มาลีและคนไข้วีไอพี


     "มาลีและคนไข้วีไอพี" เรื่องราวต่อจากเรื่อง "คนไข้วีไอพี" รองรับความสยองต่อมา เรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นั้น เรื่องจากสมาชิกพันทิปคนอ่านผี เล่าโดยคุณมิ้น

    "เราขอฝากท่านไว้ที่นี่ต่ออีกร้อยวันได้มั้ยครับ คือตอนนี้ทางบ้านเรายังไม่พร้อมอะไรเลย เรื่องค่าใช้จ่ายเราไม่มีปัญหาครับ" ชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆแต่งตัวภูมิฐาน พูดกับแพทย์ในแกมขอร้องอยู่หน้าห้องเก็บศพ "ได้ครับ ทางโรงพยาบาลก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน ไม่ต้องกังวลครับ" แพทย์ชายที่อายุเริ่มเข้าใกล้วัยเกษียณตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยินดี

    เมื่อทางโรงพยาบาลไม่มีปัญหา ชายหนุ่มจึงทำสีหน้าโล่งอก แล้วหันกลับไปฉีกยิ้มให้กับหญิงสาวหน้าตาสะสวยวัยไล่เลี่ยกัน คาดว่าเป็นภรรยา กับหญิงวัยสี่สิบแต่ยังคงความสาวไว้บนใบหน้า ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อได้ข้อสรุปกันแล้ว แพทย์ชายจึงเดินไปส่งทั้งสามคนขึ้นรถที่หน้าโรงพยาบาล

    นี่ก็เป็นวันที่สองแล้วที่คุณมิ้นกลับมาทำงานเป็นปกติ เธอยังคงนั่งอยู่ที่แผนกจัดยากับเพื่อนซี้ของเธอ เรื่องร้อนแรงที่สุดในตอนนี้ ที่พวกพยาบาลต่างพูดถึงกันแทบทุกคน ก็ไม่พ้นเรื่องของคุณลุงกับมาลี คุณมิ้นเคยได้ยินพวกพยาบาลพูดๆกันอยู่บ้าง ตั้งแต่ที่คุณลุงแกเสียชีวิต ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้องนั้นอีกเลย

    คนสุดท้ายที่เข้าไปในห้องนั้นคือแม่บ้านทำความสะอาด แกเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูอะไรต่างๆภายในห้อง หลังจากที่เพิ่งจะเอาศพของคุณลุงออกไปได้ไม่นาน แต่ในระหว่างที่แกกำลังทำงานอยู่นั้น แกบอกว่าแกได้ยินเสียงสวดมนต์เป็นภาษาที่แกไม่รู้จัก ดังอยู่ภายในห้อง แกพยายามหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง แต่ก็พบว่าในเวลานั้นภายในห้องมีแค่แกเพียงคนเดียวเท่านั้น

    มันเป็นเสียงสวดมนต์ทุ้มๆต่ำๆของผู้ชาย บางครั้งก็เบาจนเหมือนกระซิบ แต่บางครั้งก็ดังจนน่าตกใจ ตัวแกเองทำงานอยู่ที่นี่มานาน พบเจอเรื่องอะไรแปลกๆมาก็เยอะ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่กลัวผีคนหนึ่งก็ว่าได้ แต่สิ่งที่แกกำลังเผชิญอยู่นี้ทำให้แกต้องเดินหนีออกจากห้อง แล้วยืนกรานว่าจะไม่เข้าไปทำอะไรในห้องนั้นอีก แกบอกเพียงแค่ว่า "มันไม่ใช่ผี" ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแกหมายความว่าอะไร

    แต่ไม่ใช่แค่แกเท่านั้น แม่บ้านคนอื่นๆรวมถึงพยาบาลด้วย ในครั้งที่ต้องเดินผ่านห้องนั้น ทุกคนจะต้องได้ยินเสียงสวดมนต์ของผู้ชายดังออกมาจากในห้อง เบาบ้างดังบ้างแล้วแต่ใครจะได้ยินแบบไหน จนตอนนี้ทุกคนเลี่ยงที่จะใช้ทางอื่นแทน ส่วนมาลีเองก็ยังคงไปรบกวนผู้ป่วยกับพยาบาลคนอื่นๆอยู่แทบจะทุกวัน

