คนไข้วีไอพี


     "คนไข้วีไอพี" สุดสยองหลอนไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเมื่อคนไข้วีไอพีคนหนึ่ง.....เราอยากให้ท่านติดตามกันเลย เรื่องจากสมาชิกพันทิปคนอ่านผี เล่าโดยคุณมิ้น

  "มิ้น มีเคสนะ ช่วยดูแลคุณลุง...คนนั้นน่ะ ต่อจากพวกพี่ๆที ช่วยหน่อยเถอะนะ" เสียงใสๆของหัวหน้าพูดขึ้น ในขณะที่คุณมิ้นและคนอื่นๆกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร "คุณลุง...คนนั้นน่ะเหรอคะพี่" คุณมิ้นสะอึกจนทานข้าวที่เหลือในจานไม่ลง จนต้องวางช้อนส้อมทันที

    ทุกคนที่นั่งทานข้าวร่วมกันอยู่ต่างนั่งเงียบ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังคุยกันสนุกสนานปานว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบปี "พี่มีเคสอื่นต้องดูแลเยอะน่ะสิ ช่วงนี้มิ้นก็ดูแลคุณลุงแกไปก่อนละกันนะ" เมื่อหัวหน้าพูดเช่นนั้น มันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น

    คุณมิ้นทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยปกติแล้ว ตัวคุณมิ้นเองจะต้องคอยดูแลผู้ป่วยในวอร์ดต่างๆ สับเปลี่ยนกันไป รวมไปถึงโซนวีไอพีด้วย แต่เคสนี้เป็นการขอร้องจากหัวหน้าของเธอเอง

    คุณลุงที่พูดถึง คือตํารวจเกษียณอายุคนหนึ่ง ในโซนวีไอพี แกเข้ามาพักอยู่ที่นี่ได้เกือบๆเดือนเห็นจะได้ จากประวัติบอกว่า แกเป็นตำรวจสายสืบ และเท่าที่คุณมิ้นทราบมาจากพยาบาลที่ดูแลคุณลุงก่อนหน้านี้ เห็นว่าในช่วงกลางวัน คุณลุงก็ดูเป็นคนปกติดี ทานข้าวได้ เดินไปไหนมาไหนเองได้

    แต่เมื่อย่างเข้าช่วงกลางคืน แกมักจะเอาแต่นอนเพ้อ หรือบางครั้งก็นั่งสวดมนต์เป็นภาษาอะไรสักอย่าง และที่ยิ่งน่ากลัวไปกว่านั้น แกมักจะเพ้อเรียกชื่อผู้หญิงคนหนึ่ง "มาลี" ถึงขั้นว่าอยู่ๆก็ร้องเพลงขึ้นมาเอง "มาลีเอ้ยยย หนูอยู่ไหน หนูมาหาลุงหน่อย"

    คุณมิ้นได้ยินเรื่องของคุณลุงคนนี้ จากที่พวกรุ่นพี่เล่าสู่กันฟังอยู่พักนึงแล้ว แต่ไม่คิดว่าตนเองจะได้เป็นคนดูแลคุณลุงเอง แม้ว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมามันจะน่าขนลุก แต่เรื่องเล่าในลักษณะนี้มันก็มักจะมีมาเข้าหูได้แทบจะทุกวี่วัน จนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว จริงบ้างไม่จริงบ้างสุดแน่แท้ว่าใครจะเชื่อ เพราะตัวคุณมิ้นเองก็ไม่ได้เป็นคนที่ประสบพบเจอกับตัว

    วันแรกคุณมิ้นรู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ต้องดูแลคุณลุง เธอยืนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆอยู่หน้าห้องวีไอพีพักหนึ่ง ก่อนที่จะเปิดประตูแล้วก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ภายในห้องมีเพียงแค่คุณลุงที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ เมื่อคุณลุงเห็นแขกผู้มาเยือน แกก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทำให้คุณมิ้นต้องยิ้มตอบกลับ

    แกมีรูปร่างที่ผอมแห้ง ใบหน้าซูบตอบ ผิวสองสี ก็เป็นอย่างที่คุณมิ้นเคยได้รับฟังมา ในช่วงกลางวัน คุณลุงแกจะดูเหมือนเป็นคนปกติทั่วไป สื่อสารกันรู้เรื่อง เดินไปไหนมาไหนเองได้

    แต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน คุณมิ้นจะสังเกตได้ว่า แกจะไม่ยอมอยู่ห่างจากเตียงเลย ไม่นั่งก็นอน และมักจะสวดมนต์เป็นภาษาเขมร ใช่แล้ว คุณมิ้นฟังครั้งแรกก็รู้ได้ในทันทีว่าต้องเป็นภาษาเขมร บางครั้งก็สวดมนต์ในท่านั่งขัดสมาธิ บางครั้งก็นอนพนมมือสวด

