ประสบการณ์ทัวร์ป่าเจอกระท่อมร้าง


     คุณจะทำอย่างไรเมื่อไปเที่ยวป่าแห่งหนึ่งกลายเป็นฝันร้ายไปตลอดกาล เมื่อพวกเขาเจอกระท่อมร้างกลางป่าลึก "ประสบการณ์ทัวร์ป่าเจอกระท่อมร้าง"  เรื่องโดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 นักเล่าเรื่องสยองแห่งพันทิป การันตีเลยว่านักเล่าเรื่องสยองท่านนี้มีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจมากและบทสรุปที่ทำให้คุณต้องคาดไม่ถึง ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ผมกับแฟน และก็เพื่อนกับแฟนเพื่อน
พากันไปเที่ยวป่าแห่งหนึ่ง กะไว้ว่าจะเดินเที่ยวลัดเลาะกันไปตามตีเขา
แล้วก็กลับลงมา กางเต็นท์พักกันสักคืน
หลังจากเราเดินเท้าเข้ามาในป่าได้สักระยะหนึ่ง
ก็ถึงตีนเขา ที่เริ่มมีต้นไม้ใหญ่ หนาตามากขึ้น
พอเข้าไปในป่าได้ไม่ไกลมาก แม้จะยังเป็นช่วงเช้าอยู่
แต่ว่าบรรยากาศก็เริ่มมืดครึ้ม คล้ายๆฝนจะตก
ทำให้พวกเราเริ่มกังวลกัน
ระหว่างทางที่เราเดินทางเข้ามา ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่เขาแห่งนี้พอสมควร
แต่ทางที่เราพากันเดินมา รู้สึกเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใครเดินเท่าไหร่

บรรยากาศที่ดูคล้ายมีเมฆหมอก เวลาสูดลมหายใจเข้าไปแรงๆ ได้กลิ่นไอฝนจางๆ
พลอยทำให้รู้สึกถึงความกระปรี้กระเปร่า ที่จะเดินทางผจญภัยไปในป่า ดูแมกไม้นานาพันธุ์
สองข้างทางที่เราเดินผ่าน นอกจากมีดอกไม้แล้วยังมีมอสเขียวๆที่จับตามต้นไม้
จนดูเป็นกำมะหยี่ น่าหลงไหล
เราเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันแปลกตาเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
จนลืมเวลาว่านานเท่าไหร่ เพราะอากาศวันนี้ไม่ร้อน จนทำให้เราแทบไม่รู้สึกเหนื่อยกัน

แต่แล้วสิ่งที่เรากังวัลก็เกิดขึ้น สักพักฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา
ผมกับแฟนรีบมองหาที่หลบฝนกัน
เพื่อนก็วิ่งนำหน้าผมไปพร้อมกับแฟนเขา
วิ่งไปได้สักพัก เราก็ไปเจอ กับกระท่อม เล็กๆ หลังหนึ่ง
พอวิ่งเข้าไป ก็ปรากฏว่า มันเป็นกระท่องร้าง ไม่มีใครอยู่
เราต่างพากันวิ่งเข้าไปข้างในกระท่อมนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร

เข้าไปข้างในได้  สภาพข้างใน ที่พื้น เป็นพื้นดิน
ด้านข้างมีกองฟืน และเศษไม้เป็นท่อนๆ  มีกระสอบปูอยู่กับพื้น
ตรงกลางมี เศษขี้เถ้าพร้อมกับหินก้อนใหญ่สามก้อนวางเป็นเหมือนขาเตา
สำหรับวางหม้อ

ผนังด้านข้างทั้งสี่ด้าน เป็นผนังที่ทำจากใบไม้แห้ง ใบใหญ่ ๆ
หลังคามุงด้วยจาก มองไปรอบๆ บนหลังคา มีใยแมงมุมน้อยใหญ่ ประปราย
มีหน้าต่างทำด้วยจาก ที่ใช้ไม้ค้ำยันเวลาเปิด

เราต่างพากันจับจองหาที่นั่ง เป็นของตัวเอง
เอาท่อนไม้มารองนั่งบ้าง เอากระสอบมานั่งบ้าง

โชคดีที่เข้ามาทัน เพราะฝนเริ่มตกหนักขึ้น จนเริ่มมีน้ำฝนรั่วลงมาหลายจุด
นั่งอยู่ไม่นาน อยู่ๆก็มีคนวิ่งเข้ามาในกระท่อมอีก สองคน
เป็นชายหญิงวัยกลางคน

พวกเราก็เลยขยับขยับกันให้เขาเข้ามานั่งหลบฝนด้วย

เราไม่ได้ถามไถ่ชื่อหรือแนะนำตัวอะไรกัน แต่ก็คุยกันเปรยๆกันไปตามประสา

ผู้ชายที่เข้ามาเขาก็หันมาพูดกับผมว่า
ดูท่าทางจะตกนานเนาะ ตกแรงเลย

ผมก็ได้แต่ยิ้ม แล้วก็บอกว่า ครับ

ตอนนั้นฝนตกเสียงดัง ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครคุยอะไรกัน

นานพอสมควร ฝนก็เริ่มปรอยๆ

อยู่ๆเพื่อนก็เอาท่อนไม้มาจุดตรงที่มีขี้เถ้า
พอก่อไฟติด
ทุกคนก็เริ่มมานั่งผิงไฟกัน

พอเริ่มนั่งล้อมวงกันได้ ก็เริ่มมีการแนะนำตัวให้รู้จักกัน
ก็เลยทราบว่า ชายหญิงทั้งสอง  เขาเป็นสามีภรรยากัน
ก็มีใจรักด้านมาเที่ยวป่าเหมือนกัน

พอเริ่มคุยกันจนพอรู้จักอัธยาศัยกันแล้ว
พี่ผู้ชายคนนั้น แกก็เลยชวนกินกาแฟกัน
ว่าแล้วแกก็เอาหม้อต้มกาแฟออกมา พร้อมกับ ผงกาแฟและน้ำตาล
ไม่นานเราก็มีกาแฟกินกันคนละแก้ว

เวลาตอนนั้นน่าจะสักช่วงบ่ายๆได้ แต่ว่า ท้องฟ้ามันมืดครึ้ม
บวกกับฝนลงเม็ดปรอยๆ ก็เลยทำให้บรรยากาศมันดูเหมือนมืดๆ

พอคุยกันไปได้พักหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าจะหมดเรื่องจะคุยกัน
จนทุกคนก็ได้แต่นั่งจิบกาแฟ อยู่เงียบๆ

เพื่อนผมมันก็เลยเสนอว่า
เรามาเล่าเรื่องอะไร ที่มันสยองสยองกันไหม

แฟนผมกับแฟนเพื่อนก็ทำหน้า เหมือนกะว่า ยี้ ไม่เอา หรอก ประมาณนั้น

แต่เพื่อนก็บอกว่า  น่าตื่นเต้นดีนะ เข้าบรรยากาศ

แฟนเพื่อนก็เลย เอ็ดเพื่อนไปว่า บ้าหรือในป่าในเขา ใครเขาให้พูดถึงเรื่องแบบนั้น

แต่พี่คนที่มาใหม่ แกก็พูดขึ้นว่า
ได้ซิ ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
ว่าแต่ว่า ใครจะเริ่มเล่าก่อนหละ

เพื่อนผมก็เลย บอกว่า เชิญพี่ก่อนดีกว่า พี่อาวุโส สุด

พี่คนนั้นก็หัวเราะ
อืม แต่ไม่รู้ว่าเรื่องของผมมันจะสยองหรือเปล่านะ
เป็นเรื่องเล่ามาอีกทีหนึ่ง
แล้วแกก็เริ่มเล่าให้พวกเราฟัง

เรื่องราวมันมีอยู่ว่า
ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มนักท่องเที่ยวพากันไปเที่ยวในป่า แห่งหนึ่ง
ระหว่างเดินทางไปตาม ทางเดิน ก็มีฝูงวัว ที่คนเลี้ยงต้อนเดินสวนมาตามทางที่นักท่องเที่ยวเดินผ่าน
แต่อยู่ๆไม่รู้ว่าฝูงวัวนั้นมันตกใจอะไร พากันวิ่งแตกตื่นผ่าเข้ามาในกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้น
จนทุกคนต้องแตกกระเจิง หลบฝูงวัวกันจ้าละหวั่น
บางคนก็วิ่งหนีเข้าไปในป่าข้างทาง  จนไปติดอยู่กับขวากหนาม
บางคนก็ยืนกอดกันเป็นกลุ่ม แอบๆอยู่ข้างทาง จนมีวัวบางตัวเอาตัวมาเสียดสีก็มี
บางคนก็ตกใจร้องกรี๊ดกัน ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็มีคนช่วยเอาไว้ได้

หลังจากฝูงวัววิ่งผ่านไป ทุกอย่างสงบลง
ก็พากันกลับมารวมกลุ่มกันอีก เมื่อสำรวจคณะในกลุ่มแล้ว
ปรากฏว่าหายไปคนหนึ่ง
ทำให้ทุกคนต้องออกตามหากันบริเวณนั้น อยู่พักใหญ่
แต่ก็ไม่พบตัว จนเวลาจะพลบค่ำ ก็เลยต้องพากันกลับออกมาจากในป่า
แล้วไปแจ้งให้เจ้านาที่ทราบ ถึงการหายไปของชายคนนั้น

แต่ตอนนั้นหลายคนก็สันนิษฐานว่า ชายดังกล่าวน่าจะตกลงไปในหุบเขาข้างทาง
เพราะสำรวจดูบริเวณนั้น จะมีลักษณะที่ลาดชันลงมาจากทางที่เราเดิน