    เพราะมักจะมีญาติของผู้ป่วยโซนวีไอพีบอกกับพยาบาลว่า คนป่วยนอนไม่หลับเพราะเห็นผู้หญิงเกาะอยู่บนเพดานห้อง ส่วนคนที่เจอหนักๆก็กรีดเสียงร้องออกมากลางดึก บอกว่าเห็นผู้หญิงตัวดำๆค่อยๆไต่ลงมาหาจากบนเพดาน

    และเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีพยาบาลลาออกไปคนหนึ่ง เธอเล่าว่าในขณะที่เธอกำลังเข้าห้องน้ำรวมอยู่ เธอเห็นมาลีไต่ไปมาบนเพดานในห้องน้ำ ซึ่งเธอพยายามจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่เพราะความหวาดกลัวจนเกินไป เธอจึงแผดเสียงร้องไม่ออก และขาของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะวิ่งหนีออกจากห้องน้ำ เธอจึงต้องนั่งมองมาลีคลานไปมาอยู่แบบนั้น กว่าจะมีคนเข้าไปใช้ห้องน้ำก็เป็นเวลาเกือบสิบนาที

    "เออนี่มิ้น!! ตอนที่ลุงแกตายไปสองวันอ่ะ เห็นเค้าเล่ากันว่า ผีมาลีตามพี่ต้นกลับบ้านด้วยนะ" เพื่อนพูดเสียงเบาจนคล้ายกับกระซิบ ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งจดจำนวนการจ่ายยาลงในสมุด "เหรอ! ทำไมอ่ะ" คุณมิ้นรีบหันไปถามด้วยความสนใจ "ไม่รู้เหมือนกัน ชั้นก็ได้ยินมาแค่นี้เอง" เพื่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความน่าเสียดาย "เที่ยงนี้เราชวนพี่ต้นกินข้าว แล้วถามแกดูดีมั้ย" เพื่อนเริ่มเสนอไอเดีย "ดีๆ เห็นด้วยๆ" ซึ่งก็เป็นอันตามนั้น

    บ่ายโมงแก่ๆในโรงอาหาร คุณมิ้นกับเพื่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว โดยมีบุรุษพยาบาลนั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกเธอ "พี่ต้น!! เล่าให้ฟังที ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง" เพื่อนเริ่มเปิดประเด็นทันที "โอ้ย นี่จะมีมาถามกันอีกกี่คนเนี่ย ไม่น่าหลุดปากเล่าให้ใครฟังตั้งแต่แรกเลย ถ้ารู้ว่ามันจะวุ่นวายแบบนี้" บุรุษหนุ่มบ่นอุบอิบ "เถอะนะพี่  พวกหนูอยากรู้จริงๆ" คุณมิ้นทำเสียงออดอ้อนเผื่อว่ามันจะได้ผล ซึ่งมันก็เป็นตามที่เธอหวัง

    บุรุษพยาบาลหนุ่มเริ่มเล่าว่า หลังจากที่คุณลุงเสียชีวิตได้เพียงวันเดียว คืนถัดมาแกก็ได้ไปเข้าฝันคุณต้นทันที มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคุณต้นก็นับว่าเป็นคนหนึ่งที่สนิทกับคุณลุง คุณต้นมักจะชอบคุยเล่นกับคุณลุงทุกครั้ง ในเวลาที่เอาพวกชุดผ้าขนหนูมาเปลี่ยนให้

    ภายในความฝัน คุณต้นกำลังยืนอยู่ในโถงทางเดินหน้าห้องโซนวีไอพี แกเห็นคุณลุงยืนกวักมือแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง แกจึงเดินตามคุณลุงไป เมื่อคุณต้นเข้ามาในห้อง ก็เห็นว่าคุณลุงยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง แล้วชี้นิ้วไปที่หมอนบนเตียงนอน

    เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณต้นไปทำงาน แกนึกถึงความฝันเมื่อคืน ว่าคุณลุงพยายามจะสื่ออะไร แล้วทำไมต้องชี้ไปที่หมอน ก็มีแต่ต้องลองไปดูเท่านั้น แกจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วสำรวจแถวเตียงนอน

    "นี่พี่ไม่กลัวผีเหรอ ไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้องนั้นเลยนะ" เพื่อนถามด้วยสีหน้าทึ่งในการกระทำของคุณต้น "โถ่! คนอย่างพี่เนี่ยนะจะกลัวผี ขนาดคนพี่ยังไม่กลัวเลย จะมากลัวอะไรกับแ..." "พอเถอะพี่ เล่าต่อเถอะ" เพื่อนรีบเบรคก่อนที่จะนอกเรื่อง