    และในช่วงที่แกสวดมนต์ เสียงของแกจะงึมงำอยู่ในลำคอ จนเหมือนว่าแกเพียงแค่ทำปากขมุบขมิบ ต้องตั้งใจฟังจริงๆถึงจะพอฟังออก และแกจะทำตาแข็งมองค้างไปยังจุดๆเดียวเป็นเวลานาน จนบางครั้ง คุณมิ้นเองยังสงสัยว่าทำไมแกถึงไม่ยอมกระพริบตาบางเลย

    จากหลายๆวันที่คุณมิ้นคอยดูแลแก จะสังเกตได้ว่าแกจะไม่ยอมหลับยอมนอนเลย ทั้งกลางวันและกลางคืน อาจมีงีบหลับบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแกก็จะสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้น คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างคอยรบกวนแกอยู่ตลอด

    และที่คุณมิ้นคิดว่ามันเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือมีอยู่วันหนึ่ง ในช่วงกลางดึก คุณลุงที่นอนอยู่บนเตียงสะกิตคุณมิ้นแล้วพูดเบาๆว่า "หนูๆ ดูสิ มาลีปีนขึ้นเพดานแล้ว" คุณมิ้นรู้สึกขนลุกซู่ที่ได้ยินเช่นนั้น รีบหันมองไปทางเดียวกับที่คุณลุงกำลังมองอยู่

    แต่ก็เห็นเพียงแค่มุมเพดานว่างเปล่า เมื่อหันกลับมามองทางคุณลุง ก็ยังคงเห็นแกมองไปบนเพดานแล้วฉีกยิ้ม คล้ายกับว่าแกกำลังส่งยิ้มให้กับอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่เกาะอยู่บนเพดานมุมห้อง เอาล่ะไม่เป็นไร ที่นี่คือที่ไหน ถ้าคุณลุงแกเป็นคนปกติดี แกก็คงไม่ต้องมาอยู่ยังที่แห่งนี้ คุณมิ้นคิดปลอบใจตัวเองได้เพียงเท่านี้ แม้ขณะนั้นจะรู้สึกตัวสั่นเหมือนคนจับไข้

    แต่เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียวครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นในบางครั้ง คุณลุงแกจะสะกิดคุณมิ้นแล้วพูดว่า "หนู นั่นไง มาลีอยู่ตรงหน้าต่างนั่นน่ะ" เมื่อบ่อยเข้า คุณมิ้นก็ไม่ได้หันไปมองตามที่คุณลุงชี้ เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีอะไรอยู่จริงหรือไม่มีอะไรอยู่ เธอเองก็ไม่อยากเห็นกับตาอย่างแน่นอน

    ในช่วงกลางวัน ด้วยความที่ไอ้เรื่องพวกนี้มันกวนใจเธออยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอต้องลองเดินไปสำรวจ ยังจุดที่คุณลุงเห็น "มาลี" เกาะอยู่ มันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะเมื่อคุณมิ้นลองก้มดูแถวๆขอบหน้าต่าง มันปรากฏรอยมือคนสีดำๆแปะอยู่ตรงขอบหน้าต่างอย่างชัดเจน

    ลักษณะเป็นคราบเปื้อนดำๆจางๆ ขนาดของมือเรียวเล็กน่าจะเป็นผู้หญิง คุณมิ้นรู้สึกเลือดลมในตัวไหลผิดปกติ อึดอัดอย่างบอกไม่ถูกคล้ายคนจะเป็นลม พยายามคิดหาเหตุผลที่มาของรอยมือที่ว่าอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่สุด แต่ ณ ตอนนั้นเธอคิดอะไรไม่ออกจริงๆ

    คุณมิ้นต้องคอยดูแลคุณลุงอยู่แบบนี้ทุกๆวัน และพบเจอเรื่องในลักษณะนี้ทุกวัน ต้องย้ำว่าทุกวันจริงๆ จนคิดว่าตนเองเริ่มจะชินชาไปเสียแล้ว แต่เหตุการณ์ที่คุณมิ้นเจอในคืนนั้น มันทำให้เธอรู้ว่า เธอคิดผิด

    คืนนั้นในช่วงเวลาประมาณตีสอง คุณลุงแกนอนอยู่บนเตียงคนไข้ แล้วตัวคุณมิ้นเองก็นั่งเล่นโทรศัพอยู่ข้างๆเตียงของแก โดยนั่งหันหลังให้ คืนนี้เป็นคืนที่คุณลุงเอาแต่นอนนิ่งเงียบ สร้างความแปลกใจให้คุณมิ้นอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่เป็นปกติเอาเสียเลย แต่แบบนี้มันก็ดีแล้วนิ หรือคิดจะให้แกลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ชี้นั่นชี้นี่เหมือนเดิมหรือยังไง เธอคิดว่าตนเองคิดมากจนจะเพี้ยนไปเสียแล้ว

    ระหว่างนั้น คุณมิ้นรู้สึกคล้ายกับว่า เหมือนมีคนมาแตะหลังของเธอ นั่นปะไร คุณลุงแกตื่นจนได้ หรือว่าเราจะคิดดังเกินไปหน่อย เธอคิดขำๆแล้วก็หันไปทางคุณลุง "ว่าไงค..."

