อนเถอะ"
ผมรีบร้องบอกอาจารย์หนุ่มพร้อมกระเด้งตัวออกมานอกรถ
"ปลดเกียร์แล้ว อาจารย์ ขอใหม่อีกที"
แต่พอลุกมายืนอยู่ ข้างๆประตูรถได้
แสงรถไฟมันก็ส่องจ้ามาที่หน้าผมแล้วครับ
ตอนนั้นสติผมไม่อยู่กับตัวแล้ว
เลยรีบหันเข้าไปบอกอาจารย์คงในรถ
"อาจารย์"
ยังไม่ทัน จะพูดอะไรต่อ
อยู่ๆก็มีหน้าคนแก่ คิ้วขาว หน้าตาคล้ายๆฤาษี
เลือนเด่น ขึ้นมาอยู่ตรงเบาะหลังข้างๆอาจารย์คง
ชะโงกหน้ามาดูผม ตาแดงก่ำ
แต่ที่ปากของฤาษี มีเขี้ยวยาวโค้งออกมาเหมือนแดร็กคิวล่า
ผมตกใจมาก ขนแขนลุกซู่
แล้วก็รู้สึกเหมือนรถมันเบาหวิว
จนผมหลงผลักมันเลื่อนไปข้างหน้าอย่างลืมตัว
เสียงรถไฟผ่านมา พร้อมกับ ลมอะไรเย็นๆพัดมาจากข้างหลังผม วาบ
ผมรีบหันไปดูท้ายรถ
โห เส้นยาแดงผ่าแปดมาก ท้ายรถห่างจากขบวนรถไฟไม่ถึงเมตร เลยครับ
พอรถไหลลงเนินมาได้นิดหนึ่ง มันก็ไหลต่อไปอีก
โหย... เกือบไปแล้ว ใจผมเต้นแรงราวกับไปวิ่งร้อยเมตรมา
พอรถจอดนิ่ง
ผมก็พยายามเข้าไปแก้ไขสตาร์ทรถอยู่อีกหลายครั้ง
แต่ก็ไม่สามารถสตาร์ทได้อีก
อาจารย์คงก็เลยบอกว่า
"ทิ้งไว้นี่แหละ
อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว เดินไปก็ได้"
แล้วเราก็พากันเดินไปตามทางลูกรัง
ผมเอาไฟฉายจากในรถ มาส่องเดินไปตามทาง
ดีหน่อยวันนี้พระจันทร์เต็มดวง ทำให้ไม่ค่อยมืดเท่าไหร่
สักพักพอสายตาปรับแสงได้ ก็แทบจะไม่ต้องใช้ไฟฉายเลยครับ
เดินไปตามทาง ดูสองข้างทาง มีแต่ป่ากับทุ่งนา จนผมเริ่มสงสัย
ดูเหมือนมันเปลี่ยวจัง
เหมือนถนนหนทาง มันไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมาเลย
พอเดินมาจนใกล้จะถึง ต้นก้ามปูต้นใหญ่ อยู่ข้างทางด้านหน้า
มองไปเห็นโคนต้นเป็นเงาดำที่เกิดจากแสงจันทร์ส่องมา
แล้วอาจารย์หนุ่ม ที่เดินนำอยู่ ก็เหมือนหยุดชะงัก
ผมมองไป เห็นแต่เสื้อใครขาวๆ แกว่งไปแกว่งมา อยู่แถวๆโคนต้น
ใครมันมาเล่นชิงช้าอยู่ใต้โคนต้นไม้ดึกๆแบบนี้วะ
พอพากันเดินเข้าไปใกล้ๆ มองไปที่โคนต้นไม้นั้นอีกที
สิ่งที่แกว่งไปแกว่งมาอยู่
มันเป็นร่างคนจริงๆครับ
แต่พอมองดูดีๆ ก็เล่นเอาผมขนหัวลุกซู่ขึ้นมาอีก
เพราะสิ่งที่แกว่งไปแกว่งมาอยู่นั้น
เป็นร่างผอมๆ มีผมยาวผูกอยู่กับกิ่งต้นฉำฉา
ห้อยไปห้อยมา
อาจารย์คงหยุดเดิน มองไปที่ต้นไม้นั้น สักพัก
แกก็บอกว่า"วิ่ง"
เท่านั้นแหละ อาจารย์คงก็พาพวกผมวิ่งลงไปตามทุ่งนาข้างทาง
ผมรีบวิ่งตามไป นึกในใจ
ผีตัวเดียวทำไมอาจารย์คงแกต้องกลัวด้วย
เหมือนอาจารย์แกได้ยินผมคิดเลยครับ
แกก็บอกว่า ไม่มีของมาด้วย จะสู้กับมันได้ยังไง
ผมเลยรีบหันไปมองที่ต้นก้ามปูนั้นอีกที
เห็นแต่ผีตัวนั้นมันโดดลงมายืนอยู่ใต้ต้นไม้
แล้วอยู่ๆ ตามกิ่งก้านต้นไม้ทั้งต้น มันก็เป็นเหมือน
มีตาอะไรแดงๆ ลืมขึ้นพร้อมกัน
เหมือนมีตัวอะไรอยู่บนนั้นเป็นร้อยๆเลยครับ
พอเห็นแบบนั้นผมก็ตกใจมาก
รีบวิ่งนำหน้าอาจารย์คงไปอย่างไว
พอหันไปมองอีกที ก็เห็นตัวอะไร ตาแดงๆ พากันบินมาทางผมกับอาจารย์กันเป็นขโยงเลย
เฮ้ย... !