    ชุดผ้าปูที่นอนยังคงเป็นชุดเดิมที่คุณลุงใช้ก่อนจะเสียชีวิต บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาจัดการอะไรหลังจากนั้น คุณต้นยกหมอนขึ้นเพื่อเริ่มหาอะไรสักอย่างที่ถูกซ่อนอยู่ "แกร็กๆ" จังหวะนั้น คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างกะทบกันจนทำให้เกิดเสียง

    คุณต้นเลิกให้ความสนใจเตียงนอน เปลี่ยนมาดูหมอนที่ถืออยู่ในมือ แกลองเขย่าดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ "แกร็กๆ..แกร็กๆ" ชัดแน่แล้วว่าต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แกจึงล้วงมือเข้าไปในปลอกหมอน ควานหาอะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น แล้วกำมันออก

    คุณต้นมองดูสิ่งที่อยู่ภายในมือ เห็นเป็นสร้อยข้อมือของผู้หญิงที่ทำจากวัสดุอะไรสักอย่างสีดำๆ และขวดแก้วทรงกระบอกขนาดเล็ก ด้านในบรรจุของเหลวบางอย่าง คล้ายกับเป็นลิ่มเลือดสีดำๆ ซึ่งตอนนั้น ตัวคุณต้นเองก็ไม่ทราบว่าของพวกนี้มันคืออะไร แต่คิดว่าคงจะเป็นของดีที่คุณลุงอยากส่งต่อให้ คุณต้นจึงนำของทั้งหมดติดตัวกลับบ้านไปด้วย

    ช่วงสี่ทุ่มในวันเดียวกันนั้น คุณต้นกับภรรยาและลูกน้อยวัยหกขวบกว่าๆ นอนพักผ่อนกันอยู่ในมุ้ง ช่วงที่คุณต้นกำลังเคลิ้มหลับ ซึ่งตัวภรรยาเองก็คงจะหลับไปแล้ว "พ่อ เหม็นอะไรก็ไม่รู้อ่ะ" ลูกชายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของเด็กขี้สงสัย แต่คุณต้นง่วงนอนเกินกว่าจะมาสนใจอะไรต่อ "อืมมม นอนซะลูก"

    "พ่อ หัวใครอ่ะ" เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณต้นจึงค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วมองตามเด็กน้อยขึ้นไปด้านบน แม้ว่าภายในห้องจะปิดไฟจนมืดทึบ แต่ยังคงมีแสงสลัวของไฟจากด้านนอก เล็ดลอดผ่านทางหน้าต่างเข้ามาได้บ้าง ทำให้มองเห็นภายในห้องลางๆ

    สิ่งที่อยู่เหนือมุ้ง ณ ตอนนี้ คือผู้หญิงตัวดำผมยาวเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เธอยืนเท้าติดกับเพดาน เอาหัวดิ่งลงมาด้านล่าง ปล่อยแขนทั้งสองข้างให้เหยียดยาวลงมาแตะมุ้ง อ้าปากกว้างทำตาโตใส่เด็กน้อย คล้ายกับกำลังหยอกล้อกันอยู่

    แม้ว่าตัวคุณต้นเองจะเคลมไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่กลัวผี แต่ภาพที่เห็นอยู่ ณ ตอนนี้ มันทำให้คุณต้นต้องกลั้นหายใจไว้ชั่วขณะนึงโดยไม่รู้ตัว แกเหลือบมองไปทางภรรยา พบว่าเธอยังคงนอนหลับอยู่ ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่งที่เธอไม่ต้องพบเห็นภาพความวิปลาสเช่นนี้

    คุณต้นค่อยๆเอื้อมมือไปหาลูกน้อย เกี่ยวตัวให้ลูกนอนหันมาทางแก แล้วพูดเบาๆว่า "นอนซะลูก เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว" แกนึกโกรธตัวเองที่หาเรื่องมาให้ที่บ้าน โชคยังดีที่ลูกของแกยังไร้เดียงสาเกินไปกับเรื่องพวกนี้

    วันรุ่งขึ้น แกจึงนำของทั้งสองอย่างไปคืนที่โรงพยาบาล เพราะแกไม่รู้ว่ามาลีจะทำอะไรอีกบ้าง แต่แทนที่แกจะนำมันไปคืนไว้ในห้องเดิม แกกลับเอาไปใส่ไว้ในล็อกเกอร์ที่เก็บศพของคุณลุง