    ภาพที่คุณมิ้นเห็น ณ ตอนนั้นทำเอาหัวใจของคุณมิ้นหยุดเต้นไปชั่วขณะ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง เธอเห็นผู้หญิงตัวดำๆ ผมยาวกระเซอะกระเซิง นอนคว่ำทับอยู่บนตัวของคุณลุง ในลักษณะที่หัวของเธอหันไปทางเท้าของคุณลุง ส่วนเท้าของเธอพาดผ่านบนหัวของคุณลุง และเธอกำลังเอื้อมมือมาแตะที่หลังของคุณมิ้นอยู่ เธอมีดวงตาที่กลมโต จ้องมองมาทางคุณมิ้นคล้ายกับว่าสงสัยอะไรบางอย่าง

    คุณมิ้นผงะรีบดีดตัวออกห่างจากเตียง สะอึกสะอื้นในลำคอ เหมือนคนอยากร้องกรี๊ดแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา แต่ชั่วอึดใจ เธอคนนั้นก็หายไป ทิ้งไว้เพียงแค่คุณลุงที่จ้องมองมาทางคุณมิ้นด้วยหน้าตานิ่งๆ คุณมิ้นเนื้อตัวเย็นเฉียบยืนสั่นขาแข็งอยู่กับที่ สติของเธอในตอนนี้วิ่งหนีหายไปตั้งแต่ที่เห็นเข้ากับสิ่งนั้นอย่างจัง ทำได้เพียงแค่กรอกสายตาไปมาด้วยความหวาดผวา

    เธอพยายามรวบรวมสติให้กลับมาโดยเร็ว แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราต้องสวดมนต์ มันคงจะช่วยเราได้แน่ๆ เธอคิดได้เพียงแค่นั้น และไม่ว่าเธอจะหวาดกลัว จนอยากวิ่งหนีให้มันพ้นๆจากเรื่องนี้ แต่เธอมีหน้าที่ที่ต้องทำ และการอยู่ดูแลคุณลุงก็คือหน้าที่ของเธอ เธอจึงต้องทำหน้าที่ของเธอต่อ โดยการเฝ้าคุณลุง...อยู่ห่างๆ

    แสงแรกของวันสาดส่องผ่านทางหน้าต่าง ส่องสว่างให้กับห้องที่ถูกความมืดปกคลุมมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง มันช่วยให้คุณมิ้นเริ่มคลายความหวาดระแวงลงไปได้เยอะทีเดียว เธอเดินเข้าไปทักทายคุณลุงตามปกติเหมือนทุกๆเช้าที่เธอทำ

    "หลับสบายดีมั้ยคะลุง" คุณลุงแกตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า "สบายสิ ไม่สบายได้ไง เมื่อคืนมาลีมานอนด้วย" คำตอบนั้นทำให้คุณมิ้นเริ่มรู้สึกหวาดผวาขึ้นในใจ เมื่อได้ยินชื่อนี้ ภาพที่เธอเห็นเมื่อคือประเดประดังเข้ามาในหัวทันที

    "จริงเหรอคะลุง มาลีเป็นยังไง" เธอถามลุงคุณต่อด้วยเสียงที่สั่นเครือ คุณลุงทำท่าเหมือนคนกำลังครุ่นคิดแล้วตอบว่า "อื้มมม มาลีผมยาวนะ แต่เค้าตัวดำๆ ตาโตๆ คิ้วเข้มๆ หนูเจอเค้ามั้ย" "ไม่เจอเลยค่ะ" คุณมิ้นตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก แล้วรีบขอตัวกลับบ้านทันที เพราะถึงเวลาออกเวรของเธอแล้ว

    วันถัดมาในช่วงกลางดึก คุณมิ้นยังคงมานั่งดูแลคุณลุงในห้อง และคืนนี้ก็ไม่รู้ว่าแกเป็นอะไร เพราะแกเอาแต่นั่งสวดมนต์ตั้งแต่ตีสองถึงตีสี่โดยไม่หยุดหย่อน ซึ่งมันนานกว่าทุกๆวันที่คุณมิ้นเคยเจอ เธอจึงทำได้แค่ถอยออกไปเฝ้ามองอยู่ห่างๆ

    บางครั้ง คุณมิ้นจับสิ่งผิดปกติได้บางอย่าง ในขณะที่คุณลุงกำลังนั่งสวดมนต์อยู่บนเตียง คล้ายกับว่ามีเสียงของผู้หญิงแทรกออกมาจากปากของคุณลุง ทำให้คุณมิ้นรู้สึกเครียดจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น