"อาจารย์มันมาแล้ว"
พอพากันวิ่งผ่านทุ่งนาเข้าไปในป่าละเมาะ
ผ่านป่าละเมาะออกมาได้นิดหนึ่งก็เจอทุ่งหญ้าอีก
สักพักเริ่มไม่ได้ยินเสียงคนวิ่งตามมาแล้ว
พอหันไปดู ก็เห็นเหมือน อาจารย์หนุ่ม กำลังถอนหญ้าอยู่ครับ
ผมเลยวิ่งกลับมา
แกก็บอกว่า
"หญ้าคาไง"
พอแกถอนหญ้าคามาได้กำมือ ใหญ่ๆ แล้ว
แกก็ท่องคาถา เป่าพรวด ไปที่กำหญ้าคา
แล้วก็ยืนหันหน้าไปตามทางที่เราวิ่งมา
สักพักยอดต้นไม้ตรงป่าละเมาะก็สั่นไหวไปมา
เหมือนจะมีตัวอะไรออกมาจากตรงนั้น
แล้วไม่นานก็เห็นอาจารย์หนุ่มแกฟาดหญ้าคาไปมาในอากาศ
เหมือนกำลังสู้อยู่กับตัวอะไร
แต่ผมมองไม่เห็นอะไรรอบๆตัวแกเลยครับ
อาจารย์หนุ่มฟาดหญ้าคาไปมาอยู่บริเวณนั้นสักพัก แกก็หยุด
หันมาบอกผม ว่า มันไปแล้ว
แล้วพวกเราก็เลยพากันเดินต่อไป
ผ่านดงต้นไม้ ทะลุออกมาก็เป็นลานทุ่งหญ้ากว้างๆอีก
ผ่านมาได้สักพัก
อยู่ๆก็เริ่มมี ลมแรงพัดมา แล้วก็มีเหมือนเสียงฟ้าร้อง ครืน
ดังมาจากทางป่าด้านหลังที่เราเดินผ่านกันมา
ผมกับพวกอาจารย์หันไปมอง
พอฟ้าแลบ ส่องแสงประกายขึ้นเท่านั้นแหละ
ก็เห็นเงาดำทะมึนรูปร่างเหมือนควายเขาโก่งตัวใหญ่ยืนอยู่ที่ดงต้นไม้
ตัวมันใหญ่มากๆ พอๆกับรถสิบล้อได้เลยครับ
พอประกายตามัน แดง วาบขึ้นมา
เท่านั้นแหละ
อาจารย์คงก็บอกเลย
วิ่ง
ผมก็ใส่เกียร์หมาทันทีเลยครับ
สปีดสุดแรงเกิด
หันไปมองควายตัวนั้นอีกที
โห.. มันเข้ามาใกล้อย่างไว
ดูดีๆ ควายมันไม่ได้วิ่งมาครับ เหมือนมันใส่สเก็ตลอยมามากกว่า
พอเห็นแบบนั้นผมก็รีบวิ่งร้องลั่นไปตลอดทาง
วิ่งมาได้พักหนึ่ง
ได้ยินอาจารย์สองคนพูดอะไรกันไปมาอยู่ด้านหลังผม
ได้ยืนแต่ว่า รีบๆ หา
วิ่งมาได้สักพักอีก อาจารย์หนุ่มก็พูดขึ้นว่า
เจอแล้ว
ผมรีบหันไปดูตามเสียงที่ได้ยิน
เห็นแต่อาจายร์หนุ่ม ยื่นอะไรให้อาจารย์คง สักอย่าง
ก่อนที่ร่างอาจารย์หนุ่ม จะกระเด็นลอยไปไกล เหมือนมีอะไรมากระแทกแกอย่างแรง
ผมรีบมองไป เห็นแต่อาจารย์หนุ่ม บอกว่า
ไปกันก่อน ผมถ่วงมันไว้ให้
แล้วอาจารย์หนุ่มก็ พนมมือขึ้น แป๊บเดียวเองครับ
ร่างแกก็กายเป็น เกล็ดๆ สีเขียวๆ วูบวาบขึ้น (วิชายันต์เกราะเพชร)
แล้วอาจารย์คงก็วิ่งมาทางผม ผมรีบวิ่งตามอาจารย์ไป
พอหลบมาได้ ไม่ไกล อาจารย์คงก็นั่งลง
วางย่ามไว้กับพื้นหญ้าด้านหน้า
เอากิ่งไม้ที่ถือในมือ มาหัก แล้ววางลงไปบนย่ามที่ละอัน
มันเป็นกิ่งสาบเสือแห้งครับ อาจารย์หักมาเรียงกันเป็นรูปขนมเปียกปูน
แล้วก็วางก้านยาวๆลงข้างๆอีกสี่ก้าน เหมือนเป็นขา สี่ขา
แล้วก็วางอีกก้านไว้บนมุมด้านบนของสี่เหลี่ยมนั่น
ดูเหมือนเป็นเขา
สักพักอาจารย์ก็เริ่มท่องคาถา
ลมเริ่มพัดแรง จนผมต้องเอามือไปช่วยจับ ย่ามอาจารย์ไม่ให้ปลิว
แล้วอยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดมาปะทะเข้าที่ใบหน้าผมอย่างแรง
แล้วรู้สึก เหมือนมีตัวอะไรวิ่งผ่านออกไปจากข้างหน้าตรงที่อาจารย์ทำพิธีอยู่
ผมรีบหันตามไปมอง ไม่เห็นอะไรครับ
นอกจากเสียง ปริแตก ในอากาศ ดัง แปลบๆ ราวกับมีตัวอะไรวิ่งแทรกอากาศไปอย่างเร็ว
ผมรีบถามอาจารย์คง
มันคืออะไรครับอาจารย์
อาจารย์คงก็บอกว่า วัวธนู
สิ้นเสียงอาจารย์ได้ไม่นาน
ก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างแรง
อยู่ไม่ไกลจากที่เจอ ควายธนูตัวนั้น
สักพักก็เห็น ร่างอาจารย์หนุ่มเดินกระโผลกกระเผลกมา ตัวมอมแมม มีเลือดกลบปาก
เห็นสภาพอาจารย์แล้ว เมื่อกี้ยังนึกเสียวอยู่เลย
ควายธนูตัวใหญ่เท่ารถสิบล้อ ถ้าชนคนธรรมดา คงเหมือนโดนสิบล้อชนแน่ๆ
พอพากันรีบเดินต่อไป อาจารย์ก็ชี้ให้ดูว่า
ข้ามป่าละเมาะนั่นไปก็จะเป็นเขตวัดแล้ว
พอพากันรีบเดินต่อไป อาจารย์ก็ชี้ให้ดูว่า
ข้ามป่าละเมาะนั่นไปก็จะเป็นเขตวัดแล้ว
ผมมองไปตามที่อาจารย์คงชี้ให้ดู