    "พี่กลัวใช่มั้ยเนี่ย" เพื่อนยิงคำถามเหมือนจะแหย่บุรุษพยาบาลหนุ่ม "พี่ไม่ได้กลัว แต่พี่ห่วงครอบครัว" บุรุษหนุ่มตอบเสียงเคร่งขรึม "แล้วหลังจากวันนั้น พี่เจอมาลีที่บ้านอีกมั้ยอ่ะพี่" คุณมิ้นถามโดยพยายามกดเสียงให้เบาลง "ไม่เจอนะ ที่บ้านพี่ก็ปกติเหมือนเดิม"

    ยังคงมีคนพบเจอเรื่องราวแปลกๆในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งบุคลากรและผู้ป่วย เห็นมาลีอยู่ตามซอกมุมเพดานยามค่ำคืนไม่เว้นในแต่ละวัน เสียงสวดมนต์ทุ้มต่ำของผู้ชายยังคงดังออกมาจากห้องวีไอพี เคยมีคนส่งเรื่องนี้ให้กับทางผู้ใหญ่ของโรงพยาบาล ทางนั้นก็รับปากว่าจะทำบุญใหญ่ให้ แต่ก็ผลัดมาจนถึงทุกวันนี้

    ช่วงสายของวันถัดมา "ต้น มีคนมาหาอ่ะ" เสียงบุรุษพยาบาลด้วยกันดังขึ้นจากด้านหลัง ในขณะที่คุณต้นกำลังเข็นวีลแชร์ไปเก็บยังใต้บันได แกจึงหันหลังไปมอง ก็พบว่าเป็นเพื่อนของแกเอง และมีชายหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานที่แกไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ข้างๆกัน

    "ซ่าาาาาาาาาาาา" เสียงใบไม้ของต้นหูกระจงประสานเสียงร้อง เพราะแรงลมยามสายของวันลอยพัดผ่าน ภายในลานนั่งเล่นข้างโรงพยาบาลแห่งนี้ มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ผุดขึ้นซ้อนกันอยู่หลายต้นด้วยกัน สองหนุ่มนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นสัตบรรณต้นใหญ่ ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลใจด้วยกันทั้งคู่

ชายหนุ่ม : ผมเป็นลูกชายของคุณลุงห้องนั้นเองครับ หลายวันก่อน แพทย์คนที่เคยดูแลคุณพ่อโทรมาหาผม เค้าบอกว่าคุณพ่อสร้างปัญหาให้ที่นี่พอสมควร
บุรุษพยาบาล : แล้วไงครับ
ชายหนุ่ม : ผมอยากรู้เรื่องคุณพ่อของผม วันนี้ผมเลยตั้งใจมาถามเรื่องราวจากคนที่น่าจะรู้ดีที่สุด เห็นคนอื่นๆเค้าว่าคุณสนิทกับคุณพ่อของผมพอสมควร
บุรุษพยาบาล : ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก
ชายหนุ่ม : ช่วยเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ ว่าคุณเห็นคุณพ่อยังไงบ้าง
บุรุษพยาบาล : ถ้าคุณอยากรู้ ทำไมคุณไม่ลองเอาลุงกลับไปไว้ที่บ้านดูล่ะ
ชายหนุ่ม : ผมและทางบ้านมีเหตุผลในเรื่องนี้ครับ ที่ผมมาที่นี่ในวันนี้ ผมแค่อยากรู้เรื่องของท่านครับ
บุรุษพยาบาล : ลูกแบบไหนกันถึงเอาพ่อของตัวเองไว้ในที่แบบนี้ได้
ชายหนุ่ม : นี่คุณพยาบาลหนุ่ม ดูท่าคุณน่าจะยังพอมีเวลาอยู่บ้างนะครับ คุณรู้มั้ย ทำไมคุณพ่อของผมถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ทั้งตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่และร่างที่ไร้ชีวิต ก่อนที่คุณจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ผมอยากจะเล่าอะไรให้คุณฟัง

    ชายผิวสองสีรูปร่างใหญ่อายุเลยวัยเกษียณ แต่ยังดูแข็งแรงไม่สมกับอายุ กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหารหรูหราริมน้ำ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับแกคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุรุ่นเดียวกับลูก เธอมีชื่อว่ามิลล์ มันเป็นเหมือนงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ เนื่องในโอกาศคบหากันมาเป็นระยะเวลาสองเดือน