พอเจ้าหน้าที่ทราบข่าวเขาก็เลยพากันนำกำลังออกตามหาในคืนนั้นเลย

ด้านชายคนนั้น หลังจากที่ ฟื้นมีสติ เขาก็จำได้เพียงว่า
วิ่งหนีวัวเข้ามาข้างทาง แล้ว ตอนนั้นก็เกิดสะดุดขาตัวเองล้ม กลิ้งไปตามพื้น
วินาทีนั้นตัวเขาก็รู้สึกเหมือนว่า โดนผลักให้กลิ้งไปเรื่อยๆไม่หยุด
จนสลบไป มารู้สึกตัวอีกที ก็มืดแล้ว
ตื่นมาก็พบว่าตัวเอง อยู่กลางป่าคนเดียว ไม่มีใครเลย
แล้วก็ใช้ไฟฉาย ส่องเดินไปในป่ามืดๆเพียงลำพัง
รอบๆตัวเริ่มมีทั้งแมลง เริ่มมีทั้งเสียงจิ้งหรีด จักจั่นร้องกันระงม
ป่าที่เขาอยู่มันรกมาก จนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะเดินไปทางทิศไหนดี
ทั้งขวากหนาม และ เถาวัลย์ ต้นหญ้าสูงใหญ่ ทำให้เดินทางลำบาก
ผ่านไปสักพักเนื้อตัวก็เริ่ม ถลอกเป็นแผล เพราะโดนทั้งหนามตำและใบหญ้าบาด

พอเดินทางมาได้สักพัก ก็เริ่มเป็นทางโล่งขึ้น
มีต้นไม้ใหญ่ไม่หนาแน่นเหมือนทางที่ผ่านมา
อยู่ๆก็ เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ต้องปีนต้นไม้ ขึ้นไป ให้สูงๆ
เผื่อจะเห็นแสงไฟ จากเต็นท์นักท่องเที่ยวแถวๆนั้น บ้าง
บางทีอาจจะเจอ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตั้งค่ายพักแถวนี้

พอปีนขึ้นไปได้ระดับหนึ่ง เขาก็เดินไปตามกิ่งไม้ใหญ่
เพื่อจะใช้เหยียบ ปีนขึ้นไปให้สูงที่สุด
แต่อยู่ๆขณะที่เอื้อมมือไป  จะไปจับกับต้นไม้อีกด้าน
พอวางมือกดลงไป เขาก็รู้สึกเหมือนว่า
จับโดนตัวอะไรนิ่มๆ มีขน
แล้วตัวนั้น  มันก็ รีบกระโจนออกจากต้นไม้นั้นทันที
ตัวมันใหญ่เกือบๆเท่าสุนัข
พอเห็นมันกระโจนออกจากที่ซ่อนตัว
เขาก็ตกใจ รีบปล่อยมือจนตัวเองตกลงจากกิ่งไม้
แต่โชคดีที่เขาคว้ากิ้งไม้ใกล้ๆตัวไว้ทัน
แต่ตัวก็ยังลื่นไถลลงมาตามต้นไม้นั้น
จนมาหยุดอยู่ที่กิ่งกิ่งหนึ่ง
แต่ไม่ทันได้พักให้หายใจหายคอ อยู่ก็มีเสียงหึ่งๆอยู่ที่ข้างหู
แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนว่า โดนใครมาเขกหัวอย่างแรง
ยังไม่ทันจะอ้าปากร้อง ก็โดนเข้าไปอีกตามแขน ตามตัว
จนเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างแรง ต้องปล่อยมือ
โดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่
แล้วก็วิ่งกระเจิงหนีพวกแตนอย่างไม่คิดชีวิต

ชายหนุ่มวิ่งหนี หลงไปในป่าไร้ทิศไร้ทาง
จนที่สุดก็มาเจอกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่ง
มีแสงไฟจางๆส่องออกมาจากกระท่อมหลังนั้น
เขารีบวิ่งไปที่กระท่อม ร้องเรียก ขอความช่วยเหลือ

ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วยครับ ผมหลงทางมา

สักพักก็ได้ยินเสียงเป็นชายแก่ๆ  ร้องตอบออกมาจากข้างใน

เออ.. รอเดี๋ยว รอเดี๋ยว

ไม่นานก็เห็นชายแก่เปิดประตู ถือ คบไฟ เล็กๆ เท่ากระป๋องนม เดินออกมา
พอชายแก่เห็นสภาพชายคนนั้น ก็ทักว่า
อ้าวไปโดนอะไรมา  ถึงหน้าตาบวมปูดอย่างนั้น
ชายหนุ่มก็เลย บอกว่า โดน แตน หรือ ต่อ ไม่รู้ต่อยมา

หลังจากชายแกพาเขา เข้ามาข้างใน กระท่อม
ก็เจอหญิงชราคนหนึ่ง หุ่มผ้าขี้งา นั่งอยู่ที่มุม มุมหนึ่ง
ตรง มุมหนึ่ง มีเตาไฟแบบใช้หินมาทำเป็นขาตั้งหม้อ
แล้วก็มีเศษขี้เถ้าอยู่ในเตาตรงนั้น แต่ยังมีไฟแดงๆอยู่ริบหรี่

ขณะที่เดินเข้าไป หญิงชราก็ถามชายแก่ว่า
ใครกัน ตา เขามาทำอะไร

ชายแก่ก็ตอบว่า เขาหลงทางมา โดนอะไรไม่รู้ต่อย
หน้าตาบวมไปหมด

หญิงชราก็เลยบอกว่า ตาเอาน้ำปูนขาวไปทางให้เขาซิ
น่าจะบรรเทาอาการได้

แล้วชายแก่ก็หันมาคุยกับชายหนุ่มคนนั้นว่า
รอเดี๋ยวนะ
ว่าแล้วชายแก่ก็เดินไปที่มุม มุมหนึ่ง ที่มีคล้ายๆถุงเก็บของอะไรห้อยไว้เต็มไปหมด

ชายหนุ่ม นั่งอยู่ข้างๆ กองไฟที่ยังไม่มอดดับ
แล้วก็ถามว่า อยู่กันแค่สองตายายเท่านั้นหรือครับ

แล้วเสียงยายก็ตอบว่า จ๊ะ

ชายหนุ่มนั่งพักได้เดี๋ยวหนึ่ง ตาก็เอา น้ำปูนขาวมาให้ทาตามเนื้อตามตัว
ตาก็ช่วยทาตามหัว ตามท้ายทอย
ชายหนุ่มเปิดกระเป๋า หายาแก้ปวดมากิน
โชคดีที่เขาเอาติดตัวมาด้วยทั้งยาแก้แพ้ และแก้หวัด

หลังจากกินยาเสร็จ มองไปรอบๆมันแทบจะไม่มีที่นอนเลย
ชายแก่เหมือนรู้ว่าเขาต้องการพักผ่อน
ก็เลยเดินไปที่ซอกด้านข้าง ที่ดูเหมือนเป็นช่องประตู
ชายหนุ่มก็เดินตามไปดู
ชายแกก็พูดว่า
มีแต่ห้องเก็บฟืนเล็กๆ พอจะนอนได้ไหม พ่อหนุ่ม
ชายหนุ่มมองไปในห้องเล็กๆ มีไม้เป็นท่อนๆกองอยู่
แล้วก็มีซอกทางเดินพอที่จะให้คน ไปนอนได้ 1 คนพอดี

ชายหนุ่มก็พูดขึ้นว่า
ถ้ามีอะไรปูก็น่าจะนอนได้อยู่ครับ

ชายแก่ก็เลย เอาเสื่อเก่าๆมาปูให้
ชายหนุ่มก็เข้าไปจัดแจงที่ทาง แล้วก็เข้านอน

หลังจากปิดไฟฉาย  ในห้องเก็บฟืนที่ชายหนุ่มนอนอยู่ก็มืดสลัวๆลง
มีแค่แสงไฟจากคบไฟเล็กๆ ที่วางอยู่บนขื่อด้านนอก เล็ดลอดเข้ามาข้างใน

พิษของตัวต่อทำให้เขา นอนไม่หลับ
เลยได้แต่นอนลืมตาคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย
หูเขาก็ได้ยินเสียง สองตายาคุยกัน
จนเขาต้องหันไปมองข้างๆผนังที่มีแสงลอดเข้ามา
ผนังเป็นผนังที่ใช้ใบไม้แห้งทำ เลยทำให้มีรูเล็กรูน้อยให้ส่องดูได้
เขาก็เลยมองลอดช่องที่อยู่ใกล้ๆ ไปดูสองตายาย ว่าทำอะไรกันอยู่

เห็นสองตายายนอนอยู่ด้วยกันแล้วก็คุยกันอยู่ในมุมมืดๆ
สักพัก ตาก็บอกว่า เรานอนกันเถอะยาย
ว่าแล้ว ยายก็เปิดผ้าห่มที่คลุมตัวออก
แล้วก็ยืดคอยาวไปเป่าคบไฟที่วางอยู่บนขื่อ

พอชายหนุ่มเห็นหญิงชรายืดคอยาวขนาดนั้น
ก็ตกใจสุดขีด  ร้องออกมาจนสุดเสียง
แล้วก็วิ่งทะลุผนังกระท่อมหายเข้าไปในป่าเลย

ตื่นเช้ามา ปรากกฏว่า เจ้าหน้าที่ไปพบชายหนุ่มคนนี้
นอนหมดแรง หน้าตาบวมเป่ง
อยู่ห่างไปจากจุดที่เขาหายตัวไปประมาณ 3 กิโล


พอพี่ผู้ชายคนนั้นเล่าจบ
แฟนผมก็พูดขึ้นว่า
แปลกดีคะ  เป็นเราเจอแบบนั้นคง แย่เลย

ช่วงที่กำลังสนทนากันอยู่ อย่างออกรส
อยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ข้างในกระท่อมแบบเงียบๆ
เพราะกระท่อมมันไม่มีประตูปิด

จนทำให้ทุกคนหันไปมองผู้ชายคนนั้นเป็นตาเดียวกัน

ผู้ชายคนนั้นหน้าขาวซีด ผมเปียกน้ำ
เสื้อผ้าก็ดูเหมือนจะหมาดๆ จากน้ำ
สงสัยจะตากฝนมาจนตัวเปียก