ข้างหน้ามันเป็นทุ่งหญ้าผืนใหญ่ราบเรียบ
แล้วมีดงต้นไม้ใหญ่ๆขึ้นสูงเฉพาะตรงพื้นที่วัดนั้น
จนดูโดดเด่น เหมือนเกาะที่โผล่อยู่กลางน้ำ
เรารีบเร่งฝีเท้า จนดูเหมือนกึ่งวิ่งกึ่งเดินกัน
เดินไปจนถึงแนวป่าละเมาะ บรรยากาศเริ่มเป็นหญ้าแห้งขึ้นไม่สูงมากนัก
แล้วก็เดินทะลุออกมา เข้าเขตวัด
พอเข้าถึงเขตวัด มองไปมองมาผมก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที
ทำไมรั้ววัดมันผุๆพังๆแบบนี้วะ
มองไปรอบๆ สักพัก ก็ยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นมาอีก
มันมีรูปปั้นอะไรเต็มไปหมดเลย
ผมรีบเดินตามไปมองดูรูปปั้นแปลกๆพวกนั้น
เป็นรูปปั้นเหมือนคนไม่ใส่เสื้อผ้ามีสังวารที่คอและลำตัว
ทำไมเขาต้องปั้นอะไรแปลกๆไว้ในวัดแบบนี้ด้วย
ตอนนั้นพอสงสัย ก็เลยถามอาจารย์ไปว่า
วัดนี้มีพระอยู่ไหม ครับ
อาจารย์คงก็บอกว่า
มันร้างมาหลายปีแล้ว
รูปปั้นพวกนี้ เป็นรูปปั้นที่มีส่วนผสมของกระดูกผีเจ็ดป่าช้า
ชาวบ้านเขากลัวกัน ก็เลยไม่มีใครมาวัดนี้
จนสุดท้าย ก็ไม่มีพระเหลือจำพรรษาที่นี่
มันก็เลยร้างอย่างที่เห็นนี่แหละ
นั่นไง ว่าแล้ว
ทำไมบรรยากาศมันดูวังเวง มืดๆ ไม่มีไฟเปิดสักดวง แบบนี้
เดินผ่านไปตามทางมีรูปปั้น เรียงรายอยู่ตลอดทาง
เดินไปพลาง มองดูรูปปั้นพวกนั้นไปพลาง
บางตัวก็ยังปั้นไม่เสร็จก็มี
เราต่างพากันรีบเดินผ่านไปตามทางดินลึกเข้าไปในวัด
มองไปข้างหน้ามีต้นไทรต้นใหญ่
มีรากย้อยลงมาตามกิ่งระโยงระยาง
สร้างบรรยากาศให้รู้สึกวังเวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แถวๆต้นไทร มองผ่านๆ เหมือนมีกำแพงโบสถ์เล็กๆ
แล้วมีอะไรนั่งยองๆเป็นเงาดำตะคุ่มตะคุ่มอยู่ตรงกำแพงนั้น
มองแวบแรกรู้สึกตกใจเล็กน้อย
แต่พอเพ่งมองดีๆ ก็ถึงเห็นว่าเป็นหุ่นปั้นฤาษีสาม-สี่ ตน
นั่งยองๆเรียงกันอยู่กับพื้นยาวไปตามกำแพง
ก็เดินต่อไป ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดแต่ว่า ปั้นซะเหมือนคนมานั่งจริงๆเลย
พอเดินมาถึงต้นไทรหันเข้าไปมองที่กำแพงตรงนั้นอีกที
มองดูดีๆ เห็นเป็นรูปปั้นฤาษีหน้าขาวๆมัวๆเลือนเด่นอยู่ในความมืด
เลยพยายามมองดูไปทีละตัว
ฤาษีตนที่1 ตนที่2 ตนที่3 แล้วก็..
เอะ ทำไมตัวสุดท้ายมันผมยาวๆ หน้าดำๆ วะ
พอจ้องมองดูดีๆว่าเป็นรูปปั้นอะไร
แล้วร่างที่นั่งยองๆอยู่ มันก็สะแหยเขี้ยวขาวโพลน มองมาทางผม อย่างกะจะกินเลือดกินเนื้อ
ผมตกใจ แทบ หงายหลัง ร้อง
เฮ้ย..
ออกมาอย่างลืมตัว
อาจารย์หนุ่มหันมาถามผมว่า มีอะไร
พอผมหันไปมองที่กำแพงตรงนั้นอีกที มันก็หายไปแล้วครับ
เลยบอกว่า เปล่าๆ ไม่มีอะไร (แบบงง งง)
แต่พอกำลังจะเดินต่อ
ตอนนั้นมันนีรากไทรย้อยลงมาโดนหน้าผม
ผมก็เลยใช้มือแหวกออกเพื่อจะเดินไปข้างหน้า
แล้วไม่รู้ทำไมช่วงเดินไปดันแหงนหน้าขึ้นไปดูบนกิ่งต้นไทร
คุณพระช่วย
ร่างผู้หญิงผมยาวหน้าขาวซีดนั่งอยู่บนกิ่งต้นไทร มองลงมาที่ผม ตาแดงกำ
ผมตกใจ รีบก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ
กำลังจะร้องลั่น อยู่ๆมันก็โดดพุ่งลงมา ใช้มือกำที่คอผมไว้อย่างแรง
จนผมร้องออกมาไม่ได้
ผมได้แต่ตะลึง
ร่างผีสาวหายวับไปต่อหน้า
แต่ที่คอผมเหมือนมีลูกพุทราจุกอยู่ในคอหอย
จะร้องก็ร้องไม่ออก
มองไปข้างหน้า เห็นแต่หลังอาจารย์ทั้งสองเดินอยู่ ไม่ได้หันกลับมาดูผม
จนผมเริ่มหายใจไม่ออก น้ำตาเอ่อขึ้นมาเพราะความทรมาร
วินาทีนั้นหน้าพ่อหน้าแม่ลอยมาเลยครับ
เราจะตายที่นี่หรือ
ผมกลั้นใจ รวบรวมแรงที่มี ฝืนร้องออกมาจุดสุดเสียง
ช่วยด้วย
ทันทีที่ร้องออกมาได้ร่างผมก็ล้มตึงลงไปอยู่กับพื้น
มองไปข้างหน้า ก็เห็นแต่อาจารย์ทั้งสองวิ่งมาช่วยผม
ผมทั้งหน้ามืด ทั้งเห็นอะไรเหมือนหิ่งห้อยระยิบระยับรอบหัวเต็มไปหมด