    เหตุการณ์สยองต่างๆที่คุณมิ้นพบเจอมา มันเริ่มทำให้เธออยากหาคำตอบ ช่วงเย็นของวันนั้น เธอเดินเข้าไปทักทายพวกรุ่นพี่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แล้วเริ่มเข้าเรื่องทันที "พี่!! ช่วยเล่าเรื่องลุงที่หนูเฝ้าไข้อยู่ตอนนี้ให้ฟังทีสิ" ทุกคนที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าที่ร่าเริงสดใส แต่ตอนนี้กลับแสดงสีหน้าหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด

    "มิ้นเจอมาแล้วล่ะสิ พี่คิดว่ามิ้นเป็นคนไม่กลัวผีซะอีก" รุ่นพี่คนนึงถามกลับ "เออหน่าาา เล่าให้ฟังหน่อย" คุณมิ้นยังคงตื้อถามต่อ "เมื่อก่อนน่ะ ลุงแกเป็นตำรวจสายสืบที่เก่งมากคนนึงนะ และส่วนมากพวกตำรวจสายสืบที่ไปไล่จับพวกโจร จะต้องมีของขลังติดตัวกันบ้าง ไม่มากก็น้อย และด้วยความเจ้าชู้ของแกเองนั่นแหละ แกเลยเผลอไปผิดลูกผิดเมียคนอื่นเค้า ของก็คงจะย้อนเข้าตัว แกก็เลยเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ส่วนญาติๆของแกก็มีนะ แต่จะเข้ามาแค่จ่ายเงินแล้วก็กลับ ไม่ยอมเข้าไปเยี่ยมแกในห้องด้วยซ้ำ"

    สิ่งหนึ่งที่คุณมิ้นเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง นั่นก็คือเรื่องที่คุณลุงเป็นคนเจ้าชู้ เพราะครั้งหนึ่งในช่วงเช้า ก่อนที่คุณมิ้นจะออกเวร เธอเดินเข้าไปหาคุณลุงในห้องแล้วพูดว่า "ลุง หนูกลับก่อนนะ ตอนเย็นเจอกันค่ะ" คุณลุงแกทำท่าทางเอียงแก้มให้แล้วพูดว่า "ไม่หอมแก้มลุงก่อนกลับเหรอ" เธอจึงแกล้งตอบว่า "ไม่ได้หรอก เดี๋ยวมาลีว่า" แต่คุณลุงตอบกลับว่า "มาลีไม่มาตอนเช้าหรอก มาลีจะมาตอนกลางคืน มาอยู่กลับลุงทุกคืนนั่นแหละ" เมื่อคุณมิ้นได้ยินเช่นนั้น เธอชักมีความรู้สึกว่าคืนนี้อยากโดดเวรขึ้นมาเอาดื้อๆ

    และด้วยความอยากรู้ของคุณมิ้น ในช่วงเวลากลางวันที่คุณลุงยังมีสติดี เธอจึงลองเข้าไปถามถึงคนที่ชื่อมาลี และคำตอบที่เธอได้รับก็คือ "ก็เป็นผีที่ลุงเลี้ยงไว้"

    ช่วงเย็นที่คุณมิ้นนั่งทานข้าวกับเพื่อน ซื่งเป็นคนที่เคยดูแลคุณลุงอยู่ช่วงหนึ่ง เธอถามถึงเหตุการณ์ของเพื่อนว่าพบเจออะไรบ้าง เพื่อนของเธอเล่าว่า ในคืนหนึ่ง ขณะที่คุณลุงกำลังนั่งสวดมนต์อยู่บนเตียง เพื่อนของเธอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงผมยาวผิวดำ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเพดาน ในลักษณะห้อยหัวลงมา และนั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่เพื่อนของเธอเปิดเข้าไปในห้องนั้น

    และอีกเรื่องที่คุณมิ้นและทุกๆคนเริ่มรู้สึกได้นั้น โดยปกติแล้ว หลังจากเที่ยงคืนคุณลุงจะเริ่มท่องบทสวดมนต์ แต่ถ้าคืนไหนที่คุณลุงไม่ยอมสวด คืนนั้นต้องเป็นที่แน่ใจได้ในทันที ว่ามาลีจะต้องออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน ที่แย่ไปกว่านั้น คือคนไข้ห้องข้างๆจะบ่นกันว่านอนไม่หลับทั้งคืน หรือบางครั้ง คนไข้ผู้หญิงจะร้องกรี๊ดขึ้นมากลางดึก โดยบอกแค่ว่าเจอผีผู้หญิงตัวดำๆ

    ทุกวันนี้ คุณมิ้นยังคงทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น และยังคงดูแลคุณลุงอยู่ในทุกๆคืน คืนนี้ก็เช่นกัน เธอก็ต้องมาลุ้นเอา ว่าคุณลุงจะสวดมนต์ หรือไม่สวด และนี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด

    "กริ๊งงงงงงงงงงงงง" คุณมิ้นสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก รีบเอื้อมมือไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ เธอนึกรําคาญอยู่ในใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเธอเป็นคนตั้งปลุกมันเอง เพราะถึงเวลาที่เธอจะต้องลุกขึ้นมากินยา พรางเหลือบสายตาไปมองโทรศัพท์ มันบอกเวลาตีสอง

    เธอนอนลืมตานิ่งอยู่แบบนั้นสักพัก แล้วดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง ไปหยิบยาที่โต๊ะเขียนหนังสือเข้าปากตามด้วยน้ำ จากนั้นเธอก็เซถลาขึ้นเตียงกอดผ้านวมอย่างรวดเร็ว คล้ายว่ามันเป็นสิ่งที่เธอรักกว่ายิ่งสิ่งอื่นใด เธอพยายามนอนหลับตา เพื่อที่จะกลับเข้าสู่ภวังค์ของความฝันอีกครั้ง

    แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไปไม่ถึงมันเสียที เพราะเหตุการณ์ที่เธอประสบพบเจอมาเมื่ออาทิตย์ก่อน มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธออย่างไม่ยอมหนีหายไปไหน จนทำให้เธอแทบจะหลับได้ไม่เต็มตา นี่ก็ย่างเข้าวันที่สี่ได้แล้วที่เธอนอนป่วยอยู่บ้าน

    เธอย้ำคิดอยู่เสมอมาว่าที่เธอต้องนอนซมอยู่แบบนี้ สาเหตุมันมาจากเรื่องนั้นจริงหรือ เรื่องที่มันเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เธอย้อนนึกไปถึงคืนนั้น คืนที่เธอนึกพนันกับตัวเอง ว่าคืนนี้คุณลุงแกจะสวดมนต์หรือเปล่า คุณมิ้นเธอเป็นคนที่มองโลกในแง้ดีอยู่เสมอ เธอจึงเลือกช้อยที่ว่า คืนนี้คุณลุงแกต้องสวดมนต์อย่างแน่นอน แต่มันก็เป็นอีกครั้ง ที่เธอคิดผิด ภาพเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนค่อยๆไหลกลับเข้าสู่หัวของเธออีกครั้ง

    ณ คืนนั้น ในช่วงสองทุ่ม คุณมิ้นเธอยังคงนั่งเฝ้าคุณลุงเหมือนเช่นทุกวัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอรู้สึกว่ามันต่างจากทุกวัน นั่นก็คือ คืนนี้คุณลุงแกเอาแต่นอนทำตาแข็งจ้องอยู่แต่กับเพดาน ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ทำให้คุณมิ้นเริ่มรู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก

    เวลาเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้เที่ยงคืนไปเรื่อยๆ ทำให้คุณมิ้นที่ทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เอ่ยปากถามคุณลุงว่า "เอ่อ..ลุงคะ คืนนี้จะสวดมนต์มั้ยคะ" คุณลุงตอบเธอด้วยเสียงเรียบๆ สายตายังคงจดจ้องขึ้นไปบนเพดาน "ไม่สวด คืนนี้จะให้มาลีออกมาหาทุกคน"

    สิ้นคำพูดของคุณลุง คุณมิ้นรู้สึกเย็นขึ้นที่สันหลังวาบ เธอก้าวถอยหลังออกมาโดยไม่รู้ตัว "ไม่เอาสิคะลุง อย่าพูดเล่นแบบนี้สิ หนูกลัวนะ" เธอพูดออกไปแบบนั้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่ก็ไร้การตอบกลับจากลุงคุณ เพราะแกยังคงตั้งหน้าตั้งตาจ้องขึ้นไปบนเพดานเช่นเดิม จนคุณมิ้นอดใจไม่ได้ที่จะค่อยๆเหลือบตามองตามขึ้นไป

    "กรี๊ดดดดดดดดด" คุณมิ้นผวาตกใจ เพราะเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอพยายามคุมสติของตัวเองให้อยู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกแปลกใจตัวเองว่ากลายเป็นคนขวัญอ่อนไปซะตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงเมื่อครู่มันดังมาจากห้องทางซ้าย เธอจึงรีบวิ่งออกจากห้องแล้วตามไปยังต้นตอของเสียง

    เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปในห้องที่มีเสียงของผู้หญิงกรีดร้องออกมา เธอเห็นคนไข้ผู้หญิงนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง โดยมีบุรุษพยาบาลกับผู้ช่วยพยาบาลหญิงยืนปลอบอยู่ข้างเตียง เธอจึงค่อยๆเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย คนไข้ผู้หญิงที่นอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่บนเตียง พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง "ผี!! มีผีอยู่ในห้อง!!"