    ในช่วงแรกที่ทั้งคู่แอบคบหากัน แกเคยบอกกับหญิงสาวว่า ชื่อมิลล์มันออกจะสะกดยากไปสักหน่อยสำหรับคนรุ่นแก แกเลยอยากจะเรียกหญิงสาวด้วยชื่อใหม่ว่า "มาลี" ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด

    นี่เป็นครั้งแรกที่แกพาหญิงชู้ออกมาทานข้าวในที่โล่งเปิดเผยเช่นนี้ ทั้งที่แต่ก่อน ค่อยแต่จะหลบๆซ่อนๆ เพราะตัวแกเองกับภรรยาก็ถือว่ามีหน้ามีตาทางสังคมอยู่พอสมควร มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับตำรวจที่มียศระดับหัวหน้า งานเลี้ยงครั้งนี้มันควรจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ถ้าเกิดว่าภายในร้านอาหารหรูหราริมน้ำแห่งนี้ ไม่ได้มีเพื่อนของภรรยาอยู่ที่นั่นด้วย

    หนึ่งอาทิตย์หลังจากงานเลี้ยงฉลอง แกได้ข่าวการตายของหญิงชู้ของแกเอง ซึ่งเธอโดนฆาตกรรมภายในห้องพัก วินาทีที่แกทราบข่าว เส้นเลือดบนหัวของแกปูดโปนด้วยความโกรธ แกสาบทสาบานไว้ว่าต้องจับคนร้ายให้ได้ด้วยมือของแกเอง

    และด้วยความเสียใจที่หญิงรักได้จากไป แกเอาเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลใส่ขวดแก้วเล็กๆ แล้วใส่เล็บนิ้วมือกับเส้นผมของเธอลงไปในขวด แล้วเริ่มสืบคดีอย่างเอาเป็นเอาตาย

    แกเป็นอดีตตำรวจสายสืบมือฉมัง มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาตัวคนร้ายได้ในระยะเวลาแค่เพียงสองวัน ภายในห้องสืบสวน คนร้ายสารภาพสิ้นทุกอย่าง ทำให้แกรู้สึกหน้าชาที่รู้ว่าคนจ้างวานคือใคร นับว่ายังโชคดีที่พวกเจ้าหน้าที่ในห้องมีแต่ลูกน้องของแกเท่านั้น เรื่องมันจึงไปไม่ถึงคนจ้างวานอย่างภรรยาของแก ส่วนฆาตกรก็ต้องรับกรรมไป

    เมื่อเรื่องคดีจบลง แกก็หายตัวไปจากบ้าน ไม่มีใครทราบว่าแกหายไปไหน แม้แต่ภรรยาและลูกๆของแกเอง หลังจากนั้นสี่วัน แกก็กลับมาใช้ชีวิตเช่นเดิม โดยแกบอกเพียงแค่ว่า "ไปหาคนรู้จักที่ศรีราชามา"

ตั้งแต่ที่แกกลับมาอยู่ที่บ้าน ลูกๆและภรรยาของแกจะพบเห็นผู้หญิงตัวดำๆ เกาะอยู่ตามมุมมืดของเพดานห้อง ส่วนตัวแกเองก็มักจะชอบเพ้อเรียกชื่อมาลีอยู่ตลอด และลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์กลางดึกด้วยภาษาที่คนอื่นไม่เข้าใจ

    จนเรื่องมันเริ่มจะหนักข้อขึ้นเรื่อย ทำให้ภรรยาและลูกๆต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ทิ้งให้แกอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง โดยลูกชายจะแวะเวียนมาหาบ้างเป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่ลูกชายแวะมาหา จะพบความผิดปกติของผู้เป็นพ่อหนักขึ้น

    ครั้งหนึ่งในช่วงสองทุ่ม ลูกชายได้เข้ามาหาแกที่บ้าน เมื่อผู้เป็นพ่อเปิดประตูบ้านต้อนรับลูกชาย ทำให้ผู้เป็นลูกเห็นอะไรบางอย่างเกาะอยู่ด้านหลัง เมื่อมองดูดีๆก็พบว่า ผู้เป็นพ่อยืนส่งยิ้มให้ลูกอยู่หน้าประตูบ้าน โดยมีผู้หญิงตัวดำๆเกาะอยู่ด้านหลัง ในลักษณะที่หัวของเธอทิ่มลงพื้น เอาขาทั้งสองข้างพาดไหล่มาข้างหน้าของพ่อ