พอพยุงผมลุกขึ้นมานั่งได้ ยังไม่ทันถามอะไรผมเลยครับ
อาจารย์ทั้งสองก็เหมือน รู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาพร้อมๆกัน
รีบหันไปดูรอบๆตัวกันละทิศคนละทาง
แล้วอยู่ๆ ก็เกิดลมโชยมาเอื่อยๆแล้วก็ค่อยๆพัดแรงขึ้นจนใบไม้ใบหญ้าปลิวไปมา
ผมลุกขึ้นยืน พยายามมองไปรอบๆตามที่อาจารย์ทั้งสองมอง
สามคนยืนหันหลังชนกัน พากันหมุ่นตัวดูไปรอบๆทิศ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
คุณพระช่วย
ด้านข้างซ้ายมือตรงกำแพงโบสถ์มีผีผมยาวยืนแยกเขี้ยวเต็มปาก ตาปูดโปน มือใหญ่เท่าใบลาน
ด้านหลังที่เราผ่านมา มีผีผมยาว ผอมแห้ง ห้อยหัวอยู่บนยอดต้นไม้ใหญ่ ตาแดงกำ
ด้านขวามือ มีผีผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน อุ้มลูก หน้าขาวซีด มองมาทางผม
แล้วพอผมหันไปดูข้างหน้าเท่านั้นแหละ
หัวใจแทบหยุดเต้นเลยครับ
เจอร่างผีหัวขาด ตัวดำทะมึน ที่มือข้างหนึ่งถือหัวตัวเอง ทิ้งดิ่งอยู่ข้างๆลำตัว
เฮ้ย.. นั้นมันศพที่เราไปปลุกมานี่
ขนหัวผมลุกซู่ ตัวเย็นเฉียบขึ้นมาราวกับโดนน้ำแข็งสาด
แล้วช่วงที่กำลังตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้ยินเสียง
ต๊อกแก
ดังขึ้นมาอยู่ใกล้ๆ
พอพากันหันไปดูที่ต้นไทร เท่านั้นแหละ หัวใจผมแทบวาย
เจอตุ๊กแกตัวใหญ่เท่าคน มันเกาะอยู่ที่ต้นไทร ห้อยหัวลงมา
แต่หัวมันเป็นหัวคน ตาโตเท่าลูกรักบี้ แลบลิ้นยาวลงมาเป็นวา
พอเห็นสภาพนั้น ขาผมแข็งเกร็งจนก้าวไม่ออก
พากันยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง
แล้วอาจารย์คงก็พูดขึ้นว่า วิ่งสิวะ รออะไร
เท่านั้นแหละ ต่างคนต่างวิ่ง แบบไม่คิดชีวิตเลยครับ
พอหันไปมองที่ต้นไทรอีกที เห็นแต่ตุ๊กแกตัวใหญ่ มันโดดลงมาจากต้นไทร
เป็นเงาตะคุ่มตะคุ่มวิ่งตามพวกเรามา พอมันพ้นออกมาจากเงามืดใต้ต้นไทร ร่างมันก็ค่อยๆจางหายไป
พากันวิ่งมาจนถึงลานหญ้า ข้างหน้าไม่ไกล มีศาลาวัดอยู่
อาจารย์คงนั่งลง ท่องคาถาอะไรสักอย่าง
ผมได้แต่มองไปรอบๆอย่างคนตื่นกลัว
แล้วอยู่ๆ ก็มีล้อเกวียนใหญ่ กลิ้งออกมาจากใต้ถุนศาลา ที่อยู่ใกล้ๆ
พอมันกระเด้งมาจนจะถึงตัวอาจารย์คง
อาจารย์หนุ่มรีบเข้าไปขวางล้อเกวียนใหญ่นั้นไม่ให้มาชนอาจารย์ที่นั่งท่องคาถาอยู่
พอถีบล้อเกวียนกระเด็นไปได้แล้ว
ตัวอาจารย์หนุ่มก็แปลกๆไป ย่อตัวลงกับพื้น แบบคนนั่งยองๆอะครับ
แต่ดูดีๆ เหมือนแกพยายามจะยืน แต่เหมือนมีอะไรหนักๆนั่งทับไหล่แกอยู่
พอผมจะวิ่งเข้าไปช่วย อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีใครมาดึงขาผม จนหน้าผมล้มฟาดไปกับพื้นหญ้า
พอหันไปดูที่ขา ก็เห็นเป็นผมยาวๆดึงที่ขาผมลากไปกับพื้น
ผมได้แต่ร้องลั่น หันไปทางอาจารย์คง เห็นแกนั่งท่องคาถาอยู่
แล้วก็ได้ยินเสียง ต๊อกแก แว่วมา พร้อมกันในตอนนั้น
รอบตัวอาจารย์คงเริ่มเรืองแสงขึ้นอ่อนๆ ก่อนที่อาจารย์คงจะโยนอะไรสักอย่างขึ้นไปบนอากาศ
แล้วก็เกิดลมพัดวูบใหญ่ออกมา พร้อมกับเสียง เห่า ฮ่ง ขึ้น
แล้วยอดต้นไม่ที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้น ก็พริ้วไหวไปมาราวกับมีคนไปปีนป่ายอยู่
อาจารย์คงวิ่งมาทางผม แต่เหมือนมีอะไรมาขวาง แกเลยเอากริชฟาดไปฟาดมาในอากาศ
ก่อนที่ตัวแกจะลอยไปไกล เหมือนลมพัดตัวอาจารย์ปลิวอย่างกะนุ่น
ผมนอนอยู่กับพื้น มองไปทางอาจารย์หนุ่ม เห็นแต่แกนอนหงายอยู่ที่พื้นหญ้า
ผมตกใจ เฮ้ย. อาจารย์เสร็จมันแล้ว
ผมรีบลุกขึ้นยืน พอยืนทรงตัวได้ ร่างผีหัวขาด ก็โผล่มายืนประจันอยู่ตรงหน้าผมทันที
จนผมผวาขึ้นมาอย่างตกใจ
แล้วมันก็พุ่งหายเข้ามาในร่างผมอย่างเร็ว
ทำให้ผมรู้สึกร่างกายเบาหวิว ตัวเย็นชาขึ้นมา
แล้วสักพัก มันก็ร้องเสียงดังออกมา