    "ช่วยด้วยยยยย!! ผีหลอกกก!!" เป็นอีกครั้งที่เธอสะดุ้งจนทำอะไรไม่ถูก นั่นมันเสียงของคนไข้ที่อยู่ห้องถัดจากนี้ไปอีก แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้วิ่งไปดูเหตุการณ์ เพราะเธอได้ยินเสียงฝีเท้าคนอยู่หลายคนด้วยกัน ที่วิ่งเข้าไปในห้องนั้น เธอจึงได้แต่ยืนมองหน้าพยาบาลกับผู้ช่วยพยาบาลหญิงในห้อง ทุกคนมีสีหน้าที่แสดงถึงความหวาดวิตกไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย

    แต่ถึงกระนั้น คุณมิ้นก็ยังคงต้องกลับไปทำหน้าที่ของเธออีกเช่นเดิม เธอออกจากห้องคนไข้ผู้หญิง แล้วเดินกลับไปทางห้องของคุณลุง ด้วยความรู้สึกที่ไม่ปกติเอาเสียเลย ไม่เพียงแค่ร่างกายของเธอเท่านั้น ที่สั่นไหวราวกับคนจับไข้ แต่ใจของเธอมันสั่นระริกจนรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้อง

    เธอหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้องของคุณลุง ความคิดภายในหัวตีกันให้มั่วซั่วไปหมด เธอไม่อยากคิดเลยจริงๆ ว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ สาเหตุมันมาจากคุณลุง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยที่เธอไม่มีหลักฐานอะไร แล้วจะไปปรักปรำคุณลุงเช่นนี้ เธอจึงหยุดคิดเพียงเท่านี้ก่อนแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องของคุณลุง

    แต่วินาทีนั้น เธอต้องชะงักเท้าทันที แล้วยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าประตู บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งและเย็นเฉียบทั้งๆที่ไม่ได้เปิดแอร์ สิ่งที่เธอเห็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในห้องมันไม่ได้มีแค่คุณลุงเพียงเท่านั้น เธอเห็นอะไรบางอย่าง เกาะอยู่ตรงผนังข้างเตียงของคุณลุง ซึ่งมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่มาลี

    ผมสีดำยาวจนเกือบจะถึงพื้น เนื้อตัวสีดำคล้ายกับว่าถูกทาไปด้วยขี้เขม่าทั้งตัว ลูกกะตากลมโตสีขาวเห็นเด่นชัดบนใบหน้าที่ดำมะเมื่อม เสื้อผ้าสีผ้าขี้ริ้วขาดรุ่งริ่งจนดูแทบไม่ได้ เกาะผนังในลักษณะที่หัวดิ่งลงด้านล่าง ส่วนเท้าชี้ขึ้นด้านบน และเงยหน้ามองมาทางคุณมิ้นที่ยืนตาค้างอยู่หน้าประตู สายตาที่มองมาทางคุณมิ้น คล้ายกับว่ากำลังสงสัยอะไรบางอย่าง และอยากจะเข้ามาคุยด้วย

    คุณมิ้นรีบยกมือขึ้นอุดปาก ก่อนที่เสียงกรีดร้องจะแผดเสียงออกจากปากของเธอเอง ทั้งๆที่เธอมั่นใจดีแล้วในเรื่องของการคุมสติของตัวเอง แต่ภาพที่เห็นมันเกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะรับไหว ไม่ใช่เพียงแค่ต้องพยายามกลั้นเสียงเท่านั้น เธอยังต้องพยายามกลั้นน้ำตาอีกด้วยซ้ำไป

    เธอค่อยๆหันหลัง แล้วพยุงร่างของตัวเองที่เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงจะเป็นลมล้มพับ ค่อยๆเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูให้เบาที่สุด เธอหย่อนตัวลงบนม้านั่งหน้าห้องด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอแล้วพยายามดึงสติกลับคืนมาให้เร็วที่สุด

    คิดในใจว่าคืนนี้จะเอายังไงดี ไม่ไหวแน่ถ้าต้องให้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องนั้น ยังไงก็ไม่ไหว คืนนี้เธอจึงเลือกที่จะนั่งเฝ้าคุณลุงอยู่หน้าห้องแทน โดยแง้มประตูดูเป็นระยะๆ แต่ทุกครั้งที่แง้มดูภายในห้อง จะเห็นมาลีเกาะอยู่กับผนังห้องทุกครั้ง อาจมีย้ายที่ไปมาบ้าง แต่ทุกอิริยาบถของมาลี มักจะเอาหัวดิ่งลงพื้นอยู่ตลอด

    จนตะวันฉายแสงแรกของวันพาดผ่านทับตึก ก่อนที่คุณมิ้นจะออกเวร เธอเดินไปคุยกับเพื่อนที่ประจำอยู่วอร์ดอื่นๆ เมื่อเจอหน้าเพื่อน เธอก็ได้เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้เพื่อนฟังอย่างละเอียด เพื่อนของเธอฟังด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความหวาดกลัวไม่แพ้กัน เพราะตัวเพื่อนเองก็เคยดูแลคุณลุงอยู่ช่วงหนึ่ง จึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริง และเพื่อนก็รับปากว่าจะลองคุยกับหัวหน้าพยาบาลดู