เขามองมายังกลุ่มพวกเราที่นั่งผิงไฟกันอยู่
เขาเดินเข้าไปนั่งลงตรงกองฟืนที่สุมๆอยู่ใกล้ๆ

เพื่อนผมก็เลยทักไปว่า เล่นน้ำฝนมาหรือครับ เปียกไปทั้งตัวเลย

ชายคนนั้นก็บอกว่า
ฝนตกแรงจริงๆ

พี่คนที่มากับภรรยาเขาก็เลยชวนผู้ชายคนนั้นมานั่งผิงไฟด้วยกัน
แต่เขาก็ปฏิเสธ  ขอนั่งอยู่แถวๆนั้นดีกว่า เพราะว่า ร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้ว
"ไม่เป็นไรครับ ไม่หนาวเท่าไหร่"

สักพักแฟนเพื่อน ก็เอากาแฟใสแก้วไปให้ผู้ชายคนที่มาใหม่ กิน
เขารับไว้ แล้วก็ถามว่า
พวกคุณมาอยู่ในกระท่อมนี้นานแล้วหรือ
เพื่อนผมก็ตอบว่า
ตั้งแต่ฝนตกลงมาห่าใหญ่ เราก็วิ่งเข้ามาหลบกันที่นี่แหละ

ผู้ชายคนนั้น นั่งฟังแล้วก็พยักหน้า อยู่เงียบๆ

เพื่อนผมก็หันมาคุยกันต่อในกลุ่ม
มองไปทางพี่คนที่เล่าเรื่องสยองให้ฟังคนแรก
แล้วก็พูดว่า
เรื่องของพี่ก็สยองดีนะครับ เข้าบรรยกาศเลย
แล้วใครจะเล่าต่อ

เพื่อนถามแล้วก็มองหน้าทุกคน
แต่ ทุกคนก็เงียบไม่มีใครตอบ

เพื่อนผมก็เลยพูดขึ้นว่า

เอ๊า.! งั้นผมเล่าเอง ก็ได้
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า

สมัยที่ผมเด็กๆ ลุงเล่าให้ฟังว่า
ช่วงที่แกวัยรุ่น ได้มีโอกาศไปเที่ยวป่ากับเพื่อนๆและคนรู้จัก
เพื่อนที่มาชวนลุงบอกว่า จะไปตั้งแคมป์พักกันในป่าสักคืนสองคืน

พอถึงวันที่นัดหมาย ลุงก็จัดแจงเตรียมสิ่งของสำหรับเข้าป่าทุกอย่าง
ไปหาเพื่อนแล้วก็เดินทางไปกับคณะของญาติเพื่อน
ในคณะที่ลุงไป ลุงนับคราวๆน่าจะมีคนร่วมทางสักประมาณ สิบกว่าคนได้
ส่วนใหญ่จะเป็นคนวัยกลางคน และก็มีวัยรุ่นอย่างลุงกับเพื่อนลุงอยู่เพียง
สี่ห้าคน

หลังจากที่เดินเข้าไปในป่าลึกพอสมควร
จนมาถึงลานโล่งจุดหนึ่ง  ทางคณะก็ให้นั่งพักกัน
ลุงกับเพื่อนๆนั่งพักกันอยู่ใต้โคนต้นไม้ที่แห้งตาย เหลือแต่กิ่ง
คนอื่นๆก็แยกย้ายกันนั่งพักอยู่ใกล้ๆแถวนั้น
ตรงนั้นเป็นลานโล่ง มีต้นหญ้าขึ้นสูงเท่าตาตุ่ม เป็นผืนใหญ่เขียวขจี
ลุงมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งลงตรงขอนไม้ขนาดใหญ่
ที่แห้งตายล้มพาดไปกับพื้น

แล้วไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ร้องกรี๊ดขึ้น รีบกระโดดตัวลอย
หันไปมองที่ขอนไม้ แล้วก็รีบถอยหลังออกมาให้ห่างจากตรงนั้น

ทุกคนตกใจหันไปมอง ว่าเกิดอะไรขึ้น
เสียงผู้หญิงคนนั้น พูดว่า
ตัวอะไร   มันขยับได้ด้วย

ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ขอนไม้

ลุงเล่าว่า พอมองดูขอนไม้นั้นดีๆอีกที
ลุงขนลุกซู่เลย
ปรากฏว่ามันเป็นงูเหลือมตัวใหญ่มาก
เท่าๆกับตัวคนเลยก็ว่าได้

ทุกคนก็กรูกันไปตรงนั้น
แล้วงูเหลือมมันก็ผงกหัวขึ้นมา จากกอหญ้า
ตั้งท่าจะฉกไปยังคนต่างๆที่ล้อมมันไว้

แต่ไม่นาน งูเหลือม ตัวนั้นก็ถูก นายพรานคนหนึ่งในกลุ่มฆ่าตาย
แล้วก็เอาเนื้อมาทำอาหารให้พวกเรากินกัน อยู่ตรงจุดนั้น

หลังจากนั้น ก็พากันออกเดินทางต่อ เพื่อให้ไปถึงบริเวณที่จะตั้งแคมป์กัน

ใช้เวลาเดินทาง มานานพอสมควร ทางค่อนข้างกันดาร
ต้องปีนป่าย หลบสิ่งกีดขวางต่างๆนาๆ
กว่าจะมาถึงที่หมาย ก็เล่นเอาซะเข่าอ่อนตามๆกัน
พอมาถึงจุดหมาย ก็เย็นมากแล้ว เกือบๆจะพลบค่ำ

บริเวรที่คณะตั้งค่ายพักกัน มีบึงขนาดใหญ่
มีบัวหลวง ขึ้นอยู่เยอะพอสมควร

พอกางเต็นท์ทำที่พักกันได้แล้ว
ส่วนหนึ่งก็ทำอาหารกัน อีกส่วนหนึ่งก็พากันอาบน้ำที่บึงนั่น

เพื่อนลุงชี้ให้ดูที่ภูเขาลูกหนึ่ง ไกลๆ แล้วก็บอกลุงว่า
ที่นั้นแหละที่คณะจะไป
เพื่อนลุงบอกว่า เขาจะพากันไปเอาเหล็กไหล
พอลุงได้ฟังก็ตาโต
จริงหรือ นึกว่ามาเที่ยวกันเฉยๆเสียอีก

เพื่อนลุงก็บอกว่า
อืมก็ผู้ใหญ่เขาพามาด้วยก็ถือเสียว่ามาเที่ยวแล้วกัน

พอลุงจะลงไปเล่นน้ำ ยืนมองดูบึงใหญ่นั่น
เห็นน้ำนิ่งสนิท มีกอบัวหลวง กับดอกบัวขึ้นหนาตา
ก็พลอยขนลุก นึกในใจ มันไม่มีตัวอะไรอยู่ในน้ำใช่ไหม

จนเพื่อนๆลงไปเล่นน้ำกันหมดแล้ว
เห็นไม่มีอะไร ลุงก็เลยลงไปเล่นน้ำด้วย
เล่นกันได้สักพัก  พระอาทิตย์ก็เริ่มจะตกดินแล้ว
มีกลุ่มผู้ใหญ่เขาก็เริ่ม ลงมาอาบน้ำที่บึง

ลุงเล่าว่ามีน้าผู้ชายคนหนึ่ง เขาเหมือนจะโชว์อ๊อฟ
ว่ายไปเก็บดอกบัว ดอกใหญ่ที่อยู่กลางบึง
พอถึงตรงดอกบัวดอกใหญ่นั้น แกก็ดำลงไป
จะไปเด็ดก้านดอกบัว

แล้วอยู่ๆแกก็พุงพรวดขึ้นมาจากน้ำ
ร้องเอ๊ อะโวยวาย รีบว่ายเข้าหาฝัง

ทุกคนที่เห็นต่างกรูเข้าไปช่วยลากแกขึ้นมาจากน้ำ
พอขึ้นมาจากน้ำได้
แกก็บอกว่า รีบขึ้นมาจากน้ำให้หมดเลย
เด็กๆก็พากันขึ้นมาจากน้ำกัน

แล้วแกก็บอกว่า ตอนแกดำลงไปจะเด็ดก้านบัว
แกเจอเงาอะไรไม่รู้ดำๆ แต่ว่าพอมันลืมตา
ตามันโตมาก  ใหญ่พอๆกับหัวคนเลย

ทุกคนฟังแล้วก็ได้แต่อึ้ง
แล้วก็มีคนหนึ่งถามแกว่า อำกันหรือเปล่านี่ ล้อเล่นใช่มะ
น้าคนนั้นก็บอกว่า โหใครจะมาล้อเล่น
ใครจะลงเล่นน้ำก็ลงเล่นเถอะนะถ้าไม่เชื่อ
เป็นอะไรไปแล้วอย่ามาหาว่าไม่เตือนแล้วกัน
แล้วแกก็ลุกเดินกลับไปที่เต็นท์แก

พวกเด็กๆก็พากันกลัวจนไม่มีใครกล้าลงเล่นน้ำอีก

หลังจากกินอะไรกันเสร็จ ก็พากันแยกย้ายเข้านอน
มีผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง นั่งคุยกันอยู่
พวกลุงก็ไม่ได้สนใจอะไร

พอตกดึก ลุงได้ยินเสียง คน ร้องเอะอะกัน ก็เลยรู้สึกตัวตื่น
เงี่ยหูฟังว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
ก็ได้ยินเสียง เหมือนมีอะไรตกกระแทกน้ำ กระจาย
เสียงดังมาก เหมือนมีอะไรใหญ่ๆตกลงไปในน้ำ
ลุงกับเพื่อนเลยรีบ วิ่งออกไปดู
ปรากฏว่า

ลุงกับเพื่อนเลยรีบ วิ่งออกไปดู
ปรากฏว่า
เห็น พวกผู้ใหญ่ สี่ห้าคน ยืนกันอยู่แถวๆริมบึง
แล้วก็มีผู้ใหญ่ส่วนหนึ่ง ยืนมองอยู่หน้าเต็นท์ตัวเอง
ไม่นานกลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ริมบึง ก็วิ่งมาที่เต็นท์
แล้วก็ ตะโกนว่า