พร้อมกับร่างกายผมร้อนวูบขึ้น เหมือนมีใครยกเตาร้อนๆผ่านหน้าผมไป
ผมรีบก้มมองดูสร้อยประคำที่คอ รีบกำมันไว้แน่น
แล้วผมก็ได้ยินแต่เสียง หมาตัวที่เห่าเมื่อกี้ ร้อง เอ๋งขึ้น
พอหันไปมองทางเสียงนั้น
ไม่เห็นอะไร แต่เห็นแสงที่เปร่งออกมารอบๆตรงนั้นดับลง ราวกับมีคนปิดไฟ
หันไปมองอาจารย์คงอีกที เหมือนแก ถอยไปสู้อยู่กับอะไรสักอย่างข้างๆแนวกำแพงวัด
มีรูปปั้นตั้งเรียงรายอยู่แถวนั้นเต็มไปหมด
ถัดไปไม่ไกลมีหอระฆังไม้เก่าๆอยู่ตรงนั้น
แล้ววินาทีนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแหวกอากาศ แตกปริไปมา อยู่รอบๆ
เห็นร่างอาจารย์หนุ่ม โผล่ๆ หายๆ กระโดดไปกระโดดมาในอากาศ
แถวๆ บริเวณที่อาจาจารย์คงท่องคาถาตอนแรก
ผมพยายามมองไปรอบๆ
แล้วก็เจอเหมือนมีเงาดำๆใช้ผมยาวๆเท่าต้นตาลเกี่ยวไปที่หอระฆังสูงแล้วก็โยนตัวเองลอยขึ้นไปอยู่บนนั้น
ก่อนจะเห็นกายทิพอาจารย์หนุ่มโผล่ตามขึ้นไปแบบติดๆ
พอเห็นแบบนั้นผมก็ ได้แต่ งง
รีบหันไปดูร่างอาจารย์หนุ่มที่อยู่อีกฝั่ง เห็นร่างนั้นยังนอนนิ่งอยู่ที่พื้น
แล้วขณะเดียวกัน เหมือนสายตาผมเห็นอะไรขยับแว๊บๆ อยู่บนหลังคาศาลาครับ
พอหันไปมอง ก็เจอ ร่างผู้หญิงอุ้มลูกยืนอยู่บนหลังคาศาลา
ขนหัวผมลุกซู่ขึ้นมาอีก
อะไรวะนั่น
แล้วมันก็ค่อยๆ ยื่นมือยาวๆ ลงมาที่ร่างอาจารย์หนุ่ม ก่อนจะบีบไปที่คออาจารย์หนุ่ม
วินาทีเดียวกัน
ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนไม้อะไรหัก ดัง แกร๊ก
พอหันไปดูทางเสียงนั้น ก็เห็นเหมือนระฆัง เอียงตกลงมาจากหอระฆัง
ไม้บนหอระฆังก็ตกลงมาด้วย
ผมรีบมองไปข้างล่าง เห็นแต่อาจารย์คงยืนอยู่ไม่ห่างจากแถวนั้น
ระฆังตกลงไปโดนหุ่นปั้นข้างล่าง
แล้วปูนที่แตกจากหัวหุ่นปั้นก็กระเด็นไปโดนหุ่นปั้นที่อยู่ใกล้ๆอาจารย์คง
อาจารย์คงไม่ทันตั้งตัว เศษปูนกระดูกผีเจ็ดป่าช้าในตัวหุ่น
แตกเป็นผงกระจายคลุ้งไปตามหน้าอาจารย์คง จนแกต้องสะบัดหน้าหนี
เอ้ย.. อาจารย์คง
ผมใจหายวาบ
พอทุกอย่างสงบนิ่งลง
ผมมองไป เห็นแต่อาจารย์คงแกยืนนิ่งเลยครับ
เฮ้ย. เกิดอะไรขึ้น
แล้วก็เห็นร่างกายแกเป็นแสงวูบๆวาบๆ ขึ้นรอบตัว
ผมรีบหันกลับไปมองร่างอาจารย์หนุ่ม
เห็นแต่แกขยับตัว ดิ้นทุรนทุรายไปมา
ผมได้แต่ยืนดูทำอะไรไม่ถูก
แล้วผมก็รู้สึกว่าข้างๆรอบตัว เหมือนมีใครมายืนอยู่ มีไอเย็นยะเยือกกำลังแผ่ปกคลุมเข้ามาช้าๆ
มองไปทาง อาจารย์คง ก็เห็นเงาดำๆเหมือนฝูงลิงนับพัน กำลังปีนป่ายต้นไม้มุ่งไปหาที่ตัวอาจารย์
มองไปทางอาจารย์หนุ่ม ก็เห็นแกแน่นิ่งไปแล้วครับ
วินาทีนั้น ผมรู้สึกโดดเดียวมาก
รู้สึกว่าทำไมคนเราต้องดิ้นรนอะไรแบบนี้ด้วย ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องตายเหมือนกัน
ชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้เอง
ผมทรุดเข่าลงไปนั่งกับพื้น
รู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ไม่มีกะจิตกะใจจะสู้ต่อไป
อาจารย์ผมขออโหสิกรรมด้วย
เราคงมาได้สุดทางแค่นี้หละ
ผมนั่งหลับตา ฟังเสียงลมแรงพัดกระหน่ำไปมา
จนได้ยินเสียงสังกระสีบนหลังคาศาลามันเผยอจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่
พอลืมตาขึ้นอีกที
ก็เห็นแผ่นสังกะสีลอย ปลิวไปมาในอากาศหลายแผ่นแล้วครับ
แล้วก็มีแผ่นหนึ่งเหมือนมันพุ่งตรงมาทางผม
ผมยืนขึ้นมองมัน มันพุ่งมาด้วยความเร็ว ตรงมาหาผมไม่มีอะไรหยุดมันได้
แล้วพอใกล้จะถึงตัวผม อยู่ๆ แรงลมก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเลยครับ
จนแผ่นสังกะสีนั้น มันค่อยๆลดแรงลง แล้วก็อ่อนแรง เบนทิศทางไปตกอยู่ข้างๆผม
พอเห็นแบบนั้นผมก็ตกใจมาก รีบหันขึ้นไปดูบนท้องฟ้า
คุณพระช่วย
พระจันทร์ดวงโต ค่อยๆแหว่งเป็นสีดำเข้าไปช้าๆ
เฮ้ย...