    ทุกครั้งที่ลูกชายพยายามจะเข้าใกล้แกในเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ผู้หญิงตัวดำๆจะโผล่ออกมาให้เห็นทุกครั้ง และระยะหลังก็พบว่าแกมีสุขภาพที่แย่ลงเรื่อยๆ ร่างกายที่เคยกำยำกลับผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง ผู้เป็นลูกจึงคิดว่าแกควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ดีกว่าอาศัยอยู่บ้านคนเดียวโดยไม่มีคนดูแล

    คุณต้นนั่งเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าใต้ต้นสัตบรรณใหญ่เพียงลำพัง แสงแดดยามเย็นส่งมอบความอบอุ่นให้กับทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง นกกระจอกต่างโผบินหวนคืนรัง เพราะยังมีลูกๆที่รักยิ่งรอคอยการกลับมาของผู้เป็นพ่อแม่ เรื่องราวที่ลูกชายของคุณลุงเล่าให้ฟังเมื่อตอนสายๆของวัน ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวตลอดไม่จางหาย

    คุณต้นรู้สึกผิดขึ้นในใจที่ใช้น้ำเสียงไม่ดี ในตอนที่สนทนากับลูกชายของคุณลุง ช่วงแรกคุณต้นยอมรับว่าตนเองนั้น ไม่พอใจลูกชายของคุณลุงอย่างมาก ทั้งๆที่มีเงินมีทองไม่รู้สิ้น แต่กลับต้องเอาผู้เป็นพ่อมาทิ้งไว้ในที่แบบนี้ ซ้ำร้ายยังฝากร่างไร้วิญญาณไว้ในห้องเย็นยะเยือกอีกร้อยวัน คุณต้นหวนนึกถึงคำพูดสุดท้ายของลูกชายแก

    "ตอนนี้ ผมกับทุกคนย้ายกลับเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดิม ความจริงผมอยากเก็บคุณพ่อไว้ที่บ้าน เพราะท่านเคยบอกกับผมเมื่อนานมาแล้ว ว่าถ้าท่านเสีย ท่านอยากให้พวกเราเก็บร่างไว้หนึ่งร้อยวันแล้วค่อยประกอบพิธี ซึ่งผมก็รับปากท่าน แต่ถ้าเกิดว่าเราเก็บท่านไว้ที่บ้าน โดยผู้หญิงตัวดำๆยังคงเกาะติดไม่ห่างจากตัวท่าน สุดท้าย ผมและครอบครัวคงจะอยู่กันไม่ได้ ผมไม่ได้ขอให้คุณเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ แต่ขอให้คุณได้รู้ถึงสาเหตุที่มันเป็นมา เอาเถอะ นี่ก็ใกล้เที่ยงวันแล้ว ผมต้องขอตัวไปธุระก่อนนะครับ ขอบคุณครับ"

    "เฮ้ออออออออ" คุณต้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่มันก็เลยเวลากลับบ้านมานานพอสมควรแล้ว นึกแปลกใจตัวว่าทำไม่ถึงมานั่งเหม่อเลยอยู่ในสวนคนเดียว คุณต้นกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณ ก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว นี่มันก็ใกล้ค่ำลงไปทุกที แกคิดว่าแทนที่จะมานั่งคิดมากอยู่คนเดียว สู้กลับไปหาลูกเมียที่บ้านดีกว่า

    ระหว่างที่แกกำลังเดินกลับบ้าน แกนึกขำตัวเอง ที่วันนี้นั่งคุยอยู่กับไอ้บ้าได้ตั้งนาน ถูกแล้วที่เรียกมันว่าไอ้บ้า จะมีคนปกติที่ไหนกันที่ตั้งใจจะมาฟังเรื่องราวจากคนอื่น แต่ไปมากลับเปลี่ยนเป็นเล่าเรื่องราวให้คนอื่นฟังแทน

    คุณต้นยังคงรู้สึกผิดที่แกเองไปตัดสินคนอื่น เพียงเพราะได้รับรู้เรื่องราวแค่ข้างเดียว ทุกคนย่อมมีเหตุผลในทุกๆการกระทำ จะถูกหรือผิด มันก็เป็นเพียงความคิดจากมุมมองของเราเอง เราที่เป็นคนนอกซึ่งไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่ควรจะไปตีตราให้แก่ผู้อื่น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

จากพันทิป เรื่องของคนตาย...เล่มที่ 41
เรื่องจาก คนอ่านผี

ไม่มีความคิดเห็น