มันเอาไอ้ ดุ้ง ไปแล้ว

ลุงบอกว่า ช่วงนั้นชุลมุนกันอยู่พักหนึ่ง
เห็นคนแก่คนหนึ่งสั่งให้ทุกคน เข้าไปในป่า

แล้วน้าคนหนึ่งก็มาดึงแขนลุงกับเพื่อนลุง แล้วบอกว่า

ไปเร็ว

ลุงก็เลยบอกว่า เดี๋ยวๆ ไปเอากระเป๋าก่อน
แต่น้าคนนั้นก็บอกว่า ไม่ต้องแล้ว
แล้วก็ลากทั้งลุงกับเพื่อนเดินไปหากลุ่มผู้ใหญ่ ที่มารวมตัวกัน

พอรวมตัวกันเป็นกลุ่มได้ไม่นาน ทุกคนก็ออกเดินทาง
โดยมีคนแก่ๆคนหนึ่งนำทาง

ลุงบอกว่า ตอนนั้นในป่ามันมืดไปหมด จนต้องเอามือแตะตัวกันไว้
เสียงฝีเท้าที่เดินเสียดสีไปกับต้นหญ้า ดัง แซดๆ ตลอดทาง
พอเดินมาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงเหมือน ต้นไม้ปริแตก ดัง แกร๊ก
แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนต้นไม้ใหญ่ๆ
มันหัก โค่นลงกระทบกับพื้นเสียงดัง ตึ่ม โครม
อยู่คล้อยหลังพวกลุงไกลๆ

เท่านั้นแหละ เสียงฝีเท้าที่ดังแซดๆ ก็ดูเหมือนว่า ดังถี่ขึ้น
เหมือนจะพากันเร่งฝีเท้า เป็นกึ่งวิ่งกึ่งเดินกัน

จนเสียง ต้นไม้หัก  เสียงต้นไม้ปริแตก ดังไล่หลังพวกลุงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
คราวนี้ก็กลายเป็น ทุกคนต่างพากันวิ่งไปตามๆกันไม่มีใครหยุดเดินเลย

จนลุงต้องถามน้าคนที่วิ่งอยู่ข้างๆ

เราจะไปไหนกันครับ

น้าที่อยู่ข้างๆไม่ได้ตอบอะไร นอกจาก พูดว่า
เร็วๆ

ลุงวิ่งมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มเหนื่อย จนต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดิน
กลุ่มวัยรุ่นที่มาด้วยกันบางคนก็ วิ่งนำหน้าลุงกับเพื่อนไปก่อน
จนลุงเกือบๆจะอยู่รั้งท้าย

พอลุงมองกลับไปดูด้านหลัง
ก็เห็นชายคนหนึ่ง กึ่งวิ่งกึ่งเดินถือปืน คุมอยู่ด้านหลัง

ลุงก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นนายพรานคนนั้น ที่เขาฆ่างูเหลือมยักษ์
เพราะว่า ในคณะมีเพียงพรานคนนั้นคนเดียวที่มีปืน
นอกนั้น ก็จะมีแค่ผา หน้าไม้

แต่พอชายคนนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ลุง
ลุงมองหน้าแล้วปรากฏว่า ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ พราน
แต่ลุงจำได้ว่า ปืนที่ถือคือปืนของนายพรานคนนั้น

ก็เลยถามผู้ชายคนนั้นว่า  พรานไปไหนแล้วครับ
ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า

พรานดุ้งโดนมันเอาไปกินแล้ว  เร็วรีบไป

พอพากันวิ่งหนีมาได้สักพักใหญ่ๆ
ก็มาโผล่ตรงลานโล่ง จุดหนึ่ง
ลุงวิ่งออกมาจากในป่าแทบจะเป็นคนสุดท้าย
มีกลุ่มผู้ใหญ่วิ่งมาดึงแขนลุงให้ไปรวมตัวกับพวกเด็กๆ

ตอนนั้นลุงได้ยินเสียงต้นไม้หัก ต้นไม้โค่นล้ม ดังใกล้เข้ามามาก
แต่ยังไม่เห็นผู้ชายคนที่ถือปืนคุมท้าย วิ่งออกมาจากในป่า

สักพักก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ปัง  ปัง  สนั่นไปทั่วป่า
พอเสียง ปืน เงียบลง ทุกคนก็ยืนมองไปตรงทางที่เราออกมา

ลุงบอกว่า ขนลุงลุกซู่ไปทั้งตัว ตัวเย็นเฉียบ อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เพราะสิ่งที่เห็น เป็นเงาดำ สูงตระหง่าน อยู่หลังกลุ่มต้นไม้ใหญ่
เงาดำนั้นค่อยๆเลือนเด่นชัดขึ้น จนเริ่มมองเห็นตามัน ที่โตใหญ่เท่าลูกมะพร้าวก็ว่าได้
มันหยุดอยู่ แล้วชูคอ แผ่แม่เบี้ย ยกหัวสูงเกือบๆจะถึงยอดต้นไม้ใหญ่ ที่สูงพอๆกับตึกสามชั้น

ช่วงที่แสงไฟจาก คบเพลิง สะท้อนไปโดนตามัน เปร่งประกายออกมาเป็นแสงสีแดง
ลุงบอกว่าแทบจะฉี่ลาดเลย

ช่วงที่ทุกคนกำลังยืนมองกันอย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่นั้น
อยู่ๆชายคนที่ถือปืนรั้งท้ายกลุ่มก็วิ่งออกมาจากในป่า

พอทุกคนเห็นก็ต่างพากัน ร้องเร็วๆ เร็วๆ
แล้วชายคนนั้นก็วิ่งมารวมกลุ่มกับทุกคน

ลุงยืนดูสิ่งที่เห็นอยู่สักพัก แล้วเงาดำทะมึนนั้น ก็ค่อยๆเลือนหายไป
หันมามองในกลุ่ม
เห็นแต่พวกผู้ใหญ่ส่วนหนึ่ง นั่งพนมมือหันไปมองอีกด้าน
แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า

ท่านชีปะขาวมาช่วยพวกเราแล้ว

แล้วพวกผู้ใหญ่ก็ดึงมือลุงให้นั่งลง พนมมือไหว้
ลุงมองไปตามทางข้างหน้า
เห็นคนคนหนึ่ง ตัวเล็กเท่าเอวน่าจะได้
จะว่าเป็นคนแคระก็ไม่ใช่ เพราะสัดสวนก็เหมือนคนปกติ
เพียงแต่ว่าไม่สูง
เหมือนเด็กๆ สัก ป2 ป3
แต่มีหนวดเครายาว อยู่ในชุดนุ่งขาว ห่มขาว

พอเหตุการณ์สงบลง
ไม่มีใครกล้าถามว่า สิ่งที่ไล่ตามมาคืออะไร
แต่ก็มีกลุ่มผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง คุยอยู่กับ ท่านชีปะขาว
ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน

แต่ได้ยินท่านตอบกลับกลุ่มคนเหล่านั้นว่า
จะเอาชีวิตไว้ หรือจะกลับไปเอาของ

นั้นหมายถึงว่า ถ้าเรากลับไปเอาของที่เต็นท์พัก
ก็หมายถึงว่าเราจะตายกันหมด
เลยทำให้ คนแก่ที่เป็นคนนำกลุ่ม ตัดสินใจ กลับออกมาจากป่าเลย

รอจนกระทั่ง เช้า
ท่านชีปะข่าวก็ชี้ทางให้ว่า จะออกจากป่าตรงนั้นได้จากทิศไหน
แล้วก็ชี้มือไป ในทิศหนึ่ง

พอพวกคณะจะลาท่านชีปะขาว
อยู่ๆก็มีน้าคนหนึ่ง พูดว่า
พวกเราจะลาท่านชีปะขาวแล้ว
อาจารย์พอจะมีของดีของขลังฝากเอาไว้เป็นที่เตือนใจ
เตือนสติบ้างไหมครับ

ท่านชีปะขาวก็พยักหน้ายิ้ม
แล้วก็บอกว่าท่านจะให้ กับผู้ที่บริสุทธิ์เท่านั้น
ลุงบอกว่า หมายถึงคนที่ยังไม่เคยเสียตัว

พอไล่เรียงกันอยู่ในกลุ่มนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่า
มีลุงกับเพื่อนลุงแล้วก็วัยรุ่นอีกคนที่อยู่ในข่าย

แล้วท่านชีปะขาวก็ให้ของดีลุงมา
พอเรียกลุงให้เข้าไปหาท่าน ท่านก็บอกให้แบมือ
แล้วท่านก็เอาก้อนหินสีดำๆใส่ไว้ในมือลุง
บอกให้ลุงกำไว้
แล้วท่านก็ท่องคาทา สักพัก ก็บอกให้ลุงแบมือ
พอลุงแบมือ ปรากกฏว่า หินสีดำนั้นหายไปแล้ว


หลังจากกลับออกมาจากป่านั้นได้
ไม่นานลุงก็ย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่อื่น
เลยทำให้ขาดการติดต่อกับเพื่อนลุงคนนั้น

พอเพื่อนเล่าจบ ผมก็พูดขึ้นว่า
โห ลุงแกโม้หรือเปล่าวะ อย่างกะหนังผจญภัย

เพื่อนก็บอกว่าที่แรก ก็คิดแบบนั้นแหละว่าลุงแกโม้
แต่สุดท้ายลุงแกก็โชว์ของดีที่ได้จากชีปะขาวให้ดู

ผมก็ถามว่า เออ แล้วตกลง ของดีทีว่าคืออะไรวะ

เพื่อนก็ตอบว่า
ลุงให้จับดูตรงต้นแขนลุง มันเป็นก้อนแข็งๆเหมือนหิน
ฝังอยู่ในต้นแขนลุง