จันทรคราส
ผมรีบหันไปมองทางอาจารย์คง
ร่างดำทะมึนเหมือนฝูงปีศาจที่กำลังไปถึงตัวอาจารย์คง ค่อยๆเลือนหายไป
รีบมองไปทางอาจารย์หนุ่ม มือยาวๆที่บีบคออาจารย์หนุ่มอยู่ค่อยๆเลือนหายไปช้าๆ
ผมรีบวิ่งไปหาแก
อาจารย์ เป็นอะไรไหม
แกหายใจเอาอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นนั่ง แบบคนมีอาการหอบ
พอลุกขึ้นมาได้ เราก็รีบวิ่งไปหาอาจารย์คง
เห็นแกยังยืนนิ่งอยู่
แล้วอาจารย์หนุ่มก็เลยเอาผ้าไปเช็ดผงกระดูดเจ็ดป่าช้าออกจากหน้าอาจารย์คง
พาแกเดินออกมา ตรงลานหญ้าหน้าศาลา
แล้วอาจารย์คงก็เช็ดหน้าเช็ดตาจนแกเริ่มมีสติกลับมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นเราก็พากัน ตรงไปที่หน้าศาลา
พอมาถึงบันไดทางขึ้นศาลา
ศาลาเป็นศาลาไม้ยกพื้นสูง
อาจารย์คงหันกลับไปมองตามทางที่เราเดินมา
มองดูท้องฟ้าสักพักแกก็บอกว่า
จันทรคราส ถ่วงเวลามันไว้ได้ไม่นานหรอก
เดี๋ยวมันก็รวบรวมพลังกลับมาใหม่อีก
ว่าแล้วพวกเราก็พากันเดินขึ้นไปบนศาลาอย่างไม่รอช้า
พอขึ้นมาบนศาลาได้
มองไปรอบๆ มันมืดมากครับ จนผมต้องเอาไฟฉายออกมาส่อง
มองไปรอบๆ ที่พื้นเป็นไม้กระดานเก่าๆ มีฝุ่นจับหนา
ที่เสาเป็นเสาไม้กลมๆ ขนาดเท่าหนึ่งคนโอบได้
ดูแล้วชวนให้วังเวงขึ้นมาทีเดียว
อาจารย์คงบอกว่า เดินทะลุศาลานี่ไปจะเจอโบสถ์เก่าๆ ของที่เราต้องการอยู่ที่นั่น
พอพากันวิ่งไป อยู่ๆขาข้างหนึ่งผมก็ตกทะลุพื้นลงไป
รู้สึกใจหายวาบ
ขาข้างที่ตกลงไป เย็นวูบ รู้สึกข้างล่างเค้วงคว้างว่างเปล่ามาก
จนผมต้องรีบดึงขาขึ้นมาจากรูไม้ที่หัก
รู้สึกแสบๆที่ขา
ผมเลยดึงขากางเกงขึ้นมาดูแผล
ส่องไฟฉายดูที่ขา เห็นแผลขูดยาว มีเลือดไหลซิบๆเลยครับ
พอดึงขาขึ้นมาจากรู อยู่ๆก็เห็นสายตาคน ส่องมองขึ้นมาจากรูตรงนั้น
จนผมขนลุกขึ้นมาอีก
รีบผงะถอยให้ห่างจากรูตรงนั้น
อาจารย์สองคนมาผยุงผมลุกขึ้น ถามว่าเป็นอะไร
ผมก็รีบบอกว่า
อาจารย์ มะมัน มันมาแล้ว
เมื่อกี๊ผมเห็นตาคนส่องขึ้นมา
พูดจบ ก็ได้ยินเสียงดังตึง
ผมรีบส่องไฟฉายไปตามเสียงนั้น เห็นเป็นกลองเพลขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกล
เฮ้ย.. มันดังเองได้ไง
แล้วสักพักกลองเพลมันก็กลิ้งตกลงมาจากแท่นวาง แล้วก็กลิ้งมาทางเราเล็กน้อย
ก่อนจะหยุด แล้วข้างหลังกองเพล ก็มีเงาดำๆสูงใหญ่ปรากฏขึ้น
พอเห็นแบบนั้น ผมกับพวกอาจารย์พากันวิ่งเลยครับ
วิ่งมาจนถึงประตูด้านในสุด
พอผลักประตูเข้าไปดูข้างใน อีกชั้น มันก็เป็นเหมือนโถงใหญ่ๆ
ข้างหน้าสุดเป็นพระพุทธรูปเก่าๆขนาดใหญ่ ปางสมาธิ ที่มียอดเกศาแหลมๆ
หลังคาในโถงนี้ ผุพังไปเกือบหมดแล้ว
รอบๆในห้องผนังที่เป็นเนื้อปูนก็ร่อนจนมองเห็นอิฐที่ก่อ
อาจารย์คง ชี้ให้ดูว่า ของที่จะแก้ อยู่ในเศียรพระใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า
ข้างในเป็นน้ำที่สะสมจากการซึมเข้าไปกลั่นตัวเป็นน้ำบริสุทธิ์
จึงถือว่าเป็นพุทธคุณที่จะเอามาชำระล้าง คุณไสยได้อย่างชั้นเลิศ
พูดจบอาจารย์คงก็บอกลูกศิษย์แกว่า
ให้เอากะลาตาเดียวไปกรอกน้ำในเศียรพระนั้นให้เต็ม
แล้วผมกับอาจารย์หนุ่มก็พากันหาวิธีขึ้นไปเอาน้ำในเศียรพระครับ
ผมให้อาจารย์หนุ่มเหยียบไหล่ผมขึ้นไป
พออาจารย์หนุ่มเอื้อมถึง แกก็ค่อยๆ ยกส่วนบนสุดของเกศาที่เป็นยอดแหลมๆออก
ส่งมาให้ผมช่วยถือไว้
แล้วก็ถึงเอากะลาตาเดียวจุ่มลงไปในเศียรพระเพื่อเติมน้ำลงไป
ช่วงกำลังรอน้ำให้เต็ม อยู่ๆก็เริ่มมีลมแรงพัดมาอีก
ได้ยินเสียงประตู ปึงปัง ปึงปังไปมา อยู่รอบๆ
ผมรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที
มันจะมากันอีกแล้วหรือ
เสียงหลังคาโถงตรงนั้น เริ่มส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
บางทีก็มีเศษของอะไรหนักๆตกลงมาด้วย จนเสียงดัง
ใจผมเริ่มตุ๋มๆต่อมๆ
เร็วๆอาจารย์ ใกล้เต็มยัง
สักพัก อาจารย์หนุ่มก็บอกว่าเต็มแล้ว
แล้วเราก็รีบพากันเข้ามาข้างในศาลาครับ
อาจารย์คง รีบเอา ธูปมาจุด
เอาเทียนมาจุดเป็นวงรอบตัว
เอากะลาตาเดียววางไว้ข้างหน้า
แล้วก็เริ่มท่องคาถา
ผมนั่งอยู่ข้างๆอาจารย์หนุ่ม ข้างหน้าอาจารย์คง
แล้วอยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคน วิ่ง ตึง ตึง ตึง อยู่ข้างหลังผม
ผมรีบหันไปมองก็เห็นเหมือนตัวอะไรวิ่งผ่าน กลางศาลาไปทางซ้าย แล้วก็ว่างเปล่า
มองไปรอบๆมืดสนิท เพ่งมองไปก็เริ่มค่อยๆเห็นเป็นเงาลางๆ ของคนตัวผอมๆ ผมยาวๆ อยู่ในความมืด
ผมเริ่มลนลานไปมา ทำตัวไม่ถูก