    ช่วงเย็นหลังจากที่คุณมิ้นเข้าเวร หัวหน้าพยาบาลก็ได้ย้ายคุณมิ้นไปประจำอยู่ที่แผนกจัดยาก่อน และหัวหน้าก็เข้าใจดีถึงเหตุการณ์ที่คุณมิ้นประสบมา งานในแผนกจัดยาไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่ที่สำคัญ มันทำให้คุณมิ้นรู้สึกสบายใจกว่างานที่แล้วๆมาอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

    วันถัดมาในช่วงราวๆสามทุ่ม คุณมิ้นนั่งอยู่ที่แผนกกับเพื่อน เธอสังเกตเห็นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงเหล็กผ่านไปทางขวาของแผนก ซึ่งก็คงจะตรงไปทางห้องเก็บศพ และคนที่นอนอยู่บนเตียงที่คุณมิ้นเห็น ก็คือคุณลุงที่เธอคอยดูแลอยู่ก่อนหน้านี้นั่นเอง แต่เพราะเหตุใดก็ไม่ทราบ ถึงไม่ได้มีใครเอาผ้ามาคลุมร่างของคุณลุงไว้ ในขณะที่กำลังเข็นไปยังห้องเห็บศพ

    "เฮ้ย ลุงเค้าเป็นไรอ่ะ" คุณมิ้นพูดขึ้นกับเพื่อนด้วยความสงสัย "ลุงแกตายแล้วมั้ง เข็นแบบนั้นน่ะ" เพื่อนเธอตอบแล้วชะเง้อมองตาม "บ้า ไปทักลุงเค้าแบบนั้น" คุณมิ้นหันไปเอ็ดใส่เพื่อนของเธอ

    ครู่ต่อมา บุรุษพยาบาลคนที่เข็นคุณลุงผ่านไปเมื่อสักครู่ก็เดินกลับมาทางเดิม ทำให้คุณมิ้นกับเพื่อนต้องวิ่งออกไปถามด้วยความอยากรู้เป็นที่สุด "พี่ๆ ลุงเค้าไปไหนแล้วอ่ะ" บุรุษพยาบาลตอบกลับในทันทีว่า "ก็ลุงตายแล้ว"

    คุณมิ้นตกใจรีบถามกลับ "อ่าว ยังไงอ่ะพี่" บุรุษพยาบาลเริ่มเล่าว่า "ก็ตอนสายๆ พยาบาลเข้าไปเห็นลุงแกนอนตัวแข็งตาค้างมือเกร็งอยู่บนเตียง ตอนนั้นก็ไม่หายใจแล้ว แพทย์เค้าว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน" คุณมิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งเงียบ

    ตัวแข็งตาค้างมือเกร็ง ตั้งแต่ที่เธอเป็นพยาบาลมา เธอไม่เคยเห็นคนตายด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน จะอยู่ในสภาพแบบคุณลุงเลยสักคน แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่คิดขึ้นในใจเท่านั้น เธอกับเพื่อนจึงกลับเข้าไปนั่งในแผนกเช่นเดิม

    ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พวกแพทย์ที่ประจำอยู่ในแผนกจัดยาก็ทยอยกันออกไปพักทานข้าว เหลือไว้แค่คุณมิ้นกับเพื่อนที่ต้องนั่งอยู่เฝ้าในแผนกก่อน "พริ๊บ!!" อยู่ๆไฟในแผนกมันก็ดับลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คุณมิ้นกับเพื่อนค่อยๆเขยิบตัวเข้าหากันทีละนิด

    เธอลองสังเกตไปที่ส่วนอื่นๆของโรงพยาบาล ปรากฏว่าทุกๆที่นอกจากแผนกจัดยา หลอดไฟยังคงส่องสว่างเป็นปกติ หมายความว่ามีแค่แผนกเธอเท่านั้นที่ไฟมีปัญหา ทำให้คุณมิ้นรู้สึกงงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

    ไม่กี่วินาทีต่อมาไฟฉุกเฉินที่ติดอยู่ข้างกำแพงก็เริ่มทำงาน มันสาดแสงส่องตรงไปยังหน้าเคาน์เตอร์ จนทำให้ด้านหน้าของเคาน์เตอร์สว่างขึ้นมาทันตา คุณมิ้นมองตามแสงไฟที่สาดส่อง ปรากฏว่าแสงไฟมันส่องไปกระทบเข้ากับใครสักคน ที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์