ข้าก็เลยถามลุงไปว่า แล้วมันใช้ทำอะไรอะลุง

ลุงก็เล่าให้ฟังว่า ใช้ป้องกันสัตว์เลื้อยคลานมีเขี้ยวมีพิษทุกชนิดกัด

ตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นะ

แต่แกเล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานทุกคนฟังแหละ
ไม่มีใครเชื่อแก
จนวันหนึ่ง มีงูจงอางตัวใหญ่ โผล่มาที่หลังบ้านเพื่อนบ้าน
มีคนไปมุงดู  รอหน่วยกู้ภัยมา
ช่วงที่กำลังรออยู่
อยู่ๆลุงมาจากไหนไม่รู้ เดินไปดึงหางงูจงอางตัวนั้นออกมาจากที่ซอก

มันก็เลื้อยออกมาตั้งท่าจะฉกลุง ชูคอสูงเกือบๆเมตร
แต่ลุงไม่กลัวเลย
ค่อยๆยื่นมือไปลูปหัวมัน
แล้วมันก็ค่อยๆ เลื่อนตัวลงต่ำ แล้วก็หมอบไปกับพื้น
แล้วลุงก็จับมัน

นั้นแหละ ผมถึงเชื่อสนิทเลย

เชื่อไหม วันที่ลุงเสียนะ
จำได้ว่า
ลุงบอกว่าให้ผมจับหินที่ฝังอยู่ที่แขนลุง เพียงคนเดียวเท่านั้น
แสดงว่าคนอื่นไม่รู้ว่าลุงมีหินนั้นอยู่ในตัว
วันที่เผาศพลุง
ผมนี่ลงทุนไปเฝ้าเตาเผาศพลุงทั้งคืนเลย
กะว่า พอสัปเหร่อเปิดเตาเผานี่ ผมคนแรกเลยจะได้ไปเก็บเถ้าลุง
ตั้งใจเลย ต้องเจอหินก่อนนั้นแน่

พอเพื่อนเล่ามาถึงตรงนี้
ด้วยความอยากรู้ ก็เลยรีบถามไปว่า
เฮ้ย..! แล้วเป็นไง   เจอไหม ?

เพื่อนก็บอกว่า ..
พอถึงเวลาจะเก็บเถ้ากระดูกลุง
ญาติๆดันแห่มาจากไหนไม่รู้มาแย่งกันเก็บเถ้าลุงกันใหญ่
สรุป ก็เลยไม่ได้
ไม่รู้ว่ามีคนเจอไหม หรือว่า หาไม่เจอก็ไม่รู้เหมือนกัน

ผมก็เลยหัวเราะเพื่อน
โห ลงทุนไปเฝ้าทั้งคืนเลยนะ แฮ้ว ซะงั้น

5555555

พอผมพูดจบทุกคนก็หัวเราะตาม
พลอยทำให้เพื่อนผม  ยิ้ม ออกมาอย่าง อายๆ

อ้าว เล่าเรื่อง สยอง ดันมาเป็นเรื่องตลกซะงั้น

แต่พี่ผู้ชายคนนั้นกับแฟนแกก็ชมเพื่อนว่า
เล่าเรื่องได้ตื่นเต้นดี  ได้กลิ่นอายของการผจญภัยเลยทีเดียว

พอสิ้นเสียงหัวเราะของพวกเรา
เสียงชายคนที่มาใหม่ นั่งอยู่ตรงกองฟืน ก็แทรกขึ้น

ถ้าเล่าเรื่องสยองกันอยู่  ผมก็พอมีเรื่องแนวๆนี้อยู่บ้าง


ทุกคนหันกลับไปมองชายคนนั้น
สภาพอยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งยืน พิงกองฟืนอยู่

เพื่อนผมก็เลยพูดว่า
เอาเลยพี่ เล่าเลย

ยังพูดไม่ทันจบ เสียงฟ้าร้องก็ดัง ครืนๆ มา
แล้วก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่า เปรี๊ยง เสียงดัง แรงมาก
เหมือนมัน ผ่าลงมาใกล้ๆ แถวนี้
พลอยทำให้ทุกคนสะดุ้งโหยงไปตามๆกัน

สิ้นเสียงฟ้าร้อง
ชายคนนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวของเขา ว่า

มีคู่รักหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่ง มาเที่ยวในป่า
ทั้งสองเป็นคู่รักที่ดูเหมือนจะพึ่งข้าวใหม่ปลามัน
เดินจูงไม้จูงมือ หัวล่อต่อกระซิบกันไปมาอยู่ในป่า ด้วยความสุข

โดยที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่า
กำลังตกอยู่ในเป้าสายตาของผู้ชายคนหนึ่งอยู่

สายตาคู่นั้นมองทั้งสองอยู่ห่างๆ ด้วยความอิจฉา
แล้วก็ค่อยๆเดินตามชายหญิงคู่นั้นมาตลอดทาง

จนพอเข้าไปในระยะที่พอสังเกตเห็น
คู่รักทั้งสองก็พยายามมองคนที่เดินตามมา ด้วยความสงสัย
แล้วชายที่ตามมาก็ ทำเป็นกลบเกลื่อน เดินเข้าไปหา ขอยืมไฟแช็กเพื่อจะต่อบุหรี่

ช่วงที่ได้หยุดพูดคุยกัน ชายแปลกหน้าที่ตามมา
แทบ ไม่ลดละสายตาที่มองฝ่ายหญิงเลย
อาจจะด้วยเพราะ ฝ่ายหญิงเป็นคนหน้าตาผิวพรรณดี
จึงทำให้ชายแปลกหน้า หลงใหลได้ปลื้มในตัวเธอเป็นยิ่งนัก
ประหนึ่งเหมือนว่า เธอเป็นของของเขาแล้ว

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง
ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ขอร่วมเดินทางไปด้วย
โดยเขาขออาสา ว่า  จะพาไปดูจุดที่สวยที่สุดในละแวกนี้
ที่มีลำธารน้ำใส และมีป่าที่สมบูรณ์สวยงาม
เหมาะแก่การถ่ายรูป

ทั้งสองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แล้วก็ร่วมเดินทางไปกับชายแปลกหน้าคนนั้น

ระหว่างเดินทางนั้น
ชายแปลกหน้าคนนั้นบอกว่าเขาเคยไปเป็นทหารมาก่อน ก่อนจะลาออก
แล้วมาทำธุรกิจเล็กๆ พอมีพอกินเลี้ยงตัวเองได้

คู่หนุ่มสาวทั้งสอง ออกจะพูดน้อยไปหน่อย
ได้แต่เงียบฟังชายแปลกหน้าคนนั้นพูดพล่ามไม่หยุด

จนมาถึงจุดนั่งพักจุดหนึ่ง หลังจากที่ชายแปลกหน้าหายเข้าไปในป่า
ฝ่ายหญิงก็พูดกับแฟนของตัวเองว่า
ฉันว่า เราน่าจะขอแยกทางกับผู้ชายคนนี้ดีกว่า
ดูเขาพูดแล้ว มีหลายอย่างไม่น่าไว้วางใจเลย
ชายคู่รักได้ฟังก็เห็นด้วย แล้วก็บอกว่า
ถ้าเขากลับมา เราจะบอกว่าเราจะไปอีกทางหนึ่งกัน

ไม่นาน ชายแปลกหน้า ก็ออกมาจากป่า
พร้อมกับหิ้วกระตายตัวหนึ่งมาด้วย
เขาโชว์กระต่ายที่ตายแล้วให้ ทั้งคู่ดู บอกว่า
หม่ำมื้อเที่ยงกันไหม แล้วก็หัวเราะ 5555

พอชายแปลกหน้าคนนั้นเดินมาใกล้ๆ ทั้งสองก็เลยตัดสินใจ
บอกกับเขาว่า
เราจะแยกไปอีกทางหนึ่ง คงต้องเจอกันแค่นี้หละ

ชายแปลกหน้า ทำหน้าตกใจเล็กหน่อย ก่อนจะพูดว่า

อ๋อ เอางั้นหรือครับ ไม่เป็นไร
แต่ก่อนจะไป
อยากให้ลองชิมฝีมือผม ย่างกระต่ายก่อนนะ ค่อยแยกย้ายกัน


หนุ่มสาวมองหน้ากัน แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ก็เลยนั่งลง มองดู ชายแปลกหน้าคนนั้นถลกหนังกระต่าย
แล่เนื้อ เอาเกลือทา แล้วก็ ก่อไฟย่างกระต่าย อย่างชำนาญ

ครู่ใหญ่
เขาก็เอามีดหันเนื้อกระต่ายใส่กับใบไม้มาให้ทั้งคู่กินกัน
ช่วงที่นั่งกินเนื้อกระต่าย
ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ได้แต่มองหน้าผู้หญิงคนนั้น
แล้วก็ยิ้มให้แบบแปลกๆ จนฝ่ายหญิงเริ่มรู้สึกไม่ดี ไม่กล้าสบตา

สักพัก ก็เลยขอตัว เดินแยกออกมาจากชายแปลกหน้าคนนั้น

หลังจากที่ทั้งสองเดินออกมาจากจุดพักตรงนั้น
จนคิดว่าน่าจะมาไกลพอที่ชายคนนั้นจะไม่ได้ยินเสียงของเขาทั้งสองแล้ว

ฝ่ายหญิงก็พูดขึ้นว่า
ฉันรู้สึกเหมือนผู้ชายคนนั้นมองฉันแปลกๆตลอดเวลาเลย
ชายหนุ่มที่เป็นแฟนก็บอกว่า
อืม ฉันก็รู้สึกว่าเขาสนใจเธอเป็นพิเศษ และเขาก็ช่างจ้อได้เก่งมากๆ
ฝ่ายหญิงก็สมทบอีกว่า ใช่ ฉันละไม่ชอบเลยคนแบบนี้

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันไป ก็หารู้ไม่ว่า
ชายแปลกหน้าได้สะกดลอยตามมาแบบลับๆ
และได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองนินทาเขา

เดินทางมาได้สักระยะหนึ่งพอทั้งสองจะนั่งพัก
เปิดกระเป๋าเอาน้ำมาดื่ม ด้วยความกระหาย

ก็ปรากฏว่า น้ำที่เตรียมมาในกระติกสนาม
มันหมดเกลี้ยงเลย ทำให้ทั้งสองตกใจ

เฮ้ย น้ำทำไมมันหมดได้
จำได้ว่าเราดืมกันครั้งสุดท้าย มันก็ยังเหลืออยู่เกือบๆครึ่งนะ

พอยืนมองหน้ากัน ก็ทำให้ทั้งสองสงสัย
หรือว่าจะเพราะชายแปลกหน้าคนนั้น แอบมาเทน้ำทิ้ง
ตอนที่ใช้เราสองคนไปตัดใบไม้มาให้เขา

พอคิดได้ดังนั้น
ก็ทำให้ทั้งสองโมโหชายแปลกหน้าคนนั้นมาก

ไม่น่าทำกันได้

หลังจากตั้งสติได้ ชายคนรักก็ชวนให้เดินไปหา ลำธารกัน
เพราะชายแปลกหน้าคนนั้นบอกว่ามีลำธารอยู่แถวๆตีนเขาลูกนั้น
ว่าแล้วทั้งสองก็มุ่งหน้า เดินไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจ

ระหว่างเดินทางไปหาแหล่งน้ำ
ทั้งสองก็เจอกับซอกหุบเขาเล็กๆ มีคนตัดกิ่งไม้ มาสุ่มๆ กั้นทางไว้
ไม่ให้เดินไป ถ้าจะไปก็ต้องปีนขึ้นไปตรงซอกหุบเขานั้น

แต่มองไปไม่ไกลก็มีธารน้ำอยู่ด้านหน้า
ชายหนุ่มคนรักก็เลย บอกให้ฝ่ายหญิงรออยู่ตรงนั้นก่อน
แล้วตัวเขาเองก็เดิน  อ้อมไปอีกทาง

หญิงคนนั้นรอผู้ชายอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่เห็นมาสักที
จึงร้องเรียกแฟน อยู่ตรงนั้น
สักพัก ก็เห็น ผู้ชายคนหนึ่ง เดินออกมาจากป่าข้างๆ
พอมาถึงใกล้ๆ เธอจึงจำได้ว่า
ชายคนนั้น ก็คือ ชายแปลกหน้าที่เธอเจอนั้นเอง

ชายแปลกหน้าเดินมา หาเธอ ด้วยสีหน้าที่ตกใจ
แล้วก็บอกว่า แฟนเธอ โดนงูกัด ล้มฟุ๊บ อยู่ตรงข้างๆ ธารน้ำ

พอหญิงสาวได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ
รีบถามว่า เขาอยู่ตรงไหน

ชายแปลกหน้าก็บอกว่า
อยู่ทางนี้ตามผมมา

ชายแปลกหน้าพาหญิงสาวลัดเลาะไปตามป่า
ปีนป่าย หลบหลีก ไปตามที่ลาดชัน
แล้วก็ทะลุลงไปถึง จุดที่มีลำธาร
ชายแปลกหน้ารีบพาเธอกึ่งเดินกึ่งวิ่ง จนมาหยุดอยู่ที่ริมลำธาร

อ้าวเขาหายไปไหนแล้ว  ชายแปลกหน้าพูดขึ้น

หญิงสาว มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นวี่แววของแฟนหนุ่ม
ก็เลยตระโกนเรียกแฟนหนุ่ม  แต่ก็ เงียบไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

จนสักพัก พอหญิงสาวคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ก็รีบหันไปมองชายแปลกหน้า ทันที

คุณหลอกฉันใช่ไหม  คุณสะกดลอยตามเรามา ไม่งั้นคุณจะมาเจอเราได้ไง

ชายคนนั้นก็ตอบว่า
ใจเย็นๆครับ ผมไม่ได้ตามคุณมาเลย
ก็อย่างที่บอก ที่ผมชวนพวกคุณมา ลำธารนี่
ก็เพราะผมตั้งใจจะมาที่นี่อยู่แล้ว
และพอมาถึง ก็มาเจอแฟนคุณสลบอยู่ตรงนี้พอดี
แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน

แล้วหญิงสาวก็พูดขึ้นว่า
แล้วฉันจะไว้ใจคุณได้อย่างไร เพราะคุณชอบมองฉันแปลกๆ

ชายแปลกหน้า ก็หัวเราะ
เรื่องนั้นเองหรือ ต้องขอโทษด้วยครับ
ก็เพราะผมไม่เคยเจอใครที่มาเดินป่าแล้วสวยอย่างคุณอะซิ
ดูหน้าตาอย่างกะ เต้ย จรินทร์พร
อย่าว่าแต่ผมเลยครับ ต่อให้ใครได้เห็นก็ต้องจ้องมองคุณอย่างผมนี่แหละ
เอางี้ ถ้าคุณยังไม่เชื่อใจผม
ทั้งตัวผมมี มีดพับเล่มเล็กๆนี้ กับมีดพกอันใหญ่นี่ ผมให้คุณถือไว้เลย

ว่าแล้ว ชายแปลกหน้าก็ยื่นมีด ไปให้หญิงสาว
หญิงสาวรับมีดไว้ แล้วก็มองดูชายแปลกหน้าเหมือนยังไม่ไว้ใจ

สักพัก ชายแปลกหน้าก็พูดขึ้นว่า
ผมว่าเรารีบตามหาตัวแฟนคุณกันดีกว่า เขาอาจจะอยู่แถวๆนี้แหละ

ว่าแล้วทั้งสองก็ออกเดินเลาะไปตามลำธาร
พอผ่านมาไม่นาน ก็เจอกระเป๋าเป้ ของแฟนหนุ่ม กองอยู่ข้างๆลำธาร

นั้นไง

ชายแปลกหน้า ชี้ไปที่กระเป๋า แล้วทั้งสองก็รีบวิ่งเข้าไปดู
พอไปถึง เป้ใบนั้น หญิงสาวก็รีบหยิบมาดู
ปรากฏว่า มีเลือดตกอยู่ข้าง ๆ บริเวณนั้นเต็มไปหหมด
หญิงสาวตกใจ เมื่อเห็นเลือด เพราะมันเยอะพอสมควร
หญิงสาวก็ตระโกนเรียกแฟนอีก แต่ก็เงียบไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

โห มีเลือดด้วย อะ  เสียงเธอสั่นๆ
สักพัก เธอ ก็นั่งลงร้องไห้ แล้วก็เรียกชื่อแฟนไปมา

จนชายแปลกหน้าเข้ามาปลอบ
แถวนี้มีสัตว์ดุร้าย ชกชุม  ผมว่า แฟนคุณอาจจะโดนตัวอะไรคาบไปแล้วก็ได้
เราน่าจะไปขอกำลังเสริมมาช่วยตามหานะ
นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวถ้าชักช้ายิ่งมืด แล้วจะแย่

พอเธอได้ยิน เธอก็ ถามว่า จะไปขอกำลังเสริมยังไง
ชายคนนั้นก็ชี้ไปบนเขา แล้วก็บอกว่า
ที่นั้น ช่วงกลางๆภูเขาลูกข้างหน้า มีสถานี ช่วยเหลือ นักท่องเที่ยว
เขาสร้างไว้ให้สำหรับ คนที่ต้องการขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน
เราสามารถไปใช้วิทยุสื่อสารที่นั้น  ติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่ข้างล่างได้

(ทำไมไม่ใช้โทรศัพท์อะ  ตรงบริเวณนั้นไม่มีคลื่นโทรศัพท์ครับเนื่องจากเป็นป่าลึก)


หญิงสาวก็ถามอีกว่า ไกลไหม
ชายแปลกหน้าก็บอกว่าไม่ไกล

เธอก็เลยตัดสินใจ เดินทางไปกับชายแปลกหน้า
ช่วงที่กำลังจะข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง พอเดินมาใกล้ๆจะถึงฝั่ง
อยู่ๆเธอก็ลื่นล้ม มือข้างหนึ่งไปโดนเข้ากับเศษหินจนบาดมือ เลือดออก
ชายคนนั้นก็เลย รีบมาดูเธอ แล้วก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผลที่มือเธอไว้
หญิงสาว เห็นชายแปลกหน้าทำแผลให้เธอ เธอก็ขอบใจ
และก็รู้สึกว่าไว้ใจชายแปลกหน้ามากขึ้น

ระหว่างทางที่เดินไป ผ่านป่า ที่รกร้าง บางช่วงผ่านหลุ่มลึก ต้องปีนป่าน
ชายแปลกหน้าก็ต้องคอยประคองหญิงสาวบ้าง ฉุดมือเธอบ้าง
จนหญิงสาวแทบจะคลายความหวาดระแวง ชายแปลกหน้าคนนั้นไปจนหมด

เดินมาได้สักพัก หญิงสาวมองที่มือข้างที่เป็นแผลรู้สึกเลือดจะออกมาเยอะ
จนแดงเต็มผ้า  ชายแปลกหน้าเห็นดังนั้น ก็เลยบอกให้นั่งพักกันก่อน
พอนั่งพัก ชายหนุ่มก็ชวนหญิงสาวคุยเรื่องต่างๆนาๆ
เธอก็เผลอตัวพูดคุยกับชายแปลกหน้า อย่างสนุกสนาน

จนกระทั่ง ขณะที่เธอกำลังก้มๆ เขี่ยไม้ไปตามพื้นดินเล่น
ตาเธอก็ไปสะดุดกับขอบผ้าเช็ดหน้าที่พันมือเธออยู่
มันคุ้นๆตา  แล้วเธอก็ค่อยๆแกะผ้าออกดู
ปรากฏว่า มันเป็นผ้าเช็ดหน้าของแฟนเธอ
เท่านั้นแหละ เธอก็รีบ ลุกขึ้น ชูมีด ชี้ไปทาง ชายแปลกหน้า
คุณ !... คุณเอาผ้าเช็ดหน้าแฟนฉันมาได้ยังไง