สักพักก็มีเสียงดังตึงขึ้นมาจากตรงข้างล่างพื้น จนพื้นไม้ตรงที่เรานั่งอยู่สั่นสะเทือน
ผมรีบมองหน้าอาจารย์หนุ่ม
แกก็บอกว่า เดี่ยวแกจัดการเอง
ว่าแล้วแกก็นั่งสมาธิ
เสียงแกขยับตัวไปมาอยู่สักพัก แล้วก็เงียบไป
สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครวิ่งไล่กันอยู่ใต้ถุนศาลา
แล้วก็มาวิ่งไล่กันบนศาลาเสียงดัง ตึงตังไปมา
เสียงอาจารย์คงท่องคาถาเสียงดังขึ้น
ใจผมก็เริ่มสั่น ได้แต่ภาวนาให้มันจบๆสักที
แล้วอยู่ๆก็เริ่มมีลมแรงพัดเข้ามาในศาลา
จนเทียนเริ่มดับไปหลายเล่ม
แต่อาจารย์คงยังคงนั่งนิ่งสวดคาถาเสียงดังอยู่
สักพัก ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนตีฝาผนัง ปึงปังไปมา
แล้วร่างอาจารย์หนุ่มก็หงายหลังไป ทั้งๆที่อยู่ในท่าสมาธิ
ผมตกใจมาก รีบถามแก อาจารย์ อาจารย์ เป็นอะไรไหม
แต่แกก็นอนนิ่งเงียบ ไม่ตื่น
ผมเลยดึงขาแกออกให้นอนเหยียดขายาว
สักพัก ร่างแกก็สั่นครับ
กึก กึก กึก กึก
เหมือนคนเป็นโรคบ้าหมู
เฮ้ย.. เป็นอะไร เอาไงดี
พอคิดอะไรไม่ออกผมก็เลยถอดสร้อยประคำเอาไปคล้องคอแก
แล้วก็มานั่งหมอบอยู่ตรงหน้าอาจารย์คงต่อ
สักพัก
เหมือนมีคนมาดึงหัวแม่เท้าผม ดังกึก
ผมรีบหันไปมองด้านหลัง อย่างไว
เฮ้ย
(ว่างเปล่า)
ผมรีบเก็บปลายเท้า แล้วก็หันมาทำพิธีต่อ
กำลังนั่งหลับตาตัวสั่นอยู่
อยู่ๆร่างผมก็เหมือนมีคนมาดึง วูบ ไปข้างหลังอย่างแรง
ไถลมาเกือบสองสามช่วงตัว
จนผมได้แต่ร้องโวยวายขึ้น
พอมันหยุด ผมก็รีบลุกขึ้นยืน กำลัง งงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วความรู้สึกบางอย่างก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
รู้สึกตัวเบา เหมือนลอยได้
ก่อนที่จะมีอาการควบคุมตัวเองไม่ได้ตามมา
ขามันอยากวิ่งไปหาอาจารย์คง แต่มันกลับยืนนิ่ง เหมือนไม่ใช่ขาผมเลย
แล้วก็เริ่มได้ยินเสียง หืม หืม..
เหมือนคนโกรธจัดดังอยู่ในหัวผม
วินาทีนั้น รู้สึกถึงความเศร้าหมอง รู้สึกถึงความอาฆาตแค้น
รู้สึกอยากฆ่าคน ประดังประเดเข้ามาในสมองไม่หยุด
พอจะอ้าปากพูด ปากก็เกร็งแข็ง ขากรรไกรค้าง
จะก้าวขาก็ก้าวได้ทีละนิด ขามันหนักมาก
ได้แต่กรอกส่ายสายตาไปมา มองออกไปตรงข้างหน้า
แล้วโลกอีกโลกก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมเลยครับ
เฮ้ย..
สิ่งที่ผมเห็นตอนนั้น
มีตุ๊กแกตัวเท่าคนเกาะอยู่ผนังด้านหลังอาจารย์คง
มีผีร่างผอม ตัวสูงใหญ่บีบคออาจารย์หนุ่มที่นอนอยู่กับพื้นใกล้ๆร่างตัวเอง
หา แกยังไม่เข้าร่าง
มองไปรอบๆแสงเทียน มีเงาดำๆเป็นตัวอะไร เคลื่อนไหวไปมาเต็มไปหมด
แล้วเสียงในหัวผมก็ดังขึ้น
ึ ง ต้องมาเป็นทาสกู
ว่าแล้ว มันก็พาผมเดินไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนจะไปทำร้ายอาจารย์คงต่อ
ผมได้แต่หลับตา พยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้ทำตาม
แล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมา จากอะไรบางอย่างตรงหน้า
พอลืมตาขึ้น ทันใดนั้นเอง
เห็นอาจารย์คง เอื้อมมือไปจับกะลาตาเดียว เท่านั้นแหละ
กะลาตาเดียวก็เปร่งแสงสีส้มออกมาสว่างจ้า จนแสบตา
ร่างอาจารย์คงทั้งร่างกลายเป็นแสงนิออนสีขาว ค่อยๆยืนขึ้น ถือก้อนไฟสีแดงฉาน
ราวกับคนจับก้อนแก้วที่ถูกเผาจนหลอมเป็นสีแดง
เสียงผีที่สิงผมอยู่ กรีดร้องออกมาดังลั่น
อาจารย์คงยืนขึ้น ใช้มือสะบัดกะลาตาเดียวไปมา
จนน้ำในกะลากระเด็นออกมาเรืองแสงเป็นสีส้มพุ่งไปรอบทิศราวแสงกระสูนในยามกลางคืน
หยดสีส้มเรืองแสงพวกนั้นกระเด็นไปโดนวิญญาณชั่วร้ายรอบๆตัวอาจารย์
จนพวกมันดิ้นทุรนทุราย กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
อาจารย์คงเดินไปหากายทิพของลูกศิษย์ที่นอนอยู่กับพื้น
มีผีเป็นร่างเงาดำทะมึนตัวใหญ่ นั่งบีบคออยู่
แล้วอาจารย์คง ก็เทน้ำในกะลาตาเดียวลงไปที่ผีตัวนั้น โดนผีตนนั้นเต็มๆ
จนมันร้องโหยหวนออกมา ร่างกายลุกเป็นไฟ จนมอดไหม้ไปต่อหน้าต่อตาผม
กายทิพอาจารย์หนุ่มหายวับเข้าร่างในพริบตา
อาจารย์คงยกก้อนสีแดงขึ้นหมุนแขนไปมา สะบัดให้เกิดห่ากระสุนเรืองแสงสีส้มขึ้นอีก
จนพวกเงาดำๆ ต่างกระเจิงถอยห่างออกไปเป็นวงกว้าง แล้วก็หายวับไปทีละตัวสองตัว
ตอนนั้นตัวผมควบคุมตัวเองไม่ได้
รู้สึกเหมือนผีในร่างผมมันจะพาผมขยับเดินถอยหลัง
แล้วมือผมสองข้างก็ยกขึ้นมาบีบคอตัวเอง จนผมเริ่มหายใจไม่ออก
มองไปหาอาจารย์คง เห็นอาจารย์กำลัง เดินมาทางผม ในมือถือลูกไฟสีส้มยกขึ้นเหนือหัว
ตอนนั้นผมรู้สึกเกือบจะขาดใจอยู่แล้ว