    โดยที่เธอไม่ต้องเพ่งมองดูให้แน่ใจ เธอรู้ได้ในทันทีว่าคนๆเป็นใคร เพราะแสงจากสปอร์ตไลท์ฉุกเฉินมันสว่างมาก เธอรีบหันหน้าเข้ากับผนังทันที เพราะสิ่งที่เธอเห็นคือคุณลุงที่เพิ่งจะถูกเข็นเข้าไปไว้ในห้องเก็บศพเมื่อไม่นานมานี้

    คุณลุงยังคงสวมชุดคนไข้ เนื้อตัวยังดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง เพียงแต่รอยยิ้มที่คุณลุงส่งผ่านมาให้คุณมิ้น มันคือรอยยิ้มของคนตาย เพื่อนของเธอกอดตัวเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงได้รู้ว่ามันก็คงเห็นภาพเดียวกันอยู่

    ทั้งๆที่ดูเหมือนคุณลุงแกจะมาดี ไม่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกให้ตกใจ แต่ทำไมคุณมิ้นกลับรู้สึกหวาดกลัวกว่าที่ผ่านๆมา แม้ว่าเธอจะหันตัวเข้าหาผนังอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าคุณลุงกำลังจ้องมองดูเธออยู่ ราวกับว่าอยากจะเข้ามาพูดคุยด้วย เธอคิดอะไรต่อไม่ออกได้แต่กอดกับเพื่อนอยู่แบบนั้น

    "อ่าวแล้วทำไมไฟมันดับแค่ตรงนี้เนี่ย" เสียงห้วนๆของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นแถวด้านหน้าเคาน์เตอร์ "พรึบ!!" อึดใจต่อมา ไฟที่มันเคยดับวูบลง กลับส่องสว่างเป็นปกติของมันเช่นเดิม คุณมิ้นค่อยๆหันกลับไปมองทางหน้าเคาน์เตอร์อย่างช้าๆ นึกหวั่นขึ้นในใจว่าหลัวจะเห็นภาพเดิมเมื่อครู่ แต่ก็เห็นเพียงแค่บุรุษพยาบาลสองคนยื่นทำหน้างงๆ

    เธอกับเพื่อนมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดระแวง ทำให้สองหนุ่มที่ยืนงงกับเรื่องไฟอยู่แล้ว ต้องมางงกับพวกเธอไปด้วยอีกเรื่อง ในเวลานั้น คุณมิ้นรู้สึกชาไปทั้งตัวเหมือนคนไข้ขึ้นจนไม่สามารถทำงานต่อได้ จึงต้องขอลาหยุดตั้งแต่วันนั้น

    ช่วงวันสองวันหลังจากที่เธอลาหยุดอยู่บ้าน เพื่อนของเธอไลน์มาบอกว่า ทางญาติของคุณลุงขอฝากศพไว้ที่โรงพยาบาลก่อน เพราะตอนนี้ติดธุระอยู่ที่ต่างประเทศ และเธอเห็นมีการคุยกันในกลุ่มไลน์ของเพื่อนพยาบาล
ด้วยกัน ว่าไม่ค่อยมีใครกล้าเดินผ่านหน้าห้องนั้น

    เพราะวันถัดมาหลังจากที่คุณลุงเสียชีวิตลง พยาบาลหรือใครที่เดินผ่านหน้าห้อง จะได้ยินเสียงสวดมนต์งึมงัมดังอยู่ภายในห้อง ทั้งๆที่ยังไม่มีใครเข้าไปพักต่อ ส่วนมาลีเองก็ออกไปหลอกหลอนผู้ป่วยคนอื่นไปทั่ว เอกลักษณ์ของเธอเลยก็คือเอาหัวชี้ลงดินแล้วขาชี้ขึ้นฟ้า ซึ่งเธอจะอยู่ในลักษณะที่กลับด้านกับมนุษย์ปกติทุกอย่าง และที่ทุกคนคิดเห็นตรงกันก็คือ มาลีจะออกอาละวาดหลอกหลอนคนอื่นหนักกว่าที่ผ่านๆมา คงเป็นเพราะไม่มีคุณลุงคอยสวดมนต์ให้เธอเหมือนแต่ก่อน

    เมื่อมาถึงตรงนี้ เธอบอกกับตัวเองให้หยุดคิดถึงเรื่องพวกนี้เสียที แล้วรีบนอนพักผ่อน ไม่เช่นนั้น การที่ได้ลาหยุดมันก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร เธอจึงโยนเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ข้างหลังแล้วฝืนหลับตาลง พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่ห้าแล้วที่เธอหยุดพักอยู่บ้าน และเป็นวันสุดท้ายของการลาหยุด วันถัดไปเธอต้องกลับไปทำหน้าที่ของเธอต่อ ซึ่งจะต้องพบเจอเข้ากับเรื่องราวอะไรอีกก็ยังไม่ทราบ และนี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด

จากพันทิป เรื่องของคนตาย...เล่มที่ 41
เรื่องจาก คนอ่านผี

ไม่มีความคิดเห็น