ชายคนนั้นยืนขึ้น เดินตรงมาหาเธอ
เธอสั่งให้ชายคนนั้นหยุด อย่าเข้ามา
ชายแปลกหน้าก็พูดว่า
ใจเย็นๆนะครับ ฟังผมก่อน
ตอนนั้นผมเห็นแฟนคุณโดนงูกัด ก็เลยจะพยายามหาอะไรมาพันเหนือบาดแผล
พอดีเห็นเขาถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ เขาก็คงคิดจะเอามาพันแผลเหมือนกัน
แต่ว่ามันผืนเล็กไปคงพันได้ไม่รอบ
ผมหยิบผ้านั้นมา พอดีได้ยินเสียงคุณตระโกนชื่อแฟนคุณ อยู่ไกลๆ
ผมก็เลยรีบตามเสียงเรียกนั้นมา  เลยเผลอเอาผ้านั้นมาด้วย โดยไม่รู้ตัว

พอหญิงสาวได้ฟัง ก็เริ่มคลายอาการวิตกลง
แต่ก็ยังคิดสงสัยอยู่ในใจไม่หาย ว่าจริงหรือเปล่า

หลังจากหยุดพักแล้ว ก็เดินทางกันต่อ
แสงพระอาทิตย์ก็เริ่มจะริบหรี่
ชายแปลกหน้าก็เลยขอให้เธอรออยู่แถวนั้นก่อน เพราะเขาจะเข้าไปหาอาหาร
เดี่ยวมันจะมืดค่ำก่อน มันจะหายาก
ไม่นานชายคนนั้นก็กลับมา พร้อมกับไก่ป่า สองตัว

ชายแปลกหน้ายื่นมีดที่ขอยืมหญิงสาวไปล่าสัตว์ให้เธอถือไว้เหมือนเดิม
หญิงสาวรับมีดไว้
พาเดินไปได้สักพัก ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง จนชายแปลกหน้าบอกว่า
สงสัยเราต้องหาที่พักกันแถวนี้ก่อนแล้วหละ
หญิงสาวก็รีบ ถามว่า
อ้าวแล้วไหนว่า สถานีมันอยู่ใกล้ๆไง คุณพาเราหลงทางหรือเปล่า
ชายคนนั้นก็บอกว่า ผมก็ไมได้มาเส้นนี้นานแล้ว
ไม่คิดว่ามันจะเป็นป่ารกขนาดนี้เลยทำให้เราเดินทางมาล่าช้า

พอเดินมาได้ไม่นาน ทั้งสองก็เจอกับกระท่อมร้าง พอดี
ชายแแปลกหน้าก็เลยพาเข้าไปสำรวจกระท่อมร้างนั้น
แล้วก็บอกว่า งั้นเราจะพักกันที่นี่ก่อน พรุ้งนี้เช้าค่อยเดินทางกันต่อ

เสียงหญิงสาวนั่งร้องไห้  หือๆ  ป่านนี่เขาจะเป็นยังไงบ้าง

ชายแปลกหน้าไม่สนใจ แล้วก็พูดขึ้นว่า
งั้นคุณนอนในกระท่อมนี้แหละ
ผมจะนอนข้างนอกเอง
ว่าแล้วเขาก็เดินออกไปนอกกระท่อม
แล้วก็หาไม้มาก่อไฟที่นอกกระท่อม

หญิงสาวเดินตามออกมา ดูชายแปลกหน้า เตรียมอาหารแล้วก็พูดว่า
ให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างอะ
ชายแปลกหน้าก้มลงจุดไฟแช็คไปที่กองไม้ที่เขาหามา สุมๆกันไว้
แล้วก็พูดว่า
ไม่เป็นไรครับ นั่งเป็นกำลังใจให้ผมก็พอ
แล้วก็หันมายิ้มให้หญิงสาว

หลังจากที่กอไฟติดแล้ว เขาก็หันมายืมมีดกับหญิงสาว
เพื่อเอาไปจัดการกับไก่ป่า

พอยื่นมีดให้ชายแปลกหน้า เขาก็รับมีดจากเธอ
แล้วก็เดินเอาไฟแช็ค ไปไว้ในกระเป๋าเป้ของเขา
ก่อนจะเดินไปจัดการกับไก่ป่า เพื่อเอามาย่างกินกัน

ช่วงที่ชายแปลกหน้านั่งหันหลัง ใช้มีดควักตับไตใส้พุงไก่อยู่นั้น
หญิงสาวก็นึกอะไรขึ้นมาได้

เธอจำได้ว่า ตอนเจอชายแปลกหน้าครั้งแรก เขามายืมไฟแช็คกับแฟนเธอ
แสดงว่าชายแปลกหน้าต้องไม่มีไฟแช็คซิ
แล้ว ไฟแช็คอันนั้นของใคร
พอเกิดความสงสัย ช่วงที่ชายแปลกหน้าหายเข้าไปในป่าเพื่อหาไม้มาเสียบไก่ย่าง
หญิงสาวก็เลยค่อยๆเดินไปดูไฟแช็คที่กระเป๋าเป้ ของชายแปลกหน้า
ที่วางอยู่ข้างๆกองไฟ

พอเธอเปิดฝา กระเป๋าขึ้น หยิบไฟแช็คนั้นมาดู
มันก็แทบจะทำให้เธอ ช๊อค
เพราะเธอจำได้แม่นว่า นั่นคือไฟแช็คของแฟนเธอนั้นเอง

พอเห็นดังนั้น เธอก็พยายามสะกดอารมณ์ให้นิ่งมีสติ
คิดหาหนทาง จะเอาตัวรอดยังไงดี
ช่วงที่เธอเอาไฟแช็คกลับไปไว้ในกระเป๋านั้นเอง
เธอก็สังเกตเห็น คราบเลือดจางๆ ติดอยู่ที่กระเป๋าข้างของเป้ใบนั้น
เธอเลยเอื้อมมือไปเปิดดู
มันเป็นกระเป๋าข้างซอกเล็กๆ เธอมองเห็นเหมือนมีอะไรบางอย่าง
อยู่ข้างในนั้น เลยล้วงมือไปหยิบมันขึ้นมาดู

แต่แล้วเธอก็ผวาสุดขีด
เพราะสิ่งที่เธอ เห็นอยู่ตรงหน้า คือลูกตามนุษย์ ทั้งสองข้าง
ที่มีเลือดและชิ้นเนื้อที่ถูกควักติดมาด้วย

เธอร้องกรี๊ดจุดสุดเสียงด้วยความกลัว

แล้วชายแปลกหน้าก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าเธอ

หญิงสาวหันไปมอง ชายแปลกหน้า อย่างตกใจ
มือไม้สั่นเมื่อเห็นหน้าชายคนนั้น
จนลูกตาที่เธอถืออยู่หล่นลงไปที่พื้นดิน

วินาทีนั้น เธอตัดสินใจลุกขึ้น แล้วก็รีบกลับหลังหัน
วิ่งหนีสุดชีวิต

ชายคนนั้นไม่ได้วิ่งตาม เดินมาหยิบลูกตาทั้งสองข้างนั้นช้าๆ
แล้วก็ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
พร้อมกับว่า  พูดดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม

หญิงสาววิ่งหนีเข้าไปในป่าอย่างไม่คิดชีวิต
เธอเข้าไปซ่อนตัวใต้รากไม้ใหญ่ที่เป็นโพรง
ชายแปลกหน้าตามมา ใช้ไฟฉาย ส่องไปทั่วบริเวณ
หญิงสาวเห็นแสงไฟฉาย สาดส่องผ่านไปมาเฉียดตัวเธอ
เธอพยายามกลั้นหายใจ  ให้มีเสียงหายใจที่แผ่วเบาที่สุด
ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ เธอ ก็ กรี๊ดออกมาจนสุดเสียง
เมื่อเจอตระขามตัวใหญ่นับสิบ ไต่ออกมาจากในโพรงข้างๆไหล่เธอ
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ขณะเดียวกัน แสงไฟฉายก็ส่องมาที่เธอ
เธอรีบวิ่ง ออกจากที่ซ่อน มุ่งไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง
วิ่งมาได้สักพัก ตัวเธอก็ลื่นไถล ตกลงไปข้างๆไหล่เขา
จนมาหยุดอยู่แถวๆ ลำธาร
พอเธอเห็นลำธาร เธอก็ตัดสินใจจะวิ่งข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง
แต่พอวิ่งลงไปในน้ำ เธอก็เจอเงาดำทะมึน ของตัวอะไรบางอย่าง
อยู่บริเวณนั้น เป็นกลุ่มใหญ่ จนทำให้เธอต้องกรีดร้องขึ้นมาอีก
ชายแปลกหน้าที่ตามเธอมา ได้ยินเสียงเธอร้อง
รีบฉายไฟฉายส่องมาทางเสียงร้อง เจอเธออยู่ตรงริมลำธาร

หญิงสาวรีบวิ่งหนีไปในป่าที่รก เลียบๆข้างลำธาร
ไม่มีทางเดิน เธอกระเสือกระสนตัวเอง อยู่ในรกในพง
ที่ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรอยู่ในนั้นบ้าง  วิ่งไปพรางกรีดร้องไปพราง
เมื่อเจอตัวแมลง งูเงี้ยวเขี้ยวขอตัวเล็กๆ มาโดนตัวเธอ

เสียงชายแปลกหน้าไล่ตามเธอมาติดๆ
วิ่งมาได้สักพักใหญ่ หญิงสาวตัดสินใจ วิ่งลงไปตามลำธาร
และพยายามมองหา จุดที่น้ำตื้นๆ  เพื่อจะข้ามไปอีกฝั่ง
แต่พอเห็นแสงไฟฉาย จากชายคนนั้นใกล้เข้ามา
เธอก็คว้าเอาหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ปาลงไปในน้ำ ให้เกิดเสียงดัง
แล้วตัวเธอเองก็ เข้าไปหลบในกอหญ้าข้างๆลำธาร
พอชายแปลกหน้าได้ยินเสียงเหมือนมีอะไร ตกลงไปในน้ำ
เขาก็รีบวิ่งมาดูใกล้ๆบริเวณนั้น แล้วก็ฉายไฟฉายไปฝั่งตรงข้าม
ยืนมองอยู่สักพัก
แล้วอยู่ๆ หญิงสาวก็พุ่งกระโจนออกมาจากกอหญ้าข้างริมธาร
แล้วก็เอามีดพับอันเล็กๆ แทงไปที่ข้างลำตัวของชายแปลกหน้า
ชายแปลกหน้าเอามือปัดป้องมีดไว้ได้ทัน
แล้วดึงแขนข้างที่ถือมีดของเธอไว้
เธอรีบกระชากแขนกลับ แต่สู้แรงผู้ชายไม่ไหว มีดก็เลยหลุดมือ
สุดท้ายก็เลยถีบไปที่ขาของชายแปลกหน้า ดิ้นจนหลุด แล้วก็รีบวิ่งหนีไป
ชายแปลกหน้ารีบวิ่งตามมา
ช่วงที่เธอกำลังวิ่งหนีขึ้นเขาอยู่นั้น หญิงสาวก็ลื่นล้มกลิ้งไถลลงมา
จนชายแปลกหน้าวิ่งตามมาได้ทัน แล้วก็จับตัวเธอไว้
พอถูกจับได้เธอก็ร้องให้คนช่วยจนสุดเสียง  แต่ดูเหมือนจะไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย
ชายคนนั้นก็พูดกับเธอว่า
อยู่กันสองคนแค่นี้ ร้องดังไปทำไมให้เหนื่อยแรงหรือ

หญิงสาวก็พยายามอ้อนวอน ขอให้ผู้ชายคนนั้นปล่อยเธอไป
แต่ก็ไม่เป็นผล
ผู้ชายคนนั้นจับเธอกลับมาที่กระท่อมร้าง  มัดมือ มัดเท้าเธอ
พยายามลวนลามเธอ ฉีกเสื้อผ้าเธอขาดจนหมด เหลือแต่ตัวเปล่าๆ
แล้วชายแปลกหน้าคนนั้นก็บอกว่า
เธอไม่ต้องกลัวนะ เพราะเธอยังมีสายตาของแฟนเธอเฝ้ามองอยู่
ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็ล้วงเอาลูกตาที่ควักออกมาจากแฟนของเธอ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
แล้วก็วางไว้อยู่ตรงเก้าอี้ไม้ ใกล้ๆ
จากนั้น...หญิงสาวก็ถูกข่มขืน จนขาดใจตาย

พอผู้ชายคนนั้นเล่าจบ แฟนผมขยับมาใกล้ผม เอามือบีบแขนผมไว้แน่น
แล้วก็กระซิบผมเบาๆ  ว่า
น่ากลัวอะ

ตอนนั้นทุกคนได้แต่อึ้งกับเรื่องราวที่ได้ฟังจนทำอะไรไม่ถูก
สักพัก เพื่อนผมก็ ถามชายคนนั้นว่า
อ้าวแล้ว สรุปว่า ฆาตกรมันโดนจับหรือเปล่า ครับ
ชายคนที่เล่าเรื่องก็ตอบว่า  ไม่ทราบเหมือนกันผมรู้มาแค่นี้
พี่คนที่มากับภรรยาแก ก็เลยตัดบทขึ้นว่า
เอาหละ  ฝนหยุดตกแล้ว  ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ
ก็เลยทำให้ทุกคนลุกขึ้นเก็บสัมภาระตัวเอง เตรียมตัวออกเดินทางกัน

หลังจาก แยกย้ายกันที่กระท่อมร้างตอนเย็นวันนั้นแล้ว
กลุ่มผมกับเพื่อน ก็ลงมาตั้งเต็นท์ค้างแรมกัน ตรงบริเวณทางขึ้นเขา
จนกระทั้งเช้า ก็ถึงพากันเดินทางกลับ
ระหว่างเดินทางออกมาจากป่า เห็นแฟนมีอาการซึมๆ ตั้งแต่เมื่อวาน
ก็เลยถามว่า เธอไม่สบายหรือเปล่า ดูซึมๆนะ
แฟนบอกว่า สงสารผู้หญิงคนนั้นจัง
ผมก็ถามแฟนว่า ยังไม่ลืมอีกหรือ
แฟนของเพื่อนก็แทรกขึ้นว่า ก็ฟังคนเล่าซิ รู้ดีอย่างกะว่า..
ผมก็ถามว่า อย่างกะว่าอะไร
แฟนเพื่อนก็ค่อยๆพูดว่า
อย่างกะว่าตัวเองเป็นฆาตกรอะซิ
เธอคิดดูซิ ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแต่งนะ ใครมันจะรู้ทุกช๊อตทุกตอนได้ขนาดนั้น

เพื่อนผมก็พูดเสริมว่า  อืม ฆาตกรก็ยังไม่โดนจับด้วย แล้วเรื่องราวทั้งหมด
มันถูกเอามาเล่าปะติดปะต่อกันได้อย่างไร
ถ้า.....

ผมก็ถามเพื่อนอีกว่า ถ้าอะไรวะ
เพื่อนก็ตอบว่า ถ้าคนเล่าไม่ใช่ฆาตกรเองนะซิ

เราหันไปมองหน้ากัน แล้วก็แทบจะพูดออกมาพร้อมกัน
หรือว่าชายคนนั้นคือ..

ไม่เอาแล้ว.. ไม่อยากคิด แล้ว    กลัว...
แฟนผมพูดแล้วก็รีบเดินนำหน้าเพื่อนไป

เราเดินมาจวนจะถึงจุดที่เราจอดรถไว้ แล้วก็เห็นกลุ่มคนมุงดูอะไรกันหนาตา
พอเข้าไปใกล้ๆ ก็มีตำรวจมาสอบถามพวกเราว่ามาจากไหน
เราก็ตอบว่ามาจากบนเขา
แล้วก็ถูกนำตัวไปรวมกับคนที่มุงๆกันอยู่
ตำรวจขอตรวจค้นสัมภาระพวกเรา และให้เราลงชื่อที่อยู่ไว้
เพื่อสามารถเรียกตัวมาสอบปากคำได้ภายหลัง

เสียงแฟนบ่นขึ้นลอยๆ
มีเรื่องอะไรกันคุณตำรวจ
ตำรวจก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อวานมีฝนตกหนัก ทำให้น้ำในลำธารขึ้นสูง
พัดเอาศพลอยมาจนชาวบ้านละแวกนี้มาเจอ

แฟนผมก็ถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราคะ

ตำรวจก็ตอบว่า
เพราะสภาพศพผู้ตาย ถูกควักลูกกะตาออกทั้งสองข้าง
คาดว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรม

พอได้ยินดังนั้น
เราทั้งสี่คนก็ร้อง หา! ขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แล้วเพื่อนผมก็พูด ด้วยเสียงที่สั่นเครือ
กู กู.. กู ว่าแล้ว...

ไม่นานตำรวจก็มาอยู่รายล้อมพวกเราทั้ง 4 คน เต็มไปหมด
ทางเราจึงให้การณ์ไปว่า เมื่อวานนี้ตอนหลบฝนอยู่ในกระท่อมร้าง
พวกเราเจอผู้ชายคนหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัย
เพราะเขาเล่าเรื่องเหตุการณ์ การฆาตกรรมให้ฟัง แทบจะทุกขั้นทุกตอนเลย

ตำรวจก็ถามว่า ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน
พวกเราก็ตอบว่า น่าจะยังอยู่บนเขา เพราะเมื่อวาน พึ่งแยกกันตรงกระท่อมร้าง
แล้วตำรวจก็รีบสั่งการให้เจ้าหน้าที่นำกำลังไปตรวจสอบ หาล่องลอย แถวๆกระท่อมร้าง

ตำรวจเล่าให้ฟังว่า จากสภาพศพน่าจะเสียชีวิตมาไม่ตำกว่าสองสามวันแล้ว
เมื่อติดต่อไปที่ญาติผู้ตาย ก็ได้ทราบว่า ผู้ตายมาเที่ยวกับแฟนสาว
วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็เลยพากันออกมาตามหาแฟนสาวของผู้ตายด้วย

เราก็เลยเล่าให้ตำรวจฟังว่า แฟนสาวของผู้ชายคนนี้ สุดท้ายเสียชีวิตแล้ว
เพราะฆาตกรเล่าให้ฟังว่าได้ลงมือข่มขืนแล้วก็ฆ่าผู้หญิงตาย

แล้วแฟนเพื่อนก็พูดขึ้นว่า
นึกแล้วเชียว ว่าเขาต้องเป็นฆาตกรแน่ๆ

แฟนผมก็เสริมขึ้นอีก
นึกแล้วก็ขนลุก

แล้วผมก็เลยถามตำรวจไปว่า
เอ่อ..  แล้วท่านพอจะมีรูปผู้ตายกับแฟนสาวของเขาไหมครับ

ตำรวจก็บอกว่า มีครับ
แล้วเดินกางแฟ้มเอามาให้พวกเราดูใกล้ๆ

พอพวกเราได้ดูรูปชายคนนั้น ที่ถ่ายกับแฟนสาวของเขา  เท่านั้นแหละ
ขนหัวก็ลุกตั้งโดยไม่รู้ตัว

ปรากฎ ว่า ผู้ชายในรูปก็ คือ
คนที่เล่า เรื่องฆาตกรรมสยองให้พวกเราฟัง ที่กระท่อมร้างนั่นเอง

จบบริบูรณ์


เรื่องจากพันทิป ประสบการณ์ทัวร์ป่าเจอกระท่อมร้าง
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735

ไม่มีความคิดเห็น