แล้วอาจารย์ก็ ฟาดแขนที่ถือกะลาไปข้างหน้าอย่างแรง
น้ำในกะลาพุ่งออกมาเหมือนแสงเลเซอร์สีแดงจ้า ตรงเข้ามาผ่าแสกหน้าผม จนผมต้องรีบหลับตา
แล้วเสียง ร้องกรี๊ด ก็ดังก้องขึ้นในหัวผมอย่างแรง
พร้อมกับความรู้สึก ว่าตัวผมเบาหวิว เหมือนลอยอยู่ในอากาศ
แต่แค่เสี้ยววินาที ก็ได้ยินเสียงดัง โป๊ก ในขณะที่หลับตาอยู่
พอลืมตาก็เห็นอาจารย์คงยืนอยู่ที่ปลายเท้าผม
ในสภาพคนปกติแล้ว
ร่างผมนอนหงายอยู่กับพื้น ได้แต่ งง ไปหมด ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วความรู้สึกเจ็บที่ท้ายทอยก็ตามมา
มันรู้สึกจี๊ดไปทั้งหัว จนผมต้องรีบเอามือทั้งสองข้างมากดที่ท้ายทอยไว้
นอนดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด
แล้วอาจารย์คงก็เดินมา เอาน้ำในกะลามาสะบัดใส่ผมอีกเหมือนรดน้ำมนต์
สักพักก็ยื่นมาให้ผม
แล้วก็บอกว่า
กินน้ำนี่ซะ แล้วเอาไปให้มันกินด้วย (มองไปทางอาจารย์หนุ่ม)
ผมรับกะลาตาเดียวมาจากอาจารย์ แล้วก็เทน้ำจากข้างในใส่ปาก
แล้วก็เอาไปให้อาจารย์หนุ่มที่นอนหงาย ลืมตาอยู่ที่พื้นกินด้วย
สักพัก เสียงลมพายุสงบลง
อาจารย์คง ก็บอกว่า เสร็จพิธีแล้ว
ผมได้แต่นั่งอึ้ง กับพลานุภาพที่คนธรรมดาไม่อาจจะเห็นได้เลย ถ้ามองผ่านด้วยตาเนื้ออย่างเดียว
ภาพที่ผมเห็นผ่านโลกของวิญญาณ มันเป็นภาพที่ทำให้ผมต้องจดจำไปจนวันตาย อย่างไม่มีวันลืมได้เลยจริงๆครับ
หลังจากพากันเดินมาที่รถ พอลองสตาร์ทรถดู ปรากฏว่า สตาร์ทติดครับ
สงสัยเพราะทิ้งช่วงไว้นาน แบตเตอรี่ มันเลยมีไฟสตาร์ทขึ้นมาอีก
ผมขับรถกลับไปส่งอาจารย์ที่บ้าน ใช้เวลาพอสมควรครับ
กว่าจะมาถึง ก็เกือบๆ ตีห้าแล้ว
บ้านอาจารย์เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงข้างล่างโล่งๆไม่มีผนัง
มองขึ้นไปตามบันได ข้างบนชั้นสองมีแสงไฟส่องออกมาตรงประตูที่เปิดอ้าอยู่
สงสัยจะมีคนเปิดไฟรออาจารย์กลับบ้าน เพราะอาจารย์หายไปกับพวกเราไม่ได้บอกใคร
พอพากันจะเดินขึ้นไปบนบ้านอาจารย์คง ตรงชานพักบันไดกึ่งกลาง มันมีของวางเกะกะอยู่สองสามชิ้น
เป็นเหมือนตะกล้าใหญ่ๆใส่จานชาม กับพวกลังใส่เครื่องดึม แล้วก็พวกถาดใส่อาหาร วางกองอยู่
พออาจารย์เห็นแกก็เลยบอกว่า อ้าวใครเอาอะไรมากองไว้ตรงนี้
ผมก็เลยอาสาอาจารย์ว่า
ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมยกขึ้นไปให้
ผมกับอาจารย์หนุ่มก็เลยพากันยกตะกล้าใหญ่ๆที่ใส่จานชามขึ้นไปไว้บนบ้านอาจารย์ก่อน
อาจารย์คงเดินตามมาข้างหลังช้าๆ
พอถึงประตูบ้าน ก็รีบพากันยกของเอาไปตั้งข้างใน
พอวางตะกล้าลง มองไปในบ้าน ก็เจอ ชายแก่สองสามคน กับหญิงวัยกลางคน
นอนอยู่ที่เสื่อบนพื้น ไม่ห่างจากประตูนัก
ผมตกใจเล็กน้อย เพราะการส่งเสียงดังโดยไม่รู้ว่ามีคนนอนอยู่
แล้วก็มีชายแก่คนหนึ่ง ลุกขึ้นมานั่งแล้วก็มองมาทางผมกับอาจารย์หนุ่ม แบบงัวเงีย
แต่พอมองไปด้านหลังชายแก่คนนั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจขึ้นมากับบรรยากาศข้างในทันที
เหมือนเขากำลังจะเตรียมสถานที่จัดพิธีอะไรสักอย่าง
พอมองดูไปรอบๆ มันก็ทำให้ผม ถึงกับชะงัก
ข้างๆตรงมุมติดผนังบ้าน มีเตียงถูกปูผ้าสีเหลือง ข้างบนมีผ้าสีขาวคุมร่าง ร่างหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมตกใจเล็กน้อย อ้าว.. มีงานศพหรอกหรือ
แล้วสายตาผมก็ไปหยุดอยู่ที่ กรอบรูป ที่มีข้อความเขียนว่า ชาตะ มรณะ พออ่านไล่ขึ้นไป ด้านบน
เป็นชื่อคนตาย
ผมก็ไม่แน่ใจ เลยรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ตรงชื่อนั้น มีวงเล็บข้างล่างชื่อว่า
อาจารย์คง
เฮ้ย..
ผมตกใจ รีบหันไปดูทางอาจาย์หนุ่ม เห็นแกยืนอยู่ใกล้ๆประตู
แล้วก็เห็นอาจารย์คงยืนอยู่ตรงด้านหลังประตู มองมาทางผม
ก่อนที่แกจะยิ้มให้ แล้วร่างแกก็ค่อยๆเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาผม
ผมร้องเสียงดัง ออกมาอย่างลืมตัว
เข่าทรุดลงไปกองกับพื้น ด้วยความงวยงง ว่าเกิดอะไรขึ้น
พูดจาโวยวายไม่ได้ศัพท์อยู่สักพัก จนคนที่ตื่นมา เขาก็มาประคองผม
ถามว่าเป็นอะไร
คุยกันไปมาอยู่นาน จนผมค่อยๆได้สติ
แล้วญาติอาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่า
อาจารย์คงนอนป่วยหนักที่โรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว สุดท้ายแกก็เสียชีวิตลงเมื่อคืนนี้ ตอนสี่ทุ่มเศษ
จบบริบูรณ์
เรื่องจากพันทิป อาจารย์คง
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735
Post a